33-...ก็พี่ใจร้อน ส่วนผมมันเด็กว่านอนสอนง่าย
หลังจากสลับกันทำหน้าที่สารถีมาสองสามรอบ ผมก็พาตัวเองและพี่กันย์มาเหยียบจังหวัดระนองได้ในที่สุดโดยอาศัยตัวช่วยอย่างกูเกิ้ลแมพที่แม้จะพาเราไปยังเส้นทางแปลกๆ หลายครั้งก็ตาม
วิวสองข้างทางเริ่มเปลี่ยนจากทางหลวงแปดเลน กลายเป็นถนนสี่เลนของชุมชนเมืองของตัวอำเภอหลักก่อนจะเปลี่ยนอีกครั้งเมื่อเข้าสู่อำเภอเล็กๆ ซึ่งเป็นที่ตั้งของที่พักที่จองไว้ จากตึกรามบ้านช่องสองข้างทางกลายเป็นสวนยางพาราสลับกับบ้านหลังเล็กๆ ที่แทรกอยู่ในสวนเป็นระยะๆ ทำให้ผมเริ่มผ่อนน้ำหนักที่แตะคันเร่งเพื่อทำเวลามาตลอดทางลงอย่างผ่อนคลาย
“วันหลังนั่งเครื่องมาเหอะ เหนื่อยฉิบหาย” พี่กันย์บ่นพลางเอี้ยวตัวบิดซ้ายทีขวาทีเพื่อคลายกล้ามเนื้อที่ดูจะเมื่อยล้าเพราะนี่ก็เข้าไปเกือบจะชั่วโมงที่เก้าแล้วที่ที่เดินทางสลับกับแวะปั๊มพักไม่กี่นาทีจนผมไม่ได้ที่จะสงสารก่อนจะเอื้อมกำปั้นไปช่วยทุบเบาๆ เพื่อเอาใจ
“นานทีปีหนเองครับ” ผมยิ้มพลางพยายามพยักหน้าเพื่อคะยั้นคะยอให้อีกคนเออออไปด้วยแต่ดันได้รับสายตาคาดโทษกลับมาแทน
“เออ กูคงจะปล่อยให้มึงลากมาทำอะไรแบบนี้บ่อยๆ อยู่หรอกเนอะ หึ!” พี่กันย์ย่นจมูกใส่ก่อนจะหันไปมองวิวนอกหน้าต่าง ถึงอย่างนั้นผมก็ยังอดที่จะยิ้มกับตัวเองไม่ได้ …ดีใจที่พี่กันย์ยอมตามใจแล้วมาเที่ยวด้วยกันทั้งที่ไม่ใช่สไตล์อย่างที่เจ้าตัวชอบพูดบ่อยๆ ถ้าเป็นก่อนหน้านี้ยังไงก็ไม่มีทางแน่นอน คนอย่างพี่กันย์ไม่ได้ติดหรูแต่ก็ชอบใช่ชีวิตแบบสะดวกสบายมากกว่าจะต้องมาทนลำบากถ้าไม่จำเป็น อย่างการไปค่ายอาสาพี่กันย์บอกว่านั่นคือกิจกรรมพิเศษ
…ผมนี่รักความพิเศษของคำว่า ‘แฟน’ ขึ้นมาเลยครับ
“แต่มันก็ดีใช่มั้ยล่ะครับ?” ผมถามยิ้มๆ เมื่อเห็นคนข้างตัวเริ่มตื่นตาตื่นใจไปกับวิวของภูเขาลูกเล็กลูกน้อยที่มีพืชพรรณเขตร้อนชื้นขึ้นให้เขียวไปหมดสลับกับพื้นที่เกษตรกรรมที่มีลำธารเล็กๆ ขนานไปกับถนนอยู่เป็นช่วงๆ อย่างอดไม่ได้ คงดูเป็นภาพแปลกตาสำหรับเด็กในเมืองอย่างพี่กันย์อยู่ไม่น้อยเพราะเห็นเจ้าตัวควักโทรศัพท์ในกระเป๋าขึ้นมากดถ่ายไว้ทันที
“ก็ดี” พี่กันย์ส่งเสียงรับก่อนจะปรายตามามองผมที่ส่งยิ้มล้อๆ ไปให้คนที่เพิ่งบ่นไม่ค่อยอยากจะมาอยู่เมื่อครู่ก่อนจะแซวขึ้นมาอย่างไม่ได้เมื่อนึกถึงสถานที่ที่พี่กันย์จะชวนไปหากให้เจ้าตัวเป็นคนเลือกเหมือนเช่นทุกครั้ง
“ดีกว่าสยามรึเปล่าครับ?” …และเจ้าตัวก็หันขวับมามองอย่างที่คิดไม่มีผิด
“สยามคือที่สุดเว้ย!” พี่กันย์กอดอกก่อนจะตอบอย่างมั่นใจจนผมต้องหัวเราะออกมาอย่างอดไม่ได้
“ดีขนาดนั้นเชียว?” ผมแกล้งย่นจมูกอย่างไม่อยากเชื่อก่อนจะได้รับคำตอบเป็นแรงบีบแรงๆ ที่จมูกกลับมาแทน
“เออ ขนาดนั้นแหละ”
“แล้วผมกับสยามล่ะครับ?”
“ห๊ะ?” พี่กันย์ทำหน้างงๆ ก่อนจะหันมามองจนผมต้องถามใหม่อีกรอบ
“ถ้าต้องเลือกระหว่างผมกับสยาม พี่จะเลือกอะไร?”
“สยาม” พี่กันย์ตอบหน้าตายก่อนจะหันมามองผมอย่างลองเชิง
“ก็ตอบไวไปครับ”
“ต้องคิดด้วยเหรอ ไม่น่าถามนะ” พี่กันย์ยกยิ้มมุมปากก่อนจะปรายตามามองผมเป็นระยะๆ จนผมเริ่มหมั่นไส้ขึ้นมาตงิดๆ
“ผมให้โอกาสเลือกใหม่” ผมบอกก่อนจะเหล่สายตาไปมองพี่กันย์
“ช่วยคิดก่อนตอบสักนิดเถอะครับ เอาใจผมหน่อยนะ” พี่กันย์หัวเราะออกมาก่อนจะเอื้อมมือมาผลักหัวผมเบาๆ แล้วส่ายหน้าให้ความช่างตื้อที่ยังถามไม่เลิก
“ก็สยามอยู่ดีอ่ะ” พี่กันย์บอกพลางส่งสายตามาประมาณว่าช่วยไม่ได้จนผมต้องย่นจมูกอีกครั้งอย่างเซ็งๆ
“น้อยใจนะครับเนี่ย” ผมบอกก่อนจะหันไปเบะปากให้อย่างงอนๆ ก่อนพี่กันย์จะหัวเราะขึ้นมาอีกรอบก่อนจะหันไปมองนอกหน้าต่างแทน …เพิ่งเข้าใจวันนี้แหละครับว่าสวัสดิการแฟนมันดี แต่ก็ยังไม่ดีเท่าสยาม ผมจะไม่ไปเดินสยามอีกเลยคอยดู!
“ก็ถ้าเลือกมึง กูก็จะไม่ได้ไปสยามใช่ป่ะ?” คำพูดของพี่กันที่ทิ้งช่วงไปนานจนผมเกือบลืมคำถามก่อนหน้าพูดขึ้นจนผมต้องหันไปมองอย่างงงๆ
“ครับ?”
“แต่ถ้ากูเลือกสยาม กูก็จะมีมึงไปเป็นเพื่อนไง”
“หืมมม?” ผมเผลอลากเสียงออกมาอย่างประหลาดใจหลังจากกลั่นกรองประโยคของพี่กันย์และประมวลผลออกมาได้ว่า มันดูเหมือนจะเป็นอะไรที่ชวนเขินมากๆ สำหรับคนอย่างพี่กันย์ก่อนจะเหลือบไปมองคนพูดที่มีพัฒนาการจากการเม้มปากเวลาเขินเป็นกัดริมฝีปากตัวเองแทน …คงเขินขั้นสุด
“แล้วจะไปไม่ไป?”
“ไปไหนครับ?” ผมถามไปอย่างไม่ทันได้คิดตามคำถามเพราะยังมึนกับประโยคเมื่อครู่อยู่
“สยามไง อย่าให้พูดซ้ำได้เปล่าวะ โว๊ะ!”
“ไปสิครับ” ผมตอบกลับพลางมองคนที่ทำท่าว่าจะสนใจโทรศัพท์ในมือมากกว่าผมแต่ดันทิ้งตัวมาพิงกับไหล่ผมอย่างอ้อนๆ ซะอย่างนั้น
“จะไปด้วยทุกวันเลย”
“กูขอร้องไห้ได้เปล่าวะ?” พี่กันย์พูดขึ้นทันทีที่เราทั้งสองคนลงจากรถพลางมองภาพแปลงผักหลากหลายชนิดตรงหน้าบวกกับฉากหลังที่เป็นดงต้นหมากและภูเขาที่อยู่ไม่ไกล …อากาศโคตรดี แต่คนข้างๆ ผมนี่โคตรงอแง
“ร้องไห้เพราะชอบมาก?” ผมแกล้งต่อมุกพลางส่งขวดน้ำหวานที่หยิบออกมาจากลังโฟมที่ใช้แช่พวกเครื่องดื่มและอาหารสดให้
“กูเหนื่อยมากจนจะร้องไห้ต่างหากโว้ย ไอ้เชี่ย! ไกลสัดอ่ะ ไกลโคตรๆ” พี่กันย์บ่นออกมาอย่างระบายอารมณ์ก่อนจะหลับตาแล้วทิ้งตัวไปพิงกับรถ ผมส่ายหัวอย่างขำๆ อย่างอดเอ็นดูไม่ได้ก่อนจะเหลือบไปเห็นผู้หญิงท่าทางมีอายุคนหนึ่งเดินเข้ามาหาพร้อมกับตะกร้าไม้ไผ่สานในมือที่เต็มไปด้วยผักสดหลากหลายชนิด
“สวัสดีครับ ผมขอสักใบนะครับคุณป้า" ผมบอกก่อนจะเด็ดเอาโหระพามากิ่งหนึ่งทันทีที่คุณป้าพยักหน้าเป็นเชิงอนุญาตก่อนจะเอาไปปัดๆ แถวริมฝีกปากของคนที่หลับตาอยู่จนเจ้าตัวลืมตาขึ้นก่อนจะมองว่าเป็นอะไรแล้วอ้าปากงับเข้าไปอัตโนมัติอย่างที่ชอบทำบ่อยๆ บ่อยขนาดที่ตอนนี้ในกระถางผักสวนครัวตรงระเบียงห้องผมแทบไม่เหลือสีเขียวของผักอยู่เลยสักใบจนอยากจะถามว่า …พี่เป็นคนหรือเป็นหนอนครับ?
“ป้าครับผมลืมถาม มันต้องล้างมั้ยครับเนี่ย?” ผมหันกลับไปถามป้าอย่างนึกขึ้นได้ก่อนคนที่เพิ่งกลืนใบโหระพาลงคอไปจะไอพร้อมมองมาอย่างคาดโทษจนผมต้องกลั้นยิ้ม
“ไอ้เชี่ยปืน!”
“ผมล้อเล่นน่ะครับ ผมอ่านมาแล้ว เขาบอกที่นี่ปลูกผักเองแถมยังปลอดสารพิษอีกด้วย”
“เออ แล้วไป”
“ว่าแต่… ป้าเป็นคนของที่นี่รึเปล่าครับเนี่ย?” และทันทีที่ถามคำถามนี้ออกไปพี่กันย์ก็ตรงเข้ามากระชากคอผมพร้อมกับเขย่าๆ จนผมต้องยกมือยอมแพ้แล้วหัวเราะออกมาพร้อมกับคำตอบของป้าที่เข้ามาช่วยได้ทันเวลาพอดี
“ไม่ต้องห่วงนะลูก สะอาดปลอดภัยแน่นอนจ้ะ” คุณป้าบอกด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม ส่วนพี่กันย์ก็ถอนหายใจอย่างโล่งอกก่อนจะยกมือไว้พร้อมกล่าวสวัสดีอย่างเป็นทางการอีกครั้งเมื่อรู้ว่าคุณป้าเป็นเจ้าของ ‘บ้านไร่ไออุ่นรัก’ ที่พวกเราจะมาพักกันนั่นเอง
“เดี๋ยวไปรอพี่เขาข้างในนะลูก พี่เขาบอกป้าไว้แล้วแหละว่าพวกลูกจะมา” คุณป้าบอกด้วยสีหน้ายิ้มแย้มก่อนจะยอมปล่อยตะกร้าผักให้ผมช่วยถือแล้วเดินนำเข้าไปข้างในส่วนต้อนรับที่ดูเหมือนจะเป็นคาเฟ่ต์เล็กๆ ที่ตัวอาคารทำจากอิฐมอญก่อเปลือยผสมกับโครงสร้างจากไม้ไผ่ที่นำมาขัดต่อๆ กันเข้ากับบรรยากาศบ้านไร่สมชื่อจริงๆ
รอไม่นาน ‘พี่เขา’ ที่คุณป้าว่าก็เดินออกมาต้อนรับ ‘พี่บอล’ เป็นลูกชายของคุณป้าที่ทำหน้าที่ช่วยดูแลและอำนวยความสะดวกต่างๆ ตั้งแต่ให้ข้อมูลการเดินทาง จุดแวะพัก ตลอดจนเรื่องจิปาถะอีกมากมายที่ผมโทรมาถามตลอดการเดินทาง ผมชอบที่พักแบบโฮมสเตย์มากกว่ารีสอร์ทก็ตรงจุดนี้ ถ้าไปพวกรีสอร์ททุกอย่างจะถูกจัดไว้เตรียมพร้อมอย่างมืออาชีพซึ่งคนข้างๆ ผมตอนนี้ดูจะชอบแบบนั้นมากกว่า แต่ผมว่าบรรยากาศสบายๆ แบบพึ่งพาอาศัยกันเหมือนครอบครัวแบบนี้กลับมีเสน่ห์มากกว่า เพราะเหมือนเราได้มาสัมผัสกับพื้นที่จริงๆ ไม่ใช่ไปแค่พัก ถ่ายรูปแล้วก็กลับบ้าน
“สวัสดีครับ” ผมยกมือขึ้นไหว้ทักทายทันทีที่ชายหนุ่มหน้าคม ผิวแทนเดินยิ้มร่าเข้ามาพลางเอ่ยต้อนรับอย่างเป็นมิตร
“อ้าวพี่! / ไอ้กันย์!” พี่กันย์กับพี่บอลอุทานขึ้นพร้อมกันอย่างดีใจก่อนจะโผเข้ากอดกันอย่างสนิทสนม จากนั้นจึงหันมาแนะนำตัวให้ผมรู้จัก
พี่บอลเป็นรุ่นพี่ที่คณะก๊วนเดียวกับพวกพี่แชมป์ขาวงเหล้าเจ้าประจำของพี่กันย์นั่นแหละครับ แต่เพราะพี่บอลไม่ใช่สายแอลกอฮอล์เท่าไหร่เลยเจอกันแค่ที่เวลามีกิจกรรมของคณะมากกว่าเลยไม่รู้ข้อมูลอะไรมากนอกจากว่าพี่แกติสท์ไม่ทำมันแล้วกับอาชีพนักออกแบบในเมืองแต่เบนเข็มกลับมาทำไร่ทำฟาร์มให้ที่บ้านแทน
“เลิกคุยกันก่อนเถอะลูก น้องหิวจะแย่แล้วเนี่ย” คุณป้าหรือแม่พี่บอลเข้ามาปรามก่อนจะเดินนำไปที่เรือนไม้ไผ่อีกหลังที่มีชานเรือนกว้างกว่าหลังแรกก่อนจะหย่อนพวกเราให้นั่งลงที่โต๊ะตรงมุมสุดพร้อมเมนูอาหารที่มีรายการอาหารง่ายๆ เพียงไม่กี่อย่างในมือ
“ผมต้องแปลงร่างเป็นหนอนใช่มั้ยเนี่ย?” พี่กันย์เอ่ยขึ้นมาอย่างอารมณ์ดีพลางมองเมนูในมือที่มีผักเป็นส่วนประกอบแทบทุกอย่างจนผมหลุดหัวเราะออกมาอย่างอดไม่ได้เพราะดันนึกไปถึงเรื่องที่ผมก็สงสัยอยู่เหมือนกันว่าเจ้าตัวเป็นคนหรือหนอนกันแน่
“กูรู้มึงชอบกินผัก อย่ามาทำงอแง” พี่บอลตอบกลับก่อนจะใช้ปากกาเคาะหัวพี่กันย์ทีหนึ่งอย่างหมั่นไส้จนเจ้าตัวที่โดนว่างอแงหัวเราะออกมาอย่างชอบใจ
“สุกี้น้ำนี่เป็นถ้วยๆ หรือเป็นหม้อๆ ครับ” คำถามของผมทำเอาคนทั้งสองหันมามองผมอย่างงงๆ ก่อนพี่บอลจะตอบ
“ปกติขายเป็นถ้วยนะ แต่ถ้าอยากได้หม้อจะไปเอาหม้อไฟฟ้าที่บ้านมาให้เป็นกรณีพิเศษ”
“โหวว โคตรรักพี่เลยว่ะ” พี่กันย์ยิ้มอย่างอารมณ์ดีก่อนจะล็อคคอพี่บอลมากอดอย่างชอบใจพลางตบเข้าที่หลังดังป้าบสองสามที
“อะแฮ่ม” ผมเผลอกระแอมขึ้นมาอย่างไม่ได้ตั้งใจก่อนจะค้อมหัวเป็นการขอโทษที่เสียมารยาทจนพี่บอลหัวเราะออกก่อนจะผลักพี่กันย์ออกไป …ผมไม่ได้อะไรนะครับ แต่พี่กันย์จะไม่หวงตัวหน่อยเหรอครับพี่ โว๊ะ!
“แต่เนื้อกูมีไม่เยอะ มีแต่ผักนะ เอามั้ย?”
“เอาหมดแหละครับ พี่มีอะไรมาเสนอผมก็เอาทั้งนั้นแหละ” พี่กันย์พูดอ้อนๆ เพื่อขอของฟรีจนพี่บอลหัวเราะออกมา แต่ไม่รู้ทำไมผมกลับไม่รู้สึกขำไปด้วยสักนิด
“ของผมก็มีนะ เอาของผมบ้างมั้ยล่ะครับ?” กว่าจะรู้ตัวผมก็เผลอพูดออกไปจนพี่กันย์หันมามองอย่างอึ้งๆ แต่พี่บอลกลับหัวเราะเป็นบ้าเป็นหลังไปแล้ว
“ของอะไรวะ?”
“พี่จะเอาอะไรผมก็มีทั้งหมดนั่นแหละ เพราะฉะนั้นไม่ต้องไปอาคนอื่นเลยครับ”
“เดี๋ยวนะมึง ใจเย็น กูไม่ได้จะไปเอาใครทั้งนั้น”
“เอ่อ…” ผมนิ่งไปทันทีที่เพิ่งรู้ตัวว่าพูดอะไรออกไป ผมแค่จะหมายความว่า …ถ้าพี่ต้องการเนื้อ ผมก็ซื้อมาให้แล้วก็เท่านั้น …มั้งครับ
“ไอ้เชี่ย! กูชอบ ฮ่าๆๆ”
“ชอบใครครับ?” ผมหันไปจ้องหน้าพี่บอลทันทีจนเจ้าตัวชะงักก่อนจะตอบกลับมา
“ชอบมึงไง” พี่บอลตอบก่อนจะชี้มาที่ผมอย่างงงๆ
“แล้วไปครับ” ผมถอนหายใจก่อนจะเอนตัวพิงพนักเก้าอี้แทน แต่คราวนี้กลับเป็นอีกคนที่โวยวายขึ้นมาแทน
“พี่ชอบมันไม่ได้ นี่แฟนผมเว้ย!”
“คือตกลงเป็นแฟนกัน?” คำถามของพี่บอลทำให้ทั้งผมทั้งพี่กันย์ชะงักก่อนบรรยากาศเขินๆ จะเข้ามาแทรกจนพี่บอลที่ดูเหมือนจะได้สติก่อนจะหัวเราะขึ้นมาอีกครั้งแล้วเดินออกไป
“กูล่ะปวดหัวกับพวกมึงจริงๆ ให้ตาย”
[Gun’s]
“งั้นเดี๋ยวผมไปเอาเนื้อที่รถมาให้นะครับ” ไอ้ปืนบอกก่อนจะยื่นมือมาขอกุญแจแล้วเดินออกไป ปล่อยให้ผมนั่งปวดหัวกับตัวเองที่ไม่รู้กลายเป็นคน ‘ขี้หวง’ จนถึงขั้นต้องออกโรงประกาศสถานะต่อรุ่นพี่ร่วมคณะซะขนาดนั้น
“ทำไมอยู่ดีๆ มีแฟนเป็นผู้ชายไปได้วะ? กูนึกว่ามึงชอบผู้หญิงซะอีก” พี่บอลที่เดินกลับมาพร้อมหม้อไฟฟ้าถามขึ้นก่อนจะวางหม้อไว้ตรงกลางโต๊ะอย่างขำๆ
“ไม่รู้ว่ะพี่ รู้ตัวอีกทีก็มีแฟนเป็นไอ้ปืนไปซะแล้ว” ผมตอบก่อนจะคิดถามอย่างสงสัยเหมือนกัน …นั่นดิ ทำไมอยู่ดีๆ ผมกับมันถึงได้มาเป็นแฟนกันวะ?
“แต่มึงก็โอเคใช่เปล่าล่ะ?” พี่บอลถามพลางเทน้ำซุปจากกาลงในหม้อให้พลางจัดแจงตั้งค่าความร้อนให้เสร็จสรรพ
“โอเคอะไรพี่?”
“กับแฟนมึงไง แบบไม่ได้รู้สึกแย่ หรืออึดอัดอะไรแบบนั้นใช้มั้ยวะ?”
“อืมม ก็ไม่นะ อยู่กับมันก็สบายใจดี มันเป็นคนตรงๆ อ่ะ มีอะไรก็พูดไม่ต้องคิดเองเออเอง เทคแคร์ เข้าใจ ไม่งอแง”
“โหวว โคตรประเสริฐ”
“จริงพี่” ผมยิ้มรับแล้วยิ่งยิ้มมากขึ้นไปอีกเมื่อคิดได้ว่าตั้งแต่ที่รู้จักกันมามันทำอะไรให้ผมบ้าง อาจจะเป็นเพราะความใส่ใจของมัน ความเข้าใจหรออะไรก็แล้วแต่ที่ทำให้ผมเปิดใจ แต่ตอนนี้ผมรู้แค่ว่าผมดีใจและรู้สึกขอบคุณมากขนาดไหนที่มีมันอยู่ข้างๆ ไม่ต้องมีเรื่องยิ่งใหญ่หรืออุปสรรคอะไรให้ฝ่าฟันกันมาเหมือนในหนัง แค่มีคนช่วยปลุกในวันที่มีส่งงาน มีคนช่วยตัดโมเดลบ้างเวลาที่มันไม่ทัน ขับรถให้เวลาที่ไม่ได้นอน มีเพื่อนไปเดินสยามหรือแค่นั่งๆ นอนๆ อยู่ในห้องในวันว่างๆ ผมว่าก็พอแล้วนะ … แค่นั้นก็พอ
“เนื้อครับ” ไอ้ปืนทักขึ้นก่อนจะวางกล่องโฟมไว้ที่โต๊ะข้างๆ อีกตัวก่อนจะดึงเอาเฉพาะแพ็คเนื้อออกมา ตัดถุงแล้วจัดใส่จานส่งมาให้
“ขอบคุณนะมึง” ผมบอกมัน รู้ในใจว่าคำที่บอกไปนั้นมันมากกว่าแค่เรื่องเนื้อที่มันส่งมาให้ เจ้าตัวพยักหน้ารับอย่างงงๆ ยิ้มตอบแล้วหย่อนตัวที่เก้าอี้ฝั่งตรงข้ามตามเดิม
“ไม่เป็นไรครับ” มันยิ้มตอบก่อนจะหันไปสนใจผักนานาชนิดที่คุณป้ายกตามมาให้ก่อนจะเริ่มเด็ดมันแล้วค่อยๆ ใส่ลงในหม้อสุกี้ตรงหน้าซึ่งก็เหมือนทุกครั้งที่ผักที่ผมชอบจะถูกจับโยนลงไปในหม้อจนเกือบเต็ม เหลือเพียงแค่ไม่กี่อย่างที่ผมไม่ค่อยชอบเท่าไหร่หนักอย่างพวกแครอทหรือเผือกก็จะลอยอยู่ประรายตรงหน้ามันแทน
“อยู่ด้วยกันไปนานๆ นะเว้ย” ผมบอกพลางคีบแครอทที่ต้มสุกแล้วชิ้นหนึ่งให้มันกลบเกลือนความเขินที่พุ่งขึ้นมา แต่ไม่ว่ายังไงผมก็อยากพูดมันออกไปอยู่ดี ไอ้ปืนชะงัก มองหน้าผมงงๆ ก่อนจะยิ้มออกมาเป็นรอยยิ้มยิ้มตาหยีประจำตัวที่เริ่มรู้สึกว่าหลงรอยยิ้มแบบนี้ของมันเข้าไปทุกวันๆ
“ครับพี่”
หลังจากที่มื้อเย็นจบลงพร้อมกับดวงอาทิตย์ที่ตกดินไปเรียบร้อย พี่บอลก็พาผมกับไอ้ปืนเดินมาตามทางที่ทำจากไม้ไผ่และยกสูงขึ้นจากพื้นเพื่อป้องกันช่วงเวลาน้ำหลาก ก่อนจะเจอเข้ากับบ้านไซต์กะทัดรัดหลังหนึ่งซึ่งพี่บอลบอกว่าชื่อบ้าน ‘ละอองดาว’ บ้านหลังนี้มีจุดเด่นสมชื่อคือระเบียงไม้ไผ่ที่ถูกยกสูงจนกลายเป็นเหมือนดาดฟ้าสามารถปีนขึ้นไปได้ด้วยบันไดลิงเล็กๆ ที่พาดอยู่ด้านข้างๆ …เอาไว้ดูดาว ก่อนจะพากันเดินเข้าไปในบ้านที่ตกแต่งด้วยโทนสีขาวและสีของไม้ไผ่ แถมด้วยไฟประดับดวงเล็กๆ ที่กระจายอยู่ทั้งมุมนั้นมุมนี้ให้ความรู้สึกสมชื่อ ‘ละอองดาว’ มากจริงๆ
“ชอบอ่ะดิ” ผมหันไปแซวไอ้เด็กข้างๆ ที่ดูเหมือนจะตื่นเต้นมากกว่า เพราะตั้งแต่เดินเข้ามามันก็เอาแต่จับนู่นจับนี่ไปทั่ว พลางเอาแต่พึมพำว่าน่ารักอย่างนั้น น่ารักอย่างนี้แถมยังขอซื้อพี่บอลไปอีกอย่างแจกันดอกไม้ที่ทำจากไม้ไผ่ดูท่ามันจะชอบมากจริงๆ
ไอ้ปืนมันชอบของน่ารักๆ อย่างพวกข้าวของบนโต๊ะทานข้าวที่หอมันนี่กระถางเซรามิกกระถามเล็กกระถางน้อยเต็มไปหมด เพราะฉะนั้นการตกแต่งของที่นี่ไม่ต้องพูดถึง สไตล์มันชัดๆ กลับไปนี่ห้องของมันต้องเต็มไปด้วยกระบอกไม้ไผ่แหงๆ ถ้ามันยังไม่ขอซื้อจากพี่บอลสักทีล่ะก็นะ
“มากๆ ครับ” มันยิ้มจนตาหยีพลางเดินไปที่ชิงช้าแขวนเพดานที่แขวนไว้ตรงปลายเตียงแทนที่จะเป็นโซฟาอย่างในโรงแรม
“หยุดคิดเลยมึง” ผมชี้หน้ามันอย่างรู้ทันเมื่อเจ้าตัวหันมาทำตาวิบวับให้
“เห็นมั้ยครับ มันแขวนได้จริงๆ นะ” มันย้ำ เล่นเอาผมได้แต่ส่ายหัวอย่างระอาแต่ก็อดพยักหน้ารับไปกับมันไม่ได้เมื่อมันเล่นเข้ามาบีบนวดเพื่อประจบซะขนาดนั้น สงสัยกลับไปคงได้แวะไป IKEA ก่อนกลับปีใหม่แน่ๆ ผมคิดอย่างขำๆ อย่างนึกภาพไม่ออกว่าผมจะเอาไอ้เปลอันใหญ่ที่มันอยากได้เข้าไปแขวนในห้องนอนมันยังไง
“ทุกอย่างโอเคนะ ถ้าคิดว่ามีส่วนไหนต้องปรับปรุงก็บอกได้เลย ถือว่าช่วยๆ กันดู พี่ก็มือใหม่มีอะไรพลาดไปก็ขอโทษด้วย”
“ขอบคุณมากครับพี่ พวกผมชอบมากจริงๆ” ผมถือโอกาสตอบแทนไอ้ปืนเพราะเจ้าตัวเอาแต่สนใจชิงช้าตรงปลายเตียงโดยไม่ได้สนใจคำพูดพี่บอลมากเท่าไหร่ …ดูก็รู้ว่าชอบมากขนาดไหน จะว่าไปก็ชักอิจฉาไอ้ชิงช้านี่ขี้นมาตงิดๆ แฮะ ไม่ซื้อให้ดีกว่ามั้งเนี่ย เดี๋ยวมันสนใจชิงชามากกว่าผม
“โอเค ที่นีมีกฎอยู่สามข้อนะ ข้อ 1 อย่าจุดเทียนหรือสูบบุหรี่ในบ้าน ผ้ากับไม้ไผ่มันเยอะ ติดไฟง่าย ระวังด้วยนะ ข้อ 2 ตอนกลางคืนปิดประตูหน้าต่างดีๆ กันพวกแมลงกับงูเงี้ยวเขี้ยวขอ ถึงแถวนี้จะไม่ค่อยมีแต่ระวังไว้ก่อนแล้วกัน ส่วนข้อสุดท้าย…” พี่บอลหยุดพูดไปนิดหนึ่งก่อนจะส่งยิ้มล้อเลียนมาให้แล้วเดินหนีไปปล่อยให้ผมกับไอ้ปืนมองหน้ากันตาปริบๆ ก่อนไอ้ปืนจะยิ้มร้ายออกมาจนผมต้องละสายตาไปแทน
“ผนังบ้านมันบางนะ ‘เล่น’ อะไรกัน เบาเสียงนิดหนึ่งก็ดี”
“มึงจะอาบน้ำก่อนรึเปล่า?” ผมตัดสินใจถามขึ้นหลังจากที่รู้สึกว่าห้องมันเงียบมานานทั้งทีความจริงพี่บอลเพิ่งเดินออกไปแท้ๆ ไอ้ปืนหันมามองผมงงๆ ก่อนจะหลุดขำออกมา
“ทำไมผมรู้สึกเหมือนผมล่อลวงพี่มาแล้วพี่พยายามจะหาทางออกด้วยการหนีไปในระหว่างที่ผมอาบน้ำล่ะครับ” คำพูดของไอ้ปืนทำเอาผมไปต่อไม่ถูกเพราะบางทีอาจจะจริงตามที่มันว่า …แต่ประเด็นคือจะให้กูหนีไปไหนวะ?
“อาบน้ำก่อนเถอะครับ เหนื่อยมาทั้งวัน” ไอ้ปืนบอกพลางยิ้มขำก่อนจะเดินมาทางผมที่ยืนอยู่ตรงที่กระเป๋าสัมภาระวางไว้พอดี มันก็เดินมาธรรมดาๆ นะ แต่ไม่รู้ทำไมผมรู้สึกว่าการเดินมาของมันครั้งนี้ทำเอาผมเสียวหลังแปลกๆ
“ใครจะอาบก่อน?”
“ถ้าตามบทแล้วต้องผมสินะครับ” มันถามขำๆ พลางรับผ้าเช็ดตัวผืนที่ผมรีบยื่นส่งให้มันเพื่อให้มันไม่ต้องเดินเข้ามาใกล้กว่านี้ แต่ผิดคาดเพราะมันยังเดินเข้ามาหาเรื่อยๆ ก่อนจะหยุดเมื่อหน้าของมันกับผมห่างกันแค่คืบ
“บทที่กูต้องอาบก่อนก็มีนะ” ผมพูดออกไปเพราะเริ่มรู้สึกไม่ปลอดภัยเข้าทุกที ถ้ามันโอเค ผมจะได้รีบชิ่งไปอาบน้ำ อย่างน้อย…ถึงหนีไม่ได้ก็จะได้มีเวลาเตรียมใจ
“ผมพี่ยาวแล้วนะครับ” คำพูดของมันทำเอาผมงงว่ามันเกี่ยวอะไรกับเรื่องก่อนหน้านี้ แถมมันไม่พูดเปล่าแต่ดันเอามือขึ้นมาเกี่ยวผมของผมไว้ก่อนจะทัดไปที่หลังใบหูอย่างแผ่วเบา …ทั้งๆ ที่มันแค่เกี่ยวผมแต่ใจผมนี่โคตรเต้นแรง
“กะ.. เกี่ยวอะไรกับเรื่องอาบน้ำวะ?”
“ไม่เกี่ยวหรอกครับ ผมแค่พูดในสิ่งที่เห็นเฉยๆ” มันบอกก่อนจะส่งยิ้มมุมปากมาให้ …มึงอย่ามายิ้มตอนนี้ ใจกูมันไม่ดีครับมึง
“อะ.. อือ”
“หูพี่แดงด้วย ผมเพิ่งรู้ว่านอกจากเวลาพี่เขินแล้วพี่จะเม้มปาก อ้อ เร็วๆ นี้เปลี่ยนมาเป็นกัดปากแล้ว หูพี่ยังจะแดงอีกด้วยนะครับเนี่ย” ผมสัมผัสได้ถึงความร้อนที่แตะลงบนใบหูก่อนจะรับรู้ได้ถึงแรงบีบเป็นระยะๆ จากส่วนบนไล่ลงมาจนถึงติ่งหูแล้วก็ย้ำอยู่อย่างนั้น
“ระ.. เรื่องของกูเปล่าวะ?” ผมพยายามพูดด้วยน้ำเสียงปกติแต่วินาทีนี้กลับห้ามไม่ให้เสียงสั่นไม่ได้เลยครับ ให้ตาย!
“เขินเหรอครับ เม้มปากแน่นขนาดนั้นเดี๋ยวเลือดก็ไม่เดินหรอก” สัมผัสร้อนๆ ที่ติ่งหูหายไปแล้วก่อนจะรับความรู้สึกใหม่ได้ตรงแถวๆ ริมฝีปากแทน …ไอ้เชี่ยปืน! กูไม่ได้เขิน กูเกร็ง มึงเข้าใจมั้ย กูเกร็งเว้ย! เอามือมึงออกไป
“ดะ..เดี๋ยวๆ มือมึงจะไปไหนวะเนี่ย? ใจเย็นครับมึง” ผมรีบตะครุบมือมันทันทีที่รู้สึกเหมือนตำแหน่งมือมันเปลี่ยนไปจากริมฝีปากลากไปคางไล่ลงไปต้นคอแล้วเริ่มต่ำลงไปจนเริ่มอยู่ไม่สุข …ใจกูนี่แหละครับอยู่ไม่สุข กระจัดกระจายหายไปดาวอังคารแล้วมั้งเนี่ย
“ก็ไปเรื่อยแหละครับ” มันยิ้มตาหยีก่อนจะค่อยๆ ชะโงกตัวเข้ามาจนผมต้องก้าวถอยหลังไปจนติดตู้เสื้อผ้าก่อนตัวมันจะทาบทับลงมา
“ผมให้เวลาพี่เตรียมใจสัก…สามวิ”
“สัด!” ผมเผลอสบถก่อนจะมองไปยังดวงตาคมๆ ที่ของมันที่มองจ้องมาพร้อมกับรอยยิ้มมุมปาก รู้สึกเป็นรุ่นน้องมันก็วันนี้เอง
“หนึ่ง”
“ใจเย็นดิวะ” ผมพยายามเอาน้ำเย็นเข้าลูบแต่ดูเหมือนจะไม่ได้ผล
“สอง”
“ไอ้ปืน..”สัมผัสได้ถึงลมร้อนๆ ที่ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ จนต้องหลับตา
“สาม”
“…” ไม่รอดแน่ๆ ครับ ผมขอลาตายหนึ่งวัน
ก๊อก ก๊อก ก๊อก…
“ใจเย็นครับพวกมึง ปิดประตูก่อนเนอะ” เสียงเคาะประตูที่ตามมาพร้อมเสียงพี่บอลทำให้ให้ปืนผละออกอย่างงงๆ ก่อนจะหมุนตัวกลับไปมองคนพูดที่ยืนส่งสายตายตาล้อเลียนมาให้อยู่หน้าประตู
“พี่บอล คือว่า…” ยังไม่ทันที่ผมจะได้หาตัวช่วยพี่บอลก็ยกมือขึ้นทำท่าจุ๊ปากให้เงียบลงก่อนจะพูดทิ้งท้ายไว้แล้วเดินหนีไปอีกรอบ
“คืนนี้บ้านหลังอื่นยังไม่มีคนเข้าพัก อนุญาตให้เสียงดังได้มากกว่าปกตินิดหน่อย คงไม่เป็นไร”
“พี่บอล!”
“หึ” ไอ้ปืนหัวเราะในลำคอก่อนจะหมุนตัวกลับมามองผมที่ตอนนี้แทบจะไหลลงไปกองกับพื้นซะให้รู้แล้วรู้รอด
“งั้นผมไปอาบน้ำก่อนดีกว่าครับ อย่าเพิ่งหนีไปไหนนะ” ไอ้ปืนพูดยิ้มๆ ก่อนจะพาดผ้าเช็ดขึ้นบ่าแล้วเดินไปทางห้องน้ำ
“ว่าแต่ว่า พี่ได้กลิ่นอะไรมั้ยครับ?”
“กะ..กลิ่นอะไรวะ?”
“กลิ่นเบอร์รี่” มันยิ้มจนตาหยีก่อนจะปิดประตูห้องน้ำลงปล่อยให้ผมยืนงงพลางคิดว่า …เบอร์รี่อะไรของมันวะ? พลันสายตาก็เหลือบไปเห็นอะไรบางอย่างที่หล่นออกมาจากกระเป๋าของมัน ขวดทรงกระบอกที่มีตัวอักษรบอกกลิ่นเด่นชัดอยู่ปรากฏอยู่บนพื้นสีแดง
‘Sweet Strawberry’
ชัดเลยครับ! ไอ้กล่องสี่เหลี่ยมนั่นอุตส่าห์เลือกแบบธรรมดาราบเรียบ ไม่มีกลิ่น ไม่มีสีมาแล้ว ทำไมถึงได้ไอ้ขวดนี่เป็นไอ้กลิ่นนี้มาได้อีกวะเนี่ย…
“ไอ้เชี่ยปืน แมร่ง!”
“รอเดี๋ยวสิครับพี่ ใจร้อนขนาดนี้เข้ามาอาบด้วยกันเลยมั้ยล่ะครับ?” คนที่ผมคิดว่ามันคงไม่ได้ยินกลับส่งเสียงตอบกลับมา แถมมันไม่ว่าเปล่าแต่ยังเปิดประตูออกมาชะเง้อหน้ามองผมตาปริบๆ อีกต่างหาก
“โหวว นี่พี่เล่นเตรียมเจลไว้พร้อมซะขนาดนั้น รีบเหรอครับพี่ ให้ผมออกไปเลยมั้ย?” ผมมองตามสายตาของมันจนมาหยุดอยู่ที่ขวดเจลที่ผมดันหยิบมาถือไว้ในมือก่อนจะหันกลับไปมองไอ้คนที่เอาแต่ยิ้มล้อๆ มาไม่หยุดอย่างหมั่นไส้ …เมื่อก่อนมันกวนตีนขนาดนี้เปล่าวะ?
“ส่วนถุงยางอยู่ในกระเป๋าด้านหน้านะครับ ถ้ารีบก็ลองเอาออกมาลองใช้ก่อนเล่นๆ ได้ ผมมีหลายอัน”
“ไอ้เชี่ยปืน!” ผมอุทานแก้เขินก่อนจะโยนขวดเจลทิ้งลงบนกองกระเป๋าอย่างไม่รู้จะทำหน้ายังไงดี
“ครับพี่?”
“กูจะทนไม่ไหวแล้วนะ” ผมแกล้งทำเป็นโมโหกลบเกลื่อน ก่อนไอ้ปืนจะหัวเราะออกมา
“เฮ้ยพี่! พี่ต้องอดทนสิครับ ผมยังอาบน้ำไม่เสร็จเลย” มันรู้ว่าผมพูดเรื่องอะไร แต่แมร่งก็ไปเรื่อยจนผมอยากจะเข้าไปฟาดมันเข้าจริงๆ สักที
“มึงออกมานี่เดี๋ยวนี้เลยมา” มันรู้ว่าผมพูดเรื่องอะไร แต่แมร่งก็ไปเรื่อยจนผมอยากจะเข้าไปฟาดมันจริงๆ สักที ถ้าไม่ติดว่าตัวมันหลังประตูในตอนนี้คงไม่มีอะไรห่อตัวอยู่ล่ะก็นะ ผมยังไม่อยากเห็นของแสลงก่อนถึงวัยอันควร และความจริงคือวัยอันควรกำลังจะมาถึงเร็วๆ นี้หลังจากมันอาบน้ำเสร็จนี่แหละ ฮือออ
“โอเคครับ ออกก็ออก ไม่ต้องอาบมันแล้วเนอะน้ำอ่ะ”
“ห๊ะ? เดี๋ยวดิ…” ผมชะงักทันทีที่ไอ้ปืนพูดจบก่อนตัวมันจะหายไปหลังประตูอีกครั้งก่อนจะเปิดออกมาใหม่พร้อมด้วยท่อนบนที่มีหยดน้ำเกาะพราวส่วนท่อนล่าง …ยังดีที่มันมีจิตสำนึกนุ่งผ้าเช็ดตัว
“เดี๋ยวอะไรล่ะครับ ไหนว่าไม่ทนแล้วไง” มันพูดพลางกระตุกยิ้มที่มุมปากก่อนจะย่างสามขุมตรงมาทางผม และรอบนี้ผมไม่ได้คิดไปเอง มันย่างสามขุมมาจริงๆ ครับผม
“มะ..ไม่! กูไม่ได้หมายความว่าอย่างนี้” ผมพยายามอธิบายมันแต่ดูเหมือนมันจะไม่ฟังอะไรนอกจากเดินเข้ามาประชิดตัวผมเรื่อยๆ
“แต่ตอนนี้.. ผมก็จะไม่ทนแล้วนะ” มันบอกในนาทีที่เดินมาหยุดตรงหน้าผมก่อนจะสอดแขนทั้งสองมารั้งเอวผมให้เข้าไปแนบชิดมัน
“เฮ้ย! เดี๋ยว…”
“ไม่เดี๋ยวแล้วครับพี่ มาถึงขั้นนี้ผมถอยไม่ได้แล้วนะ” กูก็ถอยไม่ได้แล้วเหมือนกันครับ เล่นดันมาจนหลังกูชนตู้เสื้อผ้าแล้วเนี่ย ไอ้เด็กเวร!
“ไอ้เชี่ยปืน! ใจเย็นโว้ยย…”
“หึหึหึ ยอมผมซะเถอะครับ พี่กันย์”ขอโทษค่า รอบนี้ดองนานกว่าทุกครั้งเลย รู้สึกผิดมากจริงๆ T_____T
ตอนแรกหายไปเพราะติดงานค่ะได้นอนตีสามตีสี่ตลอดเลย มีวันหนึ่งกลับหกโมงเช้าช่างน่าเศร้า
ตอนหลังหายไปเพราะติดเด็กกับนิยายค่ะ ไปติ่งมา สิงโตน่ารักมากจริงๆ -///////-
ในส่วนนิยายของเรานั้น... เขาจะได้กันแล้วค่ะ ฮิ้ววววว จริงๆ มันแอบยืดกว่าที่คิดไว้นิดหนึ่งด้วย
แต่คาดว่าทั้งหมดทั้งมวลอยากให้จบก่อนวาเลนไทน์ค่ะ เพราะตอนพิเศษตอนแรกที่แต่งไว้คือ วันวาเลนไทน์
อยากให้อ่านมาก เราชอบมาก แต่งเสร็จตั้งแต่ปีมะโว้ ยังไงช่วยรออ่านกันด้วยนะคะ ^________^
ขอบคุณมากที่ติดตาม
#ก็พี่มันเยอะ นะคะ
Zenzaii