แรมเดือนสิบสอง
แรม ๘ ค่ำ เดือน ๑๒
(๑)
ทั้งที่ใจร้ายด้วยขนาดนั้น...
แต่เช้าวันต่อมาธันวาก็ยังได้รับสติกเกอร์รูปหัวใจเหมือนเดิม มิหนำซ้ำยังมีกระติกน้ำชาร้อนวางอยู่บนโต๊ะอ่านหนังสือพร้อมโน้ตว่า ‘ตั้งใจเรียนนะ’ อีกด้วย
ริมฝีปากสีสดคลี่ยิ้มกว้างให้กับเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่เดือนแรมทำให้ ไม่ทันรู้ตัวว่า
เรื่องแค่นี้จะทำให้ตนอารมณ์ดีได้ทั้งวัน
และไม่รู้ว่าเป็นเพราะชาร้อนหรือข้อความบนปลอกปากกาที่จับอยู่ตลอดกันแน่ที่ทำให้ธันวาไม่มีท่าทีจะสัปหงกอย่างเคย แต่ถ้าจะหาสาเหตุจริง ๆ ธันวาคิดว่าคงเป็นเพราะเดือนแรม คนที่ชงชาร้อนเตรียมไว้ให้ในตอนเช้า คนที่เป็นเจ้าของลายมือบนปลอกปากกา และเป็นเจ้าของเสียงทุ้มดุที่คอยดังเตือนในความคิดอยู่ตลอดว่าให้ตั้งใจเรียน
เดือนแรมคือคนที่ทำให้เขาเป็นคนที่ดีขึ้นจนเพื่อนสังเกตได้แม้เพิ่งจะมีการเปลี่ยนแปลงแค่วันเดียวก็ตาม แต่ถึงอย่างนั้น เพียงแค่ธันวานั่งเรียนจนจบคาบตลอดสี่ชั่วโมงเช้าได้โดยไม่มีช่วงพักสายตาเลยก็นับเป็นเรื่องแปลกจนตฤณสนใจ
“แปลกเว้ย วันนี้ไม่หลับเลย” ตฤณว่าในตอนที่กำลังเก็บของใส่กระเป๋าเพื่อไปพักกลางวัน “มีตัวช่วยดีเหรอวะ”
ธันวาแกล้งยิ้มอย่างภาคภูมิให้เพื่อนหมั่นไส้เล่นแต่ไม่ยอมเฉลยว่า ‘ตัวช่วย’ ที่เพื่อนสงสัยคืออะไร
“กั๊ก ๆ”
“มึงจะต้องการไปทำไม มึงไม่ได้หลับในห้องเรียนเหมือนกูนี่”
“ต่อให้มึงต้องการมึงก็ไม่ได้หรอกไอ้ตฤณ...” กรองเกียรติว่าพลางเหลือบมองเพื่อนสนิทตัวเองแวบหนึ่ง “...เพราะมึงไม่ใช่ธันวา”
“เชี่ยเก่ง” ธันวาสบถตามหลังคนที่ทิ้งระเบิดลูกใหญ่ไว้ให้แล้วเดินหนีไปก่อนหน้าตาเฉยทิ้งตนไว้กับตฤณที่เซ้าซี้จะรู้ให้ได้ว่ากรองเกียรติหมายถึงอะไร
“มีคนมาจีบมึงใช่ไหม” คำถามของตฤณทำให้ธันวาชะงักเล็กน้อยแต่ยังคงเร่งฝีเท้าตามกรองเกียรติไปโรงอาหารให้ทันด้วยความเร็วที่มากขึ้น “ใช่ไหมไอ้ธันว์”
“ต้องใช่แน่ ๆ ช่วงนี้มีคนดูแลมึงดี” ตฤณยังคงเดาสุ่มแม้ธันวาจะปฏิเสธ “ผู้ชายหรือผู้หญิงวะ เอ้ยโทษที มึงเป็นเกย์กูลืม ต้องผู้ชายดิ ใครวะ”
ธันวาหยุดเดิน หันมองหน้าเพื่อนด้วยสายตาจริงจังแต่ยังไม่ทันพูดอะไรหวานก็เดินเข้ามาทักกันเสียก่อน “สุดสัปดาห์นี้ธันว์กลับบ้านรึเปล่า”
“เปล่าครับ หวานมีอะไรไหม”
เธอระบายยิ้มกว้าง “อยากไปอ่านหนังสือด้วย”
“อื้อ เอาสิ หอสมุดเนอะ”
“ดีใจจัง ไว้นัดเวลากันอีกทีนะ”
“ครับ” ธันวาตอบรับก่อนเธอจะเดินนำไปยังจุดหมายเดียวกันเสียก่อน
“หวานเหรอ” ตฤณถาม “ใช่หวานจริง ๆ เหรอ”
“อะไรของมึง”
“คนที่มาจีบมึงไง นี่ตกลงมึงไม่ใช่เกย์เหรอ หรือมึงเป็นไบฯ”
“ไม่มีใครมาจีบกูทั้งนั้นแหละ ไว้มีแฟนจริง ๆ แล้วจะบอก...ไปกินข้าว กูหิว!” ว่าแล้วก็รีบจ้ำอ้าวหนีเสียงที่ยังตะโกนตามมารบเร้าของอีกฝ่าย
บรรยากาศในโรงอาหารตอนพักกลางวันไม่เคยสงบ นอกจากนักศึกษาแพทย์แล้วก็ยังมีบุคลากรทางการแพทย์อีกมากมายมาใช้บริการที่นี่ หากใครมาถึงก่อนเที่ยงตรงถือว่าโชคดี แต่หากใครมาช้าไปสักหน่อย อาจต้องระเห็จไปพึ่งโรงอาหารแห่งอื่นแทนเพราะไม่มีที่นั่งเพียงพอ แต่เห็นทีคงไม่ใช่สำหรับนักศึกษาแพทย์ชั้นปีที่สาม เพราะวันนี้พวกเขาเลิกเรียนเร็วกว่ากำหนดสิบนาที ในตอนเที่ยงตรงที่เหล่ารุ่นน้องปีสองทยอยกันเดินเข้ามารุ่นพี่หลายคนก็รับประทานอาหารกันเกินครึ่งจานแล้ว
“พนันกันมึง” บอยสะกิดไนท์เมื่อเห็นรุ่นน้องที่เพื่อนหมายตาไว้กำลังเดินมาทางที่พวกตนกำลังนั่งอยู่ “กูว่าน้องมองไม่เห็นไอ้แรมแน่ ๆ”
“มึงไม่ให้โอกาสกูชนะเลยเหรอ” เดือนแรมทำเป็นไม่สนใจที่ไนท์เองก็เล่นไปกับบอยด้วย ขณะที่โอ๊คเผยยิ้มอย่างนึกสนุก
วันนี้พวกเขาเลือกนั่งโต๊ะติดร้านข้าวตามสั่ง ใครเดินผ่านไปผ่านมาเป็นต้องสะดุดตากับกลุ่มพวกเขาทุกรายเพราะความสูงใหญ่ของตัวและหน้าตาอันดึงดูด ยิ่งเดือนแรมนั่งริมขอบสุดของโต๊ะด้วยแล้ว ประธานชั้นปีคนนี้ก็ยิ่งแทบไม่ว่างเว้นจากการตอบรับคำทักทายจากทั้งรุ่นพี่รุ่นน้อง
...เพียงแต่คงไม่ใช่กับธันวา
เด็กหนุ่มที่ไม่เคยสนใจสิ่งรอบข้างที่แม้จะเดินมายืนหน้าร้านข้าวตามสั่งใกล้โต๊ะของเดือนแรมแต่ก็ยังไม่สังเกตเห็นใครทั้งนั้น
“เอาจริงดิวะ” บอยว่าอย่างอึ้ง ๆ แม้จะพนันว่าธันวาไม่เห็นเดือนแรมแน่ ๆ แต่เมื่อเป็นอย่างนั้นจริง ๆ ก็อดรู้สึกไม่ได้ว่าออกจะเกินคาดไปเสียหน่อย
“ไอ้น้องธันว์” โอ๊คเรียกรุ่นน้องร่วมห้องไว้ก่อนที่อีกฝ่ายจะเดินจากไปพร้อมจานข้าวตัวเอง
“อ้าว พี่นั่งอยู่ตรงนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ครับ” แม้จะหันมองด้วยหน้าตาเหรอหราแต่ก็ยังไม่ทันสังเกตว่าตรงข้ามคนที่ทักตัวเองคือใครอยู่ดี
“ถ้าเป็นงูก็ฉกมึงตายไปแล้ว” เดือนแรมว่าเสียงเรียบด้วยสีหน้าที่ตึงพอกัน
“พี่แรม”
สีหน้าของทั้งสี่คนต่างกันโดยสิ้นเชิง มีเพียงบอยที่ขำแล้วกระซิบกับเพื่อนฝั่งตรงข้ามด้วยสีหน้าระรื่นกว่าใคร “กูวิน เลี้ยงหนมกูด้วยไอ้ไนท์”
“มึงไม่ได้วินไอ้บอย…” เดือนแรมพูดหน้านิ่งยุติผลการพนันของเพื่อนฝูง ทว่าสายตายังไม่ละไปจากดวงหน้าใสของหนุ่มรุ่นน้อง “...ไม่ใช่ว่ามันไม่เห็นกู...แต่มันไม่เคยจะมองมาที่กูเลยต่างหาก”
ธันวากลืนน้ำลายหนืดลงคอ รับรู้ว่าเดือนแรมน้อยใจตนแต่ก็ไม่กล้าพูดอะไรออกมาตอนนี้เพราะประหม่ากับสายตาของรุ่นพี่อีกสามคน ซึ่งท่าทางประดักประเดิดทำตัวไม่ถูกของหนุ่มรุ่นน้องก็ทำให้ทั้งสามรู้ในทันทีว่าควรเลิกสนใจคนทั้งคู่เสียที
เมื่อเห็นอย่างนั้นธันวาก็รู้สึกผ่อนคลายขึ้น ขยับตัวเข้าใกล้เดือนแรมอีกนิดเพื่อเอ่ยขอโทษเสียงแผ่วให้ได้ยินกันสองคน “ขอโทษครับ...ไม่ใช่ว่าไม่เห็น แต่ปกติผมไม่ชอบมองหน้าคนไปทั่วเลยไม่รู้ว่าพี่นั่งอยู่ตรงนี้ อย่าโกรธผมเลยนะครับ”
ไม่ต้องถึงกับหลงตัวเองก็รู้ว่าหน้าตาโดดเด่นอย่างพวกเขาใครเดินผ่านไปมาไม่ต้องตั้งใจมองก็สะดุดตาแน่อยู่แล้ว แต่ถึงอย่างนั้นเดือนแรมก็ยอมเชื่อเหตุผลของน้องจนเผลอผุดยิ้มมุมปากก่อนจะเม้มริมฝีปากไว้แน่นเมื่อรู้สึกว่าใกล้จะควบคุมมันไม่อยู่ หากไม่รีบบอกปัดแล้วไล่น้องไปกินข้าว เห็นทีคงได้ปล่อยให้รอยยิ้มกว้างเผยออกมาประจานตัวว่าดีใจแค่ไหนที่มีความสำคัญมากพอให้น้องง้อ
“ไปกินข้าวได้แล้วไป”
“หายโกรธรึยังอ่ะ”
“สนใจด้วยเหรอวะ”
“โอ๊ยยยยยย” สองเสียงของโอ๊คและบอยประสานขึ้นพร้อมกันอย่างคุมไม่อยู่เมื่อเห็นความท่าเยอะของเพื่อนทั้งที่ใจอ่อนให้ตั้งแต่ได้ยินคำว่าขอโทษแล้วด้วยซ้ำ
เดือนแรมมองเพื่อนตาเขม็ง ขณะที่ธันวารู้สึกอายจนรีบขอตัวออกไปทันที
“ท่ามากนะมึง” ไนท์ว่าขึ้นขำ ๆ
“สนใจกันจังเลยนะ”
“ถ้าน้องมันไม่สนใจ อย่างน้อยมีพวกกูที่สนใจมึงนะเว้ย” โอ๊คเย้า
“อย่างพวกมึงเรียกเสือก”
แม้ว่าช่วงบ่ายจะเป็นการเรียนแลปกรอสส์แต่ธันวาก็ยังหนีไม่พ้นการเซ้าซี้จากตฤณที่ส่งคำถามผ่านสายตาทุกครั้งที่เผลอหันไปมองสบด้วยจนหวานที่อยู่กลุ่มศึกษาอาจารย์ใหญ่ร่างเดียวกันนึกสงสัย
“มีอะไรรึเปล่าธันว์”
“อ้อ เปล่าครับ”
“ถ้าไม่มีอะไรก็เร่งมือเถอะธันว์ เหลือเวลาอีกไม่ถึงชั่วโมงแล้ว ค่ำมืดขึ้นมาไม่มีใครอยู่เป็นเพื่อนแล้วนะ” ประโยคหลังเธอแกล้งทำเสียงต่ำแผ่วเพื่อให้เขากลัว ทว่ารอยยิ้มซุกซนที่ปิดอย่างไรก็ไม่มิดนั้นทำให้ธันวาเอ็นดูจนต้องไหลไปตามท้องเรื่องที่เธอปูไว้
“กลัวเหลือเกิน หวานอยู่เป็นเพื่อนเราเถอะนะ เราไม่กล้าอยู่คนเดียว”
หนุ่มสาวหัวเราะคิกคักกันอยู่สองคนโดยลืมไปว่าในกลุ่มตนยังมีเพื่อนอีกสองคนจนถูกตำหนิเข้าจนได้ “เล่นบ้าอะไรไอ้ธันว์ เดี๋ยวได้เจอดีหรอกมึง”
“ใช่ แล้วถ้ายังเล่นอยู่ก็คงได้อยู่ต่อจนดึกจริง ๆ นั่นแหละ”
“ขอโทษครับ ขอโทษครับ”
แม้ธันวาจะยกมือไว้รอบห้องอย่างสำนึกผิดแล้วแต่ก็ไม่ผิดไปจากคำพูดของเพื่อนนัก เพราะกว่าธันวาจะศึกษาตามที่ได้รับมอบหมายเสร็จและออกจากห้องแลปได้ก็รั้งท้ายเพื่อนร่วมรุ่นจนเลทกว่าเวลาตามตารางเรียนไปถึงสองชั่วโมง ทว่าไม่ได้โดดเดี่ยวนักเมื่อหวานอยู่เป็นเพื่อนตามคำกล่าวอ้างที่จะอยู่ช่วยเพราะศึกษาจากท่านเดียวกันย่อมช่วยได้เยอะกว่ากรองเกียรติหรือตฤณที่ศึกษาท่านอื่น
“ถ้าไม่ได้หวาน เราแย่แน่ ไม่รู้ว่าสองทุ่มจะได้ออกจากห้องกรอสส์รึเปล่า” ธันวายิ้มแห้งพลางใช้มือขยี้จมูกเพราะยังรู้สึกถึงกลิ่นฟอร์มาลีนที่ติดอยู่
“ว่าไปนั่น เราช่วยนิดหน่อยเอง”
“แค่อยู่เป็นเพื่อนก็ถือว่าช่วยมากแล้ว”
เธอยิ้มอาย ๆ ก่อนกลบมันไว้ด้วยการร้องหาอาหารเย็นจนธันวาคนที่ไม่สนใจอะไรไม่ทันสังเกตท่าทีของเธอ
เพราะเวลาหนึ่งทุ่มนั้นดึกเกินกว่าจะสามารถฝากท้องไว้กับร้านอาหารราคาย่อมเยาว์ในโรงอาหารของคณะได้แล้วจึงเลี่ยงไม่ได้ที่ทั้งคู่ต้องลากสังขารอันเหนื่อยล้าและมีกลิ่นฟอร์มาลีนติดตัวไปร้านข้าวข้างรั้วโรงพยาบาล กว่าจะกลับเข้าหอพักก็ดึกจนเกือบสามทุ่ม
ธันวาที่กลับเข้าหอหลังจากแวะไปส่งหวานที่หอพักหญิงมาก่อนแล้วเดินเข้าหอพักชายด้วยท่าทีเมื่อยล้าเต็มทน มือข้างที่ว่างบีบคอไล่ความเมื่อยขบตลอดทางจนไม่ทันสังเกตว่ามีใครนั่งรอตนอยู่ใต้อาคาร
“ธันวา”
“อ้าวพี่แรม ทำไมมาอยู่ตรงนี้ละครับ” ปกติเวลาแบบนี้คนอย่างเดือนแรมต้องกำลังอ่านหนังสืออยู่ที่ห้องหนังสือมากกว่าใต้ตึกที่เสียงอึกทึกจากผู้คนแบบนี้
“กี่ครั้งแล้ววะที่มึงมองไม่เห็นกู”
“ขอ—”
“กินข้าวมาแล้วใช่ไหม” เดือนแรมไม่อยากได้ยินคำว่าขอโทษจากปากน้องอีกเพราะรู้ดีว่านี่ไม่ใช่ความผิดของอีกฝ่ายเลยสักนิด
“กิน—” ธันวากำลังจะตอบแต่นึกขึ้นได้ในตอนนั้นว่าเดือนแรมอาจจะยังรอตนอยู่เพราะหลายวันมานี้พวกเขาใช้เวลาช่วงมื้อเย็นร่วมกันตลอดแต่เขากลับลืมอีกฝ่ายไปเสียอย่างนั้น “อย่าบอกนะว่าพี่ยังไม่ได้กินอ่ะ”
“ถึงกูจะรักมึงแต่กูก็รักตัวเองเหมือนกันนะ”
“เอ่อ…” ธันวาไม่รู้ว่าควรพูดอะไรต่อหรือแค่ปล่อยผ่านคำสารภาพรักกลาย ๆ นั่นลอยไปตามลม
“คราวหลังเลิกเรียนหรือเสร็จกรอสส์แล้วก็เช็คโทรศัพท์บ้าง กูเป็นห่วง”
“ครับ” ธันวาก้มหน้ายอมรับผิดเสียงแผ่วแต่กลับใจกล้าเรียกรั้งอีกฝ่ายไว้ในตอนที่เขาหันหลังให้และกำลังจะเดินจากไป
“โกรธเหรอครับ”
เดือนแรมหันกลับมามองคนที่ถามออกมาหน้าซื่อ ๆ ทว่าแววตาฉายความกังวลอยู่ไม่น้อย “เรื่องอะไร”
...เสียงดุไปเหรอวะ ตัวก็ไม่เล็กทำไม่ถึงสั่นขนาดนั้น“เอ่อ…”
“ถามว่าเรื่องอะไร”
“ก็แล้วพี่โกรธเรื่องอะไรอยู่ล่ะ”
คงจริงที่ว่าครั้งแรกเขาใช้โทนเสียงเข้มเกินไปจนน้องกลัว เพราะเมื่อยอมเสียงอ่อนลงอีกฝ่ายถึงได้กล้าจ้องตาสู้แล้วถามหาความจริงจนเขาชักอยากโกรธขึ้นมาจริง ๆ สองขาขยับพาร่างเข้าใกล้เจ้าตัวดื้ออย่างช้า ๆ นึกมันเขี้ยวอยากบีบจมูกเชิดรั้นนั้นให้แบนบี้เสียจริง
“นั่นสิ ควรโกรธเรื่องอะไรดี…” เขาไม่สนใจแล้วว่าตนจะมีสิทธิ์โกรธได้แล้วหรือไม่ เขารู้แค่ว่าตนอยากโกรธ และคงจะเป็นสัญญาณที่ดีหากน้องสนใจมันสักนิด
“...เรื่องที่มึงไม่มากินข้าวกับกู ทิ้งให้กูกินข้าวคนเดียวน่ะเหรอ หึ กูไม่ใช่คนที่อยู่คนเดียวไม่ได้หรอกนะ แต่ถ้ามึงอยากสนใจว่ากูกำลังโกรธเรื่องอะไร ก็จะบอกให้…”
“ขะ เข้ามาใกล้ทำไมละวะ ถอยออกไปก่อนดิพี่” ธันวาว่าพลางยกมือดันอกคนพี่และถอยตัวเองออกห่างไปด้วย แต่กลับไม่เป็นผล
“ไม่ได้หรอก เรื่องนี้เสียงดังได้ที่ไหน ถ้าใครผ่านมาได้ยินว่าประธานชั้นปีสามคนที่น่าเกรงขามในสายตาน้อง ๆ อ่อนแอแค่เพราะว่าไม่มีความสำคัญพอให้มึงนึกถึง...ไม่ดีแน่”
ใช่...ไม่ดีแน่ธันวารู้ตัวว่าหากปล่อยให้เดือนแรมอยู่ใกล้ระยะประชิดขนาดนี้ต้องไม่ดีกับตัวเขาแน่
“ใครบอกพี่ว่าผมไม่นึกถึง” ธันวาโวยวาย เดือนแรมยอมถอยห่างออกมายืนกอดอกมองคนดื้อที่ยังรั้นจะเอาชนะ
“เหรอ ไหนมึงบอกให้ชื่นใจสิว่าตอนเรียนกรอสส์เสร็จแล้วมึงรีบหยิบโทรศัพท์เพื่อติดต่อกูหรือเห็นการแจ้งเตือนจากกูแล้วรีบเปิดอ่านและตอบกลับ”
“...”
“ไหนบอกมาซิธันวา มึงนึกถึงกูตอนไหน”
“...”
“เราใช้เวลาด้วยกันบ่อยขึ้น คุยกันมากขึ้น กินข้าวเย็นด้วยกันอยู่ทุกวัน แล้วข้าวเย็นมื้อนี้...มึงคิดถึงกูบ้างรึยัง” ...มีบ้างไหมสักนิดหนึ่ง
“เอ่อ...”
“ไม่ต้องตอบหรอก กูเข้าใจว่าเรายังไม่ใช่สถานะคนศึกษาดูใจกัน ยังเป็นแค่คนจีบกับคนถูกจีบ เพราะฉะนั้นไม่ต้องคิดมากเรื่องความรู้สึกกู กูจัดการเองได้ แต่เพราะมึงอยากรู้ กูเลยบอก เท่านั้นเอง”
“พี่แรม คือว่า...” ดูเหมือนว่าช่วงนี้ท่าทีอ้ำอึ้งจะกลายเป็นลักษณะนิสัยประจำตัวของธันวาไปเสียแล้ว เพราะเดือนแรมเห็นบ่อยจนชินตาแล้วอยากจะกระตุ้นอีกสักนิดเพื่อให้ได้เห็นท่าทีที่ชัดเจนขึ้น “...ผมยอมรับนะว่าไม่ได้เช็คโทรศัพท์เลยเพราะอยู่กับหวานแค่สองคน ถ้าเธอไม่จับมันเลยผมก็ไม่อยากหยิบขึ้นมาให้เสียมารยาทอ่ะ”
“แคร์เขา? กูเข้าใจ” พูดเองก็เจ็บเอง
“ไม่ใช่อย่างนั้น” ธันวารีบแย้งเสียงดัง ถ้าใครหันมองตอนนี้คงเข้าใจว่าเดือนแรมกำลังหาเรื่องทำโทษบางอย่างรุ่นน้องอยู่อย่างแน่นอน “มันก็แค่นิสัยผมป่ะที่ไม่จับโทรศัพท์ให้อีกคนรู้สึกอึดอัด ตอนอยู่กับพี่ผมก็ไม่จับเลยเหมือนกันอ่ะ”
จุกดีจริง ๆ
จีบมาเป็นเดือนยังถูกปฏิบัติด้วยไม่ต่างจากคนอื่น“เออ กูเข้าใจแล้ว อย่างที่บอก ไม่ต้องสนใจความรู้สึกกูหรอก เดี๋ยวแม่งก็หายเอง”
“เข้าใจจริงป่ะเนี่ย”
“เดือดร้อนเหรอมึงน่ะ” อีกครั้งที่เดือนแรมเผลอทำเสียงเข้มใส่เกินกว่าปกติ
แต่ครั้งนี้ธันวาไม่กลัว “มันไม่เหมือนกันหรอกพี่ กับคนอื่นอ่ะผมเป็นแบบนั้นเพราะมารยาท แต่กับพี่อ่ะ ผมไม่จับโทรศัพท์เลยเพราะผมชอบเวลาที่อยู่ด้วยกันกับพี่มากกว่านะ”
เดือนแรมสะกดรอยยิ้มไว้ในใจ “รู้ตัวไหมว่าพูดอะไรออกมา”
“มะ ไม่รู้โว้ย” ธันวาโวยวายบอกปัดแล้วรีบหลบหลีกหนีเดินเข้าโถงลิฟต์ไปก่อนโดยที่เดือนแรมเพียงแค่หันมองเท่านั้น
คล้อยหลังธันวาใบหน้าเรียบตึงจนดุแสนดุของเดือนแรมค่อย ๆ คลี่ยิ้มออกมาอย่างไม่อาจเก็บไว้ได้อีกต่อไป ไม่คาดคิดเลยว่าแค่ลงทุนเล่นละครเผยความงี่เง่าออกมาเพียงเล็กน้อยก็ทำให้เห็นอะไรได้ชัดขึ้นขนาดนี้
เห็นทีว่าหนทางข้างหน้าคงไม่ยากเย็นเกินไปเสียแล้ว
...ไม่คาดคิดว่าอุปสรรคจะถูกสร้างขึ้นก่อนหน้านั้นเสียอีก
“ขอโทษครับ ผมนัดอ่านหนังสือกับหวานไว้ก่อนแล้วครับ พี่แรมจะไปด้วยกันไหมล่ะ” คำบอกกล่าวนั้นทำเอาคนที่หอบตำราพะรุงพะรังในเช้าวันเสาร์รู้สึกหมดแรงขึ้นมาทันที
“ถามโง่ ๆ อ่ะ” คนเขาอ่านหนังสือด้วยกันอยู่ทุกวัน อยู่ ๆ อีกฝ่ายก็ตอบรับคำชวนของคนอื่นหน้าตาเฉย ไม่ให้เขาเซ็งก็คงไร้ความรู้สึกกันเกินไปแล้ว
“อ้าว”
“ไปเลยไป ไปไหนก็ไป” ทั้งที่เป็นคนเอ่ยปากไล่แต่กลับกลายเป็นคนเดินหัวเสียออกมาจากตรงนั้นเสียเอง
“พี่โกรธอีกแล้วอ่ะ” ธันวาตะโกนไล่หลังมา
“ไม่ได้โกรธ...”
ไม่โกรธก็แย่แล้ว อ่านหนังสือกันอยู่ทุกวัน อยู่ดี ๆ ไปอ่านกับคนอื่นแล้วแทนที่จะบอกกันสักคำก็ไม่มี “ตั้งใจอ่านหนังสือซะ อย่าหลับด้วยนะมึง”
หากสองมือไม่ได้ประคองกอดหนังสืออยู่ ธันวาก็เชื่อว่าเดือนแรมต้องชี้นิ้วมาที่ตนเพื่อย้ำน้ำหนักคำสั่งเมื่อครู่ก่อนเดินจากไปอย่างแน่นอน
ผ่านไปเกือบยี่สิบนาทีแล้วที่หญิงสาวเห็นธันวายุกยิกเหมือนคนไม่มีสมาธิอ่านหนังสือ จะว่าอ่านไม่เข้าใจก็คงไม่ใช่ ท่าทางเหมือนคนใจไม่อยู่กับหนังสือ เพียงแต่เธอไม่รู้ว่ามันลอยไปที่ไหนเท่านั้นเอง
“เป็นอะไรอ่ะธันว์ งีบสักนิดก่อนดีไหม”
“เอ่อ ไม่เป็นไร ขอโทษนะที่เราทำหวานเสียสมาธิไปด้วย”
“ไม่เป็นไร ถ้าไม่อยากนอนก็เริ่มทำสมาธิแล้วอ่านใหม่เถอะ”
ธันวาเหลือบมองโทรศัพท์ตัวเองที่วางไว้ข้างกายแต่ปิดการรบกวนทุกช่องทางสลับกับหน้าเพื่อนสาวอย่างใช้ความคิด “เดี๋ยวเรามานะ”
“อื้อ”
ไม่ทันสิ้นเสียงตอบรับของเธอธันวาก็คว้าโทรศัพท์แล้วเดินออกจากบริเวณนั้นเข้าสู่ซอกตามชั้นวางหนังสือทันที
นิ้วเรียวกดเข้าแอปพลิเคชั่นสำหรับสนทนาที่ตนใช้ติดต่อกับเดือนแรมเป็นหลักเมื่อหาตรอกที่เงียบสงบและปลอดคนได้แล้ว ตัดสินใจส่งสติกเกอร์ไปหยั่งเชิงดูก่อนว่าอีกฝ่ายสะดวกในการพูดคุยด้วยหรือไม่
Ram Jaruphanichakarn : ไหนบอกว่าไม่ชอบจับโทรศัพท์เวลาอยู่กับใครแค่สองคนไง
ธันวายิ้มโล่งใจ อย่างน้อยเดือนแรมตอบกลับมาเร็วแบบนี้ก็หมายความว่าตนยังมีโอกาสได้สะสางเรื่องที่คาใจจนไม่มีสมาธิอ่านหนังสือ
Thanwa DilokDharm : ก็ยังคาใจเรื่องพี่อ่ะ
Ram Jaruphanichakarn : คาใจอะไร
Thanwa DilokDharm : พี่โกรธผม
Ram Jaruphanichakarn : บอกว่าไม่โกรธไง ไปอ่านหนังสือ
Thanwa DilokDharm : พี่โกรธ
Thanwa DilokDharm : แบบนี้ผมไม่มีสมาธิอ่านหนังสือหรอก
Ram Jaruphanichakarn : ธันวา กูบอกว่ากูไม่ได้โกรธ ไปอ่านหนังสือ ครั้งที่ 1
Thanwa DilokDharm : อะไรวะ พี่มีสมาธิอ่านรึไง
Ram Jaruphanichakarn : กูจะอ่านไม่ได้เพราะมึงเป็นแบบนี้นี่แหละ ไปอ่านหนังสือซะ ครั้งที่ 2
Ram Jaruphanichakarn : ถ้ากูนับถึงสามแล้วมึงยังไม่ไปอ่านกูจะถือว่ามึงแคร์กูมากแล้วเราก็จะเป็นแฟนกันทันที
Thanwa DilokDharm : ขอ 5 ครั้ง
Ram Jaruphanichakarn : อย่าดื้อ ไว้ค่อยคุยกันไม่ได้เหรอวะ
Thanwa DilokDharm : อ่านได้ไงวะถ้าพี่ยังโกรธอยู่เนี่ย
Ram Jaruphanichakarn : ตั้งใจอ่านหนังสือธันวา! ครั้งที่ 3
Ram Jaruphanichakarn : ถ้ายังไม่อ่านกูจะโกรธมึงจริง ๆ เนี่ยแหละ
Thanwa DilokDharm : พี่ไม่โกรธผมจริง ๆ เหรอ
Ram Jaruphanichakarn : กูจะนับครั้งที่ 4 แล้วนะ
Thanwa DilokDharm : ไปอ่านแล้วก็ได้ แต่เย็นนี้ไปกินข้าวกันนะพี่ ไถ่โทษ ๆ
Ram Jaruphanichakarn : เออ ไปอ่านหนังสือ ครั้งที่ 4!!
ต่อให้อยากหัวเสียมากแค่ไหนแต่เดือนแรมก็ยังยิ้มออกมาเมื่อเจ้าตัวดื้อของเขาส่งสติกเกอร์หน้าทะเล้นกลับมาหลังจากข้อความนั้นของเขาเพื่อเป็นการจบบทสนทนาที่ไม่มีใจความสำคัญอะไรนอกจากถ้อยความซ้ำไปซ้ำมาจากทั้งสองฝ่าย
‘พี่มีสมาธิอ่านรึไง’ธันวาถามได้ถูกจุด หากมีสมาธิอ่านหนังสือจริงมีหรือที่เขาจะตอบแชทของธันวาได้เร็วขนาดนั้น แต่เพราะมัวแต่จ้องหน้าจอด้วยความต้องการที่จะติดต่อกลับไปให้รู้ดำรู้แดงกันไปเสียเลยถึงได้รีบคว้ามันทันทีที่เห็นว่าอีกฝ่ายทักมา
จากที่ไม่มีสมาธิอ่านหนังสือเพราะความขุ่นมัวในใจ ตอนนี้กลับพร้อมบรรจุความรู้มากมายให้เข้าหัว ในใจมันลิงโลดเมื่อตีความความรู้สึกของธันวาผ่านตัวอักษรได้ว่าอีกฝ่ายก็ทุกข์ร้อนกับความรู้สึกของเขาเช่นเดียวกัน และแม้จะยังไม่ได้พักกลางวัน แต่เขากลับอยากให้ถึงเวลาของอาหารมื้อเย็นเสียแล้ว ความคิดที่อยากจะแกล้งหนุ่มรุ่นน้องมีมากจนชักจะทนให้ถึงเวลานั้นไม่ไหวเข้าทุกที
แต่ดูเหมือนว่าวันนี้จะไม่ใช่วันของเขา
แม้จะไม่มีเพื่อนสนิทคนใหม่ของธันวาอย่างหวานตามมาร่วมมื้อเย็นด้วยและกรองเกียรติเองก็ไปกับบุพการี แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังมีแขกไม่ได้รับเชิญเข้ามาขัดความสุขของเขาตั้งแต่ยังไม่ทันพากันเดินพ้นรั้วหอพักนักศึกษาแพทย์ชาย
“พี่ป้อง”
ธันวาอุทานชื่อหนึ่งในคนที่กำลังเดินตรงเข้ามาหาพวกเขา เดือนแรมที่สัมผัสได้ถึงความไม่ชอบมาพากลหรี่ตามองคนมาใหม่อย่างพินิจ เขาจำได้ หนึ่งในนั้นคือคนที่เข้ามาอาสาพาธันวากลับบ้านในคืนที่เมาอยู่ร้านเหล้าและถูกกรองเกียรติกับดีนปฏิเสธหัวชนฝา
“คุณพ่อบอกว่าวีคนี้ธันว์ขอไม่กลับบ้าน แต่ทั้งที่งานเยอะท่านก็ยังเป็นห่วงหลานสุดที่รัก พี่กับไอ้ต้าเลยอาสามาชวนธันว์ไปกินข้าวด้วยกัน คุณพ่อจะได้สบายใจ”
ได้ยินอย่างนั้นแล้วก็นึกถึงกรองเกียรติจับใจ แต่อีกฝ่ายไปกับพ่อแม่ และเขาก็ไม่อยากทำตัวเป็นเด็กที่ต้องให้ใครมาตามดูแลไปตลอด ทว่าท่าทางที่แสดงออกมากลับตรงกันข้าม เขารู้ในทันทีว่าตนต้องการใครสักคนไปอยู่ข้าง ๆ ให้อุ่นใจเมื่อได้ยินเดือนแรมเสนอตัวขึ้นมา
“อยากให้กูไปเป็นเพื่อนไหม”
ถ้อยความของเดือนแรมทำให้ปกป้องหรี่ตามองอย่างสนใจ “ใครเหรอธันว์ แฟนใหม่?”
“ไม่ใช่ครับ”
เดือนแรมพยายามจะไม่น้อยใจกับการโต้ตอบทันควันของน้องเพราะสถานการณ์ไม่น่าไว้วางใจตรงหน้าน่าเป็นห่วงกว่า
“เอ่อ…” เป็นธันวาเสียเองที่รู้สึกผิดและไม่กล้าหันมองรุ่นพี่ข้างกาย “...เป็นรุ่นพี่ครับ เราเพิ่งติวหนังสือกันเสร็จ”
“งั้นก็ไปกันเถอะไอ้น้อง” เป็นต้าที่เดินเข้ามากอดคอลากให้เดินไปด้วยกันแทนที่จะเป็นญาติผู้พี่โดยไม่ทันได้พูดอะไรกับเดือนแรม
คนที่อยู่ดี ๆ ก็ถูกทิ้งกลางครันทำได้แค่มองสามคนนั้นเดินจากไปจนลับสายตาด้วยความไม่สบายใจ แม้น้องจะไม่พูดออกมาตรง ๆ แต่เขารับรู้ได้ว่าธันวาไม่เต็มใจจะไปกับคนเป็นญาติด้วยเลยสักนิด ครั้นจะแอบตามไปก็จนปัญญา ฝ่ายนั้นขับรถแต่เขาทำได้แค่วิ่งไปหาวินมอเตอร์ไซค์ที่ห่างออกไปไกลซึ่งตามอย่างไรก็คงไม่ทัน ทำได้แค่รอพิกัดจากน้องเท่านั้น...หากว่าธันวาจะนึกถึงกัน
พิกัดของธันวาคือร้านสเต๊กหน้ามหาวิทยาลัย ทว่าธันวาไม่ได้ส่งมันให้กับเดือนแรมแม้ว่าอีกฝ่ายจะเสนอความช่วยเหลือมาให้ก็ตาม
‘มึงไม่ต้องการความช่วยเหลือจากกูจริง ๆ เหรอ’ธันวาไม่ได้ตั้งใจจะเพิกเฉยต่อข้อความของเดือนแรม เพียงแต่เวลาน้อยนิดที่มีทำให้เขาต้องตัดสินใจส่งข้อความขอความช่วยเหลือไปยังเพื่อนที่ตนวางใจอย่างดีนมากกว่า ไม่ทันตรวจดูหลังจากนั้นว่าเพื่อนตอบกลับมาว่าอย่างไร ได้แต่ภาวนาว่าขอให้เพื่อนอยู่หอพักแม้ว่าจะมีโอกาสน้อยมากในวันเสาร์แบบนี้ก็ตาม
“มึงอ่านหนังสือทุกวันเลยเหรอวะ” ต้าชวนคุยระหว่างรออาหารขณะที่ปกป้องเช็คนั่นนี่ในโทรศัพท์ไม่สนใจธันวานัก
“ครับ”
“ขยันฉิบหาย”
“สถานการณ์บังคับน่ะครับ”
“เออ คณะมึงแข่งกันเรียนน่าดู”
“ไม่หรอกครับ ช่วย ๆ กันเรียนมากกว่า”
“เอ้อ แล้วไอ้รุ่นพี่นั่นเขามาจีบมึงเหรอ” ปกป้องหูผึ่ง ลอบมองท่าที่ญาติผู้น้องอย่างเงียบ ๆ
“เปล่าครับ”
“ไม่ใช่ก็ดี” ปกป้องเอ่ยเสียงเรียบทั้งที่ไม่ได้สบตาใครทั้งนั้น
“มีน้องน่ารักพี่เราก็หวงเป็นธรรมดาแหละว่ะธันว์” ต้าว่าติดตลกพร้อมกับถือวิสาสะยื่นมือไปลูบผมคนน้องเล่น
ธันวายิ้มแหยตอบรับเสียงค่อยเบี่ยงตัวออกจากสัมผัสนั้นแบบไม่ให้เสียมารยาทมากนัก
ช่วงที่รออาหารธันวากลายเป็นเพื่อนคุยให้ต้าไปโดยปริยายเมื่อปกป้องสร้างโลกส่วนตัวขึ้นมากับโทรศัพท์ของตนเอง คนอ่อนวัยกว่าเป็นฝ่ายตอบเสียมากกว่าจะชวนคุย เขาสงวนคำจนต้ายังแซวทีเล่นทีจริง แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังไม่เลิกชวนคุย กลับกลายเป็นว่าการมีต้าอยู่ด้วยสร้างความอึดอัดให้เขามากกว่าอยู่กับปกป้องเพียงแค่สองคนเสียอีก
รอจนอาหารมาเสิร์ฟครบทั้งสามรายการดีนถึงได้โผล่เข้ามาในร้านด้วยท่าทีสบาย ๆ อย่างคนที่แค่แวะมาหาอาหารเย็นรับประทานเท่านั้น ธันวาลอบอมยิ้ม เพื่อนคนนี้รอบคอบเสมอ เพราะหากหน้าตาตื่นเข้ามาคงโจ่งแจ้งเกินไปว่าเขาระแวงจนต้องตามคนมาช่วย
“อ้าวเห้ยไอ้ดีน!”
“ธันวา มากับใครวะ” เพราะสองหนุ่มรุ่นพี่นั่งหันหลังให้ดีนจึงได้เล่นบทแสร้งทำเป็นไม่รู้มาก่อนได้ “อ้าวพี่ป้อง สวัสดีครับ” หนุ่มคณะอักษรศาสตร์ทักทายพอเป็นพิธีก่อนตีเนียนนั่งร่วมโต๊ะข้างธันวาที่ขยับให้อย่างรู้หน้าที่ “ขอนั่งด้วยคนนะครับ พอดีมาคนเดียว”
“อือ” ปกป้องแค่ครางรับในลำคอ ไม่แม้แต่จะชายตามองคนมาใหม่สักนิด
หลังจากที่ธันวาแนะนำต้ากับดีนให้รู้จักกันแล้วทั้งโต๊ะก็ตกอยู่ในความเงียบจนจบมื้ออาหาร เพราะเมื่อต้าเปิดบทสนทนาชวนธันวาคุยดีนก็มักจะแทรกด้วยจนอีกฝ่ายยอมเลิกราไป
(มีต่อนะคะ)