3 – ทันใจเด็กชายใจเย็นเติบโตมาด้วยความใจเย็นของบ้านอัครเสนีย์ เพราะมั่นคงมั่งคั่งสมบูรณ์พูนพร้อมจึงไม่เห็นจำเป็นต้องร้อนใจเพราะขาดสิ่งใด ทั้งคุณเกษราผู้เป็นแม่ก็มอบความรักความอบอุ่นให้แบบพอเหมาะพอควร ไม่มากเกินไปจนเหลิงระเริง และไม่น้อยเกินไปจนเกิดช่องโหว่ในหัวใจ เป็นการเติบโตจากการเลี้ยงดูที่ไม่ใคร่เหมือนใครทั้งนั้นในบรรดาน้องต่างแม่อีกสองคน
พิชญะ น้องชายคนกลางจากคุณแม่ทิพย์นั้นมีนิสัยนอบน้อม ถ่อมตน จนบางครั้งใจเย็นรู้สึกเหมือนพิชญะชอบขุดหลุมในจุดที่ตนเองกำลังจะย่างก้าว ให้ต่ำลงไป ต่ำลงไปกว่าคนอื่น ไม่ให้ใครต้องสังเกตสังกาเขามากนัก และหากมีของมีค่าชิ้นใดจะช่วยถมหลุมนั้นให้เติมเต็มและหยัดยืนด้วยความสูงเท่าคนอื่น พิชญะก็จะมอบมันให้ใจเย็น ไม่ก็แบ่งมันให้กับพริมา น้องสาวคนเล็กจากคุณแม่ปัทมา
พริมามีนิสัยดังน้องคนสุดท้องแท้ๆ เอาแต่ใจ เจื้อยแจ้วเจรจามั่นอกมั่นใจในตัวเอง แต่ก็ไม่ใช่นิสัยที่มีพิษภัยนัก อย่างมากก็เป็นมลพิษทางเสียงให้กับใจเย็นที่มีนิสัยรักสงบ จนหลายครั้งใจเย็นต้องสรรหาของมาไหว้วานให้น้องสาวชะงักการแผดเสียงลง และของที่ได้ผลดีที่สุดเห็นจะเป็นไอศกรีมรสสตรอเบอร์รี่ ของโปรดของใจเย็นเองนั่นแหละ
ทั้งหมดนี้เองจึงทำให้ใจเย็นเรียนรู้การเป็นผู้ให้และผู้รับได้อย่างดีเยี่ยมมากกว่าหลักสูตรไหนๆ คุณเกษราเองก็ดูจะพออกพอใจ แม้ครั้งที่ลูกต่างแม่สองคนนี้เกิดมาหล่อนจะรู้สึกครั่นเนื้อครั่นหัวใจ เป็นความรู้สึกแปลกแปร่งที่ว่าจะหาคำอธิบายได้ก็ไม่เชิง แต่สุดท้ายหล่อนก็ไม่อยากขบคิดถึงมันมากนัก เพราะรู้ดีว่าถึงอย่างไรก็คงทำอะไรกับเรื่องที่เกิดไปแล้วไม่ได้ ห้ามคนหลายใจไม่ให้ปันใจนั้นยากยิ่งกว่าพร่ำสอนหมาไม่ให้ซื่อสัตย์เสียอีก
กระนั้นเลย คุณเกษราก็ปลดปลงได้ไม่ถึงที่สุดเมื่อนึกย้อนถึงลูกชายเพียงคนเดียวของตน คุณเกษราจนปัญญาเหลือเกินที่จะพร่ำสอนเรื่องความซื่อสัตย์ในความรักให้ใจเย็นฟัง ในเมื่อใจเย็นเกิดมาก็พบเจอกับพ่อที่ไม่ซื่อสัตย์ในรักเดียว และต่อให้เอ่ยความแก้ไข ใจเย็นก็เด็กเกินกว่าจะเข้าใจ รอให้โตขึ้นก็คงไม่ทันการในเมื่อสมองอาจจดจารลงในทรงจำว่ามันเป็นเรื่องปกติไปเสียแล้ว
ดังนั้นคุณเกษราจึงหาทางแก้ปัญหาด้วยวิธีเดิม นั่นคือให้เรียนรู้ความซื่อสัตย์จากสัตว์ เป็นการเรียนรู้ทางอ้อมและซึมลึก ครั้งนี้คุณเกษราเลือกบีเกิล หมาสายพันธุ์ล่าสัตว์ที่ร่าเริงโลดโผนโจนทะยานยากจะควบคุม ด้วยเห็นว่าต่างกับลูกชายของตนเองที่แค่ห้าขวบปีก็ฉายแววหวานเย็น แม้จะยิ้มได้สดใส แต่เนื้อแท้นั้นนิ่งสงบสุขุมต่างจากเด็กทั่วไป ผลพลอยได้มากกว่าซื่อสัตย์คือหวังให้ใจเย็นร่าเริงตาม ‘ทันใจ’ เสียบ้าง
ทว่าก็ได้ผลตรงข้าม ทันใจเองเสียอีกที่เรียนรู้ความสุขุมจากใจเย็น เพราะตั้งแต่วันแรกที่ได้รับการต้อนรับเข้าบ้านอัครเสนีย์ คนเดียวที่ไม่เข้าหาทันใจก่อนก็คือใจเย็น เพียงอยู่นิ่ง ขรึม ปล่อยให้ลูกหมาร่าเริงค่อยๆ เข้าหาด้วยตัวเอง จนสุดท้ายใจเย็นก็ดูจะถูกยอมรับในฐานะจ่าฝูงไปในที่สุด
แล้วจะว่าใจเย็นได้เรียนรู้ความซื่อสัตย์จากทันใจหรือเปล่าก็คงไม่มีใครตอบได้ ที่เห็นชัดคือใจเย็นดูสนใจเรื่องของสัตว์มากขึ้น เป็นวันๆ ที่ใจเย็นสามารถอยู่เล่นกับทันใจเงียบๆ คนเดียวได้ หรือถ้าวันไหนทันใจแวะไปเล่นกับคนอื่น ใจเย็นก็จะมานั่งนิ่งๆ อยู่หน้าจอโทรทัศน์ แต่สิ่งที่เปิดดูไม่ใช่การ์ตูน หากเป็นสารคดีสัตว์โลก นั่งดูไปอย่างนั้น ทั้งวัน ตราบเท่าที่มันจะมีฉายให้ดู
คุณเกษราเห็นดังนั้นก็ไม่ได้ขัดข้องอะไร คิดว่าดีเสียอีกหากลูกชายจะค้นพบสิ่งที่ชอบตั้งแต่เด็กไม่ว่ามันจะเป็นอะไรก็ตาม คุณเกษราไม่ได้หวังอย่างหนักแน่นให้ใจเย็นสืบทอดธุรกิจของครอบครัว หล่อนหวังให้ใจเย็นพบทางของตนเองและจะสนับสนุนอย่างเต็มที่ ไม่ให้เหมือนกับหล่อนที่เลือกทางผิดและหัวใจล่มสลายอยู่เงียบๆ ข้างใน ฉะนั้นจึงดีใจที่ใจเย็นเลือกตอบมาหนึ่งอาชีพเวลาถามถึงอาชีพในฝัน ‘สัตวแพทย์’ ใจเย็นตอบพร้อมยิ้มบางเบา
แต่เมื่อใจเย็นอายุได้สิบสี่ปี อะไรทั้งหลายก็หักพัง กร่อนกระจายชิ้นเล็กชิ้นน้อยและคล้อยหายไปตามสายลม
ตอนนั้นเองที่ทันใจอายุได้เก้าปี ถือว่าเริ่มเข้าวัยแก่ชราสำหรับหมาตัวเล็กๆ และเพราะบีเกิลเป็นหมาที่มีโรคประจำสายพันธุ์มากมาย ทันใจจึงมีโรคภัยรุมเร้าอย่างโรคทางระบบประสาท เยื่อหุ้มสมองอักเสบ แต่สิ่งที่คร่าชีวิตของทันใจไปก็คือไตวาย
ก่อนที่จะตาย ทันใจไม่แสดงอาการอะไรล่วงหน้า ไม่แม้แต่เบื่ออาหารเซื่องซึม มันยังกระดิกหางร่าเริงสดใสให้ใจเย็นผู้เงียบขรึม รู้ตัวอีกทีก็เป็นระยะสุดท้ายที่ทันใจอาเจียนบ่อยครั้ง ถ่ายเหลวดำคล้ำ กินอาหารไม่ได้ หมดแรง จนพาส่งโรงพยาบาลก็ไม่ทันการ ทันใจมีอาการชัก ทุรนทุราย ดิ้นพล่านราวจะหนีความตายให้ใจเย็นรู้สึกจะขาดใจตาม และแววตาสุดท้ายที่มันโหยไห้ประสานสบตาเขา เหมือนเป็นแววตาของความเศร้าสลดใจที่รู้ตัวว่าจะไม่ได้พบกับคนที่มันรักอีกแล้ว ก่อนแววนั้นจะดับสิ้นไปชั่วนิรันดร์ต่อหน้าต่อตาของใจเย็น
ตอนนั้นเองที่ใจเย็นรู้สึกเหมือนมีพายุรุนแรงพัดกระหน่ำเข้ามาในใจ น้ำตาของเขาไหลออกมาช้าๆ ไร้สติรู้ตัว ไม่รู้แม้แต่ว่าพายุนั้นหอบอะไรมาบ้าง เอาอะไรไปบ้าง และเหลือทิ้งอะไรไว้ในใจของเขาบ้าง จนเมื่อสำรวจตรวจค้นอีกที ใจเย็นก็พบว่าตนเองไม่ได้สูญเสียแค่ทันใจ แต่สูญสิ้นความหมายที่ตั้งมั่นเอาไว้มาตลอด
ใจเย็นพบว่าตนเองไม่ได้รักสัตว์เลยแม้แต่นิดเดียว
ใจเย็นก็แค่รักทันใจเท่านั้น หากเป็นหมาตัวอื่นหรือสัตว์อื่น เขาแค่ชอบที่จะจ้องมองพฤติกรรม ไม่ได้สนใจจะเล่นด้วยหรือเมตตาอาดูรใดๆ แล้วด้วยนิสัยใจคอแบบนี้จะเป็นสัตวแพทย์ที่เขาว่ากันว่าควรมีใจรักสัตว์แบบเห็นแล้วก็เต็มใจปรี่เข้าหาต่อให้สัตว์ตัวนั้นเป็นขี้เรื้อนได้หรือ
คำตอบคือไม่ และใจเย็นก็ไม่รู้สึกว่าฝันนั้นเป็นฝันอีกแล้ว ในเมื่อทันใจก็ตายแล้ว จะมีความหมายใดอีกเล่า
ตั้งแต่นั้นใจเย็นจึงไม่ดูรายการสารคดีสัตว์โลกอีก แต่จะว่าเขาหมดความสนใจในการสังเกตพฤติกรรมของสิ่งมีชีวิตก็ไม่น่าใช่ เขาแค่ปฏิเสธตัวตนของฝันที่ล่มสลายไปก็เท่านั้น และนิสัยที่ชอบสังเกตสังกาสิ่งมีชีวิตก็ย้ายจากสัตว์มาเป็นมนุษย์เสียแทนโดยไม่รู้ตัว
ใจเย็นเริ่มจากสังเกตพฤติกรรมของคนในบ้าน เริ่มจากลำดับชั้นที่เล็กน้อยที่สุดอย่างบรรดาคนรับใช้ รู้สึกได้ว่าพวกเขามีการกระทำที่เกิดจากระบบความคิดเรียบง่าย ไม่ซับซ้อน เป็นอะไรที่ดูเพลินแต่ไม่นานก็เบื่อด้วยเป็นวงจรอันซ้ำเดิม ถัดขึ้นมาก็เป็นน้องชายและน้องสาว พิชญะและพริมา แต่ก็ดูยังเด็กวัยไล่เลี่ยและไม่ต่างจากเพื่อนที่โรงเรียนของเขาเท่าไหร่นักจึงหมดความสนใจ ถัดขึ้นมาอีกก็เป็นคุณแม่ทิพย์และคุณแม่ปัทมา ทับซ้อนเกี่ยวโยงจนพาลสังเกตไปถึงคุณเกษราแม่ของตัวเอง พวกหล่อนจะมาจากต่างบ้านเพื่อพบหน้ารับประทานอาหารเย็นเป็นครอบครัวใหญ่กันทุกวันอาทิตย์ พูดคุยกระหนุงกระหนิงตามประสาผู้หญิงราวเป็นมิตรกันดี และนั่นเองที่ใจเย็นเริ่มเห็นช่องว่างบางอย่าง
ช่องว่างระหว่างชนชั้นแต่เดิม ช่องว่างระหว่างความคิดความอ่าน ช่องว่างระหว่างความรู้สึกตามสถานะ เมื่อสังเกตก็ยิ่งเห็นชัด ความเกรงใจ การเหน็บแนม การวางอำนาจอย่างเงียบงันไม่ให้ก้าวก่ายเกินขอบเขต รวมถึงความสบายใจจากการลอยตัวอยู่เหนือปัญหาใดของคุณพิทักษ์พ่อของเขาเอง
แต่ไม่รู้ทำไมใจเย็นกลับรู้สึกว่ามันก็ปกติดีทุกอย่าง
สมเหตุสมผล ไม่มีสิ่งใดขาดตกบกพร่อง ไม่ได้รักกันจนเกินไปแต่ก็ไม่ได้เกลียดกันจนเกินไป ทุกอย่างเป็นเรื่องที่เข้าใจได้ท่ามกลางความไม่เข้าใจจากเจ้าของเสียงติฉินนินทาที่เขาได้ยินมาตั้งแต่เด็ก ให้แม่พร่ำบอกกรอกหูดังกว่าเสียงเหล่านั้นว่าครอบครัวเราปกติดี รักกันดี ไม่ได้เป็นอย่างที่ใครเขาว่ากัน
และบิดเบี้ยวนั้นเองยิ่งถูกย้ำซ้ำว่าปกติในตอนที่พ่อนินทาติดตลกกับสำเนียงเสียงทองแดงของคนสวนประจำบ้าน ความคิดหนึ่งกลั่นกรองออกมาว่ามนุษย์ล้วนสำรวจกันเอง สังเกตได้จากถ้อยคำติฉินนินทาที่หาได้ในทุกชนชั้น ฉะนั้นแล้วใจเย็นจึงถือถ้อยนินทาเหล่านั้นเป็นเรื่องปกติ โดยไม่คิดใคร่ครวญสำรวจหาความหมายของระบบคิดอีกฟากแม้แต่น้อย
จนกระทั่งอายุสิบห้าปี ใจเย็นก็รู้สึกเหมือนถูกตบหน้าเข้าอย่างจัง
มันเป็นวัน Open House ของมหาวิทยาลัยรัฐบาลแห่งหนึ่ง อากาศร้อนอบอ้าวจนคนที่ขาดไร้ความสนใจใดๆ ในเรื่องเรียนต่ออย่างใจเย็นอยากจะหนีออกไปให้พ้น ถ้าไม่ติดว่าคนที่พาเขามานั้นกระตือรือร้นเหลือเกินล่ะก็นะ หล่อนเป็นเด็กสาวที่แก่กว่าเขาทั้งอายุและชั้นปี หน้าตาน่ารักจิ้มลิ้มพอให้เขาชอบพอ แต่ก็ไม่ต่างจากเด็กสาวคนอื่นๆ ที่เขาเริ่มผูกสัมพันธ์ด้วยตั้งแต่ทันใจจากไปมากนัก
และอากาศร้อนตอนนี้ก็ทำให้ใจเย็นไม่ค่อยนึกสนใจหล่อน ออกจะหงุดหงิดด้วยซ้ำที่ร้อนอับด้วยผู้คนมากหน้าหลายตาขนาดนี้หล่อนยังจับมือเขาพาเดินไปนู่นมานี่จนรู้สึกเหนียวเหนอะในฝ่ามือ แต่ด้วยนิสัยนิ่งขรึมจึงข่มคำพูดเอาไว้ เปลี่ยนความสนใจอย่างเงียบเชียบไปยังแก้วชานมไข่มุกในมือของนักศึกษาคนหนึ่งที่เดินอยู่ข้างหน้า นึกสงสัยว่าซื้อจากตรงไหนเพราะอยากดื่มดับร้อนเหลือเกิน และจังหวะที่จะหันไปบอกกับเด็กสาวผู้กุมมือ เสียงพูดคุยจากนักศึกษาข้างหน้าก็แทงโสตเขาอย่างไม่อาจอธิบาย
“ไอ้สัด กูแค่คบซ้อน มึงด่ากูอย่างกับกูไปฆ่าใครตาย”
“เอ้า ทำร้ายจิตใจแม่งก็เหมือนฆ่าให้ตายทั้งเป็นน่ะแหละ” ถ้อยคำด่ามาจากนักศึกษาที่ถือแก้วน้ำอยู่ในมือ “มึงเลิกนิสัยแบบนี้สักทีเหอะ แม่งเหมือนพวกเหี้ยที่ควบคุมตัวเองไม่ได้”
“โอ๊ย มึงไปอินมาจากไหน แฟนก็ไม่เคยมี”
“ไม่รู้แม่ง”
แล้วสนทนาที่ได้ฟังก็จบลงแค่นั้น สั้นง่าย พร้อมกับการเดินของทั้งคู่ที่สิ้นสุดลงเมื่อมาถึงซุ้มของคณะวิศวกรรมศาสตร์ ให้ใจเย็นชะงักตาม รั้งมือเด็กสาวให้พลอยหยุดเดินไปด้วยโดยไม่รู้ตัว กระทั่งถูกไถ่ถามนั่นแหละเขาก็ไม่รู้จะตอบอย่างไร พาลโดนเข้าใจผิดว่าสนใจคณะนี้จนโดนหล่อนลากเข้าไปอย่างช่วยไม่ได้
และก็อาจเป็นโชคชะตาที่จะพลิกผันชีวิตของใจเย็นไปตลอดกาล ที่หล่อนจะพาเขามาหยุดยืนตรงหน้านักศึกษาคนที่ทำให้เขาสะดุดใจ นักศึกษาที่ถือแก้วน้ำอยู่ในมือ เพิ่งสังเกตเห็นตอนนี้ว่าปุ่มกระดูกที่ข้อมือนั้นดูนูนชัด นักศึกษาคนเดียวกับที่เปรียบพวกไม่ภักดีในรักว่าทำผิดร้ายแรงเหมือนไปฆ่าใครตายคนนั้น
แต่ใจเย็นก็ไม่รู้จะพูดหรือไถ่ถามอะไร ไม่รู้จะเปิดบทสนทนาถึงเรื่องที่เขาบังเอิญได้ยินเมื่อครู่ได้อย่างไร ถึงจะอยากรู้เหตุผลที่ทำให้เปรียบเปรยร้ายแรงขนาดนั้น อย่างที่ไม่เคยได้ยินปลิดปลิวมากับคำติฉินนินทา แต่ใจเย็นก็ได้แค่ปิดปากเงียบ ปล่อยเด็กสาวที่มาด้วยเจรจาเจื้อยแจ้วจนพาลนึกถึงพริมาขึ้นมาในบางครั้ง
หล่อนบอกว่าใจเย็นสนใจคณะนี้ หล่อนว่าอย่างนั้นทั้งที่เขาไม่ได้บอกสักคำ ให้นักศึกษาคนนั้นเอ่ยถามว่าสาขาอะไร หล่อนถึงเพิ่งหันมาถามเขา ใจเย็นตอบไปมั่วซั่วทั้งที่ไม่สนใจจะเรียนมหาวิทยาลัยเลยด้วยซ้ำ กระนั้นเลย ไอ้ความมั่วซั่วไม่สนใจก็ยังลงล็อกไปตรงกับสาขาของนักศึกษาคณะวิศวกรรมศาสตร์คนเดิม ให้เป็นคนพูดแนะนำสาขากับเขาจนได้
แน่นอนว่าใจเย็นไม่ได้สนใจฟัง ปล่อยให้เด็กสาวคอยตอบรับแทน ในหัวคิดเรื่องอื่น คิดสงสัยใคร่รู้ถึงระบบคิดอีกฟากเกี่ยวกับความรักขึ้นมา ทำไมหรือ มันผิดร้ายแรงขนาดนั้นเลยหรือ ก็ในเมื่อรักเหมือนกันทุกคน ก็ในเมื่อไม่ใช่ความเกลียด ในเมื่อไม่ได้ทำร้ายอะไรใคร ทำไมจึงดูเป็นความผิดเสียเหลือเกินในเมื่อเขาก็มองมันเป็นเรื่องปกติมาตลอดชีวิต
กระนั้นก็ได้แค่สงสัย สงสัยจนรู้สึกโหวงว่างขึ้นมาในหัวใจอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน และเพื่อทับถมกลบเกลื่อน ใจเย็นจึงเปลี่ยนความสนใจไปสังเกตท่าทีของคนตรงหน้า สังเกตพฤติกรรมอย่างที่ชอบทำเสมอมา นักศึกษาคนนั้นพูดจาชัดถ้อยชัดคำ แม้จะมีความห้วนห้าวในสำเนียงแต่ก็ไม่ได้ฟังแสลงหู ใบหน้าไม่ได้ยิ้มแย้มแต่ก็ไม่ได้ขับไส ดูแล้วน่าจะเป็นคนยิ้มยากคนหนึ่ง แววตาดูแฝงความกร้าวเอาไว้ บุคลิกทันสมัย ผมเปิดข้างรองทรง เสื้อนักศึกษาเรียบร้อยน่าจะเพราะวันกิจกรรม Open House กระนั้นก็ยังพับแขนเสื้อเชิ้ตขึ้นมาเหมือนรำคาญอากาศร้อน และพอนึกถึงตรงนี้ใจเย็นก็เพิ่งรู้สึกได้ว่าตัวเองนั้นหงุดหงิดกับอากาศร้อนแค่ไหนในเมื่อครู่ ความรำคาญมือที่เหนอะหนะ และความกระหายน้ำจึงคืนกลับ เป็นจังหวะเดียวกับที่นักศึกษาเอ่ยถามกลับว่ามีอะไรจะถามเพิ่มเติมไหม
ซึ่งก็แน่นอนว่าไม่มี
กระนั้นใจเย็นก็เอ่ยปากถามออกไป
“พี่ชื่ออะไร”
รู้ตัวว่าฟังแปลกในตอนที่อีกฝ่ายเหมือนจะสะดุดอยู่ในความเงียบ แต่ก็ไม่ได้แสดงออกทางสีหน้า แค่ตอบมาเรียบๆ
“เป็นไท”
“งั้นเหรอ” เขาตอบรับ เรียบง่ายไม่แพ้กัน “ขอบคุณครับ”
ใจเย็นตัดจบที่ตรงนั้น ไม่ได้เอ่ยอะไรเกี่ยวกับตนเองมากกว่านั้น ไม่แม้แต่จะบอกว่าสนใจหรือไม่สนใจในคณะนี้เพิ่มเติมในเมื่อคนชื่อเป็นไทก็ไม่ได้เอ่ยถาม ใจเย็นดึงมือเด็กสาวออกมาจากคณะวิศวะ ก่อนจะผละปล่อยแสร้งทำเป็นหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาเช็กข้อความ แล้วไม่หวนคืนมือกลับให้หล่อนอีกตลอดวันนั้นทั้งวัน
เย็นนั้น หล่อนจึงเอ่ยถามเหมือนไม่แน่ใจในตัวเขา เอ่ยถามว่ารักหล่อนไหม แววตาจากดวงหน้าจิ้มลิ้มนั้นดูเว้าวอนอ้อนออด แต่ใจเย็นรู้สึกแปลก บางอย่างแทรกเข้ามาในใจที่โหวงว่างนับตั้งแต่สงสัยโถมเข้ามาทั้งที่กลบเกลื่อนลงไปแล้ว ไม่รู้เหมือนกันว่าความผิดใคร เป็นความผิดที่ตัวเขาเอง ผิดที่จังหวะไม่ดีไปพบกับนักศึกษาชื่อเป็นไทซึ่งคงไม่น่าจะโคจรมาเจอกันอีกแล้ว หรือผิดที่เขาคิดว่าการรักใครหลายคนเป็นเรื่องปกติ ไม่ ใจเย็นไม่รู้ว่าผิดตรงไหน
แค่รู้ว่ามีอะไรผิดไป อะไรที่เขาบงการไม่ได้ อะไรที่มันไม่ได้ดั่งใจ อะไรที่ทำให้เขาบิดเบี้ยวหนักกว่าเก่า แต่ใจเย็นก็ไม่รู้จะระบุให้ชัดได้อย่างไร สุดท้ายเขาเลยตัดสินใจตอบเด็กสาวออกไปว่ารัก ให้ไม่ต้องเคลือบแคลงกันอีก
โดยไม่รู้ตัวเลยว่า เขารู้สึกกับหล่อนไม่ต่างจากหมาตัวอื่นที่ไม่ใช่ทันใจเลยแม้แต่น้อย
***********************************************************************************
สรุปคือใจเย็นรักใครไม่เป็นนั่นเองค่ะ
ตอนนี้ไม่มีไรพีคเลย แค่ออร์เดิฟสำหรับการพบกัน ไม่รู้ว่าเป็นไทจะจำใจเย็นได้ในครั้งต่อไปหรือเปล่า แต่น่าจะได้นะ 555
อีกอย่างที่อยากพูด เป็นไทเป็นคนที่ค่อนข้างไม่ยืดหยุ่นกับสิ่งต่างๆ น่ะค่ะ เถรตรง เพราะงั้นมุมมองเรื่องรัก (ที่ก็ไม่เคยมี) ก็เถรตรงเช่นเดียวกัน
ดีใจที่ทุกคนติดตามกันค่ะ
ติดแท็ก #ใจเย็นกับเป็นไท กันได้นะคะ