ตอนที่ 16
โรงพยาบาลเซนต์โทมัสในเวลาเที่ยงคืน เงียบสงบต่างจากเวลากลางวันที่มีเสียงจอแจ นายแพทย์จิณณ์ ศัลยแพทย์ทั่วไปประจำห้องฉุกเฉินกำลังพักดื่มกาแฟดำ เป็นโชคดีของเขาที่วันนี้ผู้ป่วยมีจำนวนน้อยมาก ทำให้เจ้าหน้าที่ห้องฉุกเฉินหลายคนมีเวลาสัปหงก รวมถึงเขาก็มีเวลาเดินเตร็ดเตร่มาจนถึงแผนกจิตเวช
“สวัสดีครับ หมอชรัญ”
จิณณ์เอ่ยทักทายร่างสูงที่ก้าวเท้ามาตามทางเดิน ฝ่ายนั้นชะงัก แต่เมื่อเห็นว่าเป็นเขาก็ขยับยิ้มตามมารยาท
“อ้าวหมอจิณณ์ ยังไม่กลับบ้านอีกเหรอครับ”
“วันนี้ผมเข้าเวรครับ แล้วหมอล่ะ เป็นจิตแพทย์จำเป็นต้องเข้าเวรตอนเที่ยงคืนด้วยหรือ”
หมอชรัญหัวเราะเบาๆด้วยใบหน้าอิดโรย บริเวณใต้ดวงตาทั้งสองข้างดำคล้ำ มันไม่ใช่ภาพที่แปลกนักหรอกสำหรับคนที่ทำงานอุทิศตนเพื่อสังคม แต่ที่แปลกคือหมอชรัญไม่ใช่หมอที่ยอมเสียสละเวลาในการพักผ่อนเพื่อผลประโยชน์ของคนไข้
“มันต้องอยู่ทำวิจัยสร้างผลงานกันบ้าง ผมไม่ได้เก่งเหมือนหมอนี่ครับ”
จิณณ์ขยับยิ้มหยัน คำตอบที่ได้รับไม่ได้อยู่เหนือการเดาเสียเท่าไร
“ว่าแต่คุณมีธุระอะไรกับผมหรือเปล่า”
“ครับ”
จิณณ์พยักหน้า เขาไม่ได้สนิมสนมกับหมอชรัญขนาดจะไปมาหาสู่เพื่อถามไถ่เรื่องสุขภาพ นอกจากเรื่องงานหรือผลประโยชน์ที่มักจะได้ร่วมกัน พวกเขาก็แทบไม่มีเรื่องให้ต้องพูดคุยอีกเลย
“เรื่องงานวิจัยที่กำลังทำอยู่นั่นล่ะ ผมอยากได้ที่ปรึกษาเพิ่ม ไม่ทราบว่าหมอชรัญพอจะช่วยเหลือผมได้หรือเปล่า”
“หืม จิตแพทย์อย่างผมไม่มีความรู้มากพอจะช่วยศัลยแพทย์อย่างคุณหรอกครับ…เสียดายที่หมอกวีเสียไปแล้ว ไม่อย่างนั้นคงได้เป็นที่ปรึกษาให้กับคุณ”
จิณณ์กำลังทำงานวิจัยเพื่อส่งเข้าชิงทุนการศึกษาต่อในประเทศนิวซีแลนด์ โดยมีหมอกวีเป็นอดีตที่ปรึกษาก่อนที่จะเสียชีวิตไปเมื่อไม่นาน
หมอกวีไม่ใช่คนเก่ง แต่เป็นหมอที่มีเส้นสายใหญ่ที่สุดในโรงพยาบาล เจ้าตัวมีเงินมากพอจะพาตัวเองไปศึกษาต่อได้ถึงดาวอังคาร แต่สิ่งที่อีกฝ่ายต้องการ ไม่ใช่การเรียนต่อ แต่คือการเป็นที่ปรึกษาในงานของจิณณ์ มีชื่ออยู่ในผลงานที่อาจสร้างชื่อเสียงและมีประโยชน์ต่อวงการแพทย์ในอนาคต หมอกวีจึงบีบบังคับเขาทุกวิถีทางเพื่อเข้ามามีส่วนร่วมในงานที่แทบไม่ได้แตะต้อง หรือให้คำปรึกษาแก่เขาเลย
“อันที่จริงงานวิจัยที่ผมทำอยู่ไม่ใช่เรื่องเฉพาะทาง หมอน่าจะช่วยผมได้ แต่ถ้าไม่สะดวก…”
จิณณ์เอ่ยด้วยสีหน้าราบเรียบราวกับไม่ใส่ใจ แต่มีหรือที่คนเห็นแก่ตัวอย่างหมอชรัญจะปฏิเสธ มีแต่จะรีบตะครุบเหยื่ออันหอมหวานที่เขานำมาเสนอถึงปากเสียมากกว่า
“งั้นผมขอดูก่อนได้มั้ยครับ”
“แน่นอนครับ” จิณณ์ขยับยิ้มด้วยความยินดี เมื่อแผนการขั้นแรกสำเร็จอย่างง่ายดาย
“แต่ช่วงนี้ผมไม่ค่อยว่าง ถ้ายังไงแวะไปเอางานที่รถผมให้หมอเอาไปอ่านที่บ้านดีมั้ยครับ แล้วเราค่อยนัดคุยกันอีกครั้งเมื่อสะดวก”
“ได้สิ”
จิณณ์ก้าวเท้าออกจากประตูเล็กด้านหลังโรงพยาบาล มันเป็นประตูสำหรับเจ้าหน้าที่ ที่เชื่อมต่อกับลานจอดรถและใกล้กับหอพักภายใน หลายคนจึงมักเดินเข้าออกทางนี้แทนประตูใหญ่ที่คราคร่ำไปด้วยผู้ป่วย
“ว่าแต่…หมอจัดการเรื่องคุณกิมเล้งหรือยัง”
จิณณ์เหลือบไปมองหมอชรัญที่เดินตามมา โดยไม่ได้สงสัยเลยว่าเขาเดิน ลัดเลาะไปในเส้นทางที่ผิดปกติ เพราะนอกจากจะไม่มีคนใช้แล้ว ตรงนี้ยังไม่มีกล้องวงจรปิดอีกด้วย แน่นอนว่าคนในอย่างเขาย่อมรู้ดีว่าจุดไหนเป็นมุมอับ และมักจะไม่มีคนในเวลาแบบนี้
“ผมเขียนรายงานการผ่าตัดส่งให้เบื้องบนแล้วครับ หมอฌายินก็ช่วยยืนยันอีกคน รับรองว่าไม่มีปัญหา”
จิณณ์ตอบด้วยน้ำเสียงสบายๆชวนให้คนฟังเกิดความไว้วางใจ
“ดีครับ”
“อันที่จริงหมอคงรู้แก่ใจดีอยู่แล้วว่าคุณกิมเล้ง มีโอกาสผ่าตัดสำเร็จถึง 70%”
“ใช่ครับ ผมถึงได้ส่งคนไข้ให้กับคุณ แต่อย่ารู้สึกผิดไปเลยนะหมอ เราไม่ใช่พระเจ้า เราช่วยเขาเท่าที่เราช่วยได้”
คุณกิมเล้ง คือหญิงชราวัย 69 ปี ที่เข้ามารับการรักษาโรคจิตเภทกับหมอชรัญ ต่อมาตรวจพบโรคต่างๆตามประสาผู้สูงอายุ และโรคหลอดเลือดสมอง หมอชรัญจึงส่งตัวมาให้หมอกวีซึ่งเป็นศัลยแพทย์ ซึ่งจิณณ์และฌายิน เด็กรุ่นน้องที่มีความสามารถแต่ทะเยอทะยานก็ได้เข้าร่วมการผ่าตัดด้วย
“หมอพูดถูกครับ เราไม่ใช่พระเจ้า แต่ถ้าหมอกวีไม่ใช่หมอใหญ่ในการผ่าตัด คนไข้คงไม่ต้องตาย”
จิณณ์หยุดเดินแล้วหันกลับไปมองหน้าหมอชรัญนิ่งๆ อันที่จริงเขาไม่ได้รู้จักคุณกิมเล้งเป็นการส่วนตัว แต่เขากลับรู้สึกผิดมากเหลือเกินที่ช่วยเหลือคนที่ควรรอดให้รอดไม่ได้
“คุณจะโทษว่าหมอกวีผ่าตัดผิดพลาดเหรอ คุณเองก็อยู่ในห้องผ่าตัดนะ”
ทีมแพทย์ลงความเห็นว่าควรให้ผู้ป่วยเข้ารับการผ่าตัด เพราะมีโอกาสสำเร็จสูง จิณณ์จึงหวังว่าคุณกิมเล้งจะเป็นผู้ป่วยอีกรายที่ช่วยเหลือไว้ได้ แต่ในความเป็นจริงเมื่อได้อยู่ในห้องผ่าตัด เขากลับทำอะไรไม่ได้เลย เขาเห็นความผิดพลาดของหมอกวีที่ไม่ยอมรับฟังคำโต้แย้งของรุ่นน้องทำให้เกิดอันตรายต่อชีวิตผู้ป่วย
“ก็เพราะว่าผมอยู่ในห้องผ่าตัดไงถึงได้รู้ว่ามันเป็นการตัดสินใจที่ผิดพลาด แล้วคุณก็รู้ดีว่าหมอกวีอีโก้สูงแค่ไหน ไม่มีทางฟังความเห็นจากคนอื่นเด็ดขาด แต่คุณก็ยังส่งคนไข้ของคุณให้เขา”
จิณณ์และฌายินไม่สามารถยื้อชีวิตคุณกิมเล้งไว้ได้ จึงเสียชีวิตในเวลาต่อมา…
“ทำไมหมอต้องขุดเรื่องนี้มาพูดด้วยล่ะ มันไม่มีประโยชน์ หมอกวีตายไปแล้ว”
“แล้วคุณจะกลัวอะไรกับรายงานที่ให้ผมปั้นแต่งโกหกเบื้องบน”
เหตุการณ์ในวันนั้น กลายมาเป็นตราบาปที่ตอกย้ำอยู่ในใจของจิณณ์จนถึงทุกวันนี้…เขาต้องมีส่วนรับผิดชอบ
“หมอกวีตายไปแล้ว เขาไม่รับรู้อะไรอีกแล้ว มีแต่คนที่อยู่นั่นแหละที่จะซวย คุณคิดถูกแล้วที่แต่งเรื่องตามที่ผมบอก ถ้ายังรักตัวเอง”
“ครับ ผมรักตัวเอง ผมไม่ยอมให้ตัวเองลำบากหรอก”
จิณณ์ยอมรับว่าเป็นคนรักตัวกลัวตาย เขาจะไม่ยอมเสียอนาคตเพราะความผิดพลาดของคนอื่นเด็ดขาด เขาและหมอฌายินจึงเขียนรายงานปั้นเรื่องระหว่างการผ่าตัดซึ่งเป็นการพลิกเหตุการณ์จากสีดำให้เป็นสีขาว
“ดี แล้วรถคุณจอดอยู่ที่ไหนล่ะ”
“ไม่ใช่แถวนี้หรอกครับ” จิณณ์สารภาพ
“แล้วคุณเดินมาทำบ้าอะไรตรงนี้”
หมอชรัญดูจะหัวเสียไม่น้อยที่เขาทำให้เสียเวลา แทนที่เจ้าตัวจะได้กลับบ้านไปพักผ่อน
“ผมมีธุระพิเศษกับหมอ”
จิณณ์ล้วงมือเข้าไปหยิบถุงมือไวนิลจากกระเป๋าเสื้อกาวน์มาสวมลงในมือทั้งสองข้างแล้วดึงให้ตึง
“รู้มั้ย…ผมเกลียดคนแบบหมอกวี หมอฌายิน แล้วก็คุณมากขนาดไหน”
หมอชรัญมีท่าทางสับสน นัยน์ตาสีดำมองมาที่เขาด้วยความไม่เข้าใจ ซึ่งเขาก็เป็นคนใจดีพอที่จะเฉลยให้ฟัง
“ขนาดที่ไม่อยากอยู่ร่วมโลกไงล่ะ”
อั๊ก!
จิณณ์ใช้เชือกเส้นใหญ่รัดคอของหมอชรัญอย่างรวดเร็วจนอีกฝ่ายไร้ทางขัดขืน เขาเลือกใช้เชือกขนาดเดียวกับฆาตกรที่ฆ่าหมอกวี ใช้วิธีการรัดคอตามรายงานการชันสูตรศพที่ได้มาจากหมอเพียว จนถึงตอนนี้เจ้าเด็กโง่นั่นก็ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขาอ่านมันทั้งหมดแล้ว และก่อนที่เหยื่อจะขาดอากาศหายใจ เขาก็ก้มลงมากระซิบที่ข้างใบหูหมอชรัญ
“ไปลงนรกเป็นเพื่อนหมอกวีเถอะครับ”
ตุ้บ!
จิณณ์ทิ้งร่างไร้วิญญาณของหมอชรัญลงบนพื้นแข็งๆพร้อมกับเชือกที่ใช้เป็นอาวุธ เขาต้องการให้มันเป็นหลักฐานของการฆาตกรรมต่อเนื่อง เพื่อที่เขาซึ่งมีหลักฐานยืนยันที่อยู่ในวันเกิดเหตุฆาตกรรมหมอกวี จะหลุดจากการเป็นผู้ต้องสงสัยอย่างง่ายดาย
แม้ว่าเขาจะช่วยชีวิตคุณกิมเล้งไม่ได้ แต่เขาได้ลงโทษหมอที่ไร้จิตวิญญาณของความเป็นหมอแล้ว ต่อไปนี้จะไม่มีผู้ป่วยคนไหนต้องเผชิญเหตุการณ์อย่างคุณกิมเล้งอีก
จิณณ์ก้มมองร่างของหมอชรัญที่นอนนิ่งอยู่แทบเท้าด้วยความรังเกียจ แล้วยกเท้าข้ามศพไปอย่างไม่ไยดี
แผนการฆาตกรรมเลียนแบบของเขาสำเร็จแล้ว และคนต่อไปที่จะได้ลงนรกก็คือ…หมอฌายิน!
เสียงเคาะประตูห้องทำงานดังขึ้นเบาๆ พร้อมบานประตูที่เลื่อนเปิดออก พยาบาลสาวที่ประจำอยู่หน้าเคาน์เตอร์ประชาสัมพันธ์แผนกจิตเวชโผล่หน้าเข้ามายิ้มหวานให้ผู้เป็นเจ้าของห้อง
“หมอกายขา ผู้หมวดกรวิวัฒน์มาแล้วค่ะ”
ร่างสูงของหมอกายละสายตาจากแล็ปท็อปขนาดสิบสามนิ้วมามองคนพูดแล้วคลี่ยิ้มให้ตามมารยาท
“เชิญเข้ามาได้เลยครับ”
พยาบาลสาวกลับออกไป และครู่ต่อมาบานประตูก็ถูกเลื่อนเปิดออกอีกครั้งพร้อมร่างสูงในชุดลำลองของนายตำรวจ
“ไง”
กรวิวัฒน์ทักทายลูกพี่ลูกน้องที่โทรนัดให้มาหาหลังเลิกงาน รู้สึกแปลกๆทุกครั้งที่ต้องเลื่อนเก้าอี้ผู้ป่วยมานั่งเผชิญหน้ากับจิตแพทย์ แต่ทำไงได้ล่ะ ในเมื่อเจ้ากายมันสั่งห้ามเขาโผล่หัวไปหามันที่ห้องพักอีก ถึงเขาจะไม่ได้ซักไซ้อะไรแต่ก็พอจะรู้ว่าเจ้าตัวไม่ต้องการให้เขาไปรบกวนเวลาที่มันอยู่กับเด็กน้อย
“มีอะไรจะให้ฉันดู”
นายตำรวจเอ่ยเข้าประเด็นแล้วอ้าปากหาว ความอ่อนล้าส่วนหนึ่งมาจากการทำงานหนักเพราะเจ้าคนที่นั่งทำหน้าไม่รู้เรื่องอยู่บนเก้าอี้ฝั่งตรงข้าม เขาต้องอดหลับอดนอนเพื่อหาหลักฐานมาแก้ต่างให้มันก่อนที่ผู้ใหญ่จะหันมาสงสัย แล้วเชิญไปสอบสวนอีกครั้ง แม้เขาจะค่อนข้างแน่ใจว่าเจ้ากายไม่ใช่ฆาตกร เพราะผลตรวจเลือดไม่ตรงกับเลือดของฆาตกรในคดีที่สี่ แต่มันจะมีส่วนรู้เห็นหรือเปล่าเขาก็ยังไม่แน่ใจ
“ฉันมีข้อสงสัยที่จะใช้สนับสนุนตัวฆาตกร”
รายงานการฆาตกรรมฉบับก๊อปปี้บางส่วนถูกยื่นมาให้ บนกระดาษมีรอยปากกาสีหลายสีที่คอมเมนต์ข้อสงสัยไว้หลายจุด
“ป้ากิมเล้งเข้ารับการรักษาโรคจิตเภทกับหมอชรัญ…ที่จริงแล้วป้าเคยเป็นคนไข้ของฉันมาก่อน”
กรวิวัฒน์เหลือบมองหน้าคนพูดครู่หนึ่ง ก่อนจะก้มลงมองเอกสารในมือ อันที่จริง…เขารู้เรื่องนั้นอยู่แล้วเพราะลูกน้องในทีมคนหนึ่งแอบมากระซิบข้อสงสัยในตัวจิตแพทย์หนุ่ม แต่เขาก็เลือกที่จะปิดปากเงียบแล้วรับฟังของสันนิษฐานต่อไป
“แล้วต่อมาป้าก็ถูกส่งตัวไปรักษาโรคหลอดเลือดสมองกับหมอกวี และเสียชีวิตจากการผ่าตัด หมอจิณณ์กับหมอฌายินก็เป็นหนึ่งในทีมแพทย์ด้วยเหมือนกัน ส่วนเรื่องรายละเอียดการเสียชีวิตที่นายได้มา ฉันไม่แน่ใจว่าจะเป็นความจริงทั้งหมด แต่คิดว่าจากการผ่าตัดในครั้งนั้น อาจจะทำให้ครอบครัวของป้ากิมเล้งไม่พอใจแล้วคิดว่าหมอทั้งหมดต้องมีส่วนรับผิดชอบ”
“เออ ก็เป็นไปได้”
กรวิวัฒน์พยักหน้าช้าๆ มือเลื่อนไปเปิดเอกสารของครอบครัวคุณกิมเล้งเพื่อดูประวัติผู้ต้องสงสัยสามราย คือลูกชายและหลายชายอีกสองคน
“แต่คนในครอบครัวของคุณป้าคนนี้ ไม่เคยมีประวัติเสียหายเลยว่ะ…ว่าแต่นายสงสัยใคร?”
“ครอบครัวป้ากิมเล้งมีอยู่ด้วยกันสามคน เปิดร้านขายโจ๊กอยู่หน้า อพาร์ทเม้นท์ที่ฉันอยู่มากว่าสิบปีแล้ว”
“ร้านไหนวะ”
กรวิวัฒน์เลิกคิ้ว เขาเคยไปหาเจ้ากายที่อพาร์ทเม้นท์อยู่หลายครั้ง แต่ไม่ทันสังเกตว่ามีร้านโจ๊กที่ว่าเลย
“ป้ายหน้าร้านเขียนว่าเถ้าแก่โชค ตรงข้ามกับร้านบัวลอยที่นายบอกว่าอร่อย”
“เออๆ นึกออกละ แม่งโคตรใกล้ตัว…แล้วไงต่อ”
“ฉันสงสัยคุณใหญ่ ลูกชายคนโตของเถ้าแก่”
นายตำรวจเลื่อนเอกสารที่ระบุประวัติส่วนตัวพร้อมรูปถ่ายของคุณใหญ่มาเปิดอ่าน…ใบหน้าเรียบเฉยติดจะเย็นชา บ่งบอกนิสัยเก็บตัวอย่างชัดเจน ถ้าบอกว่าเป็นฆาตกรโรคจิตก็น่าเชื่ออยู่เหมือนกัน เพียงแต่เขาเป็นตำรวจไม่สามารถตัดสินคนจากรูปลักษณ์ภายนอกได้
“หน้าตาดูน่าสงสัยจริงด้วย แต่ฉันต้องมีหลักฐานเป็นชิ้นเป็นอันนะถึงจะออกหมายจับได้”
“คุณใหญ่เป็นคนในพื้นที่ เรื่องลู่ทางในโรงพยาบาลก็ไม่ใช่เรื่องยากที่จะสำรวจ อีกอย่างคดีแรกกับคดีที่สองก็ใช้เวลาในการฆาตกรรมห่างกันไม่มาก เป็นช่วงที่เขายังอยู่ที่เชียงใหม่ แล้วหลังจากนั้นก็ย้ายเข้าไปทำงานในกรุงเทพ ฉันอยากให้นายดูตรงนี้…คดีของหมอจิณณ์”
กรวิวัฒน์ชะโงกหน้าไปมองกระดาษแผ่นหนึ่งที่ถูกเลื่อนมาวางตรงหน้า แล้วขมวดคิ้วยุ่งเมื่อเห็นความแตกต่างที่ตนเองมองข้ามไปหลายครั้ง
“เดี๋ยวนะ…หมอจิณณ์เป็นเพียงคนเดียวที่ถูกฆาตกรรมในห้องพักของตัวเอง ต่างจากอีกสามคนที่ถูกฆาตกรรมในบริเวณของโรงพยาบาล”
“อืม หมอจิณณ์เคยอยู่ที่ห้องของฉันมาก่อน”
“ห้องนาย!”
กรวิวัฒน์ถามย้ำด้วยใบหน้าที่แสดงความเหลือเชื่อ รีบเปิดหาที่อยู่ของหมอจิณณ์ที่ถูกบันทึกไว้ในรายงานสืบสวน…แต่นอกจากชื่ออพาร์ทเม้นท์ที่ต่างกัน ทั้ง เลขที่ ซอย ถนน และที่อยู่ทุกอย่างตรงกับอพาร์ทเม้นท์ร่มฤดีราวกับเป็นเรื่องตลก
“นายกำลังจะบอกว่า ห้องที่อยู่ตอนนี้เคยมีคนตาย แล้วคนที่ตายก็คือหมอจิณณ์ที่ถูกฆ่ารัดคอ”
เมื่อเห็นลูกพี่ลูกน้องพยักหน้านิ่งๆราวกับเป็นเรื่องดินฟ้าอากาศ กรวิวัฒน์ก็ได้แต่สบถเบาๆ เขาไม่รู้เลยว่าควรนับถือเจ้ากายที่มันประสาทแข็งหรือเย็นชากันแน่
“ให้ตายสิ นายรู้ก่อนหรือว่าหลังจากที่ย้ายเข้าไปแล้ว”
“รู้ตอนที่นายเอาคดีนี้มาให้ฉันทำ”
“แล้วกล้าอยู่ไปได้ไงวะ ไม่กลัวหรือไง”
กายส่ายหน้า เขาขยับยิ้มมุมปากแล้วเอ่ยเรียบๆ
“ใจคนน่ากลัวกว่าผี…เยอะเลย”
เพราะว่าหัวใจของมนุษย์แปรเปลี่ยนได้ตลอดเวลาตามอารมณ์…ความรู้สึก…และเหตุผล…ต่อให้ผีจะหลอกหลอนหรือทำร้ายอย่างไร ก็ไม่มีทางทำให้เจ็บปวดเท่ากับหัวใจมนุษย์ที่หลอกลวง
“สิ่งที่ฉันอยากบอกก็คือ คนที่จะเดินเข้าไปฆ่าหมอจิณณ์ได้ถึงในห้องพักก็น่าจะรู้จักกับหมอเป็นการส่วนตัว ไม่อย่างนั้น ใครจะเปิดประตูให้เข้ามาล่ะ…นายดูรายงานจากสถานที่เกิดเหตุสิ”
กรวิวัฒน์ก้มหน้ามองภาพและข้อความอธิบายในรายงานผลจากสถานที่พบศพหมอจิณณ์
“ในห้องพักไม่มีร่องรอยของการถูกงัดแงะ อีกอย่างคนร้ายต้องรู้ดีว่าหมอจิณณ์อยู่คนเดียว…แล้วนายคิดว่าหมอจิณณ์รู้จักกับคุณใหญ่เหรอ”
กายเอนหลังพิงเก้าอี้ เขาไม่ได้สนิทสนมกับหมอจิณณ์เลยนอกจากคนที่ทำงานในโรงพยาบาลเดียวกัน เรื่องที่จะให้รู้จักลักษณะนิสัยหรือการคบหาคนของอีกฝ่ายจึงเป็นไปไม่ได้เลย
“คนที่อยู่แถวนั้นต้องเคยแวะร้านเถ้าแก่โชคบ้างล่ะ มันก็มีความเป็นไปได้ที่จะพูดคุยกันบ้างไง”
“แล้วนายเคยคุยกับคุณใหญ่มั้ย”
“ไม่ ฉันไม่เคยเจอตรงๆ ส่วนใหญ่จะเจอเถ้าแก่กับลูกชายคนเล็กของแก”
“แล้วหมอนี่ไม่น่าสงสัยเหรอ”
กรวิวัฒน์ชี้นิ้วไปที่รูปถ่ายของลูกชายคนเล็ก ซึ่งดูจากหน้าตาแล้วน่าจะเป็นคนอารมณ์ดีกว่าคนพี่เยอะเลย
“น่าสงสัย”
“อ้าว”
“นายว่าเวลาในการลงมือฆาตกรรมกับเวลาที่คุณใหญ่อยู่ที่เชียงใหม่มันไม่พอดีกันเกินไปหน่อยหรือ…หมอจิณณ์ถูกฆาตกรรมเมื่อสองปีก่อน ซึ่งเป็นช่วงที่คุณใหญ่ตกงานแล้วกลับมาอยู่บ้าน แล้วนายดูคดีหมอฌายิน ทำไมต้องรอให้เวลาผ่านมาอีกหลายปีถึงจะลงมือล่ะ”
ทำไมเหรอ…นั่นสิ ทำไม?
กรวิวัฒน์เคาะนิ้วลงบนโต๊ะด้วยท่าทางคิดหนัก
อาจจะไม่ว่าง…ไม่ใช่สิ ใครจะไม่ว่างเกือบสองปี
อาจจะหาโอกาสไม่ได้…
ความคิดหนึ่งแล่นเข้ามาในสมอง ก่อนที่เจ้าตัวจะยกมือตบโต๊ะด้วยความตื่นเต้น
“เพราะหมอฌายินได้ทุนไปเรียนต่อต่างประเทศ แล้วพอหมอกลับมาทำงานต่อได้ไม่นานก็ถูกฆ่าตาย ใช่มั้ยวะ?”
เมื่อเห็นว่าลูกพี่ลูกน้องพยักหน้าเป็นเชิงเห็นด้วย นายตำรวจหนุ่มก็คลี่ยิ้มด้วยความสบายใจ อย่างน้อยเขาก็เกือบจะได้สัมผัสความจริงในคดีนี้แล้ว
“ฉันจะให้คนไปสืบว่าวันที่หมอฌายินถูกฆ่าตาย คุณใหญ่กลับมาที่เชียงใหม่หรือยัง ถ้ากลับมาแล้วก็ต้องสืบดูว่าไปทำอะไรอยู่ที่ไหนมาบ้าง”
“แต่ที่ฉันพูดมามันก็เป็นแค่หลักฐานแวดล้อม ไม่สามารถใช้เป็นหลักฐานเอาผิดใครได้”
“แต่ถ้าคุณใหญ่ไม่มีหลักฐานที่อยู่หรือพยานบุคคลในวันเกิดเหตุฆาตกรรมหมอฌายิน ฉันคงต้องใช้หลักฐานแวดล้อมร้องขอต่อศาลให้มีการตรวจ DNA”
ทางตำรวจมีหลักฐานที่สามารถใช้ยืนยันตัวฆาตกรจากเลือดที่ติดอยู่ในซอกเล็บของหมอฌายิน จึงไม่ใช่เรื่องยากที่จะควานหาตัวคนร้ายที่ถูกจำกัดวงให้แคบลงแล้ว
“งั้นก็ดี หวังว่านายจะจับตัวคนร้ายได้เร็วๆ”
กรวิวัฒน์เหลือบมองลูกพี่ลูกน้องคนสำคัญที่กำลังเก็บรวบรวมเอกสารบนโต๊ะใส่ลงในกระเป๋าสะพาย ริมฝีปากบางเม้มแน่นเพราะไม่แน่ใจว่าควรถามในสิ่งที่สงสัยหรือไม่
“ไอ้กาย”
“หืม”
“มีอะไรอยากบอกฉันมั้ย”
กายชะงัก เขาเงยหน้าขึ้นมาสบตากับคนถามด้วยความสงบ
“เช่นอะไร”
“จักรินตายยังไง”
หัวใจของจิตแพทย์หนุ่มกระตุกเมื่อถูกสะกิดแผลเป็นในใจให้เปิดออก จักรินคือน้องชายแท้ๆของเขาที่เสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางรถยนต์ไปเมื่อสามปีก่อน
“นายก็รู้นี่ว่ามันหลับในตอนขับรถ”
กายตอบเรียบๆ วันนั้นเป็นวันเกิดของเขาที่จัดงานเลี้ยงฉลองง่ายๆกับพ่อแม่อยู่ที่บ้าน ส่วนเจ้าน้องชายที่ติดทำโปรเจคส่งเข้าประกวดในคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์จนดึกดื่น รีบขับรถออกจากมหาวิทยาลัยในเวลาสามทุ่ม แต่เพราะระยะทางที่ค่อนข้างไกลทำให้เหนื่อยอ่อนและเผลอหลับในทำให้รถที่ขับอยู่ตกถนน แม้จะไม่ได้เสียชีวิตคาที่เพราะหน่วยกู้ภัยที่เข้าไปช่วยเหลือแต่ก็อาการสาหัสมากแล้ว
“แต่นายไม่เคยบอกว่าไอ้รินไม่ได้ตายคาที่ มันมาตายในห้องผ่าตัด”
“แล้วมันสำคัญตรงไหน”
กายถามด้วยน้ำเสียงเย็นชา ความทรงจำเกี่ยวกับน้องชายเป็นสิ่งหวงห้ามที่ไม่ต้องการให้ใครมาแตะต้อง เขารู้ว่าส่วนหนึ่งเป็นความผิดของเขาที่บอกให้น้องชายกลับมาบ้าน เพราะนานๆที ก็อยากมีเวลาอยู่กับครอบครัวอย่างพร้อมหน้าพร้อมตาบ้างเท่านั้น
“ตรงที่หมอกวีเป็นคนผ่าตัด”
กายส่ายหน้า เขารู้ว่ากรวิวัฒน์กำลังคิดอะไร…
“ไอ้รินอาการสาหัสมากแล้วตอนที่มาโรงพยาบาล ต่อให้หมอเก่งแค่ไหนมันก็ไม่รอด”
“นายเคยบอกฉันว่าหมอชรัญเป็นรุ่นพี่ในแผนก”
“อืม”
“แต่เท่าที่ฉันฟังมาจากพยาบาล ทุกคนต่างก็บอกว่าพวกนายไม่กินเส้นกันเพราะหมอชรัญชอบใช้อำนาจมาแย่งคนไข้ของนาย”
“นายต้องการจะพูดอะไรกันแน่”
“ตอนนี้…นอกจากคุณใหญ่ คนที่ฉันสงสัยก็คือนาย”
ถึงจะพูดออกไปแบบนั้น แต่ลึกๆแล้วกรวิวัฒน์อยากที่จะเชื่ออยู่ว่าลูกพี่ลูกน้องที่จิตใจดีของเขา…จะไม่ทำร้ายคนอื่น ไม่ว่าคนๆนั้นจะดีหรือเลว ก็ถือว่าเป็นมนุษย์ที่มีความเท่าเทียมกัน ย่อมไม่มีสิทธิตัดสินแทนกฎหมายว่าใครควรอยู่ หรือใครควรตาย!
TBC.
ขอบคุณที่ติดตามจ้า นิยายใกล้จะจบเเล้วนะ เเฮร่ๆ เนื้อเรื่องไม่มีอะไรมาก ตามหาฆาตกร!!
มีทั้งหมด 20 ตอน กับหนึ่งบทส่งท้ายจ้า