ตอนที่ 2 - หัวใจวันฝนพรำ
เข็มวินาทีเดินไปจนครบรอบ แต่ความเงียบยังคงดำเนินต่อไปเหลือเพียงแค่เสียงฝนซาดังเปาะแปะจากด้านนอกเท่านั้น เมษาพยายามกลั้นน้ำตาเอาไว้ เขาเบือนหน้าหนี ไม่รู้จริงๆว่ากำลังวิ่งหนีอะไร ทั้งๆที่เรื่องราวจบไปหมดแล้ว ทั้งๆที่เรื่องราวที่จบลงแล้วไม่ควรตามมาทำร้ายกันอีก แต่การเผชิญหน้าอีกครั้ง ก็ก่อให้เกิดความหวาดกลัวขึ้นในใจของเขา ความกลัวที่เขาไม่อาจจะยอมรับมันได้
อาเมนยังคงยืนอยู่ตรงหน้า เขาไม่ขยับ นิ่งเสียด้วยซ้ำ แต่ดวงคาคมกริบยังคงจ้องมองมาเช่นนั้นไม่ละไปไหน เมษารู้สึกสะท้านไปทั่วร่าง ละอองฝนยังคงซัดสาดกระเซ็นเข้ามา
“...อยากรู้ไปทำไม" เมษาชะงักกับคำตอบ เขาเหลือบตามองคนตรงหน้าอีกครั้งแล้วก็ต้องขบฟันแน่น ถ้าเป็นเช่นนี้ก็คงไม่มีเรื่องจะต้องคุยกันอีก เขาขยับพรวดไปยังโต๊ะหน้าห้อง กวาดข้าวของบนนั้นเข้ามาในอ้อมแขน
“งั้นก็ถอยไป" เขาสาวเท้าไม่หยุดไปที่ประตู มองใบหน้าคมคร้ามตรงหน้าอย่างนึกชิงชังในใจ เมษาเม้มปากแน่น สอดตัวจะแทรกผ่านประตูออกไป แต่ใครอีกคนไม่ยอมให้ทำเช่นนั้น
ข้อมือเล็กถูกรั้งเอาไว้ เมษาสะดุดขาตัวเอง ของในมือร่วงกราวลงบนพื้น เขาพยายามบิดตัวหนี แต่อาเมนกลับขืนร่างเขาเอาไว้ด้วยร่างของตัวเอง ลมหายใจอุ่นๆปะทะลงที่ข้างแก้ม เมษาได้แต่บิดหน้าหนี กลิ่นน้ำหอมคุ้นเคยทำเอาใจหวั่นไหว
“แกล้งถามแค่นี้น้อยใจไปได้" รอยยิ้มยียวนนั้นปรากฏขึ้นบนใบหน้า เมษาฉุนกึก นึกอยากจะร้องไห้ออกมาเสียให้ได้ เหมือนสถานการณ์เดิมๆกำลังจะกลับมา แล้วเขาก็คือคนที่พ่ายแพ้อีกครั้ง
“ปล่อย!”
“จะรีบไปไหน"
“ผมจะไปที่ครัว" เมษาตอบตะกุกตะกัก "คุณจะมาทำอะไรก็เรื่องของคุณ แต่ขอร้องเถอะ เราอย่าข้องเกี่ยวกันอีกเลยได้ไหม" ชั่วครู่ข้อมือของเมษาถูกบีบแรงขึ้น แต่สักพักอาเมนก็คลายมันลง เขาปล่อยข้อมือเมษา ก่อนผลักร่างผอมบางนั่นติดกำแพงห้องพร้อมกับคร่อมเอาไว้ทั้งร่าง
เมษาตื่นตระหนก มองคนตรงหน้าเหมือนลูกกวางหลงทาง
“จะ...จะทำอะไร ออกไปนะ"
“ไม่อยากได้คำตอบหรือไง" อาเมนถามน้ำเสียงเรียบนิ่ง เมษาได้แต่ปล่อยให้น้ำตาคลอเบ้าตาอย่างห้ามไม่อยู่ ใบหน้าอาเมนใกล้ชิดจนลมหายใจแทบหลอมรวมกัน
“ปล่อย!”
“ฉันมาลงทุนทำรีสอร์ตใหม่ อย่างที่นายรู้นั่นแหละ" เขาเอ่ยเสียงราบเรียบ
“...นั่นมันเรื่องของคุณ" เมษาปล่อยให้น้ำตาหยดแหมะลงมาอย่างห้ามไม่อยู่ เขาคาดหวังว่าอาเมนจะปล่อยเขาไปได้แล้ว แต่อาเมนกลับไม่ทำเช่นนั้น
เมษาเข้าใจแต่เหมือนไม่เข้าใจ สมองขาวโพลนไปหมดและทำท่าจะหมดแรงไปเสียง่ายๆ เขาไม่กล้ามองคนตรงหน้า ไม่กล้าสบตา และกระนั้น ฝ่ามืออุ่นๆของใครบางคนก็เลื่อนแตะที่ปลายคางและบิดให้มันเลื่อนขึ้นมา
“มองฉัน...” อาเมนกระซิบเบาๆ เมษามองเห็นเขาผ่านม่านน้ำตา
“น่าจะเข้าใจไม่ใช่หรือไง"
เมษามอง เมษารับรู้ เมษาอยากจะเข้าใจตามที่อีกคนบอก แต่เขาก็ไม่เข้าใจ ไม่ใช่สิ แค่แกล้งทำเป็นไม่เข้าใจ เขาไม่เข้าใจ แกล้งโง่ก็คงไม่ผิดนัก เขาขืนตัวออกจากอ้อมกอดอีกคนแต่ก็ไม่สำเร็จ ปลายจมูกของอาเมนสัมผัสเบาๆที่ซอกคอ
“ไม่...” เมษาตอบเสียงสั่น "คนที่ไม่เข้าใจอะไรเลยคือคุณต่างหากอาเมน"
เสียงฝีเท้าดังขึ้นพร้อมเสียงพูดคุย เมษาฉวยจังหวะนั้นดึงตัวออกมาจาอีกฝ่าย เขาปาดน้ำตาลวกๆ ก้มลงเก็บของแล้วเดินตัดออกไป สวนกับครูใหญ่และชายในชุดสูทที่เดินเข้ามาพอดิบพอดี ครูคนใหม่ของโรงเรียนได้แต่ก้มหัวทักทายเบาๆแล้วรีบสาวเท้าออกไปอย่างรวดเร็ว
เมษารู้สึกหัวใจมันวูบไหวแปลกๆ การปรากฏตัวของใครบางคนเหมือนจะเปลี่ยนชีวิตที่แสนจะธรรมดาของเขาไปตลอดกาลอีกครั้ง เขาโดดเวรทำครัวในเย็นนั้นไปโดยไม่บอกใคร นอกจากจะโทรไปขอโทษครูเจนจิราหลังจากนั้น เมษาหอบข้าวของตรงดิ่งกลับบ้านไปด้วยหัวใจที่เต้นแรงจนแทบจะหมดแรง อยากจะร้องไห้ออกมาดังๆ ในสมองมันอื้ออึงไปหมด การฝ่าฝนกลับบ้านคงเป็นความคิดที่ดีกว่าการเผชิญหน้ากันต่อไปในวันนี้
เมษาเปิดประตูบ้านออกด้วยท่าทีอ่อนแรง เขาเช็ดเท้ากับพรมเช็ดเท้าหน้าประตูบ้าน ก่อนสอดตัวเข้าไปด้วยสีหน้าไม่สู้ดีนัก เสียงประตูเปิดทำให้มารดาของเขาต้องเดินออกมาจากทางหลังบ้าน ก่อนที่จะมีสีหน้าแปลกใจเมื่อเห็นว่าเป็นใครที่กลับมาก่อนกหนด หญิงวันกลางคนขมวดคิ้วมุ่นระหว่างที่เมษายกกระเป๋าวางลงบนตั่ง
“ทำไมกลับมาก่อนเวลาล่ะเม วันนี้เวรครัวไม่ใช่เหรอจ๊ะ" เธอเอ่ยถาม เมษาได้แต่ส่งสีหน้าเจื่อนๆไปให้มารดา "นี่หน้าตาซีดๆ ไม่สบายหรือเปล่า"
“อ่า...นิดหน่อยน่ะแม่" เมษาปดออกไป "พอดีขอกลับมาก่อนน่ะครับ"
“ตัวเปียกฝนไปหมด วันหลังก็รอฝนหยุดก่อนสิลูก ค่อยเดินกลับมา นี่เรายิ่งป่วยง่ายๆอยู่" เธอบ่น แต่ก็เดินไปหยิบผ้าขนหนูผืนใหม่ส่งให้ลูกชายคนโต "ใช้ผืนใหม่ไปลูก อาบน้ำแล้วก็มาทานข้าว จะได้รีบเข้านอนแต่หัวค่ำ"
“ครับ"
เมษาไม่ได้อิดออดอะไร แน่ล่ะ เขาจะทำอะไรมากกว่านี้ไปได้ สุดท้ายแล้วเขาก็หนีไม่พ้น แล้วคราวนี้จะมาไม้ไหนอีกล่ะ จะเอาให้เขาตายไปเลยหรือไง ทำไมต้องทำแบบนี้กันอีก หลายคำถามที่เมษาตั้งขึ้นผุดขึ้นมาในหัวแต่หาคำตอบไม่ได้นอกเสียจากความรู้สึกที่เจ็บปวดเหมือนโดนกรีดแทงย้ำๆเสมอในอกซ้าย
ไม่เจอกันอีกเลยน่าจะดีกว่ามิใช่หรือไง
พบกันครั้งแรก เงินเป็นข้อต่อรอง จากนั้นก็ใบหน้า ต่อมาก็ร่างกาย ผลักเขาเข้าไปในชีวิตที่ไ่ม่ใช่ของเขา ใช้เขาเป็นตัวต่อรอง
แล้วจะยังกลับมาทำไม มาทำดี ไถ่โทษหรืออย่างไร หรือกลับมาบังคับ ทำร้ายกันอีก
ไม่ต้องเกี่ยวข้องกัน จากกันไปตลอดชีวิต มันน่าจะดีกว่าไม่ใช่หรือไง...ให้ต่างคนต่างมีชีวิตของตัวเอง
เขามันหมาขี้แพ้...
เมษารู้ดี เขารู้ตัวเองดีตลอดนั่นแหละ
เขาไม่ควรจะรู้สึกอะไรไม่ใช่หรือไง หรือจริงๆแล้วเป็นอาเมนกันแน่ที่ไม่ควรจะเริ่มต้นทำเรื่องราวเลวร้ายให้เกิดขึ้นระหว่างกันและกัน ทำตามใจตัวเอง นึกจะมาก็มา จะไปก็ไป เข้ามาควบคุมชีวิต จัดการ แล้วสุดท้ายก็ทำลายมันลง เสร็จแล้วก็กลับมาอีกครั้งเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
เมษาก็เป็นคนนะ เขาก็มีหัวใจ ความเจ็บปวดครั้งเก่าก่อนเขายังไม่ลืม และคงไม่มีวันลืมได้หรอก เขาเกลียดอาเมน เกลียดที่หมอนั่นทำกับชีวิตเขาเสียจนยับเยิน
เขาต้องเสียน้ำตาอีกมากแค่ไหนกันนะ ไม่เคยเลย...หนีคนๆนั้นไม่เคยพ้น และที่เจ็บปวดยิ่งกว่าก็คือ...เมษาไม่เคยหนีตัวเองพ้นเลยสักครั้ง ไม่เคยเลยเช่นกัน...
“เมษา ดีขึ้นหรือยัง"
เสียงทักทายจากครูเจนจิราทำให้ครูผู้ช่วยต้องเงยหน้าจากกองสมุดขึ้นมามอง เมษาส่งยิ้มให้กับครูรุ่นพี่ด้วยสีหน้าอิดโรย เมื่อคืนเขานอนไม่หลับ ต่อให้อยากหลับยังไงก็ข่มตาไม่ลง สุดท้ายก็ได้นอนไปแค่เพียงนิดเดียว ก่อนที่จะต้องตื่นมาจัดการกับกองการบ้านของเด็กๆ
“ก็ดีขึ้นแล้วครับครูเจน" เมษาปด
“แต่หน้าเรายังซีดๆนะเม ไหวไหมเนี่ย" ครูสาวเอ่ยถาม ก่อนเอื้อมมือแตะหน้าผากมนเบาๆ "ตัวก็เย็นอีกต่างหาก"
“อากาศเช้านี้มันเย็นๆน่ะครับ" เมษาบอกยิ้มๆ
“อ่า นั่นสิ" เจนจิราพยักหน้ารับ "บ่ายนี้จะซ่อมหลังคากันนะ ยกเลิกการสอน เมรู้หรือยัง?” ครูเจนเอ่ยถาม นั่นทำให้คนตัวเล็กต้องเลิกคิ้ว
“ครับ?”
“ช่วงนี้ฝนตกหนักเหลือเกิน ครูใหญ่เลยจะซ่อมให้เสร็จให้ได้ภายในสองสามวันนี้ เห็นแจ้งเด็กๆไปแล้วเมื่อวานในโรงอาหารตอนกลางวัน เมน่าจะอยู่ในครัวมั้งตอนนั้น ถ้าบ่ายนี้ไม่เสร็จ คงจะต้องหยุดพรุ่งนี้อีกวัน"
“วันนี้ฝนจะไม่ตกหรือครับ" เมษาเอ่ยถาม "แล้วเราจะทำกันทันหรือ"
“เห็นครูสมานแกบอกกรมอุตุฯแจ้งว่าวันนี้ช่วงบ่ายฝนไม่ตกนะจ๊ะ ส่วนเรื่องคน น่าจะมีคนจากรีสอร์ตคุณต้นมาช่วย"
“งั้นก็ดีเลยครับ" เมษาตอบรับเบาๆ
เพราะเมษายังกลัวการมาเยือนของใครบางคน เพราะในหัวใจยังว้าวุ่นหาทางออกไม่เจอ นั่นทำให้การสอนของเขาในวันนี้ไม่ค่อยมีประสิทธิภาพนักจนเขานึกหงุดหงิดตัวเองอยู่ในใจ เขาจบการสอนด้วยความเหนื่อยอ่อน คาบสุดท้ายจบลงก่อนเที่ยงวัน เมษายิ้มบางๆให้กับเด็กๆที่วิ่งกรูกันเข้ามาส่งงาน ก่อนที่เขาจะขยับตัวขึ้นลบกระดาน
เขาเห็นรถบรรทุกคันเล็กขนกระเบื้องแล่นเข้ามาจอดในโรงเรียน และเพราะวันนี้เลิกครึ่งวัน ทางโรงเรียนจึงนัดรถรับส่งให้มาเร็วขึ้น แต่ก็มีเด็กบางส่วนที่รอผู้ปกครองมารับกลับ หรือบางส่วนที่พักประจำอยู่ที่โรงเรียนเช่นกัน เมษาจัดการปิดห้องเรียนก่อนเดินไปยังโรงอาหารที่มีเด็กๆกำลังนั่งรับประทานอาหารกันอยู่ด้วยเสียงเจี๊ยวจ๊าว
“พรุ่งนี้คงต้องหยุดนะเมษา ครูบอกเด็กๆไปแล้ว จะรื้อกระเบื้องทั้งหมดเลย" ครูสมานเดินหน้ายิ้มแย้มเข้ามาบอกกับเมษาที่เพิ่งเดินเข้าไป
“รื้อใหม่หมดเลยเหรอครับ" เมษาขมวดคิ้วมุ่น ครูสมานพยักหน้ายิ้มๆ
“ใช่ คงยาแนวไม่ไหวแล้วแหละ แก้ทีละแผ่นก็ดูจะไม่ค่อยดี มันจะค่อยๆรั่วตามไปทีละจุด ซ่อมยังไงก็คงไม่หวาดไหว" ครูสมานแกบอกยิ้มๆ "แต่ก็ถือว่าดีแล้วนะ ได้โอกาสซ่อมแซมให้ใช้งานได้ระยะยาวไปเลย"
“แล้วนี่...เอางบประมาณมาจากไหนหรือครับ" เมษาถามอย่างนึกฉงนถึงปัญหาใหญ่ เพราะอบต.ยังไม่อนุมัติเงินก้อนมาเลยด้วยซ้ำ
ไม่ต้องรอคอยคำตอบให้นาน เพราะจากนั้น ขบวนรถออฟโร้ดก็วิ่งฝุ่นตลบเข้ามาในโรงเรียน เมษาชะงักนิ่งเหมือนถูกตรึงค้างไว้กับพื้นดิน เขาหันขวับมองหน้าครูสมานที่ยังดูดีอกดีใจกับการซ่อมแซมครั้งนี้ตามประสาครูผู้ทุ่มเททุกแรงกายแรงใจให้เด็กนักเรียนผู้ด้อยโอกาส
“...คุณอาเมน"
“รู้จักกันแล้วสินะ"
“......” เมษาไม่ตอบ เขานิ่งอึ้ง จนกับคำพูด
“เมื่อวานครูเปรยๆไป ไม่ได้ตั้งใจหรอก เพราะเราทำกันเองได้ แต่แกรีบเสนอตัวจัดการให้" ครูสมานว่า "แกเป็นคนดีนะ"
“แล้วคุณต้นล่ะครับ?” เมษาถาม มือสั่นไปหมด
“ใช่ๆ ตอนแรกก็จะขอให้แกช่วย แต่โทรไปบอกแล้วล่ะ แกบอกว่าอาจจะมาดูมาช่วยตอนบ่าย" ครูใหญ่ประจำโรงเรียนว่า ก่อนฉีกยิ้มกว้างเมื่อเห็นว่าใครเดินเข้ามา เมษาถอยหลังออกไปโดยอัตโนมัติ แม้ว่าสายตาของอาเมนจะยังคงจับจ้องมองมาอย่างไม่ลดละก็ตามที
เขายกมือไหว้ครูสมานด้วยท่าทางนอบน้อมแบบที่เมษาไม่คุ้นชิน วันนี้ชายหนุ่มสวมเสื้อโปโลสีสะอาดตากับกางเกงยีนส์และรองเท้าผ้าใบ ผมที่เคยเซ็ตมาตลอดถูกปล่อยปรกใบหน้าดูสบายตา เขายิ้มทักทายครูสมานบางๆอย่างสุภาพ เป็นภาพที่เมษาแทบไม่อยากเชื่อสายตา
“สวัสดีครับครู"
“สวัสดีๆ ขอบใจมากนะที่อุตส่าห์มาช่วยเหลือกันขนาดนี้" ครูสมานยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ก่อนตบบ่าผู้เยาว์วัยกว่าเบาๆ
“ไม่เป็นไรหรอกครับ เล็กๆน้อยๆ กระเบื้องพวกนี้ก็เป็นของที่รีสอร์ตอยู่แล้วไม่ได้ลำบากอะไรเลยครับ" เขาเอ่ยพลางยิ้มที่มุมปาก แต่สายตากลับเหลือบมองเมษาที่ตั้วตัวไม่ทันกับอะไรทั้งนั้น "เรายังต้องอยู่ในชุมชนเดียวกันอีกนาน"
เมษานิ่งอึ้งกับท่าทางของคนตรงหน้า แทบไม่เชื่อหูและสายตาว่านี่คืออาเมนคนที่เขาเคยรู้จักมาก่อน ไอ้ท่าทีบ้าบอนี่มันคืออะไรกัน
“ขอบใจมากนะ ทานข้าวกลางวันอะไรกันมาหรือยังล่ะ" ครูใหญ่เอ่ยถาม
“ยังเลยครับ"
“อ้อ งั้นเดี๋ยวให้ครูเมษาจัดการให้นะ---”
“ผม...คือ" เมษารีบขัดขึ้นแทบจะทันที "ผมต้องไปส่งเด็กๆขึ้นรถน่ะครับ"
“อ้าว วันนี้เวรครูเมหรือ"
“ครับ" เมษาอ้อมแอ้มบอก เขาหลบสายตาคมนั่นพัลวัน
“ไม่เป็นไรหรอกครับ" และเป็นอาเมนที่ขัดขึ้นพร้อมกับระบายยิ้มออกมา ทำให้เมษาโล่งใจขึ้นมาทันที "ให้ครูเมส่งเด็กก่อนก็ได้ ผมรอได้ครับ"
ครู่หนึ่งเมษาเห็นรอยยิ้มกวนประสาทนั่นจุดขึ้นบนใบหน้าหล่อเหลา เขากำหมัดแน่น เม้มปาก แล้วรีบสาวเท้าออกไปแทบจะทันที
“ผมขอตัวก่อนนะครับ"
เมษารู้สึกชื้นๆที่ปลายจมูก เขาพยายามเชิดหน้าและก้าวเดินให้มั่นคงกว่าเดิมแต่ก็ทำได้ยากเหลือเกิน เด็กๆวิ่งไล่กันมาเรียงรายบนสนามเอ่ยทักทายและยกมือไหว้เขาเป็นระยะๆ เมษาจำต้องปั้นยิ้มส่งไปให้ เขาเดินไปหยุดอยู่ที่ประตูโรงเรียน มีเด็กประมาณหนึ่งที่เดินกลับกันไปแล้ว อีกส่วนใช้จักรยาน เมษายืนคุยกับเด็กที่รายล้อมรอบตัวเขา และยืนรอเป็นเพื่อนเด็กๆรอรถประจำทางมา บางส่วนอยู่ในหมู่บ้านสามารถเดินไปกลับได้ แต่ก็มีบางส่วนที่อยู่ตามรายทางหรืออยู่เลยออกไปที่จำเป็นต้องใช้รถประจำทาง
จากที่ฟ้าครึ้มมาตลอดช่วงเช้า ตอนบ่ายฟ้าก็เริ่มเปิด จากนั้นจึงเป็นแสงแดดจ้าที่สาดส่องลงมา เมษารออยู่สักพักจนกระทั่งรถสองแถวแล่นเข้ามาจอดที่หน้าประตูโรงเรียน เขานับจำนวนเด็ก ยกมือรับไหว้เด็กๆ และยืนรอเด็กๆที่กำลังเดินทางกันมาขึ้นรถ
มือขาวยกขึ้นปาดเหงื่อ ก่อนสะดุดลมหายใจเมื่อรู้สึกได้ถึงเงาของใครบางคนที่ทาบทับลงมาจากทางด้านหลังพร้อมกับแสงแดดร้อนจัดที่หายไปจากด้านบน เมษาหันขวับไปมอง ก่อนพบว่าเป็นอาเมนที่ยืนตีสีหน้านิ่งอยู่เบื้องหลัง แต่การกระทำที่เข้าใจยากนั่นมันคงเป็นร่มในมืออีกฝ่ายเสียมากกว่า ครูเมษากัดริมฝีปากแน่นแล้วก้าวหนี แต่อีกฝ่ายก็สาวเท้าตามอย่างไม่ลดละ
เมษาทำท่าจะอ้าปากพูดอะไรบางอย่าง แต่ติดที่ว่าเด็กๆวิ่งแจ้นกันมาขึ้นรถพร้อมยกมือไหว้ลาครูเมกันจ้าละหวั่น เมษาได้แต่ยืนนิ่งอยู่เช่นนั้น ก่อนที่จะกลั้นใจผละตัวออกไปนับจำนวนเด็กที่ขึ้นไปบนรถเรียบร้อยแล้ว เมษาตรวจจำนวนเด็กจนครบก่อนเดินไปรายงานกับลุงคนขับ เขายกมือไหว้ล่ำลาคนสูงวัยกว่า มองจนกระทั่งรถแดงแล่นไปจนลับสายตา
เงาแดดจากร่มคันใหญ่ยังไม่หายไปไหน นั่นทำให้เมษารู้สึกทั้งหงุดหงิดขึ้นมาในใจ แต่กระนั้น เขาก็หวั่นใจจนแทบบ้า
ร่างผอมทำได้แค่เพียงหมุนตัวเผชิญหน้ากับผู้ชายตัวโตที่ยืนตีหน้านิ่งอยู่ตรงกันข้าม เขาเม้มปากแน่น สาวเท้าออกมาจากใต้เงาร่ม
“คุณกำลังทำอะไรของคุณอยู่" เขาได้แต่เอ่ยถามอย่างไม่เข้าใจ จะให้ทำอย่างไร ในเมื่อต่อให้ตาย เขาก็ไม่เคยเข้าใจอาเมนได้เลยสักที
“......” อาเมนไม่ตอบ เขามองเมษานิ่งๆ
สายตาตัดพ้อของคุณครูคนเก่งถูกส่งไปให้ในเสี้ยววินาที ริมฝีปากบางสั่น "คุณจะทรมานผมไปถึงไหนกัน"
เมษาจ้ำฝีเท้าเดินหนีออกมาอย่างไม่คิดชีวิต แต่ก็ดูเหมือนยังไงก็หนีไม่พ้น เรื่องที่ไม่เคยเข้าใจ ยังไงก็ไม่เคยเข้าใจ จนมาวันนี้ก็มีเรื่องน่าสงสัยหัวใจเกิดขึ้นใหม่โดยไร้ซึ่งคำตอบ ต่อให้เมษาก้าวเดินให้ไวมากขึ้นเท่าไหร่ อาเมนก็ยังคงระดับฝีเท้าไล่ตามเขาได้ทันอยู่ร่ำไป เมษานึกอยากจะเสียน้ำตา โวยวาย ตะโกนด่าทอให้ตายกันไปข้าง แต่ก็รู้ลึกๆในใจว่าทำไม่ได้ เพราะมันหวาดกลัวไปหมด
“แค่รอกินข้าวด้วย" คำตอบของคนเบื้องหลังทำเอาครูเมต้องหยุดปลายเท้า เมษากำหมัดแน่น เขาน้ำตารื้น
“คุณ---” คนตัวเล็กกว่าเค้นจนเสียงสั่น "คุณอย่าทำเรื่องบ้าๆได้ไหม"
“เปล่านี่" อีกฝ่ายตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
“ไม่คิดจะอธิบายอะไรสักคำเลยหรือไง!” เมษาตะเบ็งเสียงยิ่งกว่าเก่า
“ไม่มี"
คำตอบเหล่านั้นทำเอาคุณครูคนใหม่ถึงกับเหลืออด เขาน้ำตาคลอเบ้า จ้ำฝีเท้ากลับเข้าไปใต้ชายคาอย่างไม่คิดชีวิต โรงอาหารยังมีนักเรียนบางส่วนที่ไม่ได้กลับกับรถประจำทางกำลังช่วยกันเก็บกวาด บ้างก็นั่งทำการบ้าน เขาเห็นครูสมาน ครูเจนจิรา และครูคนอื่นๆช่วยกันตั้งโต๊ะต้อนรับขบวนอาคันตุกะใหม่ที่มาช่วยซ่อมแซมหลังคาโรงเรียนในวันนี้
มื้อกลางวันวันนี้เป็นอาหารง่ายๆอย่างไข่เจียว คู่กับพะแนงไก่ และแกงจืดฟัก เมษาทักทายครูผู้ใหญ่ก่อนเดินไปตักข้าวราดให้กับตัวเองแล้วพาตัวเองไปนั่งกับกลุ่มนักเรียนที่กำลังนั่งทำการบ้านกันอยู่ เป็นเด็กจากอำเภอค่อนข้างห่างไกลที่อยู่ประจำที่โรงเรียนแห่งนี้ เป็นเพราะอำเภอแห่งนี้เริ่มกลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวเมื่อหลายปีก่อน อะไรต่อมิอะไรจึงค่อยๆพัฒนา เช่นเดียวกับโรงเรียนที่ได้งบประมาณมากขึ้นจนพัฒนาเป็นโรงเรียนขนาดกลาง รองรับนักเรียนจำนวนมากขึ้นด้วยมาตรฐานที่ดีขึ้นได้
เมษาไม่ได้หันหลังมองกลับไปหรือมองไปยังคนกลุ่มนั้น เขาไม่อยากยุ่งเกี่ยวเสียด้วยซ้ำ อะไรกันทำไมจู่ๆชีวิตเขาถึงได้กลับมาสู่วงจรอะไรแบบเดิมอีกครั้ง อาเมนเป็นตัวอันตราย เขารู้ดี แล้วหมอนั่นมาที่นี่ทำไมกัน ลงทุนทำรีสอร์ต ช่วยพัฒนาท้องถิ่น คิดว่าตัวเองเป็นพ่อพระหรืออย่างไรกัน มีแผนชั่วอะไรอีกกันแน่
เมษาได้แต่ก่นด่าในใจ ทั้งๆที่เขารู้ดีว่าตนเองรู้จักอาเมนดีพอ คนๆนั้นคงไม่ทำอะไรเลวร้ายแบบนั้นอีก แต่เรื่องราวเก่าก่อนที่กองสุมทับอยู่ในใจ ก็ทำให้เขาอดไม่ได้ที่จะรู้สึกแย่ หวาดระแวง ไม่ไว้ใจ และเกลียดขี้หน้าอย่างให้อภัยไม่ได้
“มีอะไรให้ครูช่วยไหมครับ" ครูเมของเด็กๆพยายามปรับเสียงให้เป็นปรกติอีกครั้ง เขาถอนหายใจบางเบา กระพริบตาไล่น้ำตาที่เกาะบนแพขนตาออกไป แล้วเอ่ยถามเด็กๆสามสี่คนที่นั่งล้อมวงกันกับหนังสือการบ้านบนโต๊ะ "กินข้าวกันแล้วใช่ไหม"
“ครับ" หนูน้อยคนหนึ่งพยักหน้าหงึก "ครูเมยังไม่ได้กินเหรอครับ"
“ยังเลยครับ" เมษาว่า "ให้ครูช่วยสอนอะไรไหม" เมษาถาม
เด็กชายเกาหัวแกรกๆ ดูว่าโจทย์เลขคณิตศาสตร์ในวันนี้จะดูยากเกินความสามารถ "แหะๆ"
“ไหนลองทำแบบที่ครูสอนดูซิ ยกนิ้วขึ้นมา---” เสียงใสยังไม่ทันพูดจบ จานข้าวอีกใบที่ถูกวางลงข้างๆก็ทำให้เขาต้องหันไปมอง เมษาชะงักค้างเมื่อเห็นว่าเป็นใคร เขาอ้าปากค้างหน่อยๆ ก่อนเขยิบตัวออกห่างทันที
อาเมนเลิกคิ้วให้น้อยๆ ก่อนหันไปมองเด็กๆที่นั่งจ้องตาแป๋ว เขาจึงเอ่ยปาก
“ขออนุญาตนั่งด้วย" สายตาคมปราบเหลืองมองคนข้างตัวเล็กน้อย เมื่อเด็กๆไม่ว่าอะไรเขาจึงเริ่มต้นจัดการจานข้าวตรงหน้า
เจ้าหนูทั้งสี่เริ่มนั่งไม่ติดที่เมื่อคนแปลกหน้าเข้ามาร่วมวง "พี่ชาย พี่ชายมาจากกรุงเทพฯเหรอ" สาวน้อยผมสั้นเอ่ยถาม ไม่มีใครทันได้สังเกตว่าครูคนเก่งของพวกตนนั่งตัวแข็งทื่อไปแล้ว
“อืม" อาเมนตอบเรียบๆตามสไตล์ของตนเอง เขาตักข้าวเข้าปากด้วยท่าทีเรียบนิ่ง
“เมืองกรุงเป็นยังไงบ้างครับ" เด็กชายช่างสงสัยเอ่ยถามจ้อ อาเมนปรายตามองตามนิสัย
“วุ่นวาย รถติด แล้วก็น่าเบื่อ"
“เลยย้ายมาที่นี่ใช่ไหมคะ" เสียงของเด็กหญิงอีกคนเอ่ยถาม เมษานั่งมองตรงไปข้างหน้าไม่ขยับตัวในขณะที่พี่ชายจากเมืองกรุงของพวกเด็กๆเหลือบมองเสี้ยวหน้าของเขาอีกครั้ง
“อืม...คิดว่านะ"
“โห หนูอยากไปกรุงเทพฯบ้างจัง" หนูน้อยโอด นั่นทำให้ครูเมของเธอเม้มปากแน่น แล้วเอ่ยตัดออกมา
“อย่าเลย"
คำตอบทำเอาเด็กๆต้องทำหน้าฉงน
“ทำไมล่ะคะ กรุงเทพฯไม่ดีตรงไหน"
เมษานึกรังเกียจคำตอบของตนเองอยู่ในชั่วอึดใจ แต่ในที่สุดเขาก็เอ่ยมันออกไป
“คนกรุงเทพฯใจร้าย เขาจ้องแต่จะทำร้ายเราอยู่ตลอดเวลานั่นแหละ"
ครูเมไม่ปล่อยให้เด็กๆหรือใครตั้งคำถาม เขารวบช้อนส้อมแล้วยกจานขึ้นมาอย่างรวดเร็วเกินกว่าที่ใครจะรั้งเอาไว้ แล้วลุกเดินหนีออกไปแทบจะทันที เมษาไม่ปล่อยให้ใครเข้ามาฉวยโอกาสอีกครั้ง เขาเดินหายลับเข้าไปในหัวมุมครัวแล้วเทข้าวที่ยังคงพูนจานทิ้งลงถังขยะ ก่อนวางมันลงสั่วๆบนอ่างล้างจานด้วยความรู้สึกที่คับข้องใจจนแทบกระอัก มือเล็กจับขอบปูนของที่ล้างจานไว้แน่นพร้อมกับน้ำตาที่กักเก็บเอาไว้ทั้งวันค่อยๆไหลออกมาอย่างเหลืออด
tbc.
ย่องมาลง อิอิ
ล่ารักหัวใจมาเฟียยังเปิดโอนอยู่นะคะ ตามลิ้งค์นี้ไปดูรายละเอียดได้เลยจ้ะ
>>
https://www.facebook.com/notes/kyliewonderland01/detail01/295470910630051จากนี้ไปจะไม่ Hard Sale แล้วนะคะ เดี๋ยวเตือนอีกทีช่วงปิดโอนนะคะ
มีคนถามมาเยอะมากว่าจะแบ่งขายเล่ม3 ซึ่งเป็น Side ของวิคเจย์/อาเมนเมษาไหม
คือคนเรียกร้องมาเยอะมากจนงง ตอนแรกว่าจะไม่ทำ แต่อาจจะมีการแยกนะคะถ้าคนต้องการเยอะจริงๆ
โดยราคาจะกำหนดใหม่ ซึ่งจะไม่แพงเกินเหตุ แต่ราคาน่าจะแพงกว่าขายรวมเล็กน้อยและมีค่าจัดส่งแยกด้วยนะคะ (แต่ยังไม่ชัวร์ เป็นโครงการอยู่ค่ะ เพราะไม่แน่ใจว่าจะทำดีไหม)
ไว้แจ้งอีกทีนะคะ
เจอกันตอนสาม Side นี้ไม่น่าเกิน10ตอนจบบริบูรณ์นะคะ จะลงทุกวัน อังคาร-พฤหัส-อาทิตย์ หากวันไหนลงไม่ได้จะแจ้งไว้เนิ่นๆนะคะ
ขอบคุณค่ะ