สวัสดีครับ ต้องขอโทษจริงๆ ที่หายไปนานเลย พอดีวุ่นกับภารกิจมากมาย
พอมีเวลาว่างเลยปั่นยิบตามาก่อนครับ ฮ่าๆ
สัปดาห์หน้าจะพยายามเปิดโรงงานนรกปั่นมาอัพให้ได้อ่านกันอีกไวๆ ครับ
ขอบคุณมากๆ ที่ยังติดตามอ่านกันนะครับ เป็นเรื่องที่ตัวละครเยอะมาก
เยอะชนิดว่าคนแต่ง แต่งเองยังลืมเองเลยครับ +_+ ฝากตอนต่อไปด้วยนะครับ
ตอนที่ ๕ เป็นเวลาสิบโมงกว่า ขณะที่อมริตากำลังช่วยคุณนุชนารถ เจ้าของร้านตรวจรับตู้กดไอศกรีมแบบเหลวที่จะเอามาลงที่ร้าน ชาฮิดก็ออกมานั่งเล่นกับลิ้นห้อยและร้อนแฮ่ก สุนัขพันธุ์ทางที่อยู่ในซอยแบบทุกครั้ง เด็กชายตัวน้อยของสตางค์ผู้เป็นแม่มาซื้อตับปิ้งให้กับขนเกรียนทั้งสอง คิดว่าลิ้นห้อยกับร้อนแฮ่กคงหิวน่าดูถึงมานอนกระดิกหางส่งตาละห้อยอยู่หน้าร้านอาหารแบบนี้
"อย่าแย่งกันนะ" มือเล็กๆ ลูบไปบนหัวร้อนแฮ่กก่อนส่งตับปิ้งให้ รับไปได้ เจ้าขนเกรียนสีขาวก็คาบของโปรดออกไปแอบแทะที่มุมอับริมเสาไฟฟ้าไม่ห่างออกไป ขณะที่ลิ้นห้อยจอมขี้เกียจนอนแทะตับปิ้งอยู่กับที่สบายใจเฉิบ
เมื่อเช้าพี่ชายใจดีคนนั้นไม่ได้แวะให้ตับปิ้งกับลิ้นห้อยและร้อนแฮ่กแบบทุกครั้ง เช้านี้พี่คนนั้นดูรีบร้อนแปลกๆ สีหน้าเป็นกังวลไม่เหมือนทุกวัน ชาฮิดเห็นเขาวิ่งหน้าตั้งผ่านเจ้าสี่ขาทั้งสองตัวไป เจ้าหูตั้งได้แต่ร้องหงิง ๆ มองตาละห้อยด้วยความผิดหวัง ชาฮิดเห็นพี่ชายคนนั้นครั้งแรกในตอนที่เขากำลังส่งกระดูกไก่ให้เจ้าหมูอ้วนสองตัวนี้แล้วส่งเรียกว่าลิ้นห้อยกับร้อนแฮ่ก ชาฮิดเคยคุยกับพี่ชายใจดีคนนั้นครั้งสองครั้งเรื่องมันทั้งสองตัว แต่ก็ไม่เคยถามว่าชื่ออะไร เพิ่งจะมานึกได้ว่ายังไม่รู้จักชื่อก็ตอนที่นึกจะสงสัยขึ้นมานี้เอง
สำเร็จโทษไปหนึ่งไม้ ลิ้นห้อยก็ยกขาสะกิดหน้าแข้งเด็กน้อยตาคม ชาฮิดยกมือบ๋อแบ๋ อยากจะให้มากกว่านี้แต่แม่จำกัดงบมาแค่ตัวละไม้เท่านั้น ลิ้นห้อยลงไปนอนกลิ้งเอาหัวถูรองเท้าประจบเต็มที่ หางแกว่งเรี่ยพื้นเหมือนไม้กวาดตอนที่แม่ใช้กวาดบ้าน ส่วนร้อนแฮ่กหลังจากหม่ำเสร็จแล้วก็เริ่มขุดต้นไม้ข้างทางเล่นไปตามประสา ในตอนนั้นเองที่ชาฮิดเห็นผู้ใหญ่สองคนจูงมือเด็กชายวัยไล่เลี่ยกับเขาเดินตรงมาที่ร้าน พวกเขาเด่นสะดุดตากว่าจะเป็นคนที่อยู่อาศัยในละแวกนี้ คนผู้ชายถึงจะดูเซอร์แต่ก็สูงหล่อมาแต่ไกล ส่วนผู้หญิงคนนั้นก็สวยมีเสน่ห์ ตาคมชวนมอง
อย่างกับ อมิตาบ บาห์จัน ควงมากับ ไอศวรรยา ไร ยังไงยังงั้น !
ดวงตากลมโตของชาฮิดเลื่อนไปมองเด็กชายที่สูงไล่กับเขาที่อยู่ตรงกลางระหว่างทั้งสองคน ไม่แปลกใจเลยที่เด็กคนนั้นจะดูดีกว่าเด็กทั่วไป ผิวขาวอย่างกับไม่เคยโดนแดด ผมสั้น จัดแต่งเป็นทรงด้วยเจล ขนคิ้วดำแต่ไม่เป็นสีเข้มจัดและหนาแบบเขา ทุกอย่างเหมือนถูกย่อส่วนจนกลายเป็นของกระจุ๋มกระจิ๋มชวนมอง ถึงขนาดที่ทำหน้ามุ่ยแบบนั้นยังอดไม่ได้ที่จะแอบเหล่ดูสักนิดเลย ที่สำคัญ เด็กคนนั้นแต่งตัวด้วยเสื้อผ้าลายการ์ตูนเบ็นเท็น (ชาฮิดชอบดูถึงขนาดมีนาฬิกาข้อมือไว้ฝึกแปลงร่างแบบพระเอกที่บ้าน) คิดแล้วก็ได้แต่อิจฉา ชาฮิดอยากรู้ว่าถ้าตัวเองถูกจูงมือด้วยคนที่หน้าตาดีแบบนั้นจะรู้สึกแบบไหนกันนะ เขาคงจะยืดโก้เอาไปอวดเพื่อนที่โรงเรียนได้เป็นสัปดาห์
ชาฮิดเผลอมองอย่างลืมตัว แล้วจู่ ๆ เด็กคนนั้นก็หันมาสบตาเขา สักพัก จากหน้าที่บึ้งตึงกลายเป็นยิ้มเบิกบานทันตา ชาฮิดนึกถึงดอกไม้ตอนที่ค่อย ๆ แย้มออก สดใส น่ารัก และอยากเข้าไปใกล้ ๆ ตอนนั้นเองที่เด็กชายตัวเล็กกว่าเขาคนนั้นดึงมือออกจากอมิตาบ บาห์จันและไอศววรยา ไรแล้ววิ่งโบกมือมายังเขา ชาฮิดค่อย ๆ ยกมือโบกตอบโดยไม่รู้ตัว
"ชื่ออะไรน่ะ"
"ชาฮิด" คนถูกถามยิ้มแฉ่งตอบ
"ชาอะไรนะ"
"ชาฮิด"
"ชื่ออะไรแปลก ๆ" เด็กชายคนนั้นมุ่ยหน้าแล้วย่อตัวนั่งลง จากนั้นก็ลูบหัวลิ้นห้อย "ไอ้หมูเอ๊ย ทำไมแกไม่ชืิ่อให้มันเรียกง่าย ๆ หน่อย ชานม ชาเขียวอะไรก็ได้"
ชาฮิดยิ้มเก้อ เข้าใจแล้วว่าชื่อที่ถูกถามคือชื่อหมาไม่ใช่ตัวเอง
"เอ่อ...ถ้าหมาน่ะ มันชื่อว่าลิ้นห้อย ชาฮิดชื่อฉันเอง"
เด็กคนนั้นมองตาขวางมาทางชาฮิด หลิ่วตาลงทำนองว่าใครจะไปอยากรู้ชื่อกัน แต่พอหันกลับไปมองลิ้นห้อยก็หัวเราะสดใสแบบเดิม เจ้าลิ้นห้อยก็ช่างกระไร หงายพุงขึ้นให้เกาแล้วหลับตาพริ้ม กวนประสาทเสียจริง
"ลิ้นห้อย ๆ ชื่อนี้เหมาะกับแกเสียจริง อ้วนเอ๊ย"
ชาฮิดมองลิ้นห้อยห้อยลิ้นแดงแจ๋หล่นมาข้างปาก แหม...สบายอกสบายใจเสียจริงนะ
"ยังมีอีกตัว ชื่อร้อนแฮ่ก อยู่ตรงโน้น" ชาฮิดยกมือขึ้นชี้
"ร้อนแฮ่กเหรอ ร้อนแฮ่กอยู่ไหน"
เด็กแปลกหน้าคนนั้นชะโงกหาทันที ชาฮิดตั้งใจจะเรียกร้อนแฮ่กแต่คนที่สวยเหมือนไอศวรรยา ไรกลับดึงไว้แล้วก้มหน้า โน้มตัวลงมาถามชาฮิด "ฮัลโหล น้องอยู่ร้านนี้หรือเปล่าจ๊ะ" เด็กน้อยพยักหน้าตอบ "ตายจริง ดูสิปืน เด็กอะไรก็ไม่รู้ หล่อแต่เด็กเลย หน้าคม ยิ้มสวย มาดูใกล้ ๆ สิ ตาสวยมาก ขนตายาวกว่าน้ำอีก"
อมิตาบ บาห์จันที่เหมือนจะชื่อว่าปืนมองมาทางเขาแล้วยิ้มให้แบบขรึม ๆ ชาฮิดกำลังยืนงง ในละแวกชุมชนที่เขาอาศัยอยู่ เด็กคนไหน ๆ ก็เป็นแบบนี้เหมือนเคาะมาจากพิมพ์ ผิวสีแทน คิ้วเข้มคม มีดวงตาที่กลมและโต แต่ชาฮิดชอบมองคนผิวขาวมากกว่า เด็กชายชอบตาเล็ก ๆ แบบครอบครัวคนจีนมากกว่าตาที่กลมเป็นไข่นกกระทาแบบคนเชื้อสายอินเดียที่เห็นจนชินมาตั้งแต่เกิด
"คุณนุชนารถอยู่ไหม" ผู้ชายคนนั้นถาม
ชาฮิดพยักหน้าอีกครั้ง แล้วมือกว้างอย่างกับจะหุ้มศีรษะได้ทั้งหัวก็วางลงบนผมชาฮิดก่อนจะเปิดประตูเข้าไป วูบหนึ่ง หัวใจชาฮิดอบอุ่นขึ้นประหลาด เด็กน้อยหงายสองมือตัวเองขึ้นดู มันช่างเล็กจ้อยจนเทียบไม่ได้กับฝ่ามือนั้นเลย
ถ้าพ่อยังอยู่ มือของพ่อจะกว้างและอบอุ่นแบบพี่ชายคนนี้ไหมนะ ?
"สุดหล่อ...เรียกเรานั่นแหละ ชื่อว่าชาฮิดใช่ไหม" ไอศวรรยาที่เหมือนจะชื่อว่าน้ำเรียกชาฮิด เด็กน้อยพยักหน้า "เป็นเจ้าของร้านตัวน้อยหรือเปล่านะ"
"เปล่าครับ ผมมาช่วยแม่ทำงานตอนปิดเทอมเฉย ๆ"
แล้วจู่ ๆ ผู้หญิงคนนั้นก็เอานิ้วชี้จิ้มหัวเด็กผู้ชายที่นั่งเล่นลิ้นห้อยอยู่จนเกือบคะมำ "หัดมีมารยาทบ้าง แนะนำตัวเองบ้างสิจ๊ะเจ้าตัวแสบ"
"ไม่ !"
"งดไก่ทอดเคเอฟซีเย็นนี้" เธอยกนิ้วชี้ขึ้นเคาะคางตัวเองแล้วพูดอย่างอารมณ์ดี ส่วนคนที่ถูกเรียกว่าเจ้าแสบกำลังจ้องหน้าชาฮิดจนตาแทบถลน
"น้าชื่อลูกน้ำนะ จะเรียกว่าน้าน้ำก็ได้ ส่วนเจ้าหน้ามะเหงกนี่ชื่อว่าชวิศ ชื่อเล่นว่าธีม ถึงตัวจะเปี๊ยกแบบนี้แต่ก็สิบเอ็ดขวบแล้วนะ สุดหล่ออายุเท่าไหร่แล้วครับ"
"สิบสองครับ"
"สนิทกับพี่ชาฮิดเข้าไว้นะธีม" น้าลูกน้ำพูดแล้วก็เดินเข้าร้านไป
ชาฮิดยืนเก้อ ๆ อยู่สักพัก เพื่อนใหม่ก็พูดเสียงขุ่นขึ้นมา
"บอกไว้ก่อน ฉันไม่คิดจะเรียกพี่หรอกนะ เพราะเราไม่ได้เป็นอะไรกัน" ชาฮิดยืนอึ้ง "แล้วเมื่อไหร่จะเลิกจ้องเสียที มันน่ารำคาญนะ ไม่เคยเห็นคนเหรอไงกัน"
ด้านในร้าน ปรมะเดินเข้ามาก็เห็นนุชนารถกำลังยุ่งอยู่กับการติดตั้งตู้กดไอศกรีม ทันทีที่เห็นเขา เธอก็ส่งสัญญาณบอกให้รออีกสักพัก ปรมะมองไปรอบ ๆ ร้าน ไม่กี่อึดใจต่อมาปรายฟ้าก็เดินมาสมทบ ซึ่งเป็นช่วงที่มีราตัวน้อยยกแก้วน้ำเย็นออกมาเสิร์ฟให้กับทั้งสอง
"ตายจริง น้องสาวของชาฮิดหรือเปล่าคะ หน้าเหมือนกันเลย ตาโตน่ารักมาก"
มีรากระถดตัวถอยหลัง เด็กหญิงตัวน้อยยิ้มเขินแล้วรีบวิ่งไปหลบหลังอมริตาผู้เป็นแม่ ในเวลานั้นนุชนารถก็เดินมาหาทั้งคู่ ปรายฟ้าจึงไม่คิดจะถามต่อ
"ไงจ๊ะ ไม่ได้แวะมาซะนาน"
"พี่นุชสบายดีนะครับ" นุชนารถพยักหน้าพร้อมรอยยิ้มก่อนจะหันไปหยุดที่ปรายฟ้า "นี่ลูกน้ำครับ เอ่อ...ภรรยาผม"
"แค่อดีตน่ะค่ะ" ปรายฟ้าฉีกยิ้ม ตอบฉะฉานพร้อมหัวเราะตามแบบฉบับของเธอ "คุณนุชคงไม่ได้คิดจริง ๆ ใช่ไหมว่าจะมีผู้หญิงคนไหนทนอยู่กับผู้ชายทึ่ม ๆ แบบปืนได้นาน ๆ"
นุชนารถยิ้มตอบ เธอพอรู้เรื่องที่ปรมะเคยแต่งงานแล้วมาบ้างแต่ก็ไม่รู้ลึกไปถึงรายละเอียด ในตอนนั้นเธอแค่คิดว่าคงเป็นฝ่ายปรมะแน่แท้ที่เป็นฝ่ายสลัดรักจากผู้หญิง วันนี้ได้มาเห็นปรายฟ้า นุชนารถคิดว่าที่ผ่านมาเธอคงคิดผิดมาโดยตลอด ดูเหมือนเกมจะพลิกเป็นฝ่ายปืนที่คอยเป็นธุระห่วงใยให้ลูกน้ำตลอด แต่คิดแล้วก็น่าขัน ปรายฟ้าคนนี้เป็นผู้หญิงที่พูดจาหยิกเหน็บได้ตรงจุดเสียจริง บางครั้ง นุชนารถก็คิดว่ารุ่นน้องสุดเซอร์ของเธอออกจะตรงจนทึ่มไปเสียหน่อยอย่างเธอพูดนั่นแหละ
"ร้านน่านั่งมากเลยนะคะ ถึงจะกะทัดรัดแต่ก็ให้บรรยากาศที่รู้สึกเหมือนเป็นที่ของเราจริง ๆ มีมุมที่อยากจะนั่งฝังตัวอยู่แบบนั้นทั้งวันจนไม่อยากจะลุกไปไหน ถ้ามีหัวกว่านี้สักนิด น้ำคงจะเปิดร้านแบบนี้ที่เชียงใหม่แน่ ๆ"
นุชนารถยิ้มขอบคุณ รู้สึกว่าปรายฟ้าไม่ได้เป็นอย่างที่ตัวเองจินตนาการก่อนหน้านี้สักนิด ตรง ดูมั่นใจก็ใช่ แต่ก็เป็นคนตรงไปตรงมาที่ดูมีเสน่ห์ประหลาด นุชนารถไม่รู้สึกถึงความก้าวร้าว ไม่น่าคบอะไรจากผู้หญิงตรงหน้าคนนี้เลย "พี่ลงเครื่องทำซอฟต์ไอศกรีมพอดี อากาศร้อน ๆ แบบนี้น่าจะดีกับลูกค้า มีเด็ก ๆ มาช่วยก็น่าจะเหมาะ เฮ้อ...ปีนี้มันร้อนอะไรแบบนี้ก็ไม่รู้"
"แต่เด็กคงดูแลไม่ได้หรอกนะครับ มีหวังเจ้าธีมได้ทำเครื่องพังแน่"
"ว่าจะรับเด็กรายวันมาดูน่ะปืน เดี๋ยวพรุ่งนี้คงติดประกาศ เอาเฉพาะช่วงหน้าร้อน อยากขายพวกลูกค้าที่เดินผ่านไปผ่านมา ไม่ได้นั่งกินที่ร้านด้วย"
ปรายฟ้าเดินสำรวจไปทั่ว ก่อนจะเอนตัวลงไปนั่งกับโซฟาแล้วทำท่าจะเอนตัวนอน ปรมะที่เห็นเข้าก็ทำหน้าเหนื่อย ชายหนุ่มรีบเดินเข้าไปปราม แต่จู่ ๆ ปรายฟ้าก็พูดขึ้น
"น้ำสมัครได้ไหมคะ ชักจะติดใจบรรยากาศร้านนี้ขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก"
ปรมะยกมือตะปบหน้าผากตัวเองอย่างอ่อนใจ ขณะที่นุชนารถกลับดูจะสนใจในสิ่งที่ปรายฟ้าโพล่งขึ้นมา
"ไม่ทำเครื่องเจ๊งหรอกน่า" เธอยักคิ้วให้เขา "ยังไงเสีย น้ำก็ต้องมาส่งธีมที่นี่อยู่ดี น้ำชอบคุณนุช ชอบบรรยากาศของร้านนี้ แถมพี่น้องคู่นั้นก็น่ารักอย่างกับตุ๊กตา ชื่ออะไรนะ ชาคริต"
"ชาฮิดกับมีราค่ะ ลูกของอมริตานั่นน่ะ" นุชนารถบุ้ยใบ้ไปทางหญิงสาวร่างเล็กชาวอินเดียในชุดแม่ครัว ปรายฟ้าหันไปยิ้มให้อมริตาแล้วทำปากบอกเธอว่าลูกน่ารักมาก อมริตาโค้งขอบคุณแล้วเดินเข้าครัวไป ปรายฟ้าหันมาโน้มน้าวนุชนารถต่อ "นะคะคุณนุช น้ำอยากลองทำ"
ปรมะตั้งท่าจะปรามแต่นุชนารถกลับพูดว่า "เรื่องนั้นไม่มีปัญหาหรอก แต่พี่จะไม่มีเงินจ้างคุณน้ำเอาน่ะสิคะ"
"ค่าจ้างสักบาทก็ไม่เอาค่ะ น้ำทำเพราะแค่อยากทำอะไรแปลก ๆ บ้าง แต่ไม่ทำครัวนะคะ ทำไม่เป็น ไม่เสิร์ฟด้วยค่ะ เดี๋ยวจะทำจานแตกให้ขายขี้หน้าเอา เฝ้าแค่ตู้พอ ถ้าแค่กดไอศกรีมแบบนี้น้ำคิดว่าคงพอไหว"
"ไม่เอาน่าน้ำ"
"เงียบเถอะน่า ผู้หญิงเขาจะคุยกัน"
นุชนารถหลิ่วตามองหน้ายุ่ง ๆ ของปรมะแล้วลอบหัวเราะ เธอชักจะถูกชะตาความตรงไปตรงมาที่ดูแปลกไม่สนใจโลกของปรายฟ้าเข้าให้แล้วสิ
"ไม่เป็นไรนะ เราอยู่ตรงนี้ไง"
ระหว่างเสียงทุ้มที่ดังขึ้นที่ข้างหูกับเสียงหัวใจตัวเองที่กำลังเต้นอยู่ในตอนนี้ พิธานไม่รู้ว่าเสียงไหนจะได้ยินชัดไปกว่ากัน ลำพังทรงตัวให้มั่นคงบนจักรยานก็ถือว่าเป็นเรื่องลำบากแล้ว แต่ต้องฝืนทำเหมือนทุกอย่างเป็นปกติไม่มีอะไรด้วยถือว่าเป็นเรื่องยากเหลือเกิน
"ทรงตัวได้ยัง" อริยะถามอีกครั้งที่ข้างหู ชิดจนขาแว่นฝังลงบนแก้มของเขา
พิธานเกร็งคอจนกลืนน้ำลายไม่ลง เขาไม่ชอบช่วงเวลาแบบนี้เลย พักหลัง ๆ การใกล้ชิดกับอาร์มเหมือนจะทำให้ไม่เป็นตัวของตัวเองแม้แต่น้อย เหมือนจะมีความสุข แต่ก็เหมือนกับทุกข์จนแทบทนไม่ไหวในเวลาเดียวกัน สุขที่ได้อยู่ใกล้ ได้รู้สึกเหมือนว่าอีกฝ่ายให้ความสำคัญกับตัวเขามากกว่าใคร ๆ แต่ก็ทุกข์ใจทุกครั้งที่เมื่อมองดูโลกความเป็นจริง ยิ่งสุขเท่าไรมันก็ยิ่งทุกข์เท่านั้นเมื่อเห็นอาร์มเดินกับริน กินข้าวกับริน ทำทุก ๆ สิ่งทุก ๆ อย่างกับรินไม่ต่างกับที่ทำกับเขา หากจะมีสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่ไม่เหมือนกันก็คงจะเป็นสถานะ
คนหนึ่งแฟน อีกคน...เป็นแค่เพื่อน
"มันไม่เวิร์กหรอก ปล่อยเถอะ"
พิธานไม่รู้ว่านั่นเป็นประโยคที่พูดกับอริยะ "ปล่อยเถอะ การหัดขี่จักรยานมันไม่เวิร์กหรอก" หรือเป็นประโยคที่พูดกับใจตัวเอง "ปล่อยเถอะ หลอกตัวเองไปวัน ๆ อยู่แบบนี้มันไม่เวิร์กหรอก" กันแน่
"อีกนิดน่า มันจะต้องเวิร์กสิ ทุกอย่างมันก็มีอุปสรรคหมดแหละ อย่าเพิ่งยอมแพ้" อริยะพูด กระชับทั้งสองมือที่ประคับประคองศูนย์ถ่วงการทรงตัวอยู่ที่เอวของคนที่หัดขี่จักรยานอยู่ขึ้นอีกนิด "นะ มันเวิร์กแน่ ๆ ขอร้อง อย่าเพิ่งยอมแพ้สิ"
มันจะเวิร์กเหรอ จะให้เขาแข่งกับอะไรเล่า แข่งเพื่ออะไร ทำอะไรแบบนี้เพื่ออะไร
"ไม่เอา เหนื่อยแล้ว พอแล้ว" เสียงแผ่วนั้นคล้ายว่าจะพูดกับตัวเอง
ดวงตาสีเข้มใต้กรอบแว่นเจือไปด้วยแววผิดหวัง อริยะปล่อยมือทั้งสองข้างที่กุมเอวพิธานออกแล้วถอนใจ "เงียบไปเลย สัญญากันแล้ว"
"ไว้คราวหน้าแล้วกัน"
"คราวนี้แหละ ไปกับรินสองคนก็แปลก ๆ ไม่รู้จักคนในชมรมนั้นเลย แต่ก็อยากไปนะ ดูกรุงเทพตอนพระอาทิตย์ตกดินน่าจะสวยดี ถนนแถวกระทรวง ฯ ก็สวยด้วย"
พิธานก้มหน้าลง ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดีทั้งกับอริยะ...ทั้งกับความรู้สึกตัวเอง
เมื่อคืนเขาฝัน มันอาจชวนสะอิดสะเอียนสำหรับบางคน มันงี่เง่า เขารู้ มันโคตรงี่เง่าสิ้นดี ไม่มีเหตุผล ที่มาที่ไป แล้วก็ไม่มีทางเป็นไปได้เลย แต่มันก็ฝันแบบนั้นไปแล้ว โดยไม่เจตนา โดยไม่คาดคิดให้มันเป็นอย่างนั้นมาก่อน ในนั้น จู่ ๆ อาร์มก็เดินมากอดเขา สารภาพว่ารัก มันรวดเร็วจนไม่ทันตั้งตัว เขาตกใจ แปลกใจ ดีใจ ทำอะไรไม่ถูก กล้ามเนื้อหัวใจขยายตัวจนพองคับอก มันเหมือนดูคลิปวิดีโอในยูทูปที่เลือนลาง จำอะไรไม่ค่อยได้ คล้ายกับมีงานปาร์ตี้ที่แสนอลหม่านหมุนอยู่รอบ ๆ ตัว และที่กลางจุดศูนย์กลางของทุกอย่าง อาร์มจูบเขา โอบบ่า แล้วดึงเข้ามาซบ พูดตามนิสัยไม่มีลังเลแบบทุกครั้งว่าเป็นแฟนกันนะ ในตอนนั้นเหมือนอากาศของโลกทั้งใบกำลังอัดเข้าสู่ตัวเขา สูบเข้ามา...อัดเข้ามาจนแน่นจนเหมือนจะระเบิด แต่แปลกที่หัวใจมันก็ดูเหมือนจะพร้อมขยายรับพื้นที่มหาศาลแบบนั้นได้เรื่อย ๆ เพียงเพราะคำคำนั้น อาการคับไปทั้งอกที่ว่ายังคงลามมาถึงตอนเช้าที่ตื่น ก็รู้ว่าเป็นฝัน แต่มันก็เป็นเรื่องที่ทำให้เขาบ้ายิ้มอยู่บนเตียงไม่ลุกไปไหนอีกเป็นชั่วโมง ยิ้มโง่งมกับแสงแดดของฤดูร้อนที่เกลียดแสนเกลียด กอดหมอน ฟัดแล้วฟัดอีกแบบจะให้มันแหลกไปคามือ หลับตาแล้วฝันกลางวันบ้า ๆ บอ ๆ ว่ามันคือตัวอุ่น ๆ ของไอ้แว่นสุดเบื๊อกที่ยืนเสนอหน้าสอนเขาขี่จักรยานไม่รู้อะไรในตอนนี้ พวกเขานั่งโอบกันเงียบ ๆ ในที่ที่ไม่มีใคร เอาหัวพิงกัน สบตากัน แล้วต่างคนต่างก็ยิ้มเขิน มันคงไม่หยุดอยู่แค่นี้ถ้าไม่ใช่เพราะโทรศัพท์ของมันที่โทรมา เคยมีเวลาที่ทำตัวปัญญาอ่อนไหม คุยโทรศัพท์ไป เอานิ้วชี้จิ้ม ๆ วน ๆ อยู่บนหมอนตัวเองไป นั่นแหละ สิ่งที่เขาทำตอนที่คุยโทรศัพท์กับมันเมื่อเช้านี้
"ลองดูอีกสักตั้งไหม ถ้าจับจังหวะได้ ของแบบนี้มันก็ได้เลยนะ"
"ไม่แล้วละ ขี้เกียจ ไปกับรินสองคนเถอะ จะลากคนอื่นไปเป็น ก.ข.ค. ทำไม"
"โห...ขืนไปสองคนแบบนั้นมีหวังโดนล้อแย่"
พิธานก้าวขาลงจากจักรยาน เห็นแบบนั้น อริยะก็ทอดลมหายใจแล้วเดินอ้อมมาด้านหน้า มือทั้งสองข้างเอื้อมไปจับแฮนด์แล้วจูงไปใต้ร่มไม้ เดินไปข้าง ๆ กัน ต่างฝ่ายต่างเงียบไปสักพัก ก่อนที่คนซึ่งจูงจักรยานอยู่จะทำลายความเงียบด้วยรอยยิ้ม หัวใจของพิธานแกว่งเหมือนถูกจับโล้ชิงช้าขึ้นมาทันที
"อากาศร้อนเนอะ จะเผากันให้สุกเลยเหรอไง"
"วันก่อนทีวีก็เห็นก็บอกว่าจะร้อนกว่าทุกปี"
อริยะถอนหายใจแล้วถอดเสื้อมาม้วนพาดไว้บนหน้าขาตัวเอง "ไม่ไหวเลยเนอะ เหนียวเหนอะไปทั้งตัว"
คนที่นั่งข้าง ๆ เสมองไปอีกด้านโดยอัตโนมัติ ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมจะต้องทำอะไรงี่เง่าแบบนั้น
จักรยานถูกพิงไว้ใต้เงาไม้ มีแสงอาทิตย์แทงทะลุเพดานสีเขียวลงมาคล้ายกับจะบอกว่าการหลบหนีแดดในเมืองที่อุดมไปด้วยความร้อนแบบกรุงเทพนั้นเป็นเรื่องยากเหลือเกิน...การหนีจากความรู้สึกตัวเองก็คงไม่ต่างกัน
ที่เขาว่าเพื่อนสนิทคิดไม่ซื่อมันคงประมาณนี้ล่ะมั้ง ทั้งที่บอกตัวเองแล้วว่าจะเลิกสนใจ แต่วัชพืชที่เรียกว่าความไม่ซื่อสัตย์นี้ก็หยั่งรากลงแน่นเกินกว่าจะกำจัดให้หมดไปง่าย ๆ สุดท้ายเขาก็อดไม่ได้ที่จะแอบลอบมองคนที่นั่งอยู่ข้าง ๆ ด้วยลมหายใจแบบขาด ๆ เกิน ๆ แล้วจู่ ๆ อาร์มที่จับเสื้อกระพืออยู่ก็ร้องขึ้นพร้อมกับหันหน้ามาทางเขา
"โอ๊ย...หนึ่งช่วยถอดแว่นที"
"เป็นอะไร" พิธานถามพร้อมมองคนตรงหน้าที่หลับตาปี๋
"แสบ เหงื่อเข้าตา มือเลอะอยู่ ช่วยที เช็ดให้ด้วย"
"จะเช็ดให้ได้ยังไง มือก็เลอะเหมือนกัน"
"เถอะน่า แสบ เอาแว่นออกก่อน ไว ๆ เลย"
เขารีบทำตามที่บอกทุกอย่่าง พอแว่นถูกดึงออก อาร์มก็ฝังหน้าลงซบกับหัวไหล่ของหนึ่งทันที ตาขวาที่หลับอยู่ไถเบา ๆ กับแขนเสื้อตรงหัวไหล่ ให้ความอ่อนนุ่มของเนื้อผ้าซับเหงื่อบนตา คิ้ว ไล่ไปจนถึงหน้าผาก แล้วก็ซบค้างไว้แบบนั้นเหมือนนึกจะขี้เกียจขยับตัวขึ้นมาดื้อ ๆ
"ขอบใจนะ"
"เสร็จแล้วก็ออกไปซะที สกปรกโสโครก"
ถึงจะพูดไปแบบนั้น แต่ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยสำหรับหนึ่ง การทำทุกอย่างให้เป็นปกติ ไม่ลุกลน หรือพูดเฉยเมย ไม่แสดงความห่วงใยอะไรมากไปกว่าเพื่อนคนหนึ่งพอจะทำได้ล้วนเป็นเรื่องที่ลำบากยากเย็นจริง ๆ ทุกอย่างดูจะสวนทางกันไปหมด
"แค่นี้ทำเป็นรังเกียจ" อาร์มหัวเราะ เอาผมไถต้นคอเขาเบา ๆ แล้วแกล้งเขย่าหัวให้ผมชื้นเหงื่อจิ้มหน้าจิ้มตาให้รำคาญเล่น "ขนเม่นทิ่มคอ"
"ออกไปเลย"
"ม่ายยย..." เม่นปัญญาอ่อนลากเสียงยาวแล้วหัวเราะคิกในลำคอ อริยะยกสองมือขึ้นรวบเอวของพิธานไว้ไม่ให้หนีไปไหน เอียงแก้มลงแนบเหนือหน้าอกที่กำลังเต้นโครมคราม "ชอบกลิ่นนี้จริง ๆ นะ รู้สึกเหมือนเหมาะกับหนึ่งกว่า"
หัวใจของพิธานเหมือนจะหยุดทำงานไปชั่วขณะ ทุกอย่างเงียบ...เงียบจนได้ยินเสียงหายใจของตัวเอง
"บ้าเปล่า มีแต่กลิ่นเหงื่อ"
"ถึงอะไรจะไม่ค่อยได้เรื่องเท่าไหร่ แต่เราจมูกดีนะ" อาร์มยกหัวขึ้นจากบ่าแล้วส่งยิ้ม ขณะที่หยิบแว่นขึ้นสวมกลับก็พูดไปเรื่อยเปื่อย "กลิ่นเดิมไม่ใช่กลิ่นเมื่อวาน ได้กลิ่นตั้งแต่ตอนสายที่เจอแล้ว ตอนนี้ก็ยังได้กลิ่นอ่อน ๆ อยู่เลย"
คนสวนแว่นเอาเสื้อพาดบ่าตัวเองแล้วลุกขึ้น อริยะสะบัดข้อเท้าไปมาแล้วยกมือขึ้นโอบบ่าพิธานไว้ "ไปขี่จักรยานกันต่อเถอะกัน"
"ขี้เกียจหัดถีบแล้ว ร่วงทุกที"
"ขี่ให้ หนึ่งซ้อนก็พอ"
ก็เป็นเสียแบบนี้ พิธานนึกค่อนกับตัวเองในใจ เขาไม่ได้ขี้เกียจจะขี่อะไรพวกนี้สักนิด เพียงแค่ไม่อยากจะตกอยู่ในสถานการณ์ที่เหมือนถูกเล่นกับความรู้สึกแบบนั้นอีกแล้ว ขืนเป็นแบบนี้ต่อไปเขาคงได้ตกหลุมรักเพื่อนสนิทเข้าเต็ม ๆ อย่างแน่นอน อริยะพาดเสื้อยืดตัวเองกับโครงเหล็กระหว่างแฮนด์จักรยาน บุ้ยหน้าไปทางข้างหลังเหมือนส่งสัญญาณให้ขึ้นซ้อนเสียที เอาวะ ช่างหัวปะไร อย่างน้อยก็ไม่ต้องเหนื่อยถีบเอง
"เวลาถีบจักรยานต้องอย่ากลัวจะล้ม มองไปข้างหน้า ไม่ต้องกังวลว่าจะทรงตัวได้หรือเปล่า แค่รักษาจังหวะของขาทั้งสองข้างให้พอดี ๆ กันแบบนี้ไปเรื่อย ๆ ก็พอ แล้วสักแป๊บมันก็จะรู้จังหวะไปเอง"
พิธานทอดถอนใจ อือออรับปากตามน้ำไป
"เกาะเอวเราไว้สิ จับเต็ม ๆ สองมือเลยจะได้ไม่สั่นไง"
"แค่เกาะก็พอใช่ไหม" พิธานมองอย่างลังเล ก่อนจะยกสองมือขึ้นเกาะเอวคนตรงหน้าแบบกล้า ๆ กลัว ๆ
"จับดี ๆ สิ ยังไม่ค่อยกล้าขึ้นไม่ใช่เหรอ"
"เออน่า" พิธานไม่ใช่คนโกหกเก่งเล่นละครแนบเนียบแบบนั้น คนมีชะนักติดหลังจะให้ทำเหมือนคนไม่คิดอะไรดูจะเป็นเรื่องไม่ง่ายเลย
เห็นท่ารั้งรอไม่ทำอะไรเสียที อริยะก็พักขาแล้วดึงทั้งสองแขนของเพื่อนรักเข้ามากอดตัวเองจนแนบไปทั้งตัว พิธานออกแรงขืนตัวไว้แต่จังหวะของอริยะดีกว่า แค่รวบข้อมือทั้งสองข้างแล้วกระตุก ร่างของพิธานก็คลอนไปข้างหน้า แนบตัวทั้งตัวเข้ากับแผ่นหลังอุ่น ๆ ของคนที่บังคับเหมือนถูกล็อกด้วยแม่กุญแจ
"กอดแบบนี้แล้วกัน" แล้วจักรยานก็พุ่งไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว อาร์มหลิ่วตามองมาทางด้านหลัง "เป็นไง รู้สึกอะไรไหม"
"อะไร"
"สมดุลย์ไง พอกอดแล้วตัวเราสองคนก็จะแนบกันใช่ไหม เราสองคนจะใช้สมดุลย์เดียวกัน สักพักก็จะเริ่มจับจังหวะมันได้ นี่ไง รู้สึกไหม จังหวะซ้ำ ๆ เท่าเดิม"
สายลมแตะแก้มทั้งสองข้างของพิธานจนร้อนผ่าว อุณหภูมิของร่างกายเหมือนจะระอุขึ้นจนใกล้เคียงกับแดด แยกไม่ออกด้วยซ้ำว่าใจตัวเองกำลังสั่นหรือเต้นคึกโครมอยู่กันแน่
"เกย์สัส จำเป็นไหมที่ต้องถอดเสื้อเนี่ย ไหนจะเหงื่อโสโครกนี่อีก"
"เจ็บว่ะ คู่จิ้นกันเขาต้องด่ากันขนาดนี้เลยเหรอ" อริยะหัวเราะชอบใจ ไม่ได้รู้สึกกระดากอายแม้น้อยนิด ไม่แม้แต่จะเอะใจว่าคนที่กอดอยู่นั้นรู้สึกแบบไหนกับสัมผัสที่ก้ำกึ่งแบบนี้ ดวงตาคู่นั้นเอาแต่มองไปข้างหน้า มองตรงไปที่จุดหมายเท่านั้น
"นี่..."
"หืม ?"
"มีเรื่องจะบอก แต่บอกแล้วอย่าปล่อยมือนะ ล้มแน่"
"อืม ไม่ปล่อยก็ไม่ปล่อย"
"เราขี้โกงหนึ่ง จริง ๆ แล้วเทคนิกขี่จักรยานอะไรแบบนี้มันไม่มีหรอก โกหกหมดเลย"
"ก็ว่างั้น"
"นี่..."
"คราวนี้อะไรอีก"
"หอมนะ พออยู่ใกล้ ๆ แบบนี้ เวลาลมจะพัดเหมือนกลิ่นมันจะวน ๆ อยู่รอบตัวเลย" อริยะหันกลับมาส่งยิ้ม "จริง ๆ ก็ไม่ได้โกหกทั้งหมดหรอกนะ ถ้าสังเกตดี ๆ ก็จะรู้" ใต้กรอบแว่นที่เป็นกระจกบาง ๆ ดวงตาคู่นั้นทอดมองมาที่เขา อริยะเอียงหัวลงนิดหน่อย พยักเพยิดคางมาทางพิธาน
"รู้แล้วใช่ไหม ถ้ากอดแน่น ๆ แบบนี้ เราก็จะเหมือนเป็นคนคนเดียวกัน ใช้สมดุลย์เดียวกัน"
"อืม...ถึงไม่ปล่อยมือไง"
พิธานหลับตาลงพร้อมกับรอยยิ้มสดใสของคนตรงหน้า เสียงพูดที่เหมือนจะมีเสียงหัวเราะเจืออยู่ตลอดเวลาดังขึ้นท่ามกลางกลิ่นหอมอ่อน ๆ ของสายลม
"กินข้าวเย็นด้วยกันนะ"
พูดอย่างกับเขาเคยปฏิเสธอะไรได้สักครั้ง
(ยังมีต่อนะครับ)