-8-
หลังจากที่อดิเทพพาเด็กหนุ่มลูกครึ่งกลับมาถึงยังที่พักแล้วนั้น มือใหญ่ก็รวบกำข้อมือเล็กพาเดินไปตามทางที่ตัวเองกำหนดแม้ว่ามือเล็กจะพยายามแกะมือที่รวบกำอยู่เท่าไหร่ก็ไม่สามารถปลดตัวเองออกจากพันธนาการเหนียวแน่นได้
เมื่อทั้งคู่ยืนอยู่กลางห้องรับแขกร่างสูงใหญ่จึงปล่อยให้อีกคนเป็นอิสระ
“คุณต้องการอะไรกันแน่ ถึงพาผมมาที่นี่”
“แค่อยากได้คนช่วยงาน”
“แต่ผมมีงานทำอยู่แล้ว”
“งานที่ทำอยู่มันหนักเกินไป เดี๋ยวก็ตื่นไปเรียนไม่ไหวพอดี”
“แล้วงานที่คุณจะให้ผมทำมันสบายกว่าเหรอไง ขอบอกไว้ก่อนเลยนะว่าผมไม่มีวันนอนกับใครเพื่อแลกเงิน”
เด็กหนุ่มเอ่ยก่อนจะเชิดหน้าขึ้นจนเห็นสันจมูกโด่งรั้นบ่งบอกถึงนิสัยของเจ้าตัวได้เป็นอย่างดี
“คิดอกุศลจริงๆ”
“หรือไม่จริง หน้าตาคุณก็ใช่ว่าจะน่าไว้ใจ”
อดิเทพเกาหัว สงสัยเขาจะต้องไปศัลยกรรมหน้าเสียใหม่แล้วมั้ง
“งานที่จะให้ทำคือช่วยดูแลบ้าน ทำความสะอาด ทำกับข้าว อะไรประมาณนี้ ทำได้ไหม”
เด็กหนุ่มทำท่าครุ่นคิดก่อนจะแย้มยิ้มออกมา
“เงินเดือนเท่าไหร่”
“เห็นแก่เงินจริงๆ ตาเป็นประกายเชียว”
“แน่สิ ชีวิตนี้เงินสำคัญที่สุดนี่นา”
“ครับๆ…จะเรียกเงินเดือนเท่าไหร่ก็ว่ามา”
ทันทีที่เด็กหนุ่มตอบอดิเทพก็เบ้หน้าทันที
“ถ้าใช้เงินมากขนาดนั้น ทำเองดีกว่า”
พอตกลงกันได้เรียบร้อยเด็กหนุ่มก็เอ่ยขอตัว
“นี่มันมืดแล้ว รถก็ไม่มี ค้างที่นี่แหละ อ่อ…อย่าคิดอกุศลไปล่ะ พี่เองก็ไม่อยากโดนข้อหาพรากผู้เยาว์เหมือนกัน”
น่าแปลกที่เด็กหนุ่มรู้สึกวางใจในตัวของคนที่ยืนอยู่ต่อหน้า คนๆนี้ให้ความรู้สึกอบอุ่นปลอดภัยแบบที่เขาไม่เคยได้รับจากใครนอกจากผู้เป็นแม่ที่เลี้ยงดูเขามาตลอด
เสื้อผ้าและของใช้ที่จำเป็นถูกนำมายื่นให้ เด็กหนุ่มรับมาก่อนจะคลี่เสื้อผ้าดูก็พบว่าเป็นขนาดที่เขาสวมใส่ได้พอดี น่าแปลกที่ผู้ชายคนนี้มีเสื้อผ้าไซต์ที่ตัวเองใส่ไม่ได้อยู่ในบ้าน
“เสื้อผ้าของแฟนคุณเหรอ”
“ไม่ใช่หรอก ของเพื่อนสนิทน่ะ”
มองแววตาคู่นั้นเขาก็รู้แล้วว่าคนที่กำลังพูดถึงอยู่นั้นมีความสำคัญมากแค่ไหน
“ผมไม่รับเสื้อผ้าไว้ดีกว่า ดูท่าจะเป็นของคนที่สำคัญมาก”
“ใส่ไปเถอะ เขาไม่ถือหรอก พี่ก็ไม่ถือ”
“ผมสบายใจที่ได้ใส่เสื้อผ้าของตัวเองมากกว่า”
เขาขอแค่อาบน้ำให้สบายตัวก็เพียงพอแล้ว เสื้อผ้าไม่ว่าจะเก่าหรือใหม่ก็ไม่ต่างกัน เพราะยังไงซะเช้าวันรุ่งขึ้นเขาก็ต้องกลับบ้านไปอาบน้ำแต่งตัวใหม่อยู่ดี
เมื่ออกมาจากห้องน้ำอดิเทพก็ขอตัวไปอาบน้ำบ้าง เวลาช่วงว่างๆเด็กหนุ่มก็เลยถือโอกาสเดินสำรวจรอบๆบริเวณ ตู้โชว์ขนาดใหญ่มีกรอบรูปมากมายวางเรียงรายซึ่งทุกรูปในกรอบมักจะมีอีกคนหนึ่งที่หน้าตาค่อนไปทางน่ารักอยู่ในนั้นด้วย
…เจ้าของเสื้อผ้า คงจะเป็นคนๆนี้แน่นอน…
หลังจากที่จ้องมองอยู่นานก็ค่อยๆหยิบกรอบรูปเพื่อเอาเข้ามาดูใกล้ๆก่อนจะวางลงที่เดิม เพราะถ้าอีกคนมาเห็นเขาไปแตะต้องของสำคัญ เขาอาจจะอายุสั้นลงก็เป็นได้
เด็กหนุ่มถอนหายใจก่อนจะทิ้งตัวนั่งลงบนโซฟาตัวนุ่ม ในใจก็หวังเป็นอย่างยิ่งว่าอยากจะเป็นที่รัก เป็นคนสำคัญของใครสักคน คนตัวโตที่รับเขามาก็ดูดีไม่น้อยแต่ยังไงก็เป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว
…ดูก็รู้ ว่าถ้าเกิดไปตกหลุมรักเข้า เรื่องเศร้าคงได้เกิดขึ้นแน่นอน…
………
…
วันนี้เป็นวันที่กษิดินทร์ต้องออกต่างจังหวัด ชายหนุ่มโอดครวญไม่อยากจะไกลห่างจากกันต์กวี
“ผมไม่อยากไปเลยวี”
“อีกสามวันเราก็เจอกัน ไว้ดินกลับมาวีอะไรจะเซอร์ไพร์”
“จริงนะ”
“อืม…”
“งั้น…ผมไปก่อนนะ”
“โชคดีครับ”
กันต์กวีเอ่ยบอกก่อนจะโบกมือให้ ร่างสูงเดินเข้ามาหาก่อนจะหอมแก้มอีกฝ่ายฟอดใหญ่แล้วถือกระเป๋าเดินทางออกจากห้องไป
ร่างสูงคลี่ยิ้มร้ายก่อนจะเริ่มแผนการที่ตัวเองวางไว้
กันต์กวีขับรถออกมาจากบ้านก่อนจะตรงไปยังบ้านหลังใหญ่โตที่ซึ่งมีศัตรูคู่แค้นอาศัยอยู่ ทันทีที่ร่างโปร่งเหยียบลงบนพื้นหินอ่อนของตัวบ้าน หญิงวัยกลางคนที่แต่งตัวดูภูมิฐานก็ลุกพรวดทันที
“สวัสดีครับ…คุณแม่”
น้ำเสียงยั่วเย้าเอ่ยก่อนแสร้งเป็นทำความเคารพตามมารยาท
“แก…ออกไปจากบ้านฉันเดี๋ยวนี้นะ ไม่อย่างนั้นฉันจะเรียก รปภ.”
“ดินฝากให้ผมมาคอยดูแลคุณแม่น่ะครับ”
กันต์กวีเอ่ยก่อนจะเดินเข้าไปใกล้จนเธอต้องเป็นฝ่ายถอยหนีเพราะกลัวดวงตาคู่สวยที่ถอดแบบมาจากเพื่อนสนิทแต่ตอนนี้มันฉายเพียงแค่แววของความอาฆาตแค้น
“คุณแม่ดูเซียวๆไปนะครับ ผมว่าเราน่าจะออกไปหาที่เดินเล่นตากอากาศกันสักหน่อย”
“ฉันไม่ไปไหนกับแกทั้งนั้น”
“ไปเถอะนะครับ”
ร่างโปร่งเอ่ยด้วยเสียงเย็นก่อนจะคว้าหมับที่ท่อนแขน ออกแรงกดน้ำหนักลงจนเธอร้องออกมา
“อ่อนแอแบบนี้ก็หมดสนุกกันพอดี”
“แกจะฆ่าฉันใช่ไหม”
กันต์กวีหัวเราะในลำคอก่อนจะลากตัวเธอขึ้นรถก่อนจะปรับล็อคที่บานประตูให้ไม่สามารถเปิดออกจากด้านในได้
“ฆ่าไปก็ตายเปล่า”
ชายหนุ่มเอ่ยก่อนจะจ้องมองเธอผ่านกระจกมองหลัง
“อ่อ…ไม่ต้องกลัวไปหรอกนะ ไม่ใช่เธอคนเดียวที่ฉันจะทำแบบนี้”
“อย่ายุ่งกับตาดินนะ เขาไม่เกี่ยวข้องด้วย”
“ไม่เกี่ยวเหรอ…เธอสั่งให้เขาไม่ให้ผ่าตัดให้พี่จนพี่ต้องตาย”
“ไม่จริง…ฉันแค่พูดขู่นายไปเท่านั้น ลูกชายฉันมีจรรยาบรรณความเป็นหมอพอ เขาไม่รู้เรื่องในอดีตที่เกิดขึ้นด้วยซ้ำ”
“ฉันไม่เชื่อ”
“การผ่าตัดมันไม่สำเร็จเพราะคนอื่นเป็นทำหน้าที่แทน วันนั้นลูกชายของฉันไปประจำอยู่อีกโรงพยาบาลหนึ่ง”
กันต์กวีชักเริ่มสับสันกับสิ่งที่ได้ยิน
“แม่ลูกย่อมปกป้องกัน ดี…เธอก็รับกรรมที่ก่อก่อนเลยก็แล้วกัน”
ทันทีที่พูดจบก็หยุดรถอย่างกะทันหันก่อนจะเปิดประตูและฉุดกระชากคนที่นั่งอยู่เบาะหลังให้เดินตามทางที่นำ
“เดินเร็วๆสิ”
กันต์กวีออกแรงลากเธอผ่านขั้นบันไดนับสิบขั้นก่อนจะขึ้นมาพบกับพื้นที่กว้างที่ปูด้วยหญ้าสีเขียวขจีซึ่งบนพื้นที่มีหลุมศพแบบคริสต์เรียงรายอยู่มากมาย ด้วยความเหนื่อยล้าบวกกับโรคประจำตัวที่เป็นทำให้หญิงวัยกลางคนอ่อนเปรี้ยเพลียแรง หอบเอาอากาศเข้าปอด
ท่าทางที่ดูทรมานทำให้ร่างคลี่ยิ้มออกมาด้วยความสะใจ
“อย่าเพิ่งตายซะก่อนล่ะ เธอต้องทักทายแม่กับพี่ชายของฉันก่อน”
แต่ทันทีที่กันต์กวีลากเธอมายังหลุมศพของผู้เป็นที่รักทั้งสองก็ต้องประหลาดใจเมื่อเห็นช่อลิลลี่สีขาวนวลตาวางอยู่ก่อนหน้าที่เขาจะมา
เขามองรอบบริเวณทันทีก็ไม่พบใคร จะว่าเป็นอดิเทพก็คงไม่ใช่เพราะรายนั้นไม่เคยมีที่นี่คนเดียวสักครั้ง
แต่ตอนนี้จะเป็นใครก็ไม่สำคัญแล้ว
“คุกเข่าลงเดี๋ยวนี้”
“ไม่มีทาง ฉันไม่มีวันคุกเข่าต่อหน้ายัยนั่น”
“คุกเข่าเดี๋ยวนี้”
กันต์กวีกดตัวเธอให้ย่อต่ำลงแต่เมื่อขัดขืนชายหนุ่มจึงเลือกผลักเธอลงไปนอนกองกับพื้น
“แม่ พี่กานต์ ผมทำได้แล้วนะ”
หญิงวัยกลางคนทำท่าจะลุกขึ้นแต่ร่างโปร่งก็นั่งลงก่อนจะกดตัวเธอไว้
“กราบสิ…”
“ไม่มีทาง”
“ฉันบอกให้กราบไง”
กันต์กวีดวงตาวาวโรจน์ด้วยความโกรธ ยามนี้ก็ไม่มีอะไรมาฉุดรั้งโทสะของเขาได้
เว้นแต่…
“พอได้แล้ว…วี”
เสียงหนึ่งที่ดังขึ้นฉุดให้กันต์กวีออกมาจากภวังค์แห่งความโกรธแค้น
“ลูกแม่…”
หญิงวัยกลางคนเอ่ยเรียก ชายหนุ่มร่างสูงเดินเข้ามาประคองบุพการีไว้ในอ้อมแขน แต่แล้วเธอก็หมดสติไป
“แม่…”
กษิดินทร์เอ่ยเสียงดังก่อนจะรีบกดโทรศัพท์เรียกรถพยาบาลให้มาทันที ไม่นานเสียงไซเรนก็ดังก้องทั่วบริเวณก่อนร่างของหญิงวัยกลางคนจะถูกพาตัวไป แววตาตัดพ้อมองมาทำให้กันต์กวีได้แต่เม้มริมฝีปากแน่นด้วยความรู้สึกเจ็บปวดที่อยู่ๆก็ล้นทะลักเข้ามาในอก
“ผมไม่คิดเลยว่าสิ่งที่แม่พูดจะเป็นความจริง”
“แม่นายแย่งพ่อไปจากเรา นายเองก็ฆ่าพี่ชายฉัน แม่นายกับนายน่าจะตายตามพวกเขาไปด้วยซ้ำถึงจะสาสม”
“เรื่องของพี่ชายวี ผมไม่รู้ด้วยซ้ำ ผมไม่รู้ว่าวีมีพี่แล้วเสียเขาไป”
“โกหก”
“วันนั้นผมไปประจำที่โรงพยาบาลอื่น แพทย์อีกคนเลยทำหน้าที่แทน แต่พี่ชายของคุณเป็นโรคเรื้อรังจนลามเกือบทั่วทั้งร่างกาย เมื่อรับไม่ไหวจึงเกินการเยียวยา”
กันต์กวีนิ่งเงียบได้แต่มองสบนัยน์ตาที่มองยังไงก็ไม่พบแม้แต่คำโกหกหลอกลวง เขาอ่อนลงจนกลายเป็นรู้สึกเสียใจ
“วี…จำที่ผมเคยบอกวีได้ไหม ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นผมก็จะรักวี ผมยังยืนยันคำเดิม”
“มันไม่มีอะไรเหมือนเดิมอีกแล้ว นายรู้นี่ว่าฉันเข้ามาในชีวิตนายเพื่ออะไร มันก็แค่ละครฉากหนึ่ง ฉันไม่เคยรักนายแม้แต่น้อยด้วยซ้ำ อีกอย่าง…แฟนเก่านายน่ะ ฉันให้คนรักของฉันไปแย่งเธอมาจากนายเอง”
ร่างโปร่งออกมาทุกสิ่งทุกอย่างเพราะเขาไม่อยากได้ยินว่ายังรักเหมือนหรือให้อภัย เขารับฟังคำเหล่านี้ไม่ได้เพราะรู้สึกว่าตัวเองไม่คู่ควรกับสิ่งนั้นอีกต่อไปแล้ว
“คนรัก”
“ใช่…ฉันมีคนรักอยู่แล้ว นายมันก็แค่ตัวละครตัวหนึ่งในฉากที่ต้องเข้าแสดงก็เท่านั้น”
ร่างสูงแค่นยิ้มที่ดูเหมือนกำลังรวดร้าว
“ผมหลงคิดมาตลอด ว่าเรารักกัน”
กันต์กวีสูดหายใจเข้าเต็มปอดก่อนจะเชิดหน้าขึ้นก่อนจะยิ้มราวกับตัวเองกำลังกำชัยในสงคราม
“การแสดงของฉัน มันชั้นหนึ่งอยู่แล้ว อ๊ะ…ฉันคงต้องไปแล้ว ป่านนี้คนรักของฉันคงรอฟังผลแล้วล่ะว่าละครเรื่องนี้จบลงยังไง”
ร่างโปร่งเตรียมเดินออกมาจากบริเวณนั้นแต่มือใหญ่ก็คว้าข้อมือรั้งไว้เสียก่อน
“ทำกันถึงขนาดนี้แล้วคิดว่าผมจะปล่อยให้เดินจากไปง่ายๆอย่างนั้นเหรอ”
“ปล่อยนะ”
กันต์กวีพยายามสะบัดมือออกจากการเกาะกุมแต่มือที่ราวกับคีมเหล็กก็บีบแน่นจนรู้สึกเจ็บ
“ละครมันยังไม่จบวี”
2BCon…
(มาอัพแล้วนะคับ :mc4:ช้าอีกตามเคย :laugh:เพิ่งสอบเสร็จไปหนึ่งวิชาก็แก้เครียดด้วยการเขียนนิยายที่เรียกว่าฉากนี้ออกจะซาดิสต์หน่อยๆ คาดว่าการเขียนต่อจากนี้อาจจะมีเลือดสาดกันได้ ฮ่าๆๆ อ่อ…ไนท์จะพยายามแต่งเอ็นซีนะคับ แต่อาจจะเอามาลงเย็นวันศุกร์หรือถ้าสมองลื่นไหลก็ค่ำๆพรุ่งนี้นะคับ ขอบคุณสำหรับทุกคอมเม้นต์และทุกๆกำลังใจนะคับ ปล ฉากเอ็นซีต้องแล้วแต่ความเหมาะสมในตอนนะคับ อาจจะคราวหน้าหรือคราวต่อๆไป )