กาลกีรตี บทที่ 10
"หมอฉีดยาให้แล้วกันนะครับ"
อะน่ะ...จะทำอะไรก็ทำเถอะ...อย่างกับผมจะเถียงอะไรได้...... นอกจากพยักหน้ายอมรับชะตากรรม.... ตอนนี้อยู่คลินิกครับ อาการมันแย่มากกว่าที่เคยเป็นถึงจะชินๆกับไมเกรนก็เถอะแต่การที่ไมเกรน มันแท็คทีมกับโรคภูมิแพ้แบบนี้ผมก็เพิ่งเคยเป็น... นอกจากจะสมเพชตัวเองแล้วยังพามังคุดมาลำบากด้วยอีก หันไปมองมังคุดแล้วสงสารมันจัง การเป็นพระเจ้าของผมเนี้ยทำมันเหนื่อยโฮก!
ย้อนกลับไปครึ่งชั่วโมงที่แล้วผมเหมือนจะตายให้ได้ อาการจริงๆมันแค่ 65% แต่ลูกสำออยผมมัน บวกเพิ่มอีก 75% รวมๆแล้วมันเลยทำให้ผมดูเหมือนสภาพใกล้ตาย... ทุลักทุเลพอสมควรกว่ามังคุดมันจะอุ้มผมมาที่นี่ได้ ความจริงแค่พยุงผมลงมาจากห้องแล้วเรียก แท็กซี่ก็จบ.... แต่ขอโทษครับ เรื่อง 'ภาษา' เป็นปัญหาหลัก พอเรียกแท็กซี่ได้ ดันบอกจุดหมายไม่ได้ ไม่ต้องว่าใครหรอกครับ...แหะ แหะ ก็พอ เอล จะหันมาถามผม ผมก็แยกเขี้ยวให้แล้ว...ปวดหัวเหี้ยๆยังจะมาถามนู้นถามนี้อีก ใครมันจะไปมีอารมณ์ตอบว๊ะ!! ไม่กระโดดกัดคอก็บุญเท่าไหร่แล้ว
....สุดท้ายไอ้มังคุดเลยต้องแบกผม เดินหาคลินิกหรือโรงพยาบาลสักที่ ที่ไหนก็ได้ที่จะทำให้ผมสงบลง....เป็นไง พระเจ้าของผม....สุโค้ยไหม?'
.................................
...............................................................
อ่ะ...เจ็บจิ๊ดนึงตอนที่เข็มมันแทงลงไปที่สะโพก เอล มันจับมือผมไว้แน่นตอนหมอฉีดยา... แหม... ความรู้สึกอย่างกับเป็นคนท้องแล้วสามีพามาฉีดวัคซีน...ใจชื้นนิดๆ ที่เวลาป่วยแล้วมีคนมาเป็นห่วงเป็นใย ปกติคนที่มากับผมจะเป็นไอ้ฝิ่นหรือไม่ก็ใครก็ได้ที่หลงกลความสำออยของผม... ไม่อยากจะบอก ไอ้ฝิ่นเคย ตีรถกลับมาจากนครสวรรค์เพื่อมาพาผมไปโรงพยาบาลด้วย... ก็บอกแล้วเรื่องสำออยผมอะ 'ตัวพ่อ'
"ที่หมอฉีดให้ ยาคลายกล้ามเนื้อนะครับ ส่วนที่จะให้ก็ยานอนหลับกับยาแก้อักเสบ...ปกติทาน ทาฟาก็อท อยู่แล้วใช่ไหมครับ ช่วงนี้เครียดอะไรอยู่หรือเปล่า?คงต้องพักสมองบ้างนะครับ ...เรื่องภูมิแพ้นี่น่าจะเพราะร่างกายอ่อนแอพักผ่อนไม่เพียงพอ...ยังไงเชิญรับยาที่หน้าเคาว์เตอร์นะครับ "
น้ำตาจะไหล ทรมานแบบใกล้ตาย แต่ที่ได้คำตอบจากหมอมา...อาการธรรมดาโคตร ...ดีนะที่มังคุดมันฟังไม่รู้เรื่อง...ถ้าฟังรู้เรื่องผมคงต้องแทรกแผ่นดินหนีอาย..ก็หน้ามันตอนนี้จ้องหมอยังกับฟังผลตรวจเลือด ผมหันไปมองหน้ามันแล้ว ใช้นิ้วขยี้คิ้วที่ขมวดจนจวนจะผูกกันอยู่แล้ว ให้คลายลง เอียงคอยิ้มหวานให้มันทีจะได้ไม่ต้องกังวลอะไรนักกับอาการผม ที่ได้ตอบกลับมาคือรอยยิ้มกว้างและรสริมฝีปาก ....สัด!!!! หมอยังนั่งอยู่นะมึง!!!! สะดุ้งผลักมันออกไปแบบลืมตาย หันไปหาหมอ เห็นหมอยิ้มแห้งๆ มาให้ ....ฮืออออ จบแล้วภาพพจน์กู ไอ้มังคุดบ้า!!! ไม่สนใจอะไรแล้ว อาการผมดีขึ้นแล้วนิ ผมไหว้ลาหมอแล้วเตรียมจะเดินออกไปทิ้งไอ้มังคุดไว้นี้หล่ะ ช่างแม่ง!! ยังไม่ทันก้าวขาออกจากห้องตรวจ หมอก็กวักมือเรียก เดินเข้าไปหาถึงได้คำแนะนำแบบได้อาย...
คอผมไม่ได้เป็นอะไร[?] แต่ที่ให้ยาแก้อักเสบมา ....เพราะร่องรอยที่หมอเห็นตอนเปิดสะโพกผมเพื่อฉีดยา มันมีรอยเขียวห้อเลือดและรอยกัดของฟัน....ไม่ต้องเดาต่อจากนั้น...ผมรู้ว่าหมอหวังดี........ แต่บางทีให้ผมคิดว่ายาที่หมอให้มาเพราะผมเจ็บคอต่อไปก็ได้ แล้วยิ่งไอ้มังคุดมันมาจูบผมต่อหน้าหมออีก หึ...แสดงความเป็นเจ้าของกูเข้าไป มึงไม่เดินไปหาประชาสัมพันธ์แล้วออกไมค์เลยหล่ะว่าไอ้รอยบนตัวกูอะ มึงเป็นคนทำ....ไอ้มังคุดบ้า!!!
.................................
...............................................................
เดินตัวปลิวออกมาจากคลินิกผมก็ก้าวเอาก้าวเอา เดินตัวปลิวจริงๆครับเพราะผมไม่คิดจะถืออะไรเลย ห่อยาก็ให้มังคุดถือ ตังค์ก็ให้มังคุดจ่าย ไม่ได้เอาเปรียบแต่ ลงโทษฐานทำผมอาย ....ผมไม่ได้งกเรื่องเงินนะ แต่... อายจนไม่กล้ามองพวกที่คลินิก ก็ตอนผมโดนฉีดยาใครต่อใครเขาเห็นร่องรอยที่ไอ้มังคุดมันทำไว้บ้างก็ไม่รู้....
ฮืออออออ.... แต่งงานไม่ได้แล้วกู... ฮือออ...เพ้ออีกหล่ะ.....ยังกะมึงคิดจะแต่ง .... เถียงกับตัวเองพอประมาณฝึกสมองครับ ... เดินออกมาไกลจากคลินิก ไอ้มังคุดก็วิ่งมาจับมือผมไว้เหมือนเดิม จะสะบัดออกแต่มันยิ่งจับแน่น ผมก็เลยทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ไปซะงั้น เรื่องนี้ยังไม่อยู่ในความสนใจเท่าเรื่องในสมองผม 'Secret Tale Project' คิดได้แค่นั้นผมก็ดึงมือมังคุดลากเข้าร้านเครื่องเขียนแล้ว... งานดีไซต์ที่ต้องส่งภายในวันจันทร์ วันนี้วันศุกร์แล้ว ทำไงดีอ่ะ....มุขทำใจใช้ไม่ได้แล้วตอนนี้ คงต้องลงมือเสียที...
กระดาษ A4 200 G.กับอุปกรณ์ พวกดินสอและโม่ดินสอ รวมไปถึงยางลบ ถูกผมจับใส่จับใส่ในตะกร้าใบเล็ก เหมือนเคยครับ มังคุดเป็นคนถือ ... พร้อมกับกุมมือผมไว้ด้วย....ผมยังงงตัวเองที่ปล่อยให้อะไรๆ มันมาถึงขั้นนี้ ปกติผมเป็นพวกไม่ชอบการผูกมัด ไม่ชอบแม้แต่การที่จะมีใครสักคนอยู่ข้างๆ 'รำคาญ !, อึดอัด! ' คำนั้นผมมักจะบ่นกับไอ้ฝิ่นหรือคนในกอง บ.ก. ที่มาวนเวียนใกล้ๆ พื้นที่ส่วนตัวของผม ผมไม่ชอบให้ใครมายุ่งย่าม ...แต่ตอนนี้เหมือนพื้นที่ของผมจะมีใครมาใช้ร่วมกันแล้วสิ ...
ผมสอดสายตาหาโมเดลแบบหุ่นไม้ แต่ที่หยุดสายตากลับเป็น หนังสือในชั้นวาง 'พจนานุกรม อิตาเลี่ยน-ไทย-อังกฤษ' มังคุดมันสัญชาติอะไร นะ ?ไม่รู้สิ แต่...ไม่ใช่อังกฤษแน่ๆ แล้วเรื่อง 'Secret Tale Project' ตัวละครจะใช้ชื่ออะไรดี ?... บางทีหนังสือเล่มนี้อาจมีประโยชน์ ...ผมเอื้อมมือไปหยิบหนังสือเล่มหนา พอๆกับมือใหญ่ของคนข้างๆที่คว้าหนังสือเล่มนั้นไว้ ....
"นายคงไม่ใช่ อิตตาเลี่ยนมั้ง มังคุด..?! "
"Gli italiani "
คือประโยคที่ออกมาจากริมฝีปาก ของเจ้าของมือที่กุมมือผมไว้ หึหึหึ...นอนด้วยกันมาสามคืน เล่นเอาสะโพกระบม เพิ่งรู้ว่าไอ้ที่นอนด้วยนี้มันสัญชาติอะไร ....เจริญแล้วกู....ไอเดียร์เอ้ย...
.................................
...............................................................
"ใครอ่ะไอเดียร์?!"
ไอ้ฝิ่นมันยกมือไหว้ไอ้มังคุด แล้วหันมากระซิบถามผม เพื่อนๆในห้องก็พอกัน ยกมือไหว้ตามไอ้ฝิ่นกันระนาวเลย ผมมองศาลพระภูมิเคลื่อนที่แล้วก็บ้าจี้ยกมือไหว้มันอีกคน...เป็นอุปทานหมู่ครับ ... อยู่ด้วยกันมาพอสนิทบ้างแต่เพิ่งสังเกตุ มังคุด มันดูเป็นผู้ใหญ่มากๆ ผมไม่ได้ว่ามันหน้าแก่นะ แต่ความรู้สึกมันบอก ว่ามังคุดมันมีเพาว์เวอร์อะไรบางอย่างที่ไม่เหมือนพวกผม ไม่รู้ดิ...อธิบายไม่ถูก...แล้วก็ไม่กล้าถามด้วยว่ามังคุดอายุเท่าไหร่
เข้ามาในห้องแอร์เย็นๆนี้ได้ผมก็จัดที่นั่งให้มังคุดก่อนเลย ที่มาที่นี้เพราะ หมอบอกว่าผมเครียดไง ตอนนี้เลยจะมาระบายความเครียดสักหน่อย ผมเดินไปที่ที่ประจำตำแหน่ง แล้ว รอไอ้ฝิ่น...เสียงกีตาร์ที่ดังขึ้นมาเบาๆ แล้วค่อยๆเร่งจังหว่ะ รับกับเสียงไอ้ไปร์ทที่ แหกปากตะโกน เรียกผมให้ลงข้อมือกับไม้กลอง !!! นี่เป็นครั้งแรกที่ผมพาคนนอกเข้ามาดูการซ้อมวง และการปล่อยอารมณ์กับเสียงกลอง ที่พาให้เสียงหัวใจเต้นตาม ....นี่หล่ะวิธีคลายเครียดของผม แรงข้อมือที่โหมกดลง มันอธิบายเป็นความรู้สึกไม่ได้ ...รู้แค่มันสนุกจนใจเต้นแรงก็แค่นั้น
กี่ครั้งไม่รู้ที่ผมเทแรงทั้งหมดให้ข้อมือ ทั้งสองข้างพาไม้กลองสร้างจังหวะเสียงเต้นของหัวใจใหม่....
...มังคุดยืนกอดอกมองผมอยู่ ตรงนั้น สีหน้าเรียบมีรอยยิ้มจางๆที่มุมปาก มือข้างขวาที่ยกขึ้นมาชูนิ้วโป้งให้เหมือนเป็นภาษาสากล เห็นแค่นั้นหัวใจผมยิ่งพองโต...ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่ผมปล่อยให้มังคุดก้าวเข้ามาในพื้นที่ส่วนตัว...
.................................
...............................................................
เสียงกลองที่ผมลงจังหว่ะมันยังกระหึ่มในหูอยู่เลย สนุกจัง มึนจริง... เรื่องปกติที่พอซ้อมวงแล้วก็ตบด้วยเหล้า และกับแกล้ม ห้องซ้อมนี้เป็นของไอ้ไปร์ท นานๆทีผมกับฝิ่นจะนัดกันมา แต่ไม่ได้หมายความว่ามันจะไม่มีใคร ถ้าไอ้ไปร์ทอยู่ ตัวตายตัวแทนไอ้ไปร์ทหาได้เสมอ เหล้าก็เหล้ามัน กับแกล้มแม่ไอ้ไปร์ทก็ทำให้ ยิ่งมีมังคุดมานั่งเป็นศาลพระภูมิสร้างความเชื่อถือข้างๆ แม่ไอ้ไปร์ทยิ่งเพิ่มการบริการ ทั่วไปพวกผมกินแค่ ต้มยำ ไข่เจียว
แต่นี้พอศาลพระภูมิตั้งตระหง่าน กับแกล้มแบบซุปเปอร์ไฮเวย์ก็มาทันที ต้มยำกุ้ง ผัดผักบุ้งไฟแดง แกงส้มปลาช่อน ไก่ตอนต้มน้ำปลา ต้มกระทิข่าไก่ ปิดท้ายด้วยเนื้อย่าง ...แม่เขาบอกว่า เผยแพร่วัฒนธรรม พวกผมเลยได้อนิสงเต็มๆ แหมกลายเป็นสัมพเวสี แย่งกันกินของไหว้ศาลพระภูมิกันอย่างสนุกสนาน...นั้งไปได้สักพักก็กึ่มๆ มองหน้าไอ้มังคุดแล้วทำไมผมอารมณ์ดีจัง...
"ฝิ่นกูไปห้องน้ำนะ... "
ผมพยุงตัวลุกขึ้นแล้วดึงแขนเสื้อให้มังคุดเดินตามเหมือนแม่ปูกับลูกปูเลย เพราะผมเริ่มเซแล้วหลังจากกรอกเหล้าเข้าไปเยอะ
"กระเพาะฉี่มึงติดกันหรือไงว๊ะไอเดียร์?มึงถึงต้องลากพี่เขาไปด้วยอ่ะ "
ไม่ตอบครับ...ผมหันไปยกนิ้วกลางให้ไอ้ฝิ่นแล้วดึงไอ้มังคุดให้เดินตาม.... มาถึงห้องน้ำผมก็ผลักมันเข้าไปนั่งจุ้มปุ๊กอยู่ที่ ชักโครก... ก่อนจะปิดล็อกประตูห้องน้ำแล้วขึ้นนั่งคร่อมตักมัน ....
....น้ำเมาที่กรอกเข้าไป...มันทำให้ผมอยากฟังเสียงอื่น ....
........อยากเปลี่ยนเสียงกลองที่ยังดังอยู่ในหัว .......
....
.
............เป็นเสียงครางของไอ้ศาลพระภูมินี้จัง ....
......................
.........................................