Pocket Book "This is Phakin": start Dear Mek...
I would die for you because I truly love you, believe me?
ความสัมพันธ์ของผมกับเมฆไม่ได้เริ่มต้นกันด้วยดีนัก เพราะหลังจากที่ผมโกหกออกสื่อไปนั้นผมกับเขาแทบจะไม่ได้ติดต่อกันเลย หรือพูดให้ถูกคือเขาไม่ยอมติดต่อผมมาเลย ผมยังจำวันนั้นได้ดี วันที่ผมเจอเขาโดยบังเอิญที่ห้างแห่งหนึ่งหลังจากที่ผมทำงานเสร็จแล้ว
ผมกำลังจะกับห้องพักเพราะเหนื่อยมาทั้งวันแต่อาการเหล่านั้นก็ดูเหมือนจะหายไปเมื่อผมเห็นเมฆ เขากำลังจดจ่อกับหนังสือเล่มหนึ่ง หนังสือที่ผมไม่มีวันหยิบมาอ่านแน่ เพราะเป็นหนังสือเกี่ยวกับการเมืองการปกครองที่ชวนปวดหัว แต่เขากลับอ่านด้วยความสนใจ ผมเหมือนได้ดูภาพยนตร์เพราะหลังจากนั้นผมก็นั่งมองเขาจากม้านั่งฝั่งตรงข้ามของร้าน สวมแว่นตาและหมวกบดบังใบหน้าเพื่อป้องกันคนมาวุ่นวาย
ผมยิ้มออกมาเมื่อเห็นเขาย่นจมูกและใช้หลังมือขยี้เบาๆ ไม่อยากจะเชื่อเลยครับว่าคนอย่างภาคินจะมาทำอะไรที่น่าเบื่อแบบนี้ การเฝ้ามองอยู่ห่างๆ...เกือบๆชั่วโมงที่ผมมองเขาอ่านหนังสืออยู่แบบนั้น จนผมอดตลกตัวเองไม่ได้ ผมแอบเดินตามเขาไปเรื่อยๆเหมือนพวกโรคจิตเพื่อตามดูว่าเขาใช้ชีวิตยังไง อยู่ๆผมก็อยากรู้ขึ้นมากะทันหันจนแม้แต่ตัวเองยังแปลกใจ
“ตามมาทำไม”จู่ๆเขาก็เดินตรงดิ่งเข้ามาถามผมด้วยสีหน้าเอาเรื่องจนผมหลุดยิ้มออกมา ที่ยิ้มเพราะสีหน้าโกรธที่ดู...ผมบอกไม่ถูกแต่สีหน้านั้นไม่ใกล้เคียงกับคำว่าน่ากลัวเลย
“บังเอิญเจอก็เลยตามมา”ผมตอบไปตามตรง
“ก็ถึงได้ถามไงว่าทำไม”เมฆถามด้วยน้ำเสียงฉุนเฉียว
“แค่อยากรู้ว่านายทำอะไรบ้าง ก็แค่นั้น”ผมไหวไหล่มองอีกคน เขาหัวเราะออกมาเบาๆ
“ประสาท นี่คุณยังทำผมเดือดร้อนไม่พออีกเหรอ เอาชื่อผมไปอ้างเสียๆจนพลอยทำให้คนเกลียดผมไปด้วยแล้วยังไม่พอใจอีกเหรอไง”เขากัดฟันพูดด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด ผมเริ่มละอายใจขึ้นมาบ้าง
“ขอโทษที่สร้างเรื่องให้ แต่ฉัน...”ผมนึกคำพูดไม่ออก คำว่าไม่ได้ตั้งใจถูกกลืนกลับลงไป คำนี้คงใช้ไม่ได้ผลในเมื่อผมเองตั้งใจจะยืมชื่อเขามาเป็นเครื่องมืองัดข้อกับเฮียเปรม เมฆถอนหายใจก่อนจะกอดอกมองผม
“อยู่ห่างๆผมไว้ล่ะ ผมไม่อยากเป็นข่าวกับคุณสักนิด”เขาย่นหน้าใส่ผมก่อนจะหมุนตัวเดินจากไป ทิ้งให้ผมยืนเคว้งอยู่ตรงนั้นคนเดียว ตอนนั้นผมตกใจอยู่ไม่น้อยเพราะไม่คิดว่าตนจะโดนปฏิบัติแบบนี้ ผมคือภาคินเชียวนะ แต่ไม่รู้ทำไม...นอกจากจะไม่โกรธแล้วผมยังรู้สึกว่าเขาดูน่าสนใจอย่างบอกไม่ถูก ไม่ใช่แค่รอยยิ้มน่ามอง แต่เพราะตัวตนของเมฆทำให้ผมอยากรู้จักขึ้นมาต่างหาก
พาดหัวข่าวของวันนี้ไม่พ้นเรื่องของผมและเมฆอีกตามเคยทั้งๆที่ผมยังไม่ทันได้ขยับตัวทำอะไรเลยด้วยซ้ำ แต่ผมก็ชินซะแล้ว ตอนนี้ไม่ว่าผมจะทำอะไรก็ผิดหมดนั่นแหละ ผมเป็นแค่วายร้ายจอมสร้างเรื่องในสายตาคนนอกเท่านั้น แต่ก็ช่างเถอะ ผมไม่สนใจอยู่แล้ว สิ่งที่ผมสนใจตอนนี้คือเมฆ ผมห่วงว่าเขาจะโดนโจมตีและที่สำคัญเขาจะรับมือได้ไหม ผมพยายามติดต่อเขาไปแล้ว แต่เขาก็ไม่แม้แต่จะรับสายผมเลย ผมเลยตัดสินใจไปหาเขาที่บ้านอีกครั้ง ในเวลาดึกสงัด
'ฉันอยู่หน้าบ้านนายแล้วนะตอนนี้ ฉันอยากคุยกับนายจริงๆ'ผมมองแสงไฟที่ลอดมาจากห้องๆหนึ่งที่ทำให้รู้ว่าเมฆยังไม่นอนแน่ๆ แต่เขาจะออกมารึเปล่า ผมก็ไม่แน่ใจ ระหว่างที่รอผมก็กินขนมปังแห้งๆไปพลาง ช่วงนี้ผมว่าน้ำหนักผมลดลงไปมากเลย เพราะหลายๆเรื่องที่ถาโถมเข้ามา กดเปิดเพลงฟังไปด้วยก่อนจะเหลือบมองห้องที่ปิดไฟไปแล้ว เมฆใจแข็งกว่าที่ผมคิดมากจริงๆ
จนผมเผลอหลับไปตั้งนาน สะดุ้งตื่นอีกทีก็เกือบๆตีสี่แล้ว ใจคอจะไม่ยอมลงมาหาผมจริงๆน่ะหรือ ผมเคาะนิ้วลงกับพวกมาลัย ในอกรู้สึกเดือดขึ้นมานิดๆ ผมไม่เคยต้องมานั่งรอใครนานเท่านี้เลย ระหว่างที่กำลังจะถอดใจผมก็เห็นคนตัวเล็กเปิดประตูบ้านออกมาในสภาพสวมเสื้อยืดและกางเกงบอล เมฆพยักเพยิดให้ผมเข้ามาในบ้านโดยไม่พูดไม่จา ผมระบายยิ้มออกมาก่อนจะลงมาจากรถ เซน้อยๆรู้สึกวูบมึนๆขึ้นมาจนผมสะดุดขาตัวเอง
“เฮ้ย”เมฆเข้ามาดูพร้อมกับช่วยพยุง
“ไม่เป็นไรหรอก เดินได้”ผมไม่ค่อยชอบให้ใครมาช่วยเพราะมันจะทำให้ผมดูอ่อนแอ
“อย่ามาทำเก่ง คนอุตส่าห์หวังดีนะ”เขาทำหน้านิ่งก่อนจะจับแขนผมไว้แล้วช่วยพยุงผมไปตลอดทาง รู้สึกดีขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก ขนาดเขาไม่ชอบขี้หน้าของผมยังเข้ามาช่วยเลย ...ผู้ชายคนนี้ดีจริงๆ ผมไม่เคยผิดหวังเลยที่ดึงเขาเข้ามาในชีวิต
“ยิ้มอะไร”เขาจ้องหน้าผมเขม็ง ก่อนจะค่อยๆพาผมขึ้นไปด้านบนทำเอาผมมึนงงเล็กน้อย
“ขึ้นไปบนห้องทำไม”ผมพลอยกระซิบเบาๆไปกับเมฆด้วย เขาหันมามองผมอีกครั้ง
“แม่ไม่ค่อยชอบนาย คงไม่ดีเท่าไหร่ถ้ามีแม่รู้ว่ามีนายอยู่ในบ้าน รีบๆขึ้นไปเถอะ อย่าถามมาก”เขาตอบเสียงนิ่งๆอีกครั้ง ผมตื่นเต้นขึ้นมา นี่จะเป็นครั้งแรกที่ผมได้เห็นห้องนอนของเมฆสินะ
“รออยู่นี่ เดี๋ยวมา”
“จะไปไหน”ผมถามเบาๆแต่อีกคนไม่ได้ตอบอะไร แต่ชี้มือไปที่เก้าอี้เหมือนบอกให้ผมรอ ผมทำตามก่อนจะกวาดสายตาไปรอบๆห้องเล็กๆ แต่ไม่แคบมาก ผมอมยิ้มเมื่อเห็นกรอบรูปวัยเด็กของอีกคน มีรูปคุณพ่อตั้งอยู่ข้างๆ แต่บ้านนี้อยู่กันสองคน ทำให้ผมเดาว่าพ่อของเมฆคงเสียไปแล้ว ผมนึกชื่นชมเมฆอยู่ในใจเพราะเคยได้ยินเรื่องของเขาผ่านคำบอกเล่าของไอ้จอห์นที่เล่าให้ผมฟังถึงเรื่องที่เมฆต้องคอยช่วยแม่ทำงานตลอด ตอนผมอายุเท่าเขาผมก็ทำงานเหมือนกันแต่ในฐานะนักร้อง
ประตูเปิดออกเบาๆทำให้ผมดึงสติกลับมา รู้สึกแปลกๆในอกที่เห็นเขายกสำรับข้าวขึ้นมา นี่เขาลงไปเอาข้าวมาให้ผมเหรอ จู่ๆผมก็หัวเราะออกมาเบาๆ
“ท่าทางเหมือนกับพวกขาดสารอาหาร สงสารเลยตักข้าวมาให้กินเสร็จแล้วค่อยคุยกัน เงียบๆด้วยเพราะแม่ใกล้จะตื่นแล้ว”ผมพยักหน้าอย่างว่าง่าย กับข้าวธรรมดาๆอย่างไข่เจียวหมูสับ กับต้มจืดทำไมถึงดูอร่อยขึ้นมาก็ไม่รู้ สงสัยเพราะผมไม่ได้กินข้าวมาเลยทั้งวัน เมฆนั่งมองผมจากปลายเตียงเงียบๆ ก่อนจะถอนหายใจออกมา เห็นเขาเดินหยิบนู่นหยิบนี่เหมือนเตรียมจะอาบน้ำ
“ขอโทษจริงๆที่ทำให้ไม่สบายใจ ที่ฉันเพราะอยากรู้เฉยๆว่านายโอเคไหม...เพราะข่าวที่มีคนพาดพิงถึงนาย”เมฆหมุนตัวกลับมามองผม
“ฉันไม่สนใจคำพูดไร้สาระพวกนั้นหรอก ถึงจะเครียดที่ถูกรบกวนอยู่บ้าง แต่นายสบายใจได้เลยว่าคำพูดพวกนั้นฉันไม่เห็นว่ามีสาระมากพอจะทำให้ฉันเก็บมาคิดให้ปวดสมอง”ผมยิ้มออกมาอีกครั้ง เขาเข้มแข็งกว่าที่ผมคิดซะอีก ผมรู้สึกว่าตัวเองเริ่มถูกใจเขามากขึ้นเรื่อยๆ แต่จู่ๆเมฆก็ขยับเดินเข้ามาหาผม สีหน้าเหมือนกำลังคิดอะไรอยู่
“นายมาหาฉันเพราะเรื่องแค่นี้หรือต้องการอย่างอื่น”ผมมึนงงไปชั่วขณะหนึ่ง
“หมายความว่าไง”ผมนิ่วหน้าอย่างไม่เข้าใจ
“ก็...บางทีที่นายตามติดฉันก็เพราะอยากสานต่อเรื่องในห้องน้ำใช่ไหมล่ะ”คำพูดของเขาทำให้ผมรู้สึกเหมือนโดนสบประมาทอย่างรุนแรง นี่เขาดูถูกน้ำใจของผมขนาดนี้เลยเหรอ ผมหงุดหงิดขึ้นมาก่อนจะยกยิ้ม
“ไม่จำเป็นหรอกนะเมฆ ฉันคือภาคินนะ แค่หาใหม่ก็ได้ถ้าฉันอยากจริงๆ ไม่จำเป็นต้องลงทุนตามนายทั้งวันแบบนี้หรอก แย่จังนะ
ที่นายมองฉันในแง่ร้ายขนาดนั้น”ผมเสียใจนิดหน่อย แต่ก็ปัดความรู้สึกนั้นออกไปอย่างรวดเร็ว
“ขอโทษนะ แต่ฉันไม่ใช่เด็กดีแบบที่นายคิดหรอก เจอกันไม่เท่าไหร่ก็อย่าเพิ่งตัดสินคนอื่นสิ”เขาแค่ยิ้มเหมือนรู้ว่าผมคิดอะไร
“งั้นเหรอ ถ้างั้นให้ฉันได้รู้จักนายมากกว่านี้ได้หรือเปล่า”ผมก้มมองอีกฝ่ายที่ดูจะผงะไปกับสายตาของผม ถอยหลังไปหลายก้าวแต่ผมดึงรั้งแผ่นหลังอีกคนเข้าหา
“ทำไมล่ะ มาสนใจฉันอะไรมากมาย คิดจะใช้เป็นเครื่องมือเหรอ ฉันไม่ยอมง่ายๆหรอกนะ”เขาดึงมือผมออก แต่ผมไม่ยอมปล่อยก่อนจะดันปลายคางของอีกคนให้เงยขึ้นเพื่อสบตาของผม
“ฉันก็แค่อยากอยู่ข้างๆนาย ไม่รู้เหตุผลเหมือนกัน แต่คิดว่าฉันอยากรู้จักให้มากขึ้น นายไม่เหมือนคนอื่น ฉันหมายถึงความคิดของนาย ตอนแรกที่ฉันเข้าหานายฉันยอมรับว่าต้องการแค่ความสัมพันธ์ทางกาย แต่ตอนนี้ไม่ใช่...ฉันต้องการมากกว่านั้น”เมฆเหมือนหายใจได้ไม่ถนัดเมื่อได้ยินคำพูดของผม คอยจะหลบตาผมตลอด
“คำพูดสวยหรูจังนะ จะเชื่อได้แค่ไหนกัน”เขายังคงมีสีหน้าเคลือบแคลง จู่ๆก็ดันผมลงกับเตียงจนผมตกใจเมื่อร่างของอีกฝ่ายทาบทับผมไว้ พร้อมกับริมฝีปากนุ่มที่คลอเคลียอยู่ตรงซอกคอ ...นี่เขาคิดจะทำอะไร ลองใจผมเหรอ ผมเม้มปากเพื่อสะกดกลั้นไม่ให้ตัวเองปล่อยเสียงออกมา อารมณ์บางอย่างจุดติดอย่างง่ายดายแต่ผมต้องอดกลั้นเอาไว้เมื่อริมฝีปากนั้นกดทับลงมาบนเรียวปากของผม ปลายลิ้นไล้เลียกลีบปากที่เม้มแน่นราวกับกำลังยั่วยวน ผมต้องกำมือแน่นเพื่อห้ามไม่ให้ตัวเองโต้ตอบลิ้นของอีกฝ่ายยามที่รุกล้ำเข้ามาในโพรงปาก
ห้ามตัวเองอย่างหนักไม่ให้ดึงตัวเขากดลงกับเตียง ไม่รู้ผ่านไปนานเท่าไหร่ แต่ความรู้สึกเสียดายจู่โจมเข้ามาทันทีเมื่อเขาถอนริมฝีปากออกมาพร้อมหอบหายใจน้อยๆ แก้มขึ้นสีแดงจางๆอย่างน่ามอง อืม...เขาในตอนนี้ดูดีอย่างบอกไม่ถูก คงต้องบันทึกไว้ในประวัติของผมแล้วล่ะว่า ผู้ชายไฟแรงอย่างภาคินแค่นอนนิ่งๆเมื่อโดนจูบ ตลกจริงๆ ผมกระแอมก่อนจะขยับตัวนั่งบนเตียง เมฆเม้มปากมองผม เห็นแววพอใจปรากฏในดวงตาคู่นั้นของอีกคน ไม่รู้ว่าพอใจด้วยเรื่องไหน
“ก็ได้ ครั้งนี้ฉันให้นายผ่าน”ผมยิ้มออกมาก่อนจะโน้มตัวไปหาอีกคนจนเขาถอยหนี
“แต่ครั้งหน้าอย่าทำอะไรแบบนี้อีกนะ เพราะฉันคุมตัวเองไม่ได้ทุกครั้งหรอกถ้าหากโดนยั่วยวนแบบนี้ เพราะฉะนั้นจะโทษฉันไม่ได้นะถ้าเกิดว่า....”ผมเงียบเสียงลง เมฆแค่หน้าแดงขึ้นมาอย่างน่ามองอีกครั้ง เขากระแอมก่อนจะขยับลงจากเตียง
“ฉันไม่ได้ยอมรับนายนะ เพราะฉะนั้นนายอย่ามาก้าวก่ายหรือว่ามาอยู่ใกล้ๆฉันมาก ฉันไม่อยากเป็นข่าวกับนาย”เขาพึมพำ
“ทำไมล่ะ เป็นข่าวกับฉันเสียหายตรงไหน”
“ทุกตรง ชีวิตฉันดิ่งติดลบทันทีตั้งแต่เจอนาย”เหมือนคำพูดของเขาพุ่งชนผมเข้าอย่างจังจนทำให้เกิดอาการมึนงง ผมพยายามไล่ความรู้สึกบางอย่างออกไป นั่นสินะ นี่ผมกำลังทำให้เขาแย่มากไปกว่าเดิมหรือเปล่า คำพูดของเมฆเหมือนฉุดรั้งให้ผมมองเห็นความจริงมากขึ้น ผมทำทีเป็นมองเข็มนาฬิกา
“เริ่มเช้าแล้ว ฉันมีงานต่อ ...ตอนนี้ฉันออกไปได้ไหม”ผมกระซิบถาม เมฆเม้มริมฝีปากเมื่อเห็นท่าทีของผมเหมือนจะพูดบางอย่างออกมาแต่ก็ไม่ทำ
“รออีกสักหน่อย เดี๋ยวแม่ก็ออกไปที่ร้านแล้ว”ผมก็เลยนั่งเหม่อมองไปด้านนอก ว่ากันตามตรงแล้วผมไม่ควรมายุ่งเกี่ยวกับเมฆอีก ปล่อยให้ข่าวซาไปเองคงดีที่สุดนั่นล่ะ เกิดความเงียบขึ้นมาจนเมื่อผมได้ยินเสียงรถขับออกไปจากบ้าน ผมจึงลุกขึ้นบิดเนื้อบิดตัว
“ขอบคุณสำหรับอาหารนะ ไว้เจอกัน”แล้วก็ขอบคุณสำหรับจูบ ผมออกมาจากบ้านเมฆด้วยความรู้สึกหลากหลาย เขาเองก็ไม่ได้ออกมาส่ง นั่นก็ดีแล้ว เพราะในตอนนั้นผมตัดสินใจแล้วว่าจะปล่อยให้เมฆอยู่ในที่ของเขา ส่วนผมก็อยู่ในโลกสกปรกๆนี่ต่อไป
............................................................................
ผมกลับมาทำงานตามปกติ ข่าวเรื่องผมกับเมฆยังไม่ซาไปจากหน้าหนังสือพิมพ์ไปง่ายๆเพราะมีหลากหลายประเด็นให้เล่น ตั้งแต่ที่ไปบ้านเมฆคราวนั้น ผมก็ไม่ได้ไปเจอเมฆอีกเลย ไม่ได้ถามข่าวคราวจากเพื่อนจอห์นด้วย เพราะผมตั้งใจจะปล่อยเขาไปจริงๆ อย่างที่พี่แต้วบอกผมนั่นแหละ อย่าไปดึงเขาให้เข้ามาในวังวนของโลกมายานี่เลย มันไม่เหมาะกับเขาหรอก
ผมจำได้ว่าวันนั้นมีคิวงานที่ห้างเดิมต่างจากคราวก่อนเพราะผมมาแจกลายเซ็น กว่าจะเริ่มงานก็เลทไปหลายนาที ความสำคัญของผมเริ่มลดลงเรื่อยๆเมื่อมีข่าวฉาวมากขึ้น แต่ผมไม่เสียใจหรอก เพราะผมทำใจที่ต้องอยู่ในจุดนี้มาแล้ว ถึงจะโดดเดี่ยวไปบ้างแต่ก็ไม่ใช่ปัญหาอะไร เพราะผมเองก็โดดเดี่ยวมาตลอดนั่นแหละ นี่แหละชีวิตจริงๆของภาคิน เกินครึ่งที่ผมมีความโดดเดี่ยวเป็นเพื่อน ยิ่งแสร้งมีความสุขผมกลับยิ่งรู้สึกโดดเดี่ยว ถ้ามีคนอยู่ข้างๆผมก็คงดี อยู่ข้างๆโดยที่ไม่หวังผลประโยชน์จากผม
“ได้เวลาแล้วคิน”เสียงผู้จัดการเรียก ทำให้ผมลุกจากเก้าอี้ออกไปที่หน้างาน มีแฟนคลับจำหนึ่งรออยู่ ส่วนใหญ่จะเป็นแฟนคลับกลุ่มเดิมๆที่ผมเห็นหน้าค่าตาไปบ่อยๆ ผมฝืนยิ้มให้นักข่าวหลายคนที่ถ่ายรูปผมอยู่ งานแจกลายเซ็นผ่านไปอย่างน่าเบื่อ ผมแทบจะไม่พูดอะไรกับแฟนคลับเลย ถามคำตอบคำ พฤติกรรมตอนนั้นผมแย่มากเลย จนผมนึกอยากเตะตัวเองขึ้นมาเลยล่ะ
“ภาคิน”มีเสียงเยาะๆดังมา เป็นแฟนคลับผู้ชาย...ไม่สิต้องบอกว่าเป็นพวกแอนตี้มากกว่า ผู้ชายคนนั้นยื่นโปสเตอร์ของผมมาให้ ผมไม่ได้โกรธที่ถูกเอาภาพไปล้อเลียน แต่โกรธข้อความที่ดูถูกผมและใครอีกคนที่เขียนด้วยหมึกสีแดงบนโปสเตอร์สีขาว ยิ่งทำให้คำเหล่านั้นแจ่มชัดมากขึ้น ผมปัดโปสเตอร์ออก อารมณ์โกรธที่สะสมไว้มานานปะทุขึ้นมา
ตอนนั้นผมไม่ได้ใส่ใจกับนักข่าวหรือแม้แต่แฟนคลับหรือตัวเอง ผมกระชากคอเสื้อของอีกฝ่ายเข้ามาใกล้ก่อนจะชกหน้าหมอนั่นไปเต็มแรง เกิดเสียงหวีดร้องดังขึ้นก่อนที่ผมจะเดินหงุดหงิดออกไป และบ่ายวันนั้นผมก็ถูกพูดถึงพฤติกรรมอันย่ำแย่ของตัวเองอีกครั้ง ซึ่งผมไม่สนใจแม้แต่จะชายตาอ่านพาดหัวเหล่านั้นเลยแม้แต่น้อย
“ทำไมถึงทำอะไรวู่วามแบบนั้น คินควรจะควบคุมอารมณ์ตัวเองให้ดีกว่านี้นะ ไม่เป็นมืออาชีพเอาซะเลย”ผู้จัดการพล่ามใส่ผมมากมาย ผมจำไม่ได้ว่าผู้หญิงคนนั้นพูดอะไรบ้าง จำได้แค่ 'รักษาภาพพจน์'หรือไม่ก็ 'อดทนไว้ อย่าสนใจ' ผมพ่นลมหายใจออกมาอย่างหงุดหงิด
เมื่อกลับมาอยู่ที่คอนโดคนเดียว เมื่ออารมณ์ทั้งหมดเริ่มเบาบางลง ก็เหมือนมีเสียงหัวเราะเยาะดังขึ้นมาในความเงียบ ผมเสียค่าโง่ไปอีกรอบเเล้วสินะ ทั้งๆที่รู้ว่าคำพูดยั่วยุเหล่านั้นทำไปเพราะหวังผลบางอย่างแต่ผมก็ไม่เคยจำ ตอนนี้ผมอยากซบบ่าใครสักคนแล้วบอกว่าผมเหนื่อยเหลือเกิน
คนสำคัญของผมก็ไม่ได้อยู่ใกล้ๆให้ผมคุยด้วย พวกเขาอยู่อีกซีกโลกหนึ่ง ห่างไกลจากที่นี่จริงๆ ความสัมพันธ์ระหว่างผมกับครอบครัวไม่ค่อยดีนัก แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ไม่เคยโกรธที่พวกเขาเคยทิ้งผมให้อยู่คนเดียวที่สถานเลี้ยงเด็กกำพร้า ใช่แล้ว อ่านไม่ผิดหรอก ผมเคยอยู่ในนั้นหนึ่งปีเพราะพวกเขาไม่พร้อมจะดูแลผมเพราะความสัมพันธ์ที่รวบรัดและเร็วเกินไป
ตอนนั้นผมคิดว่าพ่อกับแม่เลิกกันแล้วด้วยซ้ำถึงได้ทิ้งผมไว้ที่นั่น ผมขอไม่เล่าถึงชีวิตที่นั่นรู้แต่ว่ามีทั้งช่วงที่มีความสุขและทุกข์ยาก ผมถูกปฏิบัติติดีบ้างไม่ดีบ้างตามความใจดีของพี่เลี้ยงและอาสาสมัคร มีอยู่ครั้งหนึ่งที่ผมสติแตกเพราะได้ยินพวกพี่เลี้ยงคุยกันว่าใกล้ถึงกำหนดที่พ่อกับแม่ต้องมารับตัวผมกลับแล้ว แต่ที่อยู่ที่ให้มานั้นติดต่อไม่ได้
และถ้าไม่สามารถติดต่อได้ในที่สุดผมต้องอยู่ที่นี่ต่อไปหรือไม่ก็ต้องรอจนกว่าจะมีคนมาขออุปการะ นี่มันเรื่องบ้าชัดๆ ตอนนั้นผมยังเด็กเกินกว่าจะรับเรื่องพวกนี้ได้ ผมจึงหนีไปหลบอยู่ในห้องน้ำสกปรกๆนานถึงสามชั่วโมง แต่น่าเศร้าที่ไม่มีใครเอะใจเลยว่ามีเด็กคนนึงหายตัวไปเพราะพี่เลี้ยงมีน้อยและงานยุ่งเกินกว่าจะให้ความสนใจ สุดท้ายผมก็ต้องออกมาเองเพราะหิว วิธีเรียกร้องความสนใจของผมไม่ได้ผล ผมจึงใช้วิธีที่บ้ามากกว่านั้นคือเอาหัวโขกพื้นนานมากจนพี่เลี้ยงต้องเข้ามาปลอบอยู่ตั้งนาน
ตอนนั้นผมแค่ต้องการอ้อมกอดของใครสักคน ...เหมือนกับตอนนี้ แต่ผมโตแล้ว เรียกร้องความสนใจจากใครก็ไม่ได้ คงดูน่าสมเพชมากกว่าน่าสงสาร เคยมีนักจิตวิทยาพูดถึงผมว่าผมแค่เรียกร้องความสนใจถึงได้คอยสร้างข่าวฉาว...ก็อาจจะจริงและไม่จริง เพราะส่วนหนึ่งผมทำไปเพราะมีเป้าหมาย
การโจมตีผมเพิ่งจะเริ่มขึ้นเท่านั้น ผมเริ่มขยับตัวไปไหนลำบากมากขึ้นเพราะต้องคอยระวังพวกแอนตี้ที่แฝงตัวมากับแฟนคลับ
ช่วงนั้นผมคิดถึงเมฆอยู่เหมือนกัน แต่ผมไม่อยากดึงเขาเข้ามาวุ่นวายอีก เพราะตอนนี้มีแค่ผมคนเดียวที่ถูกโจมตี ผมเป็นคนดีมากกว่าที่ใครหลายคนคิดอีกนะ ถ้าคนเหล่านั้นได้อ่านพ็อคเก็ต บุ๊คของผมก็หวังว่าจะเปลี่ยนความคิดได้บ้าง
ผมก็ไม่ได้หวังมากหรอก แต่พวกที่คอยหาทางโจมตีผมคงซื้อหนังสือผมไปเพื่อหาข้อบกพร่องและโจมตีผมอีกต่อแน่ๆ บางทีผมก็ขอบคุณพวกคุณนะ ที่ตามมาด่าผมทุกเรื่องเลย ไม่ว่าจะเรื่องขี้ปะติ๋วแค่ไหน ถ้าหากเป็นภาคินแล้วล่ะก็ เรื่องขี้ปะติ๋วเหล่านั้นจะกลายเป็นเรื่องใหญ่ขึ้นมาทันที แปลกเหมือนกัน
ผมได้เจอกับเมฆโดยบังเอิญอีกครั้งที่ร้านหนังสือแห่งหนึ่ง ผมมาเลือกซื้อหนังสือนำเที่ยวเพราะผมฝันว่าอยากไปเที่ยวแบบคนธรรมดาๆดูสักครั้ง ผมมีที่ๆอยากไปแล้ว แต่หาทางไปไม่ถูก ไม่อยากพึ่งGPS อ่านจากหนังสือนำเที่ยวได้ฟีลกว่าเยอะ ผมใส่หมวกและแว่นตาปกปิดใบหน้าตามเคย ผมเห็นเมฆกำลังเลือกหนังสือเศรษฐศาสตร์อยู่ เขาเองก็เห็นผมแล้ว แต่เป็นผมเองที่เลือกจะหลบไปอีกมุม ทั้งๆที่อยากเดินเข้าไปทัก ผมหยิบหนังสือออกมาอย่างเหม่อลอย ระหว่างนั้นเมฆก็เดินมาอยู่ข้างผมพร้อมกับแปะกระดาษโพสอิทลงบนปกหนังสือที่ผมถืออยู่
'เป็นไง'เป็นไงน่ะเหรอ...เหมือนมีก้อนบางอย่างจุกอยู่ที่คอ ไม่เคยมีคนถามผมแบบนี้นานแล้ว ผมกวาดตามองรอบๆตัวก่อนจะหยิบปากกาที่ผมพกติดตัวเสมอออกมาเขียนตอบใต้ข้อความนั้น วางหนังสือลงที่เดิมแล้วเดินออกจากร้านไป
'The more I swear I'm happy, the more that I'm feeling alone'อันที่จริงแล้ว ต้องขอบคุณเมฆจริงๆที่ยอมเสี่ยงเข้ามาหาผม เพราะหลังจากวันนั้นผมโดนโจมตีจากกลุ่มแอนตี้ระหว่างที่แสดงคอนเสิร์ตอยู่ ทั้งป้ายดูถูกแถมยังปาขวดน้ำขึ้นมาบนเวทีอีก วันนั้นอาจเป็นช่วงเวลาที่แย่ที่สุดสำหรับผม หากไม่มีข้อความจากใครบางคนที่ส่งเข้ามาถึงเป็นแค่ข้อความสั้นๆแต่ทำให้สิ่งที่หนักอึ้งบนบ่าของผมนั้นเบาลงถนัดตา
'สู้ๆล่ะ'ผมชั่งใจอยู่นานว่าจะส่งข้อความอะไรกลับไป ถ้าข้อความนี้ถูกปฎิเสธผมจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับเมฆอีกต่อไป และจะหยุดข่าวเรื่องของผมกับเขาด้วยการเปิดตัวแฟนปลอมๆอีกรอบ ในที่สุดผมก็ตัดสินใจส่งข้อความนี้ไป
‘ออกมาเจอหน่อย ที่ร้านไอ้จอร์น รออยู่ด้านใน'และนั่นเป็นจุดเริ่มต้นของผมกับเขา ขอบคุณนะ ที่วันนั้นนายยอมมาหาฉัน
๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑
ขอบคุณสำหรับการติดตามนะคะ ตอนพิเศษที่เหลือเจอกันในรวมเล่มนะคะ (ยังไม่ได้ปั่นเลย
)
คิวเปิดจองเรื่องนี้น่าจะสิ้นเดือนตุลาคม ตอนนี้ยังเสนอความเห็นได้นะว่าอยากอ่านตอนพิเศษแบบไหนบ้าง
ไว้เราจะเก็บไว้เป็แนวทางค่ะ แต่ที่แน่ๆคือ มีตอนเพิ่มของพ็อกเก็ต บุ๊คของภาคินด้วย