Chapter 11
เมื่อนารินทร์ตื่นขึ้นจากการหลับใหลก็พบว่าไม่มีใครอยู่ในห้องแล้ว รวมถึงห้องอีกฝั่งหนึ่งด้วย นารินทร์จึงถือโอกาสหนีออกมาจากบ้านนั้นแม้ว่าจะมีคนใช้และการ์ดมองเค้าบ้างเพราะด้วยท่าเดินที่แปลกๆกับเสื้อผ้าที่ไม่ค่อยจะเรียบร้อย แต่นารินทร์ไม่สนใจตอนนี้ใจนารินทร์อยากออกไปให้พ้นบ้านหลังนี้ให้เร็วที่สุด
ทางด้านของวารินทร์ที่ตอนนี้นั่งแทบจะไม่ติดเก้าอี้เพราะขณะนี้ก็เป็นเวลาประมาณเกือบๆจะเช้าแล้ว แต่นารินทร์ยังไม่กลับบ้านลองโทรเช็คกับเพื่อนๆก็ไม่ได้อยู่กับใครเลย
“อยู่ไหนนะ นารินทร์”
“เอี๊ยดดดดด” จังหวะนั้นเองที่วารินทร์ต้องรีบวิ่งไปที่ประตูรั้วเพราะรับรู้ได้ทันทีว่านารินทร์กำลังก้าวขาเข้าบ้านมาแล้ว…ก็แน่สินี่มันถิ่นของเค้านิ
“นารินทร์ทำไมไปไหนไม่โทรบอกพี่แล้วทำไมสภาพถึงเป็นแบบนี้” วารินทร์พูดด้วยอารมณ์เหวี่ยงนิดหน่อยเพราะด้วยความเป็นห่วงน้องชายที่หายไปไม่บอกไม่กล่าว
“ฮึก…อึก…พี่รินทร์จ๋า ฮือ…ฮือ” นารินทร์เข้าสวมกอดวารินทร์แล้วร้องไห้อย่างเอาเป็นเอาตายทำเอาวารินทร์ตกใจไม่น้อยแต่ก็พยายามคุมสติตัวเองไว้แล้วค่อยปลอบน้องชายอย่างใจเย็น
“ไปพักก่อนนะ มีอะไรค่อยคุยกัน” วารินทร์กอดนารินทร์แล้วลูบหัวไปพรางๆ พอจับตัวออกจากอกเค้ามาดูอีกทีก็หลับคาอกของวารินทร์ไปเสียแล้ว และก็เป็นหน้าที่ของวารินทร์ที่จะต้องอุ้มน้องชายของเค้าขึ้นไปนอนต่อบนห้อง…เมื่อขึ้นมาถึงห้องวารินทร์ก็นั่งดูสภาพน้องของตัวเองแล้วก็อดสงสัยไม่ได้ เนื้อตัวมีรอยเต็มไปหมดเหมือนจะโดนทำร้ายก็ไม่ใช่มันเหมือนรอยโดนทำอะไรมามากกว่า แต่วารินทร์ก็ไม่อยากตีโพยตีพายไปก่อน รอฟังจากปากของนารินทร์เองจะเป็นอะไรที่แน่นอนที่สุด
“นารินทร์คงต้องรู้เรื่องของตัวเองสักทีแล้วสินะ…ถึงเวลาแล้ว” วารินทร์ตัดสินใจจะเล่าเรื่องของพวกเค้าเองให้นารินทร์ฟัง…นารินทร์ตื่นเมื่อไหร่คงต้องคุยกันยาว
ช่วงเที่ยงของวันนั้นนารินทร์ถูกปลุกโดยพี่ชายของเค้าให้กินข้าวและกินยา แต่เหมือนนารินทร์จะตื่นไม่เต็มตาเพราะพูดจาเบลอๆวนไปวนมาจนวารินทร์ต้องรีบป้อนข้าวให้เรียบร้อยก่อนจะจัดการบังคับให้กินยาแล้วนอนพักต่อ นารินทร์ก็ทำตามอย่างว่าง่าย
วายุที่กลับบ้านมาตอนเช้าก็ไม่พบกับร่างของนารินทร์แล้วกลับพบแต่ความว่างเปล่า วายุจึงไล่ถามทุกคนในบ้านซึ่งทุกคนก็ตอบตรงกันว่าช่วงเช้ามืดเห็นผู้ชายตัวเล็กๆใส่เสื้อผ้าหลุดลุ่ยเดินออกไปจากบ้านแต่ทุกคนคิดว่าเพื่อนของวายุเมาค้างและต้องการจะกลับบ้านในจังหวะนั้นเองที่พายุเข้ามาได้ยินพอดีจึงถามถึงผู้ชายตัวเล็กๆที่วายุเอ่ยถึงเพราะพายุรู้สึกถึงพิรุธบางอย่างในตัวของน้องชายยิ่งช่วงหลังๆมาวายุมักทำตัวมีพิรุธให้เห็นอยู่บ่อยครั้ง
“ใครวะ คนที่แกพูดถึง”
“เปล่าพี่ ไม่มีอะไรหรอก” วายุปฏิเสธหน้าตายแต่ยังไงพายุก็จับความผิดสังเกตได้อยู่ดี เพราะพายุเป็นพี่มีหรือที่จะไม่รู้ว่าน้องกำลังพูดโกหกหรือกำลังพูดความจริง
“ฉันหวังว่าแกจะไม่ทำอะไรแผลงๆให้เป็นเรื่องขึ้นมาอีกนะ” วายุนิ่งไม่ตอบโต้ใดๆแล้วเดินขึ้นห้องของตัวเองไปอย่างรีบร้อน พายุเริ่มรู้สึกไม่สบายใจตัวเค้าเองรู้สึกว่าเหมือนมีอะไรบางอย่างกำลังจะกร่ำกรายพวกเค้าในไม่ช้า พายุวางเรื่องทั้งหมดทิ้งไว้ในบ้านแล้วเดินออกไปชมนกนอกบ้านของตัวเองที่เลี้ยงไว้เยอะแยะมากมายมีทั้งที่อยู่ในกรงและไม่ได้อยู่ในกรง…ในตอนเด็กพายุกับวายุมักจะมีนกบินมาเกาะไหล่หรือมาบินวนรอบๆสองพี่น้องอยู่เสมอจนคุณหญิงสุดารู้สึกแปลกใจและได้นำเรื่องนี้ไปไถ่ถามกับหลวงตา แต่หลวงตากลับตอบคุณหญิงสุดาแค่ว่า ‘ยังไม่ถึงเวลาที่จะต้องรู้’
“พายุลูก…ไม่สบายใจอะไรหรอ” แม่ของพายุเห็นลูกชายของตัวเองออกมาเล่นกับนกก็รู้ได้ทันทีว่าพายุมีเรื่องไม่สบายใจ
“นิดหน่อยครับคุณแม่…มานี่สิ” พายุตอบคำถามของคุณหญิงสุดาเสร็จก็เรียกนกตัวสีแดงเพลิงที่เกาะอยู่บนยอดไม้สูงซึ่งเป็นตัวโปรดของพายุ นกตัวนั้นก็บินมาเกาะมือพายุอย่างเชื่องเสมือนนกที่ถูกฝึกมาอย่างดี
“อะไรที่มันไม่หนักหนามากก็ปล่อยๆมันไปเถอะลูก อย่าเก็บมาคิดหมดทุกเรื่อง” คุณหญิงสุดาพูดจบก็เดินเข้าบ้านไปปล่อยให้พายุยืนเล่นกับนกอยู่สักพักใหญ่จากนั้นพายุก็ขับรถออกไปทำงานตามปกติ แม้ว่าเรื่องที่ยังค้างคาอยู่ในใจจะยังไม่ถูกกำจัดออกไปจากจิตใจเสียทีเดียว แต่ตัวเค้าเองก็ทิ้งงานไม่ได้
เย็นวันนั้นนารินทร์ก็รู้สึกตัวขึ้น และมีสติเต็มร้อยแล้ว วารินทร์จึงหาจังหวะที่จะพูดบอกนารินทร์แต่หากเค้าวิเคราะห์จากสภาพของนารินทร์ตอนนี้…นารินทร์ยังไม่พร้อมที่จะเป็นผู้ฟัง
“นารินทร์มีอะไรในใจหรือเปล่า…เล่าให้พี่ฟังได้ไหม” วารินทร์เปิดฉากถามน้องตัวเองทันที นารินทร์ไม่ตอบอะไรแต่พุ่งเข้ากอดวารินทร์เอาไว้แทน พร้อมกับปล่อยโฮออกมาอีกครั้งแล้วครั้งเล่าจนวารินทร์รู้สึกทนไม่ไหวที่นารินทร์ไม่เล่าอะไรให้ตัวเองฟังเลยเอาแต่ร้องไห้อย่างเดียวแล้วตัวเค้าจะไปรู้ได้อย่างไรว่าเกิดอะไรขึ้นกับนารินทร์
“พี่รินทรจ๋า…นาอยากไปอยู่ที่อื่น นาไม่อยากอยู่ที่นี้แล้ว…ไปที่ไหนก็ได้ที่ไกลๆ…ฮึก...ฮึก” พูดจบนารินทร์ก็ตั้งท่าทำทีเหมือนจะร้องไห้ต่ออีกทำให้วารินทร์ถูกโทสะครอบงำแล้วเผลอขึ้นเสียงใส่นารินทร์ดังลั่นในแบบที่นารินทร์ไม่เคยเห็นวารินทร์เป็นแบบนี้มาก่อน
“พูดสิ!!!...ไม่พูดแล้วจะรู้เรื่องกันไหม ฉันไม่เคยสอนแกให้อ่อนแอแบบนี้นะ หุบปากเดี๋ยวนี้!!! แล้วเล่ามาว่าเกิดอะไรขึ้นอะไรทำให้แกคิดอย่างนั้น!!!” นารินทร์หยุดร้องทันทีเพราะตกใจเสียงของวารินทร์ที่แผดสูงเหมือนว่าจะฆ่าเค้าเสียตรงนี้ถ้ายังขืนร้องต่อไป
“พี่รินทร์…เรื่องมันก็คือ…!@#$%^&*(+_!@#$%^&*(+_!!%@#” แล้วเรื่องราวทั้งหมดก็ถูกถ่ายทอดจากนารินทร์สู่วารินทร์ซึ่งวารินทร์ก็ทำท่านิ่งเงียบและฟังอย่างเดียวแต่ในใจกลับร้อนรุ่มและอยากจะฆ่าคนต้นเหตุเสียให้ได้
“แล้วนาก็กลับมาถึงบ้านนี่แหละ ฮึก...ฮือ” นารินทร์ร้องไห้อีกครั้งเมื่อเล่าเรื่องทั้งหมดจบ วารินทร์ดึงนารินทร์เข้ามากอดด้วยความรู้สึกสงสารน้องชายและรู้สึกผิดที่ขึ้นเสียงใส่นารินทร์
“นอนพักซะนะ แล้วเดี๋ยวพี่จะบอกเรื่องบางอย่างให้เรารู้” วารินทร์บอกให้น้องชายพักผ่อนพร้อมกับลูบหัวไปพรางๆจนนารินทร์รู้สึกเคลิ้มแล้วหลับไปในที่สุด ส่วนวารินทร์เมื่อเห็นน้องชายหลับแล้วก็จัดการจัดท่าจัดทางให้นารินทร์นอนดีๆและต่อจากนี้ชะตาของวายุก็อาจจะขาดได้ในอีกไม่นานแล้วเพราะใครก็ตามที่ทำให้วารินทร์โกรธ…ศพไม่สวยแน่!!!
“มาพบใครครับ” การ์ดหน้าบ้านถามคนแปลกหน้าที่มายืนอยู่หน้าบ้านของเจ้านายเค้า
“ฉันมาขอพบ คุณเวนไตย” พูดจบการ์ดก็กดเครื่องโทรศัพท์หน้าบ้านเข้าไปในบ้านใหญ่สายตรงถึงวายุเพื่อรายงานว่ามีคนมาขอพบ เมื่อวายุเห็นว่าเป็นพี่ชายของภรรยาก็ยกยิ้มขึ้นอย่างมีชัยแล้วสั่งให้พาไปรอที่ห้องรับแขกและดูแลอย่างดี…ส่วนวายุก็เปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วเดินลงมาห้องรับแขกทันที
“สวัสดีครับพี่วารินทร์ แหม วันนี้บุกมาหาผมถึงที่ มีอะไรให้รับใช้หรือเปล่าครับ” วายุถามหน้าระรื่นยิ่งเหมือนเป็นการเติมฟืนเข้ากองไฟที่มันสุมทรวงอยู่ในอกของวารินทร์
“เปล่าหรอกครับไม่มีอะไรแค่อยากเห็นหน้าคุณเท่านั้นเอง” วารินทร์พยายามกดเสียงตัวเองอย่างใจเย็นที่สุดแต่เหมือนมันจะยากลำบากเหลือเกิน
“หืม…แค่นั้นเองหรอครับ ผมคิดว่าคุณน่าจะอยากเจอพี่พายุมากกว่านะครับ ฮ่าๆๆๆๆ” วายุหัวเราะอย่างอารมณ์ดีแต่มันกลับทำให้เส้นความอดทนของวารินทร์ขาดผึงทันที
“ทำอะไรไว้แกรู้อยู่แก่ใจ…โอ้ยยยยย” วายุเผลอแหกปากลั่นเมื่ออยู่ดีๆวารินทร์ก็พุ่งเข้ามาบีบคอเค้าด้วยความเร็วชนิดที่ตาเปล่ามองไม่เห็นสร้างความงุนงงให้กับวายุมากเพราะวายุยังไม่ทันได้เตรียมตัวตั้งรับอะไรเลยแถมระยะห่างจากตัวเค้ากับวารินทร์ก็มีมากพอสมควร…แรงบีบที่คอของวายุถูกบีบแน่นขึ้นเรื่อยๆจนวายุต้องดิ้นทุรนทุรายเหมือนสัตว์ที่ถูกล่าและต้องดิ้นรนเพื่อเอาชีวิตรอด
“เกิดอะไรขึ้นวายุ…วารินทร์” พายุแทบไม่อยากจะเชื่อภาพที่เห็นตรงหน้า วารินทร์กำลังบีบคอวายุอยู่ด้วยมือข้างเดียวจนตัวลอยทั้งๆที่วายุตัวใหญ่กว่าวารินทร์หลายขุม
“พี่พายุช่วยผมด้วยแฟนพี่จะฆ่าผมแล้ว” คำพูดของวายุยิ่งเพิ่มแรงโมโหให้กับวารินทร์มากขึ้นไปอีกจนโทสะที่มีอยู่ในตัวของวารินทร์ก็มากพออยู่แล้ว คราวนี้โทสะในตัวของคนหน้าสวยเหมือนจะระเบิดออกมาทำให้วารินทร์ควบคุมตัวเองแทบไม่ได้
“ดี…คนอย่างแกตายไปได้ซะก็ดี…อ๊ากกกก แค่ก แค่ก” พายุเห็นท่าไม่ดีจึงพุ่งเข้าชาร์จตัววารินทร์เพื่อหวังจะแยกทั้งคู่ออกจากกัน
“อย่ามายุ่งนะ…พรึ่บ” พายุล้มลงกับพื้นทันทีที่สบตาวารินทร์ สายตาที่เรืองโรจน์ไปด้วยสีแดงอย่างดุร้ายและอาฆาตหวังจะฆ่าให้ตายทำให้พายุเกิดอาการสั่นอย่างช่วยไม่ได้ ส่วนวารินทร์ก็หันกลับมามองวายุที่อยู่ในกำมือของตัวเอง เมื่อวายุเห็นแววตาของวารินทร์ก็ได้สัมผัสถึงความกลัวขึ้นมาจับใจ เพราะเกิดมาวายุไม่เคยกลัวอะไรมากขนาดนี้มาก่อน
“ตายแล้ว!!! วายุเกิดอะไรขึ้นลูก…นี่เธอปล่อยลูกฉันนะ” คุณหญิงสุดาและสามีวิ่งเข้าไปหาวารินทร์อย่างไม่คิดชีวิตเพราะหวังจะช่วยลูกชาย
“อย่าครับแม่…อย่ามายุ่งนะไม่ใช่เรื่องของพวกคุณ” เสียงวารินทร์และพายุดังขึ้นพร้อมกันแต่ก็สายไปเสียแล้ว คำพูดของพายุห้ามคุณพ่อและคุณแม่ไม่ทันเพราะถูกสายตาของวารินทร์จ้องเอาเสียแล้ว ทั้งสี่คนพ่อแม่ลูกเหมือนตกอยู่ในวังวนก้าวขาไปไหนไม่ได้ไม่มีแรงขึ้นมาดื้อๆเพราะสายตาของวารินทร์ที่จ้องมองมานั้น มีอำนาจมากจนไม่อาจขัดขืนได้
“จำไว้ถ้ายังขืนมายุ่งกับพวกฉันอีก แกได้ตายสมใจแน่…แล้วอย่าคิดนะว่าไอ้ห้าโจรกระจอกที่แกส่งมันมาเข้าบ้านฉันจะทำอะไรฉันได้…นี่ฉันยังใจดีไว้ชีวิตแกหรอกนะ เพราะถ้าเป็นคนอื่นทำกับนารินทร์ขนาดนี้…ไม่ได้มีโอกาสหายใจได้นานแบบนี้หรอก!!!...ปึก!!!” วารินทร์พูดจบก็เหวี่ยงร่างของวายุไปอีกทางอย่างแรงจนวายุรู้สึกเจ็บระบมไปทั้งตัว
“บอกการ์ดของคุณให้ถอยไปด้วย แล้วปืนพวกนั้นน่ะมันอันตรายเที่ยวยกมาจ่อคนอื่นแบบนั้นมันไม่ดีนะ…หวืบ!!!” วารินทร์พูดจบก็จัดการสะบัดมือเพียงครั้งเดียวปืนในมือของการ์ดนับสิบชีวิตก็ปลิวกระเด็นไปคนละทิศคนละทาง ทำให้วารินทร์สามารถเดินฝ่าวงล้อมออกมาได้อย่างง่ายดายโดยไม่มีใครกล้าหือกับวารินทร์แม้แต่คนเดียว
“เป็นยังไงบ้างลูกวายุลูกแม่” คุณหญิงสุดาร้องไห้เป็นการใหญ่ ส่วนพายุแค่ลุกขึ้นแล้วมองแผ่นหลังที่จางหายไปจากบ้านของเค้า…เหตุการณ์ครั้งนี้ทำให้พายุรับรู้ได้ถึงความร้ายกาจของวารินทร์ ความอำมหิตที่แผ่รังสีออกมาอย่างน่ากลัว น้องชายเค้าคงต้องทำเรื่องร้ายแรงบางอย่างกับนารินทร์ถึงทำให้วารินทร์ได้กลายร่างเหมือนเป็นคนละคนแบบนี้
“ไอ้วายุ…เรามีเรื่องต้องคุยกัน” วายุเพียงแต่พยักหน้าและพูดไม่ออก เพราะคิดคาดการไม่ถึงว่าศัตรูที่เค้ากำลังท้าทายอยู่จะน่ากลัวและเลือดเย็นได้ขนาดนี้!!!