-16-
Run
http://www.youtube.com/v/gLMyBBZmL2M?hl=en_US&version=3ผมมองภาพตรงหน้าด้วยความสงสัย
จากการพบเจอธรรมดาๆหลายๆครั้งผมก็เริ่มสังเกตการกระทำของผู้ชายคนนี้มากขึ้น
เพื่อนของป็อบกับร็อคที่ชื่อปาร์คเป็นคนที่ดูสะดุดตาในทุกครั้งที่พบเจอ จากปกติที่ผมไม่ค่อยสนใจคนรอบข้างมากนักกลับรู้สึกสนใจผู้ชายคนนี้
สายตาแพรวพราวกับรอยยิ้มที่มุมปากของปาร์คดูมีเสน่ห์ชวนให้ใครหลายๆคนมอง แต่รอบยิ้มมุมปากนั้นก็เปลี่ยนไปเป็นยิ้มถึงนัยน์ตาทุกครั้งเมื่อเขาจ้องมองหรือพูดคุยกับป็อป
ไม่แน่ว่าตัวปาร์คเองจะรู้สึกตัวหรือเปล่าที่เขาแสดงออกแบบนี้
ระยะหลังๆปาร์คมาที่นี่ทุกครั้งที่เรามาเล่นที่ร้าน และในหลายๆครั้งผมก็เห็นปาร์คกับป็อปมาด้วยกันทำให้ผมอดไม่ได้ที่จะคิดว่าความสัมพันธ์ของทั้งสองเกินเลยกว่าเพื่อน
มันไม่ใช่ตัวผมสักเท่าไหร่ที่จะคิดสนใจเรื่องของคนอื่น แต่กับป็อปผมไม่นับว่าเป็นคนอื่น พูดให้ถูกต้องจากใจจริงก็เหมือนอยากจะให้ป็อปหลุดพ้นจากความรู้สึกที่ยึดอยู่กับผม มันไม่ใช่การผลักไส แต่แค่อยากเห็นเขาได้รับสิ่งที่ผมให้ไม่ได้จากใครสักคน...
“ถ้ากูไม่รู้จักมึงกูคงคิดว่ามึงกำลังหึงป็อปมัน" ร็อคบอกระหว่างที่ยืนสูบบุหรี่อยู่แถวที่จอดรถ เรากำลังจะกลับแต่ยืนรอป็อปที่กำลังคุยธุระกับพี่ติน
“กูแค่สงสัย..."
“ไอ้ปาร์ค...มันชอบป็อปมาตั้งแต่เรียนอยู่ด้วยกันแล้ว..." ร็อคพูดประโยคนั้นออกมาโดยไม่อธิบายอะไรเพิ่มเติมอีก ผมไม่แปลกใจกับสิ่งที่ได้ยิน ถ้ามันเป็นจริงอย่างที่ร็อคว่า...ถ้าระยะเวลาตั้งแต่ตอนนั้นจนถึงตอนนี้ความรู้สึกของปาร์คยังไม่เปลี่ยนแปลง ผมก็อยากให้ป็อปเปิดใจ
“ดีแล้ว...” ผมเอ่ยความใจในออกมาลอยๆจนไอ้ร็อคต้องถามอย่างสงสัย
“ดีอะไรของมึง"
“หรือมึงว่าไม่ดี"
“มึงอย่ากวนตีน ดีไม่ดีอะไรวะ"
“ก็ดีแล้วถ้าป็อปเจอคนที่รักมันจริงๆ...”
ร็อคถอนหายใจกับคำพูดของผมไม่พูดอะไรอีก เวลาผ่านไปเชื่องช้าขณะที่เรายืนเงียบๆอยู่ในห้วงความคิด ผมทิ้งก้นบุหรี่ขยี้ด้วยปลายเท้าแล้วดูนาฬิกาคำนวณเวลากว่าจะถึงบ้าน ใจหวังให้ทะเลยังไม่หลับไปก่อน
ไม่นานป็อปก็ออกมาพร้อมกับปาร์ค ทั้งสองยื้อแย่งกีตาร์กันมาตลอดทาง ป็อปพยายามดึงกีตาร์ของตัวเองออกจากไหล่ปาร์คด้วยสีหน้าไม่พอใจ ผิดกับปาร์คที่ยิ้มเจ้าเล่ห์ออกมาเมื่อป็อปไม่สามารถเอาของๆตัวเองคืนไปได้
“ยุ่งกับกูจริงๆ" เสียงป็อปด่าออกมาอย่างหัวเสีย ไม่บ่อยนักที่ป็อปจะมีอารมณ์แบบนี้ให้เห็น คนดื้อเงียบแบบป็อปมักจะเก็บอารมณ์อะไรต่างๆเอาไว้ข้างในมากกว่า
“กูกลับนะ" พอทั้งสองมาถึงผมก็บอกเพื่อที่จะแยกกัน ทุกคนพยักหน้ารับรู้มีแค่ปาร์คที่ยืนมองผมนิ่งๆเหมือนกำลังคิดอะไรสักอย่าง...เหมือนประเมินอะไรสักอย่าง...ซึ่งมันก็ทำให้ผมนึกอยากจะแกล้งเพื่อดูท่าทีบ้างเหมือนกัน
“พรุ่งนี้เจอกัน" ผมบอกเจาะจงไปที่ป็อปแล้วเอื้อมมือไปโยกหัวมันไปมาอย่างที่ทำนานๆครั้ง ป็อปยิ้มให้ผมแต่ก็เหลือบสายตาไปมองปาร์คชั่วครู่ก่อนจะกลับมามองที่ผมอีกครั้ง เมื่อผมปล่อยมือออกปาร์คก็มายืนข้างๆป็อปแล้วกอดคอเอาไว้ น่าแปลกที่ครั้งนี้ป็อปไม่ได้แสดงออกอะไรเพื่อให้รู้ว่ายังมีเยื่อใยให้ผมอยู่
ผมคิดว่าช่วงเวลาที่ทับซ้อนของเราคงจะหมดลงแล้ว อีกไม่นานผมก็คงได้เพื่อนที่มีความรู้สึกให้กันเพียงเพื่อนคนเดิมกลับมา...
...
ไฟในห้องสว่างจ้าเมื่อผมมาถึง แต่คนที่นอนบนเตียงได้หลับไปเรียบร้อยแล้ว การที่ทะเลไม่ได้นอนข้างล่างบนฟูกเหมือนเป็นการบอกว่าไม่ได้ตั้งใจที่จะหลับไปแต่ก็เหนื่อยล้าเกินไปที่จะรอผม ผมดึงผ้าห่มขึ้นมาห่มให้ทะเลก่อนจะไปอาบน้ำ คิดไว้ว่าคืนนี้อาจไม่ได้นอน กว่าจะได้นอนคงเป็นตอนเช้าหลังจากทำงานที่ต้องส่งพรุ่งนี้ให้เสร็จ
ช่วงนี้ทุกๆอย่างสำหรับผมเป็นไปอย่างราบรื่น สิ่งที่คั่งค้างในใจคลี่คลาย สามอาทิตย์ก่อนหน้านี้ที่ทะเลรับรู้เรื่องของผมเป็นช่วงที่เราใช้เวลาเพื่อรักษาเยียวยาจิตใจของกันและกัน หลังจากที่ทะเลรับรู้เรื่องราวของผมใหม่ๆตอนนั้นทุกอย่างเกือบจะเรียกได้ว่าย่ำแย่ เพราะมันคงเป็นเรื่องที่หนักเกินไปสำหรับทะเล แววตาที่สดใสของทะเลดูหม่นเศร้าจนต้องปลุกปลอบกันนานกว่าจะให้ทะเลเข้าใจได้ว่าเรื่องพวกนั้นมันผ่านไปแล้ว...
สำหรับผม การได้บอกสิ่งที่เก็บกดเอาไว้ในใจมาเนิ่นนานกับคนที่สำคัญที่สุดทำให้ผมเหมือนได้รับการปลดปล่อยในแง่ของความรู้สึก ตลอดมาไม่มีใครเคยรับรู้ถึงด้านนี้ของผม สิ่งที่กลั่นออกมาจากจิตใจไม่ได้ทำให้ทะเลนึกกลัวแต่กลับทำให้ทะเลเสียใจเจ็บปวดไปกับมัน ความอ่อนโยนของทะเลทำให้เป็นไปแบบนั้น...
นาทีนี้ผมรู้แล้วว่าทะเลรักผมมากพอที่จะอยู่ข้างกันไม่ว่าผมจะเป็นยังไงก็ตาม
เมื่อเราผ่านช่วงเวลานั้นมาได้ตัวผมกับความเจ็บปวดก็เหมือนเพื่อนที่อยู่ห่างไกล
สายตาของทะเลเปลี่ยนไปนับจากวันนั้น ทุกครั้งที่ทะเลมองมาที่ผม...แววตายังคงความอ่อนโยน...แต่เป็นความรู้สึกอ่อนโยนลึกล้ำ ความรู้สึกเจ็บปวดที่เจือปนอยู่ในนั้นมีเสน่ห์ยากที่ผมจะถอนสายตา
แรงดึงดูดระหว่างกันเข้มข้นเมื่อทะเลเข้าถึงด้านลึกในจิตใจ
การใกล้ชิดก่อเกิดอารมณ์ที่ไม่อาจต้านทาน ความอดทนก็ไม่ได้คงทนอยู่นาน รสชาติของทะเลที่เคยได้รับเป็นชนวนที่ปล่อยให้คลื่นอารมณ์พัดพาไป ทะเลไม่ได้หวาดกลัวอย่างที่คิดไว้เมื่อผมรุกเข้าหา ไม่มีสายตาที่บ่งบอกถึงความหวาดหวั่น ทั้งไม่ได้เอ่ยห้ามใดๆ ทุกอย่างที่เป็นไปให้ความแปลกใหม่สำหรับผม...
อาจเรียกได้ว่าเป็นการร่วมรัก...เป็นครั้งแรก...
ผมไม่ได้กระทำรุนแรงเพียงเพราะอยากเห็นอีกฝ่ายทรมานอย่างที่ผ่านมา แต่กระทำทุกอย่างตามแรงอารมณ์รักใคร่ที่อยู่ในใจ ทะเลปล่อยตัวไปกับทุกสัมผัสของผมอย่างไม่มีข้อโต้แย้ง เสียงครางเครือและสีหน้าทรมานเพราะความสุขสมให้ความรู้สึกอบอุ่นในหัวใจ
ไม่ยากเลยที่เราจะมัวเมาไปกับมัน...
ผมถลำตัวลึกอยู่ในความรู้สึกนั้น หลายครั้งหลายครา ไม่อิ่มไม่พอ จนแทบจะหลงลืมไปว่าผมกำลังกระทำในสิ่งที่ไม่เหมาะไม่ควร...ในที่ๆไม่สมควร...กับคนที่ไม่สมควร...
สีของท้องฟ้าเรื่อเรือง ยามรุ่งเช้าอากาศเย็นสบาย ผมปิดคอมพิวเตอร์เมื่องานทุกอย่างเสร็จสิ้น ลุกขึ้นบิดตัวไปมาคลายความเมื่อยแล้วทิ้งตัวนอนข้างๆทะเลโอบกอดแนบชิดไม่อยากให้ฝ่ายใดฝ่านหนึ่งตกเตียงเพราะพื้นที่อันน้อยนิด ไม่นานผมก็หลับไปตามอีกฝ่ายไปด้วยความง่วงและอ่อนเพลีย
ผมตื่นอีกทีเพราะเสียงโทรศัพท์ เป็นตูนที่โทรมาบอกให้ผมอย่าลืมไปส่งงานวันนี้ ผมมองนาฬิกาเป็นเวลาบ่ายกว่า บอกตูนว่าคงเข้าไปไม่เกินบ่ายสามแล้วค่อยวางสายไป ผมอาบน้ำแต่งตัวให้เสร็จเรียบร้อยก่อนมานั่งเช็คงานที่ทำไปเมื่อคืน มีหลายจุดที่ผมอยากแก้ไขให้เรียบร้อยเลยใช้เวลานานกว่าที่คิด ก่อนออกจากบ้านผมจึงตัดสินใจไปรับทะเลก่อนแล้วค่อยไปมหาลัยเพราะกว่าจะกลับมารับทะเลคงต้องรอนานเกินไป
พวกเพื่อนนั่งกันอยู่ที่โต๊ะประจำคณะของเราแทบจะครบทุกคนในกลุ่มเมื่อผมมาถึง ผมฝากทะเลไว้กับพวกมันก่อนแล้วค่อยขึ้นไปส่งงาน พอผมที่เป็นคนสุดท้ายที่ส่งงานเรียบร้อยลงมาพวกมันก็ชวนกันไปกินข้าวสังสรรค์อย่างที่ชอบทำประจำ ไม่ว่างานจะชิ้นเล็กชิ้นน้อยแค่ไหนก็ยังหาเรื่องไปกันทุกที
ผมไปกินข้าวกับพวกเพื่อนๆแต่ก็ไม่ได้ไปต่อกับพวกมัน ผมพาทะเลกลับถึงบ้านค่ำๆ มีพี่ๆที่ยังทำงานในอู่เหลือกันอยู่สองสามคน พี่กอล์ฟลูกน้องคนสนิทของน้าวิทย์บอกว่าน้าวิทย์กับน้าเพลงไปงานแต่งญาติคงจะกลับดึกๆ เมื่อเห็นว่าเราทั้งสองกลับมาแล้วพวกเขาจึงอยู่ต่อกันอีกสักพักก่อนจะแยกย้ายกันกลับบ้านตามคำสั่งของน้าวิทย์ที่สั่งเอาไว้
ในอู่ขนาดใหญ่เมื่อไม่มีคนก็ให้ความรู้สึกเงียบงันวังเวง ผมปิดไฟชั้นล่างให้หมดเหลือเพียงดวงเดียวให้ความสว่างรอน้าวิทย์กับน้าเพลงกลับมา ใจแรกคิดจะขึ้นข้างบนเลยแต่เห็นทะเลที่เดินตามผมไปมารอขึ้นไปพร้อมกันก็อดไม่ได้ที่จะหันมาสนใจ ทะเลมองผมเหมือนสงสัยว่าทำไมถึงไม่ไปข้างบนสักที ผมจึงยิ้มบอกความนัยแล้วดึงทะเลเข้ามาใกล้ แค่นั้นทะเลก็เข้าใจ...
“เดี๋ยวพ่อแม่กลับมา...”
“ยังไม่มาหรอก นี่ยังไม่ดึกเลย"
“...เมื่อเช้าแม่เข้ามาในห้องมาปลุกเล แม่มองแปลกๆที่เห็นเรานอนด้วยกัน...เลกลัวแม่จะรู้...”
“น้าเพลงอาจจะไม่ได้คิดอะไร” ผมบอกแล้วจูบที่ริมฝีปากทะเลเบาๆอย่างปลอบใจ ก่อนจะบดเบียดแรงขึ้นเพราะรสสัมผัสของคนตรงหน้า ทะเลคล้ายจะต่อต้านแต่ก็ทำไม่ได้นาน
เมื่อผมเบี่ยงเบนความสนใจของทะเลเป็นผลสำเร็จจึงพาทะเลขึ้นรถตู้สีดำติดฟิล์มมืดสนิทที่จอดอยู่ตรงนั้น ดูเหมือนว่าจะเป็นรถที่รอลูกค้ามารับแต่ผมก็ไม่ได้สนใจอะไรมากมาย สิ่งที่ผมสนใจคือทะเลที่นอนหอบหายใจหนักอยู่ใต้ร่าง...เบาะหลังรถไม่ได้ใหญ่มากนักแต่ก็เป็นบรรยากาศที่ตื่นเต้นแปลกใหม่
เราเหมือนวัยรุ่นริรักที่ไม่เห็นสิ่งใดในสายตา การร่วมรักเป็นไปอย่างร้อนแรงขาดซึ่งการยับยั้งชั่งใจ ยิ่งรู้ว่าเสี่ยงก็ยิ่งกระตุ้นอารมณ์
เราทำกันหนึ่งครั้งบนรถตู้ หนึ่งครั้งหน้ากระโปรงรถยนต์อีกคัน
นับวันผมยิ่งชอบความรู้สึกที่ได้ทำแบบนี้กับทะเล เรียกให้ถูกต้องคือผมหลงใหลคลั่งไคล้ทุกสัมผัส ผมรู้ว่าตัวเองมีความต้องการสูง เมื่อรวมเข้ากับความรักมันจึงเป็นสิ่งที่ยากจะถอนตัว...
น้าวิทย์กับน้าเพลงกลับมาดึกมากในคืนนั้น เหตุการณ์ตื่นเต้นเป็นแค่การเพิ่มอรรถรส ผมรับรู้ความตื่นเต้นนั้นได้จากสายตาของทะเลที่คอยลอบมองไปที่ประตู แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่ได้มีใครที่เปิดเข้ามาอย่างที่เรานึกกลัว
...
เช้าวันรุ่งขึ้นเป็นวันเสาร์ ทะเลได้บอกผมไว้แล้วว่าวันนี้มีนัดทำรายงานที่บ้านของเพื่อนที่ชื่อฟอร์ด เราตื่นกันตอนสายๆอาบน้ำกินข้าวแล้วบอกน้าเพลงว่าจะไปข้างนอกกันคงจะกลับมาตอนเย็นๆ ผมพาทะเลไปส่งตามที่ทะเลบอกทาง เมื่อมาถึงบ้านและเห็นหน้าเพื่อนทุกคนที่มาก็ทำให้ผมเปลี่ยนความตั้งใจในตอนแรกที่ว่าจะมาส่งเฉยๆ ทั้งฟอร์ดและทะเลไม่ได้ว่าอะไรที่ผมบอกว่าจะอยู่รอทะเลที่นี่ด้วย จะมีก็แต่ก้านที่ทำหน้าตาเฉยเมยไม่บ่งบอกอารมณ์แล้วเดินเข้าบ้านไปก่อนใคร
บ้านของฟอร์ดไม่มีใครอยู่ เพื่อนทะเลที่มากันสี่ห้าคนนั่งทำงานที่หน้าทีวีชั้นล่างซึ่งมีพื้นที่กว้างขวาง ผมนั่งอ่านการ์ตูนที่ฟอร์ดหามาให้เพื่อฆ่าเวลา ผมอาจทำตัวเหมือนไม่ไว้ใจทะเลแต่จริงๆไม่ใช่ ผมก็แค่อยากจะดูให้แน่ใจเท่านั้นว่าที่ทะเลเคยบอกผมว่าคุยกับก้านรู้เรื่องแล้วมันเป็นจริงอย่างที่ว่ามา
เพื่อนๆทะเลค่อนข้างที่จะคุ้นเคยกับผม จากที่นั่งรออ่านหนังสือเฉยๆผมก็เริ่มช่วยอะไรที่สามารถช่วยได้ วันนั้นทั้งวันผมแทบจะไม่ได้คิดเรื่องทะเลกับก้าน ทุกอย่างมันเปลี่ยนไปอย่างน้อยๆก็ในความรู้สึกผม ผมไม่รู้ว่าความรู้สึกของก้านที่มีต่อทะเลมันเป็นแบบไหนในตอนนี้ แต่จากทุกๆอย่างที่แสดงออกต่อผม แม้ไม่ได้ดูเป็นมิตรแต่ก็ไม่ได้แสดงออกถึงเจตนาแบบเดิม ไม่มีแววตาท้าทายแบบเดิมๆ ไม่มีแสดงออกที่ดูมากกว่าเพื่อนกับทะเล แค่นี้ผมก็คิดว่าตัวเองได้ก้าวข้ามความรู้สึกบางอย่างก่อนหน้านี้ไปได้ ถึงแม้ไม่ลืม แต่ผมก็ปล่อยวาง
เราทำงานกันเสร็จก่อนที่พระอาทิตย์จะตกดิน ผมพาทะเลตรงกลับบ้านเลยเพราะได้บอกน้าเพลงไว้เมื่อเช้าว่าจะกลับไปกินข้าว ทะเลกอดเองซบหน้าอยู่ที่บ่าของผมระหว่างทางที่ผมพากลับ เป็นการกระทำตามความเคยชินที่ผมอยากให้มันคงอยู่แบบนี้ไม่เปลี่ยนแปลง
ผมรู้สึกปลอดโปร่ง มีความสุขโดยปราศจากความกลัวอยู่ในนั้น
ผมเริ่มชินกับความสุขที่มี...คิดว่าคงไม่มีใครพรากมันไปได้ง่ายๆเพราะผมคงจะไม่ปล่อยให้มันหลุดมือไป
แต่มันก็เป็นเพียงแค่ความคิด...
เมื่อมันเกิดขึ้นจริงผมก็ไม่สามารถกำมือไว้ให้แน่นพอที่จะรั้งมันเอาไว้อยู่ดี
...
บรรยากาศในอู่แปลกไปกว่าทุกที...
เมื่อเราก้าวเท้าเข้าบ้านก้าวแรกก็รู้สึกได้ถึงสายตาของทุกคนที่จ้องมองมา พอผมจ้องมองตอบก็ไม่มีใครที่กล้าสบตา ทะเลเองก็คงรู้สึกถึงความผิดปกตินี้จึงหันมามองผมอย่างตั้งคำถาม
ผมเริ่มรู้สึกหวั่นใจ พยายามจับสังเกตอะไรสักอย่างจากใครสักคน แต่ก็ไม่มีใครบอกผมได้ จะมีก็แต่พี่มดที่ค่อนข้างสนิทกับผมที่จ้องผมโดยที่ไม่หลบสายตา พี่มดพยักหน้าขึ้นไปข้างบนเหมือนเป็นการบอกอะไรสักอย่าง เมื่อผมมองตามขึ้นไปก็เข้าใจได้ทันที
ใจของผมกระตุกรุนแรง
กล้องวงจรปิดในอู่มีอยู่หลายตัว ผมไม่เคยนึกสนใจมันเลยจนกระทั่งวันนี้ แม้จะเคยเห็นน้าวิทย์เปิดดูอยู่ในบางครั้งบางคราวก็ไม่เคยนึกถึง และเพราะไม่ได้นึกถึง ถึงทำแบบนั้นลงไปเมื่อวานด้วยความย่ามใจ
ทะเลมองตามสายตาผมขึ้นไปแล้วก็ตกใจจนทำอะไรไม่ถูก มองผมด้วยแววตาหวาดหวั่น ความรู้สึกมากมายประดังประเดเข้ามาเมื่อสิ่งที่เรานึกกลัวเมื่อวานเป็นความจริง ผมรู้ได้เลยว่าคงไม่ใช่สิ่งดีๆที่รอเราอยู่ และทั้งหมดก็คงโทษใครไม่ได้นอกจากตัวผมเอง
น้าวิทย์กับน้าเพลงเดินออกมาจากสำนักงานทันทีที่เห็นเราทั้งสอง ใบหน้าเคร่งเครียดจนเราไม่กล้าพูดอะไรออกไป น้าวิทย์มองผมกับทะเลด้วยอารมณ์ที่ผมเดาไม่ถูก
“ขึ้นไปคุยกันข้างบน" น้าวิทย์พูดแล้วเดินนำเราทั้งสามคนหลบจากสายตาทุกคนขึ้นมาบนชั้นสองนั่งลงตรงโซฟาหน้าทีวีจากนั้นก็นิ่งเงียบ เราสองคนถูกกดดัน ผมเห็นท่าทางกังวลของทะเลจึงเอื้อมมือไปจับเอาไว้ด้วยความเคยชิน การกระทำนั้นทำให้น้าวิทย์ตวัดสายตามองมาก่อนจะพูดเสียงเรียบ
“เราสองคน ทำแบบนี้มานานแค่ไหนแล้ว"
“ผมกับเลคบกัน ช่วงหลังจากที่ผมเข้าโรงพยาบาล...”
“คบกัน?”
“ครับ"
น้าวิทย์กับน้าเพลงรับฟังด้วยใบหน้าข้องใจและคาดไม่ถึงในตำตอบ ผมไม่รู้ว่าควรจะตอบอะไรได้นอกเหนือจากนี้ เพราะไม่ว่าจะพูดอะไรมันก็คงไม่ได้ดูดีขึ้นมาในสายตาของทั้งสอง
“พ่อกับแม่อาจจะรับไม่ได้ที่เรารักกันแบบนั้น แต่มันก็เป็นไปแล้ว เลอยากให้พ่อกับแม่เข้าใจ...”
น้าวิทย์ส่ายหน้าให้กับคำพูดของทะเล ท่าทีที่แสดงออกจากแววตาและสีหน้าที่ต่อต้านทำให้ผมรู้สึกกลัวกับความคิดของน้าวิทย์
“วันที่แม่บลูมาหา มาบอกน้าว่าอยากให้บลูกลับไปอยู่ด้วย น้าก็ไม่เคยคิดที่จะให้บลูกลับไป...แต่ตอนนี้...น้าว่าบลูกลับไปอยู่กับแม่ของบลู...มันน่าจะดีกว่า"
ได้ยินคำที่น้าวิทย์พูด หัวใจผมเหมือนโดนบีบรัด
“วิทย์...” น้าเพลงเรียกแต่น้าวิทย์ก็ยกมือห้ามและพูดกับผมต่อไป
“น้าไม่เคยคิดว่าบลูจะทำแบบนี้กับเลได้..."
“พ่อ!”
“ผมรักเล ไม่ได้ทำเพราะอะไรอย่างที่น้าวิทย์คิด"
“จะรักกันได้ยังไง บลูก็ผู้ชาย เลก็ผู้ชาย แล้วก็เป็นพี่น้องกัน อยู่กันมาตั้งแต่เด็ก ก่อนหน้านี้บลูเจออะไรมาบ้างน้าก็ไม่อยากเอามาคิด แต่พอมาเป็นแบบนี้แล้วจะให้คิดเป็นอย่างอื่นได้ยังไง"
“เรื่องนั้นของผมมันไม่เกี่ยวกัน..."
ผมพยายามอธิบายแต่ก็เปล่าประโยชน์เพราะน้าวิทย์ไม่คิดจะฟังสิ่งที่ผมพูดสักนิด...ไม่คิดจะเข้าใจอะไรเลย...
พอเป็นเรื่องของทะเล...ผมก็หมดความสำคัญเอาได้ง่ายๆ...เหมือนตอนเด็กๆไม่มีผิด
เหตุผลที่น้าวิทย์กำลังคิดก็แค่ว่าผมซึ่งเป็นคนนอก...กำลังทำร้ายทะเล...ซึ่งเป็นลูกของพวกเขา
“น้าจะโทรบอกเจ๊หนิงให้แม่บลูมารับ"
“พี่บลูไม่ได้ทำอะไรผิด ทำไมพ่อต้องให้ไปอยู่ที่อื่น...แม่...ช่วยพูดกับพ่อหน่อย...นะ...” ทะเลหันไปพูดกับน้าเพลงที่มีท่าทีสับสนกับเหตุการณ์ที่เกิด แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่ได้พูดอะไรออกมาอย่างที่ทะเลขอ
“ผมไม่ไปอยู่กับแม่” ผมบอกน้าวิทย์ ไม่ว่ายังไงผมก็จะไม่กลับไปอยู่กับผู้หญิงคนนั้น
“แต่บลูอยู่ที่นี่ไม่ได้"
น้าวิทย์มองผมอย่างจริงจังในคำพูด ผมรู้ว่าภายใต้เสียงเรียบๆของน้าวิทย์กำลังโกรธเกินกว่าที่จะลุกขึ้นมาตวาดดุด่าเหมือนตอนเด็กๆ
ผมเคยนึกถึงวันที่น้าวิทย์กับน้าเพลงรู้เรื่องของผมกับทะเลแต่ไม่คิดว่าจะเกิดขึ้นรวดเร็วขนาดนี้ และมันก็เลวร้ายกว่าที่คิด...
ในสถานการณ์เช่นนี้แล้วผมจะทำอย่างไรต่อไปก็ยังนึกไม่ออก แน่นอนว่าผมไม่อยากแยกจากทะเล เคยคิดว่าต่อให้อะไรจะเลวร้ายแค่ไหนก็ไม่มีวันปล่อยมือ แต่ก็ไม่ใช่กับคนตรงหน้าทั้งสอง เพราะความสำคัญของพวกเขาก็ไม่ได้น้อยไปกว่าทะเลเลย
ผมนั่งนิ่งเงียบ มีทะเลที่นั่งน้ำตาไหลอยู่ข้างๆกัน
ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร...
“น้ารักบลูเหมือนลูก...แต่บลูก็ทำพวกน้าเสียใจ...สิ่งที่เราทำมันไม่ถูก มันเป็นเรื่องที่ไม่ควรเกิดขึ้น...น้าคงปล่อยให้อยู่ด้วยกันมากเกินไปมันถึงออกมาเป็นแบบนี้...”
“พ่อเลยคิดง่ายๆไล่พี่บลูออกจากบ้านงั้นเหรอ...คิดว่ามันจะเปลี่ยนอะไรได้หรือไง"
“เล!”
น้าวิทย์ตวาดออกมาเสียงดังจนเราทุกคนตกอยู่ในความเงียบ ไม่มีใครกล้าพูดอะไรอีก ตั้งแต่ที่ผมมาอยู่ที่นี่ไม่เคยมีสักครั้งที่น้าวิทย์จะขึ้นเสียงกับทะเล ผมจึงรู้สึกผิดขึ้นมาที่ทำให้ทุกอย่างเป็นแบบนี้ หากน้าวิทย์ว่าเรื่องที่เราเป็นอยู่เป็นเรื่องที่ไม่ถูกผมก็เปลี่ยนความคิดของเขาไม่ได้...น้าวิทย์เห็นสิ่งที่ไม่ควรได้เห็นกับลูกของตัวเอง ผมรู้ว่าภาพนั้นมันคงติดตาจนคำพูดและความรู้สึกของผมกับทะเลมันส่งไปไม่ถึง
ผมรู้ว่าที่ผมควรทำคือไปจากที่นี่ตามที่น้าวิทย์ขอ...เพื่อความสบายใจของพวกเขา
ผมรู้...แต่ผมไม่อยากไป เพราะหากผมก้ามเท้าออกจากบ้านก็ไม่แน่ว่าผมกับทะเลจะเป็นยังไงต่อไป การที่น้าวิทย์ห้ามเราสองคนอยู่ด้วยกันคงไม่จบแค่ว่าผมออกจากบ้านไปถึงจะพอใจ แต่รวมถึงการตัดขาดความสัมพันธ์ของเรา...ซึ่งเป็นสิ่งสุดท้ายที่ผมอยากให้เกิด...
“บลูไปเก็บของ เลลงมาข้างล่างกับพ่อ" ทะเลดื้อเงียบไม่ไปไหนคว้าจับมือผมไว้แน่นและผมก็บีบมือนั้นตอบเช่นเดียวกัน เราสองคนไม่มีใครลุกไปไหน ได้แต่นั่งยื้อเวลาของอนาคตที่ต่างรู้ว่าจะเป็นไปเช่นไร
เรื่องที่เรารักกันไม่ใช่เรื่องผิด แต่ก็ไม่ใช่เรื่องที่ยอมรับกันได้...ไม่ว่าจะมองจากมุมไหนผมก็ยังหาทางออกไม่เจอ
“ไม่ได้ยินที่พ่อพูดเหรอ"
“ถ้าพ่อไม่ให้พี่บลูอยู่ที่นี่ เลก็จะไม่อยู่เหมือนกัน"
“แค่นี้ยังทำตัวมีปัญหาไม่พอใช่ไหม!”
“ผมจะไป...น้าวิทย์ไม่ต้องให้แม่หรือใครมารับผม ถ้าแค่ผมไปแล้วจะทำให้สบายใจผมก็จะทำ แต่ถึงยังไงน้าวิทย์ก็บังคับความรู้สึกของเราให้เป็นอย่างที่น้าวิทย์ต้องการไม่ได้อยู่ดี"
ผมเห็นสายตาเจ็บปวดของน้าวิทย์...สายตาเจ็บปวดของน้าเพลง ความผูกพันธ์ของพวกเราทำให้จุดแตกหักเจ็บร้าวถึงข้างใน หากการที่จะยอมรับเรื่องของเรามันยากเย็นถึงขนาดนี้ผมก็จะไม่ฝืน...
ผมดึงทะเลเข้ามากอดแล้วกระซิบบอกให้ทะเลอยู่ที่นี่และรอผม
ที่ทะเลเลือกที่จะไปกับผมก็เหมือนกับการตัดสินใจโดยไม่ยั้งคิด มันรวดเร็วกะทันหันจนเอาอารมณ์เป็นที่ตั้ง แต่สำหรับผมไม่ว่ายังไงผมก็ไม่มีทางให้ทะเลไปจากที่นี่เพราะตัวผม...แม้ว่าเราจะต้องแยกจากกันผมก็ต้องยอม ผมรู้ว่าไม่มีอะไรดีๆที่รอเราอยู่เมื่อเราออกจากที่ที่เราเรียกว่าบ้าน...และผมก็รู้ดีกว่าใครว่าโลกแห่งความเป็นจริงของชีวิตมันโหดร้าย
สิ่งสำคัญของผมคือทะเล และสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับทะเลคงไม่ใช่การหนีออกจากบ้านไปกับผม ผมคิดแบบนั้น จึงเลือกที่จะเดินจากไปเองในตอนนี้...
ผมเก็บของบนห้องแล้วโทรบอกให้ร็อคมารับ น้าวิทย์รั้งทะเลไว้ไม่ให้ตามผมขึ้นมา หลังจากที่ทะเลได้ยินคำพูดของผมก็นั่งลงร้องไห้อย่างหมดแรง...ผมได้แต่มองภาพนั้นอย่างปวดใจแต่ก็ทำอะไรไม่ได้...
ค่ำวันนั้นผมออกมาจากบ้านที่อาศัยอยู่เป็นเวลาสิบเอ็ดปี
ผมสูญเสียหลักยึดในชีวิต...กลับมาเคว้งคว้างอ้างว้าง...
ความสุขหายไปต่อหน้าต่อตา...โบยบินคว้าจับไม่ได้...มองออกไปก็ไม่เห็น
ฟ้าฝนเหมือนจะเป็นใจกับช่วงเวลานี้จึงหลั่งรินลงมาไม่ขาดสาย...
...ผมทิ้งหัวใจเอาไว้...
และเดินจากที่นั่นมาอย่างไม่มีวันหวนคืน...
Song Titles : Run
Artist : Snow Patrol
----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
คนอ่านหายหมดแล้ว
อาทิตย์หน้าอาจจะไม่มานะคะ ไม่รู้มีคนรออยู่รึเปล่าแต่บอกไว้ก่อน
จิตตกไปพักนึงเลยเขียนไม่ได้ (แต่ตอนนี้โอเคแล้วรอเขียนต่อ)
อีกไม่กี่ตอนก็จบเป็นไปได้ไม่อยากให้มันขาดตอนให้เสียความตั้งใจ เอาเป็นว่าถ้ามาได้จะมาแล้วกันเน้อ