“วันนี้ต้องกลับก่อนเที่ยงคืน ถ้ารับปากพ่อถึงจะอนุญาต”
“แหม ผมไม่ใช่ซินเดอเรลล่านะครับพ่อ”
“ก่อนเที่ยงคืน” พ่อยื่นคำขาด เห็นท่าทางแบบนั้นผมเลยอดแกล้งไม่ได้
“งั้นห้าทุ่ม ห้าสิบห้า”
“....”
“โอเคครับ ผมสัญญาว่าจะกลับก่อนเที่ยงคืน” ผมยิ้มกว้างพลางเข้าไปเกาะแขนพ่อ ออดอ้อนอย่างที่ไม่ค่อยทำบ่อยนัก
ที่พ่อบังคับให้กลับก่อนเที่ยงคืนเพราะพรุ่งนี้พี่ใบไธม์จะเข้ามา และถ้ายังอยากมีชีวิตรอดก็ไม่ควรกินเหล้าเข้าบ้านเด็ดขาด พี่ไธม์น่ะบางครั้งยังน่ากลัวกว่าพ่อเสียอีก จะบอกว่าพี่ไธม์เป็นพ่อคนที่สองก็ใช่ เพราะเขาเลี้ยงผมมาตั้งแต่เด็กนี่นา เกรงใจไว้บ้างชีวิตจะได้ยืนยาว พูดเป็นเล่นไป! พี่ชายคนโตผมไม่โหดขนาดนั้นหรอก!
เหตุมาจากว่าเดือนหน้าจะเป็นเดือนสุดท้ายของการเรียนแล้ว อีกไม่กี่วันพวกเราต้องไปรายงานตัวกับทางมหาวิทยาลัย ดังนั้นทุกคนจึงนัดสังสรรค์ส่งท้ายกัน ตอนกลางวันเลี้ยงรวมเพื่อนทั้งชั้นปี ส่วนตอนเย็นเป็นเลี้ยงของห้องเรา
เลี้ยงเฉพาะห้องแล้วไง?
เพราะยังไงซะผมก็บังคับหนีบเอาคำนับไปด้วย ทำไมล่ะ ทีเพื่อนคนอื่นยังพาแฟนตัวเองไปด้วยได้เลย ทำไมผมจะพาเพื่อนต่างห้องไปไม่ได้ ถึงเขาจะไม่ค่อยเต็มใจสักเท่าไหร่ก็เถอะแต่เขาสู้แรงผมไม่ไหวหรอก ผมล็อกคอลากเขาโดดขึ้นรถไม่เปิดโอกาสให้หนีได้ มีภูธเรศกับบดินทร์หนีบซ้ายขวาเขาก็หนีไม่รอดแล้ว
แม้อาหารที่นี่จะสู้ฝีมือพ่อฟ้าไม่ได้ แต่ใช่ว่าจะไม่อร่อย อยู่นอกบ้านต้องหัดกินให้เป็นและเพราะคำนับเพิ่งหายป่วยได้กี่วัน ดังนั้นผมเลยบังคับเขาให้กินข้าวตรงเวลาร่างกายจะได้ไม่ต้องรับภาระหนักอีก ผมสั่งปีกไก่ทอดเกลือกับผัดคะน้ากุ้งสดมาให้เขา ส่วนตัวเองเลือกเป็นกุ้งแช่น้ำปลากับน้ำโค้กแก้วใหญ่ ไม่ได้กินเหล้าขอแสร้งว่าเมาก็ยังดี ไม่งั้นพวกเพื่อนๆ มันจะแอบหัวเราะลับหลังเอาได้ แต่คนเมาจริงน่ะ นู่น ภูธเรศที่นั่งหัวเราะงอหงายอยู่นู่น
“แหม มึงนี่เอาใจไอ้ครับจังนะโป๊ยกั๊ก”
“ถ้าปากว่างมากนักมึงก็แดกไปเลยไป” ผมเอาส้อมชี้หน้าเพื่อนร่วมห้อง ส่วนคำนับจ้องอีกฝ่ายอย่างไม่พอใจ เพื่อนร่วมห้องคนนั้นยักไหล่ก่อนจะยอมถอยออกไป
เวลาผ่านไปไม่นานนาฬิกาบนข้อมือก็บอกเวลาห้าทุ่มแล้ว และกว่าจะรู้ว่าตัวเองเมาก็ตอนที่ลุกขึ้นยืนแล้วโงนเงนจนเกือบล้มหน้าทิ่ม ผมสะบัดหัวไล่อาการมึนแล้วขมวดคิ้ว เมา?
เมาทั้งๆ ที่ดื่มน้ำอัดลมเนี่ยนะ?
“พวกมึงแอบเอาเหล้าใส่แก้วกู?” หันไปถามเพื่อนที่หัวเราะเมื่อเห็นท่าทางของผม
“เอ้า เลี้ยงฉลองทั้งทีมึงจะมัวมานั่งดูดโค้กเนี่ยนะ? โตแล้วนะมึงน่ะ” หนึ่งในคนที่มอมเหล้าผมยิ้มร่า
“แต่กูไม่กินเหล้า!” ผมชักสีหน้าใส่เพื่อน ไม่ใช่ว่าผมเป็นเด็กรักสุขภาพอะไรขนาดนั้นเพียงแต่พ่อกับพี่ไธม์เคยขอไว้ ว่าถ้ายังเรียนอยู่และหากเป็นไปได้ไม่อยากให้แตะของพวกนี้ อีกอย่างพรุ่งนี้พี่ไธม์จะกลับบ้าน ขืนรู้ว่าผมแอบดื่มเหล้าคงได้โดนดุ
“นิดหน่อยเองน่า”
“พวกแม่ง!”
“มึงจะกลัวอะไรว้า อาฟ้าพ่อมึงออกจะใจดี”
“งั้นมึงลองมาเจอพี่ชายคนโตกูดูไหมล่ะ” ผมสบถหัวเสียก่อนจะหันมาทางคำนับที่นั่งมองผมกับเพื่อนเถียงกันด้วยสีหน้างงๆ “กลับกันเถอะ” ผมคว้าแขนเขาดึงให้ลุกขึ้นยืน แต่เพราะรีบร้อนมากไปอาการมึนเลยยิ่งทำให้ผมเซแถ่ดๆ
“เมาจริงดิ?” คำนับเลิกคิ้วมองคล้ายไม่เชื่อขณะที่ผวาเข้ามาคว้าแขนผมเอาไว้ไม่ให้ล้ม
“อือ พวกแม่งแอบเอาเหล้าผสมโค้ก” ผมสะบัดหัวไล่อาการมึนอีกครั้ง ยืดตัวให้ยืนตรงแล้วเดินนำคำนับออกจากร้าน
“อือ หวานๆ นี่แหละตัวดี เมาไม่ทันรู้ตัว” คำนับพยักหน้าหงึกหงัก
“เอ้า ใครมาเสริมพื้นตรงนี้เป็นสองชั้นวะ?” ผมพยายามยกขาให้พ้นแต่พอวางเท้ากลับวูบซะงั้น
“งั้นฉันไปส่งนายที่บ้านก่อนดีกว่า” คนข้างๆ ขมวดคิ้วเพราะผมสะดุดพื้นถลาพุ่งไปข้างหน้า คำนับขยับเข้ามาดึงแขนผมไปพาดบนไหล่เขา
“เฮ้ย ไม่เป็นไร ฉันกลับเองได้”
“นายเมาแล้ว” คิ้วเรียวยาวของเขาขมวดไม่คล้าย
“ไม่เมา”
“เมา”
“แค่มึนเฉยๆ หรอก” ผมเถียงกลับ
“โอเค นายแค่มึน แต่มึนมากไปหน่อยเท่านั้นเอง แล้วไอ้พื้นสองชั้นที่นายว่าเมื่อกี้มันคือพื้นราบ นายสะดุดล้มหัวเกือบทิ่มด้วย”
“.....”
“ไม่เถียงเหรอ?”
“ก็...ฮ่ะๆๆ” เอาจริงๆ ผมก็รู้ตัวแหละว่าเมา แต่ไม่ถึงขนาดที่ว่าไม่รู้เรื่องรู้ราว คือผมยังมีสตินะแต่ควบคุมการทรงตัวไม่ค่อยได้เท่านั้นเอง รู้ว่าต้องไปทางไหนแต่ยกขาข้ามไม่พ้นประมาณนั้น แล้วก็รู้สึกอารมณ์ดีกว่าปกติ อืม เรียกว่ากรึ่มๆ ละมั้ง และไม่ว่าคำนับจะบ่นหรือทำสีหน้าแบบไหนผมก็อยากจะยิ้ม จะหัวเราะตลอดเวลา
คำนับพาผมมาถึงบ้านตอนห้าทุ่มครึ่งพอดิบพอดี พ่อเปิดประตูออกมารับ ผมยิ้มกว้างทิ้งน้ำหนักใส่คำนับทั้งหมดจนเขาเซไปด้านข้าง พ่อเลยรีบเข้ามาช่วยพยุง
“นี่ลูกดื่มเหล้า?”
“เปล่าคร้าบบบ” ผมรู้ว่าตาตัวเองคงเยิ้มมาก ปากฉีกยิ้มกว้าง ยกนิ้วชี้ส่ายไปมาตรงหน้าพ่อเพื่อปฏิเสธว่าไม่ได้เมา
“ครับช่วยอาพาเจ้าตัวยุ่งนี่ขึ้นข้างบนหน่อยนะ”
“ครับ”
พ่อกับคำนับพยุงปีกผมคนละข้างขึ้นไปบนห้อง ความจริงผมเดินไปเองได้นะ ก็บอกแล้วว่าแค่มึนไม่ได้เมาจนเดินไม่ไหวเสียหน่อย แต่ที่เซใส่คำนับเมื่อกี้น่ะแค่อยากแกล้งเขาเท่านั้นแหละ กลายเป็นว่าทั้งสองคนเชื่อว่าผมเมาจริงๆ ซะอย่างนั้น
“เดี๋ยวพ่อลงไปเอากะละมังกับผ้าที่ชั้นล่างนะ โป๊ยกั๊กจะได้เช็ดตัวก่อนนอน”
“ครับ” คำนับตอบรับ ผมนอนยิ้มตาหยีอยู่บนเตียงมองดูเขาที่ไม่รู้ว่าจะเอาตัวเองไปอยู่ตรงมุมไหนของห้อง
“ถอดเสื้อให้หน่อย”
“หืม?” ดวงตาเรียวคู่นั่นเบิกกว้าง
“ร้อนอ่ะ”
“ถอดเองดิ”
“ถอดให้หน่อย” คำนับไม่ยอมเดินเข้ามาหา “เร็ว”
“ไม่เอา อ๊ะ!” คำปฏิเสธของเขายังหลุดไม่หมดปากผมก็ผุดลุกขึ้นโถมใส่จนเราทั้งคู่ล้มโครมไปบนพื้น ผมหัวเราะเอิ๊กอ๊ากชอบใจ มันไม่ได้มีอะไรน่าหัวเราะหรือน่าขันเลยสักนิด แต่ไม่รู้ทำไมผมถึงรู้สึกอารมณ์ดีจัง
“ไม่ต้องถอดเสื้อก็ได้ งั้นร้องเมี๊ยว~ ให้ฟังหน่อย” ผมทิ้งตัวทับลงไปบนตัวของคำนับแบบไม่กั๊กแรงสักนิด คนตัวผอมดิ้นแด่วๆ อยู่ใต้ร่างผมด้วยท่าทางอึดอัด
“เฮ้ย ลุกออกไป!”
“ร้องเมี๊ยวก่อนดิ” ยิ่งคำนับพยายามดิ้นหนีผมยิ่งแกล้งกดแรงเพิ่มลงไป กลายเป็นว่าตอนนี้ผมทาบทับเขาไปทั้งตัว ส่วนที่ไม่นาบติดกันก็มีแค่หน้านี่แหละ
“ไม่!”
“ดื้อจริงนะเจ้าเหมียว” ผมหัวเราะก่อนจะยกมือขึ้นเกาคางเขาเบาๆ คำนับสะบัดหน้าหนี พอเห็นเขาดื้อเลยยิ่งอยากแกล้ง จากที่เกาคางผมเลยเปลี่ยนมาจับคางเขาให้หันมองตรง
“....” ริมฝีปากบางคู่นั้นเม้มแน่น ดวงตาเบิกโพลงด้วยความตกใจกับการกระทำของผม
อีกแค่เดือนเดียวพวกเราก็ต้องแยกย้ายกันแล้วงั้นเหรอ?
ในวันข้างหน้าผมกับคำนับจะยังเหมือนวันนี้อยู่ไหม?
ผมจะได้เจอกับเขาอีกไหม ได้พูดคุย ทะเลาะ หัวเราะและคอยช่วยเหลือเขา ได้แกล้งได้แหย่ให้เขาโมโหเล่น ผมยังสามารถทำแบบเดิมได้หรือเปล่านะ?
ริมฝีปากบางตรงหน้าเคลื่อนใกล้เข้ามา ไม่ใช่คำนับยื่นปากมาหาแต่เป็นผมที่โน้มใบหน้าลงไป จังหวะหัวใจในอกซ้ายมันเจ็บแปลบๆ ขึ้นมาเมื่อคิดถึงว่าผมอาจไม่ได้ใกล้ชิดคำนับแบบนี้อีก
ปลายจมูกของผมกับคำนับสัมผัสกันแผ่วเบา อีกแค่ไม่กี่มิล....ริมฝีปากของเรา...
“หืม พวกลูกไปทำอะไรอยู่บนพื้น?”
“อ๊ะ!”
“โอ๊ย!” คำนับตกใจพร้อมฝ่ามือที่ผลักผมกระเด็น หัวโขกขอบโต๊ะหนังสือเสียงดังโป๊กจนต้องร้องโอดโอย คราวนี้มึนหนักกว่าเดิมไปอีก!
“คือโป๊ยกั๊กจะเข้าห้องน้ำ แต่ล้มพอดี...” คนตัวผอมผุดลูกขึ้นยืนพลางจัดเสื้อผ้าให้เรียบร้อย เหลือบเห็นพ่อพยักหน้าแล้วเดินเข้าเอากะละมังน้ำไปวางบนโต๊ะหนังสือก่อนจะเดินเข้ามาพยุงผมให้กลับไปนอนที่เตียงตามเดิม
“ครับรออาแป๊บนะ เดี๋ยวอาไปส่ง”
“ไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวผมกลับเองได้”
“แต่มันใกล้เที่ยงคืนแล้ว”
“เรียกรถ...”
“งั้นนอนที่นี่เลยซิ เตียงกระวานว่างอยู่” ผมเอ่ยแทรก คำนับเหลือบตามองและเพราะผมมองเขาอยู่ก่อนแล้วจึงเห็นว่าหูทั้งสองข้างของเขาแดงแจ๋
“เอ...” พ่อขมวดคิ้วทำท่าครุ่นคิด
“ผมกลับบ้านดีกว่าครับ พรุ่งนี้เช้าต้องช่วยแม่ต้มโจ๊กอีก”
“งั้นพ่อไปส่งเอง” พ่อลุกขึ้นยืนก่อนจะส่งยาในมือให้ผม “โป๊ยกั๊กกินยานี่ซะ พรุ่งนี้ตื่นมาจะได้ไม่ปวดหัว ถ้าลุกไหวก็แปรงฟันก่อนนอนด้วยล่ะ ไม่อย่างนั้นพรุ่งนี้เช้าตอนใบไธม์มาเรานั่นแหละจะโดนดุ” พ่อเอ่ยยืดยาว และนั่นทำให้ผมนึกได้ว่าทำไมพ่อถึงไม่ดึงดันให้คำนับนอนที่นี่ทั้งๆ ที่ดึกมากแล้ว
เพราะหลังเที่ยงคืนคืนนี้กานพลูจะออกมา...
ผมนอนยิ้มในความมืด สติแจ่มชัดกว่าเมื่อครู่ ตอนที่ริมฝีปากของผมจะสัมผัสกับริมฝีปากของคำนับ ถ้าพ่อไม่เข้ามาเสียก่อนผมคิดว่าผมคงจูบเขา
ผมอยากทำให้คำนับใจเต้นแรงเหมือนตอนที่ผมเป็นเวลาอยู่กับเขา
ที่ผมรู้สึกแบบนี้เพราะผมชอบคำนับหรือเปล่านะ?
ก็คงใช่...
ผมยิ้มก่อนจะยอมเข้าสู่ห้วงนิทรา
.
.
ดีที่เช้านี้ตื่นขึ้นมาแล้วไม่ปวดหัว โชคดีอีกอย่างคือเมื่อคืนโป๊ยกั๊กลุกมาอาบน้ำแปรงฟันจนตัวหอมก่อนนอน ถึงอย่างนั้นก็อดใจเต้นไม่ได้ตอนพี่ใบไธม์เดินเข้ามาใกล้แล้วทำจมูกฟุดฟิด ผมเลยหนีไปช่วยพ่อในครัว ขืนยืนนิ่งใกล้พี่ไธม์อีกนิดต่อให้อาบน้ำจนตัวหอมผมก็เชื่อว่าพี่ชายคนโตจะจับได้ว่าเมื่อคืนโป๊ยกั๊กดื่มเหล้ามา
ช่วงสายผมเข้าไปช่วยในร้าน บดินทร์กับภูธเรศอยู่บ้านต้อนรับลูกพี่ลูกน้องที่มาจากต่างประเทศเลยมาป่วนไม่ได้ กิจกรรมกีฬาผมงดเกือบหมดเพราะต้องเตรียมตัวเรื่องมหาวิทยาลัย แต่คำนับยังคงมาช่วยงานที่ร้านอยู่ อย่างวันนี้เขาก็เข้ามาช่วงสายๆ หลังช่วยน้าแป้งเสร็จแล้ว พ่ออนุโลมให้เขามาช้าได้เนื่องจากภาระตรงส่วนนั้นแต่ต้องกลับบ้านช้ากว่าคนอื่นเพราะต้องทำส่วนที่เหลือทดแทน
“โอ๊ะ!” ผมชะงักเท้าเพราะเกือบชนคำนับ เขาเองก็ยืนตัวแข็งอยู่กับที่ ภาพเมื่อคืนผุดขึ้นมาในหัว แล้วจู่ๆ หัวใจผมก็เต้นตึกตักขึ้นมา อากาศเย็นสบายเมื่อครู่พลันร้อนเสียอย่างนั้น
“วะ ว่าไง?” ผมเอ่ยทักทายตะกุกตะกัก มือไม้ไม่รู้ว่าจะวางไว้ตรงไหนสุดท้ายเลยยกเกาท้ายทอยแกรกกราก
“อะ อือ” คำนับเหล่มองไปทางอื่นไม่มองหน้า
“นายจะไปหลังร้านเหรอ?”
“อือ” คนตรงหน้ายังคงไม่มองมา ผมเองก็ไม่รู้ว่าจะต้องทำตัวยังไงเหมือนกัน ไอ้จังหวะแปลกๆ ในอกข้างซ้ายนี่เป็นของโป๊ยกั๊กแน่ๆ พอคิดได้แบบนั้นผมเลยฉีกยิ้มกว้าง
“งั้นเดี๋ยวเราไปกวาดหน้าร้านก่อนนะ”
“อะ อือ?” คำนับเหลือบสายตามองผมในที่สุด ดวงตาสีน้ำตาลดูฉงนกับท่าทีของผม
วันนี้ร้านจะปิดเร็วกว่าทุกทีแต่เพราะยังมีลูกค้าโต๊ะสุดท้ายอยู่ผมจึงรีบเก็บกวาดทำความสะอาดไม่ได้ ลูกค้าชุดสุดท้ายนี้เป็นหญิงสาวหน้าตาคุ้นๆ สองคน ผมเห็นเธอมองมาทางผมบ่อยๆ คล้ายว่าอยากเข้ามาทัก แต่ผมจำไม่ได้ว่ารู้จักพวกเธอหรือเปล่าจึงทำเพียงแค่ยิ้มตอบ
“คือว่า...”
“ครับ?” หนึ่งในนั้นลุกขึ้นยืนผมเลยรีบเดินเข้าไปหาที่โต๊ะเพราะคิดว่าพวกเธอคงเรียกไปคิดเงินค่าอาหาร
“คือ...เรารู้ว่าร้านนี้เป็นร้านของพ่อโป๊ยกั๊ก” เธอก้มหน้าซ่อนแก้มแดงๆ พลางเหลือบสายตามองผมเล็กน้อย
“เอ่อ...” ผมขมวดคิ้วเพราะนึกไม่ออกว่าเป็นเพื่อนในโรงเรียนจากห้องไหน
“เราชื่อป้อม อยู่ห้องสามชั้นเดียวกับโป๊ยกั๊ก” คงเพราะรู้ว่าผมจำเธอไม่ได้เธอจึงเฉลยออกมา
“อ้อ ครับ แล้ว?”
“คือ...”
“จะให้คิดค่าอาหารหรือครับ? ทั้งหมด...”
“ไม่ใช่!” เธอเงยหน้าแดงๆ ขึ้นรวดเร็วเมื่อผมทำท่าแจงแจงรายการอาการเตรียมคิดเงิน
“คะ ครับ?” โธ่ ตะโกนแบบนี้ผมตกใจหมดเลย!
“คือเราเคยไปดูโป๊ยกั๊กแข่งกีฬาด้วย”
“ไปดูทุกครั้งที่เธอแข่งเลยนะ” อีกคนที่นั่งเอ่ยสำทับ “เธอเท่ห์มาก” คนที่นั่งอยู่พูดขึ้นอีก
“แล้วก็ใจดีมากด้วย” คนยืนแก้มแดงพูดไปบิดตัวไป
“ครับ ขอบคุณครับ” ผมยิ้มรับ “แล้ว?”
“คือว่าเราชะ ชอบโป๊ยกั๊ก!” เธอหลับตาเอ่ยออกมาเสียงดัง
“......” ผมยืนนิ่งกำลังพยายามเรียบเรียงความหมายของประโยคนั้นในใจ
“พวกเราใกล้จะเรียนจบกันแล้ว เราอยากขอเบอร์ติดต่อของเธอ”
“คือว่า...” พอเข้าใจความหมายของคำว่า ‘ชอบโป๊ยกั๊ก’ ผมเลยได้แต่ยืนขาแข็ง เอาไงดีวะ! ผมเหลียวกลับมองเข้าไปในร้าน ดูว่ามีใครเห็นเหตุการณ์เมื่อกี้หรือไม่ คนอื่นเห็นไม่ว่าแต่ไม่อยากให้คำนับ...
“ถ้าเธอไม่สะดวกงั้นเอาเบอร์เราไปนะ”
“เอ๊ะ?” ไม่ทันให้ผมปฏิเสธเธอก็คว้ามือผมไปแล้วยัดกระดาษที่จดเลขสิบหลักเข้ามา
“เอ้านี่ ค่าอาหาร” เธอวางแบงค์พันลงบนโต๊ะ ผมหุบปากที่อ้าค้างก่อนจะรีบก้มหน้าคิดเงิน “งั้นเราไปนะ”
“เดี๋ยว เงินทอน...”
“เราจะรอให้โป๊ยกั๊กโทร.มา เอาเงินทอนมาให้เราด้วยล่ะ” พูดจบทั้งสองคนก็เดินออกไปไม่รอให้ผมควักเงินมาทอน
“เดี๋ยว!”
ปัง! ผมสะดุ้งโหยงหันกลับมองด้านหลังทันทีที่ได้ยินเสียงนั้น แต่กลับไม่เห็นใครสักคนอยู่ตรงประตูห้องครัว หันกลับไปมองหน้าร้านก็ไม่เห็นเงาของผู้หญิงสองคนนั้นแล้ว
โป๊ยกั๊กจะเอาเงินทอนไปให้พวกเธอได้ยังไงในเมื่อเวลาที่เขาตื่นขึ้นมาก็จำอะไรไม่ได้แล้ว ถ้าอย่างนั้นคงต้องเก็บเบอร์โทรศัพท์นี้เอาไว้ก่อน ถ้าผมออกมาอีกครั้งค่อยเอาเงินทอนไปให้แล้วกัน
ผมยัดกระดาษแผ่นนั้นใส่กระเป๋ากางเกงแล้วรีบทำความสะอาดร้านให้เสร็จโดยเร็ว เอ ว่าแต่วันนี้ผมชวนคำนับไปกินข้าวที่บ้านด้วยดีไหมนะ เขาจะได้เจอกับพี่ไธม์และกระวานด้วย อีกอย่างจะได้ให้พ่อสอนเขาทำไข่ม้วน ผมอยากลองกินไข่ม้วนฝีมือเขาจัง...
*********
ทันทีที่สัญญาณบอกเวลาเลิกเรียน ผมก็รีบยืดตัวตรงกอดอกรอใครบางคนออกจากห้อง เพราะหลายวันมานี้เขาไม่ยอมไปนั่งกินข้าวเที่ยงด้วยกันเหมือนอย่างทุกที แม้แต่เวลาพักช่วงเปลี่ยนคาบเรียนตอนเดินสวนกันเขายังไม่ยอมมองหน้า บางครั้งแกล้งมองไม่เห็นตอนยิ้มให้พอเรียกก็ทำเป็นไม่ได้ยิน
“ขอคุยด้วยหน่อย” ผมคว้าแขนคำนับเมื่อเขาเดินออกมาจากห้อง คนตัวผอมถอนหายใจ เขาหันไปบอกเพื่อนซี้อย่างนวพลว่าจะรีบตามไป ผมดึงเขามาจนสุดทางระเบียง นักเรียนบนอาคารแทบไม่เหลือแล้วเพราะต่างรีบกลับบ้าน หากยังคงมีบางพวกที่อยู่ในสนามฟุตบอลส่งเสียงเจี๊ยวจ๊าวไม่หยุด ผมเท้าแขนกับราวระเบียง มองคนในสนามฟุตบอลพลางพยายามสะกดให้หัวใจตัวเองเต้นในจังหวะเดิม ไม่รู้ซิ พอคิดถึงถึงเรื่องนั้นขึ้นมาหัวใจผมก็เต้นแรงขึ้นมาอีก
ผมไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อนเลย แค่คำนับยืนข้างๆ ก็ใจเต้นแล้ว
“คือเรื่องคืนนั้น” ผมสูดลมหายใจเข้าลึกเอ่ยเกริ่นขึ้น
“อือ”
“วันที่ฉันเมาน่ะ”
“อ้อ”
“คือความจริงแล้วฉันไม่ได้เมา แค่มึนๆ แล้วก็มีสติดีแหละ”
“แล้ว?” ผมขมวดคิ้วยืดตัวขึ้นเมื่อจับน้ำเสียงแข็งๆ ของคำนับได้ ผมมองใบหน้าเรียบเฉยของเขา ดวงตาสีน้ำตาลคู่นั้นสงบนิ่งจ้องตรงมาไม่หลบสายตา ผมยิ้มมุมปาก
“หลายวันมานี้ทำไมนายหลบหน้าฉัน?” ผมขยับเท้าเข้าใกล้ คำนับไม่ได้ขยับหนี พอเห็นแบบนั้นผมเลยก้าวเข้าไปอีกนิดจนตอนนี้ปลายจมูกของผมแทบชนขมับเขาอยู่แล้ว
“เปล่า”
“ปากแข็ง” ผมยกยิ้ม หรุบสายตามองกลุ่มผมแข็งกระด้างของเขา
“....”
“เงยหน้าขึ้นหน่อยดิ”
เพราะรู้ว่าถ้าเขาเงยหน้าขึ้นมา เพียงนิดเดียวหน้าผากของเขาจะแนบชิดกับจมูกของผมผมก็เลยบอกให้เขาทำ
“!”
และเป็นจริงอย่างนั้น ผมแกล้งสูดลมหายใจเข้าแรงๆ ตอนที่จมูกของผมแตะลงบนหน้าผากของเขา คำนับเบิกตากว้างก่อนจะขยับถอยหลัง ผมหัวเราะอารมณ์ดีกับท่าทางนั้น
“อะไร เขินเหรอ?” ผมขยับเท้าจะตามเข้าไปหมัดลุ่นๆ ก็ตรงเข้าแก้มขวาเต็มแรงจนผมเซชนกับผนังอีกด้าน ภาพตรงวูบหายไปชั่วขณะ มึนงงอยู่ครู่กว่าจะจับอาการเจ็บปวดตรงที่ถูกต่อยได้ ผมเงยหน้าขึ้นมองคำนับอย่างตกใจ
คำนับต่อยผม?
“ฉันไม่ใช่ของเล่นของนายนะโว้ย!” คำนับกำหมัดแน่น ดวงตาวาวโรจน์จ้องเขม็งคล้ายโกรธกันมาแต่ชาติก่อน
“?” คืนนั้นเขายังเขินผมอยู่เลยไม่ใช่หรือไง? อีกอย่างช่วงหลังมานี้เราสองคนเข้ากันได้ดี และผมเริ่มรู้สึกว่าในใจของผมคำนับเป็นคนพิเศษ เพราะแบบนั้นผมเลยอยากจะพูดกับเขาว่าหลังจากนี้ ถ้าจบออกไปเข้ามหาวิทยาลัยแล้วเขาจะยอมให้ผมก้าวเข้าไปหาเขาได้ไหม ให้ความสัมพันธ์ของเราก้าวข้ามคำว่าเพื่อนไปอีกขั้น
“คนรอต่อคิวนายยาวเป็นห่างว่าว ไปขอพวกเธอเป็นแฟนซิ ได้เบอร์มาแล้วไม่ใช่หรือไง?”
“เบอร์?”
“เฮอะ!” คำนับจ้องหน้าผม เห็นผมทำหน้าไม่รู้เรื่องก็ยิ่งโกรธ “รู้ไหมว่าฉันเกลียดอะไรมากที่สุด?”
“?”
“นอกจากพวกขี้โกง ก็พวกเสแสร้งและนิสัยร้ายกาจแบบนายนี่แหละ โป๊ยกั๊ก”
ผมเอาลิ้นดุ้นข้างแก้ม ลิ้นรับรสเลือดแสดงว่าปากคงแตกด้านในแต่มันก็ยังเจ็บน้อยกว่าก้อนเนื้อในอกข้างซ้าย ผมไม่รู้ว่าหลังจากนั้นผมกลับถึงบ้านได้ยังไง โชคดีที่ระหว่างนั้นไม่เจอคู่อริดักตีหัวกลางทาง ไม่อย่างนั้นคงไม่ได้มานั่งคิดทบทวนเรื่องราวต่างๆ เหมือนพระเอกมิวสิควิดีโออยู่แบบนี้
คำนับพูดถึงเบอร์ เบอร์อะไรวะ?
ช่วงก่อนต้องมีอะไรแน่ๆ คำนับถึงหลบหน้าผมมาหลายอาทิตย์แล้ว แถมยังโกรธทั้งๆ ที่ผมไม่ได้แกล้งอะไรรุนแรงกับเขาเลย ช่วงนี้ผมออกจะใจดีกับเขาด้วยซ้ำ พอรู้ตัวว่าอาจจะชอบเขาผมก็อ่อนโยนขึ้นตั้งเยอะ เขาไม่รู้เลยหรือไง
หลังถอนหายใจทิ้งไปชั่วโมงกว่าถึงนึกขึ้นได้ว่าถ้าช่วงก่อนมันจะมีเรื่องราวอะไรเกิดขึ้นแล้วผมไม่รู้เรื่อง นั่นน่าจะเป็นตอนที่เจ้ากานพลูออกมาแน่ๆ ผมเลยเดินเข้าไปกระชากผ้าคลุมกระจกตรงมุมห้องออก
“อ๊ะ โป๊ยกั๊ก ทำไมวันนี้ยอมเปิดผ้าคลุมกระจกล่ะ? มีอะไรดีๆ หรือไง? แล้วนี่...”
“หยุด!”
“.....” คนในกระจกชะงักนิ่ง ใบหน้าที่เหมือนกันกับผมทุกอย่างสะท้อนกลับมา ทั้งๆ ที่คิดว่าเหมือนกลับไม่ใช่..
“ครั้งที่แล้วเกิดอะไรขึ้น?”
“ครั้งที่แล้ว?” กานพลูทำท่าคิด สักพักก็ยิ้มเอียงอาย “นายหมายถึงตอนที่เกือบจะจูบกับคำนับเหรอ?
“ถ้าเป็นเรื่องนั้นฉันจะถามนายทำไม?”
“อ้าว?”
“นายไปเอาเบอร์อะไรใครมา?”
“เอ๊ะ?”
“คำนับพูดถึงเบอร์อะไรสักอย่าง แล้วก็ไล่ให้ฉันไปคบกับพวกนั้น”
“อ๊ะ เสียงประตูตอนนั้น หรือว่าคำนับจะเห็น?” กานพลูเบิกตากว้างตกใจ
“เห็นอะไร?” ผมขมวดคิ้ว เท้าเอวถามคนในกระจกเสียงกร้าว
“วันนั้นมีเด็กผู้หญิงสองคนมากินข้าวที่ร้าน พวกเธอบอกว่าเป็นเพื่อนชั้นเรียนเดียวกับเรา ตอนเธอกินข้าวเสร็จฉันกำลังจะคิดเงินเธอก็...ก็สารภาพรักออกมา”
“แล้ว?” ผมหรี่ตาคาดคั้นอย่างอดทน
“เธอจ่ายแบงค์พัน ฉันกำลังจะทอนเงินแต่เธอเอากระดาษจดเบอร์โทร.ยัดใส่มือแล้วบอกว่าให้โทร.หา จะรอเอาเงินทอนตอนนั้นแล้วรีบออกไป”
“....”
“ฉันได้ยินเสียงคนเปิดประตู แต่หันไปมองแล้วไม่เห็นใครนึกว่าลมตี ไม่คิดว่าคำนับจะ...”
“เพราะนาย!”
“ปะ โป๊ยกั๊ก? เรากลัวว่าถ้านายตื่นมาจะเอาเงินทอนไปให้เธอไม่ถูกเลยเก็บเบอร์เอาไว้”
“นายมันโง่! รับมาทำไม เขาไม่เอาเงินทอนก็เรื่องของเขาซิวะ!”
“ตะ แต่ว่า...”
“นายมันไอ้งี่เง่า!”
“...” ผมมองใบหน้าซีดเผือดของคนในกระจก ไม่ได้รู้สึกเห็นใจสักนิด
“ทำไมฉันต้องมีพลังบ้าๆ นี่”
“....” กานพลูก้มหน้า ผมหันหลังเพราะไม่อยากมอง ผมจำไม่ได้แล้วว่าเคยรู้สึกชอบกานพลูบ้างไหมตั้งแต่เขาโผล่มา ผมไม่เคยคิดอยากตั้งชื่อให้คนในกระจกด้วยซ้ำ แต่เพราะคนในครอบครัวกลัวสับสนจึงเรียกเขาว่ากานพลู ผมจึงเรียกตามอย่างช่วยไม่ได้
“ฉันเกลียดนาย!”
ผมเดินออกจากห้องเพื่อไปสงบสติอารมณ์ ไม่ได้หันกลับไปมองข้างหลังอีก
กว่าจะรู้ว่าทำใครเสียใจก็หลังจากนั้นอีกนาน
โปรดติดตามตอนต่อไป
ขอโทษที่มาส่งช้านะคะ
ปล. เดี๋ยวจะแวะไปทวงพี่กระวานให้นะคะ ^^