เล่ห์ · รัก · ร้าย
.
.
.
๒๑
อินทัชนิ่งอยู่อย่างนั้นราวถูกสาป ชีวิตของเขาคงจบแล้ว หมดแล้วชีวิตนี้...
ในที่สุด ความลับก็ไม่มีในโลกจริงๆ
ในขณะที่ร่างกายของอินทัชเย็นยะเยือกและแข็งทื่ออยู่อย่างนั้น เขาเห็นว่าแววตาของคิมหันต์เต็มเปี่ยมไปด้วยความโกรธขึ้ง โมโห อยากจะฆ่าเขาให้ตายคามือ แน่ล่ะซี คนที่เขาทำร้ายคือน้องชายที่อีกฝ่ายสุดแสนหวงแหน ไม่โกรธคงแปลก เขาทำได้เพียงสงบสติอารมณ์ตัวเองให้มากที่สุด จากความไม่พอใจที่อศวมินทร์ทำแบบนี้ และจากความอัปยศของสิ่งที่ตัวเองเคยก่อ ชายหนุ่มยืนนิ่งราวรอให้โลกทั้งใบและทุกคนรุมประณามความเลวของตัวเอง
“คุณ กับมิน...” คิมหันต์ลากเสียง มือหนากำไว้แนบแน่นเมื่อนึกถึงสีหน้าของอินทัชที่แล้วมา เสแสร้งว่าตัวเองไม่มีความเกี่ยวข้องกับน้องชายเขาได้อย่างแนบเนียน มิน่าล่ะ อศวมินทร์ถึงได้โกรธและเกลียดมากมายขนาดนั้นในวันที่รู้ความจริง เพราะอย่างนี้นี่เอง
“ไอ้สารเลว!”
ชายหนุ่มพุ่งเข้ากระชากคอเสื้อของคนตรงหน้าไว้แน่น หวังจะเหวี่ยงหมัดซัดให้เต็มแรงสมกับความผิดที่ที่อีกฝ่ายได้ทำ แต่ดูเหมือนจะไม่เป็นอย่างที่คาด ข้อมือคนโกรธถูกดึงรั้งไว้ เป็นอศวมินทร์ที่แสดงถึงความไม่พอใจเมื่อเขาคิดจะทำแบบนั้น “ออกไป นี่มันเรื่องของกูกับลุงอ้ายแค่สองคน มึงอย่ามายุ่ง”
“มินทำแบบนี้ได้ไง ปล่อยพี่ พี่จะฆ่ามัน!”
“พอ!” อศวมินทร์ตะโกนเต็มเสียงอย่างสุดทน มือหนาผลักร่างของพี่ชายออกสุดแรง ทำเอาคนถูกปรามถึงกับกำหมัดไว้แน่น “ทำไมต้องปกป้องมันด้วย ถึงมันจะไม่มีอะไรกับแม่แต่มันทำมินขนาดนี้...”
“แล้วยังไง”
“มันสารเลวทั้งที่รู้ว่ามินเป็นใครแต่ยังจะทำ”
“มึงก็ไม่ได้ดีไปกว่าเขาหรอก เพราะมึงไงชีวิตกูถึงต้องเป็นแบบนี้ เลิกยุ่งเรื่องของกูกับลุงอ้ายอีกเข้าใจไหม!”
“ไม่! พี่จะเอามินคืนมา ไหนบอกว่ารักพี่คนเดียวไง!” คิมหันต์กัดฟันกรอดมองน้องชายตัวเอง รับไม่ได้ที่ทุกอย่างพลิกผันไปอย่างไม่น่าเชื่อ ดวงตาสองคู่จับจ้องกันเขม็ง พร้อมลมหายใจรุนแรงของทั้งสองฝ่ายกับอารมณ์ที่ประทุขึ้นอย่างดุเดือด
“กูบอกมึงกี่ครั้งแล้วว่ามันจบไปแล้ว” ฝ่ายน้องชายตอบและย้อนถามไปในประโยคเดียวกัน ซึ่งนั่นได้สร้างความไม่พอใจแก่คิมหันต์ ชายหนุ่มปรายตามองอินทัชอย่างไม่เก็บซ่อนความรู้สึกอีกต่อไป ทั้งโกรธและแค้นอย่างไม่สามารถทำอะไรได้นอกจากยืนมอง
“แล้วสำหรับมันล่ะ จบหรือยัง...”
ในขณะที่กล่าวกับอศวมินทร์ ดวงตาของคิมหันต์ยังไม่ละจากคู่กรณี ชายหนุ่มได้เห็นว่าสีหน้าของอินทัชเปลี่ยนไปเมื่อน้องชายเขาถูกย้อนถามเช่นนั้น
แน่แล้ว อินทัชไม่เข้าใจทุกอย่างที่สองคนตรงหน้าได้โต้ตอบกัน ชายหนุ่มนิ่งมองสลับไปมาระหว่างอศวมินทร์และคิมหันต์ ก่อนจะชะงักเมื่อมือหนาของลูกเลี้ยงคนเล็กเลือกที่จะคว้าหมับข้อมือเขา อศวมินทร์พาอินทัชเดินละออกมาแทนการตอบคำถาม ชายหนุ่มงุนงง จากที่ตกใจ โมโห และอารมณ์อีกหลายอย่างในสมองนั้นต่างผสมปนเปกันไปหมด กลายเป็นว่างเปล่า คิดอะไรไม่ออกนอกจากสาวเท้าเดินตามเด็กหนุ่มตรงหน้า
“หมายความว่ายังไง เธอกับคิมหันต์...” อินทัชยื้อแขนในขณะสาวเท้าตามหลัง เห็นว่าเด็กที่เป็นฝ่ายชักจูงกำลังกระแทกเท้าตามอารมณ์ ตอนนี้เหมือนเขาเป็นฝ่ายถูกโมโหเองเสียนี่ เขาตามไม่ทัน อินทัชค่อนข้างไม่เข้าใจอารมณ์เด็กสมัยนี้เสียเท่าไรนัก แต่ก็ไม่ได้ใส่ใจ เขาแค่กังวลว่าจะเกิดอะไรขึ้นหากคิมหันต์ทราบถึงความสัมพันธ์ระหว่างเขาอศวมินทร์แล้ว หลังจากนี้จะเป็นอย่างไร
แต่สิ่งที่คิมหันต์กล่าวมันไม่จางหายไปจากหัวเลยสักนิด “นี่ ที่พี่ชายเธอพูดน่ะ”
“ผมไม่อยากพูดเรื่องนี้ เงียบไปซะ”
“ได้ งั้นปล่อยแขนฉัน เราแยกกันตรงนี้แหละ” อินทัชดึงแขน ทั้งคู่หยุดอยู่หน้าประตูห้องหนึ่งภายในชั้นสองของบ้าน เมื่อได้รับอิสระแล้ว อินทัชตั้งใจจะเดินออกไปที่ไหนสักแห่งอย่างที่ได้พูด แต่ในขณะที่จะเดินไปนั้น ชายหนุ่มจำต้องชะงักขาตัวเอง ดวงตางุดลงมองมือหนาที่กุมกันไว้แน่นบนหน้าท้อง ใจเต้นระทึกยามอีกฝ่ายมอบกอดให้แก่เขาจากด้านหลัง อินทัชนิ่ง ปรับสีหน้าอยู่ครู่เพื่อมิให้อศวมินทร์เห็น
“ทำแบบนี้ทำไม”
ชายหนุ่มแกะมือนั้นออก แต่ดูเหมือนเด็กน้อยด้านหลังจะไม่ค่อยยินยอมเท่าไรนัก เขาพยายามที่จะแก้มัดแรงมนุษย์สุดกำลัง ครั้นมันหลุดออก อินทัชหันไปสบตาคนเอาแต่ใจด้านหลังอย่างนึกพาลกับความเอาแต่ใจของอีกฝ่าย ทำให้เขาเห็นสีหน้าของอีกฝ่ายอย่างเต็มตาว่ามัวหมองถึงเพียงไหน
แต่เขาเองก็ต้องทำ ต้องปกป้องความรู้สึกตัวเองให้มากกว่านี้ ชายหนุ่มส่ายหน้า “อย่าทำแบบนี้อีกเลยนะมิน เธอก็รู้ว่าฉันจะไม่มีทางหลงไปกับวิธีอะไรต่างๆ นานา ของเธออีกต่อไปแล้ว มันไม่ได้ผลหรอก ฉันไม่โง่ซ้ำสอง ฉันไม่เชื่อเธออีกต่อไปแล้ว” ชายหนุ่มกล่าวเสียงเบา จ้องตาอศวมินทร์เพื่ออธิบายความจริงที่รู้สึกตอนนี้
“อย่าพยายามคิดทำให้ฉันเจ็บปวดอีกเลย พอ...” เขาเหนื่อย เขาไม่รู้ว่าตัวเองจะเจออะไรอีกต่อไปในอนาคต ในตอนนี้ชายหนุ่มมีแต่ความหวาดกลัว หวาดระแวง อีกฝ่ายอาจทำด้วยใจจริงหรือทำด้วยเล่ห์ก็ต่างมีโอกาสทั้งสองทาง เขาไม่อยากหลงเชื่อกับการกระทำของอศวมินทร์ เพราะคนที่จะต้องเจ็บปวดก็คือตัวเอง ชายหนุ่มมองสีหน้าของผู้รับฟังซึ่งเปลี่ยนไปหลังได้ยินประโยคนี้
อศวมินทร์นิ่ง จ้องตาเขาอยู่อย่างนั้นราวกับกำลังประหลาดใจ ตกใจ สิ้นหวัง หรืออะไรเทือกนั้น
แต่เขาก่อกำแพงได้สำเร็จแล้ว การไม่ตอบรับคือสิ่งที่ดีที่สุดในตอนนี้
“ลุงอ้าย คุณ...ร้องไห้ทำไม”
อินทัชชะงัก ความร้อนวูบวิ่งพล่านบนใบหน้าแทบทันที ชายหนุ่มปรับสีหน้าเมื่อคนบอกจ้องเขาตาไม่กะพริบ ยืนตัวแข็งมองอยู่อย่างนั้นไม่วางตา เขาจะบอกอย่างไรว่าตัวเองไม่ได้ร้องไห้ เขาไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่ามันเกิดขึ้นมาได้อย่างไร ชายหนุ่มแตะสิ่งเย็นเยียบที่ปลายคางตนเอง เป็นหยดน้ำที่รินไหลอาบลงมาจากดวงตา วินาทีที่เห็นหลักฐานบนปลายนิ้วมือเขาอึกอัก แน่นิ่งไปครู่หนึ่ง พูดไม่ออกว่ารู้สึกยังไง รู้เพียงแค่อยากอธิบายให้อศวมินทร์เข้าใจว่าเขาไม่ได้เจ็บปวด เขาไม่ได้กลัว เขาไม่ได้กำลังจะระเบิดหรือคลั่งอย่างคนบ้า แต่เพราะความจริงมันถูกทั้งหมด นั่นคือสิ่งที่ทำให้เขาพูดออกไปไม่ได้ยังไงเล่า
“ฉัน...”
ไม่อาจบอกใครได้ว่าภายในก้นบึ้งของหัวใจเขานั้น ไม่อยากพูดประโยคใดๆ ทำร้ายจิตใจใคร ไม่อยากเป็นผู้ร้าย ไม่อยากเป็นคนไร้ความรู้สึก ตั้งแต่วันที่ถูกคนรักทรยศหักหลัง การที่เขาเป็นดีและอ่อนแอก็ไม่มีความหมาย เขาเปลี่ยนตัวเอง เป็นคนเงียบขรึมและพูดจริงทำจริง เป็นคนที่มีเมตตาและเด็ดเดี่ยวในเวลาเดียวกัน รับรู้เสมอว่าการทำแบบนี้มันยาก แต่หากจะทำให้ทุกอย่างดีขึ้นมันก็ช่วยไม่ได้
เขาจำต้องทำเป็นว่าเข้มแข็ง ทำเป็นไม่เสียใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น หลังจากรับรู้ว่าคนรักและเพื่อนรักของเขามีลูกด้วยกันทั้งๆ ที่ยังไม่ทันเลิกกับเขา และลูกคนนั้นที่เติบโตมาได้ยืนอยู่ตรงหน้า เอื้อมมือมาปาดน้ำตาให้เขาตอนนี้
อินทัชรักปรางคณาง รักมากที่สุด เขาตอบความจริงในวันที่อศวมินทร์เค้นถาม อินทัชรักหล่อน ปรางคณางคือผู้หญิงคนเดียวที่เขาเคยรัก เขาจึงไม่สามารถปฏิเสธที่จะช่วยเธอได้ เพราะว่ารักยังไงเล่า...เขารัก และห่วงใยความรู้สึกของเธอ ถึงยอมให้อศวมินทร์ทำอะไรกับตัวเขาก็ได้
ชายหนุ่มไม่อยากเจ็บปวดซ้ำสอง อศวมินทร์ในวัยสองขวบเรียกเขาว่าลุงอ้ายด้วยเสียงน่ารัก อดีตคนรักและเพื่อนรักอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข ชายหนุ่มเหมือนถูกมีดแทงกลางอกซ้ำๆ ยามเห็นแววตาไร้เดียงสาของเด็กน้อย เลือกบินหนีความจริงไปเรียนต่อเมืองนอก หายไปจากชีวิตปรางคณางอยู่หลายปี จนทำใจได้ และมีรักครั้งใหม่ แต่ดูเหมือนจะไปได้ไม่ดีพอเท่าที่ควรนัก เขาจึงเลือกหนีปัญหาด้วยการกลับมาที่นี่อีกครั้ง และไม่รักใครอีกเลย...
จนได้พบเด็กคนนี้ คนที่เขาคิดว่าไม่น่าเลย
อินทัชสูดลมหายใจเอาพลังคืนสู่ร่าง ปัดเอาภาพในอดีตของตัวเองออกไป มองใบหน้าของเด็กหนุ่มที่มองเขาด้วยแววใดแววหนึ่ง ตลก หรือสะใจ ชายหนุ่มระบายหัวเราะขำตัวเองเช่นกัน มองสีหน้าประหลาดใจของคนตรงหน้าก่อนจะถอยร่างออกห่าง “...ฉันแค่กลัวและตกใจ ในที่สุดก็มีคนรู้เรื่องฉันกับเธอ”
“ลุงอ้าย” เด็กตรงหน้ามุ่นคิ้วเอื้อมมือมาจับแขนเขา ชายหนุ่มหันกายมาผ่อนปรนลมหายใจที่จู่ๆ ก็ติดขัดขึ้นมา ไม่ให้อศวมินทร์เห็นสีหน้ายามนี้เด็ดขาด เขามาไกลเกินกว่าจะถอยกลับ
“คุณกลัวคนเขารู้เรื่องเรามากขนาดนั้นเลยเหรอ ทำไม! คุณอายเหรอ!”
อินทัชรู้สึกมึนหัวขึ้นมา ชายหนุ่มหันหลังให้คนที่กำลังกุมแขนเขาไว้แน่นจนเจ็บปลาบ มือหนาของอศวมินทร์เขย่าร่างเขาให้หันไปตอบ ชายหนุ่มไม่อาจหันไปบอกความรู้สึกจริงๆ อันเป็นการเบิกทางให้อีกฝ่ายโจมตีโดยง่าย เขาพอแล้ว...“เลิกยุ่งกับฉัน ถ้ารู้อย่างนั้นแล้วก็เลิกยุ่งกับฉัน ออกไป!”
“ลุงอ้าย เป็นอะไรอีกวะ!”
อินทัชเข่าทรุด ผลักมือของอีกฝ่ายออกจากร่างกายตนเอง ภาพเบื้องหน้าเกิดพร่าเลือนไปในฉับพลันหลังจากเข่าทั้งสองข้างกระทบกับพื้น ร่างกายล้มลงนอนนิ่งอย่างไม่สามารถบังคับได้ สมองเขาราวถูกคนบีบไว้แน่น หยุดอยู่เพียงแค่นั้น แค่ภาพของอศวมินทร์ที่กำลังกุมใบหน้า ร้องเรียกสติให้เขาลุกขึ้นตื่นยังฉายอยู่ แต่ไม่เลย อินทัชควบคุมร่างกายไม่ได้ ทุกอย่างเริ่มเลือนราง ทั้งภาพใบหน้าหล่อเหลา และน้ำเสียงตื่นตระหนกนั้นจางหายไปอย่างเนิบช้า...
มีเพียงความมืดมิดโอบล้อม
เสียงหยาดน้ำไหลตกจากผืนผ้าสีขาวสะอ้านยามถูกบิดตกกระทบลงอ่างดังเปาะแปะ ครู่ใหญ่แล้วที่คนเฝ้าพยายามหันรีหันขวางหยิบโน่นหยิบนี่มาทำ ขณะนี้มือหนากำลังง่วนแก่การบิดผ้าให้หมาด ก่อนจะหยิบขึ้นไปวางบนหน้าผากผู้ป่วยด้วยหวังให้หายดี อินทัชเป็นลมไปครู่ใหญ่แล้ว อศวมินทร์มุ่นคิ้ว ตอนนี้ไม่ใช่ว่าไม่สบายเสียหน่อย ไม่จำเป็นต้องลดอุณหภูมิร่างกายลงสักนิด แต่อศวมินทร์ทำอะไรให้ใครไม่เป็นสักอย่าง นอกจากนั่งมอง
“นี่ยาดมค่ะ น้องมินช่วยคุณอ้ายหน่อย เดี๋ยวป้าจะไปต้มข้าวต้มร้อนๆ มาไว้ให้ พักนี้เธอไม่ได้เจริญอาหารก็เลยดูเพลียหน่อย” พินยื่นให้พร้อมแจง ซึ่งผู้รับมาถือก็เพียงเงียบฟังและเอื้อมไปขยับใกล้จมูกไปมาอย่างรู้อยู่บ้าง
“หลังจากนี้ก็อย่าดื้อให้มากนักนะคะ เห็นใจคุณอ้ายเธอหน่อย”
“ผมเปล่านะ เขาไม่จำเป็นต้องมาเดือดร้อนอะไรกับผมนี่” เด็กหนุ่มหันไปย้อน
“เฮ้อ ป้าไม่อยากจะเถียงกับน้องมินหรอก แต่คุณอ้ายเธออุตส่าห์ประคับประคองทั้งหมดมาให้ ป้าเห็นเธอเครียดทุกวันกับงานก็มาก ไหนจะเรื่องอะไรต่อมิอะไรอีกมากมายทำให้ถึงกับทานข้าวไม่ลง พักผ่อนไม่ได้ โดยเฉพาะช่วงนี้หนักเหลือเกิน เธอไม่ใช่หุ่นยนต์นะคะที่จะทนได้ทุกสถานการณ์” พินอดที่จะบอกไม่ได้ นางจำได้ว่าตนมองอินทัชอยู่หลายครั้งกับสีหน้าแห่งความทุกข์ระทมนั้น
หุ่นยนต์หรือ...
พินเดินจากไปแล้วหลังจากกล่าวจบ หลงเหลือเพียงแค่ความจริงที่นางบอกไว้ว่าอีกฝ่ายไม่ใช่ในสิ่งที่เขาคิด อินทัชไม่ใช่หุ่นยนต์ แล้วอะไรที่ทำให้จิตใจของอินทัชด้านชาถึงเพียงนั้น อะไร...
เด็กหนุ่มหันไปสบมองคนป่วยที่เรียบสนิทไร้การแต่งแต้มสีหน้า เคลื่อนอีกมือไปสัมผัสเส้นผมและผิวแก้มอย่างเชื่องช้า ไม่ทราบว่านานเท่าใดที่อศวมินทร์ใช้สายตาละเลียดมองความผิดแปลกของชายตรงหน้า แม้จะยังดูหล่อเหลา แม้จะยังดูสมบูรณ์แบบราวรูปปั้นที่จิตกรตั้งใจสร้างที่สุด แต่ขาดอยู่สิ่งหนึ่งคือความมีชีวิตชีวาที่เขาเคยเห็น เด็กหนุ่มเพิ่งหวนมานึกได้ว่าตั้งแต่เมื่อไรกันที่มันหายไป บนสีหน้าของชายคนนี้ไม่มีสิ่งนั้นหลงเหลืออยู่เลย
อศวมินทร์ถอนหายใจเต็มปอดที่มี หันไปกุมหน้าและทุบศีรษะตัวเองให้เลิกครุ่นคิดเกี่ยวกับอินทัชสักที ร่างกายสูงใหญ่ลุกขึ้นไปเดินวนรอบเตียงนอนภายในห้องพักผู้ป่วยเรียกสมาธิ สั่งการตัวเองให้เดินออกจากที่นี่ไปเสีย หากไม่กวาดตาไปพบกับสิ่งหนึ่งซึ่งวางอยู่บนโต๊ะโคมไฟ อศวมินทร์ดิ่งไปหยิบขึ้นมาพิศ ไล่อ่านตามหลอดยาอะไรสักอย่างเพื่อดูสรรพคุณ
ความรู้สึกต่างๆ นานา วิ่งเข้าสมองของเขาราวกับค้อนปอนด์ทุบลงย้ำซ้ำหลายครั้ง เมื่อทราบในที่สุดว่ามันคือยาทาสำหรับคนที่แพ้ฝุ่น ดวงตาเขาเหลือบไปมองร่างบนเตียงอีกครั้งและอีกครั้ง ทานความต้องการของตัวเองที่อยากขยับเข้าไปใกล้ไม่ไหว ท้ายสุดจำต้องเดินไปทรุดนั่งร่วมเตียงกับคนไร้สติที่เดิมอีกครั้ง จ้องมองใบหน้าอีกฝ่ายนิ่ง
“บ้าเอ๊ย...” อดที่จะสบถไม่ได้
บริสุทธิ์ใจจริงๆ ใช่ไหมลุงอ้าย เด็กหนุ่มเพียรถามอย่างนั้นกับตัวเองอย่างซ้ำๆ ราวต้องการให้อีกฝ่ายตื่นมาพยักหน้ารับ อศวมินทร์ทราบดีอยู่แล้วว่าคงเป็นไปได้ยาก แต่ยามนี้ดีแล้วที่ปล่อยให้อินทัชได้พักผ่อน แม้มือไม้ตัวเองเทียวรบกวนด้วยการแตะตรงนั้นทีตรงนี้ทีบนร่างกายอีกฝ่าย เขาห้ามตัวเองไม่ได้ เด็กหนุ่มครุ่นคิดทั้งเคลื่อนมือไปสัมผัสปลายจมูกคนป่วย ขยับไล้ขนคิ้วดกดำตรงหน้า และโน้มลงไปแนบจูบกับริมฝีปากแห้งผากนั้นอย่างอ่อนแผ่ว
เด็กหนุ่มซึมซาบรสจูบนั้นอยู่นานด้วยคิดว่าจะรบกวนเป็นครั้งสุดท้าย แล้วจะปล่อยให้พักผ่อน เพียงแต่จะเอาให้หนำใจกับการขอครั้งที่แล้วและคนตรงหน้าไม่ยอมเท่านั้น ซึ่งหลังจากผละมาสบมองใบหน้าชวนหลงใหลในระยะที่พึงพอใจ แน่นอนว่าเขาเลือกที่จะฝังริมฝีปากลงไปซ้ำอีกครั้ง บดคลึงเค้นเอาความหอมหวานมาให้ตัวเองอย่างเอาแต่ใจ เนิ่นนานเสียจนอิ่มเอม อศวมินทร์ผละมาค้ำมือกับพื้นเตียงพิศมองอยู่เช่นนั้นหลายนาที
หากเขาไม่ไปจากที่นี่ตั้งแต่ตอนนี้ คงอดใจไม่ไหวแน่
อศวมินทร์ส่ายหน้า สัมผัสที่ริมฝีปากคุณลุงด้วยปลายนิ้วหัวแม่มืออย่างอ่อนแผ่ว มันนุ่ม อินทัชเป็นคนที่มีรูปปากสวย หลอกล่อให้ใครต่อใครอยากจะจุมพิตลิ้มลองกับความงามตรงหน้า คงมีหลายคนที่ได้พูดคุยด้วยแต่มักมองคนๆ นี้ที่ริมฝีปากแทนที่จะเป็นดวงตา อย่างเขา
คนมองก้มลงไปแนบปากอีกครั้ง จาบจ้วงเอาความพึงพอใจอย่างร้อนแรงเอาแต่ใจราวกลัวว่าอีกฝ่ายจะตื่นมาขัดขืน แต่เมื่อคิดว่าไม่มีทาง ความรุนแรงก็ลดลง หลงเหลือเพียงความอ่อนโยนที่เจ้าตัวไม่อาจได้รับในยามมีสติ มือหนาเคลื่อนไล้เรือนผมคนตรงหน้าหลังจากผละมาสบมอง กี่ครั้งแล้วที่จูบอินทัชไป เขาไม่สนใจ เด็กหนุ่มกลั้นใจลุกขึ้นยืน หมุนกายย่างเท้าไปยังประตูเพื่อให้อินทัชได้พักผ่อนสักที
ในขณะที่กำลังเปิดประตูจะออกไปด้านนอกแล้วแท้ๆ ในหัวของอศวมินทร์กลับอื้ออึงไปด้วยประโยคที่ว่า ‘ขอครั้งสุดท้ายเถอะน่า แล้วจะไปจริงๆ’ เด็กหนุ่มยกมือกุมขมับ หันไปมองคนนอนหลับตาทั้งถอนใจ พ่ายแพ้กับความต้องการอีกที
“ครั้งสุดท้ายจริงๆ”
ไม่รู้อะไรดลใจให้เขาย้ำตัวเองเช่นนั้น แต่เด็กหนุ่มมุ่งหน้าไปทรุดกายบนเตียงข้างคนป่วยอย่างรู้จุดหมายตัวเองแน่วแน่ ช่างเป็นจุดหมายที่ชวนอับอายเสียยิ่งกว่าอะไร เกินกว่าใครจะเห็นได้ อศวมินทร์เพ่งมองใบหน้าเรียบนิ่งอยู่ครู่ ซึมซับความอยากของตัวเองก้มลงจูบอีกฝ่ายอีกครั้ง...
มันทำให้เด็กหนุ่มรู้อะไรหลายๆ อย่าง หากเขาอยากเห็นอินทัชแสดงความรู้สึกอีกครั้ง อศวมินทร์ไม่จำเป็นต้องพูดจารุนแรง ข่มขู่ หรือทำร้ายอีกฝ่ายให้เจ็บปวด ยังมีหนทางอื่นอีกมากมาย เพราะนอกจากความสะใจแล้วเขาก็ไม่ได้อะไรตอบกลับมาเลย
เพียงเล็กน้อย เขากลับรู้สึกว่าตัวเองกำลังโตขึ้นมากับความเจ็บปวด เขาจะทำลายชีวิตตัวเองเพียงเพราะโกรธแค้นใครไปทำไม เพราะคนที่จะไม่มีที่ไป ถูกใครต่อใครเหยียบย่ำศักดิ์ศรีในท้ายที่สุดก็คือ ‘เขาเอง...’
เด็กหนุ่มเข้าไปในห้องพักตัวเองหลังจากคิดได้ มือหนาเอื้อมไปเปิดผ้าม่านที่ปิดสนิทมานานนับปีให้แสงสว่างสาดถึง ภาพครอบครัวที่ถูกคว่ำทิ้งไว้ถูกยกขึ้นตั้ง ปรากฏรอยยิ้มของบิดามารดาที่ส่งให้ราวกับพวกเขารับรู้ ว่าตอนนี้ลูกชายคนนี้กำลังจะเดินไปในทิศทางใด อศวมินทร์ส่งยิ้มให้ทั้งสองอยู่ครู่ด้วยความเต็มตื้นในอก รอยยิ้มที่นานมาแล้วที่มันเหือดหายไป ยิ้มที่ไร้ความฝืน เด็กหนุ่มเดินออกไปยังหน้าต่าง เปิดรับลมและนิ่งมองภาพเบื้องหน้าตนเองอยู่อย่างนั้น
เขานึกถึงความผิดพลาดที่ตัวเองก่อ และควรคิดว่าโตพอที่จะเลิกทำแบบนั้นกับอินทัชสักที ควรเปลี่ยนได้แล้ว...
******************************
นุ้งมิน หนูยังไหวอยู่รึเปล่าคะลูก ชักจะสับสนมาก
แต่ความหื่นไม่ลดลงเลยนะคะลูก ไม่ว่าจะปกติรึไม่ก็ตาม 5555 นางสูบลุงอ้ายไปเยอะ
นอกจากตอนนี้ไป ตอนหน้าก็จะไม่มีความเครียดแล้ว โมเม้นอะไรสักอย่างก็เพิ่มขึ้น พร้อมกับความก้าวหน้าของน้องตอนตัดสินใจ มาก้าวเดินไปพร้อมกันนะคะ มาดูความสำเร็จของนางกับความสำเร็จของหนูนาด้วย อิอิ
เรื่องคิมหันต์ก็อาจจะมีมาบางตอนให้ปวดตับบ้าง แต่ไม่มาก หลังๆ จะผ่อนคลายเสียส่วนใหญ่ค่ะ