ศึกษาดูใจศาสตร์
คุณเคยชอบใครมั้ย
ชอบแบบจริงจัง ชอบแบบที่ไม่เคยชอบใครมาก่อน หัวใจเต้นแรง เพ้ออยู่ตลอดเวลา แค่คิด ภาพของใครคนนั้นก็พุ่งเข้ามาในหัวแล้ว ถ้าคุณเคยรู้สึกแบบนี้ ผมอยากจะบอกว่า...ผมเองก็ไม่ต่างกัน
ผมอาจจะเป็นนิสิตศึกษาศาสตร์ที่สอนชีววิทยาแต่ไม่เข้าใจว่ารักกับชอบต่างกันยังไง แค่พออนุมานได้ว่าความรักอาจมีความผูกพันเข้ามาเกี่ยวข้อง ซึ่งต่างจากผมกับคนคนนั้นโดยสิ้นเชิงเพราะเราไม่เคยผูกพันกัน แม้เกี่ยวข้องกันบ้าง แต่ในความสัมพันธ์นั้นก็ยังไม่มีชื่อเรียก ดังนั้นผมจึงพูดได้แค่เพียง...ชอบ
ชอบรุ่นน้องตัวสูงมานานหลายปีแล้ว
“ไอ้โฟร์! โฟร์ บูมบัณฑิต” เสียงปอนด์กับเอ็ม เพื่อนสนิทของผมร้องเรียก
ผมหันไปทางต้นเสียง ส่งยิ้มให้พวกมันก่อนจะวิ่งเหยาะๆ เข้าไปหา แย่หน่อยที่ชุดครุยค่อนข้างยาว เลยทำให้การเดินหรือขยับตัวลำบากขึ้น
“น้องขอบูม ไหนๆ ก็จบแล้วมากอดคอกันเถอะ” เอ็มพูด ดวงตาคู่นั้นฉ่ำปรือเหมือนเตรียมจะร้องไห้เต็มแก่ มิตรภาพตลอดห้าปีมันยาวนานจนเหมือนเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต เพราะต่อให้เวลาผ่านไปนานแค่ไหนผมก็ยังจดจำเพื่อนทุกคนได้อยู่ดี
ผมยืนอยู่ตรงกลาง เอื้อมมือไปกอดคอเพื่อนทั้งสองคนเอาไว้ รอบตัวเราถูกล้อมรอบด้วยรุ่นน้องปีหนึ่งในชุดนิสิตถูกระเบียบ แถมกำลังก้มหน้าก้มตาเตรียมพร้อมสำหรับการบูมบัณฑิตสุดกำลัง
“e e d u c…c c a t i…i i i o n education ha!”
หลังจากยืนปลื้มปริ่มให้รุ่นน้องบูมและร้องเพลงคณะเสร็จ ผม ปอนด์ และเอ็มก็เดินออกมานั่งพักอยู่ตรงลานกิจกรรมของคณะ บนโต๊ะเต็มไปด้วยดอกไม้และของขวัญแสดงความยินดีมากมาย ทั้งจากครอบครัวและสายรหัส เพื่อนในเอกคนอื่นๆ เริ่มเก็บภาพความประทับใจ จะมีก็แต่เราสามคนที่เหนื่อยเกินกว่าจะลุกไปถ่ายภาพเหมือนช่วงเช้าแล้ว
เข็มนาฬิกาบนหน้าปัดตรงข้อมือบอกเวลาย่างเข้าบ่ายโมงซึ่งยังคงมีแดดร้อนแรง โชคดีที่คณะศึกษาศาสตร์รับปริญญาในช่วงเช้า ตอนบ่ายพวกเราเลยมีเวลามานั่งรำลึกความทรงจำเรื่อยเปื่อยกันไป
“ปีนี้ก็จบแล้วเนาะ” ปอนด์พูดขึ้นด้วยรอยยิ้ม แต่กลับเจือไปด้วยความเศร้าอย่างน่าประหลาด
“นั่นดิ จะได้เจอกันอีกมั้ยวะ”
“ต้องได้เจอดิ” ผมแทรกบ้าง
จริงอยู่ที่อาจไม่ได้เจอกันทุกวันเหมือนตอนเรียน แต่เกือบหนึ่งปีที่เราต่างแยกย้ายไปทำงานแล้วกลับมาเจอกันในวันนี้ มันก็ไม่ได้เลวร้ายเท่าไหร่ ผมเริ่มต้นชีวิตกับคนใหม่ๆ แต่ก็ไม่หลงลืมคนเก่าที่เคยอยู่ด้วยกัน
“เห็นมึงพูดแบบนี้ตลอด”
“แต่ก็ได้เจอกันตลอดไม่ใช่หรือไง”
“โฟร์”
“หืม...”
“มึงกับพวกกูเจอกันตลอดก็จริง แต่หลังจากนี้มึงอาจจะไม่ได้เจอเขาอีกแล้วนะ” ประโยคที่เอ็มพูดทำให้ผมหุบยิ้มในทันที ใจหาย...คงเป็นความรู้สึกเดียวที่สัมผัสได้
“ไม่รู้ดิ ถ้าไม่เจอก็คงเสียใจนิดหน่อย”
“ไปหาน้องมันมั้ย”
“ไม่เอาอ่ะ”
“อาจไม่ได้เจอกันแล้วนะเว้ย มึงยังจะป๊อดอีกเหรอ”
“ไม่มีประโยชน์หรอก ไม่ได้สนิทกันขนาดนั้น”
“อย่างน้อยก็ส่งท้าย ก่อนที่ทุกอย่างมันจะเดินไปข้างหน้าจนมึงตามไม่ทัน เดี๋ยวกูไปส่งที่คณะ พวกสหเวชฯ รับช่วงบ่าย ถ้าออกมามึงก็วิ่งเข้าชาร์จเลย”
ผมได้แต่หัวเราะแห้งๆ ความจริง...ผมกับใครคนนั้นอายุห่างกันหนึ่งปี แต่เพราะศึกษาศาสตร์เรียนห้าปี และสหเวชศาสตร์เรียนสี่ปี เราเลยได้รับปริญญาพร้อมกัน
“ไปเถอะ”
“เอาไดอารี่ที่มึงเขียนไปให้ด้วยดิ กูรู้ว่ามึงเอามา”
“น้องมันไม่อ่านหรอก”
“ไม่อ่าน แต่อย่างน้อยก็ถือว่าเขาได้รับไปแล้ว”
“อืม...ขอทำใจแป๊บ”
เขาเป็นเหมือนน้องชายที่แสนดี เป็นความทรงจำเกือบครึ่งหนึ่งในมหา’ลัย และที่สำคัญ...เขาเป็นรักแรกของผม รักที่เหมือนเป็นไปไม่ได้ และสุดท้ายทุกอย่างก็จะเคลื่อนผ่านไปโดยที่เรายังคงรักษาความสัมพันธ์แบบพี่น้องเอาไว้ จนกว่าเราจะลืมกัน
สี่ปีก่อน…
“เทอมนี้กูฟาดเอเคมีชัวร์”
“ตื่นครับไอ้ฟาย แค่ดุลสมการกากๆ มึงยังผิด คิดเหรอว่าจะได้”
“แน่นอน”
“อย่าลืมดิ ตัดเกรดกับเภสัชฯ แล้วก็พวกสหเวชฯ นะครับ”
“แล้วไง เภสัชฯ ก็ใช่ว่าจะเก่งเคมี อีกอย่างกูเข้าไปเช็กรายชื่อใน REG เรียบร้อย พวกที่เรียนกับเราก็แค่ปีหนึ่ง คิดเหรอว่ามันจะสู้ปีสองแข็งแกร่งอย่างเราได้”
เสียงที่เถียงกันไปมานั้นเป็นของปอนด์และเอ็มเพื่อนสนิท ส่วนผมชื่อโฟร์ เรียนอยู่คณะศึกษาศาสตร์เอกชีววิทยาปีสอง แรกเริ่มเดิมทีผมไม่ได้อยากเป็นครูหรอก แต่พอได้มาอยู่ก็คิดว่าทุกอย่างไม่ได้แย่อย่างที่เข้าใจ เพื่อนในเอกผมมีสี่สิบคน ทุกคนรักและสนิทกันในระดับหนึ่ง แต่พอนานวันเข้าโลกก็มักจะเหวี่ยงคนเหมือนๆ กันให้มาอยู่ด้วยกันเสมอ ศึกษาศาสตร์ เอกชีวะฯ ปีสองเลยแตกกลุ่มแตกกออยู่กันเป็นก๊วนแก๊งแทน
บางกลุ่มใหญ่มากมีสมาชิกนับสิบคน ทรงอิทธิพลที่สุดในเอก แต่บางกลุ่มก็น้อยจนเป็นเหมือนพลเมืองชั้นสองอย่าง...ผม ปอนด์ และเอ็ม
ถึงจะแค่สามคนก็มีความสุขดี เพราะเราไม่ได้มีศัตรูที่ไหน รู้ความลับของกันและกันแทบทุกเรื่อง อย่างไอ้ปอนด์เนี่ยเคยอกหักครั้งแรกตอน ม.3 จากนั้นก็แอบชอบรุ่นพี่ที่แก่กว่าถึงสิบปีจนอีกฝ่ายหนีไปแต่งงาน ส่วนไอ้เอ็มเรียนไม่ค่อยเก่ง ชอบหนีเที่ยว ชอบเดินทาง ถึงขนาดขโมยเงินในกระปุกน้องสาวตัวเองเพื่อซื้อตั๋วเครื่องบินไปต่างประเทศ บางทีผมก็ตลกเพราะไอ้พวกนี้ชอบคิดหรือทำอะไรแผลงๆ ตลอดเวลา จนผมคิดว่าอีกหน่อยคงจะบ๊องตามพวกมันไป
“มึง กูอยากกินนักเก็ต” จู่ๆ เอ็มก็พูดขึ้น ขณะกำลังเดินผ่านโรงอาหารทางผ่านขึ้นตึกเรียน แต่กลับถูกจูงจมูกให้ไขว้เขวด้วยกลิ่นตลบอบอวลของอาหารแทน
“เออ รีบเลย”
“เร่งทำไม นี่เพิ่งคาบแรก อาจารย์ไม่เช็กชื่อหรอก”
“เหรอออออออ” ไปเอาความมั่นใจแบบนี้มาจากไหน แน่นอนคาบแรกส่วนใหญ่อาจารย์มักไม่สอน แต่ไม่ได้หมายความว่าเขาจะไม่เช็กชื่อนะโว้ย
“ปล่อยให้พวกเก่งๆ มันออกหน้าไปก่อน เราท้ายแถวไม่มีใครมาสนใจหรอก” ปอนด์สนับสนุน
สุดท้ายก็ลงเอยที่เราซื้อขนมมานั่งกินเล่นนับสิบนาที บวกเวลาเล่นมือถืออีกห้านาที สรุปตอนนี้เราก็สายเกินกว่าจะให้อภัยแล้ว
“มึง...” ผมแทรกขึ้นบ้าง
“อะไร”
“กูว่าเราโดดไปเลยดีกว่ามั้ย ไม่ต้องเข้าหรอก เลตขนาดนี้” ตามจริงคือไม่อยากอาย สู้ไม่โผล่ไปก็อาจขายหน้าไม่มากเท่าโผล่ไปกลางคลาสแบบนี้
แกร๊ก!
“ช้าไปแล้วล่ะ” เสียงลูกบิดประตูถูกหมุนจนสุด สิ่งที่ทำได้ก็มีแค่ทำใจและยอมรับทุกอย่าง
“เลตยี่สิบนาทีนะคะ” ฮือออออ คาบแรกของเด็กท้ายแถวอย่างเราช่างได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่นเหลือเกิน เพราะที่นั่งสโลปภายในห้องเนืองแน่นไปด้วยนิสิตจนแทบหาเก้าอี้ว่างไม่เจอ แถมอาจารย์ยังพูดด้วยน้ำเสียงเหมือนโมโหเต็มแก่อีกด้วย
ผม ปอนด์ และเอ็มเลยรีบวิ่งหาที่นั่งพัลวัน เพื่อจะได้ไม่ต้องตกเป็นเป้าสายตาของคนอื่นๆ แต่เหมือนเวลาทำชั่วแล้วก็มักจะได้อะไรชั่วๆ ตอบแทนกลับมา
ไม่มีที่ว่างที่ติดกันสำหรับเราเลย นอกเสียจากจะแยกกันนั่งคนละมุม ประกอบกับอาจารย์ก็ยังพูดเร่งไม่หยุด ทำให้เราตัดสินใจแยกย้ายกันนั่งมุมใครมุมมันเพื่อหลีกหนีความอายไปก่อน
“ตรงนี้ว่างอยู่” เสียงทุ้มของใครคนหนึ่งเอ่ยขึ้น มันเหมือนแสงสว่างที่มีคนจุดให้เพื่อหาทางออกยังไงยังงั้น
“ขอบคุณนะ” ผมบอกก่อนจะนั่งลงข้างๆ ใครคนนั้น
คนที่ผมไม่เคยเห็นหน้ามาก่อนเพราะไม่ใช่เด็กศึกษาศาสตร์ ใบหน้าคมกับริมฝีปากหยักเป็นสระอิทำให้ผมเผลอจ้องมองไม่คลาดสายตา แถมจมูกก็ยังโด่งมากๆ อีกต่างหาก
ใครวะ?
โคตรน่ารักเลย โคตรหล่อ โคตรดึงดูด หัวใจของผมเต้นแรง นี่มึงใจเต้นแรงกับคนที่ไม่เคยเจอกันมาก่อนเหรอไอ้โฟร์ ผมได้แต่ปรามตัวเองในใจแม้จะรู้ดีว่าไม่ได้ผล ขนาดหยิบปากกากับสมุดจดเลกเชอร์ก็ยังทำผิดๆ ถูกๆ จนอีกฝ่ายมองตามด้วยความสงสัย
“อยู่ศึกษาฯ เหรอ” ผมหันไปสบตากับคนข้างๆ กะพริบตาปริบสองสามครั้ง
“รู้ได้ไง”
“เห็นเสื้อคลุมเพื่อนพี่”
“แล้วรู้ได้ไงว่าเป็นพี่”
“ศึกษาศาสตร์ที่อยู่คลาสนี้มีแต่ปีสองทั้งนั้น”
“อ้อ แล้วนี่อยู่คณะอะไรอ่ะ วิทยา สหเวชฯ หรือเภสัชฯ” จำได้ว่าเซ็กเรียนเคมีค่อนข้างใหญ่ และรายชื่อใน REG ก็บอกไว้หมดแล้วว่าเด็กศึกษาฯ แก่ที่สุดในบรรดาทุกคณะ เพราะที่เหลือมีแต่ปีหนึ่งทั้งนั้น
“สหเวชฯ ครับ เทคนิคการแพทย์น่ะ”
“อ้อออออ”
เราเงียบกันไปพักใหญ่ จริงอย่างที่เอ็มกับปอนด์ว่า อาจารย์ไม่ได้เช็กชื่อและไม่ได้เริ่มต้นการสอน นอกเสียจากชี้แจงเนื้อหาที่ต้องเรียนในเทอมนี้เท่านั้น กระทั่งเสียงทุ้มนุ่มหูเป็นฝ่ายพูดขึ้นมาอีกครั้ง
“พี่ชื่ออะไร”
“หา? ถามเราเหรอ”
“ครับ”
“ชื่อโฟร์”
“ผมชื่อเทคนะ ยินดีที่ได้รู้จัก” มือหนายื่นมาข้างๆ ผมได้แต่มองตาม ไม่กล้าเอื้อมมือเข้าไปจับ ไม่รู้สิ มันหวั่นๆ เหมือนอาการของคนกำลังเขินยังไงชอบกล
พอเห็นว่าผมไม่ยอมจับมือ รุ่นน้องยิ้มเก่งเลยถือวิสาสะจับนิ้วก้อยของผมแล้วเขย่าไปมา ทำเอาหัวใจคนถูกกระทำกระเด้งกระดอนไม่มีทิศทางอยู่พักใหญ่
นี่แหละความทรงจำแรกระหว่างเรา ความทรงจำระหว่างผมและรุ่นน้องปีหนึ่ง
ความทรงจำ...ที่ต่อให้ผ่านไปนานแค่ไหนก็ไม่มีวันลืม
“โง้ยยยยยยย น่ารัก น่ารัก น่าร้ากกกกกกก”
ผมกลับมาถึงหอพัก กระโจนลงไปกลิ้งบนเตียงอย่างเสียสติ โชคดีหน่อยที่อยู่คนเดียวเลยไม่มีใครมาหาว่าผีเข้า หน้าของผมร้อนผ่าวอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน หลังจากหมดคลาสเคมี ผมกับเทคก็โบกมือให้กันก่อนจะแยกย้าย เขินว่ะ เขินสัดๆ
ดิ้นกะแด่วๆ ไปหลายรอบจนหมดแรง ก่อนจะลุกขึ้นมาจากเตียง เปิดแล็ปท็อปซึ่งอยู่บนโต๊ะหนังสือขึ้น ภารกิจสำคัญในการตามหาคนที่ปลื้มมันจะเป็นอะไรไปไม่ได้นอกจากเฟซบุ๊ก!!
รายชื่อใน REG ของมหา’ลัยมีประโยชน์อย่างมาก เพราะมันจะช่วยให้ผมตามหาเด็กเทคปีหนึ่งได้ง่ายขึ้น ผมพยายามไล่อ่านรายชื่อที่ต่อท้ายด้วยคณะสหเวชศาสตร์ โดยลองพิมพ์ชื่อคนเหล่านั้นในช่องค้นหาเฟซบุ๊ก แม่งหาทั้งไทยทั้งอังกฤษ เพื่อหวังว่าจะเจอ
“ไม่ใช่” บ่นเป็นรอบที่สิบ แต่ก็เท่านั้น
ระหว่างหาก็กดแอดเฟรนด์ค้นหารายชื่อที่เจอไปด้วย ผมพยายามอย่างมาก แต่กลับไม่เจอเฟซบุ๊กของเทคอย่างที่ตั้งใจ สงสัยจะไม่ได้ใช้ชื่อกับนามสกุลจริงอย่างที่คาดไว้แต่แรก
ติ๊ง!
แจ้งเตือนในระบบเด้งขึ้นมา บ่งบอกว่ามีใครคนหนึ่งรับผมเป็นเพื่อนในโซเชียลแล้วเรียบร้อย จากที่กำลังใจหดหายกลับเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว ผมคลิกเข้าไปในเฟซบุ๊กของรุ่นน้องคนหนึ่ง พลางเลื่อนเมาส์ไปยังรายชื่อของเพื่อนที่มีอยู่ทั้งหมด
4,560 คน เหยดดดดดดดดดดดด
ผมสูดลมหายใจเข้าปอดลึกๆ ก่อนออกจากรายชื่อเพื่อนเพื่อเข้าไปส่องในอัลบั้มภาพที่ถูกแท็ก เผื่อโชคดีจะได้เจอ แต่ผลก็คือไม่
เหนื่อยว่ะ
กลับเข้าไปในรายชื่อเพื่อนใหม่ ไล่ดูรูปโพรไฟล์ทีละคนด้วยสายตาเมื่อยล้าเต็มที แม้มีโอกาสที่เจ้าของเฟซกับรุ่นน้องปีหนึ่งอย่างเทคจะไม่ได้เป็นเพื่อนในเฟซบุ๊กกันก็ตาม เพราะถ้าเป็นอย่างนั้นผมก็ตายดิว้าาาาา
จากห้าโมงเย็น ตอนนี้เวลาปาไปเกือบสองทุ่มแล้ว นี่ผมเอาเวลามาตามหารุ่นน้องตั้งสามชั่วโมงเลยเหรอวะ!
Rrrrrrrrrrrrrr
เสียงเรียกเข้าที่มีปลายสายเป็นเพื่อนสนิทอย่างปอนด์ดังขึ้น
“ว่า...”
[แดกข้าวกัน]
“ไม่หิว”
[ทำห่าอะไร]
“เออน่ะ มึงไปกินกับไอ้เอ็มเถอะ”
[ตามใจ กูแค่จะบอกว่าเจอรุ่นน้องที่นั่งข้างมึงตอนคาบเคมีด้วย เห็นมึงคุยกันสนุกเลยจะเรียกมาเจอ แต่ก็ช่างเถอะว่ะ]
“เดี๋ยว!!!” ผมรีบเบรกทันควัน
อะไรนะ เทคอยู่แถวนั้นเหรอ
[อะไรของมึงไอ้โฟร์]
“กูจะไปกินข้าวกับพวกมึง อยู่ร้านไหนเดี๋ยวตามไป”
[ผีเข้าเหรอ เออๆ พวกกูอยู่ที่ร้าน...] หลังจากวางสายของปอนด์ ผมก็รีบพาตัวเองไปยังตู้เสื้อผ้า หยิบชุดธรรมดาที่ดูไม่ธรรมดาขึ้นมาใส่ จัดทรงผม ดูความเรียบร้อยของตัวเองก่อนจะออกไปตามนัดของเพื่อนทั้งสองคน ทั้งที่จุดหมายจริงๆ แล้วมันอยู่ที่รุ่นน้องคนนั้นมากกว่า
แต่พอไปถึง...
“อ้าวพี่โฟร์ มากินข้าวเหรอ” ผมพยักหน้าทันที เมื่อเห็นว่าเทคกำลังเดินออกจากร้าน แต่เผอิญมาเจอผมเข้าซะก่อน
“อื้ม เทคอ่ะ”
“มากินข้าวเหมือนกัน แต่จะกลับแล้ว”
มาเสียเที่ยว แต่ก็ไม่เชิงพลาดทุกอย่างซะทีเดียว อย่างน้อยก็ได้เห็นหน้าแล้วกัน พอยืนด้วยกันแบบนี้ทำไมรู้สึกว่าอีกฝ่ายสูงจังวะ
“มากับใคร” ผมถาม
“เพื่อนน่ะครับ แต่มันกลับไปก่อนแล้ว พี่ล่ะ”
“มา...กับเพื่อน” ว่าพลางชี้ไปยังไอ้สองตัวที่นั่งยิ้มแฉ่งโบกมือมาให้เหมือนล่วงรู้ความลับอะไรบางอย่าง เอาจริงๆ ถ้าปอนด์กับเอ็มจะรู้ก็คงไม่แปลก เราสนิทถึงขนาดมองตาก็รู้ใจกันนานแล้ว
“งั้นกินข้าวให้อร่อยนะพี่ เจอกันในคาบเคมี”
“เฮ้ยเทค”
“อะไรครับ”
“มีเฟซป่ะ คือเผื่อมีอะไร...”
“อ๋อ ขอมือถือพี่หน่อยดิ” มือหนาแบมือมาตรงหน้า ผมเลยไม่ขัดศรัทธายื่นมือถือให้กับอีกฝ่าย เจ้าตัวกดอะไรไม่รู้ขยุกขยิกสักพักก่อนจะยื่นมือถือคืนมาให้
“เดี๋ยวผมกลับห้องแล้วจะรับแอดนะ บาย”
พูดจบก็โบกมือเดินผละออกไปทันที ร่างสูงในชุดนิสิตยังอยู่ในสายตาของผมจนกระทั่งขับรถออกไป บนหน้าจอมือถือเป็นหน้าโพรไฟล์ของเทคจริงๆ มิน่าล่ะถึงหาไม่เจอ
เทค ไม่อยากเป็นเดือนคณะ
สรุปปอนด์กับเอ็มก็รู้จนได้ว่าผมตกหลุมพรางที่เด็กสหเวชฯ นั่นขุดไว้จนหาทางขึ้นไม่ได้ เพราะงั้นตลอดมื้อผมเลยถูกแซวไม่หยุด ทั้งอาย ทั้งโกรธเลยว่ะ แม่งจะล้ออะไรนักหนา
“แดกข้าวดีๆ ดิไอ้โฟร์”
“ก็กินอยู่นี่ไง”
“กูว่ามึงวางมือถือก่อนเหอะ”
“เดี๋ยวน้องมันรับแอด กลัวพลาด”
“เชี่ยไรมึงเนี่ย”
มือขวาตักข้าวใส่ปาก ส่วนมือซ้ายเลื่อนมือถือไปเรื่อยๆ รอเวลาจนไม่เป็นอันทำอะไร ปล่อยเพื่อนมันบ่นไปจนกว่าจะเหนื่อยนั่นแหละ เพราะถึงยังไงแล้วผมก็ไม่มีทางหยุดรอ
“เฮ้ยยยยย”
“เป็นห่าไร ผีเข้าเหรอ”
“น้องมันรับกูเป็นเพื่อนแล้ว อ๊ากกกกกก น้องมันไลค์รูปกู น้องมันไลค์รูปกูด้วยเว้ยยยยยยยยยย” ผมดีใจถึงขนาดลุกขึ้นเต้นแร้งเต้นกาจนคนมองไปทั่วร้าน จะขัดใจหน่อยก็ตรงที่ถูกปอนด์กับเอ็มดึงแขนให้นั่งลงด้วยความอับอายเนี่ยแหละ
“ใจเย็นนะ คนมองแล้วไอ้สัด กูอาย”
“เพิ่งรู้เว้ย ว่าดีใจจนเนื้อเต้นมันเป็นยังไง” ผมตอบเสียงติดสั่นเล็กน้อย ตั้งแต่เข้ามาเรียนในมหา’ลัย ผมไม่เคยรู้สึกใจเต้นแรงกับใครเลย แต่ตอนนี้ถึงแม้จะแค่นั่งอยู่ตรงหน้าจอมือถือ ความรู้สึกของผมมันก็ไม่ได้ต่างจากการมีรุ่นน้องคนนั้นนั่งอยู่ใกล้ๆ เลย
และในเมื่อโอกาสมาถึงผมก็ไม่รอช้า
Punthanuch Srisawang
ขอบคุณนะ รับซะเร็วเลย
เทค ไม่อยากเป็นเดือนคณะไม่เป็นไรพี่ กินข้าวเสร็จยัง
Punthanuch Srisawang
ยัง
เทค ไม่อยากเป็นเดือนคณะพี่ชื่อพันธนัชเหรอ
Punthanuch Srisawang
อื้อ มีไรป่ะ
เทค ไม่อยากเป็นเดือนคณะ เปล่า ชื่อคล้ายกัน บังเอิญเนาะ
โหยยยยยย โมเมนต์นั้นไม่รอช้ารีบเข้าไปดูรายชื่อนิสิตใน REG และก็พบความจริงว่า ชื่อของเราคล้ายกันมาก แต่นามสกุลต่างกันนิดหน่อย
ธนัช ธำรงวิสิทธิ์
เนี่ยชื่อน้อง ส่วน...
พันธนัช ศรีสว่าง
ชื่อผม อยากเปลี่ยนนามสกุลไปใช้ของน้อง แต่ก็กลัวว่ามันจะเร็วเกินไป คงต้องใช้เวลาศึกษาดูใจกันอีกสักพักใหญ่ก่อน นี่ผมฝันหรือจินตนาการกันแน่วะเนี่ย ไม่คิดว่าตัวเองจะเป็นขนาดนี้เลยจริงๆ
“ไอ้โฟร์ มึงช่วยกินข้าวดีๆ หน่อย เดี๋ยวกูก็จับมือถือยัดปากแม่งหรอก”
“แป๊บนึง”
ผมไม่ได้สนใจเสียงของเพื่อน แต่ยังคงก้มหน้าก้มตาพิมพ์ข้อความตอบกลับไปอย่างกระตือรือร้น มันไม่ง่ายเลยที่เราจะรู้สึกชอบใครสักคนเอามากๆ และมันก็ไม่ง่ายเลยที่เวลารู้สึกชอบใครแล้วเราจะสามารถละสายตาไปจากเขาได้
Punthanuch Srisawang
อื้อ แล้วนี่ทำอะไรอยู่
เทค ไม่อยากเป็นเดือนคณะดูหนัง โหลดใส่ external ไว้นานแล้ว
ยังไม่ได้ดูสักที
Punthanuch Srisawang
งั้นไม่กวนละ
ดูหนังให้สนุกนะ
เทค ไม่อยากเป็นเดือนคณะครับ
แล้วทุกอย่างก็เงียบไป ที่บอกว่าไม่กวนละ ความจริงคืออยากกวนต่อไปเรื่อยๆ แต่ถ้าทำอย่างนั้นกลัวว่าอีกฝ่ายจะรำคาญ
หลังจากใช้เวลาหมกมุ่นกับโทรศัพท์มือถือในร้านอาหารอยู่นาน พอกลับไปถึงห้องผมก็ไม่ละความพยายามโดยการรื้อค้นตู้หนังสือเก่าๆ ที่ไม่เคยเปิดกรุตั้งแต่จบปีหนึ่ง ในนั้นมีอุปกรณ์เครื่องเขียนหลายอย่างที่พี่รหัสเคยซื้อเอาไว้ให้ และสิ่งที่ผมกำลังตามหาก็คือ...
สมุดบันทึกสีตุ่นๆ เล่มหนึ่ง ที่พี่รหัสเคยบอกว่าต้องดั้นด้นไปซื้อไกลถึงเชียงใหม่เพราะเขาเย็บด้วยมือตัวเอง ดูจากภายนอกถึงแม้จะเก่าไปตามกาลเวลา แต่ก็ยังใช้การได้อยู่
ผมไม่เคยเขียนไดอารี่ แต่ไม่รู้ทำไมวันนี้ถึงคึกอยากเขียนขึ้นมา อาจเพราะอยากเก็บความทรงจำในวันแรกกับคนที่รู้สึกชอบผ่านตัวหนังสือด้วยล่ะมั้ง ผมไม่รู้ว่าตัวเองจะอดทนเขียนแบบนี้ไปได้สักกี่วัน ถ้าเบื่อก็เลิก ถึงตอนนั้นค่อยว่ากันอีกที แต่สำหรับตอนนี้ขอแค่ผมยังมีกำลังใจที่จะเขียนมันก็พอ
20 ส.ค. 2553
วันแรกที่เจอเด็กผู้ชายตัวสูงคนหนึ่ง เป็นผู้ชายไม่ต้องตกใจ ก็แปลกนะเพราะไม่เคยสนใจใครมาก่อนแต่กลับไม่สามารถละสายตาไปจากคนคนนี้ได้เลย น้องมันเรียนปีหนึ่ง แต่ท่าทางไม่ได้ดูเด็กเลย บางครั้งดูนิ่งๆ แต่บางครั้งก็เป็นกันเอง น่าค้นหาดี
นั่นแหละ ไม่รู้ว่าจะเขียนอะไรในหน้าแรกของไดอารี่ ก็ไม่เคยว่ะ เคยแต่จดหนี้ค่าหวยให้แม่ เอาเป็นว่าตอนนี้ผมรู้สึกชอบใครสักคนหนึ่งขึ้นมาแล้ว คนคนนั้นเป็นเด็กสหเวชฯ ปีหนึ่ง ชื่อเทค
ฝันดี
เชื่อมั้ย คืนนั้นผมนอนหลับฝันดียิ่งกว่าคืนไหนๆ ในรอบปีเลยล่ะ...
คลาสเคมีในสัปดาห์ต่อมาเป็นที่น่าเสียดายที่สุดท้ายผมกับเทคก็ไม่ได้นั่งข้างกันอีก เพราะที่นั่งมันเปลี่ยนได้เรื่อยๆ แล้วเขาก็ต้องนั่งกับเพื่อน ใครมันจะไปหน้าด้านนั่งแทรกกลุ่มเพื่อนคนอื่นได้กัน ดังนั้นบทสนทนาที่เตรียมไว้เพื่อจะคุยกับอีกฝ่ายเลยต้องพับเก็บไปตามระเบียบ
วิวเดียวที่เห็นในม่านสายตาก็มีแค่ท้ายทอยขาวๆ กับท่าทางกวนโอ๊ยของเด็กที่ค่อนข้างป็อปอย่างเทคเท่านั้น ผมได้แต่หาเหตุผลสารพัดเพื่อเข้าไปมีส่วนร่วมในชีวิตเขา แต่สุดท้ายมันก็ยังว่างเปล่าเหมือนเคย
“จ้องอยู่นั่นแหละ มึงไม่แดกท้ายทอยมันไปเลยล่ะ” เสียงของเอ็มแทรกขึ้น ทำให้ผมละสายตาจากคนตรงหน้ามามองที่เพื่อนสนิทอีกครั้ง
“เสียดายว่ะ อยากคุยกับน้อง”
“ก็เข้าไปคุยดิ”
“เพื่อนมันอยู่เต็มไปหมด จะให้กูหน้าด้านเข้าไปเหรอ”
“อ่ะนี่ ทางออกของมึง”
มือหนายื่นใบปลิวแผ่นหนึ่งมาให้ ผมอ่านข้อความตรงหน้าอยู่สักพักก่อนจะหันมาถามความเห็นทั้งปอนด์กับเอ็ม อย่างน้อยค่ายอาสาพัฒนาที่คณะสหเวชฯ เป็นคนจัดก็อาจทำให้ผมกับเทคได้คุยกันมากขึ้น
“กูสนใจ” ผมตอบแทบไม่คิด
“คืองี้นะ ปัญหามันอยู่ที่ว่าคณะเราก็มีชมรมพัฒนาชนบท แล้วเขาก็จัดค่ายช่วงเดียวกันด้วย มึงจะไม่ไปของคณะเราเลยเหรอ”
“ไปให้หมดนั่นแหละ”
“ไม่เหนื่อยเหรอวะ”
“กูยอมตาย ยอมตายยยยยยยยยยย”
“รักแท้แพ้เทคนิคการแพทย์จริงๆ”
มาจนได้ค่ายอาสาพัฒนา หลังจากพาตัวเองระหกระเหินไปค่ายพัฒนาชนบทมาแล้ว สภาพคงไม่ต้องถามหาว่าจะเลวร้ายแค่ไหน ซึ่งผมก็ต้องสู้ แต่เหมือนบุญมีแต่กรรมบัง เพราะผมโง่เองที่ไม่ถามเทคว่าจะไปด้วยหรือเปล่า คิดแค่ว่าปีหนึ่งต้องไป สุดท้ายเราเลยไม่ได้เจอกัน
เทคไม่อยู่ กูไหลตาย
สองค่ายผ่านพ้นไปแบบละเหี่ย ผมรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังเดินไปข้างหน้าเรื่อยๆ โดยไม่รู้จุดหมาย ไม่รู้ว่าน้องปีหนึ่งคนนั้นยืนอยู่ตรงไหนของเส้นทาง สิ่งที่ทำได้ก็มีเพียงทักแชตไปเพื่อหวังว่าน้องจะตอบบ้าง ซึ่งก็นานๆ ครั้ง และตอบทีก็สั้นมากจนเหมือนแทบไม่ได้คุย
ผมไม่รู้ว่าเทคมีแฟนแล้วหรือยัง ไม่รู้อะไรเลย จะถามก็ไม่กล้า ได้แต่ส่องหน้าไทม์ไลน์ไปวันๆ แถมเฟซบุ๊กเจ้าตัวยังแทบไม่มีการเคลื่อนไหว รูปถ่ายก็ไม่เคยอัพ จะมีก็แต่รูปที่เพื่อนๆ ติดแท็กมาเท่านั้น ผมเลยไม่รู้ว่าจะทำตัวยังไง และควรจัดตัวเองอยู่ในหมวดไหนของความสัมพันธ์
เทค ไม่อยากเป็นเดือนคณะพี่โฟร์
ง้ากกกกกกก น้องทักแชตมาเว้ย น้ำตาจะไหล หายนอยด์ไปเลย
Punthanuch Srisawang
ว่าไง
เทค ไม่อยากเป็นเดือนคณะไปค่ายอาสาพัฒนามาเหรอ เห็นอัพรูป
Punthanuch Srisawang
อืม น้องไม่ไปอ่ะ
เทค ไม่อยากเป็นเดือนคณะติดทำรายงานกับเพื่อนครับ เลยไม่ได้ไป
แล้วสนุกมั้ย
Punthanuch Srisawang
สนุกนะ
เข้าสู่สภาวะเดดแอร์โดยสมบูรณ์ เทคเงียบไป ไม่ได้ตอบหรือกำลังพิมพ์อะไรกลับมาอีก พอหันมองนาฬิกาตั้งโต๊ะก็เห็นว่ามันดึกมากแล้ว น้องคงอยากนอนทั้งที่ออนไลน์อยู่ ไม่เป็นไร
Punthanuch Srisawang
เทค
ฝันดีนะไอ้น้อง
เทค ไม่อยากเป็นเดือนคณะฝันดีครับ
13 ก.ย. 2553
เคยเป็นมั้ยที่เข้าไปดูหน้าเฟซของใครบางคนทุกวัน เปิดทุกครั้งที่คิดถึง หรือผ่านไปแค่นาทีเดียวก็ยังห่วงว่าเขากำลังทำอะไรอยู่ ทั้งที่จริงๆ แล้วเราก็ไม่ได้สนิทกันขนาดนั้น แต่เราเองกลับรู้จักเขาไปซะทุกอย่าง