ปานตะวัน
บทที่ ๗
Restart
ตอนที่รถยนต์ของราเมศจอดที่หน้าประตูรั้วก็เป็นเวลาดึกแล้ว เจียหลินหลับไปเป็นที่เรียบร้อย โชคดีที่พรุ่งนี้เป็นวันอาทิตย์ปานตะวันจึงไม่ต้องห่วงว่าหลานชายจะเพลียจากการเล่นน้ำทะเลจนตื่นไปเรียนไม่ไหว
แต่ทันทีที่มองออกไปภายนอก ชายหนุ่มก็เห็นว่าไม่ไกลจากประตูรั้วบ้านเขานักมีใครบางคนยืนอยู่ แสงจากเสาไฟริมถนนส่องให้เห็นร่างผู้มาเยือนในยามวิกาลได้ไม่ชัดเท่าใดนัก แต่ปานตะวันยังพอมองออกว่าคนที่ยืนอยู่เป็นผู้หญิง คิ้วเรียวขมวดมุ่น รู้สึกคุ้นตาอย่างบอกไม่ถูก
“พี่เมศ นั่นใครน่ะ”
“พี่ก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่ยืนอยู่หน้าบ้าน อาจมาหานาย”
“ก็เป็นไปได้”
ปานตะวันพึมพำเสียงเบาแม้จะนึกไม่ออกก็เถอะว่าจะมีใครมาหาตนในเวลาดึกดื่นป่านนี้ คนตัวเล็กส่งเจียหลินให้ราเมศรับไปอุ้ม ระวังไม่ให้หลานชายตื่น
“น้าตะวัน” เสียงใสร้องหงุงหงิงทันทีที่เกิดการเปลี่ยนมือคนอุ้ม ปานตะวันยิ้ม จูบลงที่หน้าผากเจียหลินอย่างอ่อนโยนแล้วกระซิบว่า “ไม่เป็นไรครับ เราถึงบ้านแล้วล่ะหนูเจีย เดี๋ยวน้าตะวันลงไปเปิดประตูรั้วก่อน แป็บเดียวครับ” พอได้ยินดังนั้นเจียหลินก็พยักหน้า ซุกหน้าเข้าหาราเมศแล้วหลับต่อ เห็นดังนั้นปานตะวันจึงเดินลงจากรถตรงไปที่หน้าบ้านของตน
“สวัสดีครับ มีอะไรให้ช่วยหรือเปล่าครับ” ชายหนุ่มส่งเสียงนำไปก่อนตัว แสงไฟจากหน้ารถราเมศทำให้ต้องหยีตาลงเล็กน้อย ปานตะวันเดินเข้าไปใกล้และผู้หญิงคนนั้นก็หันหน้ามาทางเขาพอดี
ในตอนนั้นเองที่ปานตะวันรู้สึกเหมือนเลือดในกายตัวเองจับตัวเป็นน้ำแข็ง หัวใจเต้นแรงด้วยความหวาดหวั่น ชายหนุ่มยืนนิ่ง เบิกตาค้างอย่างตื่นตระหนกแล้วก็ยิ่งแน่ใจว่าตัวเองเข้าใจไม่ผิด...เมื่อผู้มาเยือนก้าวเข้ามาใกล้จนเห็นใบหน้าได้ชัดเจน
เส้นผมสีดำปล่อยยาวเลยบ่าเล็กน้อย ริมฝีปากเม้มแน่นอย่างที่ชอบทำเป็นประจำและดวงตาสีน้ำตาลคมเฉี่ยวฉายประกายมั่นใจในตัวเองกำลังกวาดมองเขาตั้งแต่หัวจรดเท้าด้วยสายตาพินิจพิจารณา
ปานตะวันเกลียดสายตาแบบนี้มาแต่ไหนแต่ไรแล้ว
“ก็ดูสบายดีนี่” น้ำเสียงเรียบๆ เหมือนดึงสติที่หลุดลอยไปให้กลับคืน ปานตะวันสะดุ้งนิดๆ เมื่ออีกฝ่ายเข้ามาใกล้ ได้กลิ่นน้ำหอมโชยแตะจมูก เขาเบือนหน้าหนี ไม่สบตา
“ทั้งที่ดูสบายดีแต่ก็ไม่ติดต่อมาหาเลย นี่ถ้าไม่ได้ข่าวจากสายหยุดฉันก็คงไม่รู้ว่าแกอยู่ที่นี่”
ชายหนุ่มขมวดคิ้ว หันกลับไปเผชิญหน้ากับผู้หญิงหนึ่งเดียว...ที่เขาไม่มีวันชนะ ปานตะวันกลืนน้ำลายลงคออย่างยากเย็น เหลือบมองประตูรถที่เปิดออก ราเมศคงเห็นแล้วว่าเขายืนคุยกับอีกฝ่ายนานเกินไปจึงลงมาดู พร้อมกับอุ้มเจียหลินลงมาด้วย
“เกิดอะไรขึ้น มีปัญหาอะไรกันหรือเปล่าครับ” น้ำเสียงทุ้มของชายหนุ่มเอ่ยอย่างสุภาพ ปานตะวันเห็นแววประหลาดใจฉายวาบในดวงตาสีน้ำตาลของคนตรงหน้า นัยน์ตาคู่สวยเหมือนของเขาตวัดมามองพร้อมกับน้ำเสียงเรียบนิ่งดังขึ้นอีกหน
“ดูท่าเราคงมีเรื่องต้องคุยกันยาวเชียวล่ะ...ปานตะวัน”
เจ้าของชื่อได้แต่ถอนหายใจออกมา พร้อมกับเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงเหนื่อยอ่อน
“ผมก็ว่าอย่างนั้นแหละครับ แม่”
ภายในห้องรับแขกของบ้านเรือนไทยปกคลุมไปด้วยบรรยากาศอึมครึมประหนึ่งกำลังจะมีพายุ ปานตะวันเชิญให้ทุกคนเข้ามาในบ้านก่อนจะไปหาน้ำมารับรอง ‘แขก’ ของบ้านให้เรียบร้อย เสร็จแล้วจึงทิ้งตัวลงนั่งที่โซฟาฝั่งตรงข้าม ข้างกันมีราเมศนั่งอยู่ ส่วนหนูเจียก็ตื่นเต็มตาแล้ว เด็กน้อยกำลังมองสำรวจผู้มาใหม่ด้วยสายตาอยากรู้อยากเห็น
“แม่มาได้ยังไง” ปานตะวันเป็นฝ่ายเริ่มการสนทนาก่อนเมื่อเห็นว่าบรรยากาศชักอึดอัดจนทนไม่ไหว “แล้วทำไมไม่ติดต่อผมก่อน”
“ก็โทรหาไม่ติด ไม่เห็นบอกว่าเปลี่ยนเบอร์”
ปานตะวันร้องอ้อเบาๆ
“พอดีโทรศัพท์ผมตกน้ำเลยยืมของพี่เมศมาใช้ก่อน”
“พี่เมศ? ใคร เพื่อนหรือ ไม่เห็นรู้เลยว่ามีเพื่อนชื่อนี้”
“แล้วแม่รู้จักใครนอกจากไอ้กันต์บ้างล่ะ”
ปานตะวันไม่ได้ตั้งใจจะทำเสียงห้วน แต่เขาอารมณ์ไม่ดีจริงๆ ความหงุดหงิดกระวนกระวายมาเยือนตั้งแต่เห็นว่าผู้เป็นแม่ยืนอยู่ที่หน้าบ้านแล้ว
ความสัมพันธ์ระหว่างปานตะวันกับแม่ไม่ดีมาตั้งแต่สมัยก่อน ตั้งแต่ที่เขาเริ่มรู้ว่าแม่นอกใจพ่อแล้ว ตอนที่ยังเด็กปานตะวันก็ไม่รู้หรอกว่าทำไมแม่กับพ่อถึงจะไม่อยู่ด้วยกันแล้ว เพิ่งมารู้ก่อนหน้าที่แม่จะย้ายตามสามีคนที่สองไปต่างประเทศไม่นาน
เขาพยศ อาละวาด ไม่พอใจ ทำตัวก้าวร้าวจนแม้แต่แม่ก็หมดความอดทนในที่สุด
เหมือนรอยร้าวบนแก้ว...เพิ่มมากขึ้นทุกวัน
จนในที่สุดมันก็แตกสลายในวันที่ย้ายไปอยู่กับอีกฝ่ายที่ต่างประเทศพร้อมน้องสาวของเขาอีกสองคน โดยปานตะวันยืนกรานที่จะอยู่ประเทศไทย เขาจึงถูกทิ้งไว้กับญาติ...แต่ในตอนนั้น ปานตะวันกลับรู้สึกว่าเขาเดียวดายเหลือเกิน
“แม่ยังไม่ตอบผมเลยว่ามาทำไม” ปานตะวันพูดขึ้น เขาเห็นแล้วว่ามารดาเริ่มพิจารณาราเมศกับเจียหลินด้วยสายตาแปลกๆ
“ก็...ฉันกับอเล็กซ์พานาตาชามาเที่ยวเสม็ด แล้วก็เลยว่าจะมาเยี่ยมแต่แกก็ไม่ได้อยู่บ้าน ไม่ได้อยู่หอ โทรหาก็ไม่ได้จนรู้จากสายหยุดนี่แหละว่าอยู่ที่นี่”
ปานตะวันชะงัก ริมฝีปากเม้มแน่นขึ้น ถ้ารู้จากน้าสายหยุดว่าเขาอยู่ที่นี่ แปลว่าต้องรู้ว่าพี่จันทร์เสียแล้ว...รวมถึงต้องรู้จักเจียหลินด้วย แต่แม่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา
“งั้นเหรอครับ”
สิ้นประโยคนั้นความเงียบก็เข้าปกคลุมอีกครั้ง จนกระทั่งมารดาของเขาทำลายความเงียบขึ้น
“แล้ว...นั่นสินะเจียหลิน ลูกชายจันทร์จ้าว ส่วนเธอ...”
“ผมราเมศครับ”
“อ่อ แล้วเป็นอะไรกันล่ะถึงได้ออกไปไหนมาไหนกันแบบนั้น”
ราเมศกำลังจะอ้าปากตอบแต่ปานตะวันชิงพูดขึ้นก่อน “พี่เมศเป็นเพื่อนบ้าน บ้านเขาอยู่ตรงข้ามนี่เอง เขาช่วยดูแลเจียหลินด้วยแล้วก็ช่วยดูแลผม”
แม่หรี่ตาลง เป็นท่าทางที่อีกฝ่ายชอบทำเวลาต้องใช้ความคิด และปานตะวันก็ไม่ชอบมันเอาเสียเลย โชคดีที่แม่ไม่ได้พูดอะไรมากไปกว่านั้น ปานตะวันเหลือบมองนาฬิกาก็เห็นว่าเกือบห้าทุ่มกว่าแล้ว
“แม่พักอยู่ที่ไหน ผมออกไปส่งเอาไหม ดึกแล้ว แม่น่าจะรีบกลับ”
“ทำไม ไม่อยากให้ฉันอยู่ด้วยขนาดนั้นเลยหรือไง”
น้ำเสียงประชดประชันทำให้ปานตะวันต้องสูดลมหายใจเข้าลึกๆ เพราะแบบนี้แหละพวกเขาถึงได้ทะเลาะกันบ้านแทบแตกบ่อยๆ
“เปล่า แต่มันดึกแล้ว เดี๋ยวอลิซ นาตาชา กับอเล็กซ์จะเป็นห่วง” อเล็กซ์คือสามีใหม่แม่ ส่วนอลิซคือน้องสาวคนรองและนาตาชาเป็นน้องสาวคนสุดท้อง ปานตะวันจำหน้าน้องสาวของตัวเองแทบไม่ได้แล้ว ตอนที่แยกกันพวกเธอยังเด็กมาก และหลังจากนั้นเขาก็เจอทั้งสองนับครั้งได้ แน่นอนว่าเขากับพ่อเลี้ยงของตัวเองก็ไปกันได้ไม่ดีนัก
“ไม่ต้องลำบากไปส่งหรอก ฉันนอนนี่ก็ได้คืนนี้”
“หา!?”
“พอจะมีห้องรับแขกไหมล่ะ”
“ก็มี...แต่...”
“งั้นก็เอาตามนั้นแหละ พรุ่งนี้แกค่อยไปส่งฉันที่โรงแรมแล้วกัน” ปานตะวันถอนหายใจ ตัดสินใจยอมแพ้ เขาลงไปเปิดประตูรั้วให้แม่เอารถเข้ามาในบ้าน จากนั้นก็หิ้วกระเป๋าสะพายขึ้นมาวางไว้ให้ในห้องนอนสำหรับแขก จากนั้นก็เดินกลับลงไปส่งราเมศใหม่
“ขอโทษนะพี่ที่ต้องมาเจออะไรแบบนี้” คนตัวเล็กเอ่ยด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา สีหน้าอ่อนล้าทำให้ราเมศอดเป็นห่วงไม่ได้ ปลายนิ้วของอีกฝ่ายแตะลงที่หว่างคิ้วของปานตะวัน นวดเบาๆ ให้มันคลายออกจากกัน
“อย่าขมวดคิ้วมากสิ ไม่เป็นไรหรอก พี่ไม่ได้คิดอะไร ส่วนเราน่ะก็อย่าพูดกับแม่ห้วนๆ แบบนั้น เขามาก็ดูแลเขาให้ดี”
“อืม...เข้าใจแล้ว”
“งั้นพี่ไปนะ พรุ่งนี้จะมาทำข้าวต้มให้”
“ครับ”
“ฝันดีปานตะวัน”
“ฝันดีพี่เมศ”
พวกเขาจ้องหน้ากันอยู่อีกครู่หนึ่งก่อนที่ปลายจมูกโด่งจะแตะลงที่ผิวแก้มของปานตะวัน...เชื่องช้า คล้ายยังไม่มั่นใจ แต่เมื่อร่างเล็กไม่ได้ขัดขืนหรือแสดงท่าทีตระหนก ราเมศก็ค่อยๆ รวบตัวปานตะวันมาไว้ในอ้อมแขน กดริมฝีปากแช่ไว้ที่ผิวแก้มของอีกฝ่าย
หอมฝั่งซ้าย...แล้วก็ย้ายมาฝั่งขวา กดจูบนานๆ ให้อีกคนหน้าแดงเล่น
“ฮื่อ พอแล้ว ชักจะไปกันใหญ่ละ”
เสียงทุ้มหัวเราะเมื่อลูกแมวขี้เขินดิ้นยุกยิก ราเมศปล่อยอีกฝ่ายให้เป็นอิสระ บอกฝันดีเร็วๆ อีกหนึ่งทีแล้วก็กลับบ้านไป ลับหลังร่างสูงไปแล้ว ปานตะวันก็ได้แต่ยืนเหม่อกุมแก้มแดงๆ ของตัวเองอยู่ตรงนั้น
โดยไม่รู้ตัวเลยว่าทุกการกระทำอยู่ภายในสายตาของมารดาตัวเองตลอดเวลา
ตอนที่กลับเข้ามาในบ้านปานตะวันก็พบว่าแม่ของเขากลับมานั่งไขว่ห้างรออยู่ในห้องรับแขก มีหนูเจียนั่งตัวลีบอยู่ไม่ไกล เด็กแก้มยุ้ยก้มหน้างุด สองมือกอดคุณกระต่ายของตัวเองไว้แน่น พอเห็นปานตะวันเดินกลับเข้ามาเด็กน้อยก็รีบโผเข้าหาอย่างว่องไว ปานตะวันออกจะแปลกใจกับท่าทางนั้นเล็กน้อย ยิ่งพออุ้มเจียหลินก็กอดคอ ซุกหน้าลงกับบ่าเขา ทำท่าเหมือนกลัวอะไรบางอย่าง
“หนูเจียเป็นอะไรไปครับ”
“เปล่า...เปล่าครับน้าตะวัน”
ปานตะวันเอียงคอก่อนจะถึงบางอ้อเมื่อนึกขึ้นได้ว่าแม่ตัวเองก็นั่งอยู่ในห้องด้วย เจียหลินกลัวคนแปลกหน้าเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ยิ่งแม่เขาที่แผ่รังสีผู้หญิงน่ากลัวออกมาไม่หยุดก็คงทำให้เจียหลินขวัญผวาไม่น้อย
“หนูเจีย ไม่ต้องกลัวหรอกครับ นี่...อืม...คุณยายของหนูเจียไงครับ”
“นี่ฉันแก่ขนาดนั้นแล้วเหรอเนี่ย”
ปานตะวันส่งยิ้มปลอบเจียหลิน ดันให้เด็กน้อยหันไปหาแม่ของตน “สวัสดีคุณยายสิครับ”
พอได้ยินดังนั้นเด็กน้อยก็ค่อยๆ ยกมือไหว้ โค้งตัวอย่างเรียบร้อยเหมือนที่คุณครูประจำชั้นสอนมา “สวัสดีครับ”ปานตะวันแอบเห็นแม่ตัวเองยกมุมปากขึ้นก็โล่งใจไปเปลาะหนึ่ง ดวงตาคู่สวยเหลือบไปเห็นนาฬิกาก็พบว่าดึกมากแล้วชายหนุ่มจึงอุ้มเจียหลินขึ้น เตรียมตัวจะเข้านอน
“นี่ก็ดึกมากแล้ว แม่ไปพักเถอะครับ”
“ฉันว่าเราต้องคุยกันนะ”
“ผมรู้ แต่หนูเจียจะไม่ยอมนอนถ้าผมไม่ไปนอนด้วย มีอะไรไว้คุยพรุ่งนี้เถอะครับ คืนนี้ผมกับหลานไม่ไหวแล้วจริงๆ”
ปานตะวันไม่ได้โกหก ไหนจะเล่นน้ำทะเล ไหนจะเดินทางมาทั้งวัน เขาเพลียจนตาจะปิดแล้ว
“งั้นก็ได้”
ว่าจบแม่ของเขาก็ลุกขึ้นยืน เดินกลับห้องนอนไปโดยไม่ล่ำลา ไม่มีแม้แต่คำว่าฝันดี ปานตะวันถอนหายใจอย่างหนักหน่วง รู้สึกเหนื่อยล้ามากกว่าเดิมเป็นร้อยเท่า
“น้าตะวัน” เสียงเล็กๆ ดังหงุงหงิงอยู่ข้างหู ปานตะวันที่กำลังยืนเหม่อสะดุ้งเฮือก กะพริบตามองเจียหลินที่มองจ้องมาด้วยสีหน้าไม่สบายใจ เจ้าตัวเล็กยกมือแนบแก้มเขาไว้ “น้าตะวันดูเหนื่อยมากเลย นอนพักนะครับ”
“น้าตะวันสบายดีครับ ไม่เป็นไรหรอก”
“แต่หนูเจียก็อยากให้น้าตะวันพัก นอนนะครับ นะๆ”
เจอท่าไม้ตายช้อนตาอ้อนของลูกแมวตรงหน้าเข้าไปใครจะทนไหว ปานตะวันที่พ่ายแพ้ความน่ารักของหลานชายอย่างราบคาบก็ได้แต่อมยิ้ม หอมแก้มเจียหลินไปหลายที จากนั้นสองน้าหลานก็พากันเข้านอนไป ตอนที่ดับไฟแล้วล้มตัวลงนอนปานตะวันก็คิดได้ว่า ปล่อยให้เรื่องปวดหัวของวันพรุ่งนี้เป็นเรื่องของวันพรุ่งนี้ก็เข้าท่าไม่เลว
เช้าวันต่อมาอาจเป็นเพราะความกังวลทำให้ปานตะวันตื่นเช้ากว่าปกติ แต่ก็ยังเช้าไม่เท่าราเมศ ดังนั้นตอนที่เขาล้างหน้าแปรงฟันแล้วเข้าไปในครัวก็พบว่าราเมศได้ยึดห้องครัวเขาไปเป็นที่เรียบร้อย
และมันจะไม่น่าตกใจเลยถ้าคนที่นั่งจิบกาแฟอย่างสบายอารมณ์อยู่ที่โต๊ะกินข้าวจะไม่ใช่แม่ของเขา!
“อรุณสวัสดิ์ฮะ ตื่นเช้ากันจัง”
ชายหนุ่มผมน้ำตาลพูดเสียงพร่า ร่างเล็กเดินขยี้ตาไปนั่งแปะลงบนเก้าอี้ตรงข้ามกับมารดาของตน ไม่นานราเมศก็ยกแก้วไมโลอุ่นๆ มาวางตรงหน้าพร้อมจานใส่ไข่ดาว ไส้กรอกและขนมปังปิ้ง
“วันนี้ไม่ทำข้าวต้มเหรอ”
“ก็ว่าจะทำแต่พอดีเพลียจากขับรถเมื่อวานน่ะเลยเปลี่ยนเมนู”
“จริงๆ ไม่เห็นต้องรีบตื่นมาทำเลย” ปานตะวันว่าพลางยกไมโลขึ้นดื่มหนึ่งอึก “ถ้าเพลียเดี๋ยวผมทำให้กินก็ได้”
“ไม่ล่ะ พี่ไม่อยากเสี่ยงเข้าโรงพยาบาล”
คนถูกหยอกแยกเขี้ยวขู่ฟ่อ เห็นแววลับฝีปากกันแต่เช้า ดูไอ้พี่เมศมันว่าเขา! หึ ไว้รอฝีมือทำกับข้าวเขาดีขึ้นจนไม่ต้องกินฝีมือพี่เมศเมื่อไหร่นะจะเชิดให้คางชี้ฟ้า
“ฝีมือทำอาหารผมก้าวหน้าขึ้นแล้วนะ เมนูง่ายๆ แค่นี้ก็ทำได้หรอก”
“ครับๆ เชื่อครับ แต่ไว้วันอื่นนะ เอาไว้ทำช่วงที่พี่หาวันหยุดยาวๆ ได้ เผื่อต้องเข้าโรง’บาล”
“ไอ้พี่เมศ!”
ราเมศหลุดหัวเราะออกมาเมื่อเห็นเจ้าเด็กแสบถลึงตาใส่ การแหย่ปานตะวันให้อารมณ์เสียคืองานอดิเรกของเขาจริงๆ อีกฝ่ายอารมณ์เสีย แต่เขานี่สิอารมณ์ดีสุดขีด ถึงจะแย่จนหงุดหงิดแต่เดี๋ยวสักพักแมวใหญ่ก็หายงอน กลับมาอ้อนขอข้าวกลางวันเขาเหมือนเดิมนั่นแหละ
พวกเขาต่อล้อต่อเถียงกัน แหย่ให้อีกฝ่ายหัวฟัดหัวเหวี่ยงจนติดแล้ว ก็เลยเผลอทำแบบนั้นออกมาโดยลืมไปว่าตอนนี้ไม่ได้อยู่กันสองคน
“อะแฮ่ม”
เสียงกระแอมดังมาจากมารดาของปานตะวันที่ราเมศเพิ่งได้รู้ว่าเธอชื่อ ‘รุ่งฟ้า’ ตอนที่เขามาที่บ้านนี้เพื่อทำอาหารเช้าให้สองแมวเหมือนเคยก็พบว่าเธอตื่นอยู่ก่อนแล้ว และกำลังก้มๆ เงยๆ มองหากาแฟกับของที่พอทำอาหารได้ เขาจึงอาสาทำมื้อเช้าให้เธอทาน
ระหว่างที่อยู่ด้วยกันสองคนในครัว รุ่งฟ้าก็ถามเขาด้วยคำถามทั่วๆ ไปว่า รู้จักกับปานตะวันได้ยังไง สนิทกันมากไหม มาช่วยเลี้ยงเจียหลินบ่อยๆ หรือ อะไรทำนองนี้ เขาเองก็ตอบไปด้วยความระมัดระวังแต่พอถูกชวนคุยมากๆ ก็เริ่มหายเกร็ง ระหว่างที่คุยราเมศก็ลอบสังเกตอีกฝ่ายไปด้วย
รุ่งฟ้าเป็นผู้หญิงที่ดูดีแม้จะอายุมากแล้ว บนใบหน้าจองเธอปรากฏริ้วรอยแห่งวัยอยู่บ้างแต่ก็ไม่มากเท่าไหร่ ดวงตาคู่นั้นฉายประกายมั่นใจในตัวเอง เฉลียวฉลาด ส่งให้บุคลิกของเธอสง่างามมากขึ้นไปอีก ไม่น่าเชื่อว่าจะมีลูกถึงสามคนแล้ว
“ดูท่าพวกเธอจะสนิทกันดีนะ” น้ำเสียงเรียบเรื่อยของอีกฝ่ายฟังดูไม่ใส่ใจก็จริงแต่ปานตะวันรู้...ราเมศก็ดูออกว่ารุ่งฟ้า ‘รู้’ อะไรบางอย่างระหว่างพวกเขา...อะไรบางอย่างที่แม้แต่คนทั้งคู่ก็เพิ่งจะได้รู้เมื่อไม่นานมานี้ แถมใช้เวลาตั้งนานกว่าจะยอมรับมัน
“ก็เพื่อนบ้านกัน สนิทกันเป็นธรรมดา”
ปานตะวันตอบกลับ ราเมศมองเห็นแมวแสบของเขาเคาะนิ้วลงกับโต๊ะ เป็นท่าทางที่ปานตะวันทำตลอดเวลาใช้ความคิดหรือกังวล
“คงไม่ธรรมดาแล้วล่ะระดับนี้ ถึงขนาดลุกมาทำกับข้าวให้ทั้งที่เพลีย ยอมพาไปเที่ยว แล้วก็ช่วยเลี้ยงหลานทั้งที่ไม่ได้มีส่วนได้ส่วนเสียอะไรด้วยเลย...ถ้าเธอไม่ใช่พ่อพระลงมาเกิด ความสัมพันธ์ระหว่างพวกเธอก็คงไม่ธรรมดาสินะ”
ประโยคหลังหันมาพูดกับราเมศตรงๆทำเอาชายหนุ่มได้แต่ยิ้มค้าง ไปต่อไปถูก ในใจร่ำร้องได้อยู่ประโยคเดียวว่า แม่ของปานตะวัน...ฝีปากคมกริบกว่าลูกชายเป็นร้อยเท่า
แต่พอเรียกสติกลับมาได้ราเมศก็อมยิ้มจางๆ ตอบกลับไปว่า
“ผมสนิทกับจันทร์จ้าวอยู่ก่อนแล้วน่ะครับ เจียหลินผมก็เห็นมาตั้งแต่เกิด เอ็นดูเหมือนหลานแท้ๆ ตัวเองไปแล้วล่ะครับ”
“แต่ถึงอย่างนั้นปานตะวันกับหลานชายก็คงทำให้เธอลำบากมากอยู่ดีสินะ”
“ไม่หรอกครับ ไม่เลยสักนิด”
รุ่งฟ้าส่งเสียง ‘หืม’ เบาๆ ในลำคอ ดวงตาคู่สวยหรี่ลง มองราเมศสลับกับปานตะวันไปมา จากนั้นก็ยกกาแฟขึ้นจิบอีกหนึ่งอึก ท่วงท่าเหมือนนางพญาไม่มีผิด
“แล้วคิดจะทำแบบนี้ไปถึงเมื่อไหร่ฮึ ปานตะวัน”
เจ้าของชื่อสะดุ้งน้อยๆ ใบหน้าน่ารักฉายแววหนักใจ “ทำอะไรครับ”
“ทำให้คนอื่นลำบาก”
ประโยคตรงไปตรงมานั้นทำให้ปานตะวันถึงกับนิ่งงัน รู้สึกเหมือนถูกผู้เป็นแม่ปามีดปักลงกลางใจ ตรงเป้าพอดิบพอดี
ปานตะวันหน้าชา...ด้วยความละอาย เขารู้ดีกว่าใครว่าแม่พูดถูก พูดถูกทุกอย่าง
“ขอโทษนะครับคุณรุ่งฟ้า ถ้าเป็นเรื่องปานตะวันกับผม น้องไม่ได้ทำให้ผมลำบากเลย ผมเต็มใจทำครับ”
“ไม่ใช่แค่เรื่องคุณหรอกค่ะคุณราเมศ” น้ำเสียงที่ตอบกลับมาไม่ได้เฉื่อยชาอีกต่อไป หากแต่จริงจังและเป็นการเป็นงาน ให้ความรู้สึกกดดันและหายใจไม่ทั่วท้อง
“มีอีกหลายอย่างที่เด็กคนนี้กำลังฝืนทำอยู่”
“เช่นอะไรล่ะครับ”
ปานตะวันที่นั่งเงียบมานานถามขึ้นบ้าง แม้จะรู้ดีอยู่แล้วก็ตาม จากประโยคและน้ำเสียง แววตา ปานตะวันทราบได้ทันทีว่าแม่ของเขารู้เรื่องทั้งหมดแล้ว
แม่วางแก้วกาแฟลง ประสานมือไว้ด้วยกันบนโต๊ะ เป็นท่าทางอย่างที่ทำเป็นประจำเวลาจะกดดันใครสักคน ปานตะวันเกลียดความรู้สึกที่ตัวเองกำลังถูกแม่ตัวเองไล่ต้อนเป็นที่สุด
“ปานตะวัน...ลูกถูกรีไทร์ออกจากมหา’ลัยใช่ไหม”
จบประโยคนั้นก็มีแต่ความเงียบที่โรยตัวลงมา ปานตะวันก้มหน้า เม้มริมฝีปาก ไม่กล้าเงยหน้ามองใคร...ไม่กล้ามองแม้แต่ราเมศ
“ตอนปีหนึ่งผลการเรียนก็ไม่ได้แย่ แต่ที่ถูกไทร์เพราะตอนปีสองลูกแทบไม่เข้าเรียน ไม่ส่งงาน ก่อเรื่องวิวาทในมหาวิทยาลัยอย่างนั้นใช่ไหม”
เล็บทั้งสิบจิกลงที่ต้นขาของตัวเอง ปานตะวันไม่ได้ตอบคำถามเพราะแม่คงไม่ได้อยากฟังคำตอบ ตอนนี้เขารู้สึกเหมือนตัวเองเป็นคนจมน้ำ หายใจแทบไม่ออก
“ตอนนั้นติดเหล้า ติดการพนันด้วยใช่ไหม”
แต่ล่ะเสียงของแม่กรีดเข้าไปในหัวใจของปานตะวัน เลือดแต่ละหยดเหมือนจะกลั่นตัวออกมาเป็นน้ำตา เอ่อคลอจวนเจียนจะหยดที่ดวงตาทั้งสองข้าง หัวใจเหมือนถูกบีบรัดด้วยความจริงและความละอาย
ปานตะวันไม่โทษแม่ ไม่โทษใคร ไม่โกรธที่แม่พูดด้วยเพราะเขารู้ดีว่ามันคือความจริง
และคนที่ทำให้ทุกอย่างมันแหลกเหลวได้ถึงขั้นนั้นก็คือตัวเขาเอง
“ตะวัน...เลิกแล้ว เหล้าไม่ได้ติด ส่วนการพนันตะวันเลิกหมดทุกอย่างแล้วจริงๆ” น้ำเสียงของเขาเบาแสนเบา แผ่วเบาจนน่าสมเพช ไม่มีใครพูดอะไร ไม่มีใครขยับตัว จนกระทั่งแม่ของเขาเอ่ยขึ้นมาอีกครั้ง
“เอาจริงๆที่แม่กลับมาก็เพราะเรื่องนี้ด้วย สายหยุดเล่าให้แม่ฟังว่าปานตะวันกำลังเลี้ยงลูกของจันทร์จ้าว เธอเห็นว่าลูกคงลำบาก เลี้ยงเด็กคนหนึ่งไม่ใช่ง่ายๆ เธอเลยเสนอจะรับเจียหลินไปเลี้ยงให้ และแม่ก็เห็นด้วยกับเธอ”
พอถึงตรงนี้ปานตะวันก็รีบเงยหน้าขึ้น ส่ายหน้าอย่างเอาเป็นเอาตาย หัวใจของเขาเหมือนกำลังจะแหลกละเอียด “ไม่เอานะ ตะวันไม่ให้ ตะวันเลี้ยงหนูเจียได้ อย่าพาหนูเจียไปเลยนะ นะครับ ได้โปรด”
“มันไม่ง่ายเหมือนที่ลูกคิดหรอกนะปานตะวัน เรียนก็เรียนไม่จบ งานก็ไม่มีทำ เงินก็หาเองไม่ได้ คิดเหรอว่าเงินเดือนที่แม่โอนให้ทุกเดือนจะพอรับผิดชอบค่าใช้จ่ายทั้งหมด แล้วอนาคตลูกเป็นยังไงเคยวางแผนไหม อนาคตของเจียหลินจะเป็นยังไง เงินที่ต้องใช้แต่ละเดือน ที่ต้องหา ต้องสำรองไว้เผื่ออนาคตข้างหน้า โรงเรียนตอนเจียหลินโตขึ้น ค่าอาหาร ค่าบ้าน ค่าน้ำ ค่าไฟ ทุกอย่างที่ต้องรับผิดชอบน่ะเคยคิดบ้างหรือเปล่า!” แม่ตะโกนออกมาด้วยความโกรธ นานแล้วที่ไม่ได้ถูกต่อว่าแบบนี้ ถ้าเป็นเมื่อก่อนปานตะวันก็คงสวนออกไปแล้ว แต่ครั้งนี้เขาจนด้วยคำพูดจริงๆ
“อย่าคิดถึงแต่ตัวเองสิ ถ้ารักเจียหลินก็ต้องยอมรับว่าอนาคตของเด็กคนนั้นก็สำคัญ ถ้ารัก...ก็ต้องปล่อยให้ไปมีอนาคตที่ดี ส่วนลูกก็ต้องเดินไปในเส้นทางที่ถูกต้องได้แล้ว” ปานตะวันน้ำตาร่วงพรู ผู้ที่ยื่นมือมาเช็ดน้ำตาให้ก็คือแม่ของเขา ชายหนุ่มเบี่ยงหน้าหลบค่อยๆ หันไปมองราเมศด้วยสายตาขอความช่วยเหลือ แต่อีกฝ่ายไม่ได้มองเขา ราเมศกำลังเหม่อไปที่ผนังด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
และนั่นเองที่ทำให้ปานตะวันใจกระตุก น้ำตายิ่งหล่นร่วงลงมาอย่างห้ามไม่อยู่
ผิดหวังแล้วสินะ...ทุกคนสิ้นหวังกับเขาแล้วใช่ไหม
“กลับไปเรียนให้จบ เรียนมหาวิทยาลัยเปิดก็ได้ แล้วก็หางานทำ แม่จะลองช่วยดู หลังจากลูกเรียนจบ ได้งานทำ อะไรๆ มั่นคงแล้ว ถึงตอนนั้นจะรับเจียหลินกลับมาอยู่ด้วยแม่ก็ไม่ว่า”
“ฮึก...แต่...แต่ตะวัน...ไม่อยากห่างหนูเจีย...เขาเป็นหลานตะวันนะ เขากลัวคนแปลกหน้าด้วย”
“เดี๋ยวก็ชินไปเอง ทุกอย่างต้องใช้เวลาปรับตัวกันทั้งนั้น”
แม่ของเขาลุกขึ้นพลางพูดว่า “เก็บของซะปานตะวัน แม่จะพาเจียหลินไปส่งที่บ้านน้าสายหยุด เสร็จแล้วก็ส่งลูกที่บ้านเดิม ถึงเวลารับผิดชอบตัวเองแล้ว”
ปานตะวันกัดริมฝีปากกลั้นเสียงสะอื้น ความจริงที่ผู้เป็นแม่ตอกใส่หน้า ทำอย่างไรก็ลบล้างไม่ได้ เขาเคยเหลวแหลก เคยทำเรื่องไม่ดี ไม่มีความรับผิดชอบ และตอนนี้ทุกอย่างก็ย้อนกลับมาหาตัวเขา
แม่หันหลังจะเดินออกจากห้องครัวเป็นสัญญาณว่าสิ้นสุดการสนทนาสำหรับหัวข้อนี้ ปานตะวันใช้มือยันโต๊ะไว้ รู้สึกหมดเรี่ยวแรงอย่างบอกไม่ถูก ร่างกายหนักอึ้ง น้ำตายังไม่หยุดไหลเลยด้วยซ้ำ
“แม่...”
ถ้าเขาจะลองขอร้องอีกสักครั้ง...และครั้งนี้เขาสัญญาว่าจะทำตัวให้ดีขึ้น
“แม่ครับ ผม...”
ร่างเล็กที่เดินตามไปชะงักเมื่อเห็นว่ามีใครบางคนยืนขวางประตูครัวอยู่ ร่างเล็กๆ ในชุดนอนลายลูกเป็ดสีเหลืองสั่นสะท้าน ดวงตากลมโตที่แดงเรื่อของเจียหลินเหลือบมองคนนู้นทีคนนี้ที ไม่รู้ว่ายืนอยู่ตรงนั้นนานแค่ไหนแล้ว และไม่รู้ว่าที่ได้ยินไปเด็กน้อยเข้าใจมันมากแค่ไหน
“น้า...น้าตะวัน”
เสียงของหนูเจียทำให้ทำนบของปานตะวันพังลงอีกครั้ง เด็กน้อยโผมาหาเขา ปานตะวันเองก็ย่อตัวลงอุ้มเจียหลินขึ้นมา
“น้าตะวัน หนูเจียได้ยิน...น้าตะวันจะ..จะไปไหน”
ปานตะวันพยายามฝืนยิ้ม หลานได้ยินทั้งหมดเลยสินะ ชายหนุ่มปาดน้ำตาพยายามไม่ร้องไห้ ถ้าเขาร้องไห้หนูเจียจะกังวล แต่ดูเหมือนยิ่งพยายามเช็ดน้ำตายิ่งไหลไม่หยุด
“น้าตะวัน...ไม่ร้องนะ น้าตะวันคนเก่ง ไม่ร้องนะครับ”
เจียหลินใช้มือเล็กๆ ทั้งคู่ปาดน้ำตาให้ปานตะวันก่อนจะโน้มตัวมาจูบลงที่เปลือกตาของเขา...เหมือนที่ชายหนุ่มทำให้เด็กน้อยบ่อยๆ เวลาอีกฝ่ายร้องไห้
ปานตะวันกอดหลานชายเอาไว้แน่น ไม่อยากแยกจากกันเลย แม้จะเพียงชั่วคราวก็ตาม ไม่ใช่เพราะเจียหลินเป็นเด็กที่เขาต้องรับผิดชอบหรือเพราะเป็นลูกของพี่จันทร์ แต่เพราะเจียหลินทำให้ปานตะวันรู้สึกเหมือนจะก้าวไปข้างหน้าได้ เจียหลินเป็นแรงผลักดันให้เขาอยากจะโตขึ้น อยากจะเป็นคนมีความรับผิดชอบมากกว่านี้
ทั้งหมดก็เพื่อเลี้ยงเด็กหนึ่งคนให้เติบโตขึ้นมาเป็นคนดี
ปานตะวันเชื่อว่าทุกคนควรได้รับโอกาสครั้งที่สองในการกลับใจ เขาทำผิด ทำตัวไม่ดีมาแล้ว และตอนนี้เขาก็กำลังไขว่คว้าโอกาสกลับตัวกลับใจ
เจียหลินเป็น ‘โอกาสครั้งที่สอง’ ของเขา
ยิ่งไปกว่านั้นปานตะวันรู้ดีว่าเขากับเจียหลินกลายเป็นครอบครัวเดียวกันแล้ว...ความรักและแรงยึดติดของเขาที่มีต่อหลานชายไม่น้อยไปกว่าที่เด็กน้อยมีต่อเขาเลย
“น้าตะวันไม่ร้องแล้วครับ” ปานตะวันพูด น้ำเสียงสั่นพร่าชวนใจหาย เขาจับมือเล็กๆ ของหนูเจียมาแนบแก้ม “แต่ว่าน้าตะวัน...อาจจะไม่อยู่สักพักนะ เราอาจจะไม่ได้เจอกัน...สักพักนะครับ”
“น้าตะวันจะไปไหน หนูเจียขอไปด้วยนะ นะๆ หนูเจียจะไม่ดื้อ...ไม่ซน...อย่า..ฮึก...อย่าทิ้งหนูเจียเลยนะ”
“ชู่ว์ ไม่หรอกครับ น้าตะวันไม่ทิ้งหนูเจียหรอกนะ”
ขอบตาของเจียหลินแดงระเรื่อเป็นสัญญาณว่าอีกไม่นานเจ้าตัวจะร้องไห้แล้ว ปานตะวันพิศมองใบหน้าหลานชายก่อนจูบลงที่หน้าผากมนอยู่นาน
(มีต่อค่ะ)