Chapter 11 : โอกาสเหมาะเจาะ
เสียงร้องเพลงเชียร์ดังแว่วมาจากสนามข้างตึกเรียนที่เต็มไปด้วยนักศึกษาปีหนึ่ง รวินท์นั่งอยู่แทบจะตามลำพัง มีนักศึกษาคณะวิศวกรรมศาสตร์เดินผ่านไปมาบ้างเป็นครั้งคราวเท่านั้น เพราะส่วนใหญ่จะไปยืนดูน้องปีหนึ่งประชุมเชียร์กัน
ที่จริงเขาก็อยากไปยืนดูใกล้ๆ นะ แต่เขาเป็นคนนอก อยู่ห่างๆ ไว้ดีกว่า อีกอย่างภูพิงค์ก็ขอไว้ด้วย เพราะอีกฝ่ายจะเขินเก๊กแตกถ้าเขาไปนั่งจ้องน่ะสิ
รวินท์เท้าแขนลงกับโต๊ะ เล่นเกมบ้าง กดดูนู่นนี่ในโทรศัพท์มือถือบ้าง แต่เมื่อภูพิงค์เข้าประจำที่ เขาจะหยุดทุกอย่างแล้วสนใจเด็กหนุ่มเพียงคนเดียว
พิงค์ตอนทำหน้าดุนี่น่ารักจังน้า~
สักพักโทรศัพท์ที่ทันตแพทย์หนุ่มวางไว้บนโต๊ะก็สั่นเบาๆ เพื่อเตือนข้อความเข้า เขาจึงหยิบขึ้นมาดู ข้อความที่ปรากฎขึ้นบนหน้าจอเป็นของเตชิตซึ่งวันนี้ไม่ได้มาที่เชียงใหม่ด้วยเนื่องจากต้องไปออกหน่วย
‘น่าจะกลับถึงคืนนี้ ราวๆ เที่ยงคืนได้’
รวินท์พิมพ์ข้อความตอบกลับไป ‘แล้วพรุ่งนี้จะมาเชียงใหม่มั้ย’
‘ดูก่อนว่ะ เหนื่อยฉิบหาย’
‘เหนื่อยก็พักเยอะๆ กลับถึงแล้วบอกด้วย’
‘อือ คิดถึงมึงว่ะ’
‘เออๆ กูก็คิดถึง’
แล้วเตชิตก็ส่งหัวใจกลับมาให้รัวๆ เป็นผลให้รวินท์ส่ายหน้าไปมาพลางหัวเราะเบาๆ แต่จู่ๆ ก็รู้สึกว่ามีคนเดินเข้ามาหยุดยืนอยู่ใกล้ๆ เขาจึงเงยหน้าขึ้นมอง
เด็กหนุ่มสองคนในชุดนักศึกษายืนฉีกยิ้มกว้างอยู่อีกฝั่งหนึ่งของโต๊ะ ในมือของฟลุคถือดอกกุหลาบสีแดงดอกใหญ่เท่ากำปั้นมาหนึ่งดอก “สวัสดีครับหมอวิน” สองหนุ่มพูดพร้อมกันราวกับท่องมา จากนั้นปิ๊กก็ดึงดอกกุหลาบออกมาจากมือเพื่อน ยกขึ้นมากัดก้านไว้แล้วยื่นหน้าเข้าไปหาคนที่นั่งอยู่ “โอย อ๋ามอิ้ม” (โอย หนามทิ่ม)
รวินท์คิ้วกระตุก ทำไมวันนี้เขาเจอแต่คนแปลกๆ วะเนี่ย! “สวัสดีครับ มีอะไรรึเปล่า”
“ผมชื่อฟลุค นี่เพื่อนผมชื่อปิ๊กครับ” ฟลุคเขกศีรษะเพื่อน คว้าดอกไม้จากปากอีกฝ่ายออกมายื่นให้ทันตแพทย์หนุ่ม “ดอกไม้สวยๆ ให้หมอวินจากใจพวกผมเลยครับ”
เจ้าของชื่อขนลุกซู่ไปทั้งตัว เขาจ้องสองหนุ่มเขม็ง
โห ไอ้เด็กสองคนนี่เกิดมาเคยจีบใครบ้างเปล่าวะเนี่ย อย่าว่าแต่จีบเลย เคยดูเกิลหาวิธีจีบบ้างหรือเปล่าหรอก ไอ้วิธีที่ใช้นี่ก็โคตรเชย ทันตแพทย์หนุ่มส่ายหน้าอย่างอ่อนใจและปฏิเสธไปพร้อมกันด้วย “ขอบคุณ แต่ผมไม่รับดีกว่า”
สองหนุ่มยิ้มเจื่อน “เอ่อ... หรือ... หรือว่า... หมอวินแพ้เกสรดอกไม้เหรอครับ”
“ผมว่าผมไม่จำเป็นต้องชี้แจงเหตุผลที่จะไม่รับอะไรก็ตามจากคนแปลกหน้านะ”
“โธ่ๆ พวกผมอยากรู้จักหมอวินนะครับ”
“แต่ผมไม่ได้อยากรู้จักพวกคุณนี่ครับ”
“โห อย่าเพิ่งใจร้ายสิครับ พวกผมก็แค่อยากเป็นเพื่อนด้วยเอง” ปิ๊กถือวิสาสะนั่งลงตรงที่นั่งฝั่งตรงข้ามกัน แล้วหันไปกระตุกแขนฟลุคให้นั่งลงมาด้วย “ให้โอกาสพวกผมพาหมอวินไปเลี้ยงข้าวสักมื้อนะครับ หมออยากกินอะไรบอกเลย สั่งได้ทุกอย่างไม่อั้น”
รวินท์ชำเลืองมองไปทางด้านหลังสองหนุ่ม ก่อนจะตีหน้าซื่อใส่ “ผมไม่เข้าใจ พวกคุณจะอยากรู้จัก อยากเป็นเพื่อนกับผมไปทำไม แล้วพวกคุณจะเลี้ยงข้าวผมทำไม มีสาเหตุอะไร ต้องการอะไรจากผมเหรอครับ”
“โธ่! พวกผมลงทุนบุกมาขนาดนี้แล้ว ก็เพราะจะจีบหมอวินน่ะสิครับ! หรือว่าหมอวินมีแฟนแล้วกันครับ! ถ้ามีแล้วก็บอก...” ฟลุคโพล่งออกไป แล้วก็ชะงัก เมื่อรู้สึกว่าใต้ตึกในบริเวณนั้นเงียบกริบลงทันควัน คนที่เดินไปเดินมากันอยู่ก็หยุดหันมองมาที่พวกเขากันหมด
ปิ๊กกระซิบ “ซวยแน่แล้วไอ้ฟลุค!” สมพรปากเด็กหนุ่ม เพราะทันทีที่เขาพูดจบ เสียงฝีเท้าของคนกลุ่มหนึ่งก็มุ่งตรงเข้ามาที่พวกเขา
รวินท์เงยหน้าขึ้นมองเด็กหนุ่มนักศึกษาปีสี่ที่ยืนออกันอยู่ด้านหลังสองหนุ่มจากคณะบริหาร “พวกเขาจะจีบผมว่ะพิงค์”
พิงค์!? จากภูพิงค์หรือเปล่าวะ!
ปิ๊กและฟลุคเสียววาบไปถึงปลายไส้ติ่ง พวกเขาหันไปทางด้านหลังช้าๆ แล้วก็พบรุ่นพี่ปีสี่ซึ่งเป็นพี่ว้ากของคณะวิศวะด้วยยืนทำหน้าขรึม
“อยากมีเพื่อนคุยด้วยเหรอ พวกผมจะช่วยเอง” ภูพิงค์พูดเสียงเรียบ “เชิญคุณสองคนทางนี้หน่อย”
“เอ่อ...” สองหนุ่มหน้าซีด ในใจอุทานฉิบหายรัวๆ
“ลุกสิคุณ หรือต้องให้อุ้มไปวะ”
“ลุกแล้วครับพี่”
“ตามมา”
รวินท์ส่ายหน้าไปมา “อย่าเล่นกับน้องแรงๆ นะพิงค์” เขาว่ามันแปลกๆ นะ ที่จู่ๆ จะมีคนเพี้ยนหนักพอที่จะบุกเข้ามาถึงในตึกด้านในสุดของคณะวิศวะนี่เพื่อจีบเขา ถ้ารู้จักเขาและรู้เรื่องเกี่ยวกับเขาได้ยังไงก็น่าจะต้องเคยเห็นเพจของคณะวิศวะผ่านตามาบ้าง เพราะงั้นจะไม่รู้เลยจริงๆ หรือว่าใครๆ ก็จิ้นเขากับภูพิงค์ จิ้นจนกลายเป็นเรื่องจริงไปแล้วเนี่ย
เพราะงั้นก็ไม่น่าจะเข้ามาหาเขาเพราะจะจีบจริงๆ น่าจะใช้เหตุผลนี้เพื่อบังหน้าเท่านั้น
แต่เอ... ก่อนหน้าก็มีผู้หญิงมาสองคนนี่นะ จากคณะเดียวกัน แก๊งเดียวกันหรือเปล่าวะ อาจจะเข้ามาหาเขาด้วยจุดประสงค์เดียวกันก็ได้
ทันตแพทย์หนุ่มขมวดคิ้วมุ่น “แปลกว่ะ มันต้องมีเบื้องหลังอะไรแหงๆ”
ฝ่ายภูพิงค์นั้น เมื่อเดินนำสองหนุ่มไปในที่ลับตาคนแล้ว เขาก็ยืนประจันหน้ากับสองหนุ่ม โดยมีเพื่อนๆ กลุ่มใหญ่ยืนเป็นแบ็กกราวน์อยู่ทางด้านหลัง
“พวกคุณเป็นใครวะ ชื่ออะไร อยู่คณะไหน”
“เอ่อ... ผมชื่อปิ๊ก ไอ้นี่ฟลุคครับ อยู่บริหารปีสองครับพี่”
“แล้วมีธุระอะไรกับคนของผม คุยกับผมแทนก็ได้นะ”
“เปล่า... เปล่าครับพี่”
“เมื่อกี้ไม่ได้พูดแบบนี้นี่”
“พวกผมไม่มีจริงๆ คร้าบ แค่อยากรู้จักกับหมอวินเท่านั้นจริงๆ ไม่ได้ตั้งใจจะจีบเลย”
“นี่พวกคุณเห็นพี่วินเป็นของเล่นรึไง!” เสียงของภูพิงค์ดุขึ้นไปอีก พอเขาก้าวเข้าไปหาพวกเด็กหนุ่ม อีกฝ่ายก็ถอยหลังหนี ถอยไปจนหลังชนกำแพงแล้ว
“ผู้หญิงสองคนที่มาก่อนหน้าก็เพื่อนพวกคุณใช่มั้ย”
ปิ๊กกับฟลุคอยากจะร้องไห้แล้วตอนนี้ พวกเขาพยักหน้าหงึกๆ พอสบสายตารุ่นพี่ ใจก็หดเหลือเท่ามดลูกปลาซิว จะหนีก็ท่าจะไม่รอด จะสู้ก็... สี่ตีนจะสู้รุ่นพี่เป็นสิบตีนได้ยังไง
“บอกความจริงมา พวกคุณต้องการอะไร มายุ่งกับพี่วินทำไม”
“เอ่อ พวกผม แค่...อยากรู้ว่าหมอวินมีแฟนรึยังน่ะครับ” พวกเขาตอบเสียงอ่อย แต่กลับทำให้ภูพิงค์พูดเสียงดังขึ้น ดุขึ้นไปอีกเลเวล
“จะรู้ไปทำไมวะ!”
“คือ... เพื่อนพวกผมอยากรู้คร้าบ”
“ใครวะเพื่อนพวกคุณน่ะ! คนไหน! ชอบพี่วินเรอะ!”
“เปล่าครับเปล๊าาา!” สองหนุ่มยกมือขึ้นกุมศีรษะ หลับตาปี๋ แล้วสารภาพบาปทันที “เพื่อนผมมันชอบหมอเต้น่ะคร้าบ!”
คำตอบที่ได้รับเป็นผลให้ภูพิงค์ชะงัก นิ่งไปชั่วครู่
“ฮะ ชอบไอ้พี่เต้เหรอ”
น้ำเสียงที่อ่อนลงไปมหาศาลทำให้สองหนุ่มกล้าพอที่จะลืมตาเงยหน้าขึ้น แล้วพยักหน้าหงึกๆ “ครับ มัน... มันอยากรู้ว่าหมอเต้ยังโสดมั้ย จะถามตรงๆ ก็ไม่กล้า แต่เพราะหมอเต้ตัวติดกับหมอวินตลอดเลย ก็เลยกลัวว่าที่จริงหมอวินจะเป็นแฟนกับหมอเต้น่ะคร้าบ แล้ว...แล้วมันก็อยากรู้จักกับหมอวินมากด้วย อยากให้หมอวินช่วยมันจีบหมอเต้น่ะคร้าบ” สองหนุ่มสารภาพซะหมดเปลือก
ภูพิงค์อ้ำอึ้ง คือเขาควรจะโกรธที่ไอ้พวกนี้ริอาจมาอ้อร้อกับพี่วินของเขา แต่ก็แบบ... “เพื่อนคุณจะจีบพี่เต้เหรอ”
“มันจีบอยู่ครับพี่ ตามจีบมาสักพักใหญ่ๆ แล้ว”
“พี่เต้รู้ตัวรึเปล่า”
“รู้...คิดว่ารู้นะครับ”
“แล้วได้พบกันบ่อยมั้ย?”
“ก็...แทบทุกอาทิตย์นะครับ”
ภูพิงค์ขมวดคิ้ว เขานึกย้อนไปถึงตอนที่เห็นพี่เต้คุยโทรศัพท์ท่าทางแปลกๆ ลับๆ ล่อๆ เหมือนแอบค้ายาบ้าเมื่อครั้งก่อนนู้น หรือว่าที่รีบรุดออกไปคราวนั้นโดยไม่ให้บอกใครก็เพื่อไปพบกับเพื่อนของน้องกลุ่มนี้วะ มิน่าล่ะ ไอ้พวกเพื่อนเขาถึงว่าช่วงนี้โดนพี่เต้ลอยแพบ่อยๆ คงหายไปกับเพื่อนของไอ้เด็กพวกนี้แหงๆ
โห ไอ้พี่เต้ก็ร้ายเหมือนกันแฮะ!
“เพื่อนคุณที่จีบพี่เต้เป็นใครวะ ไม่ใช่ผู้หญิงสองคนก่อนหน้าใช่มั้ย”
“ไม่ใช่ครับ” สองหนุ่มส่ายหน้ายิก “พวกผมบอกไม่ได้จริงๆ ครับ แต่เพื่อนผมมันจริงจังนะครับ มันชอบหมอเต้มาก ชอบจนเพี้ยนหนักไปเลย ทำให้พวกผมเพี้ยนไปด้วยเลยเนี่ย พี่ลองคิดดูสิครับ ถ้าพวกผมไม่เพี้ยนไม่บ้าก็คงไม่กล้าเสี่ยงบุกมาถึงที่นี่แน่ๆ”
“แล้วทำไมเพื่อนคุณไม่มาเอง ขี้ขลาดเหรอวะ”
“ไม่นะครับ มันใจกล้าหน้าด้านจะตาย! คือ... ที่จริงมันก็อยากมาน่ะแหละ แต่ตอนนี้มันยังแสดงตัวไม่ได้ มันมีความจำเป็นมากจริงๆ”
“พวกคุณนี่ก็เป็นเพื่อนที่ดีเนอะ” ภูพิงค์ยกมือขึ้นตบไหล่สองหนุ่ม แล้วถอนหายใจหนักๆ “ผมฝากไปบอกเพื่อนคุณด้วย ถ้าอยากจีบพี่เต้ผมก็ไม่จะยุ่ง แต่ถ้าเขากล้าพอที่จะแสดงตัวกับผม ผมก็ยินดีที่จะได้รู้จักกับเขา และถ้าเขาจริงใจพอ พิสูจน์ตัวเองได้ว่าชอบพี่เต้มากจริงๆ ผมก็ยินดีจะช่วยเหลือ”
“ฮะ!?” สองหนุ่มเบิกตากว้าง ไม่อยากจะเชื่ออะไรที่ผ่านเข้ามาในรูหูเลยตอนนี้
“เพราะงั้นไม่ต้องตามสืบตามยุ่งอะไรกับพี่วินอีก! เข้าใจมะ!” ภูพิงค์ดุเสียงเข้ม “ไปเว้ย!” จากนั้นก็หันหลังเดินกลับออกไปพร้อมกับเพื่อนๆ ของตน
สองหนุ่มยืนทำตาปริบๆ เข่าทรุดลงไปนั่งกองอยู่กับพื้น ใจนึกว่าต้องโดนยำตีนแน่แล้ว แต่ก็รอดมาได้แบบฉิวเฉียด
“หมอวินต้องเป็นสมบัติของคณะนี้แหงๆ แม่งหวงกันยิ่งกว่าจงอางหวงไข่อี้กกก~”
“รีบกลับคณะก่อนเหอะมึง เดี๋ยวพี่ภูพิงค์วกกลับมาอีกรอบ ซวยตาย”
สองหนุ่มจูงมือกันใส่ตีนหมาโกยแน่บ พอไปถึงรถที่จอดไว้ก็ขับกลับไปที่คณะทันที
ภายใต้ตึกเรียนคณะซึ่งอยู่ไม่ไกลจากลานจอดรถนัก คีรีและเพื่อนสาวอีกสองชีวิตนั่งชะเง้อจนคอแทบจะยาวเป็นกะเหรี่ยงคอยาว
“คีรี นายว่าจะได้เรื่องมั้ยอะ”
เจ้าของชื่อส่ายหน้าไปมา “อันที่จริง ตั้งแต่รู้จักกันมา เราไม่เคยเห็นฟลุคกับปิ๊กจีบใครเลยนะ รู้สึกเหมือนส่งหมูไปให้สิงโตเชือดเล่นๆ ยังไงก็ไม่รู้ว่ะ”
เสียงเตือนข้อความเข้าโทรศัพท์มือถือดังขึ้น เด็กหนุ่มรีบตะปบขึ้นมาดูทันที ก่อนจะยิ้มหน้าบานเท่ากระจาด เพราะบนหน้าจอปรากฎข้อความของคนที่เขารอให้ตอบกลับมาตลอดทั้งสัปดาห์ หลังจากที่เพียรส่งไปหาทุกวัน วันละเป็นสิบข้อความ
‘ผมจะกลับถึงลำพูนประมาณเที่ยงคืน ยังไม่รู้ว่าอาทิตย์นี้จะไปเชียงใหม่รึเปล่า’
คีรีขมวดคิ้ว สีหน้าสลดลงทันควัน หมอเต้บอกเขาว่าจะไปออกหน่วย ไปทำฟันในพื้นที่ทุรกันดาร กลับดึกแบบนี้คงจะเหนื่อยมากเลยทีเดียว อาจจะไม่มาเชียงใหม่ด้วย แบบนี้ก็ไม่ได้เจอกันน่ะสิ เขาไม่ได้เจออีกฝ่ายมาเป็นสัปดาห์แล้วนะ คิดถึงจะแย่
อยากเจอชะมัด
แต่หมอเต้ส่งข้อความมาหาเขาแบบนี้ ก็น่าจะหมายความว่านึกถึงเขาบ้างเล็กน้อยหรือเปล่านะ พอคิดแบบเข้าข้างตัวเองไปก็ยิ้มออกมาได้เล็กน้อย
สองสาวที่นั่งอยู่ด้วยกันจ้องเพื่อนหนุ่มเขม็ง “มันใกล้บ้าแล้วมั้ง เดี๋ยวยิ้ม เดี๋ยวเศร้า เดี๋ยวบึ้งได้ในหนึ่งนาที ต้องพาไปฉีดวัคซีนกันพิษหมาบ้ามั้ยเนี่ย”
“พวกนายนินทาระยะเผาขนไปมั้ยวะ” คีรีหันไปต่อว่า เขายังไม่ทันพิมพ์ข้อความตอบทันตแพทย์หนุ่มไป เพื่อนรักอีกสองชีวิตที่เพิ่งกลับมาจากคณะวิศวะก็เดินอ่อนระโหยโรยแรงเข้ามาหา เด็กหนุ่มเลิกคิ้วขึ้น “เฮ้ย ทำไมทำท่าเหมือนไปโดนรุมโทรมมาแบบนี้วะ”
ปิ๊กและฟลุคทรุดตัวลงนั่ง “ไม่ใช่ก็ใกล้เคียงอะมึง เพื่อนมึงเกือบเอาชีวิตไปทิ้งไว้ที่คณะวิดวะแล้วเนี่ย ฮือ น่ากลัวฉิบหาย”
“หมอวินทำอะไรพวกมึงเหรอวะ” คีรีหยิบน้ำส้มชุดเดิมที่ซื้อไว้ส่งให้ “เอ้า ใจร่มๆ ดื่มน้ำก่อน”
สองหนุ่มส่ายหน้าไปมาก่อนปิ๊กจะโวยวาย “เปล่าเว้ย! แต่พวกพี่ภูพิงค์จะกระทืบพวกกูไส้แตกน่ะสิ! ตอนแรกพวกกูก็นั่งคุยกับหมอวินอยู่ดีๆ แต่พอเสือกหลุดปากว่าจะจีบหมอวินนะ พี่ภูพิงค์แม่งก็โผล่มาจากไหนก็ไม่รู้ แล้วทำหน้าเหมือนจะต้องเอาเลือดออกจากหัวพวกกูให้ได้อะ!”
ฟลุคพูดต่อ “เอาจริงๆ นะ กูว่าถ้าพี่เขาไม่ดูใจกับหมอวินอยู่ก็คบกันแล้วแหงๆ แม่ง หวงฉิบหาย หวงเว่อร์! กูฟันธงได้เลยว่าพี่ภูพิงค์ชอบหมอวิน!”
“เออ เจนี่เห็นด้วยนะ ยุ้ยว่ามะ” เธอหันไปถามเจ้าของชื่อที่นั่งอยู่ข้างกัน ซึ่งอีกฝ่ายก็พยักหน้ารัว “ใช่ๆ”
“อีกอย่างนะ พี่ภูพิงค์น่ะ น่าจะสนิทกับหมอเต้พอสมควร เห็นเรียกพี่เต้งี้ ไอ้พี่เต้งี้” สองหนุ่มผลัดกันเล่าประสบการณ์ขนตูดลุกที่เพิ่งได้รับมาหมาดๆ “แต่พอบอกว่ามึงจะจีบหมอเต้ เสียงพี่ภูพิงค์เปลี่ยนไปแบบหลังตีนเป็นหน้ามือเลยเว้ย”
“พวกมึงว่าพี่ภูพิงค์จะตามหาตัวกูมั้ยวะ” คีรีชักจะเป็นกังวล
“คงไม่หรอกมั้ง พี่เขาหวงหมอวินคนเดียวนี่หว่า แถมยังบอกด้วยว่าถ้ามึงกล้าพอที่จะไปทำความรู้จักกับเขา และพิสูจน์ความจริงใจของมึงได้ พี่เขาก็จะช่วยมึงด้วย แต่ไม่ให้ไปยุ่งกับหมอวินอีก”
“บางทีหมอเต้ก็อาจจะเป็นศัตรูหัวใจพี่ภูพิงค์เหมือนกันนะ ยุ้ยว่าดีไม่ดีถ้าเข้าทางพี่ภูพิงค์ อาจจะง่ายกว่าหมอวินซะอีก”
“เออ ถึงไม่ได้หมอวินช่วย แต่ถ้าได้พี่ภูพิงค์มาแทนก็ไม่แย่ปะวะ”
คีรีกัดริมฝีปากพลางขมวดคิ้ว “ถ้ากูไม่ติดว่ารับบทเป็นชาวเขาทำงานโรงแรมอยู่ กูจะบุกไปหาพี่ภูพิงค์แม่งเดี๋ยวนี้เลย”
“แต่มึง...ไม่กลัวเหรอวะ พี่ภูพิงค์แม่ง ดุแบบตรงข้ามกับหน้าตาฉิบหาย”
“ไม่กลัว ถ้าพี่เขาจะช่วยกูจริงๆ กูก็ยอมเสี่ยง” คีรีนิ่งไปชั่วครู่ แล้วหันไปสบสายตาเพื่อนๆ “พวกมึงว่าหมอวินรู้ตัวมั้ยวะ ว่าพี่ภูพิงค์หวงมาก”
“รู้ดิ เป็นคนฟ้องเองซะขนาดนั้น”
เด็กหนุ่มพยักหน้าหงึกๆ “อืม... หมอวินมาหาพี่ภูพิงค์ถึงคณะบ่อยๆ ส่วนพี่ภูพิงค์ก็หวงหมอวินมาก ถ้าขนาดนี้จะไม่มีใจให้กันเลยก็คงแปลกมั้ยวะ”
“จริงของมึงว่ะ บางทีอาจจะเป็นคู่จิ้นกันจนกลายเป็นของจริงแล้วก็ได้”
ยุ้ยขมวดคิ้ว “อือ... แต่นายบอกว่า ตอนหมอวินอยู่กับหมอเต้ หรือเวลาเขาพูดคุยกันก็หวานมากเหมือนเป็นแฟนกันนี่นา”
คีรีชักจะลังเล เขานึกย้อนไปถึงคำพูดของหมอวินที่ตรงตู้เย็นในหอพักหมอเต้ที่ลำพูนครั้งนั้น ฟังดูยังไงก็ไม่น่าจะเป็นแค่เพื่อนกันแน่ๆ แถมหมอวินยังดูจะหวงหมอเต้มากซะด้วย
“บางทีหมอวินอาจจะยังเลือกใครไม่ได้ แบบ... อารมณ์รักคนนึงแต่ก็ห่วงอีกคนนึง อยากเก็บไว้ทั้งสองคนอะไรแบบนี้” เจนี่เสริม
นั่นสินะ หมอเต้ก็เคยบอกเขาว่าหมอเต้กับหมอวินน่ะเป็นเพื่อนสนิทกันเฉยๆ ถ้าอย่างนั้น ก็อาจจะเป็นรักสามเส้าจริงๆ
“ถ้าหมอเต้เป็นมารหัวใจของพี่ภูพิงค์ นายก็ยิ่งควรร่วมมือกับพี่เขาเข้าไปใหญ่เลยนะ”
“แต่ตอนนี้เรายังเข้าไปหาพี่เขาไม่ได้น่ะสิ” คีรียกมือขึ้นกุมศีรษะ “โอย ทำไมมันอีรุงตุงนังแบบนี้วะเนี่ย”
“ใจเย็นไว้เพื่อน อย่างน้อยก็ได้รู้อะไรเกี่ยวกับหมอวินหมอเต้มากขึ้นอีกนิดนึงแล้วนะ พี่ภูพิงค์ก็ออกปากว่าจะช่วยเหลือมึงด้วย ไม่ต้องเสี่ยงตายเข้าไปหาหมอวินอีกแล้ว ตอนนี้ก็เหลือแค่รอโอกาสดีๆ เท่านั้น”
“อือ ขอบใจทุกคนมากนะ” เด็กหนุ่มยิ้มบาง
“ไปเหอะ ไปหาอะไรกินกันดีว่า กองทัพเดินด้วยท้องเว้ย” ปิ๊กลุกขึ้นพลางตบไหล่เพื่อนรักเบาๆ
(มีต่อค่ะ)