<<X-Theme the series Season2>> ขายทาง Ebook แล้วค่ะ
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

โพลล์

อ่านครบทุกเรื่องแล้ว ชอบเรื่องไหนมากที่สุด

วิญญาณเสน่หา
28 (34.1%)
ตัวประหลาด
6 (7.3%)
ทดลองรัก
14 (17.1%)
เอาชีวิต
3 (3.7%)
ลูกเลี้ยง
20 (24.4%)
เดียวดายใต้แสงจันทร์
11 (13.4%)

จำนวนผู้โหวตทั้งหมด: 82

ผู้เขียน หัวข้อ: <<X-Theme the series Season2>> ขายทาง Ebook แล้วค่ะ  (อ่าน 224505 ครั้ง)

ออฟไลน์ mystery Y

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7677
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +585/-12
Re: X-Theme the series Season2<เดียวดายใต้แสงจั
«ตอบ #660 เมื่อ02-01-2016 08:45:30 »

ชอบๆๆ

ออฟไลน์ synneva23

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 1
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
อยากอ่านต่อ แต่งต่อเบยยย *0*

ออฟไลน์ LovEYouOnLy

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 439
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-2
น่าจะเป็นคำแทนตัวเองจาก "ข้าพเจ้า" เป็น "ข้า" แทนเวลาอ่านจะดูลื่นมากกว่านี้

ออฟไลน์ poppycake

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2670
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-4
จัดมาเลยค่ะ แต่อย่าเศร้ามากก้อพอ
เอาแบบ Happy end~~~!!!

ออฟไลน์ Belove

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1230
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +703/-2
    • ฺBelove


                                                        เดียวดายใต้แสงจันทร์

                                                                 บทที่ 1


               สุริยาลับขอบฟ้าแล้ว แสงสีส้มทาบอยู่ตีนฟ้าเป็นแสงสุดท้าย

               เส้นทางสู่สำนักบู๊ตึ๊งบนเขาสูง คราคร่ำมากผู้คนจากหลายสิบทิศ คนทุกผู้ต่างเดินทางเพื่อจุดหมายเดียวนั่น

คือการชุมนุมชาวยุทธบนเขาบู๊ตึ๊งอันเวลาเหลืออีกครบรอบในหนึ่งจันทร์เต็มดวงข้างหน้านับจากวิกาลแห่งข้างขึ้นในคืนนี้

งานชุมนุมจัดขึ้นในรอบสองปีแต่ละครั้งต่างหมุนเวียนให้สำนักและพรรคยอดฝีมือเป็นผู้นำและคราวนี้มีสำนักบู๊ตึ๊งได้

หมุนเวียนครบรอบอีกครา

               ริมทางเดินบนเนินเขาเตี้ยกลับปรากฏตึกสองชั้นไม่ใหญ่ไม่เล็กตั้งอยู่ มันเป็นโรงเตี๊ยมเพียงแห่งเดียวใน

ละแวกนี้ ด้านในมีโต๊ะไม้นับได้ห้าถึงหกตัว ด้านหนึ่งมีบันไดเล็กทอดสู่ชั้นบนอันเป็นห้องพักสิบกว่าห้อง เถ้าแก่วัยชรานั่ง

ง่วงเหงาอยู่ในคอกเล็กด้านข้าง ศิษย์สำนักห่างไกลต่างแวะเวียนเข้ามาพักผ่อนฝีเท้าและหาที่คุ้มลมฝนพักผ่อน หาก

ไม่ทันพิจารณาอาจไม่เห็นบุรุษผู้หนึ่งนั่งเดียวดายในโต๊ะมุมที่สุด ชุดดำที่สวมใส่และหมวกกุยเล้ยใบเก่าปิดบังใบหน้าจน

มองไม่เห็นชัดแจ้ง บนโต๊ะของมันมีเพียงอาหารไม่กี่อย่างและป้านน้ำชาอุ่นจัดเท่านั้น ใบหน้าหรุบลงดวงตามองแน่วนิ่งที่

อาหารของมันแต่หูกลับลอบฟังการสนทนาของแขกผู้อื่นที่นั่งเต็มทุกโต๊ะ

               ไหสุราเคลื่อนที่ทั้งหลายนั่งปะปนกันทั้งสำนักใหญ่น้อยและสำนักคุ้มภัยต่างเมามายคล้ายกันถ้วนหน้า คำ

พูดจาอึงอลไปทั่วโรงเตี๊ยม บ้างกร่างในอาวุธของตน บ้างกล่าวถึงเหตุการณ์สำคัญที่เกิดขึ้นจนเป็นที่โจษจันไปทั่วบู๊ลิ้ม


               “ประมุขพรรคสำคัญในยุทธภพต่างทยอยถูกกำจัดไปแล้วถึงห้าคนห้าสำนักทั้งสิ้นเกิดขึ้นในคือเดือนเพ็ญ”


               ผู้หนึ่งเอ่ยขึ้นด้วยใบหน้าเคร่งเครียด


               “ตลอดห้าเดือนที่ผ่านมานี้ทำให้สะเทือนไปทั้งแผ่นดิน”


               “ล้วนแต่เป็นฝีมือของผู้ใด”


               อีกผู้หนึ่งจากโต๊ะติดกันเอ่ยถาม มันผู้แรกกลับส่ายหน้า


               “ข้าพเจ้าไม่ทราบ หากแต่ท่านอาจารย์ของข้าพเจ้าเล่าขานว่าทุกศพล้วนตายด้วยรอยกระบี่เดียว”


               “รอยกระบี่เดียว? มันผู้ใดช่างหาญกล้านักเมื่อผู้ตายต่างเป็นเจ้าสำนักเลื่องชื่อ”


               “ท่านไฉนไม่ล่วงรู้จักเพลงกระบี่จันทราอันโหดเหี้ยม”


               เสียงดังอวดรู้จากอีกโต๊ะ ผู้กล่าวหัวร่อราวกับมันเองประเสริฐนัก


               “นัยว่าเพลงกระบี่จันทราสาบสูญไปจากยุทธจักรนานนับยี่สิบปีเนื่องเพราะจอมกระบี่มารเฉินจื่อเยี่ยนถูกสิบ

ประมุขสำนักยอดฝีมือร่วมกันขจัดจนตายหมดทั้งตระกูล รวมถึงได้ทำลายคัมภีร์กระบี่จันทราด้วย หากมิทราบเพราะกระไร

ห้าเดือนที่ล่วงผ่านมานี้จึงบังเกิดจอมยุทธกระบี่มารขึ้นมาอีกครา”


               ปลายนิ้วที่จับด้ามตะเกียบถึงกับกำแน่นเข้าเมื่อเหล่าชายฉกรรจ์เอ่ยถึงจอมกระบี่มารเฉินจื่อเยี่ยน หากผู้ใดเก่ง

กล้ามองลอดผ่านกุยเล้ยที่ปิดบังอยู่ ไม่แน่นักอาจเห็นดวงต้าประกายเดือดดาลที่ซ่อนอยู่ในกายนิ่งนั่นเอง

               เสียงก้าวเดินเข้ามาด้านในเรียกให้ทุกผู้หันไปมองอาคันตุกะคนใหม่ นับว่าตกเป็นเป้าสายตาอย่างยิ่งเมื่อบุรุษ

แสนธรรมดาผู้หนึ่งก้าวเข้ามาเพียงลำพังในโรงเตี๊ยมแห่งนี้ สารรูปช่างปกติธรรมดามันสวมใส่เสื้อคลุมสีขาวหากการตัด

เย็บประณีตยิ่ง ดูจากใบหน้าแล้วอาจมิได้ทำให้ดรุณีโฉมงามต้องสะเทิ้นอายด้วยความหลงใหลหากแต่ไม่อาจมีใคร

ปฏิเสธและรังเกียจยามมันแย้มยิ้มอย่างสำราญใจเช่นนี้เป็นแน่

            ผู้มาใหม่หยุดยืนเป็นเป้าสายตาอยู่กลางร้าน โต๊ะห้าถึงหกตัวนับได้ว่ามีผู้ครอบครองถ้วนทั่วแล้ว หากแต่โต๊ะตัว

หนึ่งประกอบด้วยเก้าอี้ไม้สามถึงสี่ตัว สายตาคมกริบจึงหยุดมองโต๊ะตัวในที่มีผู้ครอบครองเก้าอี้เพียงหนึ่งเดียว ปลายเท้า

พามันไปทันที


                 “เก้าอี้เหล่านี้หากไม่มีผู้ครอบครอง ข้าพเจ้าถือว่าเป็นเกียรติหากได้นั่งร่วมโต๊ะกับสหายท่านนี้”


                  หมวกกุยเล้ยไม่ได้ขยับมีเพียงฝ่ามือผายออกเล็กน้อย ผู้มาใหม่นั่งลงพร้อมกับเสียงตะโกนของเถ้าแก่เรียก

ผู้อยู่ด้านหลังร้านให้รีบออกมา

                เสี่ยวเอ้อผู้หนึ่งเดินออกมาจากผ้าม่านหลังร้าน เสื้อคลุมเข้มเก่าซอมซ่อมีผ้าเช็ดมือพาดบ่าหมวกเก็บคลุมผม

มิดชิดหากแต่ใบหน้าอ่อนเยาว์คล้ายเพิ่งอายุได้สิบเจ็ดสิบแปดปีรุดมาหยุดยืนด้านหน้าของผู้มาใหม่


                “กงจื้อ(คุณชาย)ท่านนี้มิทราบต้องการอาหารหรือสุราชั้นดีหรือไม่”


               ผู้มาใหม่เหลือบแลอาหารบนโต๊ะที่มีเพียงไม่กี่อย่าง พลันยกมือลูบคางก่อนเอ่ยเสียงแจ่มใสออกไป


             “บนโต๊ะนี้มีอาหารน้อยอย่างยิ่ง น้อยเกินไปสำหรับต้อนรับสหายใหม่ จงนำเนื้อมาอีกสามชั่งพร้อมสุรารสเลิศมา

มอบแด่ข้าพเจ้าเถิด”


              เสียงหัวร่อเย้ยหยันดังมาจากหนึ่งในหมู่โต๊ะที่เต็มไปด้วยผู้ครอบครอง


             “ฮา ฮา เนื้อและสุรารสเลิศ มิแน่ว่าอาจไม่มีปัญญาจ่าย”


              ดังลั่นด้วยเสียงหัวร่อตอบรับ ผู้มาใหม่ได้แต่หันหน้ากลับมาให้ความสนใจกับบุรุษที่ปกปิดด้วยหมวกกุยเล้ยใบ

ใหญ่


               “ข้าพเจ้าแซ่หวังนามต้าชาน มิทราบสหายท่านนี้นามว่ากระไร”


               หัวไหล่โยกไหวเล็กน้อย นับว่าเล็กน้อยจนอาจไม่ทันเห็น


              “พบกันเพียงครั้งเดียว ใยต้องถามไถชื่อแซ่”


               หวังต้าชานงงงันยิ่งเมื่อได้ยินคำกล่าวนั้น มันจับตามองบุรุษชุดดำแสนสุขุม น้ำเสียงที่เอื้อนเอ่ยราบเรียบยิ่ง

เยือกเย็นยิ่ง บางทีอาจยิ่งกว่าน้ำในทะเลสาบยามกลายเป็นแผ่นน้ำแข็งในฤดูตงเทียน(ฤดูหนาว)

               เสี่ยวเอ้อหนุ่มเดินยกถาดอาหารและไหสุราวางลงบนโต๊ะ หวังต้าชานรอจนทั้งหมดเสร็จสิ้นจึงเอ่ยกับเสี่ยวเอ้อ


               “มิทราบที่นี้ยังมีห้องพักหลงเหลือหรือไม่”


               เสี่ยวเอ้อมองหวังต้าชานและบุรุษหนุ่มที่นั่งร่วมโต๊ะ


              “ห้องพักมีเพียงห้องสุดท้ายอีกหนึ่งห้องเท่านั้น กงจื้อยังต้องการหรือไม่”


              หวังต้าชานดึงถุงบรรจุตั๋วแลกเงินดึงออกมาสักหลายใบส่งให้เสี่ยวเอ้อน้อย มันรีบรับไว้พร้อมกับเบิกตาโตทันที


             “ข้าพเจ้าจะรีบไปปัดกวาดห้องบัดนี้”


             หวังต้าชานหันกลับมามองสุราราคาแพงที่วางอยู่บนโต๊ะ มันคว้าชามเปล่ามาแล้วจัดแจงเทน้ำสุราลงไป


             “ทั่วยุทธจักรมีผู้คนมากหน้าหลายตา หากแต่น้อยคนนักที่จะได้มาร่วมโต๊ะทั้งที่ไม่รู้จัก นับว่าเป็นวาสนาอย่าง

ยิ่ง หากข้าพเจ้าคิดจะเชิญท่านดื่มสักจอกสักชาม?”


               “ข้าพเจ้ามิชมชอบรสชาติสุรา”


               มือที่กำลังจะเทสุราจากไหชะงักงันพลันยิ้มกระจ่างอย่างยิ่ง


               “รสชาติของสุราอาจฝืดคอ แต่บรรยากาศยามดื่มสุรากับสหายรู้ใจนับว่าประเสริฐ เอาเถอะ หากท่านมิชอบสุรา

ฝืดคอจริงๆ ข้าพเจ้าจะถือว่าน้ำชาตรงหน้าของท่านรสชาติไม่แพ้สุราชั้นเลิศ”


               หวังต้าชานยกชามสุราเทเข้าปาก ยังไม่ทันหมดชามเสียงหวีดร้องจึงดังขึ้น มันหันขวับไปมองทันที

               เสี่ยวเอ้อน้อยร้องลั่นด้วยความตกใจ แขนของมันถูกหนึ่งในไหสุราเคลื่อนที่คว้าไว้ ท่าทีหวาดกลัวยิ่งทำให้

พวกมันกำเริบถึงกับคว้าเอวเสี่ยวเอ้อเข้าไปหา เสียงโห่ฮาดังกระหื่มเมื่อไม่มีใครห้ามปรามจนเสี่ยวเอ้อน้อยถึงกับตัวสั่น

หวาดกลัวอยู่ในหมู่ชายฉกรรจ์เมามาย หวังต้าชานวางชามสุราลงแล้วลุกไปในทันใด


                “เก่อเกอ(พี่ชาย)ท่านนี้ มิทราบมีอันใดจะใช้สอยมันหรือเปล่า”


               หวังต้าชานขยับคว้าท่อนแขนใหญ่โตของผู้ที่ล่วงเกินเสี่ยวเอ้อ ดวงตากลับกลายเป็นจริงจังยามจ้อง มันกลับ

ยิ้มเยาะและยิ่งก่อกวนหนักขึ้น


               “ฮา ฮา ตี่ตี๋(น้องชาย)ใคร่จะร่วมสนุกกับข้าพเจ้าใช่หรือไม่ เสี่ยวเอ้อผู้นี้ร่างเล็กและหน้าตาหมดจดราวดรุณี

น้อย หรือว่าตี่ตี๋ไม่เห็นพ้องด้วย”


               “กงจื้อ ได้โปรด”


               สายตาของเสี่ยวเอ้อละห้อยอ้อนวอนเมื่อตกอยู่ในหมู่ผู้คิดร้าย หวังต้าชานออกแรงเพียงเล็กน้อยบีบท่อนแขน

จนเจ้าของมันหน้าคล้ำ


               “มิว่าเป็นดรุณีหรือบุรุษ จอมยุทธย่อมไม่ทำร้ายผู้ที่อ่อนแอกว่า หากทำเช่นนั้นก็นับว่าขลาดเขลาแล้ว”


               ปึง!!


               มันตบโต๊ะเสียงดังพลันกระแทกกายเข้าใส่ หวังต้าชานเพียงสะบัดมือกลับมีมีดเล็กขาววับยาวหนึ่งเชียะออก

มาจากปลายแขนเสื้อพุ่งใส่มือหนาของชายฉกรรจ์ผู้นั้น นับว่าผิดคาดเมื่อมีมีดอีกอันหนึ่งมาจากแขนอีกครั้งขว้างเข้าใส่

สหายของมันปากแขนโลหิตสาดกระเซ็นก่อนมีดเล็กจะบินวกกลับมาเข้ามือของหวังต้าชาน


               “มีดบินอหังการ์ ฮา ฮา นับว่าประเสริฐแล้วที่ได้ประลองฝีมือ”


               มันผลักเสี่ยวเอ้อออกห่าง โรงเตี๊ยมกลายเป็นเวทีวิวาทหลายคนต่อหนึ่ง มันทั้งหลายราวห้าถึงหกคนยืนล้อม

หวังต้าชานที่ใช้อาวุธเพียงมีดน้อย หากต่อสู้ได้อย่างเร้าใจเมื่อสามารถคว่ำพวกมันได้จนเหลือเพียงสองรุมหนึ่ง แต่ครั้ง

หนึ่งที่หวังต้าชานพลาดเดินถอยหลัง มิคาดหนึ่งในสองคิดฟาดฟันจากด้านหลัง


               ขวับ!!


               ตะเกียบคู่หนึ่งลอยละลิ่วมาจากทิศใดมิอาจทราบได้ มันตรงเข้ากระแทกข้อมือที่จับดาบใหญ่อย่างรวดเร็วยิ่ง

รุนแรงยิ่ง ดาบใหญ่หลุดจากมือดังเคร้งก่อนที่มันจะทรุดฮวบกับพื้นเมื่อหมวกกุยเล้งลอยตามมาเฉือนเอ็นหลังเข่าของมัน

               หวังต้าชานขว้างมีดอีกครั้ง ครานี้คมมีดบินผาดปากผิวหนังลำคอของมันจนสายเลือดปลิวเป็นสาย มันถึงกับ

ตัวสั่นงันงกก้าวหนีพลางยกมือชี้ที่ใบหน้าของหวังต้าชานด้วยความอาฆาต


               “ไอ้ลูกเต่า นับว่าข้าพเจ้าจะปล่อยท่านไปก่อน พบกันครั้งหน้าข้าพเจ้ารับรองจะไม่ไว้ชีวิต”


               เหล่าพวกมันล้วนจากไปแล้ว เถ้าแก่ยืนกล่าวพ่นคำด่าตามหลังยาวเหยียด ผู้อื่นที่นั่งอยู่ต่างกลับไปกินอาหาร

และดื่มสุราอย่างสงบ เสี่ยวเอ้อรีบยกมือโค้งคำนับแด่หวังต้าชาน


               “เสี่ยวเอ้อแซ่ฟ่านคารวะกงจื้อที่ช่วยเหลือ”


               “มิเป็นไร เซียวฟ่าน(ฟ่านน้อย) ข้าพเจ้ามิใคร่ชอบใจยามเห็นผู้อ่อนแอถูกรังแก”


               หวังต้าชานยิ้มแย้มให้ฟ่านเสี่ยวเอ้ออีกครั้งก่อนเดินกลับมาที่โต๊ะ เป็นครั้งแรกที่มันได้เห็นเค้าหน้าของผู้ร่วม

โต๊ะเมื่อไม่มีหมวกกุยเล้งปกปิด

               เหมาะสมเป็นอย่างยิ่ง ดีเป็นอย่างยิ่ง แม้เค้าหน้านั้นจะยังคงหรุบต่ำ หากแต่คิ้วโก่งรับกับดวงตาเรียวที่อยู่

เหนือจมูกเชิดรั้งนั้นจับใจหวังต้าชานจนระส่ำระสาย


               “ขอบคุณน้ำใจที่ช่วยเหลือยามลำบาก สหาย...”


               “ข้าพเจ้าแซ่เฉินนามเฟิงหยาง”


               “ไพเราะยิ่ง เหมาะสมแล้วกับฝีมือเยี่ยมยุทธ แม้เพียงตะเกียบหนึ่งคู่กับหมวกเก่าอีกหนึ่งใบมิคาดคิดว่าจะเป็น

อาวุธ ได้รู้จักกับท่านนับว่าประเสริฐแท้ ขอดื่มคารวะท่านสักหนึ่งจอกเถิด”


               “ข้าพเจ้าบอกกับท่านแล้วว่าไม่ชมชอบสุรา และบัดนี้ข้าพเจ้าเลิกหิวกระหายเสียแล้ว”


               ลุกขึ้นยืนเต็มรูปกาย อวดความสูงโปร่งในชุดสีดำสนิท กระบี่คาดที่เอวยิ่งดำกว่า ด้ามจับสีเหลืองทองแวววับ

มือข้างนั้นกระชับมันราวกับไม่เคยห่างมือ


               “ท่านจะไปแล้ว?”


               มิทราบเป็นเพราะกระไรใจของหวังต้าชานจึงหายวาบ ถึงกับเหลียวหลังมองแผ่นหลังนั่นอย่างอาวรณ์


               “แต่เบื้องนอกฝนตก”


               รีบบอกเตือนให้ทราบอาจบางทีเฉินเฟิงหยางจะรั้งรอนานอีกสักนิดเมื่อพายุฝนกระหน่ำลงมา


               “ข้าพเจ้าจะไปยืนรอด้านนอก”


               มันถึงกับไปจริงๆ ไปยืนนิ่งเป็นหุ่นอยู่นอกโรงเตี๊ยม สายฝนเทลงมาห่าใหญ่ ละอองฝนสาดสัดจนเสื้อคลุมสีดำ

เปียกปอน เฉินเฟิงหยางเงยหน้ามองฟ้าเมื่อไม่เห็นแววฟ้าเปิด มันถึงกับทอดถอนใจออกมา


               “ฝนตกหนักไม่เหมาะกับเดินทาง เช่นไรเชิญจอมยุทธเฉินพักรอที่ห้องของข้าจนกระทั่งฝนหยุดจะประเสริฐ

กว่า”






               เฉินเฟิงหยางเข้ามาในห้องพักของหวังต้าชาน  มันนั่งสงวนท่าทีเป็นสง่าอยู่ที่โต๊ะกลางห้อง ตะเกียงใหญ่ดวง

ใหญ่ส่องสว่างยิ่งทำให้หวังต้าชานมองเห็นเค้าหน้านั้นชัดเจนยิ่งขึ้น ความจับใจแปลกประหลาดก็ยิ่งตอกย้ำมากขึ้น


               “ท่านจะพักนานเพียงไรก็ได้”


               “ข้าพเจ้าอยู่เพียงแค่ลมฝนหยุดลงเท่านั้น ไม่คิดจะรบกวนท่านมากไปเกินนี้”


               เสียงราวกระดิ่งลมโต้ตอบทันควัน ชั่วแวบหนึ่งที่หวังต้าชานสบตากับเฉินเฟิงหยางหัวใจของหวังต้าชาน

กระตุกวูบหนึ่ง เป็นคราแรกที่หวังต้าชานไม่เข้าใจตัวมันเองว่าสืบเนื่องจากเหตุกระไรแน่

               เฉินเฟินหยางหรุบตาลงต่ำอีกครั้งเพื่อหนีจากการประสานสายตา ทีท่านั้นสร้างความอึดอัดแก่หวังต้าชานไม่

น้อย

               มันหวังเพียงให้เฉินเฟิงหยางได้มองสบตามันด้วยประกายตาสดใสบ้าง


                “เชิญท่านพักผ่อน หากจะทำเยี่ยงไรก็แล้วแต่ใจท่านเถิด”


               หวังต้าชานหันกลับไปยังประตูทางออก


               “ท่านกำลังจะออกไป?”


               เสียงของเฉินเฟิงหยางทำให้หวังต้าชานชะงักไปวูบหนึ่ง


               “ปีศาจสุราเยี่ยงนี้จะมีสถานที่ใดเหมาะกับข้าพเจ้ามากไปกว่าไหสุราเล่า”


               หวังต้าชานก้าวเดินลงมายังชั้นล่างที่ไร้ผู้คน คนเดินทางผ่านล้วนจากไป คนจับจองห้องพักล้วนซุกตัวอยู่ใต้

ผ้าห่มนวมคลายหนาว หากแต่มันกลับเดินเตร็ดเตร่ใบหน้าเครียดขรึมสับสน พลันสายตาปะทะกับฟ่านเสี่ยวเอ้อทีกำลัง

ทำความสะอาดพื้นอยู่ชั้นล่าง


               “กงจื๊อ ท่านต้องการสิ่งใด”


               หวังต้าชานฝืนยิ้มให้ฟ่านเสี่ยวเอ้อ เอ็นดูในความขยันขันแข็งของมัน


               “ต้องการเหล้าสักไหใหญ่ มิทราบเซียวฟ่านยังมีหลงเหลือหรือไม่”


               เสี่ยวเอ้อตัวเล็กยิ้มแย้มตอบ มันผายมือให้หวังต้าชานเดินตามมันไปยังด้านหลังของโรงเตี๊ยมอันที่สถานที่

เก็บไหสุราชั้นดีตั้งอยู่บนชั้นวางหลายสิบไห หวังต้าชานหัวร่อชอบใจ


               “สุราล้วนชั้นเลิศ ประเสริฐนัก”


               มันคว้าสุราดีมาได้ไหหนึ่ง พานเทใส่ปากดื่มไม่ยั้งราวกับเป็นปีศาจสุราโดยแท้ ดื่มสุราเพียงอย่างเดียวจนใกล้

หมดไหหวังต้าชานจึงได้ยินเสียงฟ่านเสี่ยวเอ้อดังขึ้นด้านหลัง มิคาดว่ามันยังคงอยู่กับหวังต้าชานในห้องเก็บสุรา


               “อากาศหนาวเหน็บเยี่ยงนี้ กงจื้อมิควรดื่มสุราให้เลือดในกายอุ่นเพียงประการเดียว หากกงจื้อได้มีผ้าห่มแนบ

เนื้อนับว่าประเสริฐกว่ามาก”




                 หวังต้าชานหันขวับกลับมาพานพบภาพไม่คาดคิด ภาพลานตาอย่างยิ่ง





มีต่ออีกนิด...


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 02-01-2016 20:48:51 โดย Belove »

ออฟไลน์ Belove

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1230
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +703/-2
    • ฺBelove


ต่อกันตรงนี้...





                ฟ่านเสี่ยวเอ้อยืนเปลือยกาย มีเพียงหมวกคลุมผมเป็นอาภรณ์ชิ้นเดียว เนื้อหนังสีขาวอวดตาอยู่ในแสงสลัว

ของโคมไฟข้างห้อง เงาวูบวาบของแสงไฟยิ่งทำให้ภาพเร้าใจเกินกว่าหวังต้าชานจะคาดคิด เอวคอดบางสมส่วนกับท่อน

ลำพอเหมาะทอดขาเดินมาหา วาดแขนอ่อนระทวยคล้องคอหวังต้าชานที่กำลังตกอยู่ในฤทธิ์ของสุราพลางซบหน้าออด

อ้อน


               “บุญคุณที่กงจื้อช่วยเหลือจากเหล่าหมูตะกละยามเย็น ขอให้ข้าพเจ้าได้ทดแทนด้วยร่างกายนี้”


               หากเป็นวิญญูชนท่านอื่นคงผลักไสร่างอ่อนระทวยนี้ออกไป แต่หวังต้าชานไม่เคยบอกใครว่าเขาเป็นวิญญูชน

               หวังต้าชานรู้จักวางตัว หากพบเห็นกุลบุตร กุลสตรี หวังต้าชานก็จะประพฤติตนเรียบร้อย สุภาพ

               หากหวังต้าชานพบเห็นคนเลว หวังต้าชานก็จะตอบโต้เลวทรามไม่ละเว้น

                และหากหวังต้าซานเจอผู้ร่านราคะ หวังต้าชานก็จะปฏิบัติกับมันเฉกเช่นเดียวกัน

               ฟ่านเสี่ยวเอ้อที่น่ารักน่าสงสารเมื่อยามเย็นกลับกลายเป็นออดอ้อนยั่วเย้า เนื้อหนังช่างนุ่มยามเบียดเข้าหา

กลิ่นกายกรุ่นเข้าจมูกและประสาทสัมผัสทำให้หวังตาชานหมดความอดทน


               “เซียวฟ่าน!”


               คำรามลึกเมื่อบีบคางให้ฟ่านเสี่ยวเอ้อเงยหน้า หวังต้าชานระดมจูบจนปากเล็กสั่นระริก ฟ่านเสี่ยวเอ้อรีบร้อน

ช่วยเหลือถอดเสื้อคลุมสีขาวออกจนเหลือแต่ชุดด้านในสีขาว ใบหน้าหยาดเยิ้มพลันเบียดกายเข้าหาคว้าแก่นกายของ

หวังต้าชานมาลูบคลำอยู่ในมือ

               หวังต้าชานผลักไสร่างเปลือยให้ก้าวถอยหลัง แผ่นหลังของฟ่านเสี่ยวเอ้อกระแทกเบาๆกับผนังห้อง ฟ่าน

เสี่ยวเอ้อแอ่นกายให้หวังต้าชานขบเม้มทิ้งรอยแดงทั่วลำตัว มือทั้งสองตระกองกอดพลางอ้าขารับเมื่อหวังต้าชานแทรก

กายเข้าไปในช่องทางร้อนรุ่ม


                “อา กงจื๊อ ท่านหนักแน่นเหลือเกิน”


               เสียงครางสะท้อนรอบห้องเก็บไหสุรา ฟ่านเสี่ยวเอ้อบิดกายให้พล่านยามหวังต้าชานกระแทกแก่นกายเข้าหา

หวังต้าชานเงยหน้าสูดลมเต็มที่ พลันวูบหนึ่งที่เขามองเห็นใบหน้าของเฉินเฟิงหยางทับซ้อนบนใบหน้าเปี่ยมสวาทของ

ฟ่านเสี่ยวเอ้อ


               “เฟิงหยาง...”


               เปล่งเสียงออกมาอย่างลืมตัว หวังต้าชานอุ้มเอวเล็กของฟ่านเสี่ยวเอ้อให้ลอยขึ้นเกาะเกี่ยวอยู่กับเอวของมัน

พลันใช้ผนังห้องรับน้ำหนักของฟ่านเสี่ยวเอ้อเมื่อหวังต้าชานกระแทกกระทั้นหนำใจ


               “อึก กงจื้อ อา บ้าที่สุด ตัวร้ายกาจ อยู่กับข้าพเจ้าแต่กับเอ่ยชื่อแพศยาอื่น”


               ฟ่านเสี่ยวเอ้อลงแรงทุบแผ่นหลัง หากหวังต้าชานกลับไม่สะเทือนแม้แต่น้อย ฤทธิ์สุรากระชากสติของมันขาด

วิ่น ได้แต่ปลดปล่อยพายุอารมณ์กับร่างยั่วสวาท


               “กงจื้อเลว อา ตรงนั้น ได้โปรดเถิดช่วยข้าพเจ้าด้วย ฮัก ฮัก ซื้ด อ๊า...”


               เกร็งกายอยู่กับท่อนเอวท่อนขา  ฟ่านเสี่ยวเอ้อครางหนักหอบถี่พลันปลดปล่อยน้ำคาวอุ่นจัดออกมา มันปรือ

ตาห่อปากครั้งที่หวังต้าชานกระแทกเอวใส่มันยกสุดท้าย





               ฝนหยุดตกแล้ว วิกาลผ่านไปนานเนิ่นแล้ว บัดนี้ดึกสงัดไร้เสียงอื่นใด เหลือเพียงความฉ่ำชื้นที่ท้องฟ้าทิ้งไว้

เมื่อหวังต้าชานเดินโซเซกลับมายังห้องพัก

               ห้องพักว่างยิ่ง เงียบยิ่ง ไร้ซึ่งวี่แววของตัวกวนใจ

               ไม่มีเฉินเฟิงหยางอีกแล้วภายในห้อง

               หวังต้าชานทิ้งกายลงไปบนเตียงด้วยความผิดหวัง



               พลันตื่นขึ้นมาในยามอรุณรุ่ง อากาศเหน็บหนาวจับใจ หวังต้าชานล้างหน้าแต่งตัวก่อนเดินจากห้องว่าง มัน

เดินลงบันไดมายังชั้นล่างก็พบผู้คนกลุ่มหนึ่งชุมนุมกันอยู่หน้าโรงเตี๊ยม


               “มีเหตุอันใด”


               สายตาพลันจ้องมองหวังต้าชานเป็นจุดเดียว มันถึงกับงงงันเมื่อฟังเหตุผลที่ผู้หนึ่งกล่าว


               “เหล่านักเลงที่ท่านวิวาทด้วยเมื่อเย็นวัน บัดนี้ถึงกับเสียชีวิตแล้ว”


               หวังต้าชานขมวดคิ้ว


               “ฝีมือผู้ใด”


               หนึ่งในกลุ่มชุมนุมตะโกนลั่น


               “หากมิใช่ฝีมือกงจื้อแล้วเป็นผู้ใด”


               ผู้เดิมรีบกล่าวตอบ


               “มิทราบฝีมือผู้ใด แต่เหตุน่าวิตกคือพวกมันเหล่านั้นล้วนสังกัดพรรคฝ่ามือเหล็กของจางหยวน มันผู้นี้กำลัง

ตามไล่ล่าผู้เข่นฆ่าสมาชิกของมัน ทางที่ดีกงจื้อควรรีบหลีกหนีเรื่องราวจะประเสริฐกว่า”


               “ข้าพเจ้ามิใช่ผู้ลงมือ เพราะวิกาลที่ผ่านมาข้าพเจ้าอยู่กับ...”


               เสียงตะโกนอย่างตกใจดังลั่นจากทางด้านหลังโรงเตี๊ยม พลันเถ้าแก่ชราวิ่งออกมา”


               “เซียวฟ่านเสียชีวิตแล้ว มันนอนเปลือยหมดลมหายใจอยู่ในห้องเก็บสุรา!”



                   --------------------------------- โปรดติดตามตอนต่อไป--------------------------------------



อ่านแล้วช่วยวิจารณ์ อย่ารอรี

เร่งเม้นท์เร็วไว ข้าพเจ้ารั้งรอพวกท่านอยู่

 :hao5: :hao5: :hao5:                
               
               
               




ออฟไลน์ WilpeR

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1556
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +45/-2
นายเอกเรื่องนี้โหดเอาเรื่องมาก 5555

ออฟไลน์ ❣☾月亮☽❣

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 6773
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +264/-6
 :katai2-1:   ว้าววว

ฝีมือสุดยอด

ออฟไลน์ วายซ่า

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2224
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +205/-6
จอมยุทธปะทะจอมยุทธ  น่าชมยิ่งนัก   :katai2-1:

ออฟไลน์ Ryoooo

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3146
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +288/-2
สนุก
นายเอกหึงรึเปล่าเลยจัดการเสียเลย

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ Fragrant

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 858
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +38/-0
โอ๊ะ อย่างไรกัน เหตุฉไนยจึงสิ้นลมกันหมด ช่างน่าตกใจยิ่งนัก คาดว่าเหตุเกิดจากการแก้แค้นและพิษรักลมหึงจากนายเอก  :hao7:

ออฟไลน์ Dumzila047

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 29
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
ท่านจอมยุทธ ใยท่านไม่พกถุงยาง  :hao6:
นายเอกเรื่องนี้ท่าจะโหด ฆ่าเรียบ  :z10:
รอตอนต่อไปนะ  :mew3:

ออฟไลน์ agava1313

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1060
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +43/-5
ธีมงวดนี้ กำลังภายในจ๋าเลย ติดตามๆ

ออฟไลน์ mystery Y

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7677
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +585/-12
Re: X-Theme the series Season2<เดียวดายใต้แสงจั
«ตอบ #673 เมื่อ03-01-2016 21:50:48 »

มันขัดๆกับคำว่า'ข้าพเจ้า'ยังไงไม่รู้!?

ออฟไลน์ Apple_matinie

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1564
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +21/-2
ข้าพเจ้า มันแปลกๆ
แต่เนื้อเรื่องน่าติดตามมากก

ออฟไลน์ nightsza

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2035
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +61/-1
เฟิงหยางอาจจะเกิดความหึงหวงต้าชานหรือเปล่า เลยแอบจัดการหมด

ออฟไลน์ Biwty...

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 985
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +22/-1

ออฟไลน์ Belove

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1230
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +703/-2
    • ฺBelove


                                                  เดียวดายใต้แสงจันทร์

                                                            บทที่ 2


               มิทันได้รุดไปถึงร่างไร้ลมหายใจของฟ่านเสี่ยวเอ้อเมื่อมีเสียงตึงตังดังขึ้นจากด้านหนึ่ง พลันผู้คนก็รีบหลีกหนี

ทันทียามขบวนต้นเหตุปรากฏขึ้น เหล่าชายฉกรรจ์น่ากลัวกลุ่มหนึ่งรุดมาหยุดไม่ห่างจากหวังต้าชาน พวกมันเหล่านั้น

แหวกทางให้หัวหน้าของมันก้าวออกมาแสดงตัว มันเป็นบุรุษร่างสูงไขมันพ่วงพีดวงตาถลนยามจ้องมองใบหน้าของหวัง

ต้าชาน ฝ่ามือขวาของมันแดงฉานคล้ายดั่งมีโลหิตทาทาบ


               “ท่านนี้คือ?”


               หวังต้าชานพลันถามด้วยความกังขา มันเบื้องหน้าตบมือฉาดก่อนชี้หน้าหวังต้าชาน


               “ไอ้เต่าสวะนี้ใช่ไหมที่บังอาจหยามข้าพเจ้าด้วยการเข่นฆ่าซือตี๋ของข้าพเจ้าจางหยวนปังจู้(เจ้าสำนัก)พรรค

ฝ่ามือเหล็ก”


               ที่แท้พวกมันทั้งหลายคือพรรคฝ่ามือเหล็ก หวังต้าชานขมวดคิ้วพลันระแวดระวังทันที


               “หามิได้ ข้าพเจ้าเพียงห้ามพวกมันมิให้รุกรานผู้อ่อนแอกว่า หากพวกมันตายเพราะกระไรข้าพเจ้าเองก็ใคร่

ทราบเช่นกัน”


               ดวงตายิ่งถลนน่ากลัว จางหยวนส่งเสียงคำรามขู่ขวัญ


               “หากท่านมิทราบ น่ากลัวไม่มีผู้ใดในโลกล้วนทราบ เพราะที่แท้คือท่านที่บังอาจลงมือ ข้าพเจ้าจะฟาดท่าน

ด้วยฝ่ามือเหล็กทดแทนให้เหล่าซือตี๋”


               จบคำจางหยวนก็พลันถลาเข้าใส่ หวังต้าชานถีบเท้าลอยตีลังกากลางอากาศเร่งให้พ้นจากหน้าโรงเตี๊ยมและ

ผู้คนแถบนั้นไปยังทิวป่าลึก หวังต้าชานมั่นใจในวิชาตัวเบาของมันอย่างยิ่ง เพียงขยับกายไม่กี่ครั้งก็เคลื่อนที่ได้หลายลี้

บนยอดไม้สูง หวังต้าชานมิใคร่ชอบเรื่องทะเลาะเบาะแว้ง มันชอบใช้ชีวิตอยู่บนกองสำราญมากกว่า

               คาดว่าหลีกหนีได้แล้วหวังต้าชานจึงลดกำลังลง มันเดินชมธรรมชาติอยู่ครู่ใหญ่ก็ถึงกับถอนลมหายใจเมื่อ

ได้ยินเสียงก่อกวนอีกครั้ง


                “จะหนีไปไหน ไอ้ลูกเต่าหดหัวในกระดอง”


               คำด่าเกรี้ยวกราดทำให้หวังต้าชานเดือดดาลเช่นกัน มันถึงกับหันกลับมาสะบัดปลายนิ้วเรียกมีดเล็กขาววับ

ออกมาสู่ฝ่ามือ จางหยวนยกมือเป็นสัญญาณให้สมุนพุ่งเข้าโจมตี หวังต้าชานตั้งกระบวนท่าตอบโต้ขว้างมีดเล็กปลิดชีวิต

พวกมันราวกับใบไม้ร่วง จางหยวนเบิกตากว้างจนน่ากลัวจะหลุดออกมา มันทะยานเข้าใส่ต่อสู้กับหวังต้าชานอย่างสูสี

ครั้งหนึ่งมีดเล็กถึงกับบาดเรียกโลหิตจากจางหยวนได้ หากเพราะความอ่อนล้าจากการต่อสู้ของหวังต้าชานจึงถูกฝ่ามือ

ขวาของจางหยวนตีเข้ากลางลำตัว

               โลหิตทะลักทั้งปากทั้งจมูกของหวังต้าชาน ฝ่ามือเหล็กรุนแรงดังสมญา มันเงยหน้าหัวร่อเตรียมทะยานเข้า

ปลิดวิญญาณของหวังต้าชานที่แม้แต่ขายังไร้เรี่ยวแรง ฝ่ามือข้างขวาของจางหยวนแดงก่ำสุกปลั่งเมื่อมันอยู่ใกล้หวังต้า

ชานเพียงแค่เอื้อมมือ

               มิคาดหวังต้าชานยังไม่ถึงคราวตายเมื่อถึงกับมีผู้ขัดขวางการตาย กระบี่ขาวยาวเก้าเชียะสะบัดคมกระทบข้อ

มือของจางหยวนดังเคร้ง มาตรว่ามิสามารถตัดท่อนฝ่ามือเหล็กลงได้แต่ก็ทำให้จางหยวนชะงักงัน


               “เจ้าตัวร้ายกาจนี้นามกระไร”


               ตวาดลั่นยามเบิกตามองร่างโปร่งซ่อนกายอยู่ในเสื้อคลุมสีดำ ผมสีดำขลับมัดเรียบอยู่ด้านหลังเผยเค้าหน้า

หมดจดของบุรุษแปลกหน้าที่กำลังกดยิ้มลึกทั้งที่ไฟแค้นยังสุมอยู่ในดวงตางดงามคู่นั้น


               “แซ่เฉินนามจื่อเยี่ยน”


               จางหยวนผงะหงาย ประกายตาด่าทอกลับกลายเป็นหวาดหวั่นอยู่วูบหนึ่ง มันฝืนหัวร่อฮาๆทั้งที่ฝ่ามือเย็นชื้น

ไปด้วยเหงื่อ


               “เหลวไหล จอมมารผู้นั้นตายจากไปกว่ายี่สิบปีแล้ว ไฉนจึงมายืนพูดจาเถียงคำไม่ตกฟากเช่นทารกตัวนี้”


               บุรุษชุดดำก้มหน้าเหลือบสายตามองก้อนไขมันจางหยวน นิ้วเรียวกระชับด้ามกระบี่ไว้มั่นราวกับมันเป็นอวัยวะ

ชิ้นหนึ่ง


               “เพราะจอมมารผู้นั้นฟื้นขึ้นมาเพื่อชำระแค้นแด่เต่าเฒ่าทั้งหลายที่ร่วมมือกันเข่นฆ่าผู้อื่นและใส่ความมันเพียง

เพราะต้องการช่วงชิงสมบัติล้ำค่า”


               ได้ยินดังนั้นจางหยวนจึงตัวสั่นเทิ้มแล้ว ข่าวเจ้าสำนักห้าแห่งถูกปลิดชีพด้วยคมกระบี่ลึกลับทำให้มันจับจ้อง

ฝักกระบี่สีดำสนิทและใบหน้าเจ้าของมันสลับไปมา จางหยวนรู้แจ้งเป็นอย่างยิ่ง กระจ่างแท้ว่าบุรุษชุดดำเบื้องหน้าคือ

มัจจุราชที่รอปลิดชีพมัน


               “แผ่นสุดท้ายของคัมภีร์เพลงกระบี่จันทราอยู่แห่งใด?”


               “ข้าพเจ้าไม่ทราบ ไม่ทราบจริงๆ”


               ถึงกับคุกเข่าลงอ้อนวอนร้องขอ ใบหน้าของจางหยวนซีดดั่งไร้วิญญาณแล้ว


               “จอมยุทธเฉินได้โปรด ข้าพเจ้าเพียงติดตามเหล่าผู้กล้าชั้นนำไปเท่านั้น หาใช่ผู้บงการ”


               มันร้องขอชีวิตแต่มิอาจได้กลับคืน เพียงแค่คิดขยับกายหนีแต่ดาบคมในฝักก็ขยับตามเสียแล้ว ดาบเก้าเชียะ

คมกริบตวัดแค่กระบวนท่าเดียวไม่ขาดไม่เกินกรีดใบหน้าล่วงถึงแผ่นอก โลหิตแดงฉานผุดพุ่งราวกับน้ำพุ จางหยวนมิทัน

ได้ต่อสู้ชีวิตของมันก็พลันสูญสิ้น เฉินเฟิงหยางจ้องมองร่างแน่นิ่งครู่ใหญ่ มันใช้ปลายนิ้วเช็ดเศษโลหิตที่ยังทิ้งคราบไว้

บนกระบี่ของมันก่อนจะเก็บคืนเข้าฝัก เตรียมพุ่งตัวทะยานขึ้นฟ้าหากสายตาไม่เหลือบแลไปยังหวังต้าชานที่บาดเจ็บ

เพราะฝ่ามือเหล็กเสียก่อน

               มันสืบเท้าลงทรุดตัวนั่งข้างกับหวังต้าชานที่หายใจรวยริน รอยฝ่ามือเหล็กทะลุเสื้อคลุมสีขาวเข้าไปเผาไหม้

ผิวหนังจนคล้ำเกรียม ทิ้งไว้อีกไม่ถึงชั่วยามคาดว่าลมหายใจของหวังต้าชานคงปลิดปลิว

                เฉินเฟิงหยางทอดถอนลมหายใจหนักหน่วง

               ไม่ช่วยก็สามารถทำได้ หากแต่ใบหน้าและดวงตาของมันยามแย้มยิ้มสำราญใจช่างรบกวนจิตใจของเฉินเฟิง

หยางตั้งแต่คราแรกที่พบหน้า เฉินเฟิงหยางมิเคยพบพานผู้ใดที่หัวร่อได้เบิกบานเท่ามันอีกแล้ว

                แม้ร่างกายจะไม่พ่วงพีนักแต่เพราะการฝึกฝนวิทยายุทธมาตั้งแต่จำความได้ เฉินเฟิงหยางค้อมตัวลงแบกหวัง

ต้าชานที่ได้รับบาดเจ็บขึ้นพาดบ่าอย่างไม่เดือดร้อน ก่อนกระทืบฝ่าเท้าลงกับพื้นเพื่อทะยานขึ้นไปกลางอากาศอย่าง

รวดเร็ว

               เฉินเฟิงหยางมีวิชาตัวเบาล้ำเลิศแม้จะแบกร่างบาดเจ็บมาด้วย มันพาหวังต้าชานลอยละลิ่วอยู่กลางอากาศ

หลายสิบลี้จนกระทั่งถึงแหล่งน้ำแห่งหนึ่งกลางป่าใหญ่เฉินเฟิงหยางจึงหยุดเท้าและวางหวังต้าชานลงที่โคนต้นหลิวที่แผ่

กิ่งก้านอยู่ริมบึงน้ำให้ร่มเงากว้างขวาง

               วิชาฝ่ามือเหล็กใช้ความร้อนของธาตุไฟ บัดนี้หวังต้าชานร่างกายแดงก่ำไปหมด ลมหายใจของมันร้อนผะผ่าว

ราวกับไฟสุม นี่เป็นเพียงอานุภาพเพียงเจ็ดในสิบส่วนที่หวังต้าชานได้รับยังบาดเจ็บถึงเพียงนี้ หากฝ่ามือเหล็กปะทะเต็ม

ที่หวังต้าชานคงไม่มีรอยยิ้มเบิกบานอีกแล้ว

               เฉินเฟิงหยางขยับร่างของหวังต้าชานพลันถอดเสื้อคลุมกายและเสื้อภายในที่ไหม้เกรียมของมันออก เหลือ

เพียงร่างกายร้อนดั่งไฟแผดเผา เฉินเฟิงหยางทรุดนั่งอยู่เบื้องหลังวางฝ่ามือทั้งสองแนบไปกับแผ่นหลังร้อนปลดปล่อย

ไอเย็นจากลมปราณของมันเข้าสู่ร่างกายของหวังต้าชานทีละนิด

               ไอเย็นขับไล่ไฟร้อนช้ายิ่ง ยากยิ่ง มากกว่านี้ไม่ได้ น้อยกว่านี้ยิ่งไม่ได้ เนิ่นนานกระทั่งสายัณห์เคลื่อนคล้อย

จันทราดวงกลมขยับผ่านไปอยู่กลางฟ้าไอร้อนนั้นจึงหมดไปจากหวังต้าชาน เฉินเฟิงหยางสูดลมหายใจเข้าปอดเนิบนาบ

จวบจนถอนฝ่ามือออกจากแผ่นหลังของหวังต้าชาน มันเองเหน็ดเหนื่อยและเสียแรงไปไม่น้อยจนถึงกับหอบหายใจถี่เร็ว

                ลมหายใจของหวังต้าชานสม่ำเสมอยิ่ง เปลือกตาปิดสนิทอยู่ในนิทรา เฉินเฟิงหยางขยับตัวมันให้หลับสนิทยิ่ง

ขึ้น จนกระทั่งบัดนี้เฉินเฟินหยางยังไม่อาจเข้าใจตนเองเพราะกระไรต้องช่วยเหลือผู้ซึ่งเคยพบพานเพียงไม่นานดั่งเช่น

หวังต้าชานด้วย

               เช่นไรก็ช่วยไปแล้ว มันทอดถอนลมหายใจอีกคราก่อนวางมือสัมผัสร่างกายที่ยังทิ้งไอร้อนไว้อีกเล็กน้อยขณะ

พวกมันอยู่ท่ามกลางอากาศเย็นเยียบกลางป่าลึก เช่นนี้แล้วยังมีหนทางได้ช่วยให้ความอบอุ่นแก่มันอีกเล่า

               ทิ้งกายลงไปนอนเคียงข้าง เฉินเฟิงหยางถอดเสื้อคลุมออก มันแนบกายของมันเข้าโอบกอดร่างของหวังต้า

ชานไว้ทดแทนผ้านวม มิคาดกระแสอบอุ่นประหลาดแล่นผ่านเข้าสู่หัวใจจนเผลอซุกหน้าของมันเข้ากับแผ่นอกอุ่นของ

หวังต้าชาน

                ค่ำคืนเหน็บหนาวนี้เป็นค่ำคืนแรกที่หัวใจของเฉินเฟิงหยางคล้ายอบอุ่นอย่างยิ่งใต้แสงจันทร์ที่สาดส่องมา








               หวังต้าชานมิทราบตนเองหลับใหลไปนานเพียงใดจนกระทั่งมันขยับเปิดเปลือกตาขึ้นมา ความงงงันบังเกิดจน

ต้องกระพริบตาขับไล่และทบทวน ความจำครั้งสุดท้ายของมันคือความเจ็บปวดจากฝ่ามือเหล็กและร่างกายในชุดคลุมสี

ดำที่ช่วยเหลือไว้ เมื่อความทรงจำกลับคืนมันจึงฝืนกายลุกนั่งกวาดสายตามอง

               กลางป่าลึกกลับมีบึงน้ำกว้างและต้นหลิวอายุร่วมร้อยปีให้ร่มเงาจากแสงอรุโณทัย หวังต้าชานขยับกายเพ่ง

มองคนผู้หนึ่งยืนสง่างามอยู่ริมบึงไม่ไกลนัก เฉินเฟิงหยางเหม่อมองผิวน้ำสะอาดเงาวับเบื้องหน้าพลันยกมือที่ถือขลุ่ย

เหมาะมือขึ้นทาบที่ริมฝีปาก

               เสียงขลุ่ยไพเราะกังวาน หวังต้าชานนิ่งงันรับฟังบทเพลงคุ้นหูที่บรรเลงผ่านขลุ่ยเลานั้นจากปลายนิ้วไล่เสีย

ของเฉินเฟิงหยาง

               เสียงขลุ่ยหยุดลงกระทันหัน หวังต้าชานนึกเสียดาย มันขยับลุกและเดินไปยืนเคียงข้างเฉินเฟิงหยางตรงริมบึง

น้ำ


               “กระไรจึงหยุดขลุ่ยแสนไพเราะเสียเล่า ข้าพเจ้าเพลินเพลินยิ่ง”


               “เป็นเพราะทารกน้อยขยับตัวกวนใจข้าพเจ้าจนมิอาจเป่ามันต่อได้”


               หวังต้าชานลอบยิ้ม เฉินเฟิงหยางยินดีกล่าวกับมันแค่เพียงเล็กน้อยหัวใจของมันกลับเต้นไหวไม่เลิกรา


               “บุญคุณที่ช่วยเหลือ ข้าพเจ้าจะไม่ลืมเลือน”


               เฉินเฟิงหยางไม่กล่าวตอบ แต่มันก้มหน้าซ่อนรอยยิ้มไว้ภายใต้ท่าทีเงียบขรึม ใบหน้าออกสีระเรื่อยาม

แสงแดดเริ่มส่องแรงขึ้น


               “ข้าพเจ้าใคร่ทราบ บาดเจ็บครานี้หลับใหลเป็นเวลานานเท่าใด?”


               “กว่าเจ็ดคืนเจ็ดวันจนถึงวันนี้”


               เจ็ดคืนเจ็ดวันที่เฉินเฟิงหยางดูแลและอยู่เคียงข้างยามที่มันอ่อนแอถึงที่สุด หวังต้าชานซาบซึ้งจนไม่อาจเอ่ย

ออกมาได้อีก มันสอดปลายนิ้วเข้าไปในอุ้งมืออุ่นของเฉินเฟิงหยางบีบกระชับกับมือของมัน โดยที่เฉินเฟิงหยางกลับมิได้

ตัดรอนเยื่อใย


               “เฉินจื่อเยี่ยนกับท่านเป็นกระไร?”


               หวังต้าชานสอบถามสิ่งที่ได้ยินยามเฉินเฟิงหยางกล่าวกับจางหยวน เฉินเฟิงหยางเม้มปากนิ่งครู่ใหญ่


               “ที่แท้เป็นบิดาข้าพเจ้า”


               “เกิดเหตุแท้จริงใดเมื่อยี่สิบปีที่ผ่านมา?”


               “แปดสำนักชื่อก้องยุทธภพร่วมมือกันบุกไปยังพรรคจันทรา อ้างกับชาวบู๊ลิ้มว่าเพื่อปราบบิดาข้าพเจ้า แต่

แท้จริงแล้วพวกมันรวมหัวกันฆ่าล้างตระกูลข้าพเจ้าเพื่อหวังแย่งชิงคัมภีร์กระบี่จันทรา อันได้ชื่อว่ายอดที่สุดหนึ่งในสาม

เพลงกระบี่”


               “พวกมันเอาไปได้?”


               “ไม่ได้ บิดาข้าพเจ้าต่อสู้จนวาระสุดท้ายเพื่อรักษามันและส่งให้ข้าพเจ้าที่ยังเยาว์ชิงหลีกหนี แต่ในพวกมัน

เหล่านั้นผู้หนึ่งฉีกแผ่นสุดท้ายของคัมภีร์ออกไป ทำให้คัมภีร์กระบี่จันทรามีเคล็ดวิชาไม่สมบูรณ์”


               “เมื่อท่านเจริญวัยจึงถึงเวลาชำระแค้นและเสาะหาแผ่นสุดท้ายของคัมภีร์”


               เฉินเฟิงหยางพยักหน้ารับ หวังต้าชานเห็นใจที่มันต้องมีชีวิตอยู่เพียงลำพังและต้องหลบซ่อนจากผู้กระหาย

วิชา


                “นานเพียงใดที่ข้าพเจ้าจะได้อยู่เคียงข้างท่านเช่นนี้?”


               “แค่เพียงตื่นจากนิทราก็คิดจาก?”


               กล่าวตัดพ้อจนหวังต้าชานรีบร้อนประคองใบหน้าของเฉินเฟิงหยางไว้


               “ข้าพเจ้าไม่ทราบไฉนท่านจึงคิดกระไรเลวร้ายปานนี้ มีหรือที่ข้าพเจ้าคิดไกลจากตัวกวนใจเช่นท่าน”


               เฉินเฟิงหยางสบตาด้วยหัวใจไหวระรัว สัมผัสอุ่นบนใบหน้าเรียกร้องให้มันเอียงแก้มลงซบแสวงหาความ

อบอุ่น


               “น่ากลัวว่าท่านจะต้องอยู่กับตัวกวนใจไปอีกสักสองสัปดาห์จนถึงงานชุมนุมชาวยุทธบนยอดเขาบู๊ตึ๊ง”


               “เป็นสองสัปดาห์ที่ข้าพเจ้าน่ากลัวจะมีความสุขตลอดชีวิตที่ได้อยู่กับตัวกวนใจเช่นท่าน”


               คำหวานที่กล่าวจับใจเฉินเฟิงหยางอย่างยิ่ง จับใจจนหลงลืมตนเมื่อหวังต้าชานขยับใบหน้าเข้าหาและกดปาก

ลงมาแนบไปกับกลีบปากของเฉินเฟิงหยาง มันได้แต่พริ้มตาลงรับกับสัมผัสแปลกใหม่ หวังต้าชานสอดมือวางแนบเอว

แล้วโอบมันเข้าหาต้ว เฉินเฟิงหยางรีบผลักไสหวังต้าชานออกทันที


               “ขออีกนิด”


               “ไม่ได้ ท่านต้องเอ่ยคำตอบให้ข้าพเจ้าพอใจ”


               “ท่านสงสัยกระไร”


               “ปีศาจสุราเช่นท่านหายไปไหนยามค่ำคืนที่ฝนกระหน่ำ”


               หวังต้าชานใจหาย คำถามนั่นเกรงว่าร้ายแรงกว่าฝ่ามือเหล็กของจางหยวนเสียอีก


               “ข้าพเจ้า ข้าพเจ้า ไปปลดปล่อยพิษที่ตัวกวนใจเช่นท่านวางไว้ในหัวใจของข้าพเจ้า”


               “เฮอะ ประการนั้นค่ำคืนนี้ข้าพเจ้าจะไม่เป็นตัวกวนใจท่านอีกแล้ว”
               






               เฉินเฟิงหยางกระทำจริงดั่งคำพูด เมื่อแสงตะวันลับเหลี่ยมฟ้ามันจึงนั่งนิ่งอยู่ใต้ต้นหลิวใหญ่ หวังต้าชานนั่ง

เงียบข้างกองไฟในความมืดของราตรี มันเหลือบตามองใบหน้าปั้นปึงของเฉินเฟิงหยาง หวังต้าชานตัดสินใจลุกขึ้นไปนั่ง

เคียงคู่และโอบกอดเฉินเฟิงหยาง


               “ท่านไม่ให้อภัย ข้าพเจ้าเกรงว่าจะหนาวตาย”


               “เรื่องของท่าน”


               “ข้าพเจ้าเกรงที่ท่านช่วยเหลือจะสูญเปล่า อย่างน้อยเป่าขลุ่ยไพเราะให้ข้าพเจ้าฟังสักเพลงนับว่าเป็นพระคุณ”


               เฉินเฟิงหยางตวัดสายตา หากเพราะความอบอุ่นจากอ้อมกอดทำให้มันยอมคว้าขลุ่ยขึ้นมาจรดริมฝีปาก และ

บรรเลงบทกวีออกมา


                                   


มีต่ออีกนิด...


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 10-01-2016 14:22:19 โดย Belove »

ออฟไลน์ Belove

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1230
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +703/-2
    • ฺBelove


ต่อกันตรงนี้...





                                       อาทิตย์ลาลับฟ้า      เหลือจันทรากลางเวหน

                               เดือนเดี่ยวเปลี่ยวกมล      ยามเฝ้ายลบนนภา

                                     ดั่งใจแสนอ้างว้าง      ไร้คนข้างอย่างตัวข้า

                                  จันทร์ส่องต้องเอกา      ช่างเดียวดายใต้แสงจันทร์



                                        天空日落下        黑黑之月亮。

                                เทียนค่งรื่อลั่วเซี่ย  ,       เฮย เฮย จือ เยวี่ย เลี่ยง.

                                      如寂寞之心          参演光明。

                                  หรู จี้ ม่อ จือ ซิน  ,      ชานเหยี่ยน กวง หมิง.

                                    担心如何             非爱人背后。

                                 ตานซิน หรูเหอ  ,         เฟย อ้ายเหริน เป้ยโฮ่ว.

                                         月亮眼泪下        吾独别人在。

                         เยวี่ยวเหลี่ยง เหยี่ยน เล่ยเซี่ย ,       อู๋ ตู๋ เปี๋ย   เหรินจ้าย.

                  (ให้เสียงภาษาจีนโดย น้องเบลล่า แอดมินบ้าน Hunz_china.com ขอบพระคุณมากๆค่ะ)               



               เสียงขลุ่ยบรรเลงหวานเศร้าแผ่วพลิ้วสะท้อนก้องป่า ความอ้างว้างเดียวดายตลอดชีวิตถ่ายทอดมากับเสียง

ดนตรี หวังต้าชานกระชับอ้อมกอดลดทอนความว้าเหว่นั้นจนเฉินเฟิงหยางน้ำตาเอ่อท้น


               “ข้าพเจ้าจะอยู่เคียงข้างท่าน ท่านมิต้องเดียวดายอีกต่อไป”


               “ต้าชาน...”


               ทอดกายไปกับความอบอุ่นของหวังต้าชานที่รั้งกายให้มันขยับแนบไปกับพื้น แววตาประกายแสงโน้มเข้าหา

แนบสนิทอยู่ด้านบน เฉินเฟิงหยางปล่อยใจให้หวังต้าชานจูบแผ่วเบา ริมฝีปากเย็นเริ่มอุ่นชื้นเมื่อหวังต้าชานสอดลิ้นของ

มันเข้ามาตวัดคลอเคลีย

               ฝ่ามือร้อนบรรจุงดึงเสื้อคลุมของเฉินเฟิงหยางออกทีละชิ้น เหลือเพียงร่างเปลือยอวดสายตาท่ามกลาง

แสงจันทร์ครึ่งดวงที่ส่องสว่าง เฉินเฟิงหยางกระดากเหลือเกินกับสายตาโลมเลีย แต่มันก็ไม่ทันห้ามปรามเมื่อหวังต้าชาน

กวาดมือลูบไล้แผ่วเบาจากแผ่นอกเคลื่อนคล้อยลงต่ำสู่องคาพยพกึ่งกลางกาย


                “อา...”


               หวังต้าชานก้มหน้าลงหายอดทับทิมสีชมพูบนแผ่นอกขาว ปลายลิ้นละเลงยอดมอบความชุ่มชื่น มันบีบเค้น

ฝ่ามือที่กอบกุมส่วนสำคัญพร้อมกัน เสียงหวานครางแผ่วดังจากปากของเฉินเฟิงหยางเมื่อความกำหนัดจู่โจมอย่าง

รวดเร็ว


               “ท่านหวานเหลือเกิน”


               หวังต้าชานพึมพำกระเส่า มันเร่งดึงเสื้อผ้าออกจากกายก่อนทาบทับลงบนอย่างจงใจ มันแนบเอวลงต่ำให้จุด

กำเนิดเบียดร้อนต่างก็ผงาดขึ้นชี้หน้า หวังต้าชานเลื้อยร่างลงต่ำ กัดปากเข้าใส่ต้นขาอ่อนขาวจนเฉินเฟิงหยางสะดุ้งอ่อน

ไหว

               มังกรผงกหัวทักทาย หวังต้าชานไม่รอช้ารีบรุดแตะลิ้นตอบกลับ มันถูไถริมฝีปากเข้ากับมังกรสีเนื้อกระทั่ง

เปียกชื้นและกัดเบาๆ


               “อื้อ...”


               เฉินเฟิงหยางกัดฟันหลับตาปรือ ความกำหนัดแล่นวูบวาบอยู่ในช่องท้องสร้างความทรมานให้กับมันเหลือ

กล่าว เพราะความไม่เคยปลดปล่อยด้วยต้องคร่ำเคร่งฝึกวิชาเมื่อพบกับชั้นเชิงของหวังต้าชาน เพียงไม่นานที่มังกรผลุบ

หายเข้าปาก หวังต้าชานก็รีดพิษคำรบแรกออกมาแล้ว


               “รสรักของท่านช่างหวานนัก”


               หวังต้าชานขยับคายมังกรคืนสู่อิสระ เลื่อนกายขึ้นมาสบตาแดงก่ำด้วยความต้องการถาโถมเข้าใส่ มันผลักดัน

ท่อนขาหนั่นแน่นของเฉินเฟิงหยางกว้างออกเพื่อที่มันจะได้แทรกกายอยู่ระหว่างนั้นได้พอเหมาะ


               “ท่าน...ไอ้ตัวร้ายกาจ”


               ใบหน้าหมดจดแดงก่ำไปด้วยความต้องการ เฉินเฟิงหยางยกแขนคล้องรอบลำคอของหวังต้าชานไว้ขณะมัน

จ่อมังกรของมันไว้หน้าปากถ้ำ


               “ตัวร้ายกาจนี้จะทำให้ท่านร้องระงมด้วยความสุขสม”


               มันคายน้ำรักของเฉินเฟิงหยางใส่ฝ่ามือ หวังต้าชานวาดนิ้วสัมผัสอยู่รอบปากถ้ำก่อนดันเอวเข้าหา มังกรตัว

ใหญ่ของมันเปิดปากถ้ำคับแคบเข้าไปได้เพียงเล็กน้อยเฉินเฟิงหยางก็ร้องออกมา


               “เจ็บ...”


               เจ็บเสียยิ่งกว่าฝึกวิชามากมายนัก น้ำตาซึมอยู่ตรงหางตาของเฉินเฟิงหยาง หวังต้าชานขยับเข้าจูบเร็วรี่


               “โปรดมองตาข้าพเจ้า ท่านจะไม่เจ็บปวดไปมากกว่านี้อีกแล้ว”


               หวังต้าชานระดมจูบ มือสองข้างตรึงข้อมือเฉินเฟิงหยางกับพื้นดิน มันขยับเอวช้ายิ่ง เนิบนาบยิ่ง เบิกทาง

สวรรค์เข้าไปจนมังกรผลุบหายหมดตัว บัดนี้เฉินเฟิงหยางกระสันจนลมหายใจถี่เร็วร้อนผ่าว


               “ข้าพเจ้าจะทำให้ท่านรู้จักคำว่าความสุขต่อหน้าดวงจันทร์ค่ำคืนนี้”


               กระซิบข้างหูก่อนบรรเลงบทรัก หวังต้าชานขยับเอวเคลื่อนที่อยู่ในช่องทางคับแคบ แรงเสียดสีกระหน่ำ

ร่างกายเบียดรัดไม่เหลือช่องว่าง เฉินเฟิงหยางเสียวซ่านไปกับประสบการณ์ใหม่จนปลายเท้าเกร็งจิกพื้นดิน มันเด้งเอว

รับแรงที่หวังต้าชานถาโถมเข้าใส่


               “อา... ฮึก ต้าชาน ต้าชาน”


               “เฟิงหยาง อา ขออีกสักนิด”


               “ฮึก มะ ไม่ไหว ไม่ไหวแล้ว”


               เฉินเฟิงหยางครางลั่น มันบิดกายพล่านรับแรงอีกไม่กี่ครั้งทางสวรรค์ก็เปิดรับมัน หวังต้าชานรีบเร่งขับเคลื่อน

ย้ำก่อนที่มันจะหอบลึกเมื่อติดตามไปทางสวรรค์ไม่ห่างกันนัก

               มันทิ้งกายลงไปโอบกอดร่างนุ่มท่ามกลางพื้นดินใต้ต้นหลิวริมบึงน้ำ และพ่นคำรักตลอดราตรี
                 


                                      --------------------- โปรดติดตามตอนต่อไป------------------------
                                               
                                                                       

               แต่งยากมาก นี่ต้องเปิดเพลงจีนสร้างอารมณ์กันด้วย ชอบกันหรือเปล่าไม่รู้ แต่คนแต่งสนุกมาก 55555

                                                                     :laugh: :laugh: :laugh:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 10-01-2016 14:32:40 โดย Belove »

ออฟไลน์ ❣☾月亮☽❣

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 6773
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +264/-6
 :heaven.  สุนทรียะมาเต็มๆ

ขอบคุณมากค่ะ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ poporimikoru

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 69
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
ร้อนแรเหลือเกิน ตายแปรปปป

ออฟไลน์ Ryoooo

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3146
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +288/-2
เลือดออกหมูกกกก

อะไรจะร้อนแรงแต่นุ่มนวลแบบนี้
ชอบบ

ออฟไลน์ mystery Y

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7677
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +585/-12
รอตอนต่อไป~

ออฟไลน์ nightsza

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2035
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +61/-1
งั้นก็ไม่เดียวดายแล้วล่ะสิ

ออฟไลน์ Fragrant

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 858
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +38/-0
ให้ความรู้สึกเหมือนดูกระบี่เย้ยยุทธจักร  :hao7:

ออฟไลน์ Belove

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1230
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +703/-2
    • ฺBelove


                                                      เดียวดายใต้แสงจันทร์

                                                              บทที่ 3/1


               มีแค้นไม่อาจมีรัก

               คำกล่าวนี้เตือนใจให้เฉินเฟิงหยางเจ็บช้ำยิ่ง

               เนื่องด้วยมีรักย่อมอาวรณ์ มีรักย่อมกระวนกระวายหา อย่างเช่นบัดนี้ที่มันกล่าวได้ว่ามันรักหวังต้าชานเต็ม

หัวใจ

               หวังต้าชานดีกับมันอย่างยิ่ง ปรนเปรอให้มันมากยิ่ง เฉินเฟิงหยางที่ปราศจากอุ่นไอรักซาบซึ้งอย่างยิ่งจวบจน

เวลาผันผ่านไปถึงวันสุดท้ายที่มันจะได้ทอดกายในวงแขนของหวังต้าชาน เมื่องานชุมนุมชาวยุทธบนยอดเขาบู๊ตึ๊งจะ

บังเกิดในวันรุ่ง

               หวังต้าชานก็เช่นกัน

               มันลูบไล้ผิวกายเย็นในวงแขนไปมา

               มันก็รู้เช่นกันว่าถึงกระไรความกตัญญูและความแค้นของเหล่าบุรุษย่อมอยู่เหนือความรัก มาตรว่ามันรัก

เฉินเฟิงหยางมากเท่าใดก็มิอาจขัดขวางจุดมุ่งหมายของเฉินเฟิงหยาง


               “สถานที่นี้จะเป็นสถานที่ของเรา”


               เฉินเฟิงหยางจ้องมองดวงจันทร์เกือบเต็มดวงที่ผ่านพ้นยอดต้นหลิวอยู่บนท้องฟ้าไร้เมฆ มันโอบกระชับอ้อม

กอดโหยหาไอรัก


               “ข้าพเจ้าหากรอดจากชำระแค้น จะเฝ้ารอท่านอยู่ที่ใต้ต้นหลิวแห่งนี้”


               “ข้าพเจ้าหากไม่มา”


               มันทอดถอนใจคราใหญ่


               “ข้าพเจ้านับว่ายังรอ มาตรว่าเช่นไรก็จะรอ”


               หวังต้าชานกังวลไม่น้อย มันห่วงใยเฉินเฟิงหยางคล้ายดั่งเป็นส่วนหนึ่งของตนเอง แต่บัดนี้กระไรจะดีไปกว่า

มอบความรักให้เฉินเฟิงหยางสุขสบายกายและใจอีกเล่า


               “โปรดใส่ใจว่าข้าพเจ้านั้นรักท่าน”


               หวังต้าชานพลันจูบหน้าผากเกลี้ยง เฉินเฟิงหยางพริ้มตารับ มือของพวกมันพากันเปลื้องเสื้อผ้าอาภรณ์ของ

กันและกันจนไม่เหลือสิ่งใด เฉินเฟิงหยางแย้มยิ้มเศร้ากล่าวออกไป


               “ข้าพเจ้าจะปรนเปรอความสุขให้ท่านตอบแทนรักนั้น”


               กายโปร่งขาวนวลทอดกายทาบทับอยู่บนหวังต้าชาน เฉินเฟิงหยางแนบปากอุ่นกับคางสากนั้น มันขบเม้มแผ่ว

เบาแล้วลากลิ้นลงใต้ บดเบียดเนื้อกายลงไปให้อบอุ่น ปลายนิ้วเรียวที่จับแต่ด้ามกระบี่บัดนี้สะบัดคว้าแก่นกายหวังต้าชาน

นวดเฟ้นในอุ้งมือ หวังต้าชานวาดมือบีบเค้นเนื้อหนัง พลันกอบโกยยอดอกปลุกไฟรักให้ลุกโชน

               ดวงตาเฉินเฟิงหยางเป็นประกาย มันขยับสะโพกถูไถต้นขาหนั่นแน่นโหมแรงใส่มังกรหลับใหลให้ลุกขึ้นสู้ทั้ง

ของมันและหวังต้าชาน เฉินเฟิงหยางดันกายสูงขยับปากถ้ำให้กลืนกินมังกรยักษ์เข้าไป


                “อา...”


               สะท้านกายจนหอบหายใจกระเส่า สายลมเอื่อยยามราตรีพัดพากลิ่นดอกไม้ป่าแตะจมูกให้รัญจวนยิ่ง มันถึงกับ

บดขยี้สะโพกลงไปจนมังกรผลุบหายไม่เหลือเห็น หวังต้าชานคำรามลึกพอใจพลันเด้งกายหยอกล้อเรียกเสียงครางผะ

แผ่วจากปากสีแดงเรื่อของเฉินเฟิงหยาง


               “ตัวร้ายกาจกลั่นแกล้ง”


               เป็นเฉินเฟิงหยางอุทานกระเส่า มังกรต่อสู้อยู่ภายในทะลวงถ้ำน้อยจนหยาดฉ่ำเปียกชื้น หวังต้าชานหัวร่อ

ถูกใจมันชันต้นขาตั้งขึ้นประสานมือกับเฉินเฟิงหยางให้กระแทกกายกลับ เฉินเฟิงหยางโน้มกายลงประกบปากแลกลิ้น

ร้อนยามขยับเอวสู้


               “อา ต้าชาน ตัวร้ายกาจ ข้าพเจ้ารักท่าน”


               “ข้าพเจ้ารักตัวกวนใจเช่นท่านไม่แพ้กัน”


               ปรนเปรอรักจนอิ่มเอมดุจจูงมือเดินเล่นบนสวรรค์ เฉินเฟิงหยางจึงได้ทิ้งกายซบแผ่นอกกว้างหลับใหลตลอด

ราตรี





               อรุณรุ่ง

               หวังต้าชานพลันตื่นจากนิทรา มันเหลียวมองสุดกายแต่มิเห็นอื่นใดนอกจากป่ากว้าง หัวใจมันพลันหล่นหาย

               เฉินเฟิงหยางจากมันไปแล้ว ไร้ซึ่งคำร่ำลา มันผุดลุกแต่งกายรัดกุมและเร่งเดินทางเพราะมันรู้ดีว่าจุดมุ่งหมาย

ของเฉินเฟิงหยางคือแห่งใด

               หวังต้าชานมั่นใจวิชาตัวเบาของมัน หากมั่นใจวิชาตัวเบาของเฉินเฟิงหยางมากกว่า มันกลัวเฉินเฟิงหยางจะ

ใช้ไฟแค้นจนลืมสติยามเผชิญหน้ากับเหล่าอธรรมที่เข่นฆ่าล้างตระกูล เร่งฝีเท้าจนกระทั่งถึงเขาบู๊ตึงยามตะวันตรงหัว

พร้อมกับงานชุมนุมชาวยุทธเริ่มต้น

               ลานกว้างของสำนักบู๊ตึ๊งบัดนี้คราคร่ำไปด้วยเหล่าจอมยุทธ สำนักและพรรคใหญ่อยู่รวมกันเป็นกลุ่มปักธงตรา

ปลิวไสว เบื้องหน้าสูงขึ้นไปปรากฏมีผู้นำของยุทธจักรรวมกันอยู่หลายคน


               “คารวะจอมยุทธทั้งหลาย”


               ซีไท่หยางนักพรตประมุขสำนักบู๊ตึ๊งยกมือคำนับ ได้ยินเสียงขานรับดังก้อง


               “งานชุมนุมชาวยุทธภพในคราวนี้เพื่อพานพบหน้าซึ่งกันประการหนึ่ง และอีกประการหนึ่งนั้นข้าพเจ้าใคร่หารือ

เรื่องเจ้าสำนักเลื่องชื่อถูกกำจัดล้มตาย ล่าสุดคือจางหยวนปังจู้แห่งพรรคฝ่ามือเหล็ก”


               เสียงฮือฮาดังคราหนึ่งเมื่อต่างทราบข่าวการสูญเสียของหัวหน้าพรรคดัง


               “มีผู้พบเห็นกล่าวว่า จางหยวนปังจู้มีเรื่องวิวาทก่อนตาย”


               “มิทราบจางหยวนปังจู้บาดหมางกับผู้ใด ข้าพเจ้าคาดว่ามันผู้นั้นคือตัวการ” ผู้กล่าวคือ ลี่ซ่งสือประมุขสำนัก

คุนลุ้นอันโด่งดัง ผู้คนต่างคาดหมายมันจะเป็นผู้นำยุทธภพคนใหม่ ซีไท่หยางยกมือลูบเคราก่อนตอบ



               “มีคนกล่าวอ้าง มันบาดหมางกับผู้ใช้วิชามีดบินอหังการ์นามหวังต้าชาน”


                “ตัวร้ายกาจหวังต้าชาน บัดนี้มันอยู่ที่ใด”


               “มันอยู่ที่นั่น”


               พลันจบเสียงดังผู้คนต่างหันมองหวังต้าชานเป็นคราเดียว มันตกใจยิ่งนัก หากที่มันตกใจมิใช่เพราะตกเป็นเป้า

สายตาของชาวยุทธ หากแต่เพราะคนที่ออกมากล่าวชี้แนะนำมันต่างหากเล่า

               คนผู้นั้นตัวเล็กกว่าจอมยุทธอื่นยืนเด่นเบื้องหน้าผู้ติดตามจำนวนหนึ่งกริยาอ่อนช้อยเกินบุรุษ มันสวมใส่เสื้คลุม

สีฟ้าสดปักลายนกยูงรำแพน มันก้าวออกมาแนะนำตัวแก่ที่ชุมนุม


                “ข้าพเจ้าแซ่ฟ่านนามชิงไฉ เป็นประมุขพรรคไหมฟ้า”


               “ฟ่านชิงไฉ ไฉนท่านจึงล่วงรู้จักหวังต้าชาน”


               มันแย้มยิ้ม มือลูบไล้ปอยผมไปพลาง


               “ข้าพเจ้าต้องล่วงรู้จักมันเป็นอย่างดี เพราะมันเสพสังวาสกับข้าพเจ้าก่อนที่มันจะกำจัดจางหยวนหนึ่งในบุรุษ

ของข้าพเจ้า”


               ที่แท่ฟ่านชิงไฉกลับมาใบหน้าละม้ายฟ่านเสี่ยวเอ้อในโรงเตี๊ยมริมทางไม่มีผิด





              TBC




แต่งสะสม ไม่ว่างเล้ยยย  :katai1: :katai1:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 16-01-2016 21:18:48 โดย Belove »

ออฟไลน์ poporimikoru

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 69
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
ละมุนอยู่ดีๆ

สุดท้ายตกใจมาก เคลียร์งานเสร็จเมื่อไหร่มาต่อไวๆนะคะ

ออฟไลน์ ❣☾月亮☽❣

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 6773
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +264/-6
 :L2:  อ้าวๆเริ่มเข้มข้นแล้วสิ. ขอบคุณมากค่ะ
รอๆ

ออฟไลน์ Fragrant

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 858
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +38/-0

ออฟไลน์ Apple_matinie

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1564
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +21/-2
เรื่ องนี้กะลังมันนนน

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด