Begin Again ที่เก่าเวลาเดิม แต่….
#24
ผมลืมตาตื่นขึ้นมาในช่วงสายของวัน เอาจริงๆผมก็ไม่รู้หรอกว่าตัวเองหลับไปตอนไหนหรือได้นอนไปกี่ชั่วโมง มันตื่น เพราะร่างกายตื่นก็เท่านั้น อาการบาดเจ็บต่างๆมันเริ่มหายไปจนแทบจะไม่รู้สึกเจ็บอะไรแล้ว ซึ่งอีกแค่ 2-3 วันผมก็จะได้ออกจากโรพยาบาลไปพักฟื้นที่บ้านต่อได้
“น้องตังอยากกินอะไรเป็นพิเศษไหมคะ?” หม่าม๊าร้องทักขึ้นเมื่อผมลุกขึ้นนั่งบนเตียง ฝ่ามือบางลูบหัวผมเบาๆพร้อมรอยยิ้มบางๆ
“ตังกินอะไรก็ได้ม๊า” ผมตอบและพยายามยิ้มเหมือนอย่างเคย หม่าม๊าส่ายหัวก่อนจะใช้ฝ่ามืออุ่นโอบแก้มผมทั้งสองข้าง
“น้องตังผอมไปมากเลยรู้ไหมลูก”
“เป็นอะไร บอกหม่าม๊าได้ไหมครับ?” ผมจับมือที่ติดสั่นน้อยๆของม๊าเอาไว้ก่อนจะเป็นฝ่ายกอดร่างอุ่นเอาไว้ด้วยสองมือ
“ตังไม่ได้เป็นอะไรม๊า ตังแค่อยากออกจากโรพยาบาลแล้ว อยากให้ป๊ากับม๊าพักผ่อน”
“งั้นน้องตังก็ต้องกินเยอะๆสิคะ จะได้แข็งแรง”
“ครับม๊า วันนี้ตังจะกินเยอะๆเลย”
“ดีค่ะ”
“ฉะนั้นวันนี้ม๊าต้องกลับไปพักผ่อนที่บ้านนะ เดี๋ยววันนี้ตังอยู่กับไอ้ปอไอ้ป่านเอง” ผมบอก ม๊ายิ้มก่อนจะพยักหน้ารับ
“ตกลงค่ะลูกชาย”
และมันก็ผ่านไปอีกวันกับการใช้ชีวิตในโรงพยาบาล ไอ้ปอกับไอ้ป่านที่มาเฝ้าผมตั้งแต่เมื่อวานตอนนี้กำลังออกไปซื้อเสบียงมาตุนเพิ่มเพราะที่มันซื้อมาเมื่อวานไอ้ป่านมันฟาดเรียบไปแล้วตั้งแต่เมื่อคืน
เสียงประตูที่เปิดออกพร้อมเสียงพูดคุยของคนหลายคนทำให้ผมต้องยันตัวเพื่อลุกขึ้นนั่ง เป็นเบลที่เดินเข้ามาพร้อมๆกับพวกรุ่นพี่อีกสองสามคนทำให้ผมนึกขึ้นได้ว่าเมื่อวานเบลโทรมาบอกผมว่าที่จะมีพี่ๆจากสโมสรนักศึกษามาเยี่ยมผมเมื่อวานขอเลื่อนเป็นวันนี้แทน
“สวัสดีครับ” ผมยกมือไหว้ในขณะที่ทุกคนก็ส่งยิ้มให้แล้วทักทายกลับมา
“แข็งแรงเร็วๆนะครับน้องตัง ผมขอวางตรงนี้นะ” พี่วินวางกระเช้าผลไม้ไว้ที่โต๊ะกระจกตัวเตี้ยข้างหน้าโซฟาก่อนจะหันซ้ายขวาเหมือนกำลังหาอะไรซักอย่าง
“ปุ่น แล้วช่อดอกไม้อ่ะ?”
“คนถือเขาแวะคุยโทรศัพท์อยู่หน้าห้องนู่นค่ะ ขอบคุณค่ะน้องเบล” พี่ปุ่นบุ้ยใบ้ชี้มือไปที่หน้าประตู ก่อนจะหันไปรับแก้วน้ำที่เบลส่งให้
พูดคุยกันได้ซักพักพี่วินกับพวกพี่ๆที่เหลือก็ย้ายไปนั่งที่โซฟาเหลือแค่เบลที่ยังนั่งที่เก้าอี้ข้างเตียงผมเหมือนอย่างเคย ส่วนไอ้ปอกับไอ้ป่านพอรู้ว่าเบลมาก็เลยขอกลับไปเอาเสื้อผ้าที่บ้านแล้วค่อยกลับมาตอนเย็นๆแทน ก็พอจะรู้เจตนาของมันสองคนแหละครับ แต่แค่ในตอนนี้ระหว่างผมกับเบลมันคงจะกลับไปเป็นแบบเดิมไม่ได้อีกแล้ว
ซักพักเสียงประตูห้องที่ถูกเปิดออกก็เป็นจุดสนใจเดียวที่ทำให้ทุกคนในห้องหันไปมองเสียงฝีเท้าที่ใกล้เข้ามา และการปรากฏตัวของใครบางคนก็แทบทำให้ผมลืมหายใจ
“กูนึกว่ามึงจะไม่เข้ามาแล้วไอ้ห่า” พี่วินร้องทักคนที่กำลังเดินตรงเข้ามาที่ผมเสียงดัง ช่อดอกทานตะวันสีเหลืองสดใสถูกยื่นออกมาข้างหน้าทำให้ผมต้องยื่นมือออกไปรับทั้งๆที่มือยังติดสั่น
“แผลดูดีกว่าวันแรกเยอะเลยนะ” น้ำเสียงนุ่มทุ้มที่คุ้นเคยดังก้องอยู่ในหัว ถึงผมจะไม่เข้าใจในความหมายที่เขาต้องการจะสื่อออกมา แต่แค่น้ำเสียงนุ่มทุ้มนั่นที่มันสะท้อนไปสะท้อนมาอยู่ในหูก็ทำให้หัวใจผมเต้นแรงจนเจ็บหน้าอกไปหมด
ผมไม่ได้พูดอะไรตอบกลับไป มันแทบจะเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้เลยที่พี่เขาจะมายืนอยู่ตรงนี้ ข้างหน้าผม ใบหน้าคมคายนั้นยังคงเหมือนเดิม เหมือนกับที่เด่นชัดอยู่ในทุกห้วงความทรงจำ
“ดีแล้วที่ไม่ได้เป็นอะไรมาก” คนพูดยิ้มเล็กๆที่มุมปาก ฝ่ามือกว้างถูกยกขึ้นมาแตะเบาๆที่ข้างผ้าก๊อซที่แปะทับรอยเย็บบนหน้าผาก
“พี่...แดน” ผมยกมือขึ้นแค่ไม่ถึงเสี้ยววินาทีที่จะได้สัมผัสฝ่ามือกว้างก็เหมือนมีกระแสไฟฟ้าอย่างแรงมาปะทะให้เจ้าตัวชักมือออกจากผมไปทันที ดวงตาคมวูบไหวก่อนที่คนตรงหน้าจะหลับตาลงชั่วครู่แล้วลืมตาขึ้นมาด้วยสายตาที่แปลกไปไม่เหมือนเดิม แล้วถอยตัวห่างออกไปอีกก้าว
“พี่แดนคะ น้ำค่ะ”
“ขอบคุณครับ” ดวงตาคมละออกไปจากผมแล้ว ความวูบโหวงตีตื้นอยู่ในอกทำให้ผมต้องเม้มปากแน่นเมื่อความรู้สึกทุอยากที่ประทุอยู่ข้างในมันเหมือนจะล้นทะลักออกมา ทั้งๆที่ห่างกันแค่ไม่ถึงสองก้าวแต่มันกลับไกลจนจับต้องไม่ได้อีกแล้ว
“ตังจำพี่แดนได้ไหมคะ?”
จะจำไม่ได้ ได้ยังไง ก็ไม่เคยลืมเลยซักที
“วันนั้น ที่ตังขับรถชน พี่แดนเขาเป็นคนที่เข้าไปช่วยตังนะคะ เบลตกใจมากตอนที่มาถึงโรงพยาบาลแล้วเห็นเลือดเต็มเสื้อพี่แดนไปหมด”
“เลือด...พี่...แดน..เหรอ”
เป็นพี่เขาที่ขมวดคิ้วให้กับสรรพนามที่หลุดจากปากผมอีกครั้ง ดวงตาคมฉายแววสับสนไปชั่วขณะ แล้วนั่นก็ทำให้ทุกอย่างที่ตีรวนอยู่ข้างในตัวผมล้นทะลักออกมาจนหมด
“ฮึก…” ภาพความทรงจำในวันนั้นถูกย้อนกลับเข้ามาในสมองผมจนหมดอีกครั้ง ทั้งร่องรอยบาดแผลบนใบหน้าคม ทั้งร่างกายหนาที่เต็มไปด้วยเลือดนั่น…
วันนั้น...มันเป็นครั้งสุดท้ายที่เราได้เจอกัน
“ฮึก...ผม ขอโทษ…”
ช่อดอกไม้สีสดใสตกลงไปที่พื้นอย่างช่วยไม่ได้เมื่อผมไม่มีแรงที่จะถือมันเอาไว้อีกแล้ว เสียงเรียกชื่อผมจากใครต่อใครที่ดังเซ็งแซ่เป็นเหมือนแค่ลมที่พัดผ่านออกไปจากหัว ทุกอย่างรอบตัวมันมืดไปหมดเหลือเพียงภาพจำที่ยังคงฉายชัดอยู่ในสมอง
“พี่แดน ตัง ขอ..โทษ..”
“น้อง...เอ่อ ตัง”
“ผม ขอ โทษ”
“ตัง” เสียงเรียกทุ้มๆที่ดังขึ้นพร้อมความอบอุ่นของอ้อมกอดจากวงแขนกว้างยิ่งทำให้น้ำตามันไหลไม่หยุด ความรู้สึกมากมายมันเอ่อล้นออกมาจนเรียบเรียงไม่ถูก
“ฮึก ขอ โทษ”
“ชู่ว์ ไม่เป็นไรนะ ไม่เป็นไร” ฝ่ามืออุ่นลูบเบาๆบนหัวในขณะที่มืออีกข้างก็ลูบแผ่นหลังขึ้นลงเป็นการปลอบประโลม มันกลายเป็นว่าตอนนี้เป็นผมเองที่กำลังกอดคนตรงหน้าเอาไว้แน่น
“ไม่เป็นไร” เสียงพร่ำบอกไม่ดังนักยังคงดังอยู่ข้างหู ความอื้ออึงในสมองมันเริ่มเบาบางลงช้าๆ ความอบอุ่นจากร่างกายหนาทำให้ปลายนิ้วที่เย็นจนชาค่อยๆกลับเข้าสู่อุณหภูมิปกติอีกครั้ง
“ตัง ขอโทษ..”
“ครับพี่รู้” ผ่านไปหลายชั่วโมงแล้วกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อบ่าย ความวุ่นวายสงบลงด้วยการที่ใครซักคนตามหมอเข้ามาด้วยความตกใจ ตอนนี้พี่ๆทุกคนกลับไปแล้ว โดยได้รับคำอธิบายจากคุณหมอว่าเรื่องที่เบลบอกผมอาจจะไปกระตุ้นความทรงจำในวันนั้นซึ่งความหวาดกลัวมันทำให้ผมเกิดความสับสนและร้องหาคนที่เป็นคนช่วยเหลือ ซึ่งในทางทฤษฎีแล้วมันใช่ เพียงแต่มันเป็นคนละเหตุการณ์ก็เท่านั้น จากสายตาท่าทางแล้วผมรู้ว่าทุกคนยังคงคาใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แต่ก็ไม่มีใครถามหรือพูดถึงมันอีก รวมถึงพี่แดนด้วยเช่นกันที่กลับออกไปโดยที่เราไม่ได้แม้แต่จะพูดล่ำลาอะไรกันอีก
บรรยากาศในห้องยังคงปกคลุมไปด้วยความเงียบ ความอึดอัดที่รายล้อมอยู่รอบตัวผมกับเบลมันเหมือนกับฝุ่นหนาๆที่ทำให้เราต่างก็หายใจไม่สะดวก
“ตังคะ เบลขอโทษนะ” แล้วก็เป็นเบลที่ทำลายความเงียบที่อึดอัดระหว่างเรา มือเล็กบีบฝ่ามือผมเบาๆทั้งๆที่เจ้าตัวก็เพิ่งจะหยุดร้องไห้ได้ไม่นาน
“ถ้าเบลไม่พูดถึงเรื่องนั้น….”
“ไม่หรอก เบลไม่ต้องขอโทษตังนะ”
“เบลไม่ผิดเลย ทุกอย่างมันเป็นเพราะตังเอง คนที่ผิดมันเป็นตังเอง”
ใช่ ผิดมาตั้งแต่แรกและตลอดมา
“ที่ผ่านมาขอบคุณมากนะ” ผมบีบฝ่ามือเล็กนั้นตอบเบาๆก่อนจะสูดหายใจเข้าลึกๆเมื่อตั้งใจจะพูดในสิ่งที่คิดทบทวนอยู่ในหัวมาตลอด
“และก็ขอโทษสำหรับทุกอย่างที่เคยทำให้เบลเสียใจ ขอโทษที่ละเลยความรู้สึกของเบลมาตลอด”
บ่อยครั้งในช่วงเวลาที่คบกันที่ผมละเลยไป หรือแม้กระทั่งวันนี้ผมก็ทำเบลหล่นหายไปจากความทรงจำอีกครั้งเมื่อผมเอาแต่ร้องเรียกแค่ใครอีกคนที่เฝ้าคิดถึงอยู่ตลอดเวลา ถึงแม้ว่าเขาคนนั้นจะไม่รับรู้อะไรก็ตาม
“ที่เบลบอกเลิกวันนั้น...ตังเข้าใจแล้วครับ”
ไม่มีคำพูดตอบรับใดๆกลับมามีเพียงแค่อ้อมกอดจากวงแขนเล็กๆที่โถมเข้ามากอดผมเอาไว้ทั้งตัวพร้อมกับเสียงร้องไห้ มันแปลกที่เราต่างก็ร้องไห้แต่มันกลับทำให้ความอึดอัดใจระว่างเรามันจางลงไปจนแทบจะไม่เหลืออะไรคั่งค้างเอาไว้อีกแล้ว
“กูเลิกกับเบลจริงๆแล้วนะ” ผมตัดสินใจเปิดปากเล่าให้ไอ้ปอกับไอ้ป่านฟังเมื่อมันสองคนกลับเข้ามาในตอนเกือบจะค่ำ ไอ้ปอมันเลิกคิ้วก่อนจะละสายตาออกจากหน้าจอโทรศัพท์ไปมองหน้าไอ้ป่าน
“ถ้ามึงโอเค”
“อืม กูโอเค”
“แต่สภาพมึงกูว่าไม่ว่ะ”
“เหี้ยนี่” ผมปัดไอ้นิ้วชี้ยาวๆของไอ้ป่านออกได้ก่อนที่มันจะมาจิ้มหน้าผากผมได้ มันแค่นหัวเราะก่อนจะทิ้งตัวลงนั่งบนเตียงคนไข้ข้างๆผม
“ตัง เรื่องวันนี้มันยังไง?” เป็นไอ้ปอที่เอ่ยถามขึ้นก่อนจะเดินมานั่งที่ปลายเตียงอีกคน ผมเม้มปากก่อนจะส่ายหัวเบาๆเป็นคำตอบ
“พวกกูเป็นห่วงมึงนะ”
“ไม่ตอบกูก็ได้ แต่มึงลองดูตัวเองสิ ผอมจนจะไม่เหลืออะไรแล้วนะ แล้วที่มึงร้องไห้ทุกวันคิดว่าพวกกูไม่รู้เหรอ” ไอ้ป่านบอกเสียงเครียด
“มัน…” ผมเม้นปากก่อนจะเงยหน้าขึ้นแล้วพรูลหายใจออก
“ไม่รู้จะเริ่มตรงไหนว่ะ” พยายามจะแค่นหัวเราะแล้วแต่มันก็ทำไม่ได้ จนต้องยกสองมือขึ้นปิดหน้าตัวเองแทน
“ไม่เป็นไรนะตัง กูขอโทษ” ไอ้ป่านมันดึงผมเข้าไปกอดแล้วพึมพำขอโทษซ้ำๆ พวกมันเป็นห่วงผมนั่นมันไม่ใช่เรื่องผิดอะไรเลย แล้วก็เป็นหลายนาทีที่พวกเราต่างเงียบ กกลายเป็นบรรยากาศแบบที่เราต่างไม่คุ้นชิน เพราะปกติเวลาที่พวกเราอยู่ด้วยกันมันมักจะมีแต่เสียงโต้เถียงกันและเสียงหัวเราะบ้าบอแค่เท่านั้น
“ป่าน” ผมเอ่ยเรียกก่อนจะดันตัวเองออกมาซึ่งมันก็ผละตัวเองออกแบบไม่โต้แย้งอะไร ผมสูดหายใจลึกก่อนที่จะค่อยๆพยามพูดออกมา และสัมผัสได้ว่ามันสองคนก็กำลังตั้งใจฟังอยู่
“สมมตินะว่า...พวกมึงฝัน ฝันว่ารักใครคนหนึ่ง...มากๆ” ผมเม้มปากก่อนจะเช็ดน้ำตาตัวเองที่เริ่มรื้นออกมาที่หัวตาด้วยหลังมืออย่างลวกๆ
“และเขาก็รักมึงมากๆ มันแบบ...ได้ใช้ชีวิตอยู่ด้วยกัน โคตรมีความสุข...แล้ววันหนึ่งมึงก็เป็นสาเหตุที่ทำให้เข้าต้องตาย..ฮึก…เขา ตาย”
“แต่...มึงมีพรวิเศษอยู่หนึ่งข้อ…” ผมยังคงเล่าต่อไป ถ้าเป็นเวลาปกติมันคงผลักหัวผมแล้วด่าว่าเพ้อเจ้อ แต่วันนี้ไอ้ปอได้แต่นิ่งฟังในขณะที่ไอ้ป่านขมวดคิ้วเล็กๆแต่ก็ยังคงเงียบเพื่อฟังต่อ
“มึงสามารถขอ ให้เขาฟื้นกลับมามีชีวิตอยู่ต่อไปได้โดยมีข้อแม้ว่า...เขาจะลืมทุกอย่างที่เกี่ยวกับตัวมึง ลืมทุกสิ่ง ทุกอย่าง….”
“และถ้าพวกมึงมีโอกาสได้เจอเขาอีกครั้ง...มึงจะทำยังไงต่อไป?” คำถามของผมไม่ถูกปล่อยไว้นาน เพราะเพียงไม่ถึงนาทีมันก็ได้รับคำตอบ
“กูจะจีบเขา” ไอ้ป่านพูดติดตลก แต่ในน้ำเสียงก็เจือความจริงจังอยู่ด้วย
“ถ้าบอกว่าฝัน มันก็เป็นแค่ความฝัน” เสียงไอ้ปอที่แทรกขึ้นมาทำให้ผมกับไอ้ป่านต้องเงยหน้าขึ้นมองเมื่อมันเดินมายืนอยู่ข้างๆ
“แต่ถ้ามึงตื่นขึ้นมาแล้วยังมีโอกาสได้เจอเขาจริงๆ แสดงว่านี่คือโอกาสที่มึงจะได้แก้ตัวที่ทำทุกอย่างพลาดไป แล้วกูก็จะบอกมึงเหมือนกับไอ้ป่านนะว่า กูก็จะจีบเขาเหมือนกัน”
“แล้วถ้าโอกาสมันเป็นศูนย์ล่ะ” ผมถามต่อ ก็ไม่รู้ว่าจะอธิบายยังไงเหมือนกัน แต่พอได้ยินคำตอบของไอ้แฝดแล้วมันทำให้รู้สึกใจเบาขึ้นมานิดหน่อยอย่างบอกไม่ถูก
“คำว่าโอกาสเป็นศูนย์มันไม่มีอยู่ในพจนานุกรมของคนที่ลงมือทำหรอกครับคุณชายตัง”
“แต่ก่อนที่มึงจะตื่นจากฝัน มึงต้องนอนก่อนครับถึงจะฝันแล้วตื่น” ไอ้ป่านมันตัดบทก่อนจะลุกขึ้นจากเตียงคนป่วย
“ฉะนั้นกูขอไปฝันถึงริสะจังเมียในอนาคตกูก่อนนะ”
“เพ้อเจ้อชิบหาย” ไอ้ปอมันด่าแฝดตัวเองก่อนจะส่ายหัวทำหน้าหน่ายแล้วเหมือนนึกอะไรขึ้นมาได้มันถึงดึงคอเสื้อน้องมันจนไอ้ป่านแทบหงายหลัง
“เฮ้ยเดี๋ยว”
“สรุปฝึกงานนี่ยังไง?”
“เหี้ย เจ็บ”
“เออ กูคุยกับพี่กุ๊กแล้ว เหลือแค่ส่งเอกสารนี่แหละ เราทั้งสามคน” นั่นสิ ไทม์ไลน์ในตอนนี้คืออีกไม่กี่เดือนผมต้องไปฝึกงานแล้วนี่นะ
“ทำดีมากไอ้น้อง”
จะว่าไปก็นึกถึงบรรยากาศที่ไปฝึกงานในตอนนั้น มันมีเหตุการณ์อะไรต่างๆที่เกิดขึ้นไม่น้อยเหมือนกันนะ ได้รู้จักอะไรใหม่ๆ เพื่อนใหม่ๆ ซึ่งมันก็มีทั้งเรื่องดีๆ และเรื่องที่ผมก็กลัวถ้ามันจะเกิดขึ้นอีกครั้ง จะว่าไปเรื่องของไอ้ปอกับโยเนะมุระจะเกิดขึ้นเหมือนเดิมหรือเปล่านะ?
แต่ในส่วนของผม….
“กูว่า กูจะไม่ไปกับพวกมึงว่ะ” ผมพูดต่อในขณะที่ไอ้แฝดมันเงียบ
“กูหมายถึง กูอาจจะขอเลื่อนฝึกงานไปก่อน”
“มึงจะเอาแบบนั้นเหรอ” ไอ้ป่านมันทำหน้าเสียดายอย่างไม่ปิดบัง
“กูแค่อยากลงมือทำอะไรซักอย่างก่อนน่ะ” ไอ้ปอมันแค่ยิ้มมุมปากน้อยๆก่อนจะพยักหน้าแล้วกดเปิดไฟหัวเตียงคนไข้ให้ผมแล้วเดินไปปิดไฟในส่วนอื่นๆก่อนจะไปทิ้งตัวลงนอนข้างๆไอ้ป่านแล้วเอ่ยคำพูดออกมาด้วยเสียงไม่ดังนัก
“เออตัง มึงเคยได้ยินหรือเปล่า?”
“หื้ม?”
“เขาว่ากันว่าถ้าเราฝันร้าย สุดท้ายมันจะกลายเป็นดีนะ” แล้วมันก็เป็นคำพูดที่ทำให้ผมยิ้มได้ในความสลัวของค่ำคืนนี้
ก็ขอให้มันดีอย่างที่มึงว่าแล้วกันนะปอ
พอมีเวลาก็รีบปั่นมาต่อให้ค่ะ
ตอนหน้าก็จะพยายามรีบมา ขอคอมเม้นต์เป็นกำลังใจให้บ้างนะคะ
อีกซักตอนสองตอนจะจ่ายค่าตัวให้พี่แดนมาโซโล่บ้าง มาช่วยแม่ๆไขข้อข้องใจที
ยืนยันคำเดิม ดองนานแค่ไหนก็จะเขียนให้จบค่ะ อยู่ด้วยกันไปนานๆนะคะ
B2