- EP 10 -
แสงแดดในยามเช้าที่ลอดผ่านเข้ามาจากทางหน้าต่าง มันส่องเข้ามาที่ตาผม ทำให้ผมรับรู้ได้ว่าตอนนี้เป็นเวลาเช้าแล้ว
ผมเปลี่ยนจากท่านอนเป็นท่านั่ง ขยับตัวบิดขี้เกียจเล็กน้อย คลายความเมื่อยจากการที่นอนบนโซฝาเพื่อเฝ้าคนป่วย
ตัวเลขบนหน้าจอโทรศัพท์มือถือสมาร์ทโฟนเป็นสิ่งที่เตือนว่าผมควรที่จะกลับไปอาบน้ำ เปลี่ยนเสื้อผ้าที่คอนโด เพื่อที่จะได้ไปให้ทันข้อทำสอบเทสย่อยที่เพื่อนได้บอกเมื่อคืน
…มองคนที่ยังหลับไม่ได้สติอยู่บนเตียง…
“ รอก่อนนะ เดี๋ยวกลับมา ” ผมบอกกับคนที่นอนนิ่งพร้อมกับลูบหัวของเขา ก่อนที่จะดึงผ้าห่มให้ขึ้นมาคลุมให้ที่หน้าออก เพราะกลัวว่าอีกคนจะหนาว
การสอบย่อยในวันนี้ ถ้าหากจะบอกว่าผ่านพ้นไปด้วยดีไหมก็คงไม่ใช่ แล้วถ้าถามว่าแย่ไหม ก็ไม่แย่เช่นกัน
ผมไม่ได้ทบทวนบทเรียนก่อนที่จะมาสอบ แต่เรื่องที่สอบวันนี้คือเรื่องที่เรียนไปเมื่อวาน ผมเป็นคนที่มีความจำค่อนข้างจะดี ทำให้ไม่มีปัญหากับการสอบในวันนี้ ถามว่าจำทั้งหมดได้เต็มร้อยเปอร์เซ็นต์เลยไหม ผมจำไม่ได้หรอกครับ จำได้พอคร่าวๆ ทำข้อสอบไปให้พอมีคะแนน ให้คะแนนไม่น่าเกียรติจนเกินไป อาจจะเกือบผ่าน หรือไม่ก็คงจะพอผ่าน คะแนนคงไม่ได้ดีอะไร เอาความรู้ที่พอจะจำได้ มาเขียนลงไป แต่นี้แค่เก็บคะแนนย่อยไม่ได้เก็บเยอะเท่าไร เดี๋ยวไปทำข้อสอบตอนปลายภาคเอาก็น่าจะพอช่วยได้
ผมเดินทางไปโรงพยาบาลทันทีเพราะพ่อส่งข้อความมาบอกตั้งแต่เช้าแล้วว่าจันทร์ฟื้นแล้ว
ผมเคาะประตูห้องพักผู้ป่วยก่อนจะหมุนลูกปิดประตูเข้าไป ก็เจอคนที่นั่งอยู่บนเตียงกำลังเหม่อลอยออกไปยังนอกหน้าต่าง
ผมเดินเข้าไปใกล้เขา เขาหันหน้ามามองผมช้าๆ ไม่ได้พูดอะไร แต่ยิ้มให้ผมบางๆ
ผมยิ้มตอบกลับเขา
“ กินอะไรหรือยัง ” ผมถามเขาแต่เขาไม่ได้ตอบกลับอะไร แต่หันไปมองที่ถาดที่อยู่ที่ข้างเตียงแทน
กับคนของคนป่วยนี้ยังไงก็ไม่น่ากินเอาเสียเลย ประกอบกับคงเป็นเพราะจันทร์เจ้ากินยาเข้าไปแล้วอาจจะไปทำร้ายกระเพาะ ทำให้ต้องทานอาหารอ่อนๆ จากที่ถามหมอมา หมอบอกว่าเขายังไม่สามารถทานอะไรที่หนักๆได้ และทานได้แค่เพียงอะไรที่เป็นน้ำเท่านั้น
ทำให้อาหารที่ผู้ป่วยกินได้มีเพียงน้ำซุปและนมหนึ่งกล่อง
นมจืดถูกเสียบหลอดเอาไว้ ผมลองจับกล่องนมยกดู มันยังมีนมอยู่จนแถบจะเต็มกล่อง ไม่ได้ลดลงไปจากปริมาณในตอแรกเลยด้วยซ้ำ แถมน้ำซุปที่ให้มาก็ยังไม่ได้แกะเอาพลาสติกที่หุ้มเอาไว้ออกเลย
“ ทำไมไม่กิน ”
“ … ”
“ ไม่หิวหรอ ”
“ … ” เขาไม่ได้ตอบเป็นคำพูด แต่พยักหน้าลงเล็กน้อย
“ กินน้อยขนาดนี้ แล้วจะหายไหม เดี๋ยวจะไม่มีแรงเอานะ ”
เจ้าตัวยังคงนิ่งเงียบ
‘ เฮ้อ ’ ผมถอนหายใจออกมาเล็กน้อย ให้กับความดื้อของคนตรงหน้า ที่ปกติก็ดื้อมากอยู่แล้ว พอไม่สบายก็จะดื้อมากกว่าปกติ
เขาเริ่มกัดปาก และน้ำตาคลอเบ้า เหมือนว่ากำลังจะร้องไห้
“ ไม่ได้ว่าอะไรเลย จะร้องไห้ทำไม ” ผมลูบหัวอีกคนอย่างเบามือ กลัวว่าถ้าแรงเกินไป อีกคนจะพากันร้องไห้เอาได้
“ ปล่อยมือจากหัวน้องกูได้หรือยัง! ” ผมหันไปมองทางต้นเสียง เป็นเสียงของผู้ชายคนหนึ่งที่ มีผิวขาวเหมือนกับคนที่ผมเพิ่งจะลูบหัวไป ส่วนสูงพอๆกันกับผม ซึ่งผมเองก็ไม่เคยเห็นหน้าและไม่เคยรู้จักกับเขามาก่อน
‘ น้องกู ’ ผมทวนคำพูดของเขาในใจ
ก่อนที่อีกคนที่นั่งอยู่บนเตียงเมื่อสักครู่นี้ จะวิ่งลงจากเตียง แล้วเข้าไปกอดคนที่มาใหม่ พร้อมเรียกชื่อของคนนั้นว่า “ พี่ฉาย ”
ชื่อที่หลุดออกมาจากปากของจันทร์ทำให้ผมหวนย้อนกลับไปนึกได้ว่า จันทร์เคยเล่าให้ฟังถึงเรื่องพี่ชายที่อยู่ต่างประเทศ
พอนึกได้ ก็ยกมือขึ้นมาไหว้
แต่ผมโดนเมิน…
เขาสองคนพี่น้องเหมือนอยู่ในโลกที่มีเพียงพวกเขาสองคน คนพี่ก็โอ๋น้อง คนน้องก็อ้อนพี่ พากันลูบหัวหอมหัวกันอยู่อย่างนั้น
ไม่รู้ทำไมแต่ผมยิ้มตาม…อาจจะเป็นเพราะว่าผมไม่เคยเห็นมุมน่ารักของคนตรงหน้าล่ะมั้ง ปกติแล้ว เขาเป็นคนนิ่งๆ เป็นคนแสดงความรู้สึกไม่เก่ง จะดีใจหรือเสียใจ ก็ไม่ค่อยจะแสดงออกมาให้ผมได้รู้
“ พี่ฉาย… ”
“น้องจันทร์...”
ผลัดกันเรียกแทนตัวเองไปมาแบบไหน แล้วพากันเล่าเรื่องต่างๆ บอกคิดถึงกันเหมือนว่าไม่เจอกันมานานหลายสิบปี การแทนตัวเองที่แสนจะน่ารักของสองพี่น้อง ในบทสนทนา
‘น่ารัก’
ผมยังคงมองและยืนยิ้มเหมือนคนบ้าอยู่แบบนั้น
คนเป็นพี่เห็นผมยืนยิ้มอยู่ ก็ขยับปากใส่ผมแบบไม่มีเสียง ผมพยายามจับใจความ ก็ได้เป็นคำว่า ‘ มอง เหี้ย ไร!’ แล้วมองผมด้วยสายตาที่แข็งกร้าว แต่สองแขนก็ยังคงกอดน้องจนแถบจะจมอก
เมื่อโดนด่าแบบนั้นผมนี้แถบจะหันหน้าไปทางอื่นไม่ทัน
กับน้องชายนี้ทำตัวใจดีเหมือนกับเทวดา แต่กับคนอื่นนี้ดูอย่างกับยักษ์ ผมได้แต่คิดในใจแบบนั้น ไม่กล้าพูดออกไป หากพูดออกไปอาจจะเลือดกบปากเอาได้
คุณหมอเดินเข้ามาพอดีกับตอนที่สองคนพี่น้องผละจากกัน
“ แข็งแรงดีแล้วนี้ น่าตกใจเลยนะ ไม่คิดว่าจะลุกมาเดินได้เร็วขนาดนี้ งั้นเดี๋ยวหมอขอดูอาการหน่อยนะ ”
“ ครับ ”
“ ปวดท้องหรืออะไรไหม ”
“ นิดหน่อยครับ ”
“ รู้สึกหน้ามืดไหม ”
“ ยังไม่นะครับ แต่ไม่ค่อยมีแรง ”
“ ก็ไม่ยอมทานอะไรเลย จะมีแรงได้ยังไงล่ะ ”
“ ไม่ค่อยหิวน่ะครับ ”
“ ดูจากอาการคร่าวๆแล้ว ก็น่าจะให้กลับบ้านได้แล้ว ไปพักผ่อนที่บ้านได้ นี้ต้องขอบคุณเพื่อนหนูนะ ที่พามาส่งมือหมอไหว เลยล้างท้องได้ทัน ร่างกายยังไม่รับสารจากตัวยาไปเยอะเท่าไร ไม่อย่างนั้น อาจจะไม่ได้มากอดกับพี่แล้ว ”
“ ครับ ”
“ ยังไงช่วงนี้ก็ระวังการกินก่อนนะ กินอาหารอ่อนๆ อย่าเพิ่งทานอะไรที่ย่อยยากๆ อาจจะไม่ค่อยมีแรงเท่าไร ถ้าเป็นไปได้ก็ ควรจะนอนพักอยู่บ้านเฉยๆ ยังไม่ควรที่จะออกไปข้างนอก สัก 2 วัน พอมีแรงก็น่าจะกลับไปใช้ชีวิตตามปกติได้ อาจจะมีอาการเบลอๆอยู่บ้าง แต่ก็ไม่ได้ร้ายแรงอะไร ”
“ ครับ ”
“ สงสัยอะไรไหมครับ ”
“ ไม่มีครับ ”
“ งั้นผมขอตัวก่อนนะครับ ”
“ ขอบคุณมากนะครับคุณหมอ ”
“ ทำไมจันทร์ไม่บอกพี่ว่าย้ายหอ ”
“ ก็จันทร์กลัวพี่ฉายจะดุ ”
“ มันใช่เรื่องไหมเนี่ย ”
“ พี่ฉายอย่างอนจันทร์เลย ”
“ มันน่าไหมล่ะ ทำอะไรไม่เคยจะบอกพี่ ”
“ … ”
“ จะทำอะไรก็ต้องนึกถึงพี่บ้าง…พี่เป็นห่วง ”
“ ฮึก ”
“ จันทร์ไหวไหม โอเคหรือเปล่า ”
“ … ”
“ พี่ขอโทษนะ ที่ดูแลจันทร์ไม่ดี ”
“ ฮือ จันทร์ขอโทษ ”
“ มันทรมานมากเลยใช่ไหม ”
“ มากเลยครับพี่ฉาย ”
“ ทนอีกนิดได้ไหม เดี๋ยวพี่ก็จะกลับมาอยู่กับจันทร์แล้ว ”
“ ฮึก จันทร์จะรอ ”
“ อีกนิดเดียวพี่สัญญา ”
“ ครับ ”
“ อย่าทำอะไรแบบนี้อีกได้ไหม ”
“ … ”
“ ชีวิตพี่ตอนนี้ก็เหลือแค่จันทร์คนเดียว ถ้าจันทร์ไม่อยู่ แล้วพี่จะอยู่กับใคร ”
“ เดี๋ยวพี่ฉายก็มีแฟน ”
“ มันใช่เวลามาพูดแบบนี้ไหมเนี่ย ”
“ ฮึก ”
“ เดี๋ยวพี่ต้องรีบบินกลับไปแล้ว พรุ่งนี้พี่มีสอบ ”
“ อ้าว จะกลับแล้วหรอ ”
“ หรือยังไงดี หรือจะให้พี่ดรอปเรียนไว้ก่อนไหม ”
“ ไม่ได้นะ พี่ห้ามทำแบบนั้นเด็ดขาด ”
“ หรือจันทร์จะย้ายไปอยู่กับพี่ ”
“ จันทร์อยากเรียนที่ไทยครับ ”
“ เฮ้อ ก็ได้ แต่ยังไงน้องต้องดูแลตัวเองให้ดีนะ สัญญากับพี่ ”
“ ครับ จันทร์สัญญา ”
“ ถ้าไม่สบายใจหรืออะไร ต้องโทรหาพี่ และห้ามคิดสั้นอีก โอเคนะ ”
“ ครับ พี่ฉาย อยู่จนกว่าจันทร์จะหลับได้ไหม ”
“ ได้ครับ นอนพักนะคนเก่ง ”
บทสนทนาของสองพี่น้องที่ลอดผ่านช่องประตูออกมา ทำให้ผมพอจะได้ยินอยู่บ้าง ไม่นานพี่ชายของจันทร์ก็เดินออกมาจากห้องนอน คงแปลว่าอีกคนได้หลับไปแล้ว
“ ขอคุยกับนายหน่อย ”
“ ครับ ”
“ ชื่อแทนใช่ไหม ”
“ ครับ ”
“ เข้าเรื่องเลยละกัน พี่รีบ ”
“ ฟังจากอาหมอ พ่อของนายมาบ้างแล้ว ขอบคุณมากๆที่คอยดูแลจันทร์ แต่พี่ก็พอรู้มาว่านายทำน้องของพี่เสียใจ ”
“ ขอโทษครับ ”
“ จะโทษนายฝ่ายเดียวก็คงไม่ได้ ต้องโทษน้องพี่ด้วย ”
“ ครับ ”
“ จันทร์น่ะชอบนายมากๆเลยนะ ชอบเล่าเรื่องของนายให้ฟังเวลาโทรคุยกัน ”
“ … ” แถบแอบดีใจแบบบอกไม่ถูก
“ แต่นายมีแฟนอยู่แล้ว ถ้าพี่พูดไปแล้วทำให้นายอึดอัดก็ขอโทษด้วย ถามตรงๆว่า ยังอยากให้น้องพี่อยู่ด้วยไหม ถ้าไม่สะดวก พี่ก็จะหาที่อยู่ให้น้องของพี่ใหม่ จะได้ไม่รบกวนนาย ”
“ ไม่เป็นไรครับ ผมเต็มใจ ”
“ นายแน่ใจนะ ”
“ ครับ ”
“ งั้นพี่คงต้องฝากน้องของพี่ด้วย อีกไม่นานเดี๋ยวพี่ก็จะกลับมาดูแลเขาเอง แต่ถ้านายทำน้องพี่เสียใจอีก พี่จะมารับเขาไปอยู่กลับพี่ทันที ”
ผมไปส่งพี่ของจันทร์ที่สนามบินทันเวลาเช็คอินพอดี
กลับมาถึงห้องก็พบคนที่หลับไปตื่นขึ้นมาพอดี
“ พี่ฉายกลับแล้วหรอ ”
“ อืม ”
จันทร์ไม่ได้พูดอะไรต่อ ก่อนที่จะเดินไปนั่งหน้าทีวี
“ หิวไหม ” ผมถามพรางนั่งลงข้างๆ
“ ไม่ครับ แล้วแทนหิวไหม ”
“ ไม่ค่อยเท่าไร ขอคุยอะไรด้วยหน่อย ”
“ ครับ ”
“ ทีหลังอย่าทำอะไรแบบนี้อีก ”
“ ขอโทษครับ ที่สร้างแต่เรื่องให้ ” อีกคนตัวเริ่มสั่น
“ เปล่า…ไม่ใช่แบบนั้น ”
“…”
“ แค่กลัวจะเสียนายไป ”
“ … ”
“ อย่าทำแบบนั้นอีก ขอร้อง ได้ไหม ”
“ ฮึก ครับ ”
ผมใช้แขนดึงเขาเข้ามากอด ก่อนที่จะจับให้เขาหงายหน้าขึ้นมา ดวงตาสองคู่ประสานกันก่อนที่ผมจะค่อยเคลื่อนหน้าเข้าไปใกล้ใบหน้าขาว แล้วจูบทับไปที่เปลือกตา เพื่อซับน้ำตาที่กำลังไหลหยดหลังมาที่แก้ม
ผมไล่จูบจากเปลือกตา ลงมาเรื่อยๆ ก่อนจะมาหยุดที่ริมฝีปากบาง แล้วจูบลงไปอย่างแผ่วเบา
จากนั้น ผมใช้ปากเม้มปากของอีกคน ก่อนจะพยายามดันลิ้นเข้าไปควานหาความหวานของอีกคนที่อยู่ในอ้อมกอด
เขาใช้มือสองข้างจับยึดที่เสื้อของผม ก่อนที่จะขย้ำมัน
ผมผละออกจากเขาเพื่อให้เขาหายใน ก่อนจะช้อนเอาตัวเขาขึ้นมาไว้ในแขน แล้วเดินเข้าไปยังห้องนอนของผมเอง
เขาทำหน้าตกใจเล็กน้อย
“ ปกติแทนไม่ให้ผมเขามาในห้องนี้ครับ ”
ก่อนที่อีกคนจะสงสัยไปมากกว่านี้ ผมวางร่างเล็กที่ตัวเบาหวิว อาจจะเพราะว่ากำลังป่วยลงบนที่นอนอย่างเบามือ
ก่อนจะโน้มหน้าเข้าไปใกล้เขา กำลังจะประทับริมฝีปากลงไป
“ อุ๊บ ” อีกคนเอามือปิดปาก ก่อนที่จะวิ่งไปยังห้องน้ำ
ผมรีบตามเข้าไป เขาโก่งขออ้วก ผมทำอะไรไม่ได้นอกจากลูบหลัง
“ เป็นไงบ้าง ”
“ ดีขึ้นแล้วครับ ” อีกคนก้มหน้าคุยกับผมหลังจากล้างปาก ล้างคอเสร็จแล้ว
“ งั้นนอนเลยล่ะกัน ”
“ ครับ ”
“ จะไปไหน ”
“ ไปนอนไงครับ ”
“ นอนนี้แหละ ”
“ จะดีหรอครับ ”
“ อือ ดี นอนด้วยกัน ตั้งแต่นี้เป็นต้นไป ”
“ เอ่อ แต่ว่า… ”
“ ห้ามแต่ หรือจะให้ฉันย้ายไปนอนห้องนายไหม ”
“ ไม่เป็นไรครับ นอนนี้ก็ได้ครับ ”
“ ก็แค่นี้ นอนก่อนเลย ฉันไปอาบน้ำก่อน ”
ผมลุกจากเตียงแล้วรีบหันหลังให้อีกคน กลัวเจ้าน้องชายของผมมันจะไปชี้หน้าเขา สงสัยคืนนี้ผมคงจะต้องจัดการกับอารมณ์ของตัวเองเสียก่อนที่จะหลับ ไม่อย่างนั้นคืนนี้ผมคงนอนไม่ได้แน่ๆ
“ ยังไงวันนี้ก็พักตามที่หมอสั่งไปก่อน กินอะไรที่อ่อนๆด้วย ฉันซื้อโจ๊กมาให้แล้ว นมก็มีอยู่ในตู้เย็น กินข้าวกินยาให้ตรงเวลานะ ”
“ ครับ ”
“ เจอกันตอนเย็น ”
ผมออกจากคอนโดเพื่อไปเรียน ส่วนจันทร์คงต้องพักผ่อนอยู่ที่คอนโดตามที่หมอสั่งให้อาการดีกว่านี้ก่อนถึงจะมาเรียนได้
ตอนแรกเจ้าตัวบอกว่าหายแล้ว
พูดไม่ทันขาดคำ ก็ทำแก้วน้ำตกแตก ขอโทษเป็นยกใหญ่
ลุกจากเตียงก็เกือบจะเป็นลม ผมเลยต้องซื้อข้าวซื้อนมมาไว้ให้ ขืนให้ทำอาหารเอง มีหวังได้เข้าโรงพยาบาลอีกรอบ
“ เต้ มึงมีเพื่อนเรียนศิลปะศาสตร์ป่ะวะ ”
“ เพื่อนไม่มี มีแต่กิ๊ก ”
“ เออ กิ๊กก็ได้ ช่วยอะไรกูหน่อย ”
เรื่องที่ผมให้เพื่อนสนิทช่วยคือ ไปถามงานของเด็กวิจิตรศิลป์ สาขาที่จันทร์เจ้าเรียนให้หน่อย ว่ามีงานอะไรบ้าง เพราะผมจำได้ว่า จันทร์เจ้าทำงานส่งแถบทุกวัน ไม่รู้จะสั่งงานอะไรเยอะแยะหนักหนา
แต่อย่างว่าแหละครับ แต่ละคณะก็มีความอยากง่ายต่างกัน อย่างพวกผมก็ต้องท่องตำรากันจนแถบจะอ้วก
และก็จะให้ฝากให้ด้วย หายไปหลายวัน ไม่บอกไม่กล่าวอาจารย์เขา อาจจะหมดสิทธิ์สอบได้
“ เออๆ เดี๋ยวก็บอกให้ ”
“ มึงต้องบอกเลย ”
“ รีบจังวะ ”
“ ก็กูจะได้เอางานไปให้จันทร์เจ้ามันทำ ”
“ เป็นห่วงกันจังวะ ที่กับกูมึงไม่เห็นเป็นห่วงแบบนี้ ”
“ มึงกูก็ห่วง แต่คนละแบบ ”
“ หรอออ ”
“ อืม ”
“ มึงชอบเขาใช่ไหม ”
“ ชอบเหี้ยอะไร ไร้สาระ ”
“ เออ ขอให้จริงเถอะ ”
“ … ”
“ มึงจะชอบหรือไม่ชอบกูก็จะไม่ยุ่งละกัน แต่ยังไง มึงก็ควรจะเลือกสักทางนะเว้ย ไม่อย่างนั้น จะมีคนมากกว่าหนึ่งคนต้องเสียใจเพราะมึง ”
“ เออ ”
“ ไปๆเข้าเรียน ”
“ แล้วงานจันทร์เจ้าอ่ะ ”
“ โถ่ว ตอนนี้มันยังไม่เริ่มเรียน เดี๋ยวตอนเที่ยงกูไปขอให้ รีบจังอ่ะ นี้ส่งข้อความไปบอกให้ลาให้แล้ว ”
“ … ”
“ ไปๆ ไปเรียน ”
เพื่อนของเขาส่ายหน้าให้กับความร้อนรนของเขา ปกติธิปแทนแถบจะเป็นคนนิ่ง สุขุม ใจเย็น แต่กับเรื่องของจันทร์เจ้าทีไร รีบร้อนตลอด ไม่เป็นตัวเองเลยสักครั้ง
- Tiptan’s end -
ผมเปลี่ยนช่องทีวีไปเรื่อยๆ ตาก็มองไปยังนาฬิกาอีกไม่นาน เจ้าของคอนโดก็จะกลับมา
พอนึกถึงเขาทีไรก็พาลให้นึกถึงเรื่องเมื่อคืนอยู่เรื่อยๆ นึกทีไรอากาศรอบตัวก็ร้อนขึ้นทุกที
“ กลับมาแล้ว ” เสียงทุ่มหน้าฟังกล่าวทักทาย
“ ครับ ”
“ กินข้าวหรือยัง ”
“ เรียบร้อยแล้วครับ ”
“ ยาล่ะ ”
“ ก็เรียบร้อยแล้วครับ ”
“ อ่ะนี้ ” เขายื่นเศษกระดาษแผ่นหนึ่งให้ผมพร้อมกับถึงใส่ของ
“ ครับ? ”
“ งานน่ะ ทำให้เสร็จแล้วเดี๋ยวเอาไปส่งอาจารย์ให้ ”
“ อ่อครับ ”
ผมคลี่กระดาษดูรายละเอียดงานที่สั่ง ลองมองนาฬิกา ถ้าทำตอนนี้น่าจะพอทันส่งพรุ่งนี้เช้าอยู่ งานคราวนี้ไม่ได้ยากมาก แต่งานค่อนข้างจะละเอียด
“ ผมขอตัวไปทำงานก่อนนะครับ ”
“ อืม ”
ตอนนี้เป็นเวลาเกือบตีสองแล้ว ผมนั่งอยู่กับงานชิ้นนี้มาเป็นเวลาร่วม 7 ชั่วโมง
ผมมองงานที่เกือบเสร็จสมบูรณ์เหลือแต่ตัดเสร็จอีกเล็กน้อย แต่มันค่อนข้างจะละเอียด
แต่ตอนนี้ตาของผมค่อนข้างจะเบลอ เลยตั้งใจว่าค่อยตื่นมาทำน่าจะดีกว่า ถ้าหากงานเละไปผมได้ทำใหม่แน่ๆ
อีกอย่างผมว่าผมควรนอนพักก่อน กว่างานจะมาได้เยอะขนาดนี้ ผมก็แถบจะหมดแรง เพราะอ้วกออกมาก็หลายรอบ ความตายมันทรมานจริงๆแหละครับ
ถ้าหากคนที่ฆ่าตัวตายแล้วได้ตายก็คงจะไปสบาย
แต่อย่างผมต้องมานั่งชดใช้เวรกรรมของตัวเองต่อไป
ผมตื่นขึ้นมาก่อนจะเห็นว่า พระอาทิตย์ขึ้นแล้ว ก็รีบเด้งตัวขึ้นจากที่นอน ตั้งใจว่าจะนอนแปบเดียวแล้วตื่นมาทำงานต่อตอนตีห้า แต่รู้ตัวอีกที่ก็เกือบแปดโมงแล้ว
เห็นอย่างนั้นเลยรีบไปนั่งที่โต๊ะกำลังจะจับปากกาตัดเส้น
แต่ต้องชะงัก เมื่อเห็นว่างานที่ทำค้างไว้ เสร็จหมดแล้ว
“ เอางานมา จะไปเรียนแล้ว ”
“ ครับ แทนคือว่า ”
“ ค่อยมาคุยกัน เดี๋ยวไปเรียนก่อน ”
ผมเหม่อมองไปยังท้องฟ้ากว้าง ที่ตอนนี้เริ่มเปลี่ยนสีเป็นสีส้มเข้ม ตัดกับเส้นขอบฟ้า
น้ำตาไหลออกมาไม่รู้ตัว
ไม่ใช่ครั้งแรกที่เป็นแบบนี้
แถบจะทุกครั้งที่มองท้องฟ้าในตอนเย็น ผสมกับห้องมืดๆ น้ำตาก็ไหลออกมาตลอด เศร้าแบบบอกไม่ถูก
ไม่ได้เจ็บ ไม่ได้ปวด แต่หาเหตุผลให้ตัวเองไม่ได้เหมือนกัน ว่าทำไมถึงร้องไห้
ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าอะไรที่ทำให้ร้องไห้
…แสงของท้องฟ้าในยามพลบค่ำ
…ห้องที่ไม่ได้เปิดไฟ
…หรืออากาศที่หนาวเย็นเวลาที่อยู่คนเดียวแบบนี้…
“ ร้องไห้ทำไม ”
ผมปาดน้ำตา แล้วพยายามบังคับเสียงให้เป็นปกติก่อนจะเปล่งออกไป
“ เปล่าครับ ”
อีกคนลงมานอนซ้อนหลังของผม ก่อนที่จะสวมกอดผมจากข้างหลัง
“ เป็นอะไร ”
“ คิดถึงพ่อกับแม่ ”
“ อยากเล่าอะไรไหม ”
“ … ”
“ งั้นขอถามนะ ”
“…”
“ ทำไมถึงเป็นแบบนี้ ”
ผมคิดว่าสิ่งที่เขาถามไม่ใช่ถามว่าผมร้องไห้เพราะอะไร แต่คงเพราะว่าทำไมผมถึงเป็นโรคนี้
“ ตอนนั้นผมอยู่กำลังจะขึ้น ม.6 ไปเที่ยวกับพ่อกับแม่ เกิดอุบัติเหตุรถคว่ำทำให้ต้องเสียพ่อไป หลังจากนั้น แม่ต้องทำงานหนักขึ้น เลี้ยงลูกสองคน พี่ฉายก็ต้องไปเรียนที่ต่างประเทศ ทำให้แม่ต้องทำงานหนักมากยิ่งขึ้นกว่าเดิม ถึงแม้พี่ฉายจะได้ทุน แต่แม่ก็กลัวพี่ฉายลำบากเลยต้องส่งเงินไปให้ทุกเดือน และแม่ทำงานหนัก ทำให้แถบจะไม่มีเวลาให้ผม
ช่วงนั้นเป็นช่วงสอบเข้ามหา’ลัยพอดี ผมมีคณะที่อยากเข้าอยู่แล้ว เหมือนเราไม่ได้เผื่อใจ พอผมไปสอบ … สอบไม่ติด ตอนนั้นเคว้งมาก บอกแม่ก็ไม่ได้ พี่ฉายก็ไม่ค่อยว่าง ตัดสินใจอยู่คนเดียว ไม่รู้จะไปปรึกษาใคร ล้มอยู่สักพักหนึ่งก่อนจะฮึดสู้ขึ้นมาใหม่ได้อีกครั้ง
และผมก็สอบติดคณะที่อยากเรียนแต่คนละมหา’ลัย กำลังจะกลับบ้านไปบอกข่าวดีกับแม่
ก็ต้องพบกับข่าวร้ายแทน
วันนั้นแม่ไม่สบาย เลยกลับมาจากทำงานไวกว่าเวลา
แม่…หัวใจวายเฉียบพลัน
ผมยังจำแม่ที่ล้มลงไปกับพื้นต่อหน้าได้ดี
หน้าตาของแม่ซูบลงอย่างเห็นได้ชัด ใต้ตาก็ลึกลงไป
เล็บของแม่เปลี่ยนเป็นสีม่วง
เนื้อตัวของแม่เย็นเฉียบ
ผมทำอะไรไม่ถูก พยายามตั้งสติแล้วโทรหาเบอร์ฉุกเฉินของโรงพยาบาล แล้วโทรหาพี่ฉาย
กว่าพี่ฉายจะมาแม่ก็จากโลกนี้ไปแล้ว…
หลังจากงานของแม่ผ่านไป
พี่ฉายก็บินกลับไปเรียนต่อ
ทีนี้ผมเลยต้องอยู่คนเดียว เริ่มเก็บตัวเงียบ และไม่ไปเรียน
ตอนนั้นเกือบจะเรียนไม่จบ ม.6 ได้อาจารย์ที่ปรึกษามาช่วยไว้ เขามาตามผมถึงบ้าน และพูดให้ผมได้สติ แล้วกลับไปเรียนหนังสือต่อให้จบ
แม่จากไป ทิ้งเงินที่เป็นประกันไว้ให้ผมกับพี่ฉายไว้ให้ได้ฉายเยอะพอสมควร
นอกจากเงินที่แม่ทิ้งไว้ ก็มีโรคที่ผมเป็นอยู่ตอนนี้เขามาด้วย
มันค่อยๆมามีส่วนร่วมในชีวิตผม จากทีละน้อยๆ จนในที่สุดมันก็มาอยู่กับผม ”
หลังจากเล่าที่มาและอาการให้เขาได้ฟัง เขาก็กอดสวมผมแน่นกว่าเดิม ผมพลิกตัวเข้าหาความอบอุ่นนั้น ก่อนจะซุกลงไปที่อกของเขา แล้วหลับไป
TBC.
Talk.
สวัสดีครับ สวัสดีย้อนหลังวันสงกรานต์ด้วยนะครับ
ตอนนี้พี่ฉายมาแล้วววว และยังคลายปมอีกว่าทำไมจันทร๋เจ้าถึงเป็นโรคนี้ได้
ตอนหน้าจะพา ตะวันมาหานะ ยังไงมารออ่านด้วยนะครับ
อ่านแล้วก็คอมเม้นต์เป็นกำลังใจให้กันได้นะครับ
ชอบไม่ชอบก็บอกกันได้นะครับ ^^