พบรัก ▪×วันที่4×▪
การจราจรในยามสายนั้นไม่ได้ติดขัดเหมือนในช่วงเช้าอย่างที่พนักงานออฟฟิสหลายคนเจอกัน บางบริษัทอาจจะมีกฏให้พนักงานเข้างานแปดโมง หรือเช้ากว่านั้น แต่สำหรับเจ้าของบริษัทที่มีเลขาประจำตัวอีก 5 คน อย่างผมแล้ว ผมไม่เคยต้องผจญกับช่วงเวลาเร่งรีบเหล่านั้นเลย บางวันแทบไม่ต้องเข้าบริษัทเลยด้วยซ้ำ เว้นเสียแต่ว่าจะมีการประชุมอย่างวันนี้
“จากการสำรวจสถิติการขนส่งภายในประเทศมีข้อมูลว่าสินค้าระดับต้นๆ ที่ทำการขนส่งคือสินค้าสะดวกซื้อ ตามมาด้วยสินค้าสดจำพวกผักสดหรือเนื้อสัตว์ ดั้งนั้นสินค้าที่ทางบริษัทเราควรจะขยายการขนส่งก็ควรจะเป็นหนึ่งในสินค้าสองตัวนี้ครับ” หัวหน้าฝ่ายการตลาดอธิบายข้อมูลที่ผ่านการวิเคราะห์มาอย่างดีต่อหน้าที่ประชุมกว่า 20 ชีวิต โดยมีประธานอย่างผมนั่งอยู่หัวโต๊ะ
สืบเนื่องจากผลการประชุมครั้งที่แล้ว ผมยอมรับให้มีการขยายสินค้าที่จะขนส่งได้โดยให้แต่ละฝ่ายช่วยกันไปหาข้อมูลเพิ่มเติมมาเสนออีกครั้งในวันนี้ว่าบริษัทควรจะขนส่งสินค้าอะไรเพิ่มดี ซึ่งหัวข้อของการประชุมนั้นเริ่มจากการขนส่งภายในประเทศตามที่หัวหน้าฝ่ายการตลาดได้อธิบายไปก่อนหน้า
“จากข้อมูลนี้แสดงว่าก็มีหลายบริษัทที่ทำการขนส่งอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ หมายถึงว่าในเมื่อทุกบริษัทต่างหาข้อมูลนี้มาได้แสดงว่าบริษัทขนส่งเล็กๆ ภายในประเทศก็ต้องเล็งการขนส่งสินค้าสองชนิดที่ว่ามาอยู่แล้ว การที่เราจะเข้าไปแย่งพวกเขาอีกไม่ถือเป็นการแย่งงานพวกเขารึไง” ผมถามกลับโดยที่สายตามองไปยังเอกสารในมือ
ก็จริงที่สินค้าสองชนิดนี้ผู้บริโภคต้องการอยู่ทุกวันไม่ขาด แต่การขนส่งสินค้าจำพวกนั้นย่อมมีบริษัทย่อยคอยทำการขนส่งอยู่แล้ว ถ้าบริษัทผมคิดจะขยายการขนส่งไปยังสินค้าสองอย่างนี้อาจจะทำให้บริษัทย่อยเหล่านั้นไม่มีงานและปิดตัวลงในที่สุด เพราะเทคโนโลยีการขนส่งของบริษัทเรานั้นมีต้นทุนต่ำกว่าบริษัทอื่นๆ อยู่มาก จึงทำให้บริษัทยักษ์ใหญ่หลายแห่งให้ความสนใจและเข้ามายื่นข้อเสนอให้บริษัทเราส่งสินค้าให้ ดังนั้นผมจึงไม่เห็นด้วยนักที่จะไปแย่งงานของบริษัทรายย่อยแบบนั้น แถมในขณะนี้เศรษฐกิจก็ยังไม่ดีเท่าที่ควร เราไม่ควรไปซ้ำเติมผู้ประกอบการรายเล็กๆ อีก
“แต่ถ้าเราเลือกสินค้าชนิดอื่นก็อาจไม่ได้กำไรมากเท่าที่ควร...”
“ศิริวัฒนิวงศ์มีกำไรในการขนส่งสินค้าต่อเดือนไม่รู้กี่ร้อยล้าน แค่จะยอมลดกำไรให้น้อยลงหน่อยคงไม่เป็นไรหรอกมั้ง” ผมพูดแทรกหัวหน้าฝ่ายที่พยายามบอกเรื่องผลกำไร
สำหรับบริษัทอื่นอาจเน้นการแสวงหาผลกำไรเป็นหลักซึ่งผมก็ไม่เถียงเพราะมันเป็นความจริง แต่ถ้าจะมุ่งแต่หากำไรโดยไม่สนบุคคลหรือสถานประกอบการที่เล็กกว่า เศรษฐกิจของประเทศมันจะดีขึ้นได้ยังไงกัน ขืนให้บริษัทผมผูกขาดจัดการเรื่องการขนส่งทุกอย่างในประเทศและนอกประเทศรับรองว่าได้มีบริษัทที่ต้องปิดตัวลงจำนวนมากแน่ และหลังจากปิดตัวก็จะมีปัญหาเรื่องการจ้างงานเข้ามาเกี่ยวข้องอีก
มันไม่ใช่เรื่องที่จะสามารถเห็นแก่ตัวได้
“ถ้าอย่างนั้นท่านประธานมีความเห็นว่าอย่างไรบ้างครับ”
“นั่นสิ...ชินมีอะไรจะเสนอไหม” เมื่อหัวหน้าฝ่ายไม่รู้จะยุติปัญหานี้ยังไงผมเลยหันไปถาม ‘ชิน’ เลขาคนสนิทแทน
ชินหรือชินภัทร ปญิญเทวาเป็นหนึ่งในเลขาทั้งห้าคน และเป็นหัวหน้าฝ่ายบัญชีด้วย ความสามารถของชินอยู่ในระดับแนวหน้ามาตั้งแต่มหาวิทยาลัย กระทั่งเรียนจบมาทำงานก็มีความโดดเด่นจนทำให้ผมรู้สึกสนใจตั้งแต่แรกเห็น และชักชวนให้มาทำงานเป็นเลขา
“ครับ ถ้าคุณกิตไม่ต้องการให้ผู้ประกอบการรายย่อยได้รับผลกระทบก็มีสองทางที่จะแก้ได้ อย่างแรกคือในกรณีที่ต้องการขนส่งสินค้าตามที่คุณกฤตเมตรบอก ทางเราก็ควรขึ้นราคาการขนส่งสินค้าให้เทียบเท่ากับที่อื่นเพื่อทำให้เกิดทางเลือกในการขนส่งมากขึ้น”
“อย่างที่สองล่ะ” ผมถามต่อ
“อย่างที่สองคือการเปลี่ยนสินค้าที่จะขนส่ง”
“เช่น?”
อีกฝ่ายก็นิ่งไปเล็กน้อยเมื่อถูกผมถามกลับไปในทันที ก็นะเล่นถามกระชั้นชิดแบบนี้ก็ต้องคิดไม่ทันเป็นธรรมดา ชินเป็นคนเก่งและมีความสามารถแต่ก็มีข้อเสียตรงที่ถ้ามีเวลาคิดน้อยก็จะคิดอะไรไม่ออก
“เอาล่ะ มีใครอยากเสนอไหม แก้วนภา?” ผมหันไปถามเลขาคนที่สองที่นั่งอยู่ข้างๆ ชิน
“...เอ่อ...ดิฉันคิดว่าเปลี่ยนเป็นพวกหนังสือดีไหมคะ” เธอตอบเสียงอ่อยเหมือนไม่รู้ตอบอะไร
ก็นะ...ตอบได้ก็แปลก เพราะแก้วนภาเป็นเลขาคอยจัดพวกตารางเวลาให้ว่าวันไหนต้องไปคุยงานข้างนอกหรือมีประชุมพ่วงด้วยตำแหน่งหัวหน้าฝ่ายประชาสัมพันธ์ เธอจึงไม่ค่อยเก่งเรื่องพวกนี้นัก เลขาทั้ง 5 คนของผมต่างก็เก่งกันคนละแบบและมีข้อเสียคนละนิดซึ่งผมก็เข้าใจว่าไม่มีใครที่จะเก่งไปหมดทุกอย่าง
ถึงจะพูดแบบนั้นแต่ก็อยากได้คนที่สามารถทำงานทุกอย่างได้เหมือนกัน เคยคิดอยู่ว่าจะเปิดรับสมัครพนักงานเพิ่มแต่บริษัทในตอนนี้ก็ถือว่าดีอยู่แล้วเลยเอาไว้ก่อน
“เอาล่ะ ผมมีเรื่องที่ต้องไปทำต่อเพราะงั้นขอสรุปเลยละกัน เราจะเปลี่ยนสินค้าที่จะทำการขนส่งภายในประเทศ โดยเราจะเริ่มจากเสื้อผ้าที่จะมีการเปลี่ยนเทรนไปเรื่อยๆ ตามฤดู การมีกระแสหรือค่านิยมจึงเป็นหนึ่งในสิ่งที่ต้องมีการขนส่งที่สม่ำเสมอ ส่วนจะเป็นยี่ห้อหรือแบรนด์ไหนก็ขอให้ทุกคนไปช่วยกันคิดแล้วนำมาเสนอให้การประชุมครั้งต่อไป จบการประชุมครับ” ผมกล่าวปิดการประชุมที่ยืดเยื้อมากว่าสามชั่วโมง ก่อนจะลุกขึ้นเดินออกจากห้องด้วยความเหนื่อยล้า
วันนี้ทั้งวันผมไม่มีงานอื่นนอกจากเข้าร่วมการประชุมอย่างเดียว ซึ่งก็เหมือนจะสบายแต่ติดตรงที่ไม่ชินกับการนั่งนานๆ นี่แหละ
“คุณกิต”
“...ชิน?” ผมหันไปตามเสียงเรียกก่อนจะเจอกับชินที่วิ่งตามมา
“ครับ ผมขอโทษด้วยที่ไม่สามารถทำตามที่คุณคาดหวังได้” คนตรงหน้าก้มหัวขอโทษอย่างไม่อายคนที่เดินผ่านมา
“ไม่เป็นไร คุณเก่งแล้วแค่อาจต้องการการฝึกฝนอีกหน่อย”
“ครับ...ครั้งหน้าผมจะเตรียมตัว...”
“ผมขอสั่งให้คุณห้ามเตรียมตัวอะไรทั้งนั้น” ผมรีบพูดแทรก
“แต่ว่า...”
“ถ้าคุณเตรียมตัวมาก่อนมันจะมีความหมายอะไรล่ะ ข้อเสียของคุณคือการชะงักเวลาถูกถามในสิ่งที่ไม่ได้เตรียมตัวมาเพราะงั้นทางแก้ก็ต้องเป็นแบบนี้แหละ”
“เข้าใจแล้วครับ”
“ดีมาก ฝากจัดการงานเอกสารด้วยถ้ามีอะไรไม่แน่ใจก็ส่งมาให้ได้เลย ขอตัวก่อนล่ะ” พูดจบก็ตบไหล่อีกฝ่ายเบาๆ เป็นการให้กำลังใจก่อนจะเดินออกมา
รถยนต์คันสีบรอนซ์ทองแล่นไปตามถนนโดยมีจุดหมายอยู่ที่บ้านหลังเดิมที่ไปมาทุกวันติดต่อกันกว่าสองอาทิตย์แล้ว หลังจากวันที่สามารถสั่งมะนาวให้นั่งและรอได้ เขาก็ยังต้องฝึกทำแบบนั้นเป็นประจำโดยมีต้นว่านคอยดูอยู่ข้างๆ
เมื่อหลายวันก่อนต้นว่านลองให้ผมสั่งมะนาวในขณะที่อีกฝ่ายยืนดูอยู่นอกบ้าน แน่นอนว่าคนกลัวสุนัขอย่างผมเถียงขาดใจว่าไม่ไหวแต่พอได้ยินคำว่า ‘พี่ทำได้’ ก็ต้องจำใจทำมันอยู่หลายครั้งกว่าที่จะทำได้สำเร็จ
ปกติเวลาผมอยู่ที่บริษัทมักจะเป็นคนจริงจังและคิดวิเคราะห์ได้อย่างรวดเร็ว แต่พออยู่ใกล้สิ่งมีชีวิตสี่ขาที่เรียกว่าสุนัขเมื่อไหร่ ระบบความคิด วิเคราะห์ แยกแยะต่างก็ทำงานรวนไปหมดจนแทบไม่เป็นตัวของตัวเอง การมีต้นว่านอยู่เลยช่วยผมได้มากจริงๆ ความมั่นใจและความกล้าที่อีกฝ่ายมีให้มันส่งมาถึงผมจนสามารถเข้ามาในบ้านหลังสีขาวได้ตามลำพังโดยไม่ต้องมีต้นว่านอยู่ด้วยได้ สองวันที่ผ่านมาผมไม่ได้เจอกับต้นว่านเลยสักครั้งเดียวเหมือนอีกฝ่ายคงกำลังยุ่งกับการทำงานพิเศษ ในทุกๆ วันต้นว่านต้องคอยมาช่วยดูผมฝึกทำให้ไปทำงานสายหลายครั้ง แต่พอบอกว่าจะไปส่ง อีกฝ่ายกลับปฏิเสธเสียงแข็ง
ทั้งที่คิดว่าน่าจะสนิทกันได้แท้ๆ แต่กลับรู้สึกเหมือนอีกฝ่ายมีเส้นแบ่งไม่ให้ก้าวเข้าไปได้มากกว่านี้
“...น่าเสียดายจัง” ผมพึมพำพร้อมกับเดินตรงเข้าไปในรั้วบ้านหลังจากไขกุญแจเรียบร้อย
บรู๊ววว~
เฮือก!
“มะนาวนั่งลง!”
เสียงหอนของมะนาวมาก่อนตัวซะอีก โชคดีที่ฝึกมาหลายครั้งเลยพอจะตั้งสติได้แต่ก็ห้ามไม่ให้ตกใจไม่ได้จริงๆ และเมื่อมะนาวได้ยินคำสั่งก็หยุดขาที่กำลังวิ่งเข้ามาหมายจะกระโจนใส่ แล้วเปลี่ยนเป็นนั่งเรียบร้อยแทน
“เฮ้อ ดีมากๆ” ผมเอ่ยชมก่อนจะเดินเข้าไปภายในบ้าน ถึงจะเริ่มชินกับการมีสุนัขแต่ก็มีหลายอย่างที่ยังไม่สามารถทำได้ อย่างแรกเลยก็คือ...
“ยะ...อย่ามาอ้อนนะ ถอยออกไป” ผมส่งเสียงสั่นๆ ออกไป ร่างกายเริ่มเกร็งขึ้นอัตโนมัติเมื่อถูกสุนัขตรงหน้าเข้ามาใกล้พร้อมถูไถหัวมันกับขากางเกงตัวเอง
อย่าว่าแต่จะลูบขนมัน...แค่จะเดินหนียังทำไม่ได้เลย
“นั่งลงเดี๋ยวนี้ รอก่อนนะ...รอก่อน” สิ่งเดียวที่ช่วยได้คือคำสั่งให้นั่งลงกับรอก่อน
อาหารของมะนาวที่ซื้อมาเป็นอาหารเม็ดสำหรับสุนัขพันธุ์ใหญ่โดยเฉพาะ แม้ราคาจะเรียกว่าสูงมากแต่ก็ไม่เป็นปัญหาสำหรับผมอยู่แล้ว ชามอาหารถูกวางลงบนพื้นกระเบื้องในห้องครัวก่อนจะเรียกมะนาวให้มากิน ในวันแรกๆ ผมส่ายหัวไปมาจนเกือบหลุด ไม่ว่ายังไงการให้อาหารมะนาวก็เป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้จริงๆ แต่ต้นว่านก็ทำในสิ่งที่คิดว่าเป็นไปไม่ได้ให้เป็นไปได้ในที่สุด
ผมไม่รู้ว่าต้นว่านมีเวทย์มนต์หรือคาถาอะไรที่ทำให้ผมเชื่อในทุกคำตามที่อีกฝ่ายบอกมา แต่คำว่า ‘ทำได้’ ที่มักจะได้ยินบ่อยๆ ก็ช่วยสร้างกำลังใจและเพิ่มความกล้าให้มากขึ้น
ภายในบ้านหลังสีขาวเต็มไปด้วยความทรงจำมากมายที่เกี่ยวกับพ่อและแม่ทั้งโซฟาสีน้ำตาลที่แม่ชอบ ผนังห้องที่มีภาพวาดวิวทิวทัศน์ฝีมือพ่อ รวมทั้งตู้กระจกที่มีรูปภาพของครอบครัวใส่ไว้หลายใบ นั่นทำให้น้ำตาเอ่อไหลออกมาอย่างห้ามไม่อยู่ตั้งแต่ครั้งแรกที่เห็นจนต้องรีบหนีเข้าไปร้องไห้ยังห้องใกล้สุดโดยทิ้งต้นว่านให้รออยู่นอกห้องตั้งนาน
เหมือนต้นว่านจะรู้ว่าผมร้องไห้แต่กลับไม่ถามอะไร...ผมเลยรู้สึกขอบคุณต้นว่านมาก
แค่รู้สึกมันยังไม่พอ แต่ผมไม่สามารถทำอะไรให้อีกฝ่ายได้เพราะแค่จะไปส่งยังถูกปฏิเสธ ไม่ต้องลองก็รู้ว่าถ้าซื้ออะไรไปให้อีกฝ่ายก็คงจะไม่ยอมรับไว้เป็นแน่
“...ฮืม?”
ผมหรี่ตามองมะนาวที่กำลังกินอาหารเม็ดตรงหน้าอย่างไม่แน่ใจ อะไรบางอย่างมันดูไม่ปกติ
ทำไมเต้านมถึงดูใหญ่ขึ้นล่ะ เอ๊ะ... หรือว่าเป็นแบบนี้อยู่แล้ว?
ภายในหัวเริ่มตีกันวุ่นเนื่องจากไม่แน่ใจว่าสิ่งที่เห็นนี่มันเป็นปกติอยู่แล้วหรือพึ่งเกิดขึ้น ถ้าจะบอกว่ามะนาวแค่อ้วนนมเลยห้อยก็ไม่น่าใช่...
“...หรือว่าจะป่วย”
พอคิดได้แบบนั้น สิ่งแรกที่ผมทำคือหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาโทรหาคนที่สามารถช่วยได้ซึ่งก็คงเป็นใครไปไม่ได้นอกจากเด็กหนุ่มที่มักจะมอบความกล้าให้เสมอ...ต้นว่าน
เสียงสัญญาณโทรศัพท์ดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่คนที่อยู่ปลายสายนอกจากจะไม่รับแล้ว อยู่ๆ สายกลับถูกตัดไปและกลายเป็นฝากข้อความแทน พอโทรกลับไปอีกรอบก็พบว่าปิดเครื่องไปแล้ว หลังจากผ่านไปประมาณสิบนาที ผมที่ยังคงติดต่อต้นว่านไม่ได้ก็เริ่มสังหรณ์ใจไม่ค่อยดีเพราะอีกฝ่ายไม่เคยไม่รับสาย ต่อให้ติดธุระอะไรก็จะส่งข้อความกลับมาบอกทุกครั้ง จึงรีบขับรถตรงไปยังมหาวิทยาลัยของต้นว่านที่อยู่ไม่ไกลนัก
ตอนนี้เป็นเวลาเกือบบ่ายสามจึงมีนักศึกษาหลายคนที่ทยอยเดินออกมาจากมหาวิทยาลัย ผมเดินเข้าไปภายในโดยไม่รู้แน่ชัดว่าต้นว่านจะมาเรียนวันนี้ไหม แต่การรอโดยไม่ทำอะไร มันไม่ใช่นิสัยของผมอยู่ดี
“อ๊ะ...นั่นพี่ไผ่นี่นา”
“บอล?” เสียงเรียกชื่อทำให้ผมหันไปก่อนจะเจอเพื่อนในกลุ่มของต้นว่านนั่งอยู่ที่ม้าหินอ่อนกันครบทั้งสี่คนขาดแต่คนที่ผมตามหาอยู่เท่านั้น
“สวัสดีครับพี่ไผ่” เด็กทั้งสี่คนยกมือไหว้ทักทายอย่างมีมารยาท
“สวัสดี ว่าแต่ต้นว่านไม่อยู่เหรอ”
“อ้อ...ถ้าว่านละก็ไปทำงานพิเศษอยู่น่ะครับแต่เห็นว่าช่วงนี้ไม่ค่อยดีเท่าไร” เสียงของเพื่อนในกลุ่มอีกคนที่ชื่อ ‘กัน’ บอก
“ไม่ค่อยดี?”
“พวกผมก็ไม่ค่อยรู้อะไรเพราะว่านไม่ค่อยชอบเล่าเรื่องส่วนตัวให้ฟัง แต่พี่จำพวกเด็กอวดรวยพวกนั้นได้ไหมครับ”
“จำได้สิ” โดนด่าว่ากระเทย ถ้าจะให้ลืมคงไม่ง่าย
“พ่อของหมอนั่นเป็นเจ้าของร้านที่ว่านไปทำงานด้วยเลยถูกแกล้ง พวกผมก็อยากไปช่วยนะแต่ว่านมันห้ามไว้บอกว่าห้ามมายุ่งเด็ดขาดเลย”
“อีกอย่างพวกผมก็ช่วยอะไรไม่ได้หรอก พ่อของหมอนั่นรู้จักร้านแถวนี้เกือบหมดถ้าเข้าไปยุ่งครอบครัวพวกผมก็จะแย่ไปด้วย” เพื่อนอีกคนพูดเสริมขึ้น
“เลยมองดูเพื่อนถูกทำแบบนั้นเหรอ”
คำถามที่เอ่ยออกไปทำเอาเด็กทั้งสี่คนเงียบกริบ
“พี่ไม่ได้จะว่าพวกเรานะ มันถูกแล้วที่จะไม่เข้าไปยุ่งเพราะถ้าการเข้าไปยุ่งจะทำให้ครอบครัวตัวเองต้องแย่ก็อย่าเลย” ผมอธิบายเพิ่มอย่างเข้าใจ
“แต่พวกผมก็ไม่ได้อยากทนดูอยู่เฉยๆ หรอกนะ!” บอลตะโกนเสียงดัง
“พี่รู้ เพราะงั้นถ้าเกิดเหตุการณ์แบบนี้อีกมาบอกพี่ นี่เบอร์พี่...” ผมจัดการให้เบอร์กับเด็กๆ พวกนั้นไป
“พี่จะทำอะไร...”
“อืม...นั่นสิ ทำอะไรดีนะ ว่าแต่ร้านที่ว่าอยู่ไหนพอจะบอกได้ไหม”
ผมขับรถเข้าไปจอดในที่จอดรถของร้านสะดวกซื้อแห่งหนึ่งที่มีสาขาเยอะพอๆ กับแฟมิลี่มาร์ท ก่อนจะเดินตรงไปทางร้านนั้นโดยที่ความหงุดหงิดเริ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ผมไม่ชอบการใช้อำนาจมารังแกคนอ่อนแอกว่า แล้วยิ่งไม่ชอบพวกผู้ใหญ่ที่ตามใจลูกตัวเองจนเสียคน
“ขนเร็วๆ สิวะ แกนี่มันช้าเหมือนเต่าจริงๆ” เสียงตะโกนด่าที่ออกจะคุ้นหูทำให้ผมที่กำลังหงุดหงิดหยุดชะงัก
เสียงนี่คุ้นมาก...
พอเดินตามเสียงไปยังด้านหลังร้านก็เป็นอย่างที่คิด เพราะเด็กที่ตะคอกเสียงดังเมื่อครู่เป็นคนเดียวกับที่ด่าเผมว่าเป็นกระเทย ทว่าสิ่งที่ผมสนใจไม่ใช่เด็กอวดรวยนั่นแต่เป็นเด็กข้างๆ ที่กำลังยกลังสินค้าไปวางไว้ชิดผนังของร้านต่างหาก
“...ต้นว่าน” ผมพึมพำเมื่อเจอตัวคนที่ตามหาแล้ว
ใบหน้าสีแทนที่ปกติจะมีรอยยิ้มมุมปากเสมอเวลาเล่นกับมะนาวตอนนี้กลับมีรอยถลอกอยู่เต็มไปหมด...แค่ดูก็เดาได้ว่าเกิดจากอะไร
โคร่ม!
ยังไม่ทันได้มองอะไรต่อลูกชายเจ้าของร้านก็เดินเข้าไปหาต้นว่านก่อนจะออกแรงแตะเข้าที่ขาทำให้ต้นว่านล้มลงบนพื้นอย่างแรง ภาพนั่นทำเอาความโกรธที่มีเริ่มปะทุขึ้น
นี่มันมากเกินกว่าคำว่าแกล้งแล้ว
“ต้นว่าน!” ผมไม่รอช้ารีบเข้าไปช่วยพยุงอีกฝ่ายทันที
“...พี่ใบไผ่?” เหมือนอีกฝ่ายจะงงว่าผมมาที่นี่ได้ยังไง แต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลาจะมาอธิบายอะไรแล้ว
“ไปโรงพยาบาลเดี๋ยวนี้”
“พี่...”
“อีกแล้วเหรอ นี่สรุปขายตัวจริงๆ สินะไอ้ว่าน” เสียงของเด็กอีกคนที่ยืนกอดอกดังขึ้นพร้อมมองมาด้วยสายตาดูถูก
สายตานั่นผมไม่ชอบเลย...
“นี่เป็นคำที่เพื่อนพูดกันงั้นเหรอ” ผมถามเสียงนิ่ง ตอนนี้ผมรู้สึกโกรธมากและใกล้จะทนไม่ไหวแล้วด้วย
“เพื่อน? ไอ้กระจอกเนี่ยนะ? ฮ่าฮ่าฮ่า...ใครเป็นเพื่อนมันกัน แค่เห็นหน้าก็อยากชกให้เละเลย!”
“เพราะต้นว่านหล่อกว่าสินะ”
“แก!” เด็กตรงหน้าขึ้นเสียงทันทีที่ได้ยิน
ท่าทางร้อนตัวแบบนั้นทำให้รู้ว่าตัวเองคิดถูก
“อิจฉาเขาละสิ”
“ว่าไงนะ? ใครจะไปอิจฉาคนจนๆ แบบนั้นกัน”
“สิ่งที่ทำอยู่มันเรียกว่าอิจฉา” ผมยังคงยืนยัน ผมเคยผ่านชีวิตวัยรุ่นมาก่อนเพราะอย่างนั้นผมจึงรู้ดีว่าการกระทำเหล่านั้นคือความอิจฉา
“ถ้ายังกล้าพูดอีก ฉันจะไปฟ้องพ่อให้จัดการแก” เด็กตรงหน้าพูดใส่อารมณ์เต็มที่
ตัวเองทำอะไรไม่ได้เลยต้องพึ่งพ่อสินะ…
ตอนแรกกะจะไม่ทำอะไรแล้วเชียว แต่ถ้าอยากลองดีก็จะจัดให้สักหน่อยก็ได้
“เอาสิ นี่นามบัตร เอาให้พ่อเราดูด้วยล่ะ จะนัดเมื่อไหร่ก็ตามใจ” ผมหยิบนามบัตรส่งให้เด็กคนนั้นก่อนจะพยุงต้นว่านให้ออกจากสภาพแวดล้อมแย่ๆ ตรงนี้สักที
“แก...อย่าคิดว่าฉันไม่กล้านะ”
“จะรอดูว่าถ้าพ่อเราเห็นนามสกุลนั้นแล้วยังจะกล้าโทรมาอยู่ไหม อ้อ...ต้นว่านจะลาออกจากที่นี่ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป” ผมบอกทุกอย่างตามที่คิดออกไป
“พี่ใบ...”
“หยุดพูดก่อนที่พี่จะโกรธมากไปกว่านี้” แค่นี้ก็รู้สึกอยากจะอัดหน้าเด็กนั่นจะแย่แล้ว แต่การใช้กำลังมันไม่สนุกเท่าใช้สมองหรอก
นามสกุล ‘ศิริวัฒนิวงศ์’ เป็นที่รู้จักกันอย่างกว้างขวางในแวดวงธุรกิจ เพราะไม่ว่าจะเป็นบริษัทเล็กหรือใหญ่ต่างก็อยากส่งสินค้าของตัวเองไปขายที่ต่างประเทศ แต่ประเทศอื่นก็ใช่ว่าจะยอมรับสินค้าต่างชาติได้ง่ายๆ และการจะนำเข้าสินค้าจะต้องมาจากบริษัทที่ได้รับมาตรฐาน มีใบอนุญาตและมีคุณภาพดีเท่านั้น และเป็นที่แน่นอนว่าสินค้าที่ถูกส่งภายใต้ชื่อของบริษัทผมนั้นสามารถผ่านขั้นตอนการดำเนินการต่างๆ ได้อย่างราบรื่น ไม่เหมือนบางบริษัทที่อาจจะมีการติดขัดบ้างในบางครั้ง ดังนั้นจึงไม่แปลกที่จะมีหลายบริษัทอยากส่งออกสินค้าภายใต้ชื่อ 'ศิริวัฒนิวงศ์'
ถ้าพ่อเด็กนั่นเห็นนามสกุลนี้แล้วยังกล้าโทรมา...ผมจะจัดหนักให้เลย
ผมจูงแขนต้นว่านไปที่รถ แล้วขับออกจากสถานที่นั้นอย่างรวดเร็ว ระหว่างทางที่ขับกลับบ้านไม่มีบทสนทนาอะไรเกิดขึ้นเลยแม้แต่คำเดียว ซึ่งผมก็พอจะเข้าใจ
“เข้ามาก่อนสิ” ผมบอกพลางเปิดประตูรั้ว
“พี่...คือ...”
“ไปคุยกันในบ้าน...นะครับ” ผมเปลี่ยนโทนเสียงจากที่อารมณ์ไม่ดีให้กลับมาเป็นปกติอีกครั้ง เรื่องเครียดๆ ก็โยนมันทิ้งไปอย่าเก็บเอาไว้เลย
“พี่ไม่ควรทำแบบนั้น...”
“พี่บอกว่าให้มาคุยกันข้างในไง” ผมหันไปเอ็ดคนตรงหน้าอีกครั้งเมื่อเห็นว่าไม่ยอมเดินตามเข้ามา
“พี่เข้ามาช่วยผมทำไม พี่รู้ไหมว่าพ่อของเป้เป็นคนที่มีอิทธิพลแถวนี้ การที่พี่มาช่วยแถมยังพูดท้าทายแบบนั้นการงานพี่อาจจะแย่ไปด้วยนะ!” ต้นว่านตะโกนขึ้นราวกับความอดทนที่มีได้พังทลายลงแล้ว
“พี่ไม่เป็นไร”
“พี่ไม่รู้...”
“รู้สิ พี่รู้ว่ามันจะไม่เป็นไร”
แค่เจ้าของกิจการขนาดกลางจะมีอิทธิพลขนาดไหนเชียว ไม่ใช่ว่าผมดูถูกหรืออะไรแต่เพราะมั่นใจว่าถ้าเป็นเรื่องของอิทธิพล ...ผมมีมากกว่าเห็นๆ
“แต่...”
“เราทนมามากแล้วต้นว่าน พี่จะช่วยเราเอง” บอกจบผมก็ยกมือขึ้นลูบหัวอีกฝ่ายเบาๆ เป็นการปลอบ
ผมไม่รู้ว่าต้นว่านเจอเรื่องพวกนี้มานานขนาดไหน จิตใจที่โดนดูถูกทุกวันๆ มันจะเจ็บจนไม่รู้สึกไปแล้วรึยัง
“...อย่ามายุ่งกับผมเลยพี่ใบไผ่” อีกฝ่ายพึมพำพร้อมกับก้มหน้าลง
“ต้นว่าน...”
“ผมไม่มีอะไรจะให้พี่ ไม่มีประโยชน์อะไรทั้งนั้น พี่ปล่อยผมไปเถอะอย่ามาทำดีกันแบบนี้เลย...”
“กลัวอะไรอยู่เหรอต้นว่าน” ผมถามกลับไปตามตรง “พี่ไม่รู้หรอกว่าเราเจออะไรมาบ้างแต่คงไม่ใช่เรื่องที่น่าเล่านัก ปกติเราเป็นเด็กใจร้อนที่พร้อมจะวิ่งเข้าไปชกใครต่อใครเมื่อโดนดูถูก แต่นี่กลับยอมถูกเตะแบบนั้น พี่ว่ามันต้องมีอะไรมากกว่านี้”
“พี่ใบไผ่...”
“ถ้าเรายอมบอก พี่อาจจะช่วยได้นะ”
“...”
“เด็กที่ชอบแกล้งพี่มันหายไปไหนแล้วฮื้อ” ผมถามออกไปด้วยรอยยิ้มขำๆ เพื่อหวังว่าจะคลายบรรยากาศตรึงเครียดให้ได้สักนิด
“...ถ้าผมไม่ยอมทำตาม พ่อแม่ผมจะโดนไล่ออกจากงาน” ต้นว่านพึมพำเบาๆ โดยที่มือทั้งสองข้างกำแน่นด้วยความโกรธ
“รู้สึกว่าเพชรเกษมศักดิ์จะมีอิทธิพลพอดูสินะ” นั่นเป็นสิ่งเดียวที่คิดได้
“พ่อของเขาเป็นกำนันที่นี่ด้วย”
“อ้อ...อย่างนี้นี่เอง” เข้าใจละว่าทำไมถึงได้ชอบอ้างพ่อขนาดนั้น
“ผมเจ็บใจมากที่ทำอะไรไม่ได้ ถ้าผมสู้ พ่อกับแม่ก็จะแย่ไปด้วย ใจผมอยากจะชกหน้ามันสักหมัดสองหมัดให้หายโกรธไปเลยแต่ก็ต้องกดไว้”
“การใช้กำลังไม่ได้ช่วยแก้ปัญหาหรอกนะ”
“ผมรู้”
“การแก้แค้นที่ดีที่สุดคือการประความสำเร็จที่เหนือกว่า” ผมบอกเด็กตรงหน้า
“ครับ”
“เอาล่ะเลิกคิดมากก่อน ตอนนี้เรามีงานพิเศษที่ไหนต้องทำอีกไหม”ผมเปลี่ยนเรื่อง
“...พี่ให้ผมลาออกแล้วนี่”
“แล้วที่อื่นล่ะ” จำได้ว่าน่าจะมีหลายที่นะ
“เจ้าของร้านแถวนี้ก็มีพ่อของเป้เป็นคนคุมทั้งนั้นแหละ คิดว่าพวกเขาจะให้ผมไปทำงานเหรอ”
“ดีเลย”
“ดีตรงไหน” คิ้วสีดำขมวดเข้าหาแน่นราวกับจะบอกว่าไม่เห็นดีสักนิด
“ดีสิ เพราะพี่จะจ้างเราเอง” ผมยิ้มระหว่างที่บอก
“ฮะ? จ้างผม?”
“ใช่”
“ไม่เอาครับ”
“ต้นว่าน”
“ผมรู้ว่าพี่มีเงิน พี่ควรเอาเงินนั้นไปจ้างคนที่มีความรู้ความสามารถตรงกับที่ต้องการดีกว่าเด็กแบบ...”
“พูดมาก็ดีเลย งานที่พี่จะให้ทำมีแต่เราที่ทำได้ และพี่ก็ไว้ใจได้แค่เราเท่านั้นด้วย” ผมรีบพูดแทรก
“...แค่ผม”
“ใช่”
“อะไรเหรอครับ” ต้นว่านถามกลับ
“ตกลงก่อนสิ”
“บอกผมก่อน”
“ไม่บอกจนกว่าต้นว่านจะตกลง”
“พี่ใบไผ่” คนตรงหน้าเริ่มหรี่ตามองมาด้วยสายตาโกรธๆ
“ฮึ...แบบนี้สิถึงจะเป็นต้นว่านที่พี่รู้จัก” ต้นว่านที่ยอมคนน่ะผมไม่รู้จักหรอก
“บอกผมมา”
“ตกลงก่อน”
“พี่ใบไผ่”
“ครับต้นว่าน”
“ผมจะเรียกมะนาวให้กระโจนใส่พี่”
“เฮ้ย...ไม่เอา” ผมสะดุ้งเมื่อถูกเอาจุดอ่อนมาแกล้งกัน
“บอกมาได้แล้วพี่”
“แค่ตกลงก่อนมันจะยากอะไรล่ะ”
เรื่องง่ายๆ แค่ตอบตกลงทำไมถึงได้ยากเหลือเกิน ทำไมถึงดื้อนักนะต้นว่าน...
“ถ้าตกลงมันจะไม่เป็นการรบกวนพี่ใช่ไหม”
“แน่นอน”
“ตกลงก็ได้” สุดท้ายต้นว่านก็ยอมแพ้ในที่สุด
“เยี่ยม พี่จะให้เรามาดูแลบ้านหลังนี้กับมะนาว” ผมอธิบายสิ่งที่ต้องการให้อีกฝ่ายทำ
“แค่นี้เหรอครับ”
“ใช่...แต่มะนาวดูเหมือนจะป่วยอยู่เลยนะ” พอพูดมาถึงตรงนี้ก็นึกขึ้นมาได้
“ป่วย? เป็นอะไรครับ” ต้นว่านทำหน้าร้อนรนทันทีที่ได้ยิน
“พี่ก็ไม่รู้แต่มันแปลก พี่พยายามโทรหาเราช่วงบ่ายแต่ไม่ติด”
“โทรศัพท์ผมโดนเหยียบไปแล้ว...” ดวงตาคมสีน้ำตาลที่หรี่ลงเหมือนกำลังระงับความโกรธทำให้คนฟังอย่างผมรู้ทันทีว่าใครเป็นคนทำ
“ไปดูมะนาวกันดีกว่า” เพื่อไม่ให้บรรยากาศเสียผมจึงวกกลับเข้าเรื่องเดิมอีกครั้งก่อนจะเปิดเข้าไปในบ้านที่ขังมะนาวเอาไว้ภายใน
ไม่รู้ว่าจะไปแอบฉี่แอบอึไว้ที่ไหนรึเปล่า...
“ที่บอกว่าแปลกนี่คืออะไรครับ” ต้นว่านถามต่อ
“ก็เต้านมมันดูใหญ่ๆ ขึ้นน่ะ ไม่รู้ว่าคิดไปเองรึเปล่าแต่ตอนแรกที่มามันไม่ได้เป็นแบบนี้” ผมอธิบายคร่าวๆ
บรู๊ววว~
เสียงหอนดังขึ้นก่อนสุนัขรูปร่างคล้ายหมาป่าจะวิ่งมาด้วยท่าทางเริงร่า ยิ่งมันเห็นต้นว่านก็ยิ่งรีบวิ่งเข้ามาซุกไซร้ที่ขาของเด็กหนุ่มราวกับดีใจที่ได้เจอกันหลังจากไม่ได้เจอกันมานาน ต้นว่านเองก็คุกเข่าลงไปนั่งที่พื้นพลางลูบไปตามหน้าท้องซึ่งตอนนี้เต้านมเริ่มใหญ่ขึ้น
“...พี่ใบไผ่” หลังจากเงียบอยู่นานต้นว่านก็เรียกชื่อผมเสียงเบาหวิว
“ฮืม? สรุปมะนาวเป็นอะไร”
“ผมยังไม่แน่ใจเต็มร้อย แต่...”
“แต่?”
“พี่ยังกลัวหมาอยู่รึเปล่า”
“...ก็กลัวอยู่ แต่ถ้าเป็นมะนาวก็ไม่มากเท่าตัวอื่น”
ถ้าเป็นสุนัขตัวอื่นผมยังคงกลัวและไม่อยากเข้าใกล้ แต่สำหรับมะนาวผมเริ่มรู้สึกดีขึ้นมาหน่อยแล้ว อาจเพราะให้อาหารแทบทุกวันเลยมีความรู้สึกผูกพัน
“งั้นถ้าเป็นลูกของมะนาวพี่จะกลัวไหม”
คำถามของต้นว่านทำเอาผมตาเบิกกว้างพร้อมก้มลงไปมองที่ท้องของมะนาวด้วยความตกใจ
“พี่ใบไผ่?”
“ยะ...อย่าบอกนะว่า...”
ขอร้องล่ะอย่าให้เป็นอย่างที่คิดเลย
“อย่างที่พี่คิดแหละ...มะนาวท้องครับ”
พระเจ้า! ท่านช่างโหดร้ายนัก นี่ท่านไม่รู้หรือแกล้งไม่รู้กันแน่!
จริงอยู่ว่าผมเริ่มรู้สึกดีกับสุนัขขึ้นมาบ้าง แต่...แต่!...และแต่!! แต่แค่สุนัขตัวเดียวก็แทบรับมือไม่ไหวแล้ว นี่ถ้ามีสุนัขตัวใหญ่แบบมะนาวเพิ่มเข้ามาอีกละก็...โอ้ยไม่อยากจะคิด
ผมกลัวสุนัขเฟ้ยยย~!
..................................................................................
สวัสดีค่ะ
มาอัพต่อแล้ว
ชอบตอนที่ใบไผ่รู้ว่ามะนาวท้องจังเลย ลองจินตนาการแล้วก็อดขำไม่ได้
สำหรับคนที่กลัวสุนัขแต่ดันรู้ว่าสุนัขเพียงตัวเดียวของตนท้องอีกคงจะตกใจสุดๆ
อยากลองแต่งแนวนี้มานาน ในที่สุดก็ได้ลองแต่งสักที
เรื่องที่ดำเนินเรื่อยๆแบบนี้แต่งได้เรื่อยๆ เราเลยไม่ได้วางพล๊อตอะไรไว้นัก
ไม่แน่ใจว่าจะจบสักกี่ตอนดี แต่คงไม่เยอะมากหรอกนะ555
ขอบคุณทุกๆคนที่คอมเม้นท์และเป็นกำลังใจให้ตลอดนะคะ
ไว้เจอกันในตอนต่อไปค่ะ^^
บ๊ายบาย
-Rewrite- >> รีอีกสักตอนเนอะ 555 16/05/61
nicedog
♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪