ตอนพิเศษ
Inn
อ้อมกอดนั้นมันเคยเป็นของฉัน...แต่เขากำลังจะหยิบมันไปผมเคยเกลียดหมอนั่น นายทศกัณฑ์ผู้ซึ่งแย่งคนที่รักของผมไป ทั้ง ๆ ที่คิดว่าเก็บน้องไว้ดีแล้ว ล้อมกรอบเอาไว้มีคนคอยเฝ้าดูอยู่ตลอดเวลาแต่สุดท้ายก็หลุดมือไปจนได้ หลายคนชื่นชมผมด้วยรูปลักษณ์ ฐานะและสิ่งที่ผมแสดงออกไปไม่แปลกหากมีคนส่วนใหญ่เข้าข้างแม้ที่จริงแล้วสิ่งที่ผมทำมันผิด
ผมเกือบเป็นฆาตกรถึงจะไม่ใช่คนลงมือแต่ต้นเหตุก็เกิดมาจากตัวผม เพราะความดื้อดึง ความเห็นแก่ตัวที่จะเอาน้องกลับมา ทำร้ายทุกคนไม่เว้นแม้กระทั่งคนที่ผมรัก ภาพน้องร้องไห้ปานจะขาดใจพยายามวิ่งเข้าไปหาร่างโชกเลือดนั้นยังติดตาผมมาจนถึงทุกวันนี้ มันทำให้ผมต้องยอมรับความจริงที่ว่า...
ความรักของน้องไม่ใช่ผมอีกต่อไปแล้วสายตาที่มองมาที่ผมช่างว่างเปล่าแต่ในนั้นกลับเจือความเกลียดชังรวมเข้าไปด้วย เคยคิดเสมอว่าต่อให้ถูกเกลียดแต่ถ้าได้กลับมาอยู่ในอ้อมกอดก็ไม่เป็นไร แต่เปล่าเลย...หัวใจของผมทนรับสายตาเกลียดชังจากน้องไม่ไหว สายตาที่ชี้ชัดว่าทุกอย่างเป็นเพราะผมและสิ่งที่ทำให้ผมกลัวคือในแววตานั้นผมรู้ดีว่าถ้าคนที่อยู่ในห้องไอซียูนั้นเป็นอะไรขึ้นมา
น้องพร้อมที่จะตามหมอนั่นไปในทันที สิ่งที่ผมกลัวเพียงอย่างเดียวคือการที่โลกนี้ไม่มีน้องอยู่ มันทำให้ฉุกคิดได้ว่าสิ่งที่ทำลงไปช่างร้ายกาจ ไม่มีใครได้รับประโยชน์จากการกระทำของผมสิ่งที่ทำได้ในตอนนี้คือยอมรับความจริงและปล่อยมือ
ผมภาวนาให้หมอนั่นปลอดภัยเพราะอย่างน้อยมันก็เป็นตัวชี้วัดว่าน้องจะยังมีชีวิตอยู่ ความรักของผมเคยเป็นสิ่งที่น้องต้องการและผมเลือกที่จะปิดหูปิดตาคิดเสมอว่าความรักที่มีมันส่งไปถึงและน้องยินยอมที่จะรับมันเอาไว้ แต่วันนี้...ผมต้องยอมรับว่ามีความรักที่มากกว่าของผมพร้อมที่จะมอบให้น้องและน้องก็เต็มใจอย่างยิ่งที่จะรักษามันเอาไว้
มันยากที่จะยอมรับแต่สุดท้ายผมก็หนีความจริงไม่ไหว ยอมรับความผิดถึงแม้ว่าจะไม่ได้รับการให้อภัยก็ไม่เป็นไร คนอย่างผมสมควรแล้วที่จะไม่เหลือใคร ไม่เคยรักษาใครไว้ได้เลยสักครั้ง ทั้งอาม่าทั้งน้อง
“ไหวไหม” ผมส่ายหัวให้กับน้ำเสียงห่วงใย ตุลย์นั่งลงข้าง ๆ เงียบไปหลังจากที่ถามมีเพียงสัมผัสอุ่นตรงหัวไหล่ที่ช่วยยืนยันว่าเขายังอยู่ตรงนี้
“บีสท์ปลอดภัยนะ คริษฐ์โทรมาบอกแล้ว” มินเดินกลับเข้ามาในห้องเอ่ยบอกเสียงตื่น ผมถอนหายใจยาวด้วยความโล่งใจ ขอบคุณทุกอย่างที่ทำให้หมอนั่นกลับมา
“อืม”
“จะทำไงต่อไป” มินถามพร้อมกับนั่งลงตรงที่ว่างอีกฝั่ง
“ไม่รู้สิ”
“ควรไปขอโทษนะ” ตุลย์เอ่ยขึ้น ผมพยักหน้าแล้วถอนหายใจอีกครั้ง
ยังไม่พร้อมที่จะไป ทุกอย่างในหัวมันตีรวนวุ่นวายไปหมดไม่รู้แล้วว่าต้องทำอะไรก่อนทั้งเรื่องของตัวเองและเรื่องของน้อง แน่นอนว่าผมไม่ยื้ออีกต่อไปแล้วแต่ส่วนหนึ่งก็ยังไม่ยอมรับ ได้แต่ยิ้มเยาะให้กับความเห็นแก่ตัวของตัวเอง
“ขอเวลาอีกนิดนะ”
“เอาที่มึงสะดวกเถอะ กูรู้ว่าสภาพจิตใจมึงเองก็ย่ำแย่” น้ำเสียงมินบ่งชัดถึงความเป็นห่วง สิ่งเดียวที่ผมโชคดีคือการมีเพื่อนที่ดี พวกเขาคอยเตือนผมเสมอมีแต่ผมเองนี่แหละที่ดึงดันไม่เชื่อแล้วสุดท้ายเป็นไงล่ะ ทุกอย่างพังทลายด้วยมือของผมเอง ไม่เหลือใครสักคน
“ขอบคุณพวกมึงมากนะ”
“ก็มึงเพื่อนกูนี่หว่า ถึงมึงจะผิดยังไงสุดท้ายก็เป็นเพื่อนกูอยู่ดี” มินยักไหล่บอก
“จำเอาไว้เป็นบทเรียนนะ” ตุลย์บอก ผมพยักหน้ารับ บทเรียนราคาแพงที่จะไม่เกิดขึ้นอีก เพราะคงไม่มีใครเข้ามาให้ผมรักได้อีกแล้ว
ก๊อก ก๊อกพวกผมชะงักมองหน้ากันก่อนที่มินจะเป็นคนลุกขึ้นไปดูตาแมว มันหันมามองหน้าผมเอ่ยบอกเสียงเครียด
“คุณอาว่ะ” ผมพยักหน้าลุกขึ้นเป็นคนเดินไปเปิดประตูเอง
“สวัสดีครับ” พ่อของน้องยืนนิ่งแต่ก็ยกมือขึ้นรับไหว้ผม
“ขออาเข้าไปคุยหน่อยได้ไหม” ผมพยักหน้าเบี่ยงตัวหลบให้คนสูงอายุกว่าเดินเข้ามา ตุลย์กับมินยกมือไหว้พ่อของน้องแล้วพากันเดินออกไป โดยที่มินบอกว่าพวกเขาจะลงไปรอที่ล็อบบี้ด้านล่าง
“เดี๋ยวผมไปเอาน้ำมาให้นะครับ” คุณอาโบกมือปฏิเสธ
“ไม่ต้องมากพิธีหรอกอามาคุยด้วยไม่นานเดี๋ยวก็กลับ”
“ครับ” ผมตอบรับแล้วนั่งลงตรงโซฟาอีกตัว
“เราเป็นอย่างที่ซันบอกจริง ๆ หรือ” เขาเริ่มบทสนทนา
“เรื่องไหนครับ”
“เรื่องที่ซันบอกว่า...เราทั้งสองคนเคยรักกัน” ผมยิ้มบางพยักหน้าตอบรับ
“ครับ เราเคยรักกัน”
“นานแค่ไหนแล้ว”
“ผมไม่รู้หรอกครับว่านานแค่ไหนเราโตมาด้วยกัน อยู่ด้วยกันตลอดพอรู้ตัวอีกทีผมก็รักน้องไปแล้วพอ ๆ กับที่น้องรู้ตัวว่ารักผม แต่คุณอาก็รู้ว่าที่บ้านผมเป็นอย่างไร...ผมพยายามถอยห่างน้องเป็นช่วงที่คุณอามีปัญหากับน้องพอดีครับและพอรู้ตัวอีกที...น้องก็ไม่ได้รักผมแล้ว” ผมไม่ได้สบตากับเขา ก้มลงมองมือตัวเองที่บีบเข้าหากันแน่นได้ยินเสียงคุณอาถอนหายใจ
“อารู้สึกผิดมาตลอดที่ทำให้ซันเสียใจแต่เพราะอาเอาแต่ความคิดตัวเองตั้งเป็นหลัก อย่างที่เขาว่าไม้แก่มันดัดยาก อีโก้สูงก็เท่านั้นคิดว่าลูกไปไหนไม่รอดหรอกสุดท้ายก็จะซมซานกลับมาซบอกอา หึ! แต่อาก็ลืมไปว่าซันน่ะได้ความหัวดื้อมาจากอาทั้งหมด เด็ดเดี่ยวเหมือนแม่สิ่งไหนที่ตัดสินใจไปแล้วจะไม่มีวันหันหลังกลับมา เราทั้งคู่เดินพลาดไปแล้วรู้ไหม” ผมพยักหน้า
“รอยร้าวระหว่างอากับซันมันยากที่จะกลับมาเป็นเหมือนเดิม”
“ผมเองก็เหมือนกันครับ”
“ทางเดียวที่เราสองคนทำได้คือต้องปล่อยให้เขามีชีวิตของเขาเอง โดยที่เราทำได้แค่มองจากที่ไกล ๆ” ผมเงยหน้าขึ้นมองเขา แววตาคุณอาที่มองมาที่ผมแฝงไปด้วยความหมายที่ผมรับรู้ได้ในทันที เขาไม่ต้องการให้ผมเข้าไปทำร้ายความรู้สึกน้องอีก
“ครับ ผมจะไม่เข้าไปยุ่งกับชีวิตน้องอีกแล้ว”
“ขอบคุณเรามากนะ แล้วเรื่องถอนหมั้นน่ะอาแล้วแต่เราเลย” เขาบอกผมด้วยความเมตตา ผมยกมือไหว้ขอบคุณที่ท่านเห็นใจ
“ขอบคุณมากครับและผมต้องขอโทษด้วยที่จะเรียนว่าขอถอนหมั้น”
“เดี๋ยวอาจะคุยกับยัยแอร์ให้ อาจจะอาละวาดนิดหน่อยแต่อาจัดการได้”
“ขอบคุณครับ”
“เราก็เหมือนลูกเหมือนหลานอา อาเองก็อยากจะเห็นเรามีความสุขนะไม่อยากให้เราล้มเหลวเหมือนอา”
ท่านพูดด้วยแววตาเศร้าสร้อย ผมรู้ดีว่าคุณอารู้สึกผิดและพยายามที่จะเอาครอบครัวในฝันของน้องกลับมา แต่แก้วที่แตกไปแล้วทำอย่างไรก็นำกลับมาประสานกันไม่ได้เหมือนเดิม ความรู้สึกของน้องฝังรากลึกจนเกินกว่าจะคาดเดาสิ่งที่ทำได้ตอนนี้คือปล่อยให้เวลาช่วยเยียวยาทุกสิ่งแต่ก็ไม่รู้ว่าจะนานแค่ไหนเพราะแผลที่พวกเราสร้างให้น้องมันใหญ่เหลือเกิน
“เอาล่ะเรื่องที่อาจะบอกมีแค่นี้ยังไงก็ดูแลตัวเองดี ๆ นะ” ผมไหว้ลาพร้อมกับเดินมาส่งถึงล็อบบี้ข้างล่าง พวกมินก็เดินมาสวัสดีท่านด้วย
“เขาไม่ได้ว่าอะไรมึงใช่ไหม” มินถามด้วยความเป็นห่วงหลังจากที่เรากลับขึ้นมาบนห้องผมแล้ว
“เปล่าหรอกแค่มาคุยด้วยเฉย ๆ”
“อืม”
“พวกมึง...กูว่าจะไปขอโทษมันกับน้อง” มินกับตุลย์มองหน้ากันกลั้นขำก่อนที่คนพูดเยอะกว่าจะหันมาคุยกับผม
“ในน้ำเสียงก็ยังมีความเกลียดนะมึง น้องมันมีชื่อป่ะ” มินเอ่ยล้อ ผมยักไหล่เล็กน้อยก็จะให้พูดดีด้วยเลยทันทีคงเป็นไปไม่ได้แต่ก็จะพยายามปรับตัวให้ดีขึ้นอย่างน้อยผมก็อยากขอโทษน้องกับหมอนั่นสักครั้ง
“เอาไงอ่ะไปเลยไหม” ผมส่ายหน้า
“ให้มันหายดีก่อนแล้วกัน”
“ทำไมน้องมันจะได้กระทืบมึงได้ใช่ไหม” ผมยิ้มบาง
ผัวะ! ผัวะ!
เสียงหมัดดังต่อเนื่องร่างของผมถูกเหวี่ยงไปมา สมองพร่าเบลอคล้ายใกล้จะหมดสติ ผมไม่ได้ตอบโต้คู่กรณีเพราะทราบดีว่าพวกเขาเป็นใคร เพื่อนของหมอนั่นและพี่ชาย ร่างสูงใหญ่ไล่เลี่ยกับน้องชายแต่มีใบหน้าดุดันกว่า ผมไม่รู้ว่าที่ดูดุดันกว่าเป็นเพราะเขาโกรธหรือสีหน้าปกติแต่ถึงอย่างไรผมก็ไม่คิดจะตอบโต้อยู่แล้ว
ผมผิดจริง ผมยอมรับ ถ้าเป็นครอบครัวตัวเองโดนแบบนั้นก็คงโกรธเป็นธรรมดา
“พอแล้วมั้งครับพี่แบท มากกว่านี้คงตาย” ผมปรือตามองเสียงทุ้มที่เอ่ยห้าม จำได้ในทันทีว่าเป็นคนที่ผมเข้าใจผิดและให้คนของตัวเองไปตัดสายเบรค เขามองตรงมาที่ผมด้วยแววตาเฉยชาเช่นเดียวกับพวกเพื่อนเขาที่เหลือ
“จำไว้ว่าโดนแค่นี้ยังไม่ได้เสี้ยวนึงที่น้องชายกูเจ็บ ถ้ามึงยังไม่หยุดทำเรื่องเหี้ย ๆ แบบนี้มึงได้ตายจริงแน่!”
“เอาไงต่ออ่ะพี่ทิ้งไว้แบบนี้ป่ะ”
“ช่วยสงเคราะห์พามันไปโรงพยาบาลหน่อยแล้วกัน” สิ้นเสียงผมก็ถูกหิ้วปีกคนละข้างพร้อมกับสติที่ดับวูบไป
“อิน...มึงเป็นไงบ้างวะ” ผมปรือตาขึ้นมามองรอบกายกลิ่นของโรงพยาบาลทำเอาผมนิ่วหน้าเพราะนอกจากจะไม่ค่อยชอบกลิ่นแล้วเมื่อขยับตัวความเจ็บทั้งหลายก็แล่นริ้วเสียทั่วร่าง ข้างเตียงผมเป็นมินที่มองตรงมาด้วยความเป็นห่วงข้างเขามีตุลย์มองมาที่ผมเงียบ ๆ เช่นเคย
“ไหวอยู่”
“กินน้ำก่อน” ตุลย์บอกพร้อมกับปรับเตียงผมให้สูงขึ้นรินน้ำมาป้อนให้ ผมผงกหัวขอบคุณเพื่อน
“แล้วรู้ได้ไงว่าอยู่ที่นี่” ผมเอ่ยถามเพราะตัวเองหมดสติไปตั้งแต่ถูกหิ้วปีกออกมาจากโกดัง
“คริษฐ์โทรมาบอก”
“อืม”
“โดนหนักเลยนี่หว่า” ผมยิ้มบางก้มมองแขนข้างซ้ายตัวเองที่ใส่เฝือกอยู่ ถามว่าหนักไหมก็คงหนักเพราะอีกฝ่ายใส่ไม่ยั้งแล้วแรงแต่ละคนน้อยเสียที่ไหนถึงคนอื่นจะคนละหมัดหนักสุดก็พี่ชายหมอนั่นแต่ความรู้สึกผมก่อนหมดสติไปคือคิดว่าตัวเองน่าจะหนักกว่านี้
“อือคิดว่าจะตายแล้ว”
“แต่กูก็งงความย้อนแย้งของพี่มันนะ ซ้อมเสร็จพามึงมาส่งโรงพยาบาลแถมยังออกค่ารักษาทั้งหมดให้อีกกูนี่ไม่รู้จะด่าหรือขอบคุณดี” มินพูดกลั้วหัวเราะผมยิ้มบางพูดมากไม่ไหวเจ็บระบมไปหมด
“ไม่ได้บอกพ่อกับแม่มึงหรอกนะ” ตุลย์ที่เงียบอยู่นานพูดขึ้น ผมพยักหน้ารับรู้ดีแล้วแหละที่ไม่ได้บอกไม่อย่างนั้นคงเป็นเรื่องใหญ่
“เส้นโคตรใหญ่เลยมึงรู้ป่ะไม่มีข่าวอะไรเล็ดรอดออกมาเลย” มินลากเก้าอี้มานั่งบอกเสียงเครียด ผมยักไหล่เพราะพอจะรู้มาตั้งนานแล้ว รู้ด้วยว่าที่หุ้นบริษัทตกก็คงเป็นเพราะฝีมือของครอบครัวหมอนั่นแต่ไม่มีหลักฐานเลยไม่รู้ว่าจะจับมือใครดม
“อืม”
จากวันที่โดนซ้อมผมก็รักษาตัวที่โรงพยาบาลอีกสองสามวันก่อนจะกลับมาอยู่ที่คอนโดระหว่างนั้นไม่ได้กลับบ้านเลยรู้ข่าวจากคุณอาว่าท่านได้คุยกับพ่อแม่เรื่องถอนหมั้นให้แล้ว แรก ๆ แอร์ก็ไม่ยอมโวยวายใหญ่มาหาผมถึงคอนโดดีที่มินกับตุลย์กันไว้ไม่ให้ขึ้นมา พ่อกับแม่ก็มีถามบ้างว่าทำไมถึงถอนหมั้นผมเลยให้เหตุผลไปตามตรงว่าไม่ได้รักเธอแต่จะแต่งงานอย่างแน่นอนไม่ต้องเป็นห่วง
สถานการณ์ของบริษัทดีขึ้นตามลำดับเช่นเดียวกับสภาพร่างกายของผมอาทิตย์หน้าก็ครบหนึ่งเดือนพอดีสามารถไปตัดเฝือกออกได้ รอยช้ำต่าง ๆ หายไปตั้งแต่สองอาทิตย์แรก ได้ข่าวมาว่าอีกฝ่ายก็ใกล้จะหายดีแล้วคงได้เวลาที่ผมจะไปคุยด้วยเสียที
“แน่ใจนะ” มินถามย้ำเมื่อผมพยักหน้ามันก็ต่อสายหาน้องชายมันทันที
“น้องณินบอกว่าจะคุยให้แต่ไม่เฟิร์มนะว่าซันจะตกลงไหม”
“ขอบคุณมากนะ”
“ไม่เป็นไร” จากนี้ผมก็ทำได้แค่รอการตอบกลับมาจากน้อง ก็แอบหวังว่าน้องจะให้โอกาสผมได้ขอโทษในสิ่งที่ตัวเองทำไปแต่ถ้าน้องเลือกที่จะเพิกเฉยผมก็คงต่อว่าอะไรไม่ได้
ในอีกสองวันถัดมาผมก็ได้รับข่าวดีว่าน้องยอมมาเจอผม เรานัดกันผ่านณินตกลงสถานที่และเวลากันเรียบร้อยผมก็มานั่งคิดถึงคำพูดที่จะคุยกับน้องและอีกคน ผมมีเรื่องอยากจะพูดด้วยเต็มไปหมดแต่ก็กลัวว่าน้องจะไม่อยากรับฟัง
“มึงเหมือนคนไบโพลาร์เลยรู้ตัวไหม” มินทักขณะที่ผมนั่งกระสับกระส่ายอยู่ตรงโซฟา
“พรุ่งนี้แล้วนะมึง” ผมกล่าวเตือนเพื่อนสนิท พรุ่งนี้จะถึงวันที่ผมนัดน้องไว้ตอนนี้ผมยังเรียบเรียงคำพูดได้ไม่เรียบร้อยเลย
“มึงอย่าซีเรียสเกินไปสิ นึกอะไรออกก็พูดไปนั่นแหละ” ผมส่ายหน้า
“ไม่ได้หรอก...น้องคงไม่อยากเห็นหน้ากูนาน” มินถอนหายใจ
“มึงก็ว่าไปนั่น ซันไม่ใช่คนที่ไร้เหตุผลขนาดนั้น”
“นั่นสินะ”
“เออไปนอนได้แล้วไปกูจะกลับแล้ว” มินเดินเข้ามาตบไหล่ให้กำลังใจก่อนจะเดินบิดขี้เกียจกลับไป
วันรุ่งขึ้นผมตื่นแต่เช้าอาบน้ำแต่งตัวออกมาถึงร้านก่อนเวลานัดประมาณสองชั่วโมง มินกับตุลย์โทรมาบ่นว่าผมจะรีบไปทำไมตั้งแต่ไก่โห่แต่ผมก็ไม่ได้ตอบอะไรกลับไป จะว่าตื่นเต้นก็ใช่เพราะตั้งแต่เหตุการณ์ครั้งนั้นผมก็ไม่ได้เจอกับน้องอีกเลย ไม่ได้เห็นหน้าแต่ก็ถามข่าวคราวบ้างผ่านทางภาณินน้องของมินรู้แค่ว่าอีกฝ่ายสบายดีผมก็สบายใจ
“ขอโทษที่ทำให้รอนาน” เสียงทุ้มดังขึ้นทำให้ผมเงยหน้าขึ้นไปมอง ร่างสูงของนายทศกัณฑ์ยังคงเหมือนเดิมต่างกันเล็กน้อยตรงแขนใส่เฝือกเอาไว้ข้างกายมีน้องยืนนิ่งมองผมอยู่ ผมยิ้มบางก่อนจะผายมือให้ทั้งสองนั่ง
“ดื่มอะไรก่อนไหม” ผมเอ่ยถามทั้งสองคน น้องหันหน้าหนีดูเหมือนคนข้างกายน้องจะรู้ หมอนั่นยิ้มบางโน้มตัวไปจับแก้มให้น้องหันกลับมาหาผม
“เราคุยกันแล้วนะซัน” เขาบอกกับน้อง คนตัวบางถอนหายใจแล้วหันมามองผมดี ๆ
“มีอะไรก็พูดมาเลยดีกว่า เราไม่มีเวลามาก”
“ซัน...” เขาปรามน้องอีกครั้ง น้องกลอกตาแล้วลุกขึ้นเดินหันหลังไปตามเสียงพนักงานเอ่ยเรียก
“สั่งไปแล้วน่ะ ขอโทษแทนซันด้วยตื่นเช้าแล้วอารมณ์ไม่ค่อยดี” ผมพยักหน้าเมื่อน้องกลับมาพร้อมกับกาแฟสองแก้วผมก็เริ่มพูดในสิ่งที่ตัวเองตั้งใจไว้
“ขอโทษนะ ขอโทษสำหรับการกระทำทุกอย่างที่เกิดขึ้น ไม่ได้ขอให้ยกโทษให้หรอกเพราะพี่รู้ดีว่ามันเกินกว่าที่น้องจะให้อภัยแต่ก็อยากจะพูดออกมาอย่างจริงใจสักครั้ง ส่วนนายขอโทษด้วย”
“สำหรับผม ผมยกโทษให้คุณนะเข้าใจในความรู้สึกคุณแต่คุณก็ต้องรู้นะว่าที่คุณทำไปมันเกินกว่าเหตุ”
“เกินกว่ามากด้วย!” น้องเสริมในน้ำเสียงกระชากห้วน
“พี่ขอโทษครับ” น้องจ้องหน้าผมอยู่นานจนในที่สุดก็ถอนหายใจยาวออกมา
“ผมอโหสิกรรมให้ ถึงในใจผมจะอยากให้อินโดนหนักกว่านี้ก็เถอะแต่ในเมื่อบีสท์บอกให้พอ ให้เลิกแล้วต่อกันผมก็จะเลิกแต่หวังว่าจะไม่มีการมายุ่งเกี่ยวกันอีกนะครับ ถือว่าเป็นสิ่งสุดท้ายที่ผมอยากขอร้องจากอิน” ผมยิ้มพยักหน้ารับกับสิ่งที่ได้ยิน ขนาดว่าเตรียมตัวมาฟังดีแล้วยังรู้สึกเจ็บไปทั้งใจ
“ครับ พี่ขอให้น้องมีความสุขนะ” น้องมองหน้าผม ใบหน้าที่ผมหลงรักฉาบด้วยรอยยิ้มบาง
“ครับผมเองก็หวังให้อินมีความสุข” รอยยิ้มของน้องสวยงามเสมอ รอยยิ้มที่ผมไม่เห็นมานาน ผมยิ้มรับเต็มแก้ม
“ครับ นายด้วยนะดูแลซันให้ดีอย่าทำให้เขาเสียใจเหมือนที่ฉันทำ”
“ผมไม่เคยเอาตัวเองไปเทียบกับใคร คุณเองก็เหมือนกันแค่ใช้ความรักในทางที่ผิดไม่ได้หมายความว่าจะผิดไปตลอดชีวิต เก็บมันไว้เป็นบทเรียนแล้วทำครั้งต่อไปให้มันดีขึ้น ผมไม่ได้หมายถึงกับคน ๆ เดิมหรอกนะ เพราะคนนี้เป็นของผม ซันจะเป็นความรักเป็นทุกอย่างของผมไม่ต้องเป็นห่วงเขาจะไม่เสียใจที่เลือกผม” ใบหน้าจริงจังน้ำเสียงมั่นคงของเขาทำให้ผมรู้สึกทึ่งและต้องยอมรับความพ่ายแพ้ครั้งนี้
ไม่มีอะไรที่ผมเทียบได้เลย...ดีแล้วที่น้องรักเขา“เข้าใจแล้ว ขอบคุณแล้วก็ขอโทษอีกครั้งนะ ทั้งคู่เลย” ทั้งสองคนตรงข้ามยิ้มให้ผมเหมือนดังที่ผมยิ้มให้พวกเขา
“ครับ โชคดีนะครับ
พี่อิน”
“เหมือนกันนะครับ
น้องซัน”
เวลาความรักของผมหมดลงนานแล้วแต่เวลาของชีวิตยังคงต้องดำเนินไป น้องจะยังคงเป็นน้องของผม เป็นคุณคนเล็กที่ผมเฝ้าทะนุถนอมคนเดิม ผมจะกลับไปเป็นพี่ชายคนดีคนเดิมของน้องและจะคอยเฝ้ามองในที่ของผม ผู้ชายคนนั้นเป็นคนดีสายตา น้ำเสียงและการกระทำของเขาชัดเจนและมั่นคง ผมยิ้มให้ทั้งคู่เป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะเดินจากมา
ลาก่อนความรักครั้งนี้ของผม
รู้แล้วทำไมเธอเลือกเขา พอคุยกับเขาก็เลยเข้าใจ
มันต่างกันไกล ไม่มีทางที่ฉันจะเทียบเลย
ดูแลเขาให้ดีดี – ดา เอ็นโดรฟิน
talk. ตามสัญญาว่าจะมาลงความในใจของพี่อินให้ทุกคนอ่านกัน โดยส่วนตัวเราสงสารเขานะ อย่างที่บีสท์บอกพี่อินไม่ใช่คนที่ไม่ดีโดยเนื้อแท้ แต่เพราะ"ความรัก"ทำให้เขาต้องทำตัวไม่ดี ต่อจากนี้ก็ได้แต่หวังว่าเขาจะเจอคนที่ดีที่เหมาะสม ตอนที่เขียนอยู่ ๆ เพลงดูแลเขาให้ดีดี ก็ปิ๊งเข้ามาเปิดฟังสิคะรออะไร ฟังไปเขียนไปผลเป็นไง ร้องไห้ค่ะ 5555555555555 ความอินนั้นเกินจะทน ถ้ามีโอกาสจะเขียนตอนพิเศษมาลงอีกน้า ตอนนี้มัวแต่เขียนตอนพิเศษในเล่มทั้งสองเรื่อง ยอมรับเลยว่าตัน ก๊ากกก เป็นกำลังใจให้เราด้วยยยยย
รักคนอ่านเสมอ
#นิยายตัวร้าย