สูตรที่ 18
Mojito Cheesecake
: บิสกิตบดละเอียด/เนย/ครีมชีส/ครีมข้น/มะนาว/น้ำตาล/ไข่ไก่/กลิ่นรัม/เหล้ารัม : วันหยุดหมดไปแล้ว การเรียนของปีการศึกษาใหม่เริ่มต้นขึ้นด้วยความขี้เกียจ ผมยังนอนคลุมโปงอยู่ทั้งๆ ที่นาฬิกาปลุกดังผ่านไปเกือบห้านาที ไม่เป็นไร นอนต่ออีกหน่อยคงไม่สายมีเรียนตั้งสิบโมง แต่ในตอนที่กำลังจะจมสู่ห้วงนิทราก็ได้ยินเสียงเคาะประตูอยู่หลายครั้งจนต้องดีดคัวขึ้นจากเตียงอย่างเลี่ยงไม่ได้ อาจจะเป็นแม่หรือป๋า...
ผมเดินงัวเงียไปเปิดประตู ดวงตารีปรือจนแทบจะปิด มองไม่ชัดด้วยซ้ำว่าคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าเป็นใคร แต่คลับคล้ายคลับคลาว่าเป็นผู้ชาย ป๋าเหรอวะ โอย ง่วงฉิบหาย เมื่อคืนไม่น่าเล่นเกมเพลินเลย
"ป๋าเหรอ"
ผมถามออกไปด้วยน้ำเสียงงัวเงียก่อนจะเปิดปากหาวแล้วเซไปพิงกับกรอบประตูอย่างหมดสภาพ ตอนนี้ไม่พร้อมจะเสวนากับใครจริงๆ แต่ในระหว่างที่ยังมึนๆ เบลอๆ กลับได้ยินเสียงหัวเราะเบาๆ ดังมาจากคนตรงหน้า อะไรวะ ป๋าขำเหรอ
"ไม่ใช่ป๋า แต่เป็นพ่อทูนหัวครับ"
เขาพูดด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะก่อนจะเอื้อมมืออุ่นๆ หนาๆ มาดึงแก้มกันเบาๆ ผมเบิกตาขึ้นด้วยความตกใจแล้วพบว่าคนตรงหน้าคือพ่อทูนหัวจริงๆ พี่ทาร์ตตัวเป็นๆ เลยว่ะ แล้วทำไมต้องมาเห็นกันในสภาพนี้ด้วย อายเว้ย
"อื้อ เจ็บนะครับ มาปลุกอะไรผมแต่เช้าเนี่ย"
ผมตีมือพี่ทาร์ตเพราะเริ่มเจ็บแก้ม เขาหัวเราะเบาๆ ก่อนจะยอมผละออกไป ใบหน้าหล่อเหลาเปื้อนยิ้มที่สามารถทำให้ใครๆ หลงใหลได้ น่าอิจฉาชะมัด
"ลืมนัดของเราหรือไง"
พี่ทาร์ตเอ่ยปากถามก่อนจะเอื้อมมือมาจิ้มหน้าผากกันเบาๆ คล้ายกระตุ้นให้ผมใช้สมองประมวลผลว่าตัวเองลืมอะไรหรือเปล่า แต่คิดจนคิวขมวดก็ยังคิดไม่ออก แย่แล้วดิกู ปลาทองไปอีก
"นัดอะไรเหรอ ลืมไปแล้วครับ หาว"
ผมเปิดปากหาวอีกครั้งแล้วพยายามปรือตามองคนตรงหน้าว่ามีปฏิกิริยาตอบกลับแบบไหน ใบหน้าหล่อเหลามุ่ยลงเล็กน้อยก่อนที่มือหนาจะยกขึ้นมาขยี้หัวกัน เพิ่มความยุ่งเหยิงไปอีก แค่นี้ก็จะหวีไม่ออกอยู่แล้ว แต่ไม่ได้ปัดป้องอะไรหรอก ชอบ... อบอุ่นดี
"กินปลาทองแทนข้าวหรือไงวะ เพิ่งนัดกันไปเมื่อคืนเอง"
พี่ทาร์ตว่าเสียงกลั้วหัวเราะก่อนจะโน้มหน้าเข้ามาใกล้จนผมสะดุ้งเพราะความตกใจแล้วถอยหลังออกมาหนึ่งก้าว ไม่ใช่ว่ารังเกียจแต่ยังไม่ได้แปรงฟันไง... เหม็นจะตาย
"นัดเมื่อคืนเหรอ อ้อ จะพาไปกินติ่มซำอะเหรอ ขอโทษๆ ผมลืม"
นึกไปนึกว่ากลับจำได้ว่าตัวเองนัดอะไรเอาไว้ ตอนนั้นคงกำลังติดพันเล่นเกมเลยไม่ค่อยให้ความสนใจ ดีแค่ไหนที่พี่ทาร์ตไม่ได้โกรธกัน ไม่อย่างนั้นผมคงแย่แน่ๆ
"จำได้ก็รีบไปอาบน้ำ เดี๋ยวจะเข้ามอสายอีก"
พี่ทาร์ตพูดจบก็ผลักหัวกันเบาๆ แล้วยังดันหลังไล่ให้ไปอาบน้ำอย่างจริงจัง ผมว่าเขาเนียนเข้ามาอยู่ในห้องนอนมากกว่า เพราะมือหนาเอื้อมไปปิดประตูห้องซะอย่างนั้น เจ้าเล่ห์เนอะคนเรา ยิ่งได้ชื่อว่าเป็นแฟน อะไรๆ ก็แสงออกมากยิ่งขึ้น
"โห พี่จะกินให้หมดร้านเลยเหรอไง ถ้าจะใช้เวลานานจนผมไปเรียนสายอะ"
ผมเอี้ยวตัวไปถามพี่ทาร์ตขณะที่มือเอื้อมไปหยิบผ้าขนหนูขึ้นมาพาดบ่าและหยิบชุดนักศึกษาติดมือไปด้วย เรื่องอะไรจะมายืนเปลือยแต่งตัวให้เขาดูล่ะ เดี๋ยวนี้ความหื่นแปะหราอยู่บนหน้าจนชวนให้ขนลุกยังไงไม่รู้ ถ้าเผลอวันไหนตำแหน่งเมียคงมาแทนแฟนอะ...
"อาจจะกินอย่างอื่นต่อไง"
เขาพูดก่อนจะคลี่ยิ้มแล้วทิ้งตัวลงนอนบนเตียง ไม่ได้สนใจเลยว่าเสื้อเชิ้ตสีฟ้าอ่อนๆ ของตัวเองจะยับ ผมได้แต่เหล่มองเขาอย่างหวาดระแวง เพราะไอ้คำว่าอยากกินมันดูกำกวมยังไงไม่รู้ เสียวสันหลังแปลกๆ
"กินอะไรอีก..."
ผมถามกลับไปแล้วขยับตัวออกห่าง ไม่ค่อยไว้ใจเพราะรอยยิ้มเจ้าเล่ห์นั่น พลาดมากที่ปล่อยให้เขามานอนกลิ้งอยู่ในห้องแบบนี้ ถึงจะเป็นแฟนและรู้จักกันมาทั้งชีวิต แต่มากที่สุดก็คือกอด... ไม่ได้ถึงขั้นลึกซึ้งอะไร ค่อยๆ เป็น ค่อยๆ ไป น่าจะดีกว่า ยังไม่อยากกลายเป็นของตาย
"ก็อย่างเช่น... ปูน"
พี่ทาร์ตมองกันด้วยสายตากรุ้มกริ่มแล้วดันตัวเองขึ้นมาจากเตียง ผมเบิกตาโตแล้วถอยหลังไปจนถึงห้องน้ำ ด่าในใจยังไม่ขาดคำ เป็นไงล่ะ แสดงความหื่นชัดเจนขึ้นทุกวัน แม่ง! ไม่อยากจะเชื่อว่าชีวิตเขาไม่เคยชอบผู้ชายมาก่อน
"เฮ้ย ลามก! ไม่คุยด้วยแล้ว"
ผมโวยวายเสร็จก็พุ่งตัวเข้าห้องน้ำและปิดประตูกดล็อกแทบจะทันทีแล้วเอนตัวพิงกับเค้าน์เตอร์อ่างล้างหน้า เมื่อครู่รู้สึกว่าใจเต้นแรงแถมร้อนๆ ตรงแก้ม ไม่น่าไปเขินกับความหื่นนั่นเลย
หลังจากที่พากันออกไปกินติ่มซำที่อยู่ในตัวเมืองก็ได้เวลาที่พี่ทาร์ตจะวนไปส่งกันที่มหา'ลัยแล้ว จริงๆ ผมอยากขับรถไปเองเพราะลำบากคนข้างๆ แต่ในเมื่อเขาดื้อจะทำแบบนี้ก็เลิกห้าม ไม่อยากทะเลาะกันเพราะเรื่องเล็กน้อย
"วันนี้เลิกเรียนกี่โมง"
เสียงทุ้มเอ่ยถามเมื่อเราใกล้ถึงมหา'ลัยเข้าไปทุกที ผมที่เอาแต่มองท้องฟ้าอึมครึมเลยสะดุ้งเล็กน้อยแล้วหันกลับไปตอบ
"สี่โมงครับ"
ผมตอบออกไปแค่นั้นก่อนจะลอบมองใบหน้าด้านข้างของเขา ไม่ว่าจะเมื่อไหร่คนๆ นี้ก็ทำให้รู้สึกอุ่นใจได้เสมอ เขาเป็นทุกอย่าง ไม่ว่าจะพี่ เพื่อน คนรัก หรือแม้แต่ป๋าคนที่สอง... ไม่ได้พูดโอเว่อร์อะไร เพราะถ้าผมเผลอทำอะไรผิดก็จะช่วยตักเตือน
"โอเค รอหน้าคณะ เดี๋ยวพี่มารับ"
พี่ทาร์ตยกยิ้มมุมปากเล็กน้อยแล้วจอดรถที่หน้าคณะพอดิบพอดี ตอนนี้เป็นเวลาเก้าโมงครึ่งแล้ว ไม่สายว่ะ เกินคาด นึกว่ารถจะติดซะอีก ผมพยักหน้ารับคำก่อนจะเอื้อมมือไปหยิบกระเป๋าเป้ของตัวเองจากหลังรถ แต่ตอนกำลังจะหันตัวกลับมันรู้สึกถึงลมหายใจอุ่นๆ ที่ขยับเข้ามาใกล้... อีกแล้ว ระยะอันตรายแบบนี้
"พี่ทาร์ต... อย่าขยับมาใกล้สิครับ"
ผมบอกเขาทั้งๆ ที่ตัวเองไม่ได้ขยับไปไหน นี่โก่งก้นให้หน้ารถอยู่นะเว้ย เมื่อยก็เมื่อย แต่อย่าคิดว่าพี่ทาร์ตจะเห็นใจกันเลย เอาแต่หัวเราะเสียงต่ำๆ น่าขนลุก
"ให้พี่หอมแก้มก่อนสิ แล้วจะปล่อยให้ลงจากรถ"
น้ำเสียงทุ้มเจือไปด้วยความทะเล้นนั้นดังขึ้นข้างหูทำให้ผมหน้าร้อนอย่างควบคุมไม่ได้ อยู่ๆ ก็หน้าด้านขอหอมแก้มกันซะอย่างนั้น แล้วใช่ว่ารถตัวเองจะติดฟิล์มดำอะไรมากมาย ไม่อายคนอื่นบ้างหรือไง แค่สถานที่ก็ไม่เหมาะสมแล้ว แต่จริงๆ คือผมเขินว่ะ
"คืออะไรวะ มาขอหอมแก้มกันหน้าด้านๆ"
ผมบ่นอุบอิบก่อนจะเหลียวมามองหน้าคนที่ยังส่งยิ้มสดใสมาให้ น่าหมั่นไส้จนต้องใช้มือผลักไหล่เขาออกไปห่างๆ แต่พอกลับมานั่งก็โดนพี่ทาร์ตใช้แขนข้างหนึ่งมาคร่อมกันไว้ โอย ไอ้กู๊ดหรือไนน์ก็ได้มาช่วยเคาะกระจกรถขับไล่ความหื่นของไอ้บ้านี่ทีเถอะ
"เฮ้ย ไม่เล่นนะพี่ทาร์ต ผมจะไปเรียน"
ผมดันใบหน้าหล่อที่เริ่มขยับเขามาใกล้ให้ออกห่างแล้วพยายามหาทางหนีลงจากรถ แต่จะเป็นไปได้ยังไงในเมื่อประตูยังไม่ได้ปลดล็อก เกลียดจริงๆ เลยเว้ย คราวหน้าจะเป็นคนขับเอง หึ!
"หอมแก้มนิดเดียวเองครับ ไม่ได้เหรอ"
พี่ทาร์ตใช้เสียงนุ่มๆ กับแววตาอ้อนๆ มองกัน ผมเบนสายตาหลบเพราะไม่มีความสามารถพอที่จะทนทานมัน ไม่ได้เล่นตัว แต่นี่มันกลางมหา'ลัยนะเว้ย เกรงใจชาวบ้านเขาบ้างเถอะ คนเดินผ่านไปผ่านมาเยอะแยะ
"ไม่เอา นี่มันหน้าคณะนะเว้ย ถอยออกไปได้แล้วครับ ผมจะสายแล้วเนี่ย"
ผมแกล้งโวยวายแล้วดันตัวพี่ทาร์ตออกแล้วกอดกระเป๋าของตัวเองเอาไว้แน่น ยกขึ้นมาปิดบริเวณหน้าจนเหลือแค่ลูกตาโผล่สองข้าง ดูสิว่ายังจะหาวิธีหอมแก้มกันอีกหรือเปล่า
"พูดแบบนี้แสดงว่าเวลาอื่นทำได้งั้นสิ"
พี่ทาร์ตส่งสายตากรุ้มกริ่มมาให้ ผมว่าผมพลาดล่ะที่พูดไม่เคลียร์ แต่ช่างแม่งเถอะ เวลานี้ขอเอาตัวรอดก่อนแล้วกัน จะสายแล้วเนี่ย เมื่อครู่เห็นไอ้กู๊ดอยู่แว๊บๆ เดินขึ้นอาคารไปแล้วมั้ง
"โอย ครับๆ ปล่อยผมลงเถอะ"
ผมบอกปัดๆ ไปก่อนจะจ้องหน้าพี่ทาร์ตสลับกับแผงควบคุมที่อยู่ประตูฝั่งนู่น ปลดล็อกสิวะ!
"ได้ครับ ตอนเย็นจะมาทวงนะ"
พูดเสียงกลั้วหัวเราะแล้วเอื้อมมือกดปุ่มปลดล็อกประตูให้ แต่ไม่วายเอื้อมมือมาจับต้นแขนเพื่อเป็นการรั้งอีกครั้ง คือลากผมกลับบ้านเลยไหม ไม่ต้องเรียนมันแล้วถ้าจะลากันยาวขนาดนี้
"เจ้าเล่ห์จริงๆ เลยว่ะ"
ว่าอีกคนด้วยน้ำเสียงดุๆ แต่ดูเหมือนเขาจะยิ่งชอบใจเมื่อเห็นใบหน้าบึ้งตึงของผม แล้วไอ้มือที่จับแขนเนี่ย เปลี่ยนเป็นลูบเบาๆ ตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ จะมาปลุกอารมณ์อะไรกันตอนนี้ไม่ทราบ
"ไม่ชอบเหรอ"
"ใครจะชอบวะ ถ้าเป็นฝ่ายเสียเปรียบ"
ผมแยกเขี้ยวใส่ก่อนจะเปิดประตูรถแต่พี่ทาร์ตยังไม่ยอมปล่อย สรุปว่าต้องการอะไรครับพ่อคุณ สายแล้วจริงๆ เนี่ย เหลือบสายตาไปเห็นไอ้ไนน์โบกมือให้กันตรงลานคณะแล้วรู้สึกอยากวิ่งไปหามันใจจะขาด คือคนอื่นเริ่มมองมาทางนี้แล้ว เพราะจอดรถนานเกินไป
"โอเคๆ ตั้งใจเรียนครับ เจอกันตอนเย็น"
พูดจบเขาก็ปล่อยมือออกจากต้นแขนพร้อมกับส่งยิ้มให้ ผมพยักหน้ารับแล้วกระโดดลงจากรถไปยืนบนพื้นถนนแล้วยื่นหน้าเข้าไปในรถอีกรอบเพื่อบอกลา
"ครับ ขับรถดีๆ ล่ะ"
พูดจบก็พุ่งตัวเข้าไปหอมแก้มพี่ทาร์ตอย่างรวดเร็วก่อนจะรีบปิดประตูแล้วจ้ำอ้าวออกมาจากตรงนั้นแทบจะทันที ก็มันทนไม่ได้ที่เห็นรอยยิ้มหงอๆ ของเขานี่หว่า หอมแก้มแค่นั้นคงไม่เป็นอะไร อีกอย่างก็ไม่น่าจะมีใครเห็น... มั้ง
"ไนน์"
ผมเรียกชื่อของสาวสวยที่ยืนฉีกยิ้มอยู่ตรงหน้าบันได ข้างกายมันปราศจากแฟนหนุ่มลูกครึ่งเกาหลี แปลกๆ ว่ะ ปกติเห็นตัวติดกันจนปาท่องโก๋ยังอาย แล้วทำไมวันนี้แยกกันได้
"หวัดดีคุณเพื่อน ใครมาส่งแก นอกใจพี่ทาร์ตเหรอ"
ไนน์ถามด้วยน้ำเสียงฉุนๆ แล้วยกมือเรียวๆ ขึ้นมาฟาดลงบนต้นแขน ผมได้แต่มุ่ยหน้าใส่มัน เจ็บนะเว้ย แล้วคิดเองเออเองอะไรเนี่ย ใครนอกใจ ไม่มีซะหน่อย พวกมึงยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่ากูคบกับเขาแล้ว
"นอกใจบ้าอะไรวะ เปล่าซะหน่อย พี่ทาร์ตซื้อรถใหม่เฉยๆ"
ผมบอกไปตามความจริงแล้วมองไปทางอื่น อยู่ๆ ก็โดนเพื่อนแซวซะอย่างนั้น
"แหมๆ พูดแบบนี้ไปถึงขั้นไหนกันแล้วจ๊ะ"
มันยังคงแซวอย่างต่อเนื่องให้ผมได้หน้าร้อนเล่นๆ แม่ง... ทำไมต่องเขินด้วยวะ เรื่องแค่นี้เอง ภูมิต้านทานจะต่ำเกินไปแล้วไหมกูเนี่ย เรื่องพี่ทาร์ตมีอิทธิพลสำหรับผมมากเกินไปแล้ว
"ไม่บอก ว่าแต่แกเถอะ ทำไมมาเรียนคนเดียว แฟนไปไหน"
ผมมองหาแฟนไอ้ไนน์ไปทั่วบริเวณลานหน้าคณะแต่กลับไม่พบ ได้ยินเสียงมันยืนถอนหายใจอยู่ข้างๆ เลยหันไปมอง สีหน้าดูไม่ดีเลยว่ะ
"ไม่สบายอะ เดี๋ยวตอนเที่ยงจะแวะไปเยี่ยมหน่อย"
ไอ้ไนน์ทำหน้าเพลียๆ ก่อนจะคลี่ยิ้มออกมาบางๆ เดาได้ว่าคงนอนอยู่โรงพยาบาลแน่ๆ มันคงไม่ลงทุนไปๆ มาๆ ระหว่างมหา'ลัยกับบ้านหรอก ไกลจะตาย
"อ๋อ โอเค แล้วไอ้กู๊ดล่ะ มาหรือยัง"
ผมถามหาไอ้กู๊ดเพราะตอนจะลงจากรถเห็นมันรีบๆ เดินไปทางไหนสักทาง ไอ้ไนน์ที่เป็นคนโดนถามชี้นิ้วขึ้นไปด้านก่อนจะย่นจมูกใส่กัน อะไรของมันเนี่ย ทำอย่างกับหมั่นไส้ใครอยู่
"วิ่งขึ้นห้องเรียนไปแล้ว มันวีดีโอคอลกับแทจุนอะ แกว่าสองคนนี้แปลกๆ ปะ ออร่าสีม่วงฟุ้งๆ ยังไงก็ไม่รู้"
ไอ้ไนน์ตอบด้วยน้ำเสียงแสดงความอยากรู้ ดูๆ ไปคล้ายๆ กำลังมโนอะไรสักอย่างแน่ๆ สาววายนี่จะจับคู่ผู้ชายหมดโลกเลยหรือยังไง แต่ผมให้คะแนนเต็มสิบนะ เพราะครั้งนี้มันทายถูก สองคนนั้นมีซัมติงกันจริงๆ แต่มากหรือน้อยอันนี้ก็ไม่รู้เหมือนกัน
"คิดมากน่า ขึ้นไปเรียนเหอะ เดี๋ยวจะโดนอาจารย์ด่า"
ผมบอกปัดๆ เพราะไม่อยากให้ไอ้ไนน์ไปแซวอะไรไอ้กู๊ดเยอะ เพราะกลัวว่าอะไรๆ จะเปลี่ยนไป ปล่อยให้ความสัมพันธ์ของมันกับแทจุนเติบโตเรื่อยๆ ดีกว่า ใครอย่าไปเร่งหรือรั้งอะไรเลย คนอยู่ไกลกันอะไรก็ไม่แน่นอน
ผมเดินเข้าห้องเรียนแล้วเห็นไอ้กู๊ดยังนั่งวีดีโอคอลอย่างสบายใจ ไม่ได้ทุกข์ร้อนอะไรกับสิ่งมีชีวิตอื่นๆ ที่เพิ่มจำนวนขึ้น แถมยังหันมายิ้มให้กันอีก ดูชิลล์ๆ ไม่ตึงเครียด บางทีผมอาจจะคิดมากไปเอง ปล่อยให้ไอ้ไนน์แซวคงสนุกกว่านี้มั้ง
"ทำไรมึง"
ผมทิ้งตัวลงนั่งข้างๆ ก่อนจะยื่นหน้าเข้าไปในระยะกล้อง เห็นแทจุนกำลังโบกไม้โบกมือทักทายกันด้วยรอยยิ้มสดใส แต่อย่าหวังว่าจะได้ยินเสียง ก็ไอ้กู๊ดมันใส่หูฟัง...
"ถึงขั้นไหนแล้วพวกมึงสองคน"
ผมดึงหูฟังออกข้างหนึ่งแล้วกระซิบถามมันในขณะที่ไนน์ก็ต่อสายหาคุณแฟน ไอ้กู๊ดไหวไหล่เป็นเชิงบอกว่าก็ไม่มีอะไร คุยกันเฉยๆ แต่เชื่อไหมว่าหน้าหล่อๆ นั่นดูมีความสุขมากกว่าแต่ก่อนเยอะ
"ก็เหมือนเดิม มึงจะคุยปะ กูเริ่มขี้เกียจแล้ว"
มันทำท่าจะถอดหูฟังอีกข้างมาให้กัน แต่ผมเลือกส่ายหน้าแทนคำตอบ แทจุนมันอยากคุยกับไอ้กู๊ดมากกว่าเถอะ ไม่อย่างนั้นจะวีดีโอคอลมาหาทำไม
"ไม่คุยอะ ถ้ามึงขี้เกียจก็วางสายดิ"
"เออๆ"
ไอ้กู๊ดตอบผมแล้วหันไปคุยอะไรกับคนในโทรศัพท์อยู่สองสามนาทีก่อนจะวาง ปากบอกขี้เกียจแต่พอแทจุนอ้อนเข้าหน่อยก็ยอมคุยต่อ น่าหมั่นไส้ คนเดี๋ยวนี้ปากไม่ตรงกับใจโคตรเยอะว่ะ
ปีการศึกษาใหม่การเรียนก็เพิ่มระดับความยากยิ่งขึ้น ไวยากรณ์ภาษาเกาหลีที่ได้เรียนไปนั้นแทบจะกระอักเลือดเพราะมันเยอะจนจำสลับกันไปหมด ค่อยกลับไปทบทวนที่บ้านก็แล้วกัน ผมยกมือทั้งสองข้างขึ้นสูงก่อนจะเอนตัวไปทางซ้ายทีขวาทีเพื่อไล่ความเมื่อยขบออกจากร่างกาย ไอ้กู๊ดนั่งหาวปากกว้างจนแมลงวันเกือบบินเข้าปาก
"เราไปเยี่ยมแฟนก่อนนะ ตอนบ่ายพวกแกจองที่นั่งเพื่อด้วย"
ไนน์หันมาบอกกันด้วยน้ำเสียงเร่งรีบ ส่วนผมก็ชะงักการกระทำตัวเองแล้วพยักหน้ารับ ส่วนไอ้กู๊ดโบกมือไล่โดยไม่เปล่งเสียง สภาพมันเหมือนจะหลับได้ทุกเมื่อ
"ไปแดกข้าวกัน กูง่วง"
ไอ้กู๊ดเอ่ยเสียงงัวเงียก่อนจะลุกขึ้นเต็มความสูงแล้วเอื้อมมือมาดึงคอเสื้อกัน ผมรีบตามมันไปแล้วมองด้วยสายตาเบื่อหน่าย อะไรคือชวนไปกินข้าวแต่บอกง่วง เกี่ยวกันตรงไหนวะ งงฉิบหาย
"จะแดกหรือจะนอนเอาสักอย่าง"
ผมสะบัดมือไอ้กู๊ดออกจากคอเสื้อเพราะมันเริ่มรั้งจนหายใจไม่ออก ไอ้กู๊ดหันมามองด้วยใบหน้าง่วงๆ แล้วหาวเป็นคำตอบ สรุปคือยังไงวะ แดกหรือนอน
"ปูน!"
เสียงใครคนหนึ่งตะโกนมาจากที่ไกลๆ ทำให้ผมหันไปมอง แต่เมื่อสายตาพบกับเขากลับต้องชะงัก ทำไมถึงจำเสียงไอ้กายไม่ได้วะ รู้แบบนี้จะทำเป็นไม่ได้ยินไม่เห็นก็สิ้นเรื่อง เวรเอ้ย
"กู๊ด มึงตื่นได้แล้ว"
ผมจับแขนเพื่อนเขย่าก่อนจะออกแรงกระชากมันให้เดินหนีไอ้กายที่จ้ำอ้าวมาทางนี้ ไม่อยากคุย เพราะไม่มีอะไรดีขึ้นสักครั้ง พยายามแล้วพยายามอีก ผลลัพธ์ก็เหมือนเดิม ไม่ผิดใช่ไหมที่จะตีตัวออกห่าง ใครบอกว่าใจร้ายก็เชิญ
"เชี่ยปูน เบาๆ ควายหายเหรอมึง"
ไอ้กู๊ดบ่นกระปอดกระแปดแล้วมุ่ยหน้าใส่กัน ดีหน่อยที่มันไม่ได้รั้งตัวเอาไว้เลยทำให้พวกเรายังคงความเร็วในการเดินอยู่ แต่มันจะไปทันคนที่วิ่งตามมาได้ยังไงล่ะ แม่ง
"ปูน อย่าหนีดิวะ"
คนที่วิ่งตามหลังมาเอื้อมมือจับไหล่ผมเอาไว้ ด้วยความที่ไม่ทันตั้งตัวเลยเซถลาไปด้านหลัง เกือบจะปะทะกับอกแกร่ง แต่ไอ้กู๊ดกระชากแขนไว้ได้ทัน แม่ง ระบมไปทั้งตัวแล้วกู
"อะไรของมึงไอ้กาย ตามไอ้ปูนมาทำไม"
ไอ้กู๊ดจับข้อมือผมเอาไว้แล้วเดินมายืนขวางตรงกลาง ดูท่าทางมันจะตื่นเต็มตาพร้อมรบกับไอ้กายเต็มที่
"กูจะคุยกับไอ้ปูน มึงหลีกดิ"
ไอ้กายพูดด้วยน้ำเสียงตึงๆ ดวงตาคมจับจ้องอยู่ที่ใบหน้าของผม แต่ไอ้กู๊ดไม่ได้หลีกทางให้ เพราะมันรู้ว่าถึงจะคุยไปเหตุการณ์ก็จบแบบเดิม คือไม่เคลียร์ ไม่รับฟัง ดึงดันจะจีบต่อ
"กูไม่ให้คุย มึงมันขี้ตื้อ พูดเท่าไหร่ก็ไม่ฟัง ต้องการอะไรวะกาย"
ไอ้กู๊ดเริ่มเสียงดังจนคนแถวนั้นหันมามอง ผมได้แต่จับไหล่เพื่อนเพื่อให้มันสงบสติอารมณ์ลงบ้าง ยังไม่อยากดังไปทั่วมหา'ลัยเพราะเรื่องแบบนี้ อายฉิบหาย
"มึงอยากโดนต่อยใช่ไหม กูบอกให้หลีกไปไง!"
ไอ้กายตวาดเสียงดังลั่นจนทำให้คนทั่วบริเวณแตกหือออกไป ไม่มีใครกล้ายื่นมือเข้ามาช่วยเพราะท่าทางและสายตาดุๆ ของมัน ไอ้กู๊ดหน้าแดงคล้ายกับคนโมโห ทำท่าจะเข้าไปกระชากคอเสื้ออีกฝ่ายแต่ผมรั้งมันไว้ด้วยแขนทั้งสองข้าง รวบกอดจากด้านหลังคงช่วยอะไรได้เยอะ
"กู๊ด มึงใจเย็น อย่ามีเรื่อง เดี๋ยวกูเคลียร์เอง"
ผมบอกมันให้สงบสติอารมณ์ด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน ไอ้กู๊ดหันมามองกันด้วยใบหน้าบ่งบอกว่ากูจะไม่ยอมให้มึงคุยกับไอ้กายสองต่อสองแน่
"แต่มึงเคลียร์กับมันมาหลายรอบแล้วนะเว้ย"
ไอ้กู๊ดสะบัดมือผมออกจากไหล่แล้วหันมองหน้าไอ้กายอย่างเอาเรื่อง รู้ว่ามันห่วงแต่เรื่องนี้ใครก็เคลียร์ไม่ได้ และครั้งนี้มันจะเป็นครั้งสุดท้ายจริงๆ
"เออน่า รอบนี้ถ้ามันยังไม่ฟังกูต่อยแม่ง"
ผมบอกด้วยน้ำเสียงจริงจังแล้วเอื้อมมือไปตบบ่ามันเป็นการยืนยันว่าตัวเองจะสามารถจัดการเรื่องนี้ได้แน่ๆ ไอ้กู๊ดถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ก่อนจะพยักหน้ายินยอม
"อืมๆ ถ้ามีอะไรเรียกกูนะ รอตรงนี้"
ไอ้กู๊ดบอกด้วยน้ำเสียงเป็นห่วงก่อนจะเหลือบมองไอ้กายด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความไว้ใจ ผมแตะไหล่มันแล้วคลี่ยิ้มให้
"ตามมาดิ"
ผมหันไปพูดกับกายแล้วเดินนำมันไปที่หลังตึกคณะ เพราะที่นั่นเงียบสงบไม่มีคนพลุกพล่านเหมาะสำหรับการคุย
"รีบพูดมา กูหิวข้าว"
ผมบอกออกไปแบบนั้นเมื่อถึงที่หมาย เพราะไม่อยากให้มันตึงเครียดจนเกินไป เรายืนอยู่ห่างกันประมาณสามก้าว กายผ่อนลมหายใจออกมาเบาๆ ก่อนจะมองกันด้วยแววตาเปี่ยมความหวัง ทำไมถึงยังหวังอยู่ผมก็ไม่เข้าใจ
"ปูน... กูขอโอกาส"
คำขอร้องหลุดออกจากปากของกายด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ ผมไม่รู้ว่าทำไมเขาถึงต้องพยายามขนาดนี้ อยากให้เรื่องคู่จิ้นเป็นจริงเพราะมันช่วยให้เขาดังหรือชอบกันจริงๆ
"ไม่ว่ะกาย อย่ามาขอร้องกันแบบนี้ คนอื่นที่เขาสนใจมึงมีเยอะแยะ อย่าเสียเวลากับคนอย่างกูเลย"
ผมพูดด้วยน้ำเสียงและแววตาจริงจัง ไม่รู้ต้องพูดอะไรทำนองนี้มากี่รอบแล้ว แต่ก็อยากจะบอกอยากจะย้ำว่ามันคงเหมือนเดิมและไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงได้อีก หัวใจคนเราบังคับกันไม่ได้ กายก็น่าจะรู้ดี ไม่ชอบก็คือไม่ชอบ ไม่รักก็คือไม่รัก ไม่มีอะไรซับซ้อนเลยแม้แต่นิดเดียว
"แต่คนที่กูสนใจมีมึงคนเดียว"
กายขยับเข้ามาใกล้ ดวงตาคมสั่นไหวราวกับจะร้องไห้ มือที่เอื้อมมาสัมผัสหัวไหล่กันนั้นช่างให้ความรู้สึกไร้เรี่ยวแรง ไม่เคยคิดว่าเพลย์บอยสักคนจะเป็นแบบนี้ได้เลย ชีวิตพวกเขาสามารถเลือกใครที่ดีกว่าผมได้อีกเยอะ ไม่ว่าจะผู้หญิงหรือผู้ชาย
"ขอบคุณที่มึงชอบกู แต่กูเป็นแฟนกับพี่ทาร์ตแล้ว"
ผมเลือกตอบแบบนั้นออกไปเพื่อหมายจะให้กายสำนึกว่าไม่ควรยุ่งกับคนที่มีเจ้าของ แต่เสียงหัวเราะต่ำที่หลุดออกมาจากริมฝีปากของเขาทำให้รู้ว่ามันไม่มีอะไรแบบนั้นหรอก คนๆ นี้ไม่ได้แคร์คำว่าสถานะอะไรเลย เป็นประเภทที่อยากได้ก็ต้องได้ล่ะมั้ง
"เหอะ... แค่เป็นแฟน เดี๋ยวก็เลิกกันได้"
คำพูดของกายทำให้ผมรู้สึกโมโห มันใช่อย่างที่เขาว่ามา สักวันเราอาจจะต้องเลิกกัน แต่มันเป็นเรื่องของอนาคตที่ไม่สามารถให้ใครมาตัดสินได้ ผมถือว่าคนๆ นี้ปากหมา
"นั่นมันก็เรื่องของพวกกูหรือเปล่า จะเป็นยังไงมึงก็ไม่มีสิทธิ์มาตัดสินอะไร"
ผมพยายามปรับน้ำเสียงให้เป็นปกติที่สุดทั้งๆ ที่ความรู้สึกข้างในอยากจะพุ่งไปต่อยหน้ามันให้ยับๆ แต่ไม่อยากมีเรื่อง เพราะเห็นว่าอีกฝ่ายเป็นเพื่อน ถึงแม้จะไม่สนิทก็เถอะ
"แน่ใจเหรอว่ามันรักมึง"
คำถามของมันทำให้ผมต้องกำหมัดไว้แน่น พยายามสูดลมหายใจเข้าลึกๆ แล้วกลับตาลงเพื่อนะงับอารมณ์โกรธที่มีมากขึ้น อยากจะสั่นคลอนความรู้สึกกันหรือยังไง ไม่มีทางหรอก ผมเชื่อใจพี่ทาร์ตมากพอ กว่าเราจะเป็นแฟนกันได้ผ่านอะไรมาเยอะแยะ เท่านั้นก็พอจะพิสูจน์ได้แล้วว่าอะไรเป็นอะไร
"กูแน่ใจ เพราะเขาพิสูจน์ตัวเองให้เห็น"
"เหอะ... ถ้าไม่มีมัน คนๆ นั้นที่ยืนข้างมึงเป็นกูได้ไหมล่ะ"
กายจับไหล่ทั้งสองข้างของผมไว้แน่นแล้วออกแรงบีบเพื่อคาดคั้นจะเอาคำตอบ ถามว่าสงสารไหม ตอบได้เลยว่าไม่ เพราะผมไม่ได้บังคับให้เขามารัก ไม่เคยให้ความหวังใดๆ ทั้งนั้น
"ไม่... เพราะกูไม่ได้ชอบผู้ชายทุกคนบนโลกนี้ เข้าใจไหม"
ผมตอบด้วยน้ำเสียงหนักแน่นแล้วจ้องมองเข้าไปในดวงตาคมเพื่อย้ำว่าสิ่งที่พูดออกไปมันคือความจริง และมันไม่มีวันที่จะเปลี่ยนแปลงไปไหน แต่กายเหมือนไม่อยากรับรู้อะไรทั้งนั้น เพราะเขาหลับตาลงก่อนจะตะโกนใส่หน้า
"กูไม่เข้าใจ!"
หลังจากที่เสียงตะโกนจบลงกายก็ขยับเข้ามาใกล้จนผมไม่ทันตั้งตัว ทุกอย่างมันเร็วไปหมด ไม่สามารถขัดขืนอะไรได้เลย แม่ง!
"อื้อ!"
มันจูบลงมาบนริมฝีปากแบบบดขยี้ไม่แคร์ว่าความรู้สึกในตอนนี้จะแย่แค่ไหน ผมดิ้นขืนแรงสุดชีวิตแล้วต่อยเข้าที่ใบหน้าของไอ้กายเต็มแรง จะไม่ยอมอีกแล้ว วันนี้มันต้องจบสักที ยืดเยื้อเกินไป
"ไอ้เหี้ยกาย!"
ผมตะโกนด่ามันที่ล้มลงไปนั่งอยู่บนพื้น มุมปากซ้ายแตกจนมีเลือดซึมออกมา มือเรียวยกขึ้นหมายจะเช็ดสัมผัสของไอ้กายทิ้ง มันเสียความรู้สึก มันแย่ มันหดหู่ ทุกสิ่งทุกอย่างระหว่างเราพังทลายลงแล้ว ใครจะหาว่าใจร้ายก็เชิญ เพราะผมไม่สามารถทำใจได้กับเรื่องนี้
"ปูน... กะ กูขอโทษ"
กายละล่ำละลักพูดคำขอโทษทั้งๆ ที่มุมปากของเขายังมีเลือดซึมออกมา ผมมองหน้ามันด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความว่างเปล่า สำหรับเรื่องนี้มันควรจบลงซะที ตอนนี้และเวลานี้
"พอกันที มึงไม่ต้องมายุ่งกับกูอีก จบ เลิก!"
ผมตะโกนออกไปแล้วเดินหนีออกมาจากตรงนั้น คราวนี้ทุกอย่างจบแล้วจริงๆ เพราะก่อนจากมาผมเห็นกายนั่งร้องไห้ไร้เสียงสะอื้น
กู๊ดยืนรออยู่ที่เดิมจริงๆ มันหันมาเจอผมแล้วรีบสาวเท้าเข้ามาหากันอย่างรวดเร็ว ดูท่าทางคงเป็นห่วงอยู่ไม่น้อย ดีแล้วที่เพื่อนสนิทไม่ต้องมารับรู้ว่าก่อนหน้านี้เกิดอะไรขึ้นบ้าง มันน่าอายและอาจจะทำให้กายโดนกระทืบ
"มึงเป็นไงบ้าง เคลียร์ได้ไหม"
ไอ้กู๊ดถามด้วยน้ำเสียงร้อนรน มันมองจ้องกันอย่างไม่วางตา ผมเห็นท่าทางแบบนั้นแล้วอดที่จะคลี่ยิ้มออกมาไม่ได้ นี่ล่ะนะเพื่อนสนิทที่รักกันจริงๆ
"อือ จบแล้ว ไปกินข้าวกันเถอะ"
ผมบอกก่อนจะพาดแขนยาวๆ ไว้บนไหล่ของมันแล้วออกแรงดันให้เดินไปพร้อมๆ กัน ไม่อยากกลายเป็นเป้านิ่งนานๆ ไอ้กู๊ดอาจจะสังเกตเห็นสิ่งผิดปกติ หน้าตาที่ไม่สดใส ปากที่โดนบดขยี้ หึ น่าสมเพช อยากร้องไห้ว่ะ ทั้งๆ ที่ตัวเองไม่ได้ผิดเลยด้วยซ้ำ ทำไม...
"เหรอวะ แต่สีหน้ามึงไม่ดีเลย"
มันถามด้วยน้ำเสียงเป็นห่วง ซึ่งผมได้แต่แสร้งฉีกยิ้มกว้างเหมือนไม่มีอะไร เพราะไม่อยากคิดอะไรอีกแล้ว ความรู้สึกแย่ๆ มันจุกอยู่ที่อก ทำไมรู้สึกผิดกับพี่ทาร์ต...
"เออน่า กูสบายดี"
"โอเคๆ จะเชื่อมึง"
ตลอดคาบบ่ายผมไม่ได้คุยอะไรกับใครเลยแม่แต่คำเดียว ทำเป็นตั้งใจเรียนทั้งๆ ที่ฟังหูซ้ายทะลุหูขวา หัวสมองว่างเปล่าไม่สามารถซึมซับความรู้อะไรได้เลยสักอย่าง จนถึงเวลาสี่โมงก็เก็บทุกอย่างลงกระเป๋าอย่างกับคนไร้วิญญาณ แต่ไม่มีใครกล้าถามอะไรมาก เพราะไอ้กู๊ดและไอ้ไนน์รู้ดีว่าควรปฏิบัติตัวแบบไหน
"ถ้าไม่ไหวมึงลาก็ได้นะพรุ่งนี้"
ไอ้กู๊ดบอกขณะที่มันเดินมาส่งผมหน้าคณะ ส่วนไอ้ไนน์แยกไปอีกทางแล้วเพราะรีบไปหาแฟนที่โรงพยาบาลอีกรอบ ผมส่ายหน้าให้กับเพื่อนสนิท เรื่องแค่นี้ไม่จำเป็นต้องทิ้งการเรียนหรอก แต่สิ่งที่กำลังจะเจอควรจัดการยังไงดี
"ไหวดิวะ มึงจะกลับบ้านเลยปะ"
ผมคลี่ยิ้มปิดท้ายประโยคไปเพื่อให้มันสบายใจ ไอ้กู๊ดมองกันนิ่งๆ ครูหนึ่งก่อนจะยอมตอบอะไรออกมา
"เออ เดี๋ยวจะกลับแล้ว รอพี่ทาร์ตมารับมึงนี่ล่ะ"
"ไม่ต้องรอ พี่ทาร์ตมาแล้ว นู่นไง"
ผมชี้นิ้วไปในทิศทางที่พี่ทาร์ตกำลังขับรถตรงมา ตอนเย็นขับบีเอ็มฯ ด้วยว่ะ สงสัยกลัวรถจะตายแน่ๆ เลย
"โอเค พรุ่งนี้เจอกันนะมึง"
ไอ้กู๊ดบอกลาก่อนจะเอื้อมมือมาตบบ่ากันแล้วเดินแยกไปทางลานจอดรถของคณะ ผมสูดลมหายใจเข้าลึกๆ เพื่อเตรียมตัวเผชิญหน้ากับพี่ทาร์ต กลัวเขาจะเสียใจที่ผมปล่อยให้คนอื่นมาขโมยจูบไปได้ ทั้งที่รู้ตัวว่าไม่ได้ตั้งใจแต่รู้สึกผิดอยู่ดี
"สวัสดีครับพี่ทาร์ต"
ผมทักทายอีกคนด้วยน้ำเสียงราบเรียบขณะสอดตัวเข้าไปนั่งในรถ พี่ทาร์ตคลี่ยิ้มแล้วพยักหน้าเป็นการตอบรับก่อนจะออกรถไปอย่างช้าๆ
ต่อด้านล่างเนอะ