Pocket Book: This is Phakin ก่อนที่ผมจะคบกับเมฆ ผมได้เคยคบกับผู้หญิงมามากมาย ทั้งที่จริงจังและคบแก้เบื่อไปวันๆ แต่มีผู้หญิงคนหนึ่งที่ผมไว้ใจมากเป็นเพราะ เธอเหมือนที่พึ่งทางใจของผมในช่วงที่ผมรู้สึกโดดเดี่ยว ผมรู้จักเธอครั้งแรกตอนอยู่ม.สี่ ที่ร้านอาหารกึ่งบาร์แห่งหนึ่งที่ผมได้มีโอกาสขึ้นไปจับไมค์ร้องเพลงเป็นครั้งแรก ผู้หญิงคนนั้น เป็นคนหน้าตาดีและอายุห่างจากผมอยู่หลายปี
ตอนที่เห็นเธอครั้งแรก ผมคิดว่าเป็นผู้หญิงที่สวยนะ หรือตอนนั้นเป็นเพราะว่าผมยังเด็กเลยแยกแยะอะไรไม่ค่อยได้รึเปล่า ผมก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน แต่เธอเข้ามาในชีวิตผมตั้งแต่วันนั้น ผมได้ทำความรู้จักกับเธอ และรู้สึกเป็นครั้งแรกในชีวิตว่าผมกำลังมีความรัก ความรักที่ผมไม่เคยได้มานาน ผู้หญิงคนนั้นเป็นห่วงและหวังดีกับผมมากกว่าพ่อกับแม่เสียอีก อาจจะคิดว่าผมโอเวอร์แต่ในตอนนั้นสถานการณ์ภายในครอบครัวผมไม่ค่อยดีนัก
ผมยอมรับว่าโกรธพวกเขาอยู่หน่อยๆ ที่ทิ้งผมไว้ที่สถานเลี้ยงเด็กกำพร้า ก็ตอนนั้นผมยังไม่เข้าใจเรื่องราวว่าเกิดอะไรขึ้น พวกท่านต้องเจอเรื่องลำบากแค่ไหน …แต่ช่างเถอะ ตอนนี้ผมกำลังพูดถึงผู้หญิงคนหนึ่งที่ถือว่ามีบทบาทในชีวิตของผมพอสมควร นามสมมุติของเธอคือมอล่ะกัน (มอ=วัว=นมวัว เมฆอย่าโกรธกันนะ แค่อยากให้มันขำๆไม่เครียดจนเกินไป) พี่มอชอบมาดูผมร้องเพลงที่ร้านอาหารประจำ จนความสัมพันธ์ของเราก้าวหน้าไปมากจนเลื่อนขั้นมาเป็นแฟน พี่มอสนับสนุนผมเรื่องร้องเพลงสุด ๆ ซึ่งต่างจากพ่อกับแม่ที่มองว่ามันไม่มั่นคงและยากให้ผมทุ่มกับเรื่องเรียนมากกว่า
“พ่อไม่อยากให้คินไปร้องเพลงที่ร้านนั้น เลิกทำได้ไหม”พ่อพูดขึ้นมาในวันหนึ่ง ที่เป็นวันที่ดีมากสำหรับผม เพราะว่าพี่มอเพิ่งเอาใบประกวดร้องเพลงชิงเงินรางวัลมาให้ผมสมัครไปหมาดๆ
“ทำไมล่ะพ่อ ผมไม่ได้ร้องฟรีๆเสียหน่อย”ผมฉุนขึ้นมาทันที
“รู้ว่าได้เงิน แต่มันเสียการเรียน แกไปร้องเพลงกลับมาดึกๆดื่นทุกวันแบบนี้แกเอาเวลาที่ไหนไปนอน ถ้าไม่ใช่ในคาบเรียน”เสียงของพ่อเริ่มดังขึ้น จนผมพ่นลมหายใจออกมาอย่างหงุดหงิด ผมอยากตะคอกกลับไปว่า ‘เรื่องของผม’แต่ก็ไม่กล้าพอ
“แต่ผมก็ทำเกรดดีเสมอนะครับ”ผมแย้ง แต่พ่อทำเสียงเหอะออกมา ก่อนจะยื่นใบเกรดของเทอมนี้มาให้ผมดู
“แล้วนี่อะไร เกรดแกต่ำขนาดนี้เนี่ยนะ ไม่รู้ล่ะ ภาคิน ยังไงแกก็ต้องเลิกไปร้องเพลงที่ร้านนั่น”
“พ่อไม่เข้าใจผมเลย นี่ผมกำลังช่วยครอบครัวเรานะ”
“มีหน้าที่เรียน ก็เรียนไปสิ”ผมอยากจะหาคำพูดเจ็บแสบมาตอกใส่หน้าของพ่อจริงๆ แต่แม่ก็โผล่เข้ามาในห้องซะก่อน พลางมองมาที่ผมเหมือนให้ผมเงียบ
“ผมเหนื่อย ฝันดีนะครับ”ผมเลยเดินหนีเข้าห้องนอนแทน
ตอนนั้นสถานการณ์ที่บ้านของผมก็เป็นแบบนี้แหละ ทะเลาะกันเกือบทุกวัน จนเรื่องมาบานปลายเมื่อพ่อมารู้เข้าว่าผมแอบโดดเรียนไปประกวดร้องเพลงที่พี่มอชวนผมไป งานนี้เงินรางวัลดีด้วย และไม่แน่ ถ้าโชคดีผมอาจได้เข้าฝึกกับค่ายเพลงดังอย่างXY แต่เรื่องทุกอย่างกับต้องมาพังเพราะพ่อของผม ที่ทำให้ผมไม่ได้เข้าประกวด ผมทั้งโกรธทั้งเสียใจจริงๆในตอนนั้น
“ถ้าคิดว่าโตพอที่จะอยู่เองได้ แกก็ออกไปจากบ้านนี้เลย”
คำพูดของพ่อทำให้ผมตัดสินใจออกจากบ้านทันทีและคนที่เข้ามาช่วยเหลือผมก็ไม่ใชใครนอกจากพี่มอที่เป็นแฟนผม มันดูบ้าบอจริงๆที่ตอนนั้นผมย้ายเข้าไปอยู่กับยัยป้านั่น แถม(ตอนนั้น)ผมยังคิดอีกว่าผมโชคดีจริงๆที่มีพี่มออยู่เคียงข้างในเวลาที่ผมลำบาก แต่ออกตัวไว้ก่อนว่าช่วงนั้น ความสัมพันธ์ก็ไม่ได้กระเตื้องอะไรเลย ไม่ได้มีความสัมพันธ์ในเชิงชู้สาวเพราะผมเองก็ยังเด็ก(ตอนนั้นใสๆไง)พี่มอแค่คอยช่วยเหลือเรื่องการประกวดร้องเพลง เรื่องเรียน บลาๆ ผมอาจจะมโนไปเองว่ามันคือความรักก็ได้ เพราะเป็นสิ่งที่ผมอยากได้จากใครสักคน
พ่อของผมมีนิสัยที่เหมือนกับผมคือ อารมณ์ร้อนเหมือนกัน ทิฐิแรง และคำไหนคำนั้น ผมไม่ได้เหยียบเข้าไปในบ้านอีกเลย กับแม่ก็ได้โทรคุยบ้าง ท่านก็คอยแอบส่งเงินให้ผมตลอด ผมก็รับบ้างไม่รับบ้าง จนผมเลื่อนชั้นมาอยู่ม.ห้า ผมเริ่มไขว่คว้าหาโอกาสในการเป็นนักร้องอีกครั้ง ตอนแรกผมแค่ชื่นชอบในการร้องเพลง แต่ตอนนี้ผมมีความฝันที่มโนไปต่างๆนาๆ ว่าผมจะมีเงินใช้เองโดยไม่ต้องขอพ่อกับแม่อีก ผมจะทำให้พ่อเห็นว่าผมออกมายืนด้วยตัวเองได้
“ไม่มีพ่อผมก็ไม่ตายหรอก ขนาดพ่อทิ้งผมให้อยู่ที่บ้านเด็กกำพร้าผมยังอยู่ได้เลย”นั่นคือประโยคที่ผมย้ำกับตัวเองบ่อยๆ เวลาที่ท้อแท้ขึ้นมา พี่มอเองก็สนับสนุนผมเต็มที่ จนผมเก็บเงินได้มากพอเลยแยกมาเช่าห้อง เพราะอยู่ด้วยกันมันก็ดูไม่ค่อยดี ตอนม.ห้าผมเดินสายประกวดร้องเพลงไปเรื่อยๆ โดยมีพี่มอไปเชียร์ผมทุกครั้ง จนความฝันของผมก็เป็นจริงเมื่อผมได้รับการติดต่อจากทางค่าย XY ให้ผมเข้าไปออดิชั่น พี่มอสนับสนุนผมเต็มที่ (แน่ล่ะสิ) จนผมได้เป็นเด็กฝึกในค่าย แต่เรื่องเรียนผมก็พยายามทำให้ดีที่สุด จนเมื่อผมเลื่อนชั้นขึ้นม.หกและใกล้จะได้ออกซิงเกิ้ลแรกเป็นของตัวเอง และผมแต่งเพลงเองด้วย
‘พ่อ ผมใกล้จะมีเพลงเป็นของตัวเองแล้วนะ ผมจะดังแล้ว’
ผมกลั้นใจส่งข้อความไปหาพ่อ ผมเชื่อว่าข่าวดีนี้จะทำให้พ่อหายโกรธและมองผมในแง่ดีมากขึ้น
‘พ่อกับแม่กำลังหาที่ทางลงทุนทำธุรกิจที่อังกฤษ ไปด้วยกันนะ ภาคิน’
ผมมองข้อความนั้นด้วยความตกใจ เพราะไม่คิดว่าจะได้รับข้อความแบบนี้กลับมา
ไปด้วยกัน ถือเป็นการขอคืนดีของพ่อแน่ๆ แต่จะให้ผมไปได้ยังไงในเมื่อความฝันของผมกำลังจะเป็นจริงและผมเองก็ทิ้งพี่มอไม่ได้ด้วย ผมมองข้อความนั้นอยู่นาน คิดไม่ตกว่าจะเอายังไง
“มีอะไรเหรอ คิน”พี่มอถามเมื่อเห็นผมตีหน้าเครียด ผมเลยยื่นโทรศัพท์ไปให้พี่มอดู
“คินจะทิ้งพี่ ทิ้งความฝันที่พยายามมานานไปเหรอ”ผมได้แต่หลบสายตาของอีกคน
“คินอยากพิสูจน์ตัวเองให้พ่อเห็นไม่ใช่เหรอ …แต่พี่ก็ไม่บังคับเราหรอกนะ ทางนั้นก็ครอบครัว พี่เข้าใจ”จนแล้วจนรอดผมก็ยังไม่ได้ตอบข้อความนั้นไป ผมควรจะไปคุยกับพ่อและแม่ตรงๆเลยมากกว่า ผมไม่ชอบการคุยเรื่องสำคัญโดยไม่เห็นหน้าเท่าไหร่ แต่ช่วงที่ผมกำลังลังเลใจนั้นพี่มอก็มาบอกกับผมว่าเฮียเปรมประธานค่ายอยากคุยกับผม ตอนนั้นผมเนื้อเต้นมาก เพราะเดาไว้ว่าคงไม่พ้นเรื่องออกอัลบั้มแน่ๆ แล้วก็เป็นอย่างที่ผมคิดไว้
“พรุ่งนี้มาอัดเพลงได้เลย”เฮียบอกด้วยรอยยิ้มใจดี ผมรู้สึกเหมือนถูกหวยรางวัลที่หนึ่ง
“จริงเหรอครับ ผม…ผมดีใจมากจริงๆ”และก็พูดคุยกันเรื่องสัญญา ซึ่งแน่นอนว่าพ่อกับแม่ไม่มีทางให้ผมเซ็นสัญญาแน่ๆเพราะ
พวกท่านไม่สนับสนุนผมเรื่องนี้เลย ผมกับเฮียเลยตกลงกันว่าจะยังไม่มีการเซ็นสัญญาจนกว่าผมจะอายุครบยี่สิบปี่ ซึ่งมันก็เสี่ยงมากๆ แต่ผมเชื่อใจเฮียเปรมที่ยอมให้โอกาสกับเด็กแบบผม ซึ่งไม่มีอะไรรับประกันว่าผมจะรุ่งหรือร่วงเลยด้วยซ้ำ ตอนนั้นผมทั้งโง่ทั้งดื้อรั้น มุ่งมั่นและทิฐิหนัก ในเมื่อผมพูดแล้วว่าจะออกมายืนด้วยตัวเองให้ได้ ผมก็ต้องพิสูจน์ให้พวกท่านเห็นให้ได้ ผมเลยเลือกที่จะไม่ไปอังกฤษ ตอนนั้นผมคิดว่าพ่อกับแม่จะห้ามผมเสียอีก แต่พวกท่านก็ไม่ห้าม จนผมอดคิดขึ้นมาไม่ได้ว่า…พ่อกับแม่รักผมบ้างไหม มีเพียงแค่คำพูดที่แม่บอกกับผมก่อนจะไปเท่านั้น
“I’ll support any decision you make, we with you all the way, love you”
นั่นเป็นจุดเปลี่ยนแรกในชีวิตของผม
ชื่อของภาคิน วรวงศ์กุลเป็นที่รู้จักทันทีที่เมื่อผมปล่อยซิงเกิ้ลแรกผมไต่เต้าด้วยการไปร่วมทำผลงานเพลงกับนักร้องรุ่นพี่ ทุกอย่างเปลี่ยนไปหมด ผมมีรถของตัวเอง มีคอนโดใหม่ และคนที่อยู่ข้างๆผมคือพี่มอ แต่เรื่องความสัมพันธ์ของผมกับพี่มอนั้นต้องปิดไว้เป็นความลับ สถานะของพี่เขาคือผู้จัดการส่วนตัวของผม คอยดูแลผมทุกๆอย่าง ผมมีความสุขกับสิ่งที่ได้รับมา แต่มันก็ยังไม่สุด เพราะพ่อกับแม่ไม่ได้อยู่แสดงความยินดีด้วย และความรู้สึกที่ว่าตัวเองเหมือนโดนปล่อยลอยแพอยู่ในมหาสมุทรก็ถาโถมเข้ามาทุกที
…………………………………………………………
ผมเข้าเรียนในม.เอกชนชื่อดังแห่งหนึ่ง เข้าเรียนบ้างไม่เข้าบ้างเพราะต้องออกไปทำงานกับค่ายตลอด ผมมีเพื่อนเพียงแค่ไม่กี่คน เพราะไม่เข้าหาใครก่อน รู้จักก็แค่ไอ้เพชรที่อยากเป็นนายแบบ (ตอนนั้นมันยังไม่ใฝ่สูงอยากเป็นพระเอกหนัง) ไอ้จอห์นเพื่อนซี้อีกคน และคนอื่นๆที่ผมไม่ได้กล่าวถึงเพราะพวกเขาเข้ามาแล้วก็ผ่านไปอย่างรวดเร็ว ผมเริ่มรู้สึกว่าผมกำลังโดนตุกติกเรื่องเงินค่าตัว แต่ผมก็ได้แต่ปล่อยผ่านไปก่อนเพราะยังไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร
ผมกับพี่มอมอเริ่มห่างกันมากขึ้น หรือพูดให้ถูกผู้จัดการของผมเป็นคนค่อยๆตีตัวออกห่างผมเอง โดยที่ผมไม่ทราบสาเหตุ จน
เมื่อผมอายุครบยี่สิบสามารถเซ็นสัญญาโดยไม่ต้องผ่าความเห็นชอบของพ่อแม่ได้ ผมยิ่งรู้สึกได้ชัดเจนว่าพี่มอมอเปลี่ยนไป
“พี่มอ ผมถามจริงๆนะ ผมกับพี่ยังเหมือนเดิมอยู่ใช่ไหม”
“เหมือนเดิมสิคิน พี่ยังเหมือนเดิม พี่อยู่ข้างเธอเสมอนะ”ตอนนั้นผมก็โง่ทำใจเชื่อพี่มอไป เพราะผมรักผู้หญิงคนนี้ ผมคิดจริงจัง
มากวางแผนไว้หลายอย่าง ถ้าเรียนจบและอะไรคงที่มากกว่านี้ ผมจะเปิดตัวว่าพี่มอเป็นคนรักของผม ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม แฟนคลับอาจจะลดลง ผมก็ไม่สน
“กูว่าพี่มอเขาแปลกๆนะ”ไอ้เพชรเริ่มเปิดประเด็น ตอนนั้นได้เป็นนายแบบสมใจแล้ว แต่ยังไม่ค่อยประสบความสำเร็จเท่าที่ควร ได้ข่าวว่ามันไปเรียนการแสดงมาเพิ่มด้วย
“แปลกยังไงวะ”ผมหงุดหงิดทันทีที่มันพูดถึงเรื่องนี้ ถึงผมจะเห็นด้วยก็ตาม
“กูเห็นเขาชอบทำดราม่าใส่มึงตลอด เรื่องสาวๆ”ไอ้จอห์นพูดขึ้นมาบ้าง
“เรื่องพี่ไอลินกูผิดเองนั่นแหละ”ตอนนั้นผมแอบไปกิ๊กกั๊กกับพี่นางแบบหุ่นแซ่บคนนั้นจริงๆ มีนักข่าวถ่ายรูปได้ด้วย พี่มอเลยเปิดฉากหาเรื่องทะเลาะกับผมได้
“แสดงว่าข่าวนั่นเป็นเรื่องจริงอ่ะดิ”ไอ้เพชรตบเข่าดังฉาด
“อย่าดังไปล่ะ กูแค่ช่วยให้พี่ไอลินมีงานเฉยๆ”ผมตอบเลี่ยงๆ การกิ๊กกันครั้งนี้เป็นการโปรโมทพี่เขาอีกทางนึง ทางนั้นเขาขอมา
“ช่วยดันว่างั้น แหม มึงนี่ดังถึงขั้นนั้นแล้วเหรอวะ รักษาภาพพจน์ใสๆหน่อยดิเฮ้ย”ไอ้จอห์นหัวเราะขำ ผมทำหน้าเบื่อพี่มอก็เล่นงานผมด้วยเรื่องนี้เหมือนกัน เมื่อเริ่มมีชื่อเสียงมากขึ้นผมก็ต้องวิ่งวุ่นเดินสายมากกว่าเดิม ทำให้เรียนจบช้าไปหนึ่งปี แต่ก็ผ่านไปได้ด้วยดี
วันนั้นมีคนมาแสดงความยินดีมากมาย เฮียเปรม เพื่อนนักร้อง เหล่าแฟนคลับ แต่เป็นอีกครั้งที่ผมรู้สึกเหมือนโดนทิ้งอยู่กลางทะเล พ่อกับแม่ไม่ได้มาด้วย เพราะการสื่อสารที่คลาดเคลื่อน พวกเขาแค่โทรมาแสดงความยินดีเท่านั้น…ผมไม่มีความสุขเลย แย่จริงๆ คนที่เคยอยู่ข้างๆผมอย่างพี่มอก็ส่งแค่ดอกไม้มาให้เพราะต้องเข้าไปคุยงานกับเอเยนส์ ผมว่าถึงเวลาที่ผมต้องคุยกับพี่มอจริงๆจังๆเสียที
“พี่ว่าเราควรห่างๆกันก่อน มันจะดูไม่ดีถ้าหากเราเปิดเผยความสัมพันธ์ตอนนี้ ภาคินนักร้องดังกับผู้จัดการส่วนตัว พี่มองว่ามันไม่เวิร์คเลย แถมเราอายุก็ห่างกันด้วย พี่กลัวจะมีข่าวแย่ๆออกมา”นั่นคือคำตอบของพี่มอ คำว่าห่างผมพยายามไม่คิดว่ามันไม่ต่างอะไรกับคำว่าเลิก ผมผิดหวังในตัวผู้หญิงคนนี้ขึ้นมา แต่ผมก็ยังทนอยู่กับความสัมพันธ์แบบนี้ไปอีกสองปี เกิดปีที่ยี่สิบสี่ของผมมีเรื่องน่ายินดีเพียงเรื่องเดียวคือพ่อกับแม่กับมาหาผมที่ไทย
“พ่อหายโกรธผมหรือยัง”ผมถามออกไปเบาๆ วันนั้นผมจำได้ว่าผมอยู่ที่บ้าน บ้านที่เป็นบ้านจริงๆ
“หายตั้งนานแล้ว”
“แล้วทำไมไม่มาหาผมบ้างเลยล่ะ ผมต้องไปหาพ่อกับแม่เองทุกที”เวลาที่ผมเหนื่อย ผมบินไปหาพวกเขาเองตลอด
“พ่อขอโทษ ที่ผ่านมาพ่อทำหน้าที่พ่อไม่ได้เรื่องเอาซะเลย”พ่อคว้าผมเข้าไปกอด ผมรับรู้ได้ว่าพ่อรู้สึกแบบนั้นจริงๆ
“ผมก็ขอโทษ ที่ทำตัวไม่ดีกับพ่อ”
“ถ้าแกเหนื่อยก็พัก”ผมก็อยากพัก แต่ผมมีเป้าหมายที่สูงกว่านั้น ผมอยากประสบความสำเร็จมากกว่านี้ ได้ยินมาว่ามีค่ายเพลง
จากฝั่งตะวันตกติดต่อมาเพราะอยากได้ผมไปร่วมงานด้วย แต่ตอนนี้ยังคุยรายละเอียดไม่ได้เพราะสัญญาของผมใกล้หมดแล้ว ผมเป็นคนยื่นข้อเสนอเองว่าไม่อยากต่อสัญญายาวๆเพราะผมเองอาจจะเบื่อวงการร้องเพลงขึ้นมาวันไหนก็ได้ ผมเองก็มีเรื่องอีกหลายอย่างที่อยากทำ
“ผมยังพักไม่ได้”ผมรู้ได้ถึงไหล่ที่เกร็งเขม็งของพ่อ
“ตอนนี้ลูกก็ทำให้พ่อเห็นแล้วว่าแกทำได้ ทำไมถึงไม่พักบ้างล่ะ ทั้งๆที่แกเหนื่อยขนาดนี้”พ่อขยับมามองหน้าผมด้วยสีหน้าไม่เข้าใจ บรรยากาศดีๆเริ่มตึงเครียดอีกครั้ง
“ผม…อยากขึ้นไปสูงมากกว่านี้”ตอนนั้นผมทะเยอทะยานมากจริงๆ
“ภาคิน อะไรที่ตึงเกินไปมันไม่ดีหรอกนะ ยืดหยุ่นกับตัวเองบ้าง”พ่อมองผมด้วยสีหน้าเป็นห่วง
“ผมรู้น่า ว่ากำลังทำอะไรอยู่ ผมโตแล้วนะครับ”โตพอที่จะตัดสินใจอะไรด้วยตัวเอง
“ก็ดี อยากทำอะไรก็เชิญ”จากที่อารมณ์ดีๆพ่อเริ่มหงุดหงิดอีกครั้ง
“ผมจะต่อสัญญากับค่าย”พ่อหันขวับมามองผมอีกครั้ง
“เลือกเอา ชื่อเสียงเงินทองรางวัลบ้าๆนั่นกับครอบครัว แกจะเลือกอะไร”พ่อยื่นคำขาดให้ผม
“พ่อ…อย่าเอาเรื่องนี้มาเกี่ยวกันสิ”
“ดี ถ้าแบบนั้นฉันกับแม่จะไม่กลับมาเหยียบที่นี่อีก”
“พ่อไม่เข้าใจผมเลย ตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว พ่อไม่เคยเข้าใจผมเลยสักนิด แค่ให้ผมทำในสิ่งที่รักนี่มันร้ายแรงมากเลยเหรอ ทำไมพ่อต้องเป็นแบบนี้ทุกที รู้ไหมว่าผมอึดอัดแค่ไหน ทำมาพูดว่าครอบครัว ผมแทบไม่รู้จักคำนี้เลยด้วยซ้ำ!”เป็นครั้งแรกที่ผมตะโกนใส่พ่อ มานึกดูแล้วผมเสียใจอยู่เหมือนกัน แต่ผมก็ยังคิดอยู่ว่าพ่อไม่เคยเข้าใจผมเลยจริงๆ จะมีใครสักคนที่เข้าใจผมจริงๆบ้างไหม
วันรุ่งขึ้นผมเลยตัดสินใจต่อสัญญาออกไปอีกแค่สองปี เพราะผมไปแอบคุยกับตัวแทนทางค่ายฝั่งนู้นไว้แล้ว ค่าฉีกสัญญาจะได้ไม่สูงมาก ผมตั้งใจจะไปเริ่มสิ่งใหม่ที่ท้าทายมากขึ้น แต่…ฝันของผมก็สลายไป เฮียเปรมผิดคำพูด พอผมต่อสัญญาผมก็ติดต่อทางฝั่งนั้นไม่ได้เลย และตัวสัญญาเองก็มีช่องโหว่เยอะแยะ ค่าฉีกสัญญาที่สูงทะลุเพดาน ไหนจะเปอร์เซ็นค่าตัวของผมที่โดนกดอย่างหนัก และงานบางส่วนที่ผมรู้มาว่าเงินไหลไปกองที่ค่ายเพียงอย่างเดียว ผมปรึกษากับไอ้จอห์น มันบอกว่าอย่าเพิ่งโวยวาย ให้รอหลักฐานแน่ชัดกว่านี้ก่อน ถ้าผมฟ้องจริง อาจจะได้มากกว่าเสีย
“แต่กูมีบางอย่างที่อยากบอกมึงนะ คิน”มันพูดขึ้นด้วยสีหน้าจริงจัง
“เรื่องไหน”ผมสังหรณ์ใจชอบกล
“แฟนมึง”แฟนเหรอ…ผมนึกว่าตัวเองโสดเสียอีก พี่มอห่าง ไม่สิแทบไม่ค่อยคุยกับผมเลย อะไรก็เรื่องงานตลอด ยัยป้านั่นทำตัวน่าหงุดหงิดเข้าไปทุกวัน
“มีอะไร”มันเลื่อนโทรศัพท์มาให้ผมแทนคำตอบ แปลกที่ผมกลัวที่จะเปิดดู แต่ผมก็เอื้อมมือไปหยิบมา ใจผมร่วงหล่นไปอยู่ที่ตาตุ่มทันที สิ่งที่อยู่ในนั้นเป็นหลักฐานที่บ่งบอกว่าพี่มอมีความสัมพันธ์ลับๆกับเฮียเปรม ถ้าถึงขั้นนี้แล้ว…ผมคงพูดได้เต็มปากว่าพี่มอเป็นเมียน้อยเฮียแน่ๆ
“จากสายวงในของกู บอกว่าพี่มิวมีสปอร์นเซอดีก็เพราะเฮียเปรม แถม…พี่เขาเองก็รู้จักเฮียมานานแล้ว ไม่แปลกใจเหรอว่าทำไมพี่มอถึงรู้จักคนในวงการสื่อเยอะทั้งๆที่อายุก็ไม่ได้มากมายเท่าไหร่ มันไม่น่าแปลกเหรอวะคิน”ใช่ มันน่าแปลก ผมรู้สึกเหมือนแก้วบางๆที่ชื่อว่าไว้ใจในตัวผมได้แตกออกเป็นเสี่ยงๆ นี่ผมโดนหลอกมานานเท่าไหร่แล้ว…ผมนี่มันควายแท้ๆเลย
“ไอ้คิน มึงปลดพี่มอออกจากตำแหน่งผจก.เหอะ หุบเงินมึงไปตั้งเท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้”ผมได้แต่กำมือแน่น ความโกรธเกลียดมีมากกว่าความเสียใจด้วยซ้ำ
“กูไม่ปลด กูจะเล่นละครต่อไป ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น”ผมยกยิ้มขึ้นมา
“ทำแบบนั้นทำไมวะ”มันมองหน้าผมอย่างไม่เข้าใจ
“รอเวลาเอาคืน”
…………………………………………………………….
จากข่าววงในของผม ผมได้รู้เรื่องที่ชวนตกใจมาก พี่มอกับเฮียรู้จักกันมานานแล้ว ตอนนั้นพี่มอเป็นแค่พีอาร์หน้าใส(เหอะ)แต่ต้องการไต่เต้าอยากมีจุดยืนในวงการมากกว่านี้ ผมไม่ทราบรายละเอียดเรื่องนี้เท่าไหร่ แต่ที่ยัยป้ามอเข้ามาหาผมในวันนั้น วันที่ผมร้องเพลงในร้านอาหาร ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ ผมก็แค่…ถูกหลอกมาตลอด ความสัมพันธ์ของผมกับเขา เกือบๆเก้าปีที่ได้รู้จักกัน มันไม่จริงเลยใช่ไหม แล้วผมเป็นอะไรสำหรับผู้หญิงคนนั้นล่ะ แค่ตัวสร้างเงินทองหรือ แค่เครื่องมือหาเงินแค่นั้นใช่ไหม ผมยอมรับว่าเจ็บปวดจริงๆกับการที่คิดมาเสมอว่าคนที่คอยช่วยเหลือเคียงข้างผมนั้น ไม่มีอยู่จริงเลย ผมไม่มีใครเลย
“ทำไมวะ แค่เพราะคำว่าเงินเท่านั้นเหรอ ถึงได้ทำกับกูแบบนี้”วันนั้นผมเมาย้อมใจ ล้างความเจ็บปวดที่ร้านของไอ้จอห์นที่ผมร่วมลงทุนด้วย
“มึงตัดใจเหอะ ผู้หญิงคนนั้นไม่มีอะไรดีเลยนะ นอกจากนมใหญ่แล้วก็เล่ห์เหลี่ยม”
“กูโคตรโง่เลยว่ะ มึงว่ากูน่าสมเพชไหมวะ”ตอนนี้ผมทั้งโกรธทั้งเกลียดผู้หญิงคนนั้นกับเฮียเปรมจริงๆ แต่ผมจะไม่เข้าไปโวยวายเหมือนคนขี้แพ้หรอก ผมจะเอาคืนพวกมันแบบผู้ชนะ ถึงแม้ว่าผมจะต้อง…สูญเสียสิ่งที่เคยมีก็ตาม แต่เพื่อความตกต่ำของพวกมัน ผมยอม
“คุ้มเหรอวะ ภาคิน”ไอ้เพชรถามขึ้นหลังจากปิดปากเงียบอยู่นาน
“คุ้มหรือเปล่ากูไม่รู้ แต่กูอยากเห็นชีวิตมันสองคนพังพินาศ”
“แล้วมึงก็พังไปด้วยเนี่ยนะ”ไอ้จอห์นไม่เห็นด้วย
“กูยอม”
“แบบนั้นเรียกว่าชนะได้เหรอ”ไอ้เพชรแย้ง
“กูไม่สนว่าระหว่างทางจะเจออะไร ขอแค่ตอนจบกูชนะก็พอ”ผมหันไปหาไอ้จอห์นก่อนจะขอของบางอย่างมาจากมัน
“ไม่ให้ ตอนนี้มึงเมามากแล้วนะ”
“กูแค่ลองเฉยๆ”
“ไม่เอานะภาคิน มึงอย่าทำตัวเองตกต่ำด้วยของพรรค์นั้นเลยว่ะ กลับบ้านได้แล้ว เดี๋ยวกูไปส่ง”ไอ้เพชรอาสา แต่ผมรีบโบกมือ
ห้าม
“กูไปเอง”พวกมันสองคนมองหน้าผมอย่างเป็นห่วง แต่ผมก็ดึงดันจะไปเองคนเดียว ผมเข้ามาในรถก่อนจะปล่อยความรู้สึกทุก
อย่างออกมาเป็นน้ำตาเหมือนเป็นเด็กสิบขวบ เมื่อตัวเองสงบแล้วก็ขับรถกลับคอนโด ผมจำเหตุการณ์วันนั้นไม่ค่อยได้ แต่ผมยอมรับว่าเมามาก แต่ก็ไม่ได้ขับรถเร็วมากมายอะไร แต่รถจักรยานยนต์ก็โผล่มาจากไหนไม่รู้พุ่งเข้ามาหารถผมอย่างแรง จนผมหักหลบไม่ทัน เช้าวันต่อมาจึงเป็นข่าวใหญ่โตและเป็นข่าวฉาวเรื่องแรกของภาคิน วรวงศ์กุล
มันเหมือนมรสุมที่พัดเข้ามาหาผมโดยไม่ตั้งตัว ข่าวของผมถูกเขียนจนมั่วไปหมด หลายคนจับแพะชนแกะเสียวุ่นวาย ลากยาวว่าผมเสพยาด้วย บลาๆ พ่อกับแม่โทรมาบอกว่าเป็นห่วง แต่ไม่ได้ถามถึงประเด็นเล่นยาที่สื่อประโคมข่าวอยู่ในตอนนี้
‘เราเชื่อลูก’