❤️ (✘) ไร้รัก ✢ Lovelessly
ตอนที่ 15 ✢ เดือดศึกสายเลือด [/center]
แสงสว่างจากข้างนอกที่ลอดเข้ามาในห้องทำให้ผมลืมตาตื่นงัวเงีย พอปรับสายตาได้ก็หันไปมองคนที่นอนข้างๆ กะว่าจะกอดคลอเคลียและหอมแก้มใสให้ชื่นใจเสียหน่อย กลับต้องตกใจสะดุ้งลุกขึ้นนั่ง เมื่อพบว่าคนที่ควรจะนอนอยู่ข้างๆ หายไปเสียแล้ว
"นัท"
ผมเรียกชื่อนัทแล้วก็สลัดผ้าห่มออกจากตัว ถลาลงจากเตียงแล้วก็วิ่งโทงๆ ด้วยชุดชั้นในตัวเดียวไปดูในห้องน้ำ แต่นัทก็ไม่อยู่ในนั้น ผมหยิบผ้าเช็ดตัวมาพันกายอย่างเร็วๆ แล้วเปิดประตูออกไปข้างนอก ลมหนาวเย็นยะเยือกกระทบผิวกายจนแทบสั่นสะท้าน แต่ผมไม่สนใจความหนาวนั้นเลย
กวาดตามองแล้วก็เห็นนัทยืนกอดอกอยู่เยื้องๆ ระเบียงบ้านที่เราพัก มองดูดวงอาทิตย์สีขาวขมุกขมัวเพราะหมอกลงหนาจัดอย่างสบายอารมณ์ นัทใส่กางเกงผ้ายืดและเสื้อกล้ามสีขาว มีผ้าขนหนูพันคอไว้กันหนาว แต่ก็ไม่รู้ว่าช่วยได้มากแค่ไหน
"นัท"
ผมร้องเรียก ไม่กล้าวิ่งลงไปหาเพราะแต่งตัวไม่สุภาพ
"อ้าวพี่แฟรงค์ ตื่นแล้วเหรอ" นัทหันมามองแล้วก็ยิ้มให้ผม
"นัทขึ้นมาหาพี่หน่อย"
นัทขมวดคิ้วมองผมอย่างสงสัย แต่ก็เดินขึ้นมาหาโดยดี พอนัทมาถึงตัวผมก็ตรงเข้ากอดนัทไว้ราวกับกลัวว่าจะหายไปไหน
"พี่ตกใจหมดเลย นึกว่านัทหายไปไหนซะแล้ว"
นัทกอดผมตอบเบาๆ อย่างงงๆ คงไม่เข้าใจว่าทำไมผมถึงหน้าตาตื่นขนาดนี้
"พี่แฟรงค์เป็นอะไรหรือเปล่า"
ผมปล่อยนัทออกจากอ้อมกอด ก่อนจูงมือนัทเข้ามาในห้องเพราะไม่อยากให้ใครเห็น พอนัทถอดรองเท้าออก ผมก็ช้อนตัวนัทขึ้นมาอุ้มทันที เดินไปที่เตียงแล้วก็วางนัทลงเบาๆ ผมดึงผ้าขนหนูตัวเองออกวางไว้ที่ปลายเตียง ก่อนจะขึ้นไปนอนเคียงข้างและดึงผ้าห่มมาคลุมกายไว้
"พี่แฟรงค์เป็นอะไร" นัทยังคงมองผมอย่างงงๆ
"พี่อยากตื่นขึ้นมาแล้วเจอนัทไง นัทจำได้มั้ย...วันนั้นที่พี่ตื่นมาแล้วไม่เจอนัท พี่ใจหายหมดเลย แล้ววันนั้นนัทก็มายื่นจดหมายลาออกกับพี่ แล้วเราสองคนก็ไม่ค่อยได้คุยกันอีก พี่ไม่อยากให้เป็นอย่างงี้อีกแล้ว นัทเข้าใจพี่ใช่มั้ย"
ผมไม่รู้ว่านัทเข้าใจความรู้สึกนี้ของผมมากแค่ไหน แต่รอยยิ้มของนัทคงพอจะบอกได้ว่านัทคงจะเข้าใจบ้าง ผมโน้มตัวไปหอมแก้มนัททั้งข้างซ้ายและขวา เจ้าตัวก็เลยเปลี่ยนจากงงเป็นเขินแทน
"นัทจำไว้นะ พี่จะทำทุกอย่าง...เพื่อที่วันนึงตื่นขึ้นมาแล้วจะได้เจอนัทนอนอยู่ข้างๆ พี่ทุกๆ เช้า วันนั้นจะเป็นวันที่พี่มีความสุขมากที่สุดในชีวิต"
นัทยิ้ม สักพักก็ทำหน้ารู้สึกผิด "นัทขอโทษด้วยนะที่ทำให้พี่แฟรงค์ตกใจ ต่อไป...นัทจะไม่ทำอย่างงี้อีก"
ผมปัดเกลี่ยผมที่ปรกหน้านัทออกอย่างเบามือ ก่อนจะก้มลงไปจุมพิตที่ริมฝีปากชมพูเรื่อเบาๆ
"พี่รักนัทนะ อีกไม่นาน...เราสองคนจะตื่นขึ้นมาเจอกันแบบนี้ทุกๆ วัน แค่คิดก็มีความสุขแล้ว"
นัทโอบรอบคอผมไว้เบาๆ รอยยิ้มบางๆ นั้นช่างน่ารักในสายตาของผมเหลือเกิน ไม่รู้ว่านัทรู้สึกยังไงบ้างที่อยู่ดีๆ ก็ได้เปลี่ยนชีวิตเป็นฝ่ายรับ น่าขำที่เราสองคนแทบไม่ได้ตั้งตัวกันเลย ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วปานสายฟ้าแลบ
"ไปกินข้าวเช้ากัน จะได้กลับถึงกรุงเทพไวๆ"
นัทพยักหน้า ผมปล่อยนัทเป็นอิสระแล้วก็ลุกขึ้นนั่ง ก่อนจะลงจากเตียงไปจัดการธุระส่วนตัวของตัวเอง ส่วนนัทก็นั่งๆ นอนๆ รอบนเตียงเพราะเสร็จธุระก่อนผมตั้งนานแล้ว
.
.
ระหว่างนั่งกินข้าวเช้าด้วยกันกับนัทที่ห้องอาหารของรีสอร์ท เฟิร์นก็ส่งไลน์มาหาผม
"พี่แฟรงค์ห้ามใจอ่อนนะ อย่าให้พ่อบังคับพี่อีก เฟิร์นจะเอาใจช่วย"ผมอ่านไลน์ที่น้องสาวส่งมาให้แล้วก็ยิ้ม ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไรเฟิร์นถึงไม่ค่อยชอบเพียว ยิ่งรู้ว่าที่บ้านของเพียวยืมเงินไปเกือบล้านแล้วไม่คืนก็ยิ่งไม่ชอบใหญ่ แอบยุให้ผมทวงเงินคืนอยู่บ่อยๆ แต่ผมก็ไม่ได้ทำตามที่น้องสาวบอกหรอก
ผมส่งสติ๊กเกอร์โอเคให้เฟิร์นแล้วก็กินข้าวต่อ พอนึกอะไรบางอย่างได้ก็ถามนัท "นัทต้องไปฉีดยาก่อนใช่มั้ย"
นัทพยักหน้า "ใช่ เข็มสุดท้ายแล้ว"
"พี่เกือบลืมเลย กินข้าวเสร็จแล้วเดี๋ยวเราไปโรงบาลกันเลยนะ อ้อ เมื่อคืน...พี่ทำให้นัทเจ็บแผลกว่าเดิมหรือเปล่า" ผมถามยิ้มๆ
นัทขำเบาๆ แล้วก็เสมองไปทางอื่น "สงสัยจะได้ยาดี ไม่เห็นเหรอว่านัทเดินเองได้แล้ว"
ผมคงจะขำก๊ากดังๆ ไปแล้วถ้าไม่ติดว่าอยู่ในที่สาธารณะ แต่กระนั้น ผมก็แทบสำลักข้าวที่กำลังกินอยู่เลยทีเดียว นี่ผมกำลังจะทำให้น้องของผมแก่แดดแก่ลมเรื่องพวกนี้มากขึ้นทุกวันๆ หรือเปล่า
... ... ...
มาถึงกรุงเทพแล้วผมก็แวะส่งนัทที่รีสอร์ทก่อน จากนั้นจึงขับรถกลับบ้าน มาถึงก็ราวๆ หกโมงเย็น ว่าจะไปหาปู่ที่เพิ่งออกจากโรงพยาบาลเสียหน่อย แค่ก้าวขาแรกแม่ก็เดินรี่มาบอกให้ผมขึ้นไปคุยกับพ่อข้างบนเพราะพ่อกำลังรออยู่ สีหน้าของแม่ดูกังวลมาก พ่อคงจะจัดการผมภายในเย็นนี้แน่ แม้จะกล้าๆ กลัวๆ ผมก็ขึ้นมาหาพ่อตามที่แม่บอกแต่โดยดี
พ่อยืนเอามือไพล่หลังรออยู่ในห้องที่พ่อเอาไว้ทำงานที่บ้าน พอผมเข้ามาในห้อง พ่อก็พูดขึ้นโดยที่ไม่หันมามองด้วยซ้ำ
"รู้ตัวหรือเปล่าว่าแกกำลังทำอะไรอยู่"
น้ำเสียงแห่งอำนาจนั้นทำให้ผมหยุดยืนกับที่ หันไปมองข้างหลังก็เห็นแม่แอบมายืนด้อมๆ มองๆ อยู่หน้าประตู คอยฟังว่าผมกับพ่อจะคุยอะไรกัน เท่านี้ผมก็รู้แล้วว่าเป็นเรื่องใหญ่
"รู้ครับ" ผมตอบพ่อไปสั้นๆ
"แล้วแกจะเอายังไง!" พ่อหันมาถามเสียงดังจนผมสะดุ้งตกใจ แต่ก็พยายามทำใจดีสู้เสือไว้
ผมมองหน้าเครียดเขม็งของพ่อแล้วก็ถอนหายใจ ก่อนยืนยันด้วยน้ำเสียงหนักแน่น "ผมจะไม่แต่งงานกับเพียวครับ!"
"นี่แกจะบ้าไปแล้วเหรอแฟรงค์!"
พ่อย่างเท้ามายืนตรงหน้าผม สายตาดุและมีอำนาจทำให้ผมเกรงกลัวจนต้องหลบตา
"แกอายุเท่าไหร่แล้ว หมั้นกันแล้ว เตรียมทุกอย่างไว้พร้อมแล้ว อยู่ดีๆ แกจะมาล้มงานแต่งงานได้ยังไง พ่อไม่อนุญาต!"
"ผมไม่ได้รักเพียวครับพ่อ" ผมเถียงออกไปบ้าง ยิ่งทำให้พ่อโกรธเข้าไปใหญ่
"แกว่าไงนะ! ถ้าแกไม่ได้รักหนูเพียวแล้วแกรักใคร อย่าบอกนะว่า"
"ใช่ครับ ผมรักนัท ผมรักนัทมาตั้งนานแล้ว พ่อก็รู้ดีไม่ใช่เหรอครับ!"
ผมพูดเสียงดังใส่พ่อ ดูท่านตกใจมากจนมือไม้สั่น แต่ก็พยายามควบคุมโทสะไว้
"แกเป็นบ้าไปแล้วเหรอแฟรงค์! แกกับนัทจะรักกันได้ยังไง!"
"ความจริงพ่อไม่น่าจะถามผมนะครับว่าผมรักนัทได้ยังไง พ่อรู้ทุกอย่างหมดแล้วนี่ครับ ผมขอบคุณพ่อมาก...ที่คิดจะตัดไฟแต่ต้นลม อุตส่าห์แยกผมจากนัทมาตั้งแต่เด็กๆ ไม่ยอมให้ผมกลับไปเจอนัทอีก แต่พ่อรู้มั้ยครับ...มันสายเกินไปแล้ว ถึงพ่อจะแยกผมจากนัท ผมก็ไม่เคยลืมน้อง เค้าอยู่ในใจผมมาตลอด พ่อรู้มั้ยว่าทำไมผมไม่ยอมมีแฟน เพราะผมไม่เจอคนแบบนัทไงครับ ผมรอใครซักคนที่เหมือนนัท ผมมีความสุขที่ได้อยู่กับเค้า จนกระทั่งผมเจอเพียว พ่อรู้มั้ยครับว่าทำไมผมถึงจีบเพียว เพราะเพียวเค้าชอบกินไอศครีมเหมือนนัทไงครับ ถ้าไม่ใช่เพราะเพียวมีอะไรบางอย่างเหมือนนัท ผมก็คงไม่จีบเขาหรอก!"
"นี่แกพูดเพ้อเจ้ออะไรของแกน่ะแฟรงค์!"
"ผมพูดความจริงนะครับพ่อ!" ผมเสียงดังขึ้นอีกครั้งจนพ่อชะงัก
"ผมเข้าใจความหวังดีของพ่อกับแม่ แต่พ่อแยกผมจากนัทตอนที่มันสายไปแล้ว มันไม่ทันแล้ว ผมรู้ว่าพ่อกับแม่เจ็บปวดที่เห็นผมเป็นอย่างนี้ พยายามช่วยผมทุกอย่างให้ผมเป็นอย่างที่พ่อกับแม่อยากให้เป็น ผมก็พยายามทำตัวเองให้เป็นอย่างที่พ่อกับแม่ต้องการมาตลอด แต่พ่อรู้มั้ยครับ...มันไม่ใช่ผม ไม่ใช่ตัวจริงของผม ถึงพ่อจะรังเกียจสิ่งที่ผมเป็น ผมก็หนีมันไม่ได้ ถ้าความพยายามทั้งหมดของพ่อกับแม่จะทำให้ผมไม่เป็นอย่างที่พ่อกับแม่กลัว มันก็คงหายไปจากชีวิตผมตั้งนานแล้ว แต่มันก็ไม่เคยหายไปเลย ไม่ว่าพ่อกับแม่จะรับได้หรือไม่ได้ ผมก็เป็นอย่างนี้ ผมเป็นอย่างนี้มาตั้งนานแล้วนะครับพ่อ!"
ผมขึ้นเสียงดังตอนท้าย เสียงสั่นจนแทบควบคุมไม่ได้ รู้สึกสะเทือนใจจนน้ำตาค่อยๆ ไหลลงมา
"แกหยุดพูดเพ้อเจ้อได้แล้วนะแฟรงค์!"
เพี๊ยะ!!!
คำพูดประโยคนี้ของพ่อมาพร้อมกับฝ่ามือที่ฟาดลงบนใบหน้าผมด้วย แต่ผมก็ไม่รู้สึกเจ็บหรอก แค่ชาๆ เท่านั้น พอเอามือลูบๆ แล้วอาการชาก็ค่อยๆ หายไปเองในที่สุด
บรรยากาศในห้องเงียบลงทันใด แววตาของพ่อสลดลงเล็กน้อย ลึกๆ ก็คงรู้สึกผิดเหมือนกันที่ทำรุนแรงกับลูกชายหัวแก้วหัวแหวนถึงเพียงนี้
"พ่อยังรักผมอยู่หรือเปล่าครับ ถ้าผมไม่เป็นอย่างที่พ่ออยากให้เป็น พ่อจะยังรักลูกชายของพ่อคนนี้อยู่หรือเปล่า พ่อรักผมเพราะอะไรกันแน่ครับ ไม่ใช่ว่าผมไม่พยายามเป็นอย่างที่พ่อกับแม่คาดหวัง ผมพยายามแล้ว ผมทำทุกอย่างแล้ว ผมเชื่อฟังพ่อกับแม่ทุกอย่าง บอกให้หันซ้ายก็หัน บอกให้หันขวาก็หัน จนบางที ผมยังไม่รู้เลยว่าชีวิตของผม...เคยเป็นของผมจริงๆ หรือเปล่า ผมรู้สึกมาตลอดว่า...ผมหายใจอยู่ได้ด้วยลมหายใจของพ่อกับแม่ ไม่ใช่ลมหายใจของผมเอง!"
"แฟรงค์!"
พ่อเรียกชื่อผมเสียงดังแล้วก็หันหน้าหนี ท่าทีที่โกรธเกรี้ยวดูเหมือนลดลงไปบ้าง พอสงบสติอารมณ์ได้หน่อยพ่อจึงพูดต่อ
"ถ้าพ่อไม่รักแก...พ่อไม่ทำอย่างนี้หรอก" เสียงของพ่อดูอ่อนลงมาก แต่ก็ยังคงวางใจไม่ได้อยู่ดี
"พ่อไม่เคยรังเกียจนัทก็จริง แต่พ่อ...คงยอมไม่ได้ที่จะให้แกกับนัทรักกัน มันเป็นไปไม่ได้นะแฟรงค์ ผู้ชายกับผู้ชายจะรักกันได้ยังไง ใครรู้เข้า...เค้าจะพูดกันยังไง แฟรงค์เป็นภาพลักษณ์ของธุรกิจรีสอร์ทของเรา แฟรงค์เป็นอย่างนั้นไม่ได้ อีกอย่าง...แกเป็นลูกชายคนเดียวของพ่อ เป็นคนสืบตระกูลของครอบครัวเรา พ่อยอมไม่ได้เด็ดขาด!"
พ่อขึ้นเสียงดังอีกแล้ว แปลว่าพ่อไม่เคยเข้าใจทั้งหมดที่ผมพยายามอธิบายเลย
"แต่ผม...ก็จะไม่ยอมให้พ่อพรากนัทไปจากผมเหมือนกัน!" ผมบอกเสียงดังและหนักแน่น
พ่อหันขวับมามองผมอย่างตกใจ
"พ่อรู้มั้ย...ว่าผมเจ็บปวดมากแค่ไหน ผมกับนัทผูกพันกันมาก พ่อก็คงรู้ดี นัทเค้ารอพี่ชายคนนี้อยู่ เค้ารอผมอยู่ทุกวัน แต่ผมก็ใจดำกับน้อง...ไม่เคยไปหาเค้าเลย พ่อรู้มั้ยว่าผมคิดถึงนัทมากแค่ไหน มันเป็นแผลในใจของผมอยู่จนทุกวันนี้ ผมรู้สึกผิดมากที่ทอดทิ้งน้องไป ทำไมล่ะครับ ทำไมพ่อถึงต้องให้ผมใจดำกับนัทมากถึงขนาดนั้น พ่อเห็นหรือเปล่า หลังจากที่เราแยกกัน ชีวิตผมก็ไม่เหมือนเดิมเลย ความเจ็บปวดที่ต้องพรากจากคนที่ผมรัก มันทำให้ผมเป็นอย่างนี้ไงครับ เป็นอย่างที่พ่อไม่อยากให้ผมเป็น!"
พ่อผมอ้าปากค้าง คงไม่คาดคิดว่าความหวังดีในครั้งนั้นจะให้ผลตรงกันข้าม
"ถึงพ่อจะจับเราแยกกันอีกกี่ครั้ง หรือจะฆ่าผมให้ตาย นัทก็อยู่ในใจผม ผมรักเค้าคนเดียว พ่อเข้าใจผมหรือเปล่า!"
ผมสะอื้นไห้อย่างสุดกลั้น แม่คงทนดูไม่ไหว รีบเข้ามากอดผมไว้ก่อนที่ผมกับพ่อจะปะทะคารมกันอีก ผมกอดแม่แน่น ร้องไห้กับอกแม่ที่เป็นที่พึ่งสุดท้ายในเวลานี้
"แม่"
"แฟรงค์ลูกแม่" แม่ร้องไห้อย่างสะเทือนใจ "พ่อ! หยุดเถอะ! พอได้แล้ว! แม่สงสารลูก ทำไมเราต้องบังคับลูกมากขนาดนี้ล่ะพ่อ!"
ปกติแม่ผมกลัวพ่อมาก แม่มักถูกพ่อบังคับให้ทำในสิ่งที่ไม่อยากทำบ่อย แต่คราวนี้แม่ยอมทิ้งความกลัวเพื่อปกป้องลูกของแม่
"แม่ก็หยุดตามใจลูกมันได้แล้ว ที่มันเป็นอย่างนี้ ก็เพราะแม่มันคอยให้ท้ายมันอยู่เรื่อยไม่ใช่เหรอ!"
พ่อผมตวาดใส่แม่เสียงดัง แม่ถึงกับอ้าปากค้างอย่างคาดไม่ถึง
"แฟรงค์...อย่าเพิ่งคุยกับพ่อตอนนี้เลยลูก แฟรงค์ขึ้นไปอาบน้ำก่อน พักผ่อนให้หายเหนื่อย เพิ่งกลับมาไม่ใช่เหรอลูก"
แม่ไม่เถียงกับพ่อผมแล้ว พยายามรุนหลังให้ผมออกไปจากห้อง ผมก็เห็นด้วยว่าควรหยุดปะทะคารมกับพ่อก่อน แต่ก่อนที่ผมจะเดินพ้นจากห้องไป พ่อก็พูดตามหลังมา
"ยังไงๆ แกก็ต้องแต่งงานกับหนูเพียว แกกับเค้าตัดสินใจด้วยกันไม่ใช่เหรอว่าจะแต่งงานกัน เพราะฉะนั้น...ถ้าจะเลิกกัน หนูเพียวก็ต้องเห็นดีด้วย แต่ทางนั้นเค้าไม่กล้ายกเลิกงานแต่งงานแน่ แกรู้ใช่มั้ยว่าทำไมเค้าถึงไม่กล้า"
ผมกับแม่หันขวับไปมองพ่อพร้อมกัน ไม่อยากเชื่อเลยว่าพ่อจะใช้ไม้นี้บังคับทางนั้น คงไม่ได้การแล้ว ผมต้องทำอะไรสักอย่างก่อนที่จะช้าเกินไป
"เดี๋ยวผมมานะครับแม่"
ผมบอกแม่แล้วก็รีบวิ่งผลุนลงบันไดไปอย่างร้อนรน
"แฟรงค์ แกจะไปไหน!"
เสียงพ่อเรียกตามหลังมา แต่ผมก็ไม่หันหลังกลับ วิ่งออกมาที่โรงรถ ปลดล็อกประตูรถแล้วก็เข้าไปนั่งข้างใน สตาร์ทรถด้วยมือไม้สั่นเทา แต่ในที่สุดผมก็สามารถขับออกไปจนได้
พอออกมาจากบ้านได้แล้วผมก็กดโทรศัพท์หาเพียวทันที รอไม่นานนักเธอก็รับสาย
"ตอนนี้เพียวอยู่ที่ไหน อยู่ที่บ้านหรือเปล่า" ผมถามอย่างร้อนรน
"ค่ะ เพียวอยู่ที่บ้านค่ะ พี่แฟรงค์มีอะไรเหรอคะ" เสียงปลายสายที่พูดตอบกลับมาฟังดูเย็นชาจนรู้สึกได้
"งั้นเพียวรอพี่อยู่ที่บ้านก่อน พี่จะไปหาเดี๋ยวนี้"
ผมตัดสัญญาณแล้ววางโทรศัพท์ไป จากนั้นก็บึ่งรถมุ่งหน้าไปบ้านเพียวอย่างเร่งรีบ เพื่อนร่วมทางคงนึกสงสัยว่าผมจะรีบไปไหน แต่ยังไงๆ ผมก็ระวังเป็นอย่างดี ตั้งแต่ขับรถมาก็ไม่เคยเกิดอุบัติเหตุเลย
เกือบสองทุ่มแล้ว ผมยังไม่มีแม้แต่น้ำหยดเดียวตกถึงท้องเลย แต่นั่นไม่ใช่ปัญหาใหญ่หรอก ระหว่างรอไฟแดงก่อนถึงซอยบ้านเพียว ผมหยิบโทรศัพท์มาแล้วก็ส่งไลน์หานัท
"เดี๋ยวพี่เข้าไปหานัทประมาณสี่ทุ่มนะ คืนนี้พี่ขอนอนด้วยคน นอนบ้านไม่ได้แล้ว"พอถึงบ้านเพียวแล้วผมก็ไม่ลืมที่จะเข้าไปสวัสดีพ่อกับแม่ของเธอก่อน จากนั้นจึงขอตัวออกมาคุยกันตรงโต๊ะกลางสนามหน้าบ้าน เพียวดูมึนตึงกับผมไปมาก พอนั่งลงแล้วเธอก็เมินหน้าหนี เหมือนไม่อยากสบตากับผมเท่าไหร่
"ที่เพียวบอกพี่ว่าขอเวลาคิดสามสี่วัน...แล้วจะบอกข่าวดี ตอนนี้...เพียวพร้อมจะบอกข่าวดีกับพี่หรือยัง"
ผมเข้าเรื่องทันทีโดยไม่รีรอ เพียวแวบหันมามองแล้วก็หันหน้าหนีตามเดิม
"ไม่มีข่าวดีหรอกค่ะ เพียวเสียใจด้วย"
"หมายความว่ายังไงเหรอเพียว" ผมถามอย่างแปลกใจ
"ก็หมายความว่า...ยังไงเราสองคนก็ต้องแต่งงานกันไงคะ" แล้วเพียวก็หันขวับมามองผม
"พี่แฟรงค์คะ ถือว่าเพียวขอละกันนะคะ เราแต่งงานกันไปก่อนได้มั้ย แล้วค่อยหย่ากันทีหลังก็ได้ อย่าทำให้มันวุ่นวายนักเลยค่ะ เพียวจะไม่ไหวแล้วนะคะ"
เสียงสั่นเครือของเธอบ่งบอกว่าน้ำตากำลังจะตามมาอีกไม่ช้า แต่เพียวก็พยายามรวบรวมสติแล้วพูดต่อ
"ลองมาเป็นเพียวดูบ้างมั้ย ลองคิดสิคะ คนรักกันอยู่ดีๆ จะแต่งงานกันอยู่แล้ว จู่ๆ ก็มาบอกว่า...ไม่ใช่คนที่อยากแต่งงานด้วย ไม่ใช่คนที่ตามหา หัวใจไม่ได้อยู่ที่นี่ อยู่ที่คนอื่นมาตั้งนานแล้ว ที่มันน่าเจ็บปวดกว่านั้น ทั้งๆ ที่เราสองคนยังไม่ได้ตกลงเลยว่าจะไม่แต่งงานกัน พี่แฟรงค์กับนัทสองคน...ก็ทำอะไรๆ กันเหมือนไม่เห็นหัวเพียวเลย อย่าคิดว่าเพียวไม่รู้นะว่าทำอะไรกัน เกรงอกเกรงใจกันบ้างสิคะ เราสองคนยังเป็นคู่หมั้นกันอยู่ ทำไมถึงทำเหมือนเพียวเป็นหัวหลักหัวตอ!"
"เพียว" เรียกชื่อเธอแล้วผมก็ถึงกับพูดต่อไม่ออก
"ไม่ต้องคุยกันเรื่องนี้อีกแล้วนะคะ เหลืออีกไม่กี่วันก็จะแต่งงานกันแล้ว ก็แต่งๆ มันไปเถอะ รักไม่รักก็แต่งๆ กันไป ไม่ตายหรอก แต่งกันได้ก็เลิกกันได้ ไม่เห็นจะมีปัญหาอะไรเลย ทำไมต้องทำให้มันยุ่งยากขนาดนี้ จะเอาอะไรกับเพียวนักหนาเหรอคะ ไหนจะพี่แฟรงค์ ไหนจะพ่อแม่อีกล่ะ ไม่รู้ว่าเป็นอะไรกัน จะทำร้ายเพียวกันไปถึงไหน!"
เพียวระบายความรู้สึกออกมาอย่างเหลืออด ในที่สุดเธอก็ห้ามน้ำตาไม่ได้ ยอมปล่อยให้มันรินไหลลงมาอย่างอิสระ
ผมนั่งฟังอย่างตกตะลึง พอทบทวนจากสิ่งที่พ่อผมพูดเมื่อหัวค่ำ ผมก็พอจะเดาได้ว่าเพียวคงถูกกดดันจากหลายฝ่าย เจอศึกหลายด้านพร้อมกัน ผู้หญิงคนเดียวอย่างเธอก็อาจจะทนไม่ไหว
"เรื่องเงินหรือเปล่าเพียว ถ้าเป็นเรื่องนั้น...พี่คิดว่าพี่ช่วยได้"
"พอเถอะค่ะ!" แล้วเพียวก็ลุกขึ้นยืน ทำท่าเหมือนจะเดินหนีไป
"หยุดพูดเรื่องเงินกันซะทีเถอะค่ะ เพียวไม่อยากได้อะไรทั้งนั้น เอาเป็นว่า..ไม่ต้องคุยอะไรกันอีกแล้ว แต่งๆ กันไปให้มันจบๆ ซะที!"
พูดจบแล้วเพียวก็เดินหนีเข้าบ้านไปอย่างรำคาญใจ ผมมองตามแล้วก็ครุ่นคิด ถ้าแต่งงานแล้วเลิกกันจริง ผมก็อาจจะยอมๆ ให้เป็นอย่างนั้นได้ แต่ผมไม่คิดว่ามันจะง่ายอย่างนั้นหรอก ตรงกันข้าม มันจะมีแต่ความยุ่งยากมากขึ้นไปอีก เผลอๆ ผมก็อาจจะถูกผูกมัดในฐานะพ่อของลูกจนถอนตัวออกมาไม่ได้ ยังไงๆ ผมก็จะไม่มีวันยอมให้งานแต่งงานเกิดขึ้นอย่างเด็ดขาด
... ... ...
ผมขับรถมาถึงรีสอร์ทอย่างอ่อนล้า พอจอดรถแล้วก็เดินไปที่เรือนพักของนัท ช่วงนี้รีสอร์ทปิดไฟมืดเพราะไม่มีแขกมาพักแล้ว แต่ก็ยังพอมีไฟเปิดไว้ตามทางเดินบ้างประปราย ไม่มีพนักงานกะกลางคืนอยู่เลยเพราะไม่มีแขกให้ดูแล ทั้งรีสอร์ทจึงเหลือแค่นัทคนเดียว
ผมมาถึงหน้าห้องนัทแล้วก็เคาะประตู ไม่นานนักประตูก็เปิดออกพร้อมรอยยิ้มของใครบางคน นัทอยู่ในชุดเตรียมจะนอนแล้ว มีเสียงทีวีด้วย แสดงว่านัทคงนั่งดูทีวีรอผมอยู่
"เดี๋ยวคืนนี้นัทจะดูแลพี่แฟรงค์เองนะ พี่แฟรงค์เหนื่อยมั้ย"
ผมไม่ตอบคำถามของนัท พอเดินเข้าไปในห้องและปิดประตูแล้ว ผมก็กอดนัทไว้ทั้งตัว ถอนหายใจอย่างเหนื่อยล้า
"ก็ดีเหมือนกันนะ พี่เหนื่อยใจมากเลยตอนนี้ อยากพักให้สบายใจกับน้องของพี่ แต่พี่ไม่ท้อนะ ยังไงๆ พี่ก็จะสู้ต่อไป...เพื่อนัท"
ผมดันไหล่นัทออกแล้วมองหน้า นัทยังคงยิ้มละไมอยู่
"ก่อนพี่แฟรงค์มา นัทโทรคุยกับแม่ แม่บอกนัทว่า...ให้นัทถามพี่แฟรงค์ว่าพี่แฟรงค์ชอบกินอะไร พี่แฟรงค์รู้ว่านัทชอบกินไอติม แต่นัท...ไม่เคยถามพี่แฟรงค์เลยว่าชอบกินอะไร พี่แฟรงค์ชอบกินอะไรเหรอ วันหลังนัทจะไปหาซื้อมาให้ นัทอยากดูแลพี่แฟรงค์มั่ง"
ผมยิ้มอย่างเอ็นดู ลูบผมนัทเบาๆ
"นัทซื้ออะไรมาให้พี่ พี่ก็กินหมดแหละ"
"ไม่มีของที่ชอบกินเป็นพิเศษมั่งเลยเหรอ"
ผมทำท่านึก "อืม...ชอบกินแกงเขียวหวานมั้ง จริงๆ ก็กินได้เกือบหมดทุกอย่างแหละ"
"จริงเหรอ" นัททำเสียงตื่นเต้น "แสดงว่านัทเดาถูก นัทซื้อแกงเขียวหวานแล้วก็ไข่พะโล้มาให้พี่แฟรงค์ด้วย พี่แฟรงค์ยังไม่ได้กินข้าวใช่มั้ย เดี๋ยวนัทจัดให้นะ พี่แฟรงค์ไปอาบน้ำให้สบายตัวก่อน นัทจัดชุดนอนไว้ให้พี่แฟรงค์ด้วย"
"น่ารักจังน้องพี่" ผมบอกแล้วก็กอดนัทไว้เบาๆ อย่างรักใคร่อีกครั้ง สักพักก็ปล่อยออกเหมือนเดิม "พี่ขอกินข้าวก่อนได้มั้ย พี่หิวมากเลย"
"ได้ๆๆ งั้นพี่แฟรงค์นั่งรอก่อนนะ นัทจะตักข้าวแล้วก็แกะกับข้าวให้ ไม่ต้องช่วยนัทนะ เดี๋ยวนัททำเอง" นัทไม่ลืมกำชับอย่างรู้ทัน เพราะผมชอบเผลอช่วยบ่อยๆ
"คร้าบบบ เดี๋ยวพี่แฟรงค์จะปล่อยให้น้องนัทดูแลพี่แฟรงค์เต็มที่เลย" ผมขำเบาๆ อย่างมีความสุข ลืมเรื่องเครียดๆ เมื่อสักครู่นี้ไปได้มากทีเดียว
ผมเดินตามนัทไปนั่งที่โต๊ะที่ใช้ทั้งทำงานและกินข้าวในห้อง นัทปิดทีวีแล้วก็กุลีกุจอตักข้าวใส่จานมาวางให้ ก่อนจะแกงเขียวหวานและไข่พะโล้จะตามมาทีหลัง
"นัทกินแล้วเหรอ กินกับพี่มั้ย" ผมถามเมื่อทุกอย่างพร้อมแล้ว
นัทยิ้มแหยๆ แต่ไม่ยอมพูด
"ยังไม่ได้กินข้าวเหรอ"
นัทลังเล แต่สุดท้ายก็พยักหน้ายอมรับ
"อ้าว...งั้นก็ตักข้าวมากินกับพี่สิ ถ้าพี่กินหมด แล้วนัทจะกินอะไรล่ะ" ผมมองหน้านัทแล้วก็ขำ
"จะเอาใจพี่แล้วตัวเองจะอดทำไม"
ผมย้ำอีกครั้งเพราะนัทยังยืนงงอยู่ นัทก็เลยเดินไปตักข้าวของตัวเองมา แล้วเราก็นั่งกินข้าวด้วยกัน แม้ว่าจะนั่งรถมาด้วยกันเกือบทั้งวัน แต่ผมก็ไม่เคยรู้สึกเบื่อเลยที่จะคุยกับนัทอีก
"ออกไปซื้อมาให้พี่เหรอ" ผมถามหลังจากที่กินข้าวไปได้หลายคำจนหายหิวไปได้หน่อย
"ใช่...พอพี่แฟรงค์ส่งไลน์มาหา นัทก็ขับรถออกไปซื้อมาเลย"
ผมวางช้อนชั่วคราวแล้วก็เอื้อมมือไปลูบผมนัทเบาๆ "แล้วจะไม่ให้พี่รักพี่หลงนัทได้ยังไงล่ะเนี่ย"
นัทยิ้มเขินๆ จากนั้นเราก็นั่งกินข้าวกันต่อ คุยไปกินไปจนอิ่ม นัทเอาจานไปล้างแล้วก็บอกให้ผมไปอาบน้ำ ผมก็ทำตามอย่างว่าง่าย รู้สึกดีเหมือนกันที่นัทดูแลผมบ้าง
พอผมออกมาจากห้องน้ำ นัทก็ล้างจานและปัดกวาดเช็ดถูห้องเรียบร้อย รีบกุลีกุจอเอาชุดมาส่งให้ผมถึงมือ
"กางเกงขาสั้นสีขาวตัวนี้พี่ไม่เคยเห็นเลย ทำไมเนื้อผ้ามันบางอย่างงี้ล่ะ ใส่แล้ววาบหวิวแน่เลย" ผมพูดหยอกอย่างอารมณ์ดี
"นัทเห็นของพี่แฟรงค์หมดแล้ว จะอายทำไม" นัทยักคิ้วทำหน้าทะเล้นใส่ผม
"โอเค นัทให้พี่ใส่อะไรพี่ก็จะใส่ แต่ใส่ชุดนี้แล้ว สงสัยว่าคืนนี้พี่คงจะโดนปล้ำแน่ๆ เลย"
"งั้นนัทปล้ำพี่แฟรงค์เลยละกัน"
ว่าแล้วนัทก็เข้ามากอดผม พยายามจะเหวี่ยงผมลงไปนอนบนเตียงให้ได้ ผมก็พยายามขืนตัวสุดชีวิต กอดรัดฟัดเหวี่ยงกันอีท่าไหนไม่รู้ ผ้าเช็ดตัวผมหลุดไปกองที่เท้า ดีที่ผมใส่กางเกงในแล้ว ไม่งั้นคงเห็นแฟรงค์น้อยแน่ๆ เลย แต่นัทก็หัวเราะชอบใจใหญ่
ผมปล่อยผ้าเช็ดตัวไว้อย่างนั้น ใส่เสื้อผ้าที่นัทเตรียมให้ เสร็จแล้วจึงเอาผ้าเช็ดตัวไปตากที่ระเบียงข้างนอก พอกลับเข้ามานัทก็นอนรออยู่บนเตียงพอดี
"พี่แฟรงค์เมื่อยมั้ย เดี๋ยวนัทนวดหลังให้"
ผมเลิกคิ้วมองอย่างแปลกใจ "นวดเป็นด้วยเหรอ"
"นิดหน่อย นัทเคยทำงานโรงแรมมาก่อนนะ มีสปาด้วย พี่ๆ ที่สปาเค้าเคยสอนนัทนวดมาบ้าง" นัทคุยอย่างภูมิใจ
"ก็ดีเหมือนกัน"
ว่าแล้วผมก็ขึ้นไปนอนคว่ำบนเตียงข้างๆ นัท ก่อนจะปล่อยให้หมอนวดจำเป็นของผมนวดให้ตั้งแต่หัวจรดเท้า นัทนวดใช้ได้ทีเดียว แสดงว่าเรียนมาบ้างอย่างที่คุยไว้ นวดอยู่นานหลายนาทีผมก็เลยบอกให้หยุดเพราะกลัวว่านัทจะเหนื่อยเสียก่อน
"นวดเก่งนะเนี่ย ขอบคุณมากนะครับพ่อหมอนวดจำเป็น"
ผมพลิกตัวนอนหงาย ก่อนจะยันตัวนั่งในท่ากึ่งนั่งกึ่งนอน นัทเข้ามานอนหนุนตักแล้วก็ทำเสียงอ้อน
"พรุ่งนี้...นัทจะได้กินฮาเกนดาสหรือเปล่าน้า อยากกินจัง แต่ก็ไม่ค่อยมีตังค์"
ผมขยี้ผมนัทเล่นเบาๆ อย่างเอ็นดูพร้อมกับขำ "ที่แท้ก็อยากกินไอติมนี่เอง เดี๋ยวพรุ่งนี้พี่ซื้อมาให้"
"จริงนะ"
ผมพยักหน้า "จริงสิ ก็มีพี่คนเดียวไม่ใช่เหรอที่ซื้อไอติมให้นัทกิน"
"จริงด้วย" นัทพูดแล้วก็ดึงมือผมมาจับไว้ แกว่งเล่นไปมา
"นัทเหลือเวลาทำงานกับพี่อีกกี่วัน"
"อืม...นับก่อน หนึ่ง สอง สาม สี่วันเอง แต่ไม่ต้องห่วงนะ เดี๋ยวนัทจะเคลียร์งานให้เสร็จก่อนไปชัวร์"
"พี่ไม่ได้ห่วงเรื่องนั้นหรอก"
"อ้าว แล้วพี่แฟรงค์ห่วงเรื่องอะไรล่ะ"
ผมก้มมองดูนัท ดึงมือนัทที่จับมือผมไว้ขึ้นมาหอมเบาๆ "พี่ห่วงว่า...นัทจะไม่ได้เจอพี่ไง มะรืนนี้พี่ต้องไปประชุมกับสมาคมโรงแรมไทยทั้งวัน แล้วก็มีเรื่องที่ต้องจัดการที่บ้านอีกหลายเรื่อง แต่ยังไงๆ ก่อนนัทจะกลับบ้าน พี่จะหาเวลามาอยู่กับนัทเต็มวันให้ได้ ไปเล่นฟลายบอร์ดกับเจ็ตสกีกันดีมั้ย"
นัทพยักหน้าพลางยิ้มตื่นเต้น สักพักผมก็ถอนหายใจอย่างหนักใจ
"นัท...พี่ยังไม่รู้ว่าจะเล่าให้นัทฟังยังไงดี...เรื่องที่บ้านของพี่ เอาเป็นว่า...ถึงมันจะไม่ง่าย แต่พี่จะพยายามอย่างเต็มที่ให้เราสองคนได้อยู่ด้วยกัน นัทอย่าหวั่นไหวนะ อย่าปล่อยมือพี่เด็ดขาด ใครพูดอะไรนัทต้องไม่เชื่อ นัทฟังพี่คนเดียว โอเคมั้ย"
นัทพยักหน้ารับคำอย่างว่าง่าย กำลังจะคุยกันต่อ เสียงโทรศัพท์ของนัทก็ดังเตือนว่ามีข้อความเอสเอ็มเอส่งมา นัทลุกขึ้นนั่งแล้วก็หยิบโทรศัพท์ตรงหัวเตียงมาเปิดอ่าน
จากสีหน้าที่ดูมีความสุขเมื่อครู่ สีหน้าของนัทก็เปลี่ยนเป็นเคร่งเครียด ไม่รู้ว่าข้อความนั้นมาจากใครหรือเรื่องอะไร
"พี่แฟรงค์"
นัทเรียกชื่อผมเบาๆ พอเราสบตากันนัทก็ส่งโทรศัพท์ให้ผมอ่านข้อความนั้น
"พี่อยากเจอนัทมาก นัทมาหาพี่หน่อยได้มั้ย พี่มีเรื่องสำคัญมากจะคุยกับนัท นัทต้องมาหาพี่ให้ได้นะ"พออ่านจบและเห็นชื่อคนส่ง ผมก็เข้าใจทันทีว่าทำไมนัทถึงเครียด
"พี่แฟรงค์ว่านัทควรจะทำยังไงดี" นัทถามด้วยสีหน้ากังวล
ผมถอนหายใจเบาๆ สังหรณ์ใจว่าผมอาจจะต้องเจอพายุร้ายหลายลูกพร้อมๆ กันเสียแล้ว ไม่ว่าจะเป็นพายุที่บ้าน เพียว หรือนัทเอง
"นัทยังรักเค้าอยู่หรือเปล่า" ผมถามกลับอย่างหวั่นใจ
"นัทไม่รักเค้าแล้ว แต่ว่า..."
นัทหยุดพูดไปเสียดื้อๆ ท่าทางที่ครุ่นคิดนั้นทำให้ผมใจคอไม่ดีเลย แม้ว่านัทจะบอกว่าไม่ได้รักเธอแล้ว แต่ถ้าไปเจอกัน อาจมีเรื่องที่คาดไม่ถึงก็ได้!!!- TBC -[/center]
อ่านจบ บวกเป็ด คอมเมนต์ ทุกเรื่อง ทุกตอน