สวัสดีค่า คราวนี้เป็นเรื่องสั้นนะคะ ที่คิดว่าไม่กี่หน้าก็คงจะจบได้ เป็นเรื่องที่ได้แรงบรรดาลใจมาจากเพลง A time for us แต่เนื้อเรื่องมันก็ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเพลงนี้เลยแฮะ -*- เพียงแต่ไปเจอคำแปลชื่อเพลง ‘วารวันแด่ฉัน-เธอ’ มันดูเพราะดีเลยมาดัดแปลงเล็กน้อยและกลายมาเป็นเรื่องนี้ค่ะ
ดูท่าออยล์จะติดใจตัวละครชื่อไทยเสียแล้วสินะคะเนี่ย -*-
ขอฝากเรื่องนี้ไว้ด้วยนะคะ ขอบคุณค่ะ ^^
_______________________________
วารวันฉันและเธอ
อาคารสีขาวสูงสิบกว่าชั้น เหนือตึกมีเครื่องหมายบวกสีเขียวอันเป็นตราสัญลักษณ์ของสถานที่แห่งนี้ โรงพยาบาลของรัฐตั้งอยู่ท่ามกลางตึกสูงระฟ้ามากมาย หน้าต่างบานเล็กของชั้นที่สิบกับผ้าม่านสีอ่อนที่ปลิวไสวไปตามลม เด็กชายคนหนึ่งกำลังจ้องมองออกไปด้านนอก เฝ้าดูเหล่านกพิราบสีขาวนวลบินเป็นฝูงอย่างสุขสันต์ท่ามกลางท้องฟ้าสีฟ้าครามสว่างสดใส ช่างน่าอิจฉานัก เหล่าสกุณาตัวน้อยๆที่สามารถโบยบินไปได้อย่างอิสระ ในขณะที่ตัวผู้เฝ้ามองได้แต่อยู่ในห้องสีขาวที่ดูไร้ชีวิตชีวา
ธนวิทย์ เด็กชายวัยสิบสี่ปี เขาป่วยเป็นโรคมะเร็งสมองและทนกับความเจ็บปวดมานานจนเข้าสู่ปีที่ 2 แรกเริ่มเดิมทีแพทย์ให้การรักษาเขาด้วยการให้ยาแก้ปวดแต่มันช่วยให้อาการทุเลาไปได้ไม่เท่าไร อาการของเขาก็กำเริบหนักขึ้น และยาแก้ปวดก็ไม่สามารถช่วยอะไรเขาได้อีก แต่การตัดสินใจที่จะผ่าตัดหรือฉายรังสีรักษาก็เกิดขึ้นช้าไปจนก้อนเนื้องอกได้ลุกลามไปถึงส่วนที่อันตรายมากที่สุดอย่างมะเร็งที่ก้านสมอง แพทย์แนะนำให้เขาเข้ารับการรักษาด้วยวิธีรังสีรักษา 3 มิติ ประเภท Stereotactic Radiotherapy (SRT) ซึ่งเหมาะสำหรับการรักษาเนื้องอกสมองชนิดที่มีการเจริญเติบโตไว แต่ค่ารักษาจำนวนหลักแสนนั้น เด็กที่เพิ่งจะกำพร้าพ่อและแม่อย่างเขาไม่มีปัญญาที่จะจ่ายได้ สิ่งที่เขาทำได้คือการต่อสู้กับมันและรอคอยวาระสุดท้ายของเขาในโรงพยาบาลแห่งนี้
การรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาลก็ไม่ได้แย่จนเกินไป แม้สิ่งที่ทำได้คือการลุกขึ้นเดินไปมาในชั้นที่ตัวเองรักษาอยู่ แต่มันก็ไม่ได้แย่นัก ยิ่งในช่วงนี้ ช่วงที่มีนักเรียนมัธยมเข้ามาทำงานเป็นพยาบาลฝึกหัดทำให้เขาได้เพื่อนคุยและไม่รู้สึกเหงาเลยแม้แต่น้อย
“อาหารกลางวันมาแล้วจ้าวิทย์” อัญพร เด็กสาวในชุดนักเรียนเดินเข้ามาในห้องพร้อมกับถาดอาหาร
“พี่อัน ที่จริงผมไปหยิบเองก็ได้นะครับ” เขาพูดขึ้น
“แหม พี่มาช่วยงานที่นี่นี่นา ถ้าไม่ทำอะไรสักหน่อยเดี๋ยวพี่พยาบาลเขาจะดุพี่เอา” เธอพูดพร้อมหัวเราะเบาๆ “แล้วเดี๋ยวพี่จะมาเก็บถาดให้น้า”
หลังจากที่อัญพรเดินออกจากห้องไปแล้ว วิทย์ก็ก้มลงมองอาหารในถาดตัวเอง ข้าวแข็งๆ แกงจืดเต้าหูไข่จืดๆ น่องไก่ทอดอีก 2 ชิ้น และส้มอีก 1 ผล ถ้าไม่นับเรื่องอาหารในโรงพยาบาลแล้วการอยู่ที่นี่ก็ไม่ได้แย่นักโดยเฉพาะที่นี่มีเขาอยู่..........
“หมอเข้าไปได้ไหม” เสียงของชายหนุ่มดังลอดเข้ามาในห้อง ผู้เป็นเจ้าของห้องหันไปมองก่อนพยักหน้ารับ ภานุพงษ์ คุณหมอหนุ่มในชุดกาวน์สีขาว กางเกงสแล็กสีดำรองเท้าหนัง ทรงผมที่ดูแล้วไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นหมอได้เลย เพราะมันน่าจะเหมาะกับพวกศิลปินมากกว่า แต่นั่นก็เพราะคุณหมอหนุ่มท่านนี้มีอายุเพียง 27 ปี เท่านั้น เขาเป็นหมอเฉพาะทางด้านสมองและเป็นแพทย์ประจำตัวของธนวิทย์ “วันนี้อาการเป็นไงบ้างครับ” คุณหมอหนุ่มพูดพร้อมกับนั่งลงบนเก้าอี้ข้างเตียง
“ก็เรื่อยๆเหมือนเดิมล่ะครับ” ธนวิทย์ตอบก่อนจะนั่งเขี่ยข้าวในจานเล่น “คราวหลังหมอพงษ์ซื้อข้าวจากข้างนอกมาฝากผมหน่อยสิครับ”
“ก็อยากอยู่หรอกนะ แต่ทำแบบนั้นแล้วแม่ครัวที่นี่จะเสียใจเอาน่ะสิ” ภานุพงษ์พูดติดตลก
อ๊ากกกกกกกกกกกกกกกกกกกก
เสียงร้องดังขึ้นมาจากห้องฝั่งตรงข้าม ภานุพงษ์รีบลุกขึ้นและออกไปดูโดยทันที เสียงร้องอันน่าหวาดกลัวนั้นมาจากเด็กห้องฝั่งตรงข้าม ธนวิทย์มองตามร่างของคุณหมอหนุ่มไป เนื่องจากข้างห้องเป็นกระจกบานเกล็ดทำให้มองเห็นด้านนอกได้ชัดเจน เหล่านางพยาบาลและบุรุษพยาบาลหลายคนกำลังพยายามรวบตัวเด็กที่กำลังคุ้มคลั่งให้สงบลง พวกเขามัดเด็กคนนั้นลงกับเตียงและหมอภานุพงษ์ก็ทำหน้าที่ฉีดยาให้
ธนวิทย์เฝ้ามองแผ่นหลังของหมอประจำตัวไม่ละสายตา เขาไม่รู้ว่าความรู้สึกแบบนี้เรียกว่าอะไร เด็กอายุ 14ปีอย่างเขายังเด็กเกินไปที่จะเข้าใจหรือรู้จักคำว่ารัก แต่สิ่งที่เขารู้สึกต่อคุณหมอหนุ่มคนนี้มันมากกว่าคนอื่นๆในโรงพยาบาล หรือใครหลายๆคนที่เขาพบเจอ อาจเป็นเพราะการที่เขาสูญเสียบุพการีทั้งสองไปทำให้อาการของเขากำเริบหนักขึ้น และช่วงเวลาที่เขาทรมานอยู่กับอาการปวดอย่างรุนแรงนั้น ก็มีหมอภานุพงษ์ที่อยู่ใกล้ๆคอยให้การรักษาและให้กำลังใจเสมอมา สำหรับเขาแล้วหมอภานุพงษ์คือบุคคลที่เขารักและเคารพมากที่สุด และเพราะบุคคลท่านนี้ที่ทำให้เขาอยากมีชีวิตอยู่ต่อไป
เสียงร้องสงบลง เหล่าเด็กๆและผู้ใหญ่ที่มุงดูหน้าห้องก็สลายตัวไป หมอภานุพงษ์เดินกลับมายังห้องคนไข้ประจำของเขา
“ตกใจน่าดูเลยเนอะ” เขาอมยิ้มก่อนกลับมานั่งที่เดิม
“เสียงที่ปลุกผมให้ตื่นเมื่อคืนคือเสียงของเด็กคนนั้นสินะครับ” เด็กชายตอบก่อนจะเคี้ยวข้าวที่อยู่ในปากต่อ
“พยาบาลกะกลางคืนเขาเล่ามาว่าตอนมาถึงอาละวาดใหญ่ มีคนโดนกัดไปด้วย วิทย์ต้องล็อคประตูห้องรู้ไหม”
“หมอพูดแบบนี้ผมเริ่มกลัวแล้วนะครับ”
เด็กชายพูดจบก็หันมาปอกเปลือกส้มอย่างระมัดระวัง แต่แล้วมือของเขาก็สั่นขึ้นมาเอง
“วิทย์ เป็นอะไรไหม” หมอภานุพงษ์ถามด้วยความเป็นห่วงก่อนจะหยิบส้มจากมือคนไข้มาปอกเปลือกให้แทน ชายหนุ่มรู้ดีว่าอีกไม่นานส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกายของเด็กคนนี้จะต้องเป็นอัมพาตไป “เอ้า อ้าม อ้าปากดีๆเร็ว”
“หมอ ผมไม่ใช่เด็กเจ็ดแปดขวบนะ” เขาพูดด้วยน้ำเสียงกึ่งงอนก่อนจะอ้าปากรับกลีบส้มเข้าไปเคี้ยวตุ้ยๆ
หลังจากทานผลไม้เสร็จแล้ว ภานุพงษ์ก็ย้ายถาดอาหารไปวางไว้บนโต๊ะข้างเตียง
“หมอพงษ์ครับ” ธนวิทย์เอ่ยขึ้นอย่างช้าๆ ทุกครั้งที่เขาจะพูดเรื่องนี้เขาก็มักจะกลัวอยู่เสมอ “ผม อาจจะมีชีวิตอยู่อีกไม่นาน เพราะฉะนั้นหากหมอให้ผมไป.....”
“เราเคยคุยเรื่องนี้กันแล้วนะวิทย์ หมอให้เราออกไปข้างนอกโรงพยาบาลไม่ได้” คุณหมอหนุ่มพูดด้วยน้ำเสียงเฉียบขาด
“แต่ว่าไปใกล้ๆก็ได้นี่ครับ ทะเลใกล้ๆใช้เวลาเดินทางไม่กี่ชั่วโมงก็ถึง” เด็กชายเอ่ยต่ออย่างไม่ลดละ
“จะเป็นบางขุนเทียนหรือแม้แต่สวนสยามหมอก็ไม่อนุญาต”
“แต่....” ก่อนที่ธนวิทย์จะได้แย้งอะไรออกไปอีก หมอหนุ่มก็ส่งสายตาห้ามปรามออกมาทำให้เขาปิดปากเงียบและหันไปมองนอกหน้าต่างอย่างไม่พอใจ
“อย่าทำหน้าแบบนั้นสิ วิทย์ หมอไม่อยากให้เราเป็นอะไรไปนะ” ชายหนุ่มลูบศีรษะเด็กชายอย่างรักใคร่เอ็นดู “หมอกลับไปทำงานต่อก่อนนะ แล้วจะมาหาอีก”
ธนวิทย์ได้ยินเสียงฝีเท้าไกลตัวเขาออกไป เด็กชายมองตามแผ่นหลังของหมอหนุ่มก่อนจะถอนหายใจและเหม่อมองท้องฟ้ายามบ่ายอีกครั้ง
“สกุณาตัวน้อย พวกเจ้าช่างน่าอิจฉานักที่ไปไหนมาไหนอย่างอิสระ” เขาเท้าแขนลงบนขอบหน้าต่างพร้อมถอนหายใจอีกรอบ “ทั้งๆที่เวลาเหลืออยู่เพียงไม่มากนัก เหตุใดถึงไม่ยอมให้เราทำในสิ่งที่เราต้องการกันนะ”
_____________________