ตอนที่ 30
“ที่นี่เขาเรียกกันว่าสระบัว ประติมากรรมโค้งๆ ตรงนั้นคือส่วนของสะดือพญานาค เดี๋ยวพอไปถึงหาดสมิหลาก็จะเห็นส่วนหาง ประติมากรรมนี้เขาจำลองให้เหมือนกับพญานาคกำลังมุดดินแล้วไปโผล่พ่นน้ำอยู่ตรงสวนสองทะเล” ไอ้คีนอธิบายให้ผมฟังขณะที่เรากำลังขี่รถช้าๆ เรื่อยๆ ไปตามทาง เพราะเวลาน้อยเราเลยไม่ได้แวะแต่ละที่นานนัก แต่จะใช้วิธีขับรถช้าๆ เพื่อถ่ายรูปซึมซับบรรยากาศมากกว่า
ไม่นานเราก็มาถึงส่วนหาง เพราะแต่ละที่ไม่ไกลกันมาก ขี่มอเตอร์ไซค์แป็บๆ ก็ถึง ไอ้คีนบอกว่าชายหาดขาวสุดลูกหูลูกตานี้เราเรียกว่าหาดสมิหลา ซึ่งเป็นที่ตั้งของนางเงือกทองที่เป็นสัญลักษณ์ของเมืองสงขลา เรียกได้ว่าใครมาสงขลาแล้วไม่แวะที่นี่แปลว่ามาไม่ถึงเมืองสงขลาอย่างแท้จริง
“เดี๋ยวแวะไปถ่ายรูปกับนางเงือก แล้วจะพาขึ้นเขาต่อ” ไอ้คีนพูดขึ้นพร้อมคว้ามือผมเพื่อจูงให้เดินตรงไปยังนางเงือกด้วยกัน
“นี่ เดินไปจับนมนางเงือกเร็ว” ไอ้คีนสะกิดบอก ผมที่กำลังยกกล้องขึ้นถ่ายนางเงือกเพลินๆ ถึงขั้นหันขวับไปมองอย่างไม่อยากจะเชื่อหูตัวเอง
“ทะลึ่ง!!” ผมแหวเข้าให้ รู้สึกหน้าร้อนวาบๆ ไม่รู้เพราะแดดหรือเพราะอะไร
“อะไร ใครทะลึ่ง มันเป็นความเชื่อที่อยู่คู่กับชาวสงขลามานานแล้วว่าถ้าใครมาสงขลาแล้วได้จับนมนางเงือก เขาว่าจะได้เนื้อคู่เป็นคนสงขลา มึงไม่อยากเป็นเนื้อคู่กับกูรึไง” ไอ้คีนพูดยิ้มๆ กูนี่ถึงกับหน้าร้อนวาบ รีบเก็บเศษหน้าแทบไม่ทัน
“เอาน่าน้องฟ่า ไอ้คีนมันแค่อยากเป็นเนื้อคู่กับน้องฟ่าเฉยๆ” พี่แม็คแซวขำๆ
“งั้นพี่แม็คก็ให้ฟางจับด้วยดิ จะได้เป็นเนื้อคู่กับพี่แม็คด้วย” ผมไม่ยอมแพ้ พูดกระทบไปถึงคนที่ยืนหันกล้องถ่ายรูปอย่างเพลิดเพลิน
“คนนี้ไม่ต้องจับนมนางเงือกพี่แม็คก็ไม่ยอมปล่อยให้หลุดมือไปไหนหรอกคร้าบบบ รักขนาดนี้แล้ว” น่าขำคนที่แกล้งทำเป็นไม่ได้ยินประโยคที่พี่แม็คพูด เพราะยังทำไม่รู้ไม่ชี้ถ่ายรูปต่อ แต่หูแดงๆ ที่เห็นก็ไม่สามารถปิดบังได้ว่าฟางได้ยินประโยคเมื่อกี้ของพี่แม็คชัดแจ๋ว
“เอาน่า ไหนๆ ก็มาถึงนี่แล้ว จับแล้วถ่ายรูปเป็นที่ระลึกหน่อย เป็นการถือเคล็ดเอาฤกษ์เอาชัยเว้ย” พี่แบงค์ว่าพร้อมกับดันตัวพี่โมไปข้างหน้าให้แกปีนโขดหอนไปจับนมนางเงือก พี่โมหันมามองพี่แบงค์ชี้นิ้วเข้าหาตัวเองเหรอหรา
“กูเองก็ด้วยหรอ”
“เออสิ ทุกคนนี่แหละ อยากมาเป็นสะใภ้เมืองสงขลาก็ตองทำทุกคน” พี่แบงค์ยักคิ้วตอบกวนๆ
“ไอ้ห่าแบงค์ กูมาทุกทีจับทุกทีจนจะเป็นไอ้โรคจิตอยู่แล้วมึง!!”
“เอาน่า เราจะได้เป็นเนื้อคู่กันทุกชาติไปไงที่รัก” พี่แบงค์ตอบทะเล้น แต่ก็ไม่ยอมหยุดดันพี่โมสักที พี่โมเองก็แลดูเหมือนจะขัดขืนแต่ก็ไม่จริงจังสักเท่าไหร่
“มึงเองก็ด้วย ไปเลยหลังจากไอ้โมน่ะ” ไอ้คีนที่ไม่รู้ไปยืนซ้อนหลังผมเมื่อไหร่กระซิบบอกเบาๆ ผมรีบส่ายหน้าแรงๆ จนผมปลิว คือ. . .จะว่ายังไงล่ะ ถึงผมจะเป็นเกย์ ถึงนางเงือกจะเป็นรูปปั้น แต่อยู่ๆ จะให้ไปจับนมมันก็. . . “น่านะ แค่แป็บเดียว” ไอ้คีนทำเสียงอ้อน ง่ะ อย่าทำเสียงแบบเน้ เดี๋ยวปั๊ด. . .ยอมเลยแม่ง “นะๆ ไม่ต้องถ่ายรูปก็ได้ แค่ไปจับสักสองวิก็ได้” ทุกคนดู๊ ดูมัน ถ้าจะอ้อนกันขนาดนี้
“ขึ้นลิฟต์เหอะ ไม่งั้นกูว่าได้มีคนเป็นลมก่อนได้ขึ้นไปถึงข้างบนแน่” พี่แม็คเสนอขึ้นมา ตอนนี้พวกเรามาถึงเขาตังกวนกันแล้วครับ และกำลังตกลงกันว่าจะขึ้นบันไดหรือจะขึ้นลิฟต์ดี ส่วนเรื่องราวที่แหลมสมิหลาเมื่อกี้ ให้ทายครับว่าสุดท้ายผมได้จับนมนางเงือกมั้ย คำตอบคือ. . .จับครับ ก็ใครมันจะไปทนได้ล่ะ ไอ้คีนเล่นอ้อนอยู่ข้างหูขนาดนั้น หลังจากนั้นก็ไม่มีอะไรมาก มันชี้ให้ผมดู เกาะหนูที่ใหญ่กว่าเกาะแมว พร้อมเล่าตำนานคร่าวๆ ให้ฟัง (**ใครอยากรู้เสิร์ชหาใน google เลยนะจ๊ะ ตำนานเกาะหนูเกาะแมว**)
“แต่ฟ่าอยากขึ้นบันไดอ่ะ” เห็นไอ้คีนบอกว่าร้อยสี่สิบห้าขั้นมันคงไม่เหนื่อยอะไรมากมายหรอก
“ใช่ๆ ถ้าขึ้นลิฟต์เราก็ไม่ได้ซึมซับบรรยากาศธรรมชาติระหว่างทางสิครับ” ฟางเองก็พยักหน้าเห็นด้วยกับผมก่อนจะหันหน้าใสๆ ตาโตๆ ไปบอกพี่แม็ค
“จริงด้วยที่รัก พี่นี่มันแย่จริงๆ เลยเนอะ ไม่ทันคิดว่าน้องๆ คงอยากจะเดินไปถ่ายรูปไป ถ้าขึ้นลิฟต์มันจะไปเห็นได้ยังไง” พี่แม็คที่ไม่ค่อยจะหลงเมียก็รีบกลับลำแทบไม่ทัน เรียกได้ว่าพลิกลิ้นกันเลยทีเดียว
“งั้นก็ได้ เดินขึ้นบันไดก็ได้ แต่อย่ามีใครมาบ่นเมื่อยให้ได้ยินทีหลังละกัน” ไอ้คีนชี้หน้าคาดโทษ ผมแลบลิ้นใส่มันแล้ววิ่งนำถือกล้องขึ้นบันไดคนแรก ฟางเองก็วิ่งตามมาเหมือนกัน
“แฮ่กๆ ฟาง มีน้ำมั้ย” เดินกันได้สักพักก็รู้สึกเหมือนจะหมดไฟ จากตอนแรกวิ่งขึ้น ก็เริ่มเดิน แล้วก็กลายเป็นเดินช้าลงๆ แล้วดูเหมือนจุดหมายก็ยังไกลลิบกว่าจะถึง
“มี แฮ่กๆ” ฟางเองก็สภาพไม่ต่างจากผมเท่าไหร่ หอบแฮ่ก แทบคลานอยู่แล้ว แต่ก็ยังอุตส่าห์หยิบน้ำขวดจากกระเป๋าสะพายใบเล็กๆ ที่สะพายมาด้วย ผมรับมาดื่ม เหลือบตามองไปด้านหลัง เห็นพี่ๆ เขาเดินกันไป คุยกันไป หัวเราะกันไปท่าทางไม่เหมือนคนที่กำลังเดินขึ้นบันไดร้อยกว่าขั้นสักนิด
“สู้ๆ อย่าให้ใครมาหัวเราะเยาะเรา!!” ดูเหมือนฟางเองก็เห็นเหมือนที่ผมเห็น เพราะพูดประโยคนี้ขึ้นพร้อมชูกำปั้นให้กำลังใจเรียกแรงฮึด ผมเองก็ชูกำปั้นตอบไป ก่อนที่เราสองคนจะหันหน้ากลับมาลุยบันไดที่ไม่รู้เหลืออีกกี่ขั้นกว่าจะถึงบนยอดเขา
“ฮุ่ยเลฮุ้ย ฮึบ!! ถึงแล้ว” ในที่สุด!! ตนนี้ผมก็ได้มายืนอยู่บนยอดเขาตังกวนสักที ลมเย็นๆ กับบรรยากาศโดยรอบทำให้ความเมื่อย ความเหนื่อยที่ต้องเดินขึ้นบันไดเกือบร้อยห้าสิบขั้นหายวับไปในพริบตา
“มองจากตรงนี้ก็จะเห็นทั้งทะเลสาบและทะเลอ่าวไทย” ไอ้คีนเดินมาพูดพร้อมๆ กับหมวกสานใบโตที่ถูกครอบลงบนหัวของผม ผมหันไปยิ้มขอบคุณแล้วกดชัตเตอร์กล้องไปเรื่อยๆ
“สวยเนาะ อยู่แต่กรุงเทพฯ เที่ยวแต่ห้าง ได้มาเดินดูธรรมชาติ ชมทะเลแบบนี้ก็ดีอีกแบบ” ผมบอกยิ้มๆ อย่างที่รู้ผมเป็นคนชอบทะเลมาก ยิ่งที่นี่เป็นทะเลที่เป็นบ้านเกิดไอ้คีนผมยิ่งชอบ
“เดี๋ยวจะพาไปเดินเล่นหาอะไรกินที่ถนนนางงาม แล้วก็กลับบ้าน คืนนี้จะพาไปค้างโฮมสเตย์เกาะยอ” ผมพยักหน้าหงึกหงักรับรู้ แล้วพวกเราก็ถ่ายรูปชมวิวกันอีกสักพัก ก็พากันลง (เดินลงบันไดเหมือนเดิม แต่เพราะมันเป็นขาลงไง เลยไม่อะไรมาก) จากนั้นก็ขับรถพากันไปถนนนางงาม
.
.
.
ตอนนี้เรามาถึงถนนางงามกันแล้ว แถวนี้เรียกได้ว่าเป็นย่านเมืองเก่าของสงขลา ตึกรามบ้านช่องต่างๆ จะคงไว้ซึ่งรูปแบบเดิม อาจจะมีการซ่อมบำรุงบ้าง แต่ก็จะพยายามรักษาเค้าเดิมไว้ให้มากที่สุด
ก่อนจะไปหาอะไรกินกัน พี่แบงค์เขานำเสนอมากว่าอยากให้พวกเราได้ชื่นชมความงามของสตรีทอาร์ตที่ถ่ายทอดถึงวิถีชีวิตของชาวสงขลาในอดีต ซึ่งเป็นผลงานของอาจารย์และนักศึกษาจากคณะศิลปกรรมจากมหาวิทยาลัยติดทะเลแห่งหนึ่งของเมืองสงขลา
ภาแรกที่พี่ๆ พาดูคือภาพจำลองของร้านน้ำชา ‘ฟุเจา’ ที่มีชายสูงวัยสามคนกำลังนั่งดื่มน้ำชา อ่านหนังสือพิมพ์และพูดคุยกันอย่างมีความสุข
ภาพต่อมาคือภาพของเด็กชายที่กำลังนั่งคุยกับทหารญี่ปุ่น ซึ่งภาพนี้เกี่ยวโยงไปถึงภาพที่สามที่เป็นรูป โรงสีแดง เรียกว่า ‘หับ โห้ หิน’ เนื่องจากเมื่อสมัยสงครามโลกครั้งที่สอง ญี่ปุ่นใช้สงขลาเป็นเมืองท่าขึ้นบก ได้ยึดโรงสีแดงนี้เพื่อเก็บเสบียง
สงขลายังมีสตรีทอาร์ตอีกากมายที่อยู่ถนนสายอื่น และกำลังทยอยวาดเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ แต่พวกเราชมกันแค่นี้เพราะนี่ก็บ่ายมากแล้ว
หลังจากนั้นพวกเราก็พากันไปกิน ‘ไอติมโอ่ง’ คลายร้อน เห็นพี่โมบอกว่าอยากกินไอติม ‘ไข่แข็ง’ มากกว่า ตอนแรกผมกับฟางพากันหน้าแดงกันใหญ่เพราะคิดว่าพี่แกทะลึ่ง แต่ที่ไหนได้ มันคือไอศกรีมที่ใส่ไข่เข้าไปครับ เห็นพี่โมบอกว่าตอนแรกไม่กล้ากินเพราะคิดว่าจะคาว แต่พอลองแล้วกลับติดใจซะงั้น
แต่ที่มากินไอติมโอ่งแทนนี่เพราะคะแนนโหวตครับ ฮ่าๆ คนี่โหวตให้ไอติมโอ่งมีมากกว่า คำขอของพี่โมเลยตกไป ไอติมโอ่งก็เป็นไอศกรีมกะทิทั่วไป ราดโอวันติลข้างบน คล้ายจะธรรมดา แต่ที่ไม่ธรรมดาเพราะมันใส่โอ่งไงครับ!! แต่ไม่ใช่โอ่งมังกรนะ นั่นก็เกรงว่าจะกินกันไม่ไหว โอ่งที่ใช้ใส่เนี่ย เป็นโอ่งใบเล็กๆ ขนาดประมาณแก้วไวน์น่ะครับ ที่นี่เขามีให้เลือกหลายแบบทั้งแบบธรรมดา ยกล้อ(ใส่โค้กครับผม) เรนโบว์(ก็เป็นสีรุ้ง) และอีกหลากหลายเมนูจนจำแทบไม่หมด แต่ที่ผมชอบมากก็คือเครื่องเคียงที่ใช้กินกับไอติมครับ มีทั้งกล้วยหอมทั้งยาวทั้งใหญ่ (ห้ามใครคิดทะลึ่งนะ!!) และลูกชิ้นปลาสูตรลับของทางร้านที่บอกได้เลยว่าสุดยอดครับ (คนเขียนไม่ได้ค่าโฆษณานะบอกก่อน แต่เพราะชอบ เป็นร้านประจำเลยน่ะสมัยเรียน อิอิ)
กินไอติมก็ต้องมีน้ำเปล่าแก้เลี่ยนใช่มั้ยครับ ที่นี่ก็มี ต้องบริการตัวเอง คือลุกขึ้นไปกดน้ำเอง แต่ที่น่ารักคือภาชนะที่ใช้ใส่น้ำ จะเป็นขันเล็กๆ เล็กขนาดที่ว่าวางบนฝ่ามือยังไม่ค่อยเต็มเลย ฮ่าๆ รอบๆ ขันก็มีลวดลายสวยงาม อารมณ์คล้ายๆ กับขันที่เขาใช้กันสมัยโบราณน่ะ
หลังจากอิ่มหนำสำราญและได้คลายร้อนกันแล้ว เราก็เดินเที่ยวชมกันต่อ อยากจะบอกว่าผมนี่แวะเกือบทุกร้าน จนของฝากเต็มมือ(ไอ้คีน)ไปหมด ความน่ารักของย่านนี้ก็คงจะเป็นถ้าตัดเสียงรถออกไป จะเหมือนกับว่าเราหลุดเข้าไปอีกภพหนึ่ง เว่อร์มั้ย ฮ่าๆ แต่เป็นความจริงครับ มันเหมือนเราได้ย้อนกลับไปยุคสงครามโลกเลย วันนี้ผมเลยประทับใจที่นี่ที่สุด
เดินเล่นกันสักพักก็เหมือนจะถึงเวลาอาหารเย็น เมื่อกี้แม่โทรมาถามว่าจะกลับไปกินที่บ้านมั้ย แต่พวกเราตกลงกันก่อนหน้านี้แล้วว่าจะพากันไปกินที่ชายหาด ไอ้คีนเลยบอกแม่ว่าไม่ต้องทำเผื่อ
ร้านที่พี่ๆ เขาพามากินไม่ใช่ร้านหรูอะไรหรอกครับ เป็นร้านของรุ่นพี่ ชื่อพี่ดล ตอนแรกผมก็งงว่าจะกินข้าวกันริมหาด แต่ดันพาเข้าร้านอาหารที่อยู่ห่างจากชายหาดพอสมควร แต่พอเห็นไอ้คีนสั่งอาหารแล้วหยิบเสื่อที่ทางร้านมีไว้ให้ ก็เป็นอันเข้าใจว่าทางร้านมีบริการส่งอาหารให้สำหรับลูกค้าที่ต้องการกินข้าวแบบชิลๆ ที่ริมหาด
“เป็นไงกันบ้างเด็กๆ วันนี้ โอเคกันมั้ย” พี่แม็คถามหลังจากที่เราปูเสื่อนั่งลงกันเรียบร้อยแล้ว ไม่ต้องหาที่ร่มอะไรมาก เพราะตอนนี้แดดร่มลมตก อากาศกำลังดี
“โอเคมากกกกกกกก เลยต่างหากพี่แม็ค” ผมบอกพลางยกนิ้วโป้งให้ วันนี้สนุกมากจริงๆ ถึงแม้จะรอนบ้าง แต่สิ่งที่ได้เห็น ได้กิน มันทำให้ลืมหงุดหงิดเรื่องอากาศไปเลย
“ช่ายยยย ฟางก็ชอบ” ฟางบอกพร้อมยิ้มน้อยๆ ให้พี่แม็ค
“ถ้าชอบก็มากับพี่ทุกปีเลยนะ” พี่แม็คบอกแฟนตัวเองอ้อนๆ ส่วนพวกเราก็นั่งมองคู่นั้นอ้อนกันแซวๆ
“ฟางอ่ะมาได้ แต่กลัวว่าพี่แม็คอ่ะดิ จะอยากเปลี่ยนคนมาด้วยรึเปล่า คนเจ้าชู้” ฟางว่าพลางย่นจมูกใส่พี่แม็ค มือเล็กๆ นั่นก็บีบจมูกพี่เขาไปด้วย ท่าทางฟางจะหมั่นไส้พี่แม็คมากนะผมว่า
“โอ้ยยยย ที่รักคร้าบบบบ เจ้าชงเจ้าชู้อะไร พี่ไม่ใช่ไอ้โมน้าาาาาา”
“เอ๋า ไอสัด กูอุตส่าห์นั่งเงียบๆ” พี่โมที่จิบโค้กอยู่แทบจะสำลักออกมา ก่อนจะหันไปหาพี่แบงค์ “กูเลิกแล้วนะเว้ย” พี่แบงค์ไม่ตอบอะไร พี่แกแค่ส่ายหน้า หัวเราะน้อยๆ พร้อมลูบหัวพี่โมอย่างอ่อนโยน ประมาณว่าพี่แกยังไม่ได้ว่าอะไร
“ไม่ต้องไปโยนให้เพื่อนเลยพี่แม็ค ตอนเข้าห้องน้ำเมื่อกี้ฟางเห็นนะ ไลน์น่ะ” เอาแล้วครับ เรื่องของครอบครัวคนอื่นเราจะไม่ยุ่ง แต่เราจะเก็บข้อมูลอย่างเงียบๆ แทน อิอิ
“เจ้ย! เห็นได้ไงวะ” ยิ่งพี่แม็คพูด ฟางยิ่งถลึงตาใส่ “ไม่มีอะไรครับที่รัก ก็ไม่รู้พี่หญิงที่ไหนไลน์มา แต่พี่แม็คไม่ได้สนใจอะไรเลยนะ พอเห็นปุ๊บก็รีบบล็อกเลย ไม่ได้ตอบ ไม่ได้เปิดอ่านด้วย ถ้าที่รักไม่เชื่อจะเช็คก็ได้นะ” พี่แม็คทำตาใส กระพริบตาอ้อนๆ แก้ตัวเป็นพัลวัน ตบกระเป๋ากางเกงแปะๆ เพื่อหาโทรศัพท์
“ไม่ต้องหรอกครับ ฟางเชื่อพี่แม็ค ฟางคิดว่าพี่แม็คน่าจะรู้ดีที่สุดว่าควรทำตัวยังไง” ฟางบอกพร้อมยิ้มให้ แต่ไม่รู้ทำไม ผมกลับรู้สึกเสียวสันหลัง เยือกเย็นแปลกๆ กับร้อยยิ้มนั้นแทนพี่แม็คไม่ได้
“คร้าบบบบบบ เมียพี่น่ารักขนาดนี้ใครจะกล้าล่ะ” แล้วพี่แม็คก็อ้อนฟางต่อ งุ้งงิ้งๆ กันอยู่สองคน จนอาหารมาถึงในที่สุด พวกเราช่วยเด็กส่งอาหารเรียงของกินไว้บนเสื่อ
“ทานเสร็จแล้วโทรเข้าเบอร์ร้านได้เลยนะครับ จะมีเด็กมาเคลียร์ที่ให้” เด็กส่งอาหารบอกก่อนจะกลับร้านไป
“อ่ะ” ผมแกะกุ้งใส่จานให้ไอ้คีน มันเองก็แกะปูให้ผม ได้กนอาหารทะเลสดๆ กับบรรยากาศเย็นๆ ริมทะเลแบบนี้ อยากจะบอกว่ามันดีมากเลยอ่ะ
หลังจากกินเสร็จ เด็กมาเก็บจานเคลียร์ที่เรียบร้อยแล้ว พวกเราก็พากันกลับ เพราะเมฆฝนเริ่มตั้งเค้า ที่จะไปโฮมสเตย์ก็เป็นอันยกเลิกเพราะถึงไป ถ้าฝนตกมันก็ไม่สนุกอยู่ดี
.
.
.
“ว้าย เปียกมอล่อกมอแล่กมากันเชียวลูก ตาคีนนี่น่าตีจริง พาน้องตากฝนทำไมลูก ทำไมไม่พากันหลบฝนก่อน” แม่ร้องขึ้นทันทีที่เห็นพวกเราเยี่ยมหน้าเข้าไปในบ้าน เพราะทั้งผมทั้งไอ้คีนเปียกกันกลับมาทั้งคู่ เนื่องจากพอเราแยกย้ายกันปุ๊บขับมาได้ไม่ถึงครึ่งทางฝนก็เทลงมา ตอนแรกไอ้คีนจะจอด แต่ผมไม่ยอม อยากถึงบ้านเร็วๆ มาอาบน้ำดีกว่า “รีบขึ้นไปอาบน้ำอาบท่ากันลูกจะได้พักผ่อน เดี๋ยวแม่เอายาขึ้นไปให้” ผมกับไอ้คีนรีบทำตามคำสั่งของแม่เพราะตอนนี้ก็ชักจะหนาวๆ ขึ้นมาแล้ว
“เอ้านี่ รีบเข้าไปอาบ เดี๋ยวกูไปอาบอีกห้อง” มันส่งผ้าขนหนูสีขาวผืนหนาให้ผม พร้อมกับเอาอีกผืนพาดไหล่ทำท่าจะเดินออกไปจากห้อง แต่ผมไวกว่ารั้งแขนมันไว้ก่อน
“ไม่อาบด้วยกันที่นี่เลยล่ะ”
มันยิ้มทำตากรุ้มกริ่มใส่ผม ยื่นหน้าเข้ามาใกล้ๆ พร้อมกับกระซิบประโยคที่ทำให้ผมอยากจะทุบหลังให้หักกันไปข้าง
“อยากหรอ? ไม่ได้หรอกนะ เดี๋ยวแม่มา”
“ทะลึ่ง!!” ผมรีบสวนกลับไปแต่หน้านี่ร้อนผ่าวไปหมด ตัดกันอุณหภูมิในห้องที่หนาวเย็นเพราะฝนและเครื่องปรับอากาศ “รีบไปเลย จะไปอาบห้องไหนก็ไปเลยนะ” ผมดันหลังมันไปทางประตูห้อง มันก็หัวเราะอารมณ์ดี ยอมออกไปง่ายๆ
แม่ง. . .
คนเขาหวังดีเลยชวนอาบน้ำด้วยกันจะได้ช่วยกันถูหลัง(?) แต่ดันมาทะลึ่งคิดลามกซะได้
คนบ้า -/ / /-
หลังจากอาบน้ำเสร็จออกมาก็เห็นไอ้คีนนั่งอยู่บนเตียงก่อนแล้ว ผมเช็ดหัวตัวเองไปด้วย หาเสื้อผ้าไปด้วย ได้เชิ้ตตัวใหญ่มาตัวหนึ่ง การแต่งชุดนอนแบบนี้เป็นสไตล์ของผมไปแล้วเพราะแฟนชอบเลยใส่ตลอด เขินจุง ฮิฮิ
“แม่เอายามาให้แล้ว” ผมสะดุ้งเพราะติดกระดุมเสื้ออยู่ดีๆ มันก็มายืนซ้อนด้านหลัง ก่อนจะเอื้อมมือมาช่วยติดกระดุมให้ ท่านี้นี่มัน. . .-/ / /-
พอเรียบร้อยมันก็เดินไปที่โต๊ะข้างเตียงหยิบยาพร้อมน้ำส่งมาให้ผม ผมก็รับมากินง่ายๆ ไม่อิดออดเพราะกลัวตัวเองจะป่วยเหมือนกัน
“นอนเลยมั้ย” มันถาม ผมพยักหน้า เพราะอากาศเย็นๆ แบบนี้มันทำให้ผมอยากซุกตัวอยู่แต่ในผ้าห่มแล้วเข้าเฝ้าพระอินทร์ไปซะ
ไอ้คีนขึ้นไปบนเตียงก่อน มันเลิกผ้าห่มขึ้น ล้มตัวลงนอนแล้วตบอกตัวเองปุๆ เป็นเชิงให้ผมขึ้นไปนอนซบ ผมยิ้มและรีบขึ้นตามไปทันที
ความอบอุ่นที่ได้รับทำให้ผมหลับไปในเวลาไม่นาน. . .
ได้โปรดอ่านทอล์ก
สวัสดีค่ะทุกคน รอบนี้ก็หายไปเป็นเดือนอีกแล้ว เล่นเอาไม่กล้ากลับมาอ่านคอมเม้นเลย กลัวโดนด่า 555555
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นที่เราหายไปเราก็มีเหตุผลนั่นแหละค่ะ
เหตุผลไม่ใช่อะไร มันก็คือสภาพจิตใจเราเองนี่แหละ ช่วงปีที่ผ่านมา ชีวิตเรามีแต่มรสุมเข้ามาไม่หยุดหย่อน เครียดจนฟุ้งซ่าน ทำอะไรไม่ได้ ไม่มีกะจิตกะใจ ไม่ได้เปิดแม้แต่หน้าเวิร์ดเพื่อแต่งนิยาย
จนปีใหม่ที่ผ่านมา มีโอกาสได้คุยกับเพื่อน เราก็ระบายให้มันฟังถึงปัญหาทุกๆ อย่าง (เพื่อนเราคนนี้คือคนที่ช่วยตรวจทานนิยายเรื่องนี้ให้เรา) ที่ได้คุยกันเพราะมันมาทวงแทนคนอ่าน (มันไม่ใช่สาววายนะ แต่ยอมอ่านของเรา 55555) ตามบทสนทนาดังนี้
เรา : มึง กูไม่ไหวแล้วว่ะ อยากจะบ้า
เพื่อน : ถ้ามึงเครียดขนาดนี้ทำไมไม่ทำอะไรที่มันทำให้มึงมีความสุขล่ะ
เรา : อะไรล่ะวะ
เพื่อน : สิ่งที่มึงทำแล้วมึงมีความสุข คนอื่นก็มีความสุข
เรา : เอ๋า ก็มันอะไรล่ะ (ยังไม่เก็ท55555)
เพื่อน : มึงลองไปเปิดคอมดูสิ เปิดดูว่ามึงลืมความสุขอะไรไป
ถึงตรงนี้เราร้องไห้เลย ยอมรับว่าคิดถึงมากๆ อยากแต่งมากๆ แต่เพราะสภาพจิตใจเราไม่พร้อม เรากลัวว่าแต่งไปแล้วมันออกมาไม่ดี คนอ่านจะเสียใจ แต่เพราะคุยกับเพื่อนมันทำให้เรารู้ว่าการที่ทิ้งให้คนอ่านรอมันทำลายความรู้สึกกันมากกว่า เราก็เลยกลับมาจับคอมแต่งนิยายอีกครั้ง และจะทำออกมาให้ดีที่สุด ถ้าไม่สนุกก็ได้แต่หวังว่าคนอ่านทุกคนจะให้อภัย
ต่อไปนี้เราก็ไม่รับปากว่าจะมาได้บ่อยแค่ไหน แต่เราจะพยายามให้ถึงที่สุด เพื่อความสุขของเรา ความสุขของคนอ่าน
หวังว่าจอยู่ด้วยกันไปเรื่อยๆ นะคะ
ปล. ที่จริงมีรูป แต่เราแปะไม่เป็นจริงๆ