หลังจากทุกคนผลัดกันเล่าเรื่องจนจบ ผู้อาวุโสเพียงคนเดียวในห้องก็นิ่งเงียบไป เขาเองก็ไม่คิดว่าสิ่งที่ลูกและเพื่อนไปเจอมาจะหนักหนาขนาดนี้ โชคดีที่ลูกชายเขาไม่เป็นอะไรมาก
“เนี่ย ขนาดพ่อฟังยังอึ้งเลย” ชวินพูดข่มพ่อตัวเองที่ยกกาแฟดื่มจนหมดแล้วเมื่อฟังจบ นั่งอึ้งไปเลย
“...ก็งั้นๆ แล้วนี่คือยังไม่ได้เปิดกล้องดู”
“ยังครับ โบ้มันให้รอก่อน ช่วงนี้มันไม่ว่างมาค้างด้วย” สิงหาตอบแทนโบ้ที่ไม่สามารถส่งเสียงได้เพราะทำงานอยู่ แต่ยังฟังบทสนทนาของทุกคนตลอดเวลา
“พ่อว่าไงอะ มีทางไล่ผีเปล่า พระหรือซินแสก็ได้”
“ฮื่อ พระอาจารย์ท่านไม่ยุ่งเรื่องพวกนี้หรอกน่า เรื่องแบบนี้ต้องหาพวกหมอผี คนทรงเจ้าอะไรพวกนั้น” เขาส่ายหน้าให้ลูก แม้เรื่องมันจะใหญ่แต่จะให้พระชั้นผู้ใหญ่แบบนั้นมาไล่ผีเนี่ยเหรอ ไม่มีใครเขาทำกันหรอก
“แต่พ่อแน่ใจนะว่าตอนสร้างไม่มีเด็กตายที่ตึกเราน่ะ”
“เอ็งก็คอยคุมงานอยู่ มีไม่มีจำไม่ได้หรือไง อีกอย่างพ่อว่ามันไม่น่าเกี่ยวกับตึกนะ พวกเราคงกลัวกันจนหลงทิศกันหมดแล้วใช่ไหมเนี่ย” เขามองสบตาเพื่อนลูกไล่ไปทีละคน แต่ไม่มีใครดูจะเข้าใจความหมายที่สื่อถึงเลย
“หาว่าผีคือใครมันยาก หาว่าทำไมมันสิงอยู่ในตู้ง่ายกว่า” เขาเฉลยเมื่อทุกคนนิ่งเงียบ
“.....จริงด้วย ทำไมมันชอบอยู่ในตู้” สิงหานึกทวนแล้วพบว่าจริง ในเมื่อตู้มีผี จะมัวเสียเวลาว่าผีมาจากไหนทำไมในเมื่อไม่รู้จักผี หาว่าตู้มาจากไหนง่ายกว่า
“แต่มันตู้บิวท์อินนะ ไม่ใช่พวกตู้เก่าอะไร ผมสั่งบิวท์อินให้สิงมันเอง” ชวินไม่คิดว่าตู้จะมีผี เพราะมันสั่งทำขึ้นไม่ใช่ของมือสอง
“ก็นั่นล่ะ ไปดูที่ร้านนั้นเลย ตู้ทำจากไหน ไม้ของตู้มาจากไหน ตามตู้ไปเดี๋ยวเจอเอง” กฤษณะยกข้อมือดูเวลา เห็นภรรยาที่แต่งตัวเสร็จแล้วเดินมาผ่านหน้าห้องไปก็รู้ว่าได้เวลาออกไปธุระแล้ว
“ทำไมพวกเราคิดกันไม่ได้วะเนี่ย” เต้บ่นความโง่ของตัวเอง เข้าถ้ำผีตั้งหลายรอบดันคิดไม่ออก พาตัวเองไปซวยแท้ๆ
“เรามัวแต่จะไล่ผีไง หาแค่ว่าผีคือใคร ไม่ได้คิดว่ามันมาจากไหน” สิงหาตอบกึ่งบ่นตัวเอง ตอนแรกก็มีคนเสนอให้เอาตู้ออกเหมือนกัน แต่เขาคิดว่ามันไม่ใช่วิธีแก้ปัญหา ไม่ได้คิดตามรอยตู้เลย คิดแต่จะไล่ผีออกไปอย่างเดียว
“กูว่าเรามัวแต่กลัวผีขึ้นสมองมากกว่า” ชวินรู้สึกแย่ที่สุดในสามคน เขามั่นใจมากว่าไม่เกี่ยวกับตู้ แต่พอมันอาจเกี่ยวเลยรู้สึกหงุดหงิด ในใจลึกๆ ยังคิดค้านอยู่ ถ้ามันอยู่แค่ในตู้จะไม่ว่าอะไรเลย นี่มันเพ่นพ่านทั่วห้องแล้ว จะใช่เพราะตู้จริงๆ เหรอ
“ตกลงไปตามร้านบิวท์อินก่อน ได้เรื่องยังไงมาเล่าให้พ่อฟังด้วย พ่อออกไปทำงานก่อนล่ะ” ผู้ใหญ่ที่ชี้ทางสว่างให้แก๊งล่าผีเดินจากไปนานแล้ว สามหนุ่มยังนั่งนิ่งนึกทบทวนความทรงจำตัวเองว่าเคยมีสักครั้งไหมที่คิดจะไปตามรอยตู้บิวท์อิน
“ทำไมเราไม่เคยไปตามตู้เลยวะ ตามแต่ผี ทำไมโง่ได้พร้อมเพรียงกันสุดๆ” เต้งงกับความโง่ของทุกคนรวมทั้งตัวเอง
“นั่นดิ ไอ้สิงมึงอะ ก็รู้ตั้งแต่แรกว่าผีมาจากตู้ ทำไมถามกูแต่ว่ามีคนตายในห้องไหม ทำไมไม่คิดถึงตู้ก่อนวะ” ชวินโบ้ยให้เพื่อนเจ้าของความคิดตามหาผี แต่สิงหาใช่ว่าจะยอมรับ
“มึงเลยไอ้เหี้ย ห้องกูทุกห้องมึงเป็นคนแต่งให้ ตู้นั่นมึงก็สั่งทำ ไปเอาไม้อะไรมาทำให้กูวะ”
“มิน่าผีตามแต่ไอ้ชวิน มึงไปตัดบ้านใครมาทำตู้ใช่ไหม” เต้ขยับเบียดกับสิงหา แกล้งให้ชวินกลัวเล่น แล้วก็ไม่ผิดหวังเมื่อเพื่อนที่นั่งคนเดียวย้ายฝั่งมานั่งแทรกกลาง
“ไอ้พวกเหี้ย กูไม่ใช่ช่างไม้ แค่สั่งทำ...แม่ง พอพ่อบอกกูก็เหมือนจะนึกอะไรได้เลยว่ะ”
“อะไร/อะไร”
“เด็กเออีซีนั่นไง...กูว่ากูเคยเจอจริงๆ ด้วย ถ้าเป็นเด็กคนเดียวกับที่กูคิดน่ะนะ....แต่แม่ง น้องมันตายแล้วเหรอวะ” ชวินหน้าสลดลงเมื่อนึกไปถึงใครบางคนที่เคยได้รู้จักกัน
“ร้านที่ว่าอยู่แถวไหน ออกไปดูกันเลยดิ กูโดดงานทั้งแล้ว” เต้ชวนเพราะไหนๆ วันนี้ก็ว่างทั้งวัน สิงหาช่วงนี้ก็รับหน้าที่เฝ้าร้านก่อนเริ่มถ่ายหนังสั้นอีกสองอาทิตย์
“ไอ้โบ้ มึงว่าไงล่ะ ทำเงียบนะมึง สายก็ไม่ตัด” ชวินมองเพื่อนในหน้าจอโทรศัพท์ นั่งเงียบฟังคนอื่นคุยกัน งานยุ่งก็แทนที่จะทำงานแล้วค่อยมาเสือกย้อนหลังก็ได้
“เออๆ กูคุมเด็กซ้อมอยู่ พวกมึงไปกันเลย แล้วไม่ต้องโทรมาเล่านะ กูอยู่ในป่า ไม่อยากรู้” โบ้พูดจบก็รีบตัดสายไปทันที เขาต้องทำหน้าที่คุมเด็กนักกีฬาโรงเรียนมาเข้าค่ายฝึกซ้อมร่วมกับโรงเรียนอื่นโดยทำการติดต่อค่ายทหารเอาไว้เพื่อขอยืมสถานที่พัก และรอบบริเวณก็มีแต่ต้นไม้....เขาไม่พร้อมฟังการตามรอยผีครั้งนี้เท่าไร เอาไว้กลับเข้าเมืองค่อยให้เพื่อนเล่าให้ฟัง
สามหนุ่มอาศัยรถของชวินมายังสถานที่ผลิตเฟอร์นิเจอร์บิวท์อิน เดิมทีที่คอนโดฯ มีการจ้างงานตกแต่งแบบเหมากับบริษัทฯ ที่มีร่วมงานกันประจำอยู่แล้ว แต่ห้องของสิงหาเป็นการตกแต่งเพิ่มเติมภายหลังพร้อมๆ กับห้องของชวินเอง ชวินเลยเลือกใช้อีกบริษัทฯ ที่รับงานหน่วยเล็กกว่าแต่คุณภาพไม่เล็กเลย ปกติก็คุ้นเคยกันดีเพราะบางทีก็แนะนำให้ญาติให้เพื่อนประจำ งานละเอียด มีงานไม้แท้ให้เลือกใช้ วัสดุมีคุณภาพ ทำงานเร็วไม่เบี้ยวงาน ชวินขับรถไปที่บริษัทฯ โดยไม่ได้โทรไปบอกก่อน เขาขับรถเข้าซอยเลี้ยวเข้าไปทางประตูข้าง สำหรับรถบรรทุกขนสินค้าเข้าออกจากโกดัง สายการผลิตและโกดังจะอยู่ด้านหลังของอาคารสองชั้นเล็กๆ นี้
“ทำไมมันดูเงียบๆ วะ เขาหยุดหรือเปล่า” สิงหามองผ่านประตูเข้าไปข้างใน ไม่เห็นมีคนเลยแม้แต่คนเดียว
“ประตูเปิดอยู่นะ ไม่ปิดหรอก บริษัทฯ มันเล็กไง สงสัยกิจการไม่ค่อยดี” เต้สำรวจแล้วน่าจะเปิดทำการอยู่ ไม่งั้นคงปิดประตูไปแล้ว แต่ทำไมไม่มียามเฝ้าหน้าประตูเลย
“เออ แต่...โกดังหายไปไหนวะ กูจำได้ว่ามันอยู่ติดประตูเลยนะ” ชวินมองบรรยากาศเงียบเหงากว่าที่เขาจำได้ ไม่ได้แวะมานานแล้วอะไรๆ ก็เปลี่ยนได้ แต่โกดังสินค้าหายไปไหน ไม่เห็นเฟอร์นิเจอร์สักชิ้นเลย
“เขาย้ายแล้วหรือเปล่า ใช่บริษัทฯ เดิมที่มึงจ้างไหม อ่านป้ายดูดิ๊” เต้ที่นั่งคู่คนขับชี้ให้ชวินอ่านป้ายบริษัทฯ ดูจากภายนอกที่นี่ไม่น่าใช่บริษัทฯ รับทำเฟอร์นิเจอร์บิวท์อินเลย
“.....ไม่ใช่ว่ะ” นี่ไม่ใช่ชื่อบริษัทฯ ที่เขารู้จัก
“เอาไงล่ะ มาถึงแล้ว ลงไปถามคนแถวนี้ดีไหมว่าเขาย้ายไปไหน” สิงหาเสนอ ชวินเลยขับรถตรงเข้าไปในซอย พยายามมองหาคนผ่านไปผ่านมาแต่ช่วงเที่ยงแดดร้อนๆ
“พี่ครับๆ ขอโทษนะครับ ผมขอถามอะไรหน่อย” ชวินรีบจอดรถเปิดกระจกเรียกวินมอเตอร์ไซต์ที่ขับผ่านมา
“ครับ ว่าไง”
“บริษัทฯxxxx ที่เขารับทำบิวท์อิน เมื่อก่อนเขาอยู่ตรงนั้นน่ะครับ ตอนนี้ไปไหนแล้วเหรอ”
“อ๋อ ย้ายไปท้ายซอยโน่นเลย ลึกหน่อยนะ”
“เขายังทำอยู่ใช่ไหมพี่ ยังไม่เจ๊ง”
“ทำอยู่ๆ แต่เล็กลง ทำที่บ้านเขาเอง”
“ผมจ้างพี่ขี่นำไปหน่อยได้ไหม ผมไปไม่ถูก”
“ได้ๆ” วินมอเตอร์ไซต์รีบกลับรถตัวเองแล้วขี่นำเข้าไปในซอย ที่บอกว่าลึกคือเกือบสุดซอยและเลี้ยวหลายรอบ โชคดีที่ชวินให้คนนำเข้ามา หลังจ่ายค่าจ้างเรียบร้อยทั้งสามคนยืนมองป้ายเล็กๆ หน้าโกดังขนาดใหญ่ ท่าทางกิจการจะไม่ดีเลยลดขนาดลงเป็นร้านขายเฟอร์นิเจอร์เท่านั้น มองจากประตูใหญ่เข้าไปเห็นโต๊ะตู้เตียงตั้งโชว์อยู่เต็มไปหมด มีป้ายบอกราคา แต่มองดูดีๆ ก็ยังมีเฟอร์นิเจอร์ที่ไม่ใช่แบบสำเร็จพร้อมขายกำลังขึ้นโครงอยู่ น่าจะมีลูกค้าสั่งทำ รายละเอียดและความสวยงามของงานเทียบเท่างานตามศูนย์การค้าใหญ่ๆ ได้เลย
ชวินเดินนำเข้าไปหาคนงานในร้านที่กำลังเลื่อยไม้อัด เสียงฝีเท้าที่เข้ามาใกล้ทำให้หนุ่มร่างผอมเงยหน้าขึ้นมอง
“มาสั่งของเหรอครับ ติดต่อตรงนั้นได้เลยนะครับ หรือเดินชมก่อนก็ได้ มีที่ทำเสร็จแล้วตรงโน้น” เขาชี้มือไปทางด้านหลัง ตู้คอนเทนเนอร์หนึ่งตู้มีป้ายติดไว้ว่าสำนักงาน
“ผมมาหาลุงโชค อยู่ไหมครับ” ชวินถามถึงเจ้าของบริษัทฯ ที่เขายังจำชื่อได้ ชายแก่อายุมากกว่าพ่อเขา รูปร่างใหญ่แต่ใจดี
“มาหาพ่อเหรอครับ อยู่ในบ้าน เดี๋ยวผมไปตามให้ ให้บอกว่าใครมาหาครับ” คนที่ชวินคิดว่าเป็นคนงานกลับเป็นลูกชายเจ้าของร้าน
“บอกว่าชวินแวะมาหา เคยเป็นลูกค้าประจำนานแล้ว”
“ได้ครับ พี่ไปรอในสำนักงานก็ได้ ตรงนี้ฝุ่นมันเยอะ” ชายหนุ่มที่ชวินคิดว่าเป็นคนงาน ที่แท้คือลูกชายเดินไปสั่งงานลูกน้องให้มาทำต่อแล้วเดินไปทางบ้านหลังใหญ่ สามหนุ่มมองหน้ากันแล้วเดินไปยืนรอหน้าสำนักงานเพราะไม่อยากถือวิสาสะเปิดเข้าไปเอง
รออยู่ไม่น่านชายหนุ่มคนเดิมก็เดินมาตะโกนเรียกพวกเขาให้ตามเข้าไปที่บ้าน ทุกคนค่อยโล่งอกที่มาถูกที่จริงๆ เสียที แต่ลึกๆ ก็ตื่นเต้นกับสิ่งที่กำลังจะได้รู้หรืออาจจะไม่รู้อะไรเลยก็ได้ ทั้งเต้และสิงหาไม่ได้สังเกตว่าชวินเงียบขรึมลงตั้งแต่มาถึง ตั้งแต่จอดรถจนเข้ามาด้านใน ชวินพยายามกวาดตามองหาคนที่เคยรู้จัก...เด็กเล็กๆ คนหนึ่ง แต่ก็ไม่พบ....เสียงที่เคยพูดกับเขานานมาแล้ว กับเสียงในคืนนั้นเริ่มซ้อนทับกัน เขาอยากปฏิเสธว่าไม่จริง ไม่ใช่ แต่...เด็กคนนั้นอยู่ไหนกัน
ในห้องรับแขกบนโซฟามีชายร่างผอมนั่งรออยู่ เมื่อเห็นชวินเขาก็ยิ้มอย่างดีใจที่ลูกค้าเจ้าใหญ่เจ้าเก่าแวะเวียนมาหา บางทีอาจจะมีงานใหม่มาให้เหมือนเดิม
“สวัสดีครับลุงโชค จำผมได้ไหมครับ”
“สวัสดีครับๆ นั่งเลยนั่งๆ จำได้สิครับ คุณชวินเจ้าสัวน้อยไง ลุงขาไม่ค่อยดีเดินมากไม่ได้เลยต้องให้เดินมาถึงบ้าน ขอโทษด้วยนะหนุ่มๆ” โชครับไหว้เด็กรุ่นลูกทั้งสามคน บอกให้ทวีลูกชายเอาน้ำเอาขนมมาเสิร์ฟแขก
“ไม่เป็นไรครับ ผมมารบกวนถึงที่ก็เกรงใจแล้ว” สิงหากล่าวอย่างเกรงใจ แต่ทวีเดินไปแล้ว
“ลุงสบายดีไหมครับ ทำไมผอมจนผมเกือบจำไม่ได้”
“ก่อนนี้ป่วยนิดหน่อย ตอนนี้แข็งแรงแล้วแต่ขามันเคยหัก พอหายก็เดินไม่ค่อยไหว คุณชวินมาหาถึงที่ มีงานอะไรอีกหรือเปล่า เห็นร้านเล็กๆ แต่ยังรับงานไหวนะ”
“เอ่อ...ตอนนี้ยังครับ พอดีผมมีเรื่องอยากถามคุณลุงหน่อย” ชวินรู้สึกอึดอัดที่พูดทำลายความหวังของคนตรงหน้า เขารับรู้ได้ถึงความยากลำบากกว่าเดิม กิจการคงไม่ดีเท่าเมื่อก่อน ประกายแห่งความหวังในตาถูกส่งมาอย่างชัดเจน
“อ้อ แหม ลุงก็นึกว่าจะได้งานใหญ่นะเนี่ย ไม่เป็นไรๆ แต่ถ้ามีงานนึกถึงลุงบ้างนะ งานยังเนี้ยบเหมือนเดิม มีอะไรอยากถามพูดมาได้เลย ไม่ต้องเกรงใจ” โชคเสียใจนิดหน่อยที่ความหวังดับวูบ แต่อย่างน้อยก็ยังมีคนนึกถึง วันข้างหน้าอาจจะมีงานมาให้ก็ได้
“คือ...ประมาณสองปีก่อนผมเคยจ้างลุงทำบิวท์อินให้ห้องผมที่คอนโดฯ กับห้องเพื่อน ลุงจำได้ไหมครับ” เกือบเจ็ดปีที่บ้านสิงหาจากไปในช่วงที่คอนโดฯ ยังสร้างไม่เสร็จ หลังจากสร้างเสร็จแล้วเขาก็ไม่ได้กลับมาดู ห้องนอนที่ตั้งใจจะทำเป็นห้องทำงานจึงไม่ได้รีโนเวตตามที่สิงหาสั่งไว้ตั้งแต่ซื้อเพราะชวินไม่แน่ใจว่าเพื่อนจะกลับมาอยู่ที่นี่อีกหรือเปล่า ถ้าต้องการขายคอนโดฯ ห้องที่มีสองห้องนอนจะขายได้ง่ายกว่าเขาเลยไม่ได้รีโนเวตตามความต้องการสิงหา จนเมื่อสิงหาบอกให้ทำเพราะว่ามีแพลนจะกลับมาจึงได้เริ่มรีโนเวตห้องใหม่ พร้อมกับห้องของชวินที่อยากตกแต่งใหม่ด้วย
“....จำได้สิ จำได้” เสียงพูดของลุงโชคแหบพร่าอยู่ในลำคอ เขาจำได้...ไม่มีวันลืม มือเหี่ยวย่นที่เต็มไปด้วยริ้วรอยสั่นเล็กน้อยเมื่อนึกถึงเรื่องบางอย่างขึ้นมา
“คือ ผมอยากรู้ว่าตู้หนังสือที่เคยสั่งบิวท์อินไป มัน....มีอะไรผิดปกติไหมครับ” ชวินไม่ได้สังเกตเห็นอาการผิดปกตินี้ แต่สิงหากับเต้มองเห็น ทั้งสองคนสบตากัน รู้สึกว่ามาถูกที่แล้ว
“พวกคุณหมายความว่าไง จะบอกว่าเราทำของไม่ดีส่งขายเหรอ” ทวีวางถาดใส่แก้วน้ำลงบนโต๊ะ แล้วรีบไปยืนข้างพ่อ ท่าทางพร้อมช่วยเหลือและปกป้องเต็มที่
“ไม่ใช่ๆ ไม่ใช่แบบนั้น อืม....งั้นผมถามเรื่องอื่นก่อน ผมจำได้ว่าตอนมาที่นี่ หมายถึงตรงบริษัทฯ เดิมที่หน้าซอยน่ะครับ ลุงมีคนงานเป็นพม่าคนหนึ่งกับลูกชายตัวเล็ก ผมจำชื่อเด็กไม่ได้แล้ว ตอนนี้ยังอยู่ไหมครับ ผมไม่เห็นเลย”
“......ไม่อยู่แล้วล่ะ ไม่อยู่ทั้งคู่เลย” โชคก้มหน้าหลบตาคนถาม ทวีลูบหลังพ่อเบาๆ อีกมือนวดหน้าอกพ่อด้วยความเป็นห่วง
“ผมว่าพอแค่นี้ดีกว่า พ่อผมเป็นโรคหัวใจ อย่าถามต่อเลยครับ”
“แต่ว่า....” ชวินอยากถามต่อ แต่ก็กลัวคนตรงหน้าจะเป็นอะไร ลูกชายลุงโชคพยายามกระซิบปลอบพ่อตัวเองเสียงเบา
“แสดงว่ามีเรื่องอะไรใช่ไหมครับ....เรื่องแปลกๆ...เกี่ยวกับตู้” โชคถามเสียงเบาจนแทบไม่ได้ยิน
“ใช่ครับลุง ผมเป็นเจ้าของห้องที่มีตู้นั้นอยู่” สิงหาตอบในฐานะเจ้าของ เรื่องนี้มีลับลมคมในบางอย่าง และสองพ่อลูกนี้ก็รู้ด้วย
“พ่อครับ พ่อไปพักเถอะ เดี๋ยวผมคุยต่อเอง พ่อไม่ต้องพูด” ทวีพยุงโชคลุกขึ้น
“....พูดกับคุณเขาดีๆ นะ เราผิดนะลูก อย่าโกหกนะเข้าใจไหม”
“ครับๆ ผมพาพ่อไปนอนในห้องนะ ไม่เครียดนะเดี๋ยวความดันขึ้น เอายาไหม” ลูกชายช่วยประคองพ่อที่เดินกะเผลกขึ้นไปบนบ้านชั้นสอง ปล่อยสามหนุ่มนั่งรอที่ห้องรับแขก
สิงหามองเพื่อนสนิทที่เอาแต่นิ่งเงียบ สองมือกำแน่น เคร่งเครียดผิดปกติ
“มึงเป็นอะไรหรือเปล่า”
“กูจำเด็กนั่นได้แล้ว...กูว่าใช่...เมื่อก่อนเคยวิ่งเล่นช่วยพ่อทำงานที่นี่แหละ เป็นคนงานพม่า ลูกชายอายุแปดเก้าขวบ ตัวขาวๆ คอยวิ่งเอาน้ำมาเสิร์ฟ....เหี้ย แม่ง กูพยายามมองหาแล้วนะ แต่ไม่เจอเลย กูไม่อยากให้เป็นเด็กนั่นเลยว่ะ”
“คุณหมายถึงพยูเหรอ” ทวีลูกชายลุงโชคเดินกลับมานั่งแทนที่พ่อ
“ใช่ๆ พยู เมื่อก่อนเคยล้อว่าชื่อเหมือนพยูนบ่อยๆ” ชวินอมยิ้ม นึกถึงเด็กที่ครั้งหนึ่งเคยเกาะขาพ่อส่งยิ้มอายๆ แนะนำตัวเองว่าชื่อพยู...แปลว่าขาว
“มันตายแล้ว ทั้งพ่อทั้งลูกนั่นแหละ”
“เหี้ย!....โทษที” เต้หลุดปากออกมาเมื่อคนเล่าไม่เกริ่นนำให้ได้เตรียมใจกันเลย
“เล่าได้ไหม” สิงหาถาม
“คุณต้องบอกมาก่อนว่ามาทำไม ถามถึงพยูทำไม”
“ห้องทำงานผมมีตู้หนังสือบิวท์อินจากที่นี่ ผมอยู่ได้เกือบปีแล้ว แรกๆ ตู้มันก็แค่เปิดเองได้ มีเสียงเปิดนั่นนี่ แต่ล่าสุดเราเห็นเด็กคนหนึ่ง ก็ผีเด็กนั่นล่ะ เอาเป็นว่าทำจนผมอยู่ห้องตัวเองไม่ได้ ชวินก็เพิ่งออกจากโรงพยาบาลเพราะโดนหนักกว่าเพื่อน อาจจะเพราะมันรู้จักเด็กคนนั้นก็เลยหนักหน่อย” สิงหาเป็นคนเล่าเอง เพราะชวินมัวแต่นั่งก้มหน้า มือข้างหนึ่งกุมมือตัวเองแน่น มือข้างนั้นที่ผีเด็กเคยจับมันในห้องน้ำ
“ผมขอร้องอะไรสักอย่างก่อนที่ผมจะเล่าได้ไหม”
“ถ้าไม่เกินไปก็ได้ พวกเรามาที่นี่แค่อยากรู้เด็กนั่นต้องการอะไรแค่นั้น” สิงหามองหน้าเพื่อนที่พยักหน้าตอบรับเช่นกัน
“ถ้าฟังจบแล้วพวกคุณอย่าเอาผิดกับพ่อผม ที่พ่อทำไปเพราะไม่มีทางเลือกและไม่คิดว่าจะมีปัญหาอื่นตามมา”
“ก็....ถ้าไม่ร้ายแรงผิดกฎหมายก็โอเค เล่ามาเถอะ”
“ที่บริษัทฯ เก่าพวกคุณคงเคยเห็นกันมาแล้ว ด้านหลังจะมีโกดังไว้กินสินค้าที่สำเร็จพร้อมนำไปติดตั้ง ปกติพยูกับพ่อจะนอนเฝ้าโกดัง จริงๆ มันมีห้องพักเล็กๆ ข้างหลังให้นอนแต่เด็กมันก็ชอบมานอนเล่นกับพ่อในโกดัง เดินทำตัวเป็นยามน้อยตรวจรอบๆ...แล้วคืนหนึ่ง...มันก็มีขโมยจะเข้ามา ผมไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นบ้างในคืนนั้นเพราะผมกับพ่อนอนกันที่นี่ เรารู้ตัวอีกทีตอนมีคนมาเรียกบอกว่าไฟไหม้โกดัง กว่าไฟจะดับของในโกดังก็ไหม้เกินครึ่ง น้าโพนพ่อพยูโดนทุบตายอยู่ข้างหลังโกดัง เราเจอศพตอนไฟดับหมดแล้ว ส่วนพยู....ตายอยู่ในตู้หนังสือของคุณ ชั้นล่างสุด....เด็กมันคงเข้าไปแอบ พอควันไฟมันเยอะก็ขาดอากาศหายใจ พยูมันซื่อ พ่อมันคงบอกให้แอบไว้ พอควันเยอะมันก็ยิ่งไม่กล้าออกมา ตอนนั้นลูกค้าที่รู้ข่าวก็ไม่ยอมรับของที่ทำเสร็จแล้ว บางคนก็ขอเงินคืนครึ่งหนึ่งหรือไม่ก็ต้องทำใหม่ส่งให้ เครื่องมือบางอย่างก็โดนขโมยไปบางอย่างก็พัง ไฟมันลามไปบ้านข้างๆ ต้องเสียเงินให้เขาอีก พ่อผมเกือบจะฆ่าตัวตายแล้ว เราไม่มีทางเลือก อะไรทำเงินได้ก็ต้องเอาไว้ก่อน ตอนนั้นตู้ของคุณมันถึงกำหนดส่งพอดีเราเห็นว่ามันไม่เสียหายอะไรก็เลยเอาไปติดตั้งให้ อย่างน้อยก็จะได้มีเงินก้อนมาหมุน พ่อผมไม่ได้ตั้งใจ แต่มันจำเป็น ผมขอโทษแทนพ่อด้วยนะครับ” ทวียกมือไหว้สิงหาและชวิน เขาร้องไห้ทุกครั้งเมื่อนึกถึงเด็กตัวเล็กที่เคยวิ่งเล่นสร้างเสียงหัวเราะให้คนงาน แรงงานต่างด้าวที่ซื่อสัตย์ขยันขันแข็ง ทั้งสองคนไม่มีญาติที่นี่ เขากับพ่อเลยช่วยจัดงานศพเล็กๆ ให้
“.....แม่ง ไม่รู้จะพูดอะไรเลยว่ะ” เต้ฟังแล้วได้แต่สงสารคนตาย รู้สึกไม่ดีที่เอาตู้ที่มีคนตายมาขายให้เพื่อนเขา แต่ก็รู้สึกสงสารลุงโชคที่ต้องเจอปัญหานี้อีก
“กูเคยมานั่งคุยเรื่องแบบบ่อยๆ บางทีก็ซื้อของเล่นมาฝากเด็กมัน ช่วงนั้นมาบ่อยจนสนิท เวลามาถึงพยูก็จะวิ่งเอาน้ำมาให้ เขย่ามือแล้วก็...
ไปเล่นกันเถอะ....ใช่...ทำไมเพิ่งจะจำได้วะ” ชวินนวดหัวตา เช็ดน้ำตาตัวเองออก เพราะถูกควันไฟผิวเลยดำๆ แปลกๆ รองเท้าไม่ใส่ แต่...เด็กมันก็ยังจำเขาได้ จำว่าเคยซื้อของเล่นมาให้ เคยเล่นด้วยกัน มันไม่ได้ตั้งใจหลอก แค่วิ่งมาหาเหมือนทุกครั้ง
“น้องมันไม่รู้ตัวหรือเปล่าว่าตายแล้ว” สิงหาฟังแล้วได้แต่เดาถึงความเป็นไปได้
“ก็อาจจะ คงจำชวินได้เลยมาหาแต่มัน” เต้ลูบไหล่เพื่อนเบาๆ เรื่องนี้คงสะเทือนใจมันมาก อาจจะไม่ได้สนิทอะไรกับเด็กที่ตาย แต่เป็นความสงสารในความบริสุทธิ์ของเด็กคนหนึ่ง เพราะไม่รู้ว่าตายแล้ว พอเห็นคนรู้จักเลยทำอะไรแบบเดิม
“แล้วเราจะทำยังไงต่อดี” สิงหาเองก็เริ่มไปต่อไม่ถูก รู้สึกสงสารเด็กที่ไม่เคยเห็นหน้าเช่นกัน
“ความจริงที่เราย้ายมาทำตรงนี้ไม่ใช่แค่เพราะขาดทุนตอนไฟไหม้อย่างเดียวนะ...แต่เราอยู่ที่นั่นต่อไม่ได้” ทวีเอ่ยขึ้นมาขัดจังหวะสามหนุ่มที่กำลังช่วยกันวางแผนขั้นต่อไป
“อย่าบอกนะว่าเด็กพยูนั่นก็มาหลอกที่นี่เหมือนกัน” เต้รีบถาม
“ดึกๆ บางคืน...ที่นั่น...จะได้ยินเสียงคนทุบประตู เสียงตะโกน...เสียงพ่อของพยู”
—¤÷(`[ ♌ ♡ ▽ ]´)÷¤—