21 – บุหรี่เป็นไทจำได้ว่าตอนที่สูบบุหรี่ครั้งแรก บุหรี่มวนนั้นเป็นมวนที่เพื่อนสูบไปแล้วและยื่นมันต่อให้เขา เขารับมาสูบ สูดนิโคตินลึกเต็มปอด แม้จะรู้สึกระคายเคืองลมหายใจ แต่ก็ไม่ได้ขัดเคืองจนไอโขลก ตอนนั้นเป็นไทไม่เข้าใจหรอกว่าบุหรี่ช่วยผ่อนคลายอย่างไร อาจแค่รู้สึกสบายตอนควันกอบลมหายใจออกมาพร้อมความทุกข์กลัดกลุ้ม กระนั้น รู้ตัวอีกทีเขาก็ต้องสูบมันอย่างน้อยวันละสองสามมวน
ปราณีเองก็ดูจะรู้ว่าเขาติดบุหรี่ แน่นอนว่าเคยห้ามแต่ก็ไม่เคยเด็ดขาดจริงจัง ไม่สิ ปราณีไม่เคยเด็ดขาดจริงจังกับเรื่องอะไรอยู่แล้ว สิ่งที่ปราณีทำมาตลอดและทำได้ดีดูจะเป็นแค่การเฝ้ามองเป็นไทอยู่ห่างๆ ไม่ว่าจะเรื่องที่เขาชกต่อยทะเลาะวิวาท หรือกระทั่งเรื่องคอขาดบาดตายภายในครอบครัว
นั่นล่ะ แม่ของเป็นไทเป็นแบบนั้นเสมอมา เป็นคนที่ไม่เคยเด็ดขาดจริงจัง ไม่อาจยืนได้ด้วยลำแข้งของตนเอง ดังนั้นตอนที่เป็นไทเห็นแม่เริ่มทำร้านเสื้อผ้า เป็นไทจะรู้สึกแปลกแสลงตา แสลงความรู้สึก ต่อให้ปราณีจะไม่ได้ทำมันด้วยตัวคนเดียวแต่มีเพื่อนเป็นหุ้นส่วนอีกคนก็ตาม
และเป็นไทก็เพิ่งรู้ตัวตอนที่ใจเย็นทัก ว่าเขามักจบลงที่การสูบบุหรี่ทุกครั้งที่แวะมาร้านเสื้อของแม่ตนเอง
“แปลกหรือไง” ครั้งแรกเขาถามกลับไปแบบนั้น ระบายควันไปยังด้านที่ไม่มีคน
“ปกติไม่สูบให้เห็นเลยนี่ครับ”
คำพูดของใจเย็นทำให้รู้สึกว่าจริงดังนั้น แต่ก็เถียงว่าจะให้สูบตอนสอนพิเศษก็ใช่เรื่อง ซึ่งพูดไปแล้วก็ทำให้รู้สึกอีกว่าในช่วงระยะเวลาที่ผ่านมาเขาเจอกับใจเย็นนอกสถานที่ นอกเวลา นอกธุระ บ่อยขึ้นทุกที ทุกที
แน่นอนว่าเพราะอีกฝ่ายมาหาเขาเอง
ยิ่งตอนที่ใจเย็นปิดเทอมก็ยิ่งมาบ่อยไม่ต่างจากปิดเทอมที่แล้ว และก็เหมือนเดิมที่เป็นไทหลงวังวนในช่วงสอบ งานเดี่ยว งานกลุ่ม ไฟนอลโปรเจ็คต์ อะไรต่อมิอะไรทั้งหลายแหล่ที่ทำให้แม้แต่สงกรานต์ก็ไม่ว่างพอจะไปเที่ยวตามคำตื๊อของใจเย็น กระทั่งช่วงหนึ่งที่ใจเย็นไม่โผล่มาให้ไล่แล้วนั่นแหละ เป็นไทจึงเอ่ยถามในวันเสาร์สอนพิเศษที่ต้องเจอหน้ากันอยู่แล้ว
“ไปเรียนชีวะครับ”
“จริงดิ” เป็นไทรู้สึกได้เลยว่าน้ำเสียงของตัวเองแปลกใจเพราะที่ผ่านมาไล่ใจเย็นเท่าไหร่ก็ไม่ไป เอาแต่บอกว่าจะให้เขาสอนอยู่อย่างนั้น
“จริง ผมเรียนเคมีด้วยนะ”
“นึกยังไงวะ”
“ก็เป็นไทไม่ว่างนี่ครับ ผมเบื่อ” แล้วคำตอบจากปากใจเย็นก็ทำให้รู้สึกอยากเบ้หน้า จะว่าใจเย็นตอบตรงคำถามก็ใช่ แต่จะว่าตอบไม่ตรงคำถามก็ไม่เชิง
ที่รู้ๆ เป็นไทรู้สึกว่าตนเองเริ่มจะกลายเป็นดาวฤกษ์ ขณะที่ใจเย็นซึ่งเอาแต่ใจให้คนอื่นโคจรรอบตัวเองมาตลอดก็แปรเปลี่ยนเป็นดาวเคราะห์มาโคจรรอบเขาเสียแทน ให้ความรู้สึกพิลึกพิลั่นไม่อาจอธิบาย แต่ก็ไม่ได้คิดว่าเลวร้ายนัก
“มึงควรจะเรียนเพราะห่วงอนาคตตัวเองดิวะ” โดยไม่รู้ตัว เป็นไทหมุนควงปากกาในมือไปด้วย
“เรียนเพราะเป็นไทบอกให้เรียนไม่ได้เหรอครับ”
อีกครั้งที่อยากเบ้หน้า ไม่ก็ด่าไปสักอย่าง แต่เมื่อคิดว่าจะเรียนเพราะอะไรก็ช่างเถอะ ถ้าสุดท้ายใช้ประโยชน์ได้ก็น่าจะดีแล้ว
“เออๆ แล้วเขาสอนดีไหม”
“ก็ใจดีกว่าเป็นไทครับ”
“อยากให้กูใจร้ายกว่านี้มะ”
“มีใจร้ายกว่านี้อีกเหรอ”
ปวดประสาท – ดูเป็นคำที่เหมาะสำหรับการต่อล้อต่อเถียงกับใจเย็น และเป็นไทก็เริ่มแยกออกนิดๆ แล้วด้วยว่าที่ใจเย็นพูดออกมาน่ะกวนตีนหรือไม่รู้ไม่รู้ตัว
ซึ่งครั้งนี้น่ะกวนตีน เห็นชัดจากรอยยิ้มบนใบหน้า
หากสงครามก็สิ้นสุดด้วยการที่ใจเย็นหนีไปตักไอศกรีมสตรอเบอร์รี่แบบไม่ขออนุญาต ไม่สิ อันที่จริงก็ไม่เคยจะขออยู่แล้ว ถึงจะดูกลายเป็นดาวเคราะห์ที่โคจรรอบเขามากแค่ไหน ก็ยังเป็นดาวเคราะห์ที่เอาแต่ใจนึกอยากทำอะไรก็ทำอยู่ดี
เป็นไทจำได้ว่าการสอนพิเศษวันนั้นจบลงที่ใจเย็นพูดถึงดอกสวีทพี บอกว่าพฤษภาคมเวียนมาอีกปีแล้ว เขาจำไม่ค่อยได้หรอกว่ามันคือดอกไม้ดอกแรกที่ใจเย็นบอกกับเขาว่ามันหอม หากดูท่าอีกฝ่ายจะจำได้ และทั้งที่ปีนี้ก็ไม่ได้ก้มลงไปดอมดมตามคำชวนเหมือนเคย แต่ก็อีก เขารู้สึกเหมือนได้กลิ่นดอกไม้ติดจมูกกลับมา และดูจะอวลอึงไปทั่วความคิดเรื่องเด็กมัธยมปลาย เรื่องการสอบเข้ามหาวิทยาลัย เรื่องเรียน สิ่งที่ชอบ ไม่ชอบ สิ่งที่อยากทำ ไม่อยากทำ ก่อนจะสิ้นสุดลงด้วยความคิดสุดท้ายว่าจะได้ทำในสิ่งที่ชอบหรือเปล่า พร้อมกับกลิ่นบุหรี่ที่กลบกลิ่นดอกไม้ไปในค่ำคืนนั้น
“เป็นไทสูบบุหรี่อีกแล้ว”
และเป็นไทก็ถูกใจเย็นทักเรื่องนี้อีกครั้งในเดือนมิถุนายน เหมือนเดิมที่เขาปลีกตัวออกมาสูบบุหรี่ตรงลานจอดรถหลังจากใจเย็นนึกครึ้มซื้อเสื้อผ้าร้านแม่เขาไปฝากน้องสาวอีก ซึ่งลึกๆ เป็นไทพอจะเดาออกว่าเจ้าตัวอยากช่วยซื้อ เพราะแน่นอนว่าฐานะทางบ้านของใจเย็นคงมีแต่เสื้อผ้าดีๆ ที่บ้านอยู่แล้ว
น่าแปลกที่พอคิด ก็เหมือนกับได้สบตาเข้ากับดอกสวีทพีอีกครั้งท่ามกลางมวลบุหรี่
“ไปยืนที่อื่นก็ได้นะ”
“ไม่เป็นไรครับ” ใจเย็นเอ่ยคำตอบที่ไม่น่าแปลกใจเท่าไหร่ ยืนข้างๆ เขา พิงระเบียงกั้นตกของลานจอดรถ มองออกไปเห็นท้องฟ้าจัดจ้า ทั้งที่อยู่ท่ามกลางเมืองที่จอแจ แต่ที่ตรงนี้กลับเงียบ เงียบพอที่จะได้ยินเสียงคำถามของใจเย็นดังฟังชัด “ขอลองสูบบ้างได้ไหม”
และก็ฟังสะท้อนก้องในใจของเป็นไทจนเขาลังเล นึกอยากจะด่า แต่ภาพตัวเองในอดีตที่ผุดขึ้นมาก็ทำให้ไม่ได้ว่าอะไรนอกจากล้วงหยิบซองบุหรี่ขึ้นมา
“มวนที่เป็นไทสูบอยู่ก็ได้”
ทันใดรุ่นน้องผู้ริลองก็ถือวิสาสะหยิบบุหรี่มวนที่เป็นไทคาบอยู่กับปาก ซึ่งทันทีที่ปากว่างเขาก็สบถด่า แต่ใจเย็นไม่ได้สนใจอะไร เสียบมวนบุหรี่ของเขาเข้าที่ปาก และในชั่ววินาทีก่อนใจเย็นจะเริ่มสูบก็กลับมีภาพซ้อนทับของหลายสิ่งอย่างผุดพรายขึ้นในความคิดของเป็นไท ทั้งภาพที่ตนเองรับมวนบุหรี่จากเพื่อน ภาพที่เขาคาบมันไว้ในปาก สูดลงไปให้ลึกเต็มปอด ภาพรอยยิ้มของใจเย็น ภาพที่ลิ้นไล้เลียไอศกรีมที่เลอะริมฝีปากในบางครั้งบางคราว และภาพของเย็นวันนั้น ที่แสงแดดส่องผ่านม่านบาหลีเข้ามา ประกายวิบไหวชัดในดวงตาของใจเย็นที่รุดตัวเข้ามาใกล้ และริมฝีปาก...
หากภาพทรงจำทุกอย่างก็แตกกระเจิงเมื่อใจเย็นคนปัจจุบันไอเพราะสำลักควัน เท่านั้นไม่พอดูท่าขี้เถ้าปลายมวนจะทำพิษหล่นลงเกาะนิ้ว ความร้อนทำให้เจ้าตัวสะบัดบุหรี่หลุดมือ
นั่นแหละที่ทำให้เป็นไทหัวเราะลั่น
“ไอ้เชี่ย อ่อนสัด” และว่าออกไปอย่างสะใจ แม้จะเห็นแววตาขัดใจแถมน้ำหูน้ำตาไหลของคนถูกด่าแต่เป็นไทก็ยังคงขำ ก่อนในที่สุดจะเอ่ยบอก “ไม่สูบอะดีแล้ว”
“แต่เป็นไทยังสูบเลย”
“เออน่า”
เป็นไทตัดบท ปล่อยควันหลงอาการสำลักของใจเย็นให้ดำเนินไปอีกสักพัก จนเมื่อหยุดลง ความเงียบก็กลับมาอีกครั้ง เป็นดังนั้นจึงเคาะบุหรี่มวนใหม่ออกจากซอง พลันภาพทรงจำสุดท้ายที่แตกกระเจิงไปก็ย้อนกลับมา
เป็นภาพที่ใจเย็นชะงักไปพร้อมกับเขาที่กระชากมือออกจากการถูกกดกุมเอาไว้ ก่อนกลายเป็นว่าทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นทั้งคู่ ทั้งที่ก็แน่ใจระคนไม่แน่ใจว่ามันคืออะไร แต่เพราะไม่มีเหตุการณ์แบบนั้นเกิดขึ้นอีก การลืมไปจึงเป็นสิ่งที่ดีกว่า
หากสุดท้าย เป็นไทก็รู้ดีอยู่ว่าความสัมพันธ์นี้มันประหลาดขึ้นทุกที
เขารู้สึกมานานแล้วว่าใจเย็นชื่นชอบเขาในแบบที่ไร้คำนิยาม และเขาไม่ได้ใส่ใจอะไรนัก บางทีความสัมพันธ์ของผู้ชายด้วยกันซึ่งไม่เกี่ยวพันเชิงชู้สาวก็หลากหลายซับซ้อนกว่าที่คนทั่วไปเข้าใจ แต่ถ้าตัดออกมาเป็นคำง่ายๆ ก็ดูจะเป็นจำพวกเคารพ ยกย่อง ยึดเป็นแบบอย่าง เทิดทูนด้วยเรื่องสักเรื่อง แน่นอนว่าเป็นไทไม่เห็นว่าตนเองมีอะไรให้ใจเย็นติดเขาแจแบบนั้น ขณะเดียวกันก็ไม่เคยคิดไปในทางอื่น
ทว่าหลังๆ ก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าใจเย็นรู้ตนเองในแบบไหน
“มึงชอบผู้หญิงแบบไหน” สุดท้ายเป็นไทก็ตัดสินใจทำลายความเงียบด้วยการถามเรื่องผู้หญิง
“น่ารัก” ใจเย็นตอบแทบไม่ต้องคิด
“สัด ใครก็ชอบผู้หญิงน่ารักปะ เอาแบบนิสัยดิ เด็ก ผู้ใหญ่ ขี้อ้อน”
คราวนี้คำถามดูทำให้อีกฝ่ายคิดอยู่นาน เป็นไทอาศัยเวลานั้นจุดบุหรี่มวนใหม่สูบ
“ไม่รู้สิครับ” ในที่สุดก็ตอบออกมา “แล้วเป็นไทล่ะ”
“ก็คง...ผู้หญิงที่พึ่งตัวเองได้”
“งั้นเหรอ” ใจเย็นตอบรับ “ผู้หญิงที่พึ่งตัวเองได้น่ะเท่จะตาย...ไม่นานแม่เพิ่งพูดแบบนี้พอดี”
เป็นไทเงียบ ไม่รู้จะตอบรับอะไร ขณะที่ในใจก็คิดว่าคำพูดแบบนี้คงไม่หลุดออกจากปากแม่ของเขาเอง
“แต่ผมก็ไม่รู้อยู่ดีว่าชอบผู้หญิงแบบไหน”
“มึงไม่เคยรู้อะไรตัวเองเลยต่างหาก”
“ก็รู้ว่าชอบเป็นไทนะ”
“พอ รำคาญ”
ไม่รู้ว่ากี่ครั้งที่ใจเย็นพูดว่า ‘ชอบ’ และก็ไม่รู้ว่ากี่ครั้งที่เขาจะตอบด้วยคำพูดไร้เยื่อใย กระนั้นใจเย็นก็ยังยิ้ม ยิ้มเป็นเด็กๆ ซึ่งรอยยิ้มที่ดูไม่คิดอะไรให้ลึกซึ้งเลยแบบนั้นก็ชวนให้เป็นไทได้รับอิทธิพลเหมือนกัน
อิทธิพลที่ว่าไม่เห็นต้องคิดอะไรให้มากมาย มีความสุขก็พอ
วันนั้นเองที่เป็นไทก็ยิ้มขำไปด้วย และกลิ่นบุหรี่ก็ดูจะเจือจางยิ่งกว่ากลิ่นดอกไม้ที่ลอยฟุ้งจากความรู้สึก
บางครั้งบางคราวนับจากวันนั้น เป็นไทจะคิดว่าดอกไม้ในแจกันแก้วดอกต่อไปจะเป็นอะไร และเพราะเขาปิดเทอมขณะที่ใจเย็นเปิดเทอม บางครั้งบางคราวที่อยากจะออกปากไล่ใจเย็นทั้งที่เจ้าตัวไม่มาให้เห็นหน้าจึงผุดพรายขึ้นมาบ้าง เป็นความรู้สึกประหลาด แต่ก็นวลเนียนคล้ายกลิ่นดอกไม้ ก่อนจะรู้สึกว่ามันฉุนแสบจมูกในวันหนึ่งของปลายเดือนมิถุนายน
มันเป็นวันอาทิตย์ที่เป็นไทออกมาสอนพิเศษเหมือนอย่างเคยๆ และมันก็คงเป็นหนึ่งในความบังเอิญรอบที่สามหรือสี่ เป็นไทจำไม่ได้ แต่ถ้าใจเย็นไม่คิดให้เขาเป็นครูสอนพิเศษ นี่ก็น่าจะเป็นความบังเอิญอีกครั้งที่พบกัน...โดยที่ครั้งนี้ใจเย็นไม่รู้ตัว
เป็นไทเห็นใจเย็นเดินจับมือกับเด็กผู้หญิงหน้าตาน่ารักแบบที่ใจเย็นเคยพูดไว้ว่าเป็นแบบที่ชอบ ตอนที่เห็นก็แค่พึงนึกขึ้นได้ว่าใจเย็นนั้นคบผู้หญิงแบบเปลี่ยนไปเรื่อย เขาลืมนิสัยนี้สนิท เพราะนับจากวันแรกๆ ที่รู้จัก ใจเย็นก็ไม่ได้แสดงออกถึงเรื่องนี้ ตอนที่อยู่ด้วยกันจนเรียกได้ว่า ‘สนิท’ ก็ไม่เคยมีเรื่องนี้โผล่เข้ามาในความสัมพันธ์จนเขาลืมเลือน เป็นไทแค่มองตามผ่านกระจกของร้านกาแฟอย่างไม่รู้สึกอะไร แต่เมื่อถึงจุดหนึ่งของการกระทำ เขากลับรู้สึกขึ้นมาอย่างอัดล้น
มันเป็นความรู้สึกที่ว่าสำหรับใจเย็นแล้ว ที่แท้เขาก็ยังเป็นแค่ดาวเคราะห์ดวงหนึ่ง และใจเย็นยังเป็นดาวฤกษ์ที่ทุกสิ่งทุกอย่างในจักรวาลหมุนรอบตัว เป็นไทรู้สึกอย่างนั้นขึ้นมาในวินาทีที่ใจเย็นยิ้มให้ผู้หญิงคนนั้น ด้วยรอยยิ้มเหมือนเด็กๆ ที่ก็เพิ่งรู้ตัวว่าเขานึกว่าใจเย็นยิ้มให้เขาแบบนี้คนเดียว
ความสัมพันธ์ของพวกเขามันประหลาด
ไม่รู้ทำไมเมื่อประโยคที่เคยคิดแจ่มชัดในหัวอีกครั้ง ก็พลันปั่นป่วนเหมือนมีพายุสุริยะในความรู้สึก เป็นไทไม่รู้ว่าตนเองรู้สึกอะไรและต้องการอะไร ไม่แม้แต่จะอธิบายมันออกมาเป็นคำพูดได้ สิ่งที่เขาทำได้ตอนนี้คือขอตัวจากนักเรียนที่เขายังสอนค้างอยู่และเดินออกมาที่ลานจอดรถ จุดบุหรี่สูบ อัดวิญญาณนิโคตินเข้าปอด ให้มันกระชากเอาลมหายใจและความรู้สึกบ้าๆ บอๆ ที่จู่ๆ ก็เกิดขึ้นด้วยเรื่องเล็กน้อยแค่นั้นออกมา
แต่จนแล้วจนรอด จนหมดบุหรี่มวนที่สอง ที่สาม ที่สี่ ที่ห้า เป็นไทก็ยังไม่รู้ว่าทำไม สิ่งที่เขาทำได้ก็แค่สูบบุหรี่เข้าไปอีก
กระทั่งหมดทั้งซอง เขาก็ตอบได้แค่ว่าเพราะไม่อยากได้กลิ่นดอกไม้คลุ้งในจมูกจนหายใจไม่ออก****************************************************************************************
เรื่องที่คุณเกษราจะฟ้องหย่าเดี๋ยวบอกทีหลังนะคะว่าทำไมลากยาวหลายเดือนยังเงียบหาย
ที่อยากจะพูดคือ รู้สึกว่านิยายเรื่องนี้คนอ่านไม่เยอะมาก ตอนหายไปและกลับมาก็ไม่คิดว่าจะมีคอมเม้นอะไร แต่พอเห็นว่ามีคนดีใจที่กลับมา มีคนรออยู่ ก็แบบ ดีใจง่ะ
เนี่ย เลยรีบเขียนต่อเลยค่ะ
ขอบคุณทุกคนที่ติดตามนะคะ อาจช้าไปบ้างแต่บทจะมาก็มาพรวดๆ ติดกันสองตอนงี้แหละค่ะ แหะๆ