ช่วงก่อนถึงงานดนตรีคณะไอ้ภู ผมดันมาเจอมรสุมโปรเจคงานออกแบบห้องน้ำสุขภัณฑ์ส่งท้ายเทอมแรก ทั้งแบบโมเดล และสามดี แถมอาจารย์ต้องการชิ้นงานภายในสามวันอีก ผมเลยหัวแทบหลุด เกณฑ์พวกสายเทคมาช่วย ส่วนใหญ่ผมจะสิงอยู่ที่บ้านไอ้ชายเพราะช่วยงานกันได้ง่ายกว่าทำบ้านใครบ้านมัน ไอ้ตินก็แวะมาหาบ้าง ช่วงนี้มันกำลังร่างวิจัย ส่วนไอ้ภูอยู่ในช่วงซ้อมเลยแวะมาหาบ่อยๆไม่ได้ เรียกได้ว่าทั้งผมและพวกมันกำลังเข้าสู่โหมดยุ่งด้วยกันทั้งหมด ไอ้เรื่องคิดมาก น้องจงน้อยใจจึงแทบไม่อยู่ในหัว ในตอนนี้มีแค่เรื่องเดียวเท่านั้นแหละ คือส่งงานให้ทัน และภาวนาว่าจะไม่โดนตีกลับมาให้ทำใหม่
“มึงทำจูรี่เสร็จยัง ถึงได้มานั่งชิวหน้าระรื่นอยู่ได้”ไอ้ชายที่กำลังหมุกมุ่นกับโปรแกรมกราฟฟิกสามดีสละเวลาอันมีค่าเพื่อไปค่อนแขวะไอ้ปลาที่มานั่งดูพวกผมทำงานอยู่
“ใกล้แล้ว กูมีตัวช่วย”มันตอบหน้าชื่น ได้ข่าวแว่วๆว่ามันแอบคบกับเด็กปีสอง สงสัยว่านั่นคือตัวช่วยของมันล่ะมั้ง
“พักผ่อนบ้างก็ได้ ดูซิ สเปคตรงนี้มึงไม่เท่ากัน”ไอ้ปลาชี้มาที่พื้นห้องน้ำกับกับตู้เก็บของแบบบิ้วอิน ผมจึงลุกไปล้างหน้าล้างตาแก้อาการเบลอ แค่ทำงานสองวันติดหน้าตาผมนี่หมดราศีความหล่อได้ขนาดนี้เลยเหรอ ออกมาอีกทีก็เจอเด็กปีหนึ่งกำลังช่วยไอ้เคนตัดแผ่นอะคลิลิกอยู่ หนึ่งในนั้นมีไอ้เพชรอยู่ด้วย ตั้งแต่จบงานคณะมันก็ไม่ได้มายุ่งกับผมตามที่พูดจริงๆ แถมหน้าตาดูสดชื่นกว่าเดิมอีก หรือเป็นเพราะว่ามันเลิกจมปลักอยู่กับผมก็ไม่รู้
“ไอดอลที่มึงถามถึงมาแล้วว่ะ”ได้ยินเพื่อนมันคนหนึ่งพูด ไอ้เพชรหันไปทำหน้าเข้มใส่เพื่อนมันทันที
“พวกมึงมาก็ดี มาช่วยกูแก้ตรงนี้หน่อย”ผมเลื่อนโมเดลขาดๆเกินๆของตัวเองไปให้ไอ้เด็กพวกนั้น พร้อมกับกางแบบให้พวกมันดู ผมลากโน๊ตบุ๊คของตัวเองมาทำงานใกล้ๆพวกมัน จะได้คอยดูด้วยพวกมันด้วย กลัวพวกมันทำงานพัง
“พักนี้พี่ฟิกโทรมจังวะ”หนึ่งในนั้นเริ่มวิจารณ์หนังหน้าผม
“กูไม่ค่อยได้นอน พวกมึงจะพูดมากทำไม”ผมบอกให้พวกมันหุบปากเงียบก่อนจะกลับมาเพ่งมองโปรแกรมสามดีต่อ ช่วงหัวค่ำมีพี่เทคปีสี่แวะซื้อข้าวกล่องมาให้ ลืมไปแล้วเหมือนกันว่าเคยมีพี่เทค
“ก็นึกว่าเลิกกับแฟนแล้ว”ผมได้ยินแว่วๆมา กะจะด่าซะหน่อย ดันไปเจอสายตาของไอ้เพชรแทน แต่มันเลือกที่จะหลบไปก่อน บรรยากาศจึงไม่อึดอัดมากนัก ไอ้ภูโทรมาจังหวะเหมาะพอดี ผมเลยได้โอกาสปลีกตัวออกไปคุยโ?รศัพท์ด้านนอก
[ตายหรือยัง] ดูมันทัก
“ยัง”ผมลากเสียงยาวๆใส่
“แต่ถ้ากูตาย กูจะตามไปขี่คอมึง”ไอ้ภูหัวเราะ ได้ยินเสียงโซโล่กีต้าดังก้องอยู่ในสาย
“ยังไม่เลิกซ้อมอีกเหรอ จะเอารางวัลเลยรึไง”
[เออดิ ส่งท้ายชีวิตปีสี่บ้าบอของกู นานๆทีจะทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน] น้ำเสียงมันออกจะหงุดหงิดเล็กน้อย เพราะพ่อมันประชดมาว่าจะไปดูไอ้ภูแข่ง นึกภาพดูแล้วคงจะแปลกๆ
“เอาน่า ถึงมึงจะดูชั่วๆ ไม่มีอะไรดีกูก็รักมึงนะ”เอาใจมันหน่อย ไอ้ภูทำเสียงเหอะตอบกลับมา
[จะบอกรักทั้งที ขอฟินๆไม่ได้รึไง]
“ถุย”ผมกลั้นหัวเราะกับคำพูดของมันเต็มที่
[กูไม่กวนแล้วว่ะ โทรไปหาไอ้ตินก็กำลังแทะหนังสืออยู่] มันทำเสียงเบื่อหน่าย
“อาการแบบนี้…มึงเหงาเหรอ”มันทำผมหลุดยิ้มอีกแล้ว
[ตลกแล้ว กูแค่เหนื่อยๆ] พูดจบมันก็วางสายไปอย่างทันทีทันใด ผมโทรเช็คไอ้ตินบ้างดีกว่า แต่รอสายตั้งนานสองนานกว่ามันจะรับ
[ตายหรือยัง] ผมทักทันทีที่มันรับสาย
“แหม พูดเหมือนพี่ภูเลยนะ กูไม่ตายง่ายๆหรอก มึงนั่นแหละ กูนึกว่าตายไปแล้ว หายหน้าหายตาไม่โทรมาเลยนะ”
[อย่างอนดิ] กวนประสาทมันเล่น
“กูไม่ได้งอน”
[กูมีงานเลยยุ่งๆ] ผมถอนหายใจเหนื่อยๆ
“กูก็มี”ผมมึนไปพักใหญ่ กำลังคิดว่าคำพูดมันสื่ออะไรรึเปล่า
[แต่เดี๋ยวก็เสร็จแล้ว อย่าเพิ่งเหี่ยวเฉาเพราะทนคิดถึงกูไม่ไหวไปก่อนล่ะ] แต่ปลายสายกลับเงียบสนิท จนผมเริ่มหงุดหงิด
[เฮ้ย…]
เสียงลมหายใจสม่ำเสมอของมันดังลอดมาให้ได้ยิน อย่าบอกนะว่ามันหลับทั้งๆที่คุยสายกับผมอยู่ อยากเห็นจริงๆว่าตอนนี้หน้าตามันเป็นยังไง ผมวางสายอย่างคนอารมณ์ดีเข้ามาในห้องรกๆ งานกองเกลื่อนก็อารมณ์เหี่ยวตามเดิม ไอ้เคนเผางานเสร็จก่อนคนแรก ตามมาด้วยไอ้ชาย เหลือแค่ผมที่ยังต้องก้มหน้าก้มตาเพ่งมองโน๊ตบุ๊คต่อไป ระหว่างที่กำลังจดจ่อ ไอ้เพชรมันก็วางกล่องเล็กๆไว้ให้โดยที่ไม่พูดอะไร เป็นวีต้าเบอร์รี่
“ขอบใจ”ผมตอบโดยไม่มองหน้ามัน ไม่คิดจะกินหรอกเพราะผมไม่ชอบกินอะไรพวกนี้อยู่แล้ว จนเวลาล่วงเลยประมาณตีสอง พวกเด็กปีหนึ่งก็พากันทยอยกลับ เหลือไอ้เพชรที่นั่งจับเจ่าคุยกับไอ้เคนเรื่องไอ้หมอก ได้กลิ่นเหล้าลอยหึ่งมา ไม่ใช่ใครที่ไหน ไอ้ชายนี่ล่ะ
“มึงยังจะห่วงแดกอีกเหรอ”ผมมองมันด้วยสายตาไม่สบอารมณ์ มานั่งก๊งใกล้ๆผมแบบนี้มันล่อตาล่อใจ ยิ่งเหนื่อยๆเครียดๆอยู่
“งานเสร็จแล้วทำอะไรก็ไม่ผิด”ไอ้ชายมานั่งวิจารณ์งานของผม ไปๆมาๆผมเลยให้มันช่วยทำให้ซะเลย ไอ้ชายมันถนัดโปรแกรมมากกว่าผมอีก ข้อดีของไอ้ชายคือมันขยัน ชอบบังคับให้ผมมาทำงาน ทั้งๆที่ยังเหลือเวลาให้ทำอีกตั้งหนึ่งวัน หนึ่งวันเชียวนะ
“มีคนเอาวีต้ามาให้ซะด้วย”มันเหลียวมองไอ้เพชร ก่อนจะมองหน้าผมเหมือนต้องการมองให้ทะลุ
“มองหน้ากูทำไม”
“เปล่าครับพี่”มันเลิกกวนประสาทผมก่อนจะหันไปตั้งใจทำงานให้ผมต่อ
“มึงไม่ต้องไปยุ่งกับมันมากหรอก ก็อย่างที่เห็นว่าไอ้หมอกมันเป็นยังไง อยู่ในสังคมแบบนั้น มันก็มีแต่เพื่อนเลวๆนั่นแหละ”ผมเข้าไปร่วมวงนั่งฟังด้วย ดูท่ามันสองคนจะเริ่มกรึ่มๆแล้ว เพราะเหล้าหมักของไอ้ชาย
“แล้วตกลงวันนั้นมึงมีเรื่องอะไรกับมัน”ผมอยากรู้ขึ้นมาโดยฉับพลัน
“ไม่ใช่เรื่องของพี่น่า”ไอ้เพชรตอกกลับเอาซะผมหน้าชา
“ขอโทษที่เสือก”ผมมองมันกรุ่นๆ คว้าแก้วเหล้าตรงหน้ามายกจิบ อ้วกแทบพุ่งเพราะเหมือนมันผสมอะไรไปบ้างก็ไม่รู้
“ล้อเล่น ก็ไม่มีอะไรมากหรอก ก็เรื่องเดิม”ไอ้เพชรไหวไหล่
“แล้วตกลงมึงเล่นเนื้อรึเปล่า”ผมยังข้องใจอยู่นิดหน่อย ถ้าไม่ได้เล่นแล้วจะไปรู้จักกับไอ้หมอกได้ไง ไอ้เคนหันมามองผมพร้อมกับหัวเราะ
“มึงมองคนในแง่ร้ายไปรึเปล่า อย่างไอ้เพชรมันไม่ยุ่งหรอก”ผมแค่หัวเราะหึ ใครจะรู้ล่ะ ตั้งแต่คบกับไอ้ภูไอ้ติน ผมก็มองเห็นด้านมืดมาเยอะ มันก็ช่วยไม่ได้ถ้าผมจะระแวง
“ผมไม่ได้ยุ่งเกี่ยวแล้ว เคยลองแค่ครั้งเดียว นิดๆหน่อยๆ จะเชื่อรึเปล่าก็แล้วแต่”ไอ้เพชรถอนหายใจ
“แต่ก็นั่นแหละ ผมดูไม่ดีในสายตาพี่ฟิกตลอดนั่นแหละ ผมรู้ว่าพี่ไม่ชอบผม แต่ไม่ต้องเมินผมก็ได้ ผมพลอยรู้สึกแย่ไปด้วยเลย”ไอ้เพชรหันหน้าไปทางอื่น ดูเหมือนมันจะเริ่มเมาแล้วพร่ำเพ้อไปเรื่อย ผมมองหนาไอ้เคนอย่างคิดไม่ตก
“กูไม่ได้เมิน แค่ไม่รู้จะพูดอะไร”พักนี้ผมไม่ค่อยได้เจอมันด้วย ไอ้เพชรใช้หลังมือถูจมูกก่อนจะมองหน้าผมตรงๆเป็นครั้งแรก
“พี่เกลียดผมแล้วเหรอ”
“มึงเป็นรุ่นน้องกู กูจะเกลียดมึงไปทำไม”ผมหนักใจขึ้นมาอีกแล้ว ไอ้เคนกระแอมกระไอเบาๆ
ผมจึงเลี่ยงไปหาของกินในครัว ก็เจอแต่มาม่า ในตู้เย็นมีเบียร์กับสปายติดอยู่หนึ่งแพ็ค ผมหยิบเบียร์มาดื่มแก้เครียด ความจริงยังติดใจเรื่องไอ้ภูกับไอ้ตินนิดหน่อย ตอนที่มันโทรมา พวกมันแปลกๆไปรึเปล่า พักนี้ผมสนแต่เรื่องโปรเจคไฟนอล อาจไม่ได้สนใจพวกมันเท่าไหร่ แต่คนอย่างพวกมันก็น่าจะเข้าใจได้อยู่แล้วนี่นา แล้วช่วงก่อนไอ้ตินมันก็โพสต์ข้อความแปลกๆด้วย แต่ก็นั่นแหละ ผมยุ่งๆเลยไม่ได้สนใจ
ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ รู้ตัวอีกทีเบียร์ก็หมดไปห้ากระป๋องแล้ว ผมเริ่มรู้ตัวว่ามึนๆเลยแอบย่องไปนอนในห้องว่างด้านล่าง ว่าจะโทรหาพวกมันซักหน่อย แต่ก็ฝืนตัวเองไม่ไหว หลับไปซะก่อน
*********************************************************************
เป็นเช้าที่แย่พิกล ผมลืมตาขึ้นมาพร้อมกับอาการปวดเมื่อยตามร่างกาย โดยเฉพาะบริเวณหน้าท้อง ผมเลื่อนมือลูบไปมาอยู่สักพัก กดตรงบริเวณที่เจ็บก็ถึงกับสะดุ้งน้ำตาคลอ
“เป็นอะไรวะ”ผมขยับตัวอย่างยากลำบาก เลิกชายเสื้อดูที่หน้าท้อง พบรอยฟกช้ำดำเขียวเด่นชัด เฮ้ย นี่ผมแค่เผลอหลับทำไมถึงช้ำได้วะเนี่ย ผมลองสำรวจบริเวณอื่นด้วย ไม่พบอะไร ยกเว้นอาการปวดจี๊ดๆที่ขมับ บวมๆแบบนี้ผมโดนใครฟาดมารึเปล่าเนี่ย เมื่อคืนมันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ผมเลื่อนตัวลงจากเตียงอย่างทุลักทุเล กว่าจะถึงประตูห้องเหมือนแต่ล่ะก้าวมันยาวนานเหลือเกิน
ผมผลักประตูเปิดออก ภายในบ้านเงียบกริบเหมือนป่าช้า แถมนอกห้องก็ดูเหมือนผ่านมรสุมอะไรมาสักอย่าง เศษขวดแก้วแตกกระจายบนพื้น และถ้าผมตาไม่ฝาดไปล่ะก็ เหมือนมีหยดเลือดด้วย ผมเริ่มมึนนี่ผมพลาดอะไรไปรึเปล่า
“เฮ้ย พวกมึงหายไปไหนกันหมด”ผมลองเรียกดู เกิดความเคลื่อนไหวจากด้านนอก ผมได้ยินเสียงลากเท้าและเสียงคุยพึมพำ ก่อนที่ไอ้เคนกับไอ้ชายจะโผล่เข้ามาด้วยสีหน้าไม่สู้ดีนัก
“หลับเพลินเลยนะมึง”ไอ้ชายดูเครียดแบบที่ไม่เคยเห็นมาก่อน
“ทำไมบ้านเงียบจังวะ โอ๊ยย เชี่ย กูไปได้แผลมาจากไหน”ผมลูบหน้าท้องก่อนมองหน้าเพื่อนอย่างต้องการคำตอบ แต่สีหน้าของมันสองคนยิ่งทำให้ผมรู้สึกไม่ดี
“พวกมึงเป็นอะไรเนี่ย ทำหน้าทำตา มีใครตายหรือไง”ผมชี้ให้พวกมันดูรอยเลือด
“เลือดใครวะ เมื่อคืนพวกมึงมีเรื่องกันเหรอ”ไอ้ชายกับไอ้เคนมองหน้ากัน
“กูจะบอกมึงยังไงดีวะ ไอ้ฟิก”ไอ้เคนขยุ้มผมตัวเองอย่างเครียดจัด
“แค่บอกกูมาว่าเกิดอะไรขึ้น”ผมว่ามันสองคนดูแปลกๆ
“มึงทำใจดีๆนะ คือเมื่อคืนมึงแอบจิ๊กเบียร์กูไปกิน แล้วเข้าไปหลับในห้องใช่ไหม”ผมพยักหน้าตาม
“เมื่อคืนไอ้เพชรก็เมาเหมือนกัน กูเห็นว่ามันดึกแล้ว เลยไล่ให้มันเข้ามานอนด้านใน”ไอ้เคนทำหน้าเครียด ผมเริ่มรู้สึกเห็นลางไม่ดี
“เดี๋ยวนะ”ผมใจไม่ดีแปลกๆ
“ทีนี้ไอ้ภูกับไอ้ตินมันมาหามึงเพราะโทรไม่ติด กูไปเจอเบียร์ในครัว แล้วไม่เห็นหัวมึง กูเลยให้ไอ้ชายไปหามึงบนห้อง แต่ไม่เจอ…”ไอ้เคนทำหน้าเครียดจัด แค่มองหน้ามันสองคนผมก็พอจะเดาเรื่องได้ลางๆแล้ว
“แล้วเกิดอะไรขึ้น”ผมกลั้นใจถามออกไป
“มึงกับไอ้เพชรนอนอยู่ในห้องเดียวกัน แล้วไอ้ภูมันเปิดไปเจอพอดี”ไอ้ชายถอนหายใจเฮือกใหญ่
“แต่มึงกับมันไม่ได้มีอะไรกันหรอก ไม่ต้องทำหน้าแบบนั้น แค่ไอ้เพชรมันช่วย เอ่อ นั่นล่ะ”ไอ้เคนเหมือนไม่อยากพูดต่อ เกิดความเงียบขึ้นมาอย่างยาวนาน
“แล้ว…มันสองคนอยู่ไหน”จู่ๆผมก็กลัวมันสองคนขึ้นมา ไอ้ชายมองหน้าผมก่อนจะพยักเพยิดไปด้านนอก
“กูไม่รู้จะพูดยังไงดีว่ะ”ผมยังมึนงงไม่หาย จ้องมองเศษขวดที่แตกกระจายบนพื้นอย่างคิดไม่ตก
“ไอ้เพชรอยู่โรงบาล”ไอ้เคนพึมพำเบาๆ ผมยกมือลูบใบหน้าอย่างเครียดๆ ไม่รู้จะพูดยังไงกับเรื่องทั้งหมด เมื่อคราวก่อนผมเพิ่งฉะไอ้ภูกับไอ้ตินด้วยเรื่องนี้ แต่ตอนนี้มันกลับเกิดขึ้นกับผม ตั้งแต่เกิดมาผมยังไม่เคยรู้สึกแย่เท่านี้มาก่อนเลย
“กูขอคุยกับมัน”ใจร่วงไปอยู่ที่ตาตุ่มทันทีเมื่อได้ยินเสียงไอ้ภู นี่เป็นครั้งแรกในรอบสามวันที่ผมได้เห็นหน้ามัน ผมไม่กล้าสบตาพวกมันสองคนขึ้นมา แต่ถ้าหนี มันก็เหมือนคนมีความผิด ผมจึงได้แต่ฝืนมองหน้ามันสองคน ไอ้ตินดูอิดโรยเหมือนคนนอนไม่พอ เพื่อนทั้งสองคนออกไปจากห้อง ทิ้งความเงียบไว้อีกครั้ง
“มึงจำได้รึเปล่าว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง”ไอ้ตินทำลายความเงียบเป็นคนแรก ผมเม้มริมฝีปากที่แห้งผากอย่างคิดไม่ตก
“กูไม่รู้ว่า…”
“เออ กูเข้าใจ”ไอ้ภูพูดแทรก จนผมไม่กล้าพูดต่อ สีหน้าของมันไม่ใกล้เคียงกับคำว่าเข้าใจเลยสักนิด
“เจ็บไหม”ไอ้ตินถาม ผมกำลังงงว่ามันพูดถึงเรื่องไหน มันก็ก้าวเข้ามากดตรงหน้าท้องจนผมสะดุ้งถอยห่างเพราะเจ็บไปหลายก้าว
“แต่คงไม่เท่าความรู้สึกของกูหรอก”ไอ้ตินมองหน้าผมด้วยสายตาเหนื่อยล้าอย่างเห็นได้ชัด
“มึงไม่รู้หรอกว่ากูรู้สึกยังไงตอนที่เปิดประตูไปเจอมึงกับไอ้เพชร”มันจ้องผมเหมือนอยากให้ผมหายไปตรงหน้าซะเดี๋ยวนี้ ผมนึกคำพูดไม่ออก ผมจะอธิบายในสิ่งที่ตัวเองจำไม่ได้ซักนิดได้ยังไง สายตาแรงกล้าของคนทั้งสองทำให้ผมรู้สึกตัวเล็กนิดเดียว
“แต่ก็นั่นแหละ มันเป็นเหตุสุดวิสัย”ไอ้ภูเหมือนคนไร้ชีวิตชีวา บรรยากาศกดดันทำให้ผมแทบหายใจไม่ออก ผมสูดหายใจเข้าลึกๆก่อนจะเอ่ยถามพวกมันเป็นครั้งแรก ณ จุดๆนี้เหมือนเหตุการณ์มันวนลูปไปมา ผมกำลังนึกถึงใจพวกมันว่ารู้สึกยังไง แค่ตอนที่ผมไปเจอไอ้นนท์ในห้องไอ้ภู ผมก็แทบทนไม่ได้แล้ว แล้วกับพวกมันที่ต้องเจอเรื่องแบบนี้บ่อยๆล่ะ
“เหนื่อยมากไหม”
มันสองคนหัวเราะอย่างไร้อารมณ์ขัน
“เออสิ กูเหนื่อยมาก”ไอ้ภูกระแทกเสียงเหมือนเหลืออด
“ทั้งๆที่กูกับมึงผ่านอะไรด้วยกันมาตั้งเยอะ แต่กูคิดมาตลอดว่าจะมีเรื่องอะไรเข้ามาอีกรึเปล่า คิดว่ามึงจะเฉไฉบ้างไหม เรื่องที่ประดังเข้ามามันกลับยิ่งทำให้ความรู้สึกของกูยิ่งเปราะบาง ไว้ใจ เชื่อมั่นน่ะเหรอ มันก็แค่คำพูดสวยหรูที่กูพูดเพื่อปลอบใจตัวเอง เพราะกูรู้ไงว่าถูกคนที่รักไม่ใจมันรู้สึกแย่แค่ไหน”ไอ้ภูกำมือแน่นก่อนจะคลายออก มันสูดหายใจเข้าลึกๆเหมือนพยายามตั้งสติ ไม่ให้ทำอะไรแย่ๆ
“กูรู้ว่าที่ผ่านมาปัญหามันเยอะแค่ไหน แต่กูก็พยายามที่สุดแล้ว กูก็เบื่อที่เรื่องมันวิ่งเข้ามาหากูไม่รู้จบ มันเป็นความผิดของกูเหรอวะ”ผมเองก็สุดจะทนแล้วเหมือนกัน
“กูไม่รู้ อาจจะเป็นกู เป็นมึง พี่ภู หรือใครก็ได้ จริงๆแล้วเราต้องมาคิดกันจริงๆจังๆเสียทีว่าเพราะอะไรเราถึงเจอแต่เรื่องเดิมปัญหาเดิมซ้ำๆ”ไอ้ตินดูสงบกว่าทุกทีจนผมกลัว
“มึงจะบอกว่ากูเป็นตัวปัญหาเหรอ”ก็อาจจะจริงก็ได้มั้ง ผมก็ดีแต่สร้างปัญหาให้พวกมันเสียความรู้สึกตั้งกี่ครั้ง
“มึงก็รู้ว่ากูหมายความว่าอะไร”แต่ผมไม่เข้าใจว่ะ ผมมองหน้ามันสองคน ค้นหาคำพูดที่ฟังแล้วรู้สึกดี แต่ก็หาไม่เจอ เพราะตอนนี้ผมรู้สึกแย่เหลือเกิน
“กูไม่รู้ แล้วพวกมึงคิดอะไรล่ะ เหนื่อยกับกูกันมากใช่ไหม ก็เลิกกันก็ได้ กูไม่ว่าหรอก”ผมพูดออกมาทั้งๆที่ไม่ได้รู้สึกแบบนั้นเลยสักนิด
“พูดอะไรของมึง”ไอ้ภูดูจะหัวเสียขึ้นมา
“พวกมึงบอกว่าเหนื่อยนี่ ถ้าเหนื่อยแล้วจะทนกับคนอย่างกูทำไม”คำว่าทนดูจะโหดร้ายกับผมมากเกินไป
“มึงอย่างอแงนะฟิก มึงก็รู้ว่าที่ผ่านมาเราช่วยกันประคองมาตลอด กูไม่เลิกกับมึงเพราะคำว่าเหนื่อยหรอก แต่กูแค่…”ไอ้ตินเหมือนพยายามหาคำพูดมาอธิบายแต่เมื่อหาไม่ได้มันก็ถอนหายใจทิ้งขว้างแทน ทำไมผมจะไม่รู้ล่ะว่าพวกมันเหนื่อย ใครบ้างจะไม่เหนื่อย คบกับผมก็เจอแต่เรื่อง ยิ่งพวกมันพูดแบบนี้ก็ยิ่งย้ำชัดว่าเรื่องของผมกับพวกมันเปราะบางแค่ไหน
“เรื่องไอ้เพชร--”
“กูไม่ได้อยากคุยเรื่องมัน ที่กูอยากคุยตอนนี้คือเรื่องของกูกับมึง”ไอ้ภูฟิลขาดทุกครั้งที่ได้ยินชื่อไอ้เพชร
“กูขออะไรอย่างได้ไหม ฟิก”น้ำเสียงจริงจังของไอ้ตินทำผมใจเหี่ยวไปหมด
“มึงจะขออะไรล่ะ”มันสบตาผมอย่างแน่วแน่
“ช่วยเด็ดขาดกับตัวเองมากกว่านี้ได้ไหม”คำพูดของมันกระทบใจผมเต็มๆ
“ทั้งไอ้ปั๊ม ไอ้เพชร พี่ฉัตร คนที่มึงคุยด้วยน่ะ กูไม่รู้หรอกนะว่ามึงจะคุยแบบขำๆหรือยังไง กูคอยบอกตัวเองเสมอว่ามึงก็เป็นแบบนี้อยู่แล้ว ไม่ต้องคิดมากไปหรอก แต่กูก็ยังไม่เข้าใจ ทั้งๆที่ย้ำกับตัวเองบ่อยๆว่ากูเชื่อใจมึง ไว้ใจมึง แต่ตัวกูเองกลับมีความคิดแบบนี้ตลอด”ผมได้แต่เงียบ ใช่ ผมเป็นแบบนี้อยู่แล้ว ชื่อที่มันพูดมาผมไม่เคยคิดมากกว่าคำว่าพี่น้องเลยด้วยซ้ำ ทำไมพวกมันไม่เข้าใจผมบ้างเลยนะ
“กูไม่รู้ว่า…มันผิดที่กูเชื่อใจมึงไม่มากพอ หรือเพราะมึงทำให้กูเชื่อใจเต็มร้อยไม่ได้ก็ไม่รู้”
“กูเนี่ยนะ…”ผมพูดไม่ออกไปชั่วขณะ ผมมองหน้าไอ้ตินสลับกับไอ้ภูไปมา ก่อนหัวเราะอย่างไร้อารมณ์ขัน
“กูชัดเจนกับพวกมึงขนาดนี้แล้ว ยังจะกลัวอะไรกันอีก กูสันดานแย่ก็จริง แต่กูก็เลิกหมดแล้ว คนอื่นไม่เข้าใจ กูไม่สน ไม่แคร์ด้วย แต่เป็นพวกมึง แบบนี้กูรู้สึกแย่ว่ะ กูยอมรับว่ากูก็ผิดที่ทำเป็นเล่นกับทุกคน”ผมมองหน้ามันสองคนอย่างเหลืออด ผมก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมตัวเองถึงทำให้คนที่รักถึงสองคนคิดมากมายได้ขนาดนี้ หรือเราอาจจะผิดด้วยกันทั้งหมด
“มันต้องเป็นกูไม่ใช่เหรอที่เหนื่อยอ่ะ พวกมึงก็เอาเรื่องมาให้กูหนักใจเหมือนกันนั่นแหละ อย่าโยนความผิดมาให้กูคนเดียว พวกมึงจะเอายังไงก็ว่ามา พูดมาเลย อย่ามากดดันกู”ผมตะคอกใส่พวกมันสองคน
“มาคิดๆดู เรื่องของเรามันเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว พวกเราตึงใส่กันมาตลอด มันอาจจะถึงเวลาที่เราต้องผ่อน”ผมเบื่อเวลาที่ไอ้ตินพูดจาสำบัดสำนวนจริงๆ
“กูว่า…เราถอยให้กันคนละก้าวดีไหมวะ ไม่ใช่อีกฝ่ายถอย อีกฝ่ายไล่ตามแบบที่แล้วๆมา ถอยไปเพื่อคิดทบทวนให้อะไรๆมันดีขึ้น ดีไหม”ไอ้ภูก็ดูไม่อยากจะพูดแบบนี้ออกมา ผมพ่นลมหายใจออกมาแรงๆ มันก็อาจจะจริงของมัน
“แล้วแต่เถอะ พวกมึงอยากจะทำอะไรก็ทำ กูก็เหนื่อยเป็นเหมือนกัน”
“กูอยากให้มึงเข้าใจ ไม่ใช่ประชดประชันแบบนี้”
“ก็กูไม่เข้าใจนี่หว่า อยู่ด้วยกันมาตั้งนาน ทำไมพวกมึงเพิ่งมาพูดเอาตอนนี้”ผมเริ่มเห็นภาพชัดเจนว่าทุกอย่างมันมาปะทุเอาตอนนี้
“พวกมึงเบื่อกูแล้วรึเปล่า”
“ตลกน่าฟิก มึงรู้ดีที่สุดว่ากูรู้สึกยังไง”ไอ้ภูสบตาผมอยู่นาน
“กูทำแบบนี้ไม่ใช่ว่าไม่รักมึงนะฟิก แต่กูอยากให้เราเข้าใจกันมากขึ้น อยู่กับตัวเองคนเดียวสักพัก สงบสติอารมณ์บ้าง แล้วเราค่อยมาปรับกันใหม่”ไอ้ตินคว้ามือผมไปบีบ ผมถอนหายใจอีกครั้งเพื่อตั้งสติ พยายามยอมรับเรื่องราวที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วนี้ให้ได้ ผมโกรธตัวเองอยู่ลึกๆที่ต้องเป็นฝ่ายเสียเปรียบตลอด ไม่ว่าจะมองยังไง ผมก็แพ้ราบคาบ
ผมกับพวกมันก็ อ่า อย่างที่พวกมันบอกล่ะนะ ถอยคนละก้าวเพื่อปรับความเข้าใจ ผมกำลังหลอกตัวเองอยู่ว่ามันคนละความหมายกับคำว่าเลิก ตลกสิ้นดี เรื่องของไอ้เพชรกลายเป็นปัญหาขี้ปะติ๋วไปเลยสำหรับสถานการณ์ตอนนี้ เหมือนเป็นบททดสอบเรื่องของผมกับพวกมัน ถ้าจะถามหาคนผิดมันก็ยาก เพราะผมโทษไปหมด โทษแม้กระทั่งไอ้เคนที่ยอมปล่อยให้มันมาที่บ้าน แต่ลึกๆแล้วผมก็รู้ดีกว่าใคร คนที่ผิดอาจจะเป็นที่ตัวผมเองก็ได้ที่ไม่เด็ดขาดกับไอ้เพชรมากกว่านี้
**********************************************************************
นาฬิกาชีวิตของผมกลับเข้าสู่ปกติ ไม่ค่อยชินหรอกที่ไม่มีพวกมันคอยป่วน แต่ผมก็ไม่ได้ว้าวุ่นหรือทุรนทุรายเหมือนคนอกหัก ผมพยายามจะเข้าใจตัวเอง พวกมัน และเรื่องต่างๆ ส่วนไอ้เพชรผมไปเยี่ยมมันที่โรงพยาบาล เอาเข้าจริงๆ ผมไม่โกรธมันเลยด้วยซ้ำทั้งๆที่มันเป็นคนก่อเหตุทำให้เขื่อนพัง แต่ก็ดีเหมือนกันที่เป็นแบบนี้ ผมได้มีเวลาทบทวนกับตัวเองมากขึ้นว่าที่ผ่านมา ผมทำแย่ๆอะไรไปบ้างและควรจะปรับตรงไหน พวกมันก็คงคิดแบบนี้เหมือนกันล่ะมั้ง แต่สำหรับไอ้เพชรมันโทษตัวเอง
“พี่ไม่น่ามาเยี่ยมผมเลย….”มันเบนสายตาไปมองที่ผนังห้องแทนหน้าผม
“กูไม่ได้เกลียดมึงจริงๆนะเพชร แล้วกูจะพูดเป็นครั้งสุดท้ายว่ากูกับมึงเป็นได้แค่พี่น้องกัน”ผมย้ำด้วยเสียงหนักแน่น
“ผมเข้าใจแล้วครับ”มันยิ้มจาง ก่อนจะฝืนหัวเราะทั้งๆที่ตามใบหน้ามีรอยฟกช้ำ ลืมบอกไปว่าไอ้ตินปรี๊ดขนาดที่คว้าเอาขวดเหล้าฟาดไอ้เพชรหัวแตก และไอ้ภูนี่ล่ะเจ้าของรอยฟกช้ำที่หน้าท้องของผม
“ทำตัวน่ารำคาญอยู่ตั้งนาน ทำไมเข้าใจง่ายจังวะ”
“ผมจำได้รางๆว่า…ผมพยายามจะเอ่อ…ช่วยพี่อ่ะ”มันดูเก้อเขินเล็กน้อยต่างจากผม
“แล้ว…”
“แต่ไม่สำเร็จ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะพี่เมาหรือยังไง”ผมหลุดขำออกมา
“มึงอย่าเอาไปบอกใครนะ”อย่างน้อยผมก็ยังขำได้ แบบนี้แสดงว่าพวกมันคิดไว้แล้วว่าอยากทบทวน บลาๆ ผมบอกแล้วไง ว่าผมเสียเปรียบพวกมัน ผมกำลังมึนๆไม่ทันได้ตั้งตัวอะไรเลยด้วยซ้ำ ไอ้พวกนี้ ไม่นึกถึงใจผมบ้างเลย
“ผมรู้สึกแย่ ที่เป็นต้นเหตุที่ทำให้พี่ต้องผิดใจกับแฟน”ไอ้เพชรกลับมาทำหน้าเศร้าอีกครั้ง
“ช่างเถอะว่ะ สาเหตุจริงๆมันไม่ได้มาจากมึงอย่างเดียวหรอก ถ้ามึงมองกูเป็นไอดอลจริงๆล่ะก็ หาให้ได้แบบกูนะ”มันทำเสียงประหลาดๆทันที
“เรื่องนี้ขอเป็นข้อยกเว้นดีกว่า”
“ดีแล้ว ไม่อย่างนั้นมึงจะเหนื่อยมากกก”ผมลากเสียงยาวเพื่อให้มันเข้าใจ
“ผมขอบคุณพี่ฟิกมากนะครับ สำหรับทุกเรื่องเลย ถ้าผมออกจากโรงพยาบาลแล้ว…ผมเองก็มีคนที่ต้องขอโทษเหมือนกัน”ผมเลิกคิ้วมองรุ่นน้องที่นอนหยอดน้ำเกลืออยู่บนเตียง
“ระวังจะได้แผลมาเพิ่มล่ะ”
“ผมไม่หวั่นหรอก กลาทำก็กล้ารับอยู่แล้ว”
“ดีมาก เฮ้อ กูต้องกลับแล้วว่ะ ไว้ว่างๆจะมาหาใหม่”ผมตบบ่ามันเบาๆ คว้าถุงส้มจีนที่เพื่อนมันเอามาเยี่ยมติดมือมาด้วย พรุ่งนี้ไอ้ภูต้องขึ้นแข่งร้องเพลงนี่นา ผมกำลังชั่งใจว่าจะไปดูดีไหม ใครบางคนก็ถลาเข้ามาหาผม
“เป็นไง”ผมมองหน้าอีกฝ่ายอย่างแปลกใจ
“พี่มิน”ผมไล่สายตาสำรวจอีกฝ่ายเพื่อดูว่าเจ็บป่วยอะไรตรงไหนรึเปล่า
“ไม่ต้องมองแบบนั้น พี่ไม่ได้ป่วย แต่มาเยี่ยมเพื่อนเฉยๆ เหมือนฟิกนั่นแหละ”พี่มินดูอ้วนกว่าตอนที่เจอกันครั้งล่าสุดเยอะเลย
“แล้วเป็นไงบ้างล่ะเรา”คำถามนี้ของพี่มินทำผมจุกได้ซะงั้น
“ก็เรื่อยๆนั่นแหละครับ”
“หน้าตาดูไม่ค่อยดี มีปัญหาเหรอ”ผมจ้องพี่มินกลับ หน้าตาอีกฝ่ายก็ดูหงอยๆชอบกล
“แล้วพี่ล่ะ”
“เมียทิ้ง”
“ห๊ะ”หรือว่าเลิกกันแล้ว
“ทิ้งไปเจแปน”พี่มินพูดด้วยสำเนียงน่าหมั่นไส้ “พอดีครอบครัวพิสชวนไปน่ะ ถ้าพี่ไปด้วยก็คงไม่เหมาะ”พี่มินทำหน้าเซ็ง
“ได้ข่าวว่าพ่อพี่พิสเหม็นหน้าไม่ใช่เหรอ”คิดแล้วก็ขำ
“เข้าใจผิดแล้ว ท่านชอบพี่ต่างหาก”พี่มินยิ้มไม่เต็มที่นัก
“ช่วงนี้เราว่างรึเปล่า ใกล้จะปิดเทอมแล้วนี่”
“ทำไมอ่ะ”ผมถามอย่างสนใจ ไหนๆก็อยู่ว่างๆแล้ว
“พี่จะชวนไปเที่ยวที่บ้าน”
“คิดอะไรกับผมรึเปล่าเนี่ย”
“บ้าเหรอ พิสก็ไป อีกสองวันก็กลับแล้ว”ผมเดินออกมาอย่างเหม่อลอย จนพี่มินสังเกตเห็น
“ไม่สบายใจอะไรรึเปล่า แล้วสองคนนั่นไปไหน”
“ก็…”ผมเล่าให้พี่มินฟังจนหมดเปลือก พี่มินแค่ฟังอยู่เงียบๆไม่ได้ออกความเห็นต่อเรื่องที่เกิดขึ้น
“เชื่อพี่เถอะ ถึงจะพูดแบบนั้นสองคนนั่นทนได้ไม่นานหรอก”พี่พิสดูจะมั่นใจมาก
“ฟันธงรึเปล่า”
“แน่นอน ถ้าอยากเห็นผลเร็ว ก็ไปเที่ยวบ้านเกิดพี่ด้วยกันสิ ถ้าไปก็โทรมาบอกพี่นะ เบอร์เดิม”พี่มินดูมีชีวิตชีวามากขึ้นกว่าเมื่อครู่มาก
“ไว้ผมจะดูอีกทีก็แล้วกันครับ”
จากนั้นผมก็แยกกับพี่มิน กลับมาที่ห้องเงียบๆแล้วก็เซ็ง นอนเกลือกกลิ้งอยู่บนที่นอน ผมก็สะดุดเข้ากลับตู้ลิ้นชักตู้เดิมที่ใส่ไดอารี่ของพวกมันไว้ ผมยังไม่ได้อ่านเลยนี่นา ผมค้นกุญแจดอกเดิมมาไข ก่อนจะหยิบสมุดเรียบๆทั้งสองเล่มออกมา ดูจากวันที่พวกมันคงเขียนไว้นานแล้ว ยกเว้นของไอ้ภูที่ดูเหมือนจะเขียนขึ้นมาใหม่เพราะเล่มเก่าผมโยนทิ้งไปแล้ว