05
- Painkiller -
ผลของการตอบคำถามอย่างถือดี
หลังจบคาบเรียน แม้จะยังคงถูกมิสโอลีเวียเรียกไปติเตียนเรื่องที่นั่งฟังเพลงระหว่างสอนอีกหลายประโยค ทว่าหล่อนดูไม่ได้ติดใจอะไรนักผิดจากที่คาด ลองถ้าเป็นครูท่านอื่นคงถูกหมายหัวไปอีกนาน แต่หล่อนเพียงแค่ใช้สายตาคาดโทษจ้องมองเขาแล้วสั่งการบ้านให้ไปหาเพลงหรือบทประพันธ์อื่นมาอ่านให้เพื่อนฟังในคาบหน้าก่อนเดินออกไป
แต่ในความเรียบง่ายนั้นก็มีความยากอยู่ เพราะรัชชาตะไม่ชอบทำการบ้าน ที่ผ่านมาเขาใช้วิธีเปลี่ยนให้การบ้านเป็นการโรงเรียนเสมอ หรือไม่ก็ไม่ส่งมันเสียเลย แกล้งทำเป็นลืมแล้วผลัดไปเรื่อยๆ สุดท้ายแล้วพอเพื่อนที่คอยรวมงานหรือครูรู้สึกเหนื่อยหน่ายก็เลิกกันไปเอง เขาใช้วิธีแบบนี้มาตลอด ทำแค่บางงานพอให้ผ่านแบบกล้อมแกล้มไป
ตั้งแต่ขึ้นชั้นม.5 แล้วผลการโหวตหัวหน้าห้องได้มติเป็นเอกฉันท์คือหัวหน้าห้องคนปัจจุบันผู้เก็บตัวและไม่ค่อยสุงสิงกับใครเท่าใดนัก รัชชาตะยังอดคิดไม่ได้เลยว่าพวกเพื่อนในห้องคงแค่อยากปัดภาระที่ใครก็คิดว่ายุ่งยากไปให้พ้นตัว แต่ถึงกระนั้นก็ไม่ได้หมายความว่าจะเป็นใครก็ได้เสียทีเดียว เพราะทุกคนต่างพยายามที่จะรักษาสมดุลของความสัมพันธ์ที่ชื่อว่า “มิตรภาพ” หรือ “ความสามัคคี” กันอย่างแข็งขัน และไม่อยากไปแตะเส้นกั้นบางๆนั้นจนพังทลายลงมา คุณหัวหน้าห้องคนนี้ถึงได้เป็นตัวเลือกที่เหมาะสมที่สุดจนทุกคนพากันเทคะแนนให้อย่างไม่ลังเลเลยทีเดียว
สิ่งที่ผิดคาดเห็นจะมีแค่ท่าทีของเจ้าตัวที่ดูไม่ยี่หระเท่าไร ไม่แม้แต่จะคัดค้านหรือแสดงสีหน้าลำบากใจให้เห็นเลยสักนิด แค่พยักหน้าเหมือนรับรู้ว่า ‘เข้าใจแล้ว ฉันได้เป็นหัวหน้าห้องสินะ’ เท่านั้น บทสรุปที่จบลงด้วยดีไม่ต้องบอกก็รู้ว่าทุกคนต่างก็แอบโล่งใจที่ไม่ต้องหารือโหวตใหม่แล้วกลายเป็นประเด็นให้เกิดการถกเถียงกันขึ้นมาโดยไม่จำเป็น
แถมคุณหัวหน้ายังสามารถปฏิบัติหน้าที่ได้อย่างดีเลยเสียด้วย
อีกฝ่ายคอยตามทวงงานไม่ลดละ ทั้งยังอยู่เย็นเฝ้าเขาทำงานส่งทุกครั้งกะไม่ให้ปฏิเสธ งานที่เคยทำส่งแค่ให้พอผ่านไม่ซ้ำชั้นก็กลายเป็นส่งครบทุกงานจนเกรดเทอมที่แล้วดีขึ้นผิดหูผิดตา กระทั่งน้องสาวที่บังเอิญเห็นใบแจ้งผลการเรียนของเขาตอนเข้ามาในห้องยังแสดงสีหน้าแปลกใจอย่างที่ไม่ค่อยได้เห็นบ่อยนัก จะบอกว่าเป็นผลพวงในด้านดีก็คงไม่ผิดเท่าไร การมีใครสักคนคอยจ้ำจี้จ้ำไช แท้จริงแล้วก็ไม่ได้เลวร้ายขนาดนั้น แม้ช่วงแรกที่ยังปรับตัวไม่ได้ออกจะรำคาญอยู่บ้าง
เสียงกริ่งบอกคาบเรียนสุดท้ายสิ้นสุดลง กลุ่มเพื่อนของเขาที่ตกลงกันว่าจะไปเจอกันที่ห้องซ้อมตอนห้าโมงเย็นก็พากันแยกตัวต่างคนต่างไปทำธุระของตัวเองกันก่อน
รัชชาตะเป็นคนเดียวที่ไม่ได้เก็บกระเป๋าแต่หยิบกระดาษเอสี่เปล่าขึ้นมาวางบนโต๊ะพร้อมกับกดโทรศัพท์มือถือค้นหาเพลงในลิสต์ที่มักชอบฟัง เขาค่อยๆกดเลื่อนดูทีละเพลงอย่างใจเย็น กว่าสิบนาทีที่เสียไปทำให้พบว่าการเลือกได้เพียงแค่หนึ่งจากในบรรดาทั้งหมดเป็นเรื่องยากถึงเพียงนี้ คิดทบทวนอยู่นานสุดท้ายก็ตัดสินใจเลือกขึ้นมาเพลงหนึ่ง
“ทำงานของมิสโอลีเวียเหรอ”
รัชชาตะเงยหน้ามองเจ้าของเสียงทัก นัยน์ตาสีดำสนิทปรากฏภาพของคุณหัวหน้าห้องที่หมู่นี้ขยันมาป้วนเปี้ยนอยู่รอบตัวเขาจนผิดสังเกต
“อ่าหะ”
“ถึงไหนแล้วล่ะ กำลังหาเพลงเหรอ”
“เปล่า เลือกได้แล้ว เสิร์ชหาเนื้ออยู่”
“ใช่เพลง Radioactive หรือเปล่า”
“.....”
“หรือว่า Stay”
คิ้วเข้มเลิกขึ้นเมื่อได้ยินคนตรงหน้าเอ่ยถึงเพลงโปรดที่เขาฟังช่วงนี้ออกมา แม้จะไม่ใช่คำตอบที่ถูกต้อง แต่ก็สร้างความประหลาดใจแก่เขาไม่น้อย คุณหัวหน้าห้องที่ดูไม่ค่อยสนใจอะไรนอกจากการตามทวงงาน คงไม่ใช่ว่าแอบไปส่องดูความเคลื่อนไหวของเขาบนหน้าโซเชียลมีเดียหรอกมั้ง
เขาเลือกเฉลยด้วยการร้องท่อนหนึ่งของเพลงผ่านเสียงนุ่มทุ้ม นอกจากเล่นกีต้าร์แล้วเสียงร้องก็นับว่าไม่แย่ เนื่องจากเนื้อเสียงที่หนักแน่นและเป็นเอกลักษณ์ หากฝึกฝนอย่างสม่ำเสมอก็คงสามารถนำไปใช้แสดงได้ แต่พอคิดว่าต้องสละเวลาซ้อมกีต้าร์เพื่อทักษะที่ไม่ได้ชอบมากมายขนาดนั้น แถมยังมีนิรัชเป็นนักร้องนำอยู่แล้ว เขาจึงไม่สนใจเท่าไร
“เอ๊ะ” ร่างผอมชะงักพลางทำสีหน้ายุ่งเหยิง ท่าทางเหมือนกังขาแต่ก็ยอมรับในขณะเดียวกัน “Be as you are”
“เคยฟังเหรอ”
เพลงนี้ค่อนข้างนานและไม่เป็นที่รู้จักเท่าไรนักหากเทียบกับนักร้องที่มียอดฟังเป็นพันล้านวิว รัชชาตะจึงไม่คิดว่าเมษาจะเคยฟังเพลงนี้ด้วย
“อืม แต่ไม่ค่อยชอบเท่าไร”
ดูจากปฏิกิริยาก็พอจะเดาออก
รัชชาตะไม่ได้ถามต่อถึงเหตุผลว่าทำไม เขาคิดว่าทุกคนล้วนมีรสนิยมและความชอบจึงไม่ได้ติดใจสงสัยอะไรมากมายนัก ที่สำคัญจะให้ไปก้าวก่ายเรื่องของคนที่ไม่ได้สนิทกันก็ผิดวิสัยอยู่แล้ว เขาไม่จำเป็นต้องไปคอยบงการหรือรู้เรื่องของผู้อื่น สนใจแค่เรื่องของตนเองที่ตอนนี้แทบล้นสองมือก็เพียงพอแล้ว
“ส่วนฉันคงฟังเพลงนี้ไปจนอายุยี่สิบหกละมั้ง”
“.....”
“หลังจากนั้นก็คงโตพอแล้ว” เสียงทุ้มเอ่ยง่ายๆถึงความคิดของเขา ระหว่างนั้นก็เสิร์ชหาเนื้อเพลงจากบนเว็บไซต์ต่ออย่างไม่ใส่ใจ ก่อนจะคัดลอกมันลงในกระดาษที่เตรียมเอาไว้อย่างคล่องแคล่ว
เดดแอร์ที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหันไม่ได้ทำให้อีกฝ่ายผละไปดังที่คาด กลับกันแล้วยังถือวิสาสะเลื่อนเก้าอี้ตัวที่อยู่ด้านหน้าโต๊ะเขามานั่งเองโดยไม่มีทีท่าจะจากไป ร่างสูงถึงอดถามไม่ได้ “วันนี้ฉันไม่ได้ค้างส่งงานอะไรแล้วไม่ใช่เหรอ”
“เราก็ไม่ได้บอกว่ารอนายสักหน่อย”
“แล้วมานั่งทำไม”
“ปกติเรากลับเย็นอยู่แล้ว ไหนๆนายก็อยู่เหมือนกันเลยขอนั่งด้วยไม่ได้เหรอ”
“ก็เปล่า นึกว่านายกลับเย็นแค่วันที่ต้องรองานจากฉันซะอีก”
“.....”
คู่สนทนาเงียบไม่ตอบรับหรือปฏิเสธ มีเพียงรอยยิ้มบางที่ถูกแต้มลงบนหน้าที่หากพินิจดูดีๆแล้วชวนให้ไพล่หลง นัยน์ตาสีอ่อนรับกับผิวขาวเนียนละเอียดให้อารมณ์วาบหวามอย่างหาได้ยาก ไม่เว้นแม้แต่เส้นผมสีน้ำตาลไหม้ที่ยามต้องแสงก็ยิ่งเป็นประกาย ขับเน้นให้ทุกองค์ประกอบบนร่างกายของเมษาดูเลือนรางดุจภาพฝัน
รัชชาตะเผลอมองอยู่ครู่หนึ่งด้วยอารามลืมตัว ก่อนรีบดึงตัวเองออกจากภวังค์ทันทีที่ได้สติ กลัวว่าการกระทำของตนจะทำให้อีกฝ่ายอึดอัดที่ถูกจ้องไม่ละสายตา แต่พอเห็นเจ้าตัวกำลังมองไปยังกีต้าร์ที่วางพิงผนังห้องอยู่ข้างหลังเขาจึงไม่ทันรู้สึกตัว รัชชาตะค่อยโล่งอก
“สนใจเหรอ” เขาถามด้วยเสียงไม่ดังไม่เบานัก
“นิดหน่อย เห็นนายเล่นเหมือนไม่ยาก แต่คงไม่ใช่สินะ” เมษาบอกยิ้มๆ
“สองขวบฉันก็จับกีต้าร์แล้ว”
มัวแต่ให้ความสนใจกับคนตรงหน้ามากไปหน่อยจนเผลอเขียนผิดไปหนึ่งคำ เขาใช้ปากกาแท่งเดียวกันนั้นขีดฆ่าทิ้งแล้วเขียนคำที่ถูกต้องลงไปพร้อมกับยักไหล่แล้วพูดต่อ “จะเอามาเทียบกันได้ไง”
“หืม? คุณพ่อสอนให้ตั้งแต่เด็กเลยเหรอ”
“เปล่า แม่น่ะ”
“เป็นคุณแม่ที่สุดยอดไปเลยนะ”
“คงอย่างนั้นมั้ง”
คิ้วเข้มเผลอขมวดเป็นปมโดยไม่รู้ตัว แต่ไหนแต่ไรเขาก็ไม่ใช่คนเก็บความรู้สึกเก่ง คิดอย่างไรก็มักเผลอแสดงออกมาทางสีหน้าจนน้องสาวเตือนอยู่เป็นประจำว่าหัดควบคุมอารมณ์เสียบ้าง แทบจะเขียนทุกอย่างไว้บนหน้าผากอยู่แล้ว ไม่เช่นนั้นคงถูกเกลียดเข้าสักวัน
อาจเพราะเขาเป็นแบบนี้กระมัง จึงส่งผลให้บุคลิกของน้องสาวแทบจะตรงกันข้ามกับเขาทุกอย่าง รายนั้นทั้งใจเย็นและอ่อนโยน มักจะรับมือกับสถานการณ์ทุกอย่างได้ด้วยรอยยิ้ม ต่อให้เป็นเรื่องที่หนักหนาจนแทบกระอักเลือด ก็ยังคงระบายยิ้มราวกับดอกทานตะวันแย้มรับแสงแดด กลายเป็นเขาเองที่รู้สึกทนไม่ได้เมื่อต้องเห็นรอยยิ้มเหล่านั้น
และอีกฝ่ายก็คงสังเกตเห็นการแสดงออกที่ชัดเจนเกินพอดีของเขาจึงได้ไม่พูดอะไรต่อ ส่งผลให้บรรยากาศในห้องตกสู่ความเงียบอันน่าอึดอัดอีกครั้งไปหลายนาที
แม้ไม่ได้เงยหน้าขึ้นมอง แต่ตรงปลายหางตาก็ปรากฏภาพของคุณหัวหน้าห้องที่มีสีหน้าครุ่นคิดให้เห็น รัชชาตะแอบนึกขันอยู่ในใจ การฝืนคุยกับคนที่มีความคิดแตกต่างกันโดยสิ้นเชิงแท้จริงแล้วไม่ยากและไม่ง่าย แต่สำหรับเจ้าตัวที่ไม่ใช่คนพูดเก่งคงเป็นแบบหลัง จึงได้มีท่าทางเช่นนั้นทุกครั้งเหมือนกำลังพยายามเค้นสมองอย่างหนักว่าพูดอะไรจึงจะดี
“ในคาบเรียนทำไมถึงตอบมิสโอลีเวียไปแบบนั้นเหรอ” เสียงซึ่งสูงกว่าเขาถึงสองโทนเอ่ยถามออกมาในที่สุดหลังจากผ่านมาพักใหญ่
“ทำไม? นายคิดว่าเชกสเปียร์พูดถูกเหรอ” เขาถามกลับ
“เปล่า”
“หรือว่ามีแนวคิดอื่นอยากนำเสนอ?”
“ไม่ใช่อย่างนั้น”
“แล้วอะไร”
“เราก็แค่ไม่เข้าใจ”
“หืม?”
“เพราะไม่รู้ก็เลยถาม” น้ำเสียงแฝงความลนลานอย่างชัดเจนเหมือนเกรงว่าถูกจะเข้าใจผิด จึงรีบอธิบายต่อเป็นพัลวัน “เห็นตอบแบบนั้นเลยสงสัยว่านายหมายความว่าอย่างไร”
สำหรับเมษาแล้ว ‘รัก’ ช่างเป็นคำที่ชวนให้รู้สึกแปร่งหู
ทั้งที่ปากพร่ำรำพันว่ารักเป็นพันเป็นหมื่นครั้ง แต่เหตุใดจึงได้ทำร้ายกันและกันได้อย่างเลือดเย็นเหลือเกิน พ่อของเขาบอกว่ารักเขากับแม่ แต่สุดท้ายแล้วกลับทิ้งคนที่ตัวเองรักเอาไว้เบื้องหลังแล้วจากไปตามอำเภอใจ ศศินเองก็ด้วย บอกว่ารักแม่แต่กลับใช้กำลังที่เหนือกว่าทุบตี และที่เลวร้ายกว่านั้นยังบังคับให้เขามีสัมพันธ์ด้วยทั้งไม่เต็มใจด้วยคำว่ารักราวกับว่ามันชอบธรรม เขาไม่เห็นเข้าใจสักนิดว่ารักคืออะไรกันแน่
แต่รัชชาตะไม่เหมือนกับเขา เจ้าตัวไม่ใช่ไม่รู้ แต่คงแค่ไม่อยากตอบ ก็ในวันนั้นใบหน้าหล่อเหลาออกจะสว่างไสวจนตาพร่าเลือนถึงเพียงนั้น รอยยิ้มน้อยๆและคำว่ารักยังคงประทับอยู่ในใจเขาอย่างยากจะลบออก สีหน้าที่ราวกับจะคว้าเดือนสอยดาวมาให้อีกฝ่าย พานทำเอาเมษาอดคิดไม่ได้ว่าถึงเขาจะไม่รู้ว่ารักหน้าตาเป็นเช่นไร แต่ถ้าเขาได้เป็นเจ้าของ ‘รัก’ ของผู้ชายคนนี้จะต้องมีความสุขมากแน่
เขาอยากถูกคนคนนี้รัก
เจ้าของมือซึ่งจับปากกาอยู่เหลือบดวงตาสีดำสนิทมองพลางเลิกคิ้ว เขาไม่เห็นจำได้เลยว่าคุณหัวหน้าห้องปกติแล้วเป็นคนขี้สงสัยถึงขนาดนี้ ร้อยวันพันปีไม่เคยถามความคิดของเขาหรือพยายามต่อบทสนทนาด้วยความสนอกสนใจ หัวไปโดนกระแทกมาที่ไหนสักแห่งหรือเปล่านะ
“รู้จัก Love is a Dog from Hell ไหม”
“เซอร์เบอรัส?”
รัชชาตะยิ้มขำกับคำตอบที่หลุดออกมาตามสัญชาตญาณของเมษา
“เหมือนฉันจะไม่ได้ถามนะว่าหมาตัวนั้นชื่ออะไร”
“ขอโทษที”
ทั้งที่เป็นแค่ประโยคแกล้งเย้า แต่ร่างผอมกลับขอโทษออกมาจริงจนกลายเป็นเขาเสียเองที่ไปต่อไม่ถูก ดังนั้นจึงแสร้งทำเป็นว่าเมื่อสักครู่นี้ไม่มีอะไรเกิดขึ้น ก่อนสาธยายถึงคำตอบที่แง้มค้างเอาไว้
“Love is a Dog from Hell เป็นหนังสือที่ Charles Bukowski เขียน เนื้อหาก็เหมือนกับชื่อเรื่องนั่นแหละ เสียดสีความรัก น่าจะพอเดาได้”
รัชชาตะสังเกตเห็นว่าคู่สนทนายังคงทำหน้าไม่เข้าใจ คาดว่าเพราะไม่เคยอ่านจึงจินตนาการตามไม่ออก ไหนๆก็อุตส่าห์บรรยายเสียยืดยาวขนาดนี้แล้วจะปล่อยให้อีกฝ่ายคาใจต่อไปก็ใช่เรื่อง ดังนั้นจึงใจดีช่วยขยายความเพิ่มเติมให้อีกหลายประโยค
“ถ้า Sonnet 116 ของเชกสเปียร์เปรียบความรักเป็นค็อกเทลเบาๆไว้จิบสักแก้ว Love is a Dog from Hell ก็คงเปรียบความรักเหมือนว็อดก้าเพียวๆที่นายต้องกระดกรวดเดียว”
“.....”
“นอกจากรสหวานที่สัมผัสได้เพียงน้อยนิด
“.....”
“ก็เหลือแค่ความรู้สึกร้อนลวกคอ”
∞ ∞ ∞ ∞ ∞ ∞ ∞
ประมาณเกือบสองทุ่ม รัชชาตะขอตัวผละออกจากห้องซ้อมเป็นคนแรกแล้วตรงดิ่งกลับคอนโดทันทีหลังได้รับข้อความจากผู้เป็นน้องสาวผ่านแอปพลิเคชันสีเขียว ว่าตอนนี้กำลังรอกินข้าวเย็นด้วยกันอยู่ที่ห้องของเขาซึ่งอยู่ห่างจากบ้านศิวรักษกุลแค่สองสถานีหากเดินทางด้วยรถไฟฟ้ามหานคร
นับว่าชายคนนั้นยังมีเมตตาอยู่บ้าง
ร่างสูงขึ้นคร่อมพาหนะคู่ใจก่อนขับแล่นไปบนท้องถนนซึ่งมีเพียงแสงสว่างจากเสาไฟข้างทาง สภาพแวดล้อมที่เงียบและมืดชวนน่าประหวั่นถึงความปลอดภัยสำหรับใครหลายคน แต่ไม่ใช่กับรัชชาตะที่มักออกมาขับรถเล่นคนเดียวกลางดึกเป็นงานอดิเรก บรรยากาศของเมืองที่ไร้ผู้คนให้ความรู้สึกแปลกแยกจากตอนกลางวันโดยสิ้นเชิง ความต่างอย่างสุดขั้วนี้ทำให้เพียงจ้องมองก็นำพาให้สงบใจได้อย่างน่าประหลาด
รัชชาตะนำรถมอเตอร์ไซค์ไปจอดก่อนเดินขึ้นลิฟต์ เขาก้มมองนาฬิกาบนข้อมือพบว่าตอนนี้เป็นเวลาสองทุ่มสี่สิบกว่านาที ห้องซ้อมของเขาอยู่ไม่ไกลจากคอนโดเท่าไร ทั้งโรงเรียน คอนโด บ้าน ห้องซ้อม ล้วนแล้วแต่อยู่ภายในรัศมียี่สิบกิโลเมตร หากสถานที่ซึ่งต้องเดินทางไปมาเป็นประจำอยู่ห่างเกินไป นั่นนับว่าเป็นเรื่องลำบากมากทีเดียว
มือกร้านจากการจับสายกีต้าร์มาเป็นเวลานานล้วงหยิบคีย์การ์ดในกระเป๋าขึ้นมาติ๊กเครื่องสแกนหน้าประตูแล้วเปิดเข้าห้อง ระหว่างที่กำลังถอดรองเท้าแล้วโยนสัมภาระทั้งหมดทิ้งไว้บนโซฟาห้องรับแขก เสียงใสกังวานก็ตะโกนมาจากในครัว
“กลับมาแล้วเหรอพี่ไอน์ มาช่วยนิอุ่นกับข้าวหน่อยสิ”
ชายหนุ่มเดินเข้าครัวไปอย่างว่าง่าย ภาพแผ่นหลังของหญิงสาวในชุดเครื่องแบบโรงเรียนสตรีชื่อดังที่กำลังง่วนอยู่กับการนำอาหารใส่ไมโครเวฟปรากฏสู่สายตา ตั้งแต่เกิดเรื่องเขาก็ไม่ได้พบน้องสาวอีกเลย จึงอดเขาเข้าไปสวมกอดเธอทั้งอย่างนั้นไม่ได้ กลิ่นกายคุ้นเคยช่วยคลายความรู้สึกคิดถึงให้เป็นอย่างดี เขายังคงกอดอีกฝ่ายไว้แน่นพร้อมเอ่ยถาม
“มาได้ยังไง พ่อยอมปล่อยเธอมาด้วยเหรอ”
“ก็ไม่ต้องบอกสิว่าจะมาหาพี่” ร่างในอ้อมแขนบอกอย่างไม่ยี่หระ “นิโกหกว่าจะมาค้างบ้านเพื่อน ทำรายงานกลุ่ม”
“ไม่กลัวถูกจับได้หรือไง”
“จับได้ก็ช่างสิ
“เดี๋ยวนี้ชักร้ายใหญ่แล้วนะ”
“ร้ายแล้วรักไหม”
“.....”
รัชชาตะเงียบไม่ตอบ เพียงแค่ออกแรงกระชับอ้อมแขนแน่นขึ้น
“ถ้าจะมายืนเกะกะก็ออกไปเลย นิหยิบของไม่ถนัด” เสียงเล็กบ่นอุบพลางแกะมือที่เกาะหนึบอยู่บนเอวอย่างเหนียวแน่นออกทีละข้าง
“ยังเหลืออะไรบ้าง”
“พี่ไอน์เอาสองจานนี้ไปวางโต๊ะแล้วกัน เดี๋ยวนิตักข้าวก่อน” รัชญาบุ้ยใบ้ไปทางกับข้าวสองจานที่ถูกวางอยู่ตรงเคาน์เตอร์โดยไม่แม้แต่จะหันมามอง
รัชชาตะที่ไม่ทันนึกเฉลียวใจถึงความผิดปกติรับคำในคอ ก่อนจะหยิบจานดังกล่าวไปวางโต๊ะแล้วเดินกลับเข้ามาในครัวอีกรอบ ทว่าครั้งนี้เขาได้เห็นหน้าของผู้เป็นน้องสาวชัดเต็มสองตา รอยแดงเป็นปื้นตัดกับผิวขาวดุจหิมะจนยิ่งเห็นได้ชัด ที่สำคัญใบหน้าที่คล้ายคลึงกับเขาเจ็ดแปดส่วนยังบวมเป่งเด่นสะดุดตา
รัชชาตะรีบรุดเข้าไปดูแผลโดยไม่รอช้า แม้จะร้อนใจแต่มือใหญ่ที่ยื่นไปเชยปลายคางได้รูปกลับอ่อนโยนราวกับเกรงว่าหากออกแรงมากไปจะทำให้รัชญาแตกสลาย คิ้วเข้มขมวดมุ่นอย่างกรุ่นโกรธ เสียงที่ใช้ถามต่ำลงหลายระดับจนใครก็คงจับสังเกตได้
“พ่อตีเธออีกแล้วเหรอ”
“อืม แผลดูน่ากลัวแต่ไม่เจ็บเท่าไรหรอก พี่ไม่ต้องเป็นห่วง” หญิงสาวตอบพลางยิ้มตามความเคยชิน
เธอคงไม่รู้ตัวว่าเวลาที่ตนเองกำลังโกหกหรือต้องการปิดบังบางอย่าง จะชอบเผลอยิ้มกลบเกลื่อนออกมาทุกครั้งจนติดเป็นนิสัย ยิ่งทรมานใจมากเท่าไรยิ่งพยายามฝืนฉีกยิ้มสดใสมากเท่านั้น แต่เขาที่โตมาด้วยกันมีหรือจะดูไม่ออก
รัชชาตะไม่พูดอะไรทั้งนั้น ทำเพียงแค่เดินไปหยิบกุญแจรถที่เพิ่งโยนทิ้งไว้ตรงโซฟาแล้วใส่รองเท้า ก่อนเปิดประตูจะออกไปข้างนอก ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมากจนแม้แต่รัชญาเองยังตั้งตัวไม่ทัน สมองรู้แค่ว่าต้องรีบคว้าตัวของพี่ชายเอาไว้พร้อมกับร้องถามเสียงตระหนก
“พี่จะไปไหน”
“ไปบ้านน่ะสิ เขาถือสิทธิ์อะไรถึงมาทำร้ายเธอแบบนี้ คิดว่าเป็นพ่อแล้วจะทำกับลูกในไส้ตัวเองอย่างไรก็ได้หรือไง”
“ไปแล้วพี่จะทำอะไร พูดไปเขาก็ไม่ฟังหรอก”
“.....”
“นิไม่เป็นไรจริงๆ”
“.....”
“จำที่นิเคยบอกได้ไหม เวลาโกรธให้ทำอย่างไร”
หนึ่ง
“เราไปกินข้าวกันเถอะ”
สอง
“นะ”
สาม
“อืม”
เป็นอีกครั้งที่เขาต้องยอมอภัยอย่างไร้เงื่อนไขแก่ผู้ที่ได้ชื่อว่ามีบุญคุณให้กำเนิด
รัชชาตะพยายามข่มกลั้นโทสะโดยนับหนึ่งถึงสามในใจแบบที่คนตรงหน้าเคยสอน อยากบอกเหลือเกินว่าความจริงแล้วมันไม่ได้ผลเลยสักนิด แต่ท่าทางร้อนรนของรัชญาต่างหากที่บังคับให้เขาต้องสะกดอารมณ์เอาไว้ เพราะหากเขาลงมือทำสิ่งที่คิดจริงๆ คนที่จะเสียใจที่สุดคงไม่พ้นเธอ ดังนั้นเขาจึงต้องเป็นฝ่ายลงให้เสมอ
ร่างสูงเก็บกุญแจรถยัดใส่กระเป๋ากางเกง ถอดรองเท้าแล้วหมุนตัวกลับเข้าห้อง ทว่าสิ่งแรกที่ทำไม่ใช่การนั่งกินข้าวตามคำโน้มน้าวของน้องสาว
เขาเดินไปหยิบผ้าขนหนูจากในตู้ก่อนนำไปห่อกับน้ำแข็งจากช่องฟรีซแล้วกลับมาจูงเจ้าของข้อมือเล็กที่ได้แต่ยืนมองการกระทำของเขาให้มานั่งบนโซฟาโดยไม่พูดไม่จาแม้แต่ครึ่งคำ เหมือนกับที่เขาดูเธอออกว่าเจ็บเพียงใด เธอเองก็คงดูออกว่าเขาปวดใจแค่ไหนจึงไม่ได้ฝืนยิ้มหรือเอ่ยอะไรอีก
แต่เธอไม่มีวันรู้ว่าที่เขาโกรธมากที่สุดก็คือความไร้กำลังของตัวเอง
“สักวันพี่จะรับเธอมาอยู่ด้วย” รัชชาตะบอกเสียงจริงจัง ก่อนค่อยๆใช้ผ้าในมือประคบที่ข้างแก้มของรัชญาอย่างทะนุถนอม
“อือ”
เมื่อก่อนครอบครัวของเขาไม่ได้เป็นเหมือนเช่นตอนนี้ ถึงจะนานเก่าเก็บจนความทรงจำอาจพร่ามัวไปบ้าง หากภาพของทุกคนที่มีแต่รอยยิ้มก็เคยมีอยู่ โดยเฉพาะช่วงเวลาที่แม่สอนเขาเล่นกีต้าร์แล้วปรบมือให้ทุกครั้งที่ดีดเสียงดังติ๊งๆไม่เป็นเพลง เวลาล่วงเลยมาเท่าไรก็ไม่เคยจางหายไปจากใจเสียที
ทว่าความสุขไม่อาจคงอยู่ได้นาน ทุกอย่างจบลงในเช้าวันหนึ่งที่รัชชาตะอายุเจ็ดขวบ แม้จะไม่ใช่ตามความหมายตรงตัว แต่โดยรูปธรรมแล้วพวกเขาสองพี่น้องก็ถูกปล่อยทิ้งให้เหลือเพียงกันและกัน รัชชาตะมีแค่รัชญา รัชญาเองก็มีแค่รัชชาตะ พวกเขาโตขึ้นมาแบบนั้นโดยไม่เคยรู้สึกว่าขาดเหลืออะไร
หากโชคไม่ดีที่เมื่อไม่นานนี้เกิดเรื่องจนทำให้พวกเขาต้องถูกจับแยกกันโดยไม่เต็มใจ
เขาร้องเพลงซึ่งทุ่มเทเวลาแต่งอยู่นานหลายวันมอบให้กับผู้หญิงเพียงคนเดียวบนโลก...ไม่สิ คนคนเดียวบนโลกที่เขารักเนื่องในโอกาสครบรอบวันเกิด
“เพลงนี้พี่ไอน์แต่งเองเหรอ” หลังจากเสียงบรรเลงกีตาร์โน้ตสุดท้ายจบลง หญิงสาวพลันฉีกยิ้มกว้างพร้อมร้องถามด้วยแววตาเป็นประกาย เห็นแล้วชวนให้รู้สึกมันเขี้ยวจนอยากรังแกขึ้นมา
“เปล่า ตอนขากลับจากห้องซ้อมพี่บังเอิญไปได้ยิน รู้สึกว่าเพราะดีเลยขอมา” รัชชาตะตอบด้วยสีหน้าและโทนเสียงราบเรียบดูแล้วน่าเชื่อถือ ไม่เหมือนว่ากำลังโกหก ยังผลให้รัชญาหลงเชื่อแทบจะทันที ท่าทางตื่นเต้นค้างเก้อก่อนเปลี่ยนเป็นจ๋อยสนิท แม้แต่ตอนอุทานน้ำเสียงยังเจือความผิดหวังอย่างปิดไม่มิด
“อ้าว”“.....”
“แต่เพลงนี้เพราะที่สุดเท่าที่นิเคยฟังมาเลย นิชอบมากๆ”
“.....”
“พี่ไอน์ไม่ได้แต่งเองจริงๆน่ะเหรอ”
“.....”
“พี่ไอน์แต่งเองใช่ไหม”
“.....”
“พี่ไอน์แต่งเองแน่ๆ”
“.....”
“พี่ไอน์ขี้แกล้ง คนนิสัยไม่ดี”รัชชาตะไม่ตอบ เพียงแค่เผยยิ้มเจ้าเล่ห์เป็นเอกลักษณ์ก่อนจะรวบร่างบางมานั่งบนตัก สูดดมกลิ่นหอมรัญจวนแล้วสวมกอดไว้ราวกับเธอเป็นตุ๊กตาหมีตัวใหญ่ แม้เจ้าตุ๊กตาตัวนี้จะดิ้นแรงไปหน่อยเพราะกำลังงอนที่ถูกหยอกเล่น รัชชาตะก็ยังคงโอบเธอไว้อย่างไม่ถือสา
“พี่ไอน์ผิดไปแล้ว อย่าโกรธเลยนะ”คำแทนตัวอย่างน่าเอ็นดูจะถูกนำมาใช้แค่ตอนง้อรัชญาและอยู่กันสองต่อสองเท่านั้น แน่นอนว่าตีให้ตายเขาก็ไม่มีทางพูดให้ใครได้ยินเป็นอันขาด
“.....”
“เพลงนี้พี่ไอน์ทั้งเขียนเนื้อทั้งแต่งทำนองเอง รับรองว่ามีแค่เธอคนเดียวที่เคยได้ฟัง”ระหว่างที่พูดรัชชาตะไม่รู้สึกกระดากใจเลยแม้แต่น้อย ถึงความจริงแล้วรัชญาจะไม่ใช่คนเดียวที่ได้ฟังเพลงนี้ตามที่เขาบอก ในความทรงจำคลับคล้ายคลับคลาว่าจะมีคนเคยนั่งดูตอนที่เขากำลังเขียนเพลงนี้อยู่ด้วย แต่เพราะรัชชาตะเลือกที่จะคิดเข้าข้างตัวเองอย่างลำเอียง เขาจึงนับเฉพาะตอนที่เพลงนี้เสร็จสมบูรณ์แล้วเท่านั้น
รัชชาตะใช้เวลาเกลี้ยกล่อมหญิงสาวในอ้อมอกอยู่พักใหญ่ กว่าจะหายงอน คอของเขาก็แหบแห้งเสียจนแทบแหลกเป็นผงหลังต้องร้องเพลงติดต่อกันเป็นระยะเวลานาน จนเมื่อเจ้าหล่อนพอใจแล้วแหละ จึงค่อยหันมาจุมพิตเขาเบาๆบนก่อนผละออกอย่างอารมณ์ดี
“ขอบคุณสำหรับของขวัญนะพี่ไอน์ นิชอบมาก”
“.....”
“ไปกินเค้กในตู้เย็นกัน”...มีหรือที่คนละโมบอย่างเขาจะพอใจกับจูบแบบเด็กๆแค่นั้น
เขาฉวยโอกาสออกแรงฉุดอีกฝ่ายที่กำลังลุกขึ้นให้ล้มลงโดยไม่ทันตั้งตัว จากนั้นประคองไว้ด้วยสองแขนแล้วก้มลงประทับจูบลงบนกลีบปากนุ่ม
การกระทำอุกอาจไม่ได้ทำให้รัชญาโกรธเคืองแต่อย่างใด เธอเพียงแค่เนียมอายเล็กน้อย ก่อนหลับตาและยอมรับรสสัมผัสอย่างให้ความร่วมมือตามความคุ้นเคย ร่างกายตอบสนองต่อความสุขที่ชายตรงหน้าเป็นผู้มอบให้อย่างยินดี
ทุกอย่างดูเหมือนจะไปได้สวย
กระทั่งผู้ชายคนนั้นกลับเปิดประตูเข้ามาอย่างกะทันหัน ก่อนจะกระชากรัชชาตะให้ลุกขึ้นแล้วชกหน้าเขาเต็มแรง จากนั้นยังด่าทออีกหลายประโยค
ณ เวลานั้นรัชชาตะได้ค้นพบว่าชายตรงหน้านอกจากจะเป็นตาแก่ขี้เมาไร้ประโยชน์ที่ดีแต่ทำร้ายพวกเขาแล้ว ยังมีความสามารถที่ไร้ประโยชน์ยิ่งกว่าในการสรรหาแต่ละถ้อยคำมาด่าได้เจ็บแสบนัก ทั้ง ‘ไร้ยางอาย’ เอย ‘โสโครก’ เอย ‘ต่ำช้า’ เอย สารพัดคำหยาบคายถูกสาดใส่เพื่อตอกย้ำการกระทำเหล่านั้นว่าสกปรกเพียงใด
ที่น่าแปลกคือทำไมเขาจึงไม่ลุกขึ้นแล้วตอบโต้กลับไปดังเช่นที่เคยทำอยู่เสมอ รัชชาตะที่ไม่ได้อ่อนแอเหมือนเด็กชายรัชชาตะเมื่อก่อน กลับทำได้แค่ยืนกุมมือน้องสาวที่ไม่ได้มีปฏิกิริยาต่างจากเขามากเท่าไรนักเอาไว้แน่น ก้มหน้ายิ้มหยันกับตัวเองเงียบๆแล้วปล่อยให้อีกฝ่ายก่นด่าจนสาสมใจ
บางทีอาจเพราะพวกเขาเองก็รู้
ความสัมพันธ์ผิดแผกสามัญสำนึกของคนทั่วไปย่อมไม่มีทางได้รับการยอมรับ ความลับที่ไม่อาจเปิดเผยกับใครทั้งกับคนใกล้ตัวและคนไกลตัว ต่างฝ่ายต่างรู้อยู่เต็มอกว่าไม่ถูกต้อง ศีลธรรมในใจร้องเตือนว่าเป็นไปไม่ได้
รัชชาตะเป็นผู้ชายคนเดียวบนโลกที่รัชญาห้ามหลงรัก
รัชญาเองก็เป็นผู้หญิงคนเดียวบนโลกที่รัชชาตะห้ามหลงรัก
แต่เพราะไม่สามารถหักใจจากความรู้สึกที่ท่วมท้น จึงกลายเป็นความสัมพันธ์ครึ่งๆกลางๆที่ต้องคอยหลบซ่อนดั่งที่เห็น
และเพื่อประคับประคองความสัมพันธ์ที่ไม่มีชื่อนี้ พวกเขาจึงได้ทำข้อตกลงระหว่างกันขึ้นมาสองประการ หนึ่งคือต้องไม่บอกรักกันอย่างเด็ดขาด คำคำนั้นต้องห้ามพอๆกับการเอ่ยนามของคนที่คุณก็รู้ว่าใครในภาพยนตร์ชุดแฮร์รี่ พอตเตอร์ หากใครเผลอหลุดปากจะมีผลให้ความสัมพันธ์สิ้นสุดลงทันที สองคือถ้าวันใดได้พบกับคนที่รักจริงให้สามารถถอนตัวได้ทุกเมื่อ โดยที่อีกฝ่ายจะต้องไม่เหนี่ยวรั้งความสัมพันธ์หรือเรียกร้องอะไรทั้งสิ้น
กฎสองข้อที่ดูเหมือนง่ายแต่ทำยาก สร้างเพื่อพยายามบิดเบือนความผิดบาปนี้ให้เป็นเสมือนเกมเกมหนึ่งที่มีกติกาและฉากจบที่ชัดเจน
เกมที่ใครรักมากกว่าคนนั้นแพ้
ใครเลิกรักก่อนจึงจะเป็นผู้ชนะ
Talkสวัสดีค่ะทุกคน เมยมาลงเร็วกว่ากำหนดการเดิมสองวัน เพราะพรุ่งนี้ต้องไปผ่าฟันคุดแล้วคาดว่าน่าจะล้มหมอนนอนเสื่ออีกหลายวัน ไม่อยากให้รอกันนานเลยมาอัพลงก่อน
สำหรับตอนนี้มีใครเดาถูกไหมคะ (หัวเราะ) เรื่องนี้ออกตัวเลยว่าไม่มีคนที่ปกตินะคะ ตัวละครทุกตัวมีความซับซ้อนและปมในใจ แต่พวกเขาจะค่อยๆแก้หรือผูกเงื่อนแน่นขึ้น อันนี้ก็ต้องมาลุ้นไปด้วยกันเนอะ
เพลงในตอนนี้ที่ถูกเอ่ยถึงนะคะ
1.Radioactive - Imagine Dragons
2.Stay - Zedd, Alessia Cara
3.Be as you are - Mike Posner
ขอให้ทุกคนมีความสุขกับการอ่านค่ะ อย่าลืมรักษาสุขภาพด้วยนะคะ