:: Chapter 16 :: 'เดท'
**พี่วอร์ม** วันนี้สบายหน่อยครับในเมืองรถไม่ค่อยติดเท่าไหร่ คงเพราะเราออกมากันแต่เช้าด้วยมั้งครับ ผมก็เลยมาถึงที่สยามไวหน่อยแถมที่จอดรถที่พารากอนยังโล่งอยู่เลยครับ วันนี้ผมชวนไอติมออกมาเที่ยวกันครับ มีหนังที่ผมอยากดูอยู่ด้วยพอดี บวกกับที่ผมอยากพาน้องออกมาเดินเล่นอยู่แล้วด้วย มีอะไรที่อยากทำกับน้องเยอะแยะไปหมดเลย ที่ผ่านมาน้องก็อยู่แต่ที่หอ จะเที่ยวทีก็มีแต่ห้างที่อยู่ใกล้ๆ มหาวิทยาลัยนั่นละครับ น่าเบื่อแย่เลย
“ไอติมอยากกินอะไร?” ผมหันไปถามน้องหลังจากจองตั๋วหนังเสร็จ
“อะไรก็ได้ครับพี่วอร์ม ผมกินได้หมดเลย”
“ไม่เอาดิ... ไอติมอยากกินอะไรบอกมาเลย เดี๋ยวพี่เลี้ยงเอง”
“โหย... ไม่เอาอะ ผมเกรงใจ”
“ดื้ออีกแล้ว”
“ง่า... พี่วอร์มอะ อย่าตามใจผมมากนักสิครับ เดี๋ยวผมเคยตัวนะ” น้องพูดพลางกอดยกสองมือมากอดแขนผม ก็เป็นเสียแบบนี้แล้วจะไม่ให้ผมตามใจได้ยังไง ผมจะทำให้น้องเคยตัวเพราะแบบนี้ละ
“ก็พี่อยากตามใจ... อะบอกมาอยากกินอะไร?”
“งือ... งั้นพี่วอร์มแนะนำร้านก็ได้ครับ... ผมอยากกินอาหารญี่ปุ่น” ผมยิ้มเล็กน้อยก่อนจะยกมือบีบจมูกน้องเบาๆ ก็น้องใจตรงกับผมเลยอะ ผมเองก็อยากกินอาหารญี่ปุ่นพอดีเลย
“ใจตรงกับพี่เลยนะ... งั้นปะ เดี๋ยวดูหนังจบแล้วพี่พาไปกินร้านอร่อยๆ ว่าแต่ตอนนี้หิวหรือเปล่า... ไปหาอะไรกินรองท้องกันก่อนไหม” ผมเอ่ยถามเพราะตั้งแต่ออกมาจากหอ เราก็ยังไม่มีอะไรตกถึงท้องกันเลยนี่ครับ
“ผมไม่ค่อยหิวอะ... แต่ถ้าพี่วอร์มหิวก็ไปหาอะไรกินเล่นก็ได้ครับ”
“โอเค~ งั้นไปกัน” ผมเลื่อนมือไปจับประสานมือกับน้องแล้วพาเดินออกมา การที่ได้เดินจูงมือกันแบบนี้ในที่สาธารณะก็รู้สึกดีเหมือนกันนะครับ ผมไม่สนหรอกว่าใครจะมองยังไง แต่ตอนนี้ผมมีความสุขมากที่ได้เดินเคียงข้างกันแบบนี้
เราเลือกร้านของกินกันอยู่พักใหญ่ไม่ใช่ว่าเลือกไม่ได้หรอกครับ แต่วันนี้มีนักท่องเที่ยวต่างชาติมาเที่ยวกันเยอะแยะไปหมด ร้านอาหาร Fast Food ธรรมดาก็คนนั่งกันเต็มเลย สรุปแล้วเราเลยมานั่งกันที่ร้าน Subway เพราะถ้าเลือกมากกว่านี้ท่าทางจะไม่ทันได้กินอะไรเพราะนี่ก็ใกล้จะถึงเวลาที่หนังจะฉายแล้ว แต่คนที่ร้านนี้ก็ยังเยอะอยู่ดีผมเลยให้ไอติมไปสั่งแซนด์วิชที่เคาน์เตอร์แทนส่วนผมก็ไปนั่งจองโต๊ะไว้ให้
“มาแล้ว~ พี่วอร์มจะกินไก่อบหรือทูน่า...”
“แล้วเราอยากกินอะไร”
“ผมอยากกินทูน่าง่ะ”
“ก็เอาไก่อบมาให้พี่ดิ... จะถามทำไมเนี่ย”
“ก็... เผื่อพี่วอร์มอยากกินทูน่า ผมก็ให้ทูน่าพี่ไง” น้องยิ้มจนตาหยีตอบผมก่อนจะยื่นห่อแซนด์วิชไก่อบมาให้ผม
“พี่กินแบบไหนก็ได้... เรานั่นแหละอยากกินอะไรก็กินแบบนั้นสิ ไม่ต้องตามใจพี่ขนาดนั้นหรอก เดี๋ยวพี่เคยตัวนะ” ถึงความจริงแล้วผมจะชอบกินทูน่าก็เถอะ แต่ในเมื่อน้องอยากกินผมก็ยอมให้ได้ทั้งนั้นแหละครับ
“แหนะ... ยอกย้อนผมเหรอพี่วอร์ม” ผมยักไหล่ทั้งสองข้างทำไม่รู้ไม่ชี้กับสิ่งที่น้องพูด แล้วไอติมก็ทำปากยู่กลับมาตามที่ผมคิดไว้เลย เมื่อไหร่จะเลิกทำตัวน่ารักสักทีเนี่ย เวลาไม่พอใจหรืองอนอะไรก็จะชอบทำหน้าแบบนี้ ไม่รู้ตัวบ้างหรือยังไง ว่ามันน่าฟัดแค่ไหน
“ไอติม... พี่ไม่กินผัก...” ผมเอ่ยขึ้นหลังจากแกะห่อแซนวิชออกมา ทั้งมะเขือเทศสีแดงสด หอมใหญ่ ผักใบเขียว ไหนจะแตงกวาดองอีก จัดเต็มมาครบชุดเลยครับ
“อ้าว... ผมไม่รู้อะ... ก็เห็นมะระตุ๋นพี่ยังกินได้เลยนี่น่า”
“นั่นมันข้อยกเว้น...”
“อ่า... งั้นเอาผักมาให้ผมก็ได้ โหยอะไรอะ ทำไมพี่วอร์มไม่กินผักเนี่ย มีประโยชน์จะตาย... มานี่ๆ เดี๋ยวไอติมคนนี้จัดการเอง” คนอะไรบ่นยิ่งกว่าแม่ผมอีก ผมมองน้องที่หยิบผักจากแซนวิชของผมไปใส่ของตัวเองอย่างขำๆ อีกอย่างเวลาน้องพูดชื่อแทนตัวเองว่าไอติมมันน่ารักมากจริงๆ
“รีบกินกันเถอะ หนังจะฉายแล้ว”
หลังจากดูหนังจบ ที่วางแผนกันไว้ว่าจะไปกินอาหารญี่ปุ่นก็ต้องพับเก็บไปก่อน เนื่องจากยังอิ่มกับน้ำและป๊อปคอร์นที่ซื้อเข้าไปกินระหว่างดูหนังกันอยู่เลย เราจึงเลือกมาเดินเล่นกันตรงฝั่งสยามแทน นานๆ ทีจะได้มาเดินเล่นที่นี่ รู้สึกว่าอะไรๆ มันก็เปลี่ยนไปเยอะเลยครับ มีร้านรวงมาเปิดใหม่เต็มไปหมด ทั้งร้านเสื้อผ้าและร้านอาหาร ดูแปลกตาดีเหมือนกัน
“พี่วอร์ม... มีคาเฟ่หมาแมวด้วยอะ แวะกันไหม” ผมหยุดมองตามที่ไอติมบอก นี่ไงครับ นอกจากร้านเสื้อผ้าและร้านอาหารแล้วยังมีคาเฟ่หมาแมวมาเปิดที่นี่ด้วย แถวนี้นี่เรียกได้ว่ามีครบทุกอย่างเลย ใช้เวลาทั้งวันก็คงไม่พอ
“ไปดิ” ไหนๆ ก็ไม่เคยเข้าคาเฟ่แบบนี้แล้ว เห็นก็แต่ในโซเชี่ยลที่เขาแชร์กัน ลองเข้าไปดูหน่อยก็ไม่เสียหาย แล้วมันก็ดีจริงๆครับที่พวกเราแวะเข้ามา ที่นี่มีทั้งสุนัขแล้วก็แมวหลากหลายสายพันธุ์ให้เล่นเต็มไปหมด และดูท่าทางไอติมก็จะชอบเอามากๆ เสียด้วย
ผมปล่อยให้น้องเล่นกับเจ้าขนฟูเท้าปุยทั้งหลายไปก่อนและเมื่อผมหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาก็พบกับตัวเลขแจ้งเตือนในวงกลมสีแดงกว่าร้อยทำให้ผมต้องกดเข้าไปดูทันทีแล้วก็พบว่าข้อความมากมายก่ายกองที่ปรากฏแจ้งเตือนอยู่บนหน้าจอนั้นมากจากแชทกลุ่มจับฉ่ายของพวกคุณเพื่อนตัวดีทั้งหลายของผมนั่นเอง
“คุยอะไรกันเยอะแยะวะ”
ผมได้แต่บ่นพึมพัมกับตัวเอง พอไล่สายตาย้อนอ่านข้อความพวกนั้นคร่าวๆ ก็พบว่าพวกมันหนีไปเที่ยวกันโดยไม่มีผม แถมยังมีการส่งรูปหมู่ที่ถ่ายด้วยกันสามคนมาลงกรุ๊ปอีก นัดกันไปเที่ยวไม่ชวนผมสักคำ พอผมตัดพ้อไปก็ดันช่วยกันรุมยำผมกลับมาอีก กลายเป็นความผิดผมซะอย่างนั้นที่หนีพวกมันมาเดทกับน้องไอติม ตรรกะอะไรของพวกมันวะครับ ก็ผมนัดน้องไว้ก่อนแล้วนี่นา ใครจะปุบปับนึกจะไปก็ไปอย่างพวกมันกัน
“แหนะ! อย่าซนสิเจ้าตัวเล็กนี่! ห้ามกัดนะ! เดี๋ยวพี่ไอติมไม่ให้กินขนมเลยนะ”
เสียงใสที่ถูกกดให้เข้มกว่าปกติดังขึ้น ดึงความสนใจของผมจากหน้าจอโทรศัพท์ให้หันไปมองต้นเสียงทันที ไอติมที่กำลังดุเจ้าขนฟูสีดำขลับที่สงสัยน่าจะคันเหงือกคันฟันซี่เล็กๆ ของมัน ก็เลยกำลังงับมือน้องเล่นอย่างเมามันไม่ยอมปล่อยเลยทีเดียว แล้วเจ้าตัวก็ดุลูกสุนัขบนตักอย่างเอาเป็นเอาตายราวกับมันจะฟังภาษาคนรู้เรื่องอย่างนั้นแหละ
“คุยกับหมารู้เรื่องด้วยหรือยังไงเรา”
“พี่วอร์มอะ... ที่ตัวเองยังคุยกับเบนโตะเป็นตุเป็นตะเลย” ถึงประโยคหลังน้องจะตั้งใจแค่พึมพัมกับตัวเองแต่ผมก็ได้ยินอยู่ดี มัวแต่ก้มหน้าคุยกับเจ้าขนปุยบนตักจนไม่รู้ตัวเลยหรือยังไงว่าผมเขยิบเข้ามาหาจนใกล้ขนาดนี้แล้ว
“ยิ้มเร็ว เดี๋ยวพี่ถ่ายรูปให้ จะได้เก็บไว้เป็นที่ระลึกว่าโดนเจ้าตัวไหนงับมือ ฮ่าๆๆ” ไอติมยู่หน้าใส่ผมเล็กน้อยแต่ก็ยอมยิ้มและโพสท่าชูสองนิ้วให้ผมทันที
จากนั้นผมก็เลยไปนั่งเล่นกับสุนัขตัวโตขนยาวสีน้ำตาลที่หมอบอยู่ใกล้ๆ โต๊ะของพวกเราบ้าง แต่ดูๆ แล้วมันจะอยากนอนมากว่าที่จะอยากเล่นกับผม ชีวิตของนายไออุ่นท่าทางจะเป็นมนุษย์หมาเมินอย่างแท้จริง ขนาดหมาที่เลี้ยงมากับมือทุกวันนนี้มันยังไม่ค่อยจะสนใจผมเลย มาเจอเจ้าขนฟูตัวนี้เมินอีกก็ไม่แปลกอะไรหรอกครับ นี่ผมลงทุนลงมานอนคุยกับมันที่พื้นเลยนะ สนใจกันหน่อยก็ไม่ได้ นอกจากจะหลับตาเบี่ยงหน้าหนีจากผมเล็กน้อยแล้วมันยังกรนใส่หน้าผมอีกอ่ะ ใจร้ายชะมัดเลย
แล้วอยู่ดีๆ ก็มีอีกหนึ่งข้อความแจ้งเตือนใหม่ปรากฏขึ้นบนหน้าจอโทรศัพท์ของผม มันคือแจ้งเตือนจากแอพพลิเคชั่นสำหรับการอัพรูป ซึ่งก็เป็นน้องไอติมนั่นเองที่อัพรูปและแท็กแอคเคาท์ของผม โอ้โห เล่นแรงใช้ได้นะครับ รูปน้องที่ผมอัพไปก่อนหน้านี้ผมแค่เหน็บความน่ารักของน้องนิดหน่อยเอง แต่นี่เล่นว่าผมกับเจ้าตัวที่กำลังนอนกรนอยู่ข้างๆ ว่าเป็นเพื่อนกันเฉยเลย
แล้วพอกดเข้าไปดูในกรุ๊ปแชทที่ข้อความเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วก็พบว่า ผมกับน้องไอติมกำลังตกเป็นหัวข้อสนทนาอย่างที่คิดไว้จริงๆ ถ้าทางคุณเพื่อนทั้งหลายของผมจะว่างมากจริงๆ แค่ว่างไม่พอ ไอ้จัสกับมิชิก็ยังจะขยันสร้างความร้าวฉานให้ผมกับน้องอีก แต่มันก็แค่พวกคอมเม้นที่มาเต๊าะน้องในรูปเก่าๆ ของน้องไม่ทำให้ผมสะเทือนหรอก กับเรื่องแค่นี้ถ้าผมหัวร้อนแล้วไประเบิดลงที่น้องก็แย่แล้วครับ
“พี่วอร์ม… หิวยังอ่า…”
“อะไรกัน เล่นจนหมดแรงป็อปคอร์นแล้วเหรอไง”
“ก็ยังไม่หิวขนาดนั้นหรอกครับ แต่เจ้าตัวเล็กพวกนี้ดูเพลียๆ กันหมดแล้วอ่า... ผมเรียกมันก็ไม่มาหาสักตัวเลย”
“โอเค ถ้าอย่างนั้นเราเดินกลับไปกัน กว่าจะถึงร้านก็คงหิวพอดี” ไอติมพยักหน้ารับอย่างเห็นด้วยกับผมก่อนจะแวะร่ำลาเจ้าขนปุยทั้งหลายไม่ว่าจะตัวเล็กหรือตัวโต กว่าเราจะได้ออกจากร้านจริงๆ ก็ใช้เวลาไปเกือบครึ่งชั่วโมงเลยทีเดียวครับ
เมื่อมาถึงร้านคนที่งอแงเพราะความหิวในตอนแรกก็ตาลุกวาวทันที แต่เจ้าตัวกลับตัดสินใจไม่ได้สักทีว่าจะสั่งรายการไหนดี อาจเป็นเพราะว่าทุกสิ่งทุกอย่างคงดูน่ากินไปหมดในสายตาของไอติมผู้หิวโหยละมั้งครับ ผมนั่งมองน้องที่กำลังเปิดพลิกหน้ารายการหาอาหารไปมาอยู่พักใหญ่แล้ว แต่ก็ยังเลือกไม่ได้เสียที
“ยังไงเรา ตกลงเลือกได้รึยังว่าจะกินอะไร หื้ม?”
“ผมอยากกินปลาดิบอ่า... พี่วอร์มกินกับผมไหม”
“เอาสิ พี่กินได้ทุกอย่างแหละ สั่งที่เราอยากกินเลย”
“งั้นเอา ปลาดิบรวมหนึ่ง ปลาดิบสไลด์บางหนึ่ง แล้วก็ซูชิแซลม่อนลนไฟไส้ปลาไหลย่างครับ พี่วอร์มสั่งอะไรอีกไหม” ไอติมหันไปสั่งรายการอาหารที่ต้องการกับพนักงานก่อนจะหันกลับมาถามผม ท่าทางจะทั้งหิวและอยากกินปลาดิบมากจริงๆ
“เอาแค่นั้นก่อนครับ ถ้าไม่พอกินค่อยสั่งเพิ่มดีกว่าเนอะ แค่นี้ก็เยอะแยะแล้วเนี่ย ฮ่าๆๆ” ผมบอกกับพนักงานที่ยืนรออยู่แล้วยีหัวคนตรงหน้าเล่นด้วยความหมั่นเขี้ยว ผมชอบเวลาที่ได้เห็นสีหน้าน้องยิ้มอย่างมีความสุขแบบนี้จัง ดวงตากลมใสของน้องเป็นประกายวิบวับสุดๆ ไปเลย
นั่งรอไม่นานอาหารที่สั่งไปก็ถูกยกนำมาวางเสิร์ฟตรงหน้าพวกเรา ปลาดิบที่นี่ดูสดมากจริงๆ ครับ สีสันสวยงามของมันยั่วน้ำลายได้เป็นอย่างดีทีเดียว คนตรงหน้าผมก็นั่งงับตะเกียบเล่นก่อนจะช้อนตาขึ้นมามองผม จะอ้อนเอาอะไรอีกเนี่ย
“กินเลยได้ไหมอ่า...” ไอติมเม้มปากแน่นพร้อมส่งสายตาอ้อนมาที่ผม นี่มันอะไรกันครับ แค่จะขอกินปลาดิบก่อนที่อาหารทุกอย่างจะมาครบนี่ต้องทำขนาดนี้เลยเหรอครับ ใจผมบางหมดแล้ว อยากจะจับน้องมาหอมแก้มฟอดใหญ่เสียตอนนี้เลย
“กะ... กินสิ กินเลย...”
อยู่ๆ ก็เหมือนจะกลายเป็นคนติดอ่างไปเสียอย่างนั้นผมก็เลยต้องทำเป็นคีบแซลม่อนสีส้มสดป้อนน้องแก้เก้อ ยิ่งได้เห็นคนตรงหน้าหลับตาพริ้มเคี้ยวปลาดิบแก้มตุ่ยใจผมก็ยิ่งเต้นรัวหนักกว่าเดิม ก็รู้อยู่แหละครับว่าไอติมเป็นคนน่ารัก แต่ก็ไม่คิดว่าจะน่ารักไม่หยุดไม่หย่อนขนาดนี้ ผมอยากเก็บความน่ารักนี้ไว้ดูคนเดียวจริงๆ ไม่อยากให้ใครได้เห็นได้พบเจอน้องแบบนี้เลย
“อิ่มมาก... พี่วอร์มเรียกเก็บเงินเลยก็ได้นะครับ คนรอคิวนอกร้านเต็มเลยอะ จะนั่งชิลต่อก็เกรงใจคนอื่นเขา” พวกเราใช้เวลาทานอาหารและพูดคุยกันไม่นานมากนักผมก็จัดการชำระเงินตามที่น้องบอก ไม่ใช่ว่าน้องจะให้ผมเลี้ยงตลอดหรอกนะครับ ไอติมเองก็เอ่ยปากจะหารกับผมเหมือนกัน แต่วันนี้ผมตั้งใจพาน้องมาเดทนี่ครับ แค่เลี้ยงแฟนวันเดียวเอง ผมไม่ถือว่าน้องเอาเปรียบหรอกครับ
หลังจากคนที่บอกว่าอิ่มมากเมื่อครู่ก็เดินนำผมไปหยุดอยู่ที่ร้านไอศกรีมก่อนจะจัดการสั่งไอศรีมสตรอเบอร์รี่เพิ่มวิปครีมที่เจ้าตัวชอบพร้อมทั้งไอศกรีมช็อคโคแลตเพิ่มโอริโอ้และบราวนี่ของโปรดผมมาให้โดยคราวนี้น้องยืนกรานว่าจะเป็นฝ่ายเลี้ยงผมบ้าง ผมก็ไม่อยากให้เสียน้ำใจก็เลยยอมให้ไอติมเลี้ยง
“ทำไมของพี่แก้วเล็กอ่ะ ของตัวเองนี่แก้วใหญ่เชียวนะ ไหนเมื่อกี้ใครบ่นอิ่ม”
“พี่วอร์มอะ ไม่ต้องมาแซ็วเลย แก้วเล็กจะได้กินให้หมดก่อนไงครับ เดี๋ยวพี่วอร์มต้องขับรถนี่นา” ไอติมยู่ปากใส่ผมก่อนจะงับวิปครีมฟูฟ่องและไอศกรีมสีชมพูหวานเข้าปากด้วยความฟิน เชื่อแล้วล่ะครับ ว่าน้องชอบทานไอศกรีมมากจริงๆ สุดท้ายแล้วผมก็เดินไปกินไปจนหมดพอทีกับที่เดินออกมาถึงลานจอดรถพอดี
**น้องไอติม** หมดไปอีกหนึ่งวันที่แสนมีความสุขของผม วันนี้พี่วอร์มพาผมออกมาเที่ยวตั้งแต่ช่วงเช้าเลยครับ แถมเมื่อเช้าก็เป็นคนโทรปลุกผมก่อนด้วย ทั้งที่ส่วนมากผมจะเป็นฝ่ายโทรปลุกพี่เขามากกว่า วันนี้เราได้ทำอะไรหลายอย่างเลยครับ เวลาที่ได้อยู่ใกล้ๆ และได้ชีวิตอยู่กับคนที่เรารัก มันช่างเป็นช่วงเวลาแห่งความสุขจริงๆ ครับ
“ยิ้มอะไรหืม?” นี่ผมคิดอะไรเพลินจนลืมตัวเผลอหันไปมองหน้าพี่วอร์มด้วยเหรอเนี่ย ไอติมเอ๊ย ทำตัวน่าอายอีกแล้ว
“ปะ... เปล่าครับ ไม่มีอะไร... อืม... วันนี้รถเยอะจังเลยเนอะ” ผมเสมองออกไปนอกรถแล้วพูดอะไรไปเรื่อยเปื่อยกลบเกลื่อนสายตาล้อเลียนของพี่วอร์มที่มองมา ตอนนี้พวกเราอยู่ที่ลานจอดรถของห้างครับกำลังเตรียมตัวจะกลับหอกันแล้ว
“ไอติม...”
“ครับ?”
“ไอติมอะ จะละลายแล้วนะ” พี่วอร์มเพยิดหน้ามาที่ถ้วยไอติมในมือที่ผมแวะซื้อก่อนจะเดินมาขึ้นรถ แล้วมันก็เริ่มจะละลายเหมือนที่พี่วอร์มบอกจริงๆ
“หง่า... จะละลายแล้วง่ะ! พี่วอร์มช่วยไอกินหน่อย” ผมตักไอศกรีมเข้าปากก่อนจะหันไปเอ่ยชวนคนข้างๆ ที่นั่งมองผมอยู่
“แล้วซื้อทำไมตั้งถ้วยเบ้อเริ่ม... ละลายจนกินไม่ทันแลวเนี่ย”
“ก็ไออยากกินอะ...” ผมตักไอศกรีมป้อนเข้าปากอีกคน ที่ไอศกรีมมันละลายไวเพราะอากาศมันร้อนต่างหาก ไม่ใช่ความผิดผมสักหน่อย พี่วอร์มจะบ่นผมทำไมก็ไม่รู้
“ไอติมเลอะอะ”
“หืม? ตรงไหน...”
“ที่ปาก” ผมแลบลิ้นเลียริมฝีปากตามที่พี่วอร์มบอกตำแหน่งแต่ก็ไม่เห็นมีอะไรเลย
“ไม่เห็นมี... พะ... พี่วอร์ม... จะทำอะ...!?” เหมือนทุกอย่างรอบกายจะพากันหยุดนิ่งไปหมด ตั้งแต่พี่วอร์มโน้มหน้าเข้ามาใกล้แล้วมอบจุมพิตเบาๆ ให้ที่มุมปากของผม นี่พี่วอร์มจูบผมเหรอ
“เลอะตรงนี้ไง... รสสตอเบอรี่ด้วย... ขอชิมอีกหน่อยนะ”
ผมที่กำลังตกอยู่ในสภาพมึนงงอยู่ได้เพียงไม่นานพี่วอร์มก็ก้มลงมาจูบที่ริมฝีปากผมอีกครั้ง แต่คราวนี้ไม่ได้แค่จูบเบาๆ ธรรมดาแล้ว ริมฝีปากอุ่นๆ ของพี่เขากำลังขบเม้มกับริมฝีปากเย็นของผมช้าๆ ก่อนจะบดเบียดสัมผัสร้อนชื้นเข้ามาภายในโพรงปาก ความรู้สึกแปลกใหม่ที่ผมได้รับมันกำลังจะทำให้ผมละลายเหมือนกับไอศกรีมในถ้วยที่ผมถืออยู่เลยครับ
“อืม... ไอติมอร่อยจัง”
“พะ... พี่วอร์ม!!!” ช่วยด้วยครับ ตอนนี้หน้าผมร้อนเหมือนมันกำลังจะระเบิดแล้ว ยังจะมีหน้ามายิ้มอีกดูสิครับคนเรา ฮือ ใจผมเต้นแรงแทบจะหลุดออกมาจากอกแล้วนะ ยิ่งในสถานการ์ณแบบนี้ ถึงฟิล์มกระจกรถมันจะมืดแต่ผมก็กลัวคนอื่นจะมาเห็นเหมือนกันนะ
“เขินพี่เหรอ... จะว่าไป... นี่ก็ไม่ใช่ครั้งแรกที่เราจูบกันสักหน่อย”
“พะ...พี่วอร์มหมายความว่ายังไง...”
“ตอนรับน้องไง... ฐานสุดท้ายอะ ไอติมจำไม่ได้เหรอ”
อยู่ดีๆ พี่วอร์มพูดถึงเรื่องรับน้องขึ้นมา ใช่แล้ว วันนั้นฐานสุดท้ายในห้องเย็นที่ผมโดนกดดันให้จูบกับรุ่นพี่เพื่อแสดงความรักที่มีต่อโต๊ะ แล้วในที่สุดพี่วอร์มก็ออกมาเป็นคนที่ให้ผมจูบ แล้วตอนนั้นก็เป็นผมเองด้วยที่เลือกจะเป็นคนโน้มเข้าไปจูบพี่เขาก่อน ฮือ นึกถึงเรื่องนั้นในเวลานี้ยิ่งอายเข้าไปใหญ่เลย
“จะกินไอติมต่อไหม... ละลายหมดถ้วยแล้วนั่น” เสียงพี่วอร์มที่เอ่ยถามผมขึ้นอีกครั้ง ดึงให้ผมหลุดออกจากภวังค์
“มะ... ไม่กินแล้ว... อิ่มแล้วครับ”
“เสียดายเหลืออีกตั้งเยอะ... แต่ไอติมถ้วยนี้อร่อยดีนะ หวานมากเลยอะ” พูดพร้อมกับส่งสายตากรุ้มกริ่มมาให้ผมอีกครั้งจนผมอดไม่ไหวต้องยกมือฟาดเข้าไปที่ต้นแขนของพี่วอร์ม ใครใช้ให้พูดจาชวนเขินแบบนี้ล่ะครับ
“พี่วอร์ม!!! หยุดเลย! รีบขับรถกลับหอเลย! ไม่ต้องพูดแล้ว...”
.
.
.
.
น่าแปลกที่วันนี้รถไม่ค่อยติดเท่าไหร่ อาจจะเป็นเพราะว่าพวกเราสวนทางกับคนอื่นก็เป็นไปได้ ใช้เวลายังไม่ถึงชั่วโมงดีตอนนี้พี่วอร์มก็ขับมาถึงทางออกของทางด่วนที่มุ่งหน้าไปสู่มหาวิทยาลัยของพวกเราแล้วครับ แล้วจู่ๆ ความรู้สึกปวดจี๊ดก็แล่นเข้ามา เอาแล้วไงเจ้าแซลมอน เจ้ามากูโร่ เหล่าปลาดิบที่ทานไปเมื่อมื้อเย็นออกฤทธิ์แล้วแน่ๆ ทั้งๆ ที่รู้อยู่แล้วว่าถ้ากินเข้าไปจะเป็นแบบนี้ แต่ผมก็กินมันอยู่ดี คนมันอยากกินนี่ครับ ไม่ได้กินตั้งนานแล้วด้วย ถ้าขืนผมบอกพี่วอร์มว่าผมแพ้ปลาดิบต้องอดกินแน่ๆ พี่วอร์มไม่มีทางยอมให้ผมกินเด็ดขาด เพราะฉะนั้นก็ต้องอดทนเอาไว้
ผมขยำเสื้อที่บริเวณหน้าท้องกำมือเอาไว้แน่น หวังว่ามันจะช่วยบรรเทาความปวดได้บ้างแต่มันก็ไม่ดีขึ้นเลยจนผมต้องเริ่มนั่งตะแคงตัว แต่ท่าทางที่ดูบิดไปมาผิดท่านั่งแบบบี้คงทำให้พี่วอร์มผิดสังเกตและเอ่ยถามขึ้นมาจนได้
“ไอติมเป็นอะไรรึเปล่า...”
“เปล่าครับ... แค่ปวดท้องนิดหน่อย...” คำโกหกคำโตหลุดออกไปจากปากผม นิดหน่อยบ้าอะไรเล่า ปวดมาก ปวดจนจะทนไม่ไหวอยู่แล้วเนี่ย ปวดจี๊ดเหมือนมีใครกำลังจับอวัยวะภายในท้องผมมาหมุนแล้วบิดจนเป็นเกรียวยังไงอย่างนั้นเลย ฮือ
“ทนหน่อยนะ เดี๋ยวก็ถึงหอแล้ว” พี่วอร์มเหยียบคันเร่งทันที รถทะยานไปข้างหน้าด้วยความเร็วจนหน้ากลัว ผมอยากจะบอกให้พี่เขาขับช้าๆ ก็ได้ เพราะด้วยความเร็วขนาดนี้มันออกจะอันตรายไปหน่อย แต่ตอนนี้ผมแทบไม่มีแรงแม้จะตอบกลับพี่วอร์มเลยด้วยซ้ำ ครั้งก่อนๆ ที่เคยกินไม่เห็นมันจะปวดขนาดนี้เลยนี่นา
เมื่อพี่วอร์มช่วยประคองผมว่าส่งถึงหน้าห้องแล้ว ผมเลยบอกให้พี่เขากลับไปพักผ่อน เพราะวันนี้ก็ออกพาผมเที่ยวตั้งแต่เช้าแล้วคงจะเหนื่อยไม่น้อยเลย แต่พี่เขากลับยืนกรานที่จะอยู่ดูแลผมจนกว่าผมจะหลับ แต่ปวดท้องขนาดนี้จะหลับลงได้ยังไงกันเนี่ย หรือผมควรจะล้วงคอดี ถ้าปล่อยไว้แบบนี้มันทรมานเกินไป
“ปวดมากเลยเหรอ ดูสิเหงื่อแตกไปหมดแล้วเนี่ย... มียารึเปล่า”
“ไม่มีเลยอ่า... ปวดเหมือนมีใครมาบิดเลย ฮือ...”
“ไปโรงพยาบาลดีกว่าไหมไอ...” ผมรีบส่ายหัวเป็นการปฏิเสธพี่วอร์มทันที ผมไม่อยากลุกไปไหนแล้วจริงๆ อย่างน้อยการที่ได้นอนจดอยู่แล้วนี้มันก็จะปวดน้อยลงบ้าง
“จริงๆ เลยนะ ถ้าอย่างนั้น รอพี่แป๊บนึง เดี๋ยวจะลงไปหาซื้อยาให้ โอเคนะ แต่ถ้าไม่หายต้องไปโรงพยาบาลนะรู้เปล่า” พี่วอร์มที่ซุดตัวลงนั่งอยู่บนเตียงข้างผม ลูบหัวผมเบาๆ พร้อมกับทำเสียงดุ ก่อนจะรีบออกจากห้องไปเพื่อหาซื้อยาตามที่บอก ทำไมผมจะไม่รู้ว่าที่พี่เขาดุก็เพราะเป็นห่วง แต่ผมก็ไม่อยากจะโดนดุไปมากกว่านี้หรอกนะครับ
นึกแล้วก็อดโทษตัวเองไม่ได้ รู้ทั้งรู้ว่ากินไม่ได้ก็ยังจะกิน แต่ปกติทุกครั้งมันก็แค่ท้องเสียไม่ได้รุนแรงอะไรนี่นา แต่ทำไมครั้งนี้ถึงได้ปวดขนาดนี้นะ ผมเดินเข้าออกห้องน้ำอยู่หลายรอบมาก นั่งแช่อยู่ในนั้นก็แล้วแต่ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น อาการปวดก็ยังไม่ได้ทุเลาลงเลยครับ สุดท้ายก็ได้แต่มานอนบิดอยู่บนเตียงเหมือนเดิม ทำไมพี่วอร์มไปนานจัง เมื่อไหร่จะกลับมานะ ระหว่างที่ผมกับลังคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อยอยู่นั้น ความปวดก็แล่นจี๊ดขึ้นมาอีกครั้งพร้อมกับความรู้สึกที่เหมือนกับทุกอย่างภายในและก้อนอะไรบางอย่างกำลังดันย้อนขึ้นมา
อุ... แหวะ... ถึงแม้ผมจะพยายามพุ่งตัวไปที่ห้องน้ำอย่างเร็วที่สุดแล้วแต่มันก็ไม่ทันอยู่ดีครับ แทนที่สิ่งซึ่งเป็นพิษต่อร่างกายและไม่พึงประสงค์นั้นจะถูกปลดปล่อยในโถชักโครกมันกลับกระจายอยู่เต็มพื้นเลย แถมบางส่วนก็ยังเปื้อนอ่างล้างหน้าอีก ฮือ ยังดีที่ไม่เปื้อนเสื้อผ้าที่ใส่อยู่ตอนนี้ไปด้วย
“ไอติม!!! ไหวเปล่าเนี่ย...”
“พี่วอร์ม! อย่าเพิ่งเข้ามา!!! ไม่ต้องเข้ามานะครับ อ้วกเลอะเทอะเต็มพื้นเลยอ่า...”
“ไม่เป็นไรๆ แล้วโอเคขึ้นไหม ไอรีบๆ ออกมากินยาแล้วนอกพักเถอะ” พี่วอร์มยืนลูบหลังผมอยู่หน้าประตูและตบเบาๆ เป็นการปลอบ ผมไม่ได้ร้องไห้หรอกนะครับ แต่มันแสบคอไปหมด น้ำตามันก็เลยไหลออกมาด้วย
พี่วอร์มพาผมกลับไปที่เตียงและให้นั่งพิงหัวเตียงไว้ก่อนเพื่อที่จะได้กินยา ผมเห็นพี่วอร์มค่อยๆ เทยาน้ำสีขาวขุ่นใส่ช้อนแล้วจ่อมาที่ปากผม ให้ตายเถอะ ตั้งแต่ไหนแต่ไรผมก็ไม่ค่อยจะถูกกับยาประเภทน้ำสักเท่าไหร่ แต่คราวนี้คงต้องยอมกินแล้วล่ะครับ กลิ่นหอมมินต์จากของเหลวตรงหน้าช่วยให้ผมคลายกังวลลงไปได้บ้าง รสชาติของมันก็ไม่ได้แย่เท่าไหร่นัก หลังจากที่ผมกินช้อนแรกไป พี่วอร์มก็ยังคงยื่นอีกช้อมมาอย่างต่อเนื่อง ผมเบะปากเล็กน้อยยังไม่ทันที่จะปฏิเสธพี่วอร์มก็รีบพูดดักคอผมขึ้นมาทันที
“กินเร็วๆ เลย สองช้อนเอง กินให้หมดนะ หรือถ้าไม่อยากกิน ไอจะไปโรงพยาบาลแทนก็ได้นะ เดี๋ยวพี่พาไป” สุดท้ายผมก็ยอมจำนนกินไปสองช้อนเต็มๆ แล้วรีบดื่มน้ำตามทันทีถึงรสชาติมันจะไม่ได้แย่ แต่ยามันก็คือยาอยู่ดีนั่นแหละครับ พอผมล้มตัวลงนอนพี่วอร์มก็เดินกลับไปที่หน้าห้องน้ำ ถึงผมอยากจะพุ่งตัวไปห้ามมากแค่ไหน แต่ก็ทำได้เพียงส่งเสียงไปถาม
“พี่วอร์มจะทำอะไรอ่า...”
“เรานอนไปเถอะ เดี๋ยวพี่จัดการเอง
“แต่ว่า... มันสกปรกอะ ทิ้งไว้แบบนั้นก็ได้ครับ เดี๋ยวไอตื่นมาทำเอง”
“เล็กน้อยน่า เรื่องแค่นี้เอง ถ้าพี่จัดการไมได้แล้วพี่จะดูแลไอได้ยังไง หื้ม? รีบๆ นอนพักไปเลย ถ้าไม่ยอมนอนพี่จะพาไปโรงพยาบาลจริงๆ แล้วนะ” พี่วอร์มหันมาพูดขู่ผมพร้อมชี้นิ้วมาเป็นการคาดโทษ ผมเองก็ไม่ใช่คนดื้อด้านอะไรขนาดนั้นเพียงแต่ว่าเกรงใจพี่เขามากกว่า วันนี้เหนื่อยขับรถพาผมไปเที่ยวเล่นมาทั้งวันแล้วยังต้องมาทำอะไรแบบนี้อีก รู้สึกผิดชะมัดเลยครับ ถ้าผมไม่ฝืนกินปลาดิบเข้าไปเหตุการณ์ก็คงไม่กลายมาเป็นแบบนี้
หลังจากที่พี่วอร์มปิดประตูห้องน้ำผมก็ได้ยินเสียงน้ำจากฝักบัวไหลลงกระทบกับพื้นกระเบื้องตอนนี้พี่วอร์มคงกำลังปล่อยให้สายน้ำช่วยชำระสิ่งไม่พึงประสงค์ที่ขับออกมาจากร่างกายของผม นอนฟังเสียงน้ำไปเรื่อยๆ แบบนี้ก็รู้สึกง่วงขึ้นมาเสียเฉยๆ วันนี้ผมรู้สึกขอบคุณพี่วอร์มมากจริงๆ พี่เขาดีกับผมมาก ทั้งคอยตามใจ คอยดูแลเอาใจใส่ทุกอย่าง ถึงวันนี้ร่างกายผมจะป่วยแต่ก็เป็นอีกหนึ่งวันที่ผมก็มีความสุขและอิ่มเอมใจมากๆ เลยครับ
.
.
.
To be Continue...TALK:;
แถวนี้มดเยอะมากเลยเนอะ
ช่วงนี้ก็หวานๆ อ่านสบายๆ เรื่อยๆกันไปก่อนนะคะ
แต่รับรองว่าตอนต่อๆ ไปเข้มข้นแน่นอน ฝากติดตามด้วยนะคะ
พูดคุยติชมในทวิต #หัวใจอุ่นไอรัก ได้เลยนะคะ