ไหน ๆ ก็อยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตา แถมยังมีนวลอยู่ด้วย พิชญ์เลยนึกครึ้มอยากทำอาหารขึ้นมา ซึ่งน้องหนูก็นั่งปรบมือแปะ ๆ เชียร์คุณพ่อตัวเองยกใหญ่ ตอนแรกไอลดาจะให้นวลไปซื้อของให้ แต่พิชญ์เห็นว่านวลเพิ่งกลับมาแหม็บ ๆ เลยอาสาว่าจะไปเอง จะได้ไม่ต้องลำบากนวล
“ให้เล็กไปด้วยไหมคะ พี่พีท” ไอลดาที่นั่งดูลูกสาววาดรูปอยู่เงยหน้าขึ้นมาถามพิชญ์
“ไม่เป็นไรครับ คุณเล็กอยู่กับลูกเถอะ”
พิชญ์จะรู้ไหม แค่ประโยค...คุณเล็กอยู่กับลูกเถอะ มันทำให้หัวใจคนฟังทั้งตื้นตันและเจ็บปวดไปในคราวเดียวกันมากแค่ไหน เขาพูดเหมือนกับว่าเราเป็นครอบครัวเดียวกัน แต่เขาคนนั้นก็ไม่เคยนึกอยากทำหน้าที่สามีของเธอทั้งที่มีสิทธิ์
ทำไมไอลดาจะไม่รู้ พิชญ์อยากเป็นพ่อ แต่พิชญ์ไม่ได้อยากเป็นสามี
เพราะสิ่งที่ได้มา มันไม่ได้มาจากความเต็มใจของเขา เธอจึงไม่เคยได้หัวใจของเขามาครอบครอง อย่างน้อย...ก็หวังว่าโซ่ทองเส้นใหญ่จะคล้องเขาเอาไว้ให้อยู่กับเธอได้นาน ๆ
“แม่รักหนูนะคะ...”
พิชญ์มองภาพที่ไอลดาก้มลงจูบแก้มน้องหนูก่อนจะคลี่ยิ้มออกมา จะดีแค่ไหนกัน ถ้าหัวใจเขาสามารถรักเธอได้จริง ๆ รักโดยไม่มีข้อแม้ใด ๆ
พิชญ์ถอนสายตาออกมาจากภาพตรงหน้า ก่อนจะเดินออกมาจากห้อง ไอลดาบอกเขาว่าใกล้ ๆ คอนโดมีซูเปอร์มาร์เก็ตขนาดใหญ่ที่นวลเพิ่งไปซื้อของใช้มาให้ไอลดา พิชญ์ลงลิฟต์แล้วออกจากคอนโดมาไม่ไกลก็เจอซูเปอร์มาร์เก็ตที่ว่า คนที่มาใช้บริการซูเปอร์มาร์เก็ตแห่งนี้ ส่วนมากเป็นคนในคอนโดหรือละแวกใกล้เคียงแถวนี้
พอเข้าไปในซูเปอร์มาร์เก็ต พิชญ์ก็ตรงไปหยิบตะกร้า ถือเป็นโอกาสดีที่เขาจะได้ลงมือทำอาหาร แล้วให้นวลคอยเป็นลูกมือ เรื่องที่จะให้ไอลดามาช่วยคงต้องปัดทิ้งไป พิชญ์เผลอหัวเราะออกมาเบา ๆ เมื่อจำได้ว่าตอนไปค่ายอาสา ไอลดาตอกไข่แตกไปหลายสิบใบ จนพวกรุ่นพี่ในค่ายพากันเรียกเธอว่า ‘คุณหนูไข่แตก’
ความทรงจำสมัยก่อนของพิชญ์มีค่าเสมอ เขาเองก็รักไอลดา แต่ไม่ใช่ในฐานะภรรยา เขารักและเอ็นดูเธอเหมือนน้องสาวคนหนึ่ง น้องสาว...ที่เขาอยากมีมาตลอด
“โอ๊ย...”
เสียงอุทานดังมาจากคนข้างหน้าที่พิชญ์เผลอเดินชนเข้าให้ ชายหนุ่มรีบเอ่ยปากขอโทษทันที เมื่อรู้ว่าตัวเองเป็นฝ่ายผิด
“ขอโทษด้วยครับ ผมไม่ทันระวังเอง เจ็บตรงไหนหรือเปล่าครับ”
“ไม่เป็นไรครับคุณ อ้าว พีทเองเหรอ”
พิชญ์ขยับรอยยิ้มกว้างออกมาอย่างดีใจเมื่อเห็นว่าชนใครเข้า เขารู้อยู่แล้วว่าทฤษฎีโลกกลมมันเป็นความจริง แต่บางทีอาจต้องเพิ่มทฤษฎีโลกแคบเข้าไปด้วย
“เจอกันอีกแล้ว ไปยังไงมายังไงเนี่ย”
“ฉันพักอยู่หอพักตรงนู้นแน่ะ นายเถอะ มาทำอะไรแถวนี้” ปฐพีเอ่ยถามเพื่อนเก่า พลางชี้มือไปยังหอพักราคาถูกที่อยู่อีกฟากของถนน
“พอดีมาหาลูกน่ะ คอนโดคุณเล็กเขาอยู่ตรงนั้นไง ช่วงนี้ฉันเอาลูกมาไว้กับเขา”
ปฐพีมองตามที่พิชญ์ชี้ก่อนจะเบิกตากว้าง
“โห คอนโดนี้เหรอวะ ได้ข่าวว่าราคาเกือบสิบล้านเลยนี่หว่า”
“ของคุณเล็กเขาน่ะ”
“อ้าว ถ้าลูกกับเมียมาอยู่ที่นี่ แล้วตอนนี้นายอยู่ที่ไหนล่ะ”
“อยู่ที่บ้านกับคุณใหญ่ พี่ชายคุณเล็กเขาน่ะ”
พิชญ์เดินเลือกซื้อของไปเรื่อย ๆ พร้อมกับคุยกับปฐพีไปด้วย ถามสารทุกข์สุขดิบของกันและกัน ส่วนมากเป็นปฐพีที่เป็นฝ่ายเอ่ยถามพิชญ์มากกว่า ซึ่งพิชญ์ก็ตอบเท่าที่ตอบได้
“แล้วนี่พ่อนายเป็นยังไงบ้างล่ะดิน อาทิตย์ที่แล้วฉันกลับบ้านก็ลืมแวะไปหา”
ปฐพีชะงักไปเล็กน้อย เขาเสมองออกไปข้างนอก ราวกับไม่อยากจะตอบคำถาม ก่อนจะเอ่ยออกมาเสียงเรียบ ๆ แต่ปิดบังความเศร้าสร้อยของตัวเองไว้ไม่มิด
“เสียไปแล้ว...”
“ขอโทษด้วยนะ ฉันไม่ได้ตั้งใจ”
“ไม่เป็นไรหรอก พ่อฉันเสียไปนานแล้ว เกือบสี่ปีได้แล้วมั้ง”
พิชญ์ยื่นมือไปตบบ่าเพื่อนอย่างให้กำลังใจ สมัยเรียน เขาเองก็เคยแวะไปบ้านของปฐพีอยู่หลายครั้ง คุ้นหน้าค่าตาพ่อของปฐพีไม่น้อย คิดไม่ถึงว่าระยะเวลาหลายปีที่ไม่ได้ติดต่อกับบรรดาเพื่อน ๆ จะทำให้อะไรหลาย ๆ อย่างเปลี่ยนไปมากมาย
“งั้นตอนนี้นายก็อยู่กับน้องแค่สองคนน่ะสิ”
“อือ เหลือกันสองคนพี่น้อง ฉันก็ต้องคอยส่งเสียไอ้น้ำมันเรียน ดีที่มันเป็นเด็กดี ไม่เที่ยว ไม่เกเร” แววตาของปฐพีตอนที่พูดถึงน้องชายคนเดียวมีทั้งความภูมิใจและความสุขจนคนฟังยังสัมผัสได้ พิชญ์เลยเผลอยิ้มตามออกมา
“ดีแล้ว ถ้ามีอะไรให้ช่วยก็บอกได้นะดิน เอ้านี่...” พิชญ์ล้วงหยิบนามบัตรของตัวเองออกมา ก่อนจะยัดใส่มือปฐพีไว้
“เฮ้ย ๆ ไม่เอา ไม่อยากได้ชื่อว่าเกาะเพื่อนกิน”
“บ้าเหรอไง ฉันไม่ได้หมายความแบบนั้นเสียหน่อย ตอนนี้ฉันก็ไม่ค่อยได้ติดต่อใคร เพิ่งมาเจอนายนี่แหล่ะ อะไรช่วยกันได้ก็ช่วยกันไป เราเป็นเพื่อนกันไม่ใช่หรือไง”
“อืม เราเป็นเพื่อนกัน”
“งั้นฉันไปก่อนนะ มีอะไรก็โทรมาล่ะ ไม่ต้องเกรงใจ”
พิชญ์เอ่ยล่ำลาเพื่อนรักก่อนจะเดินจากมา ป่านนี้น้องหนูกับไอลดาคงหิวกันแย่แล้วพอดี เขาจ่ายเงินเสร็จก็รีบกลับคอนโด พอเดินออกมาจากลิฟต์ พิชญ์ก็ชะงักไปเล็กน้อย ภาพของร่างสูงที่ยืนกอดอกพิงกำแพง เนคไทถูกรูดลงอย่างหมิ่นเหม่ แขนเสื้อถูกพับขึ้นไปถึงข้อศอก ไม่ได้ผิดไปจากที่พิชญ์คาดคิดเลยแม้แต่น้อย
“ไปไหนมา...”
“ไปซื้อของมาทำอาหารครับ”
ตอบอย่างเดียวก็กลัวคนถามจะไม่เชื่อ พิชญ์เลยชูถุงพลาสติกที่ถืออยู่เต็มสองแขนให้ดูด้วย อริญชย์คว้าหมับไปถือไว้เองทั้งสองถุง ก่อนจะบุ้ยปากไปยังประตูห้องแล้วสั่งเสียงเรียบ ๆ
“เปิดประตูสิ”
พิชญ์เปิดประตูตามคำสั่งแต่โดยดี แม้จะนึกสงสัยตงิด ๆ ว่า ถ้าเกิดอริญชย์เปิดประตูให้เขาตั้งแต่แรก มันจะง่ายกว่ากันไหม แต่เถียงกับอริญชย์ไปก็ไร้ประโยชน์ เพราะสำหรับทุก ๆ คำถาม อริญชย์คือคำตอบที่ถูกต้องที่สุดเสมอ
พอเข้ามาในห้อง พิชญ์ก็ต้องผงะเล็กน้อย ห้องกว้างของไอลดาดูแคบขึ้นมาถนัดตา เมื่อประกอบด้วยผู้ชายตัวใหญ่ ๆ สามคนอย่างเขา อริญชย์ และตุลย์ แล้วยังมีเจ้าของห้อง น้องหนู และนวลอีก แต่ดูเหมือนว่าความคึกคักตรงหน้าจะทำเอาน้องหนูอารมณ์ดี หัวเราะออกมาไม่หยุด ไม่มีเค้างอแงให้เห็นแม้แต่น้อย
“ลุงใหญ่จ๋า น้องหนูวาดปลาฉลามด้วย”
น้องหนูถือกระดาษแผ่นโตวิ่งตึกตักมาอวดผู้เป็นลุง แต่นอกจากอริญชย์จะไม่สนใจกระดาษในมือน้องหนูแล้ว เขายังถือวิสาสะก้มลงหอมแก้มลูกสาวของพิชญ์ดังฟอดใหญ่อีกต่างหาก ฟัดแก้มหลานสาวซ้ายขวาจนพอใจแล้ว อริญชย์ถึงได้สนใจรูปวาดในกระดาษ
“แล้วนั่นอะไรคะ”
“คุณปูค่ะ”
“เก่งจัง เดี๋ยวนี้คุณครูสอนวาดปูด้วยเหรอคะ”
“เปล่าค่ะ อาตุลย์วาด”
พิชญ์คลับคล้ายคลับคลาเหมือนได้ยินเสียงใครบางคนหน้าแตกดังเพล้ง เขาหัวเราะเบา ๆ ผสมโรงกับไอลดาที่หัวเราะเยาะพี่ชายเสียงดังอย่างไม่เกรงใจ
“โอ๊ย พี่ใหญ่เอาตาตุ่มดูหรือไง วาดสวยขนาดนี้ น้องหนูจะวาดเองได้ยังไง จะหลงหลานก็ให้มันน้อย ๆ หน่อย”
“น้องหนูออกจะวาดรูปเก่ง” อริญชย์ไม่วายเถียง ไม่รู้ว่าเถียงแทนตัวเองหรือเถียงแทนน้องหนูกันแน่
“น้องหนูคะ หนูลองวาดคุณปูให้ลุงใหญ่ดูหน่อยสิ”
พิชญ์อาศัยจังหวะคนอื่นกำลังเถียงกันเรื่องวาดรูป คว้าของที่ซื้อมาเดินเข้าห้องครัว โดยไม่ลืมที่จะสะกิดนวลให้เดินตามมาด้วย
“คุณพีท จะให้นวลทำอะไรคะ”
“เดี๋ยวนวลช่วยเอาผักกับลูกชิ้นที่ผมซื้อมาล้างน้ำให้หน่อยนะ”
พิชญ์ซื้อของสดและผักมาสำหรับทำสุกี้ เขาเห็นแวบ ๆ ว่าไอลดามีหม้อสุกี้อยู่ในห้องตอนที่เพิ่งมาถึง เลยได้ไอเดียทำสุกี้ขึ้นมา ระหว่างรอให้นวลล้างผักกับลูกชิ้นให้สะอาด พิชญ์ก็จัดการหมักเนื้อหมูและเนื้อไก่เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา พอพิชญ์จัดการกับเนื้อหมูและเนื้อไก่เสร็จ เขาก็หยิบเขียงออกมา เตรียมจะซอยกะหล่ำปลีให้เป็นฝอย
“นวล ขอกะหล่ำปลีหน่อยสิ”
กะหล่ำปลีถูกยื่นมาข้าง ๆ พิชญ์เอื้อมมือมาคว้ากะหล่ำปลีไปซอย ก่อนจะต้องชะงักเล็กน้อย แล้วถอนหายใจออกมาเบา ๆ
นวลคงไม่ได้มือใหญ่ขึ้นภายในหนึ่งวันแน่ ๆ...
“นวลล่ะ” พิชญ์เอ่ยถามโดยไม่เจาะจงว่าพูดกับใคร เพราะไม่รู้จะเจาะจงไปทำไม ในเมื่อมีกันอยู่แค่สองคนในห้องครัว
“ไล่ให้ออกไปดูน้องหนูแล้ว” คนที่มาแทนที่นวลตอบเสียงนิ่ง ๆ ไม่นำพากับอาการคิ้วขมวดของพิชญ์แม้แต่น้อย
พิชญ์ก้มหน้าก้มตาซอยกะหล่ำปลีในมือ ทำเป็นไม่สนใจคนที่ยืนเป็นยักษ์ปักหลั่นอยู่ข้าง ๆ ให้นวลมาช่วยเขาก็ดีอยู่แล้ว เขายังพอเรียกใช้นวลได้บ้าง แต่อริญชย์เล่นเอาตัวเองมาแทนนวล เขาจะไปกล้าใช้อริญชย์ที่ไหนกันล่ะ
“ไม่มีอะไรให้ฉันช่วยเลยหรือไง”
“คุณทำอะไรเป็นบ้างล่ะ”
“ฉันว่านายน่าจะรู้ดีกว่าคนอื่นนะ”
พิชญ์เม้มริมฝีปากแน่น สาบานเถอะว่าจะมาช่วยเขา จะมากวนประสาทกันก็บอกมาตรง ๆ ดีกว่า
“งั้นช่วยอยู่เฉย ๆ ละกันครับ”
ถ้าพิชญ์คิดว่าอริญชย์จะทำตามคำสั่งเขา พิชญ์คงต้องคิดผิดถนัด อริญชย์หยิบแครอทที่วางอยู่ข้างเขียงขึ้นมาดูอย่างพิจารณา ก่อนจะชวนพ่อครัวคนเก่งคุย
“จะมาที่นี่ ทำไมถึงไม่รอฉันก่อน”
“ผมเป็นห่วงน้องหนู แล้วผมก็เคลียร์งานเสร็จแล้วด้วย”
“แล้วคิดว่าฉันไม่เป็นห่วงนายหรือไง”
“ห๊ะ...โอ๊ย...”
เสียงแรก พิชญ์อุทานออกมาเพราะคิดว่าตัวเองหูฝาด ส่วนเสียงร้องที่สองก็เพราะพิชญ์เผลอชะงักจนทำมีดบาดตัวเอง คนที่ยืนอยู่ข้าง ๆ รีบปราดเข้ามาดึงมีดออกจากมือพิชญ์ แล้วยกมือขึ้นมาพลิกซ้ายพลิกขวาหาบาดแผล
“เจ็บมากไหม ทำไมไม่ระวังเลย” อริญชย์เอ่ยเสียงดุ แต่แปลก...ที่พิชญ์กลับรู้สึกว่ามันแฝงไว้ด้วยความเอื้ออาทรอยู่ในที
“แผลนิดเดียวเอง ไม่เจ็บเท่าไหร่หรอก เดี๋ยวก็หาย...”
พิชญ์ตั้งท่าจะดึงมือออกจากการเกาะกุมของอีกฝ่าย แล้วเอ่ยให้อริญชย์ปล่อยมือเขา แต่ยังช้ากว่าอริญชย์ที่ถือวิสาสะยกมือพิชญ์ขึ้นจรดริมฝีปาก
“เลือดออกด้วย...”
พิชญ์รู้ว่าเลือดออก แต่ที่เขาไม่รู้คือ...ทำไมอริญชย์ต้องตวัดปลายลิ้นเลียเลือดจากรอยบาดด้วย สัมผัสอุ่นวาบที่ประทับลงบนปลายนิ้วช้า ๆ อย่างนุ่มนวล ไม่ต่างอะไรจากกระแสไฟฟ้าที่แล่นพล่านจากปลายนิ้วเข้าสู่หัวใจ จนพิชญ์ถึงกับยืนตัวแข็งทื่อ ดวงหน้าพลันร้อนวาบเมื่อสัมผัสถึงความอ่อนโยนที่ได้รับ
“คุณใหญ่...”
“หืมม์...”
ลมหายใจร้อน ๆ จากริมฝีปากของอริญชย์เป่ารดปลายนิ้วพิชญ์เบา ๆ นอกจากจะไม่สร้างความอบอุ่นให้แก่ร่างกายแล้ว มันยังทำให้พิชญ์สะท้านเยือกไปทั้งตัว
“ปล่อยผมเถอะ...”
อริญชย์ช้อนตาขึ้นมองสบกับดวงตาเรียวของพิชญ์ ก่อนจะถอนริมฝีปากออกจากปลายนิ้วอย่างอ้อยอิ่ง วินาทีที่เขาปล่อยมือพิชญ์ให้เป็นอิสระ ก็เป็นวินาทีเดียวกับที่เสียงของไอลดาดังขึ้นข้างหลังอริญชย์
“พี่พีทเป็นอะไรคะ” ไอลดาถามพิชญ์ แต่ดวงตากลับมองไปที่อริญชย์อย่างคาดคั้น
“มีดบาด” อริญชย์ตอบเสียงเรียบ ๆ ไม่คิดที่จะหลบตาน้องสาวตัวเองแต่อย่างใด “เธอมาก็ดีแล้ว ไปเรียกนวลมาเตรียมอาหารต่อที”
พิชญ์ขยับจะอ้าปากค้านว่าบาดแผลเล็ก ๆ แค่นี้ห่างไกลหัวใจเขาจะตาย แต่ทั้งพี่ทั้งน้องก็ไม่มีใครยอมฟังเขาซักคน ไอลดารับปากว่าจะไปเรียกนวลมาจัดการต่อ แต่ไม่วายจูงมือพิชญ์เดินออกมาด้วย และแน่นอนว่าอริญชย์ก็เดินตามออกมาเช่นกัน
“ยัยเล็ก จะพาพีทไปไหน” อริญชย์เอ่ยถามน้องสาวเสียงห้วน เมื่อเห็นว่าไอลดากำลังจูงพิชญ์เข้าห้องนอน
“เล็กก็จะพาพี่พีทไปทำแผลไงคะ” ไอลดาตอบก่อนจะปิดประตูใส่หน้าพี่ชาย
อริญชย์ขยับจะเดินตาม แต่ก็ต้องชะงัก เมื่อน้องหนูวิ่งตรงรี่เข้ามาเกาะขาเขาไว้ พร้อมกับได้ยินเสียงตุลย์เอ่ยตามหลังน้องหนูมาแว่ว ๆ
“คุณหนูลองให้คุณใหญ่ดูสิครับ ว่าปูคุณหนูหรือปูผมสวยกว่า”
อริญชย์หันไปแยกเขี้ยวใส่ตุลย์ทันควัน รู้ทันทีว่าเป็นความจงใจของคนสนิทที่ส่งน้องหนูมาขัดเขาไว้ อริญชย์อุ้มน้องหนูขึ้นมา ก่อนจะเดินไปกระแทกตัวลงนั่งข้าง ๆ ตุลย์ กระซิบเสียงต่ำลอดไรฟัน
“คิดจะทำอะไร”
ตุลย์คลี่ยิ้มออกมาบาง ๆ เขาเป็นคนสนิทของคุณใหญ่ แต่ไม่ได้มีหน้าที่ทำตามคำสั่งเพียงอย่างเดียว ยังมีอีกหน้าที่เป็นที่ปรึกษาด้วย
“คุณใหญ่จะตามเข้าไปทำไมล่ะครับ คุณเล็กเธอเป็นภรรยา แล้วคุณใหญ่เป็นอะไร รักน่ะรักได้ ไม่ผิด แต่ต้องคิดที่จะทำอะไรให้มันชัดเจนด้วยนะครับ”
.
อาหารเย็นจบลงอย่างเรียบง่าย ทุกคนนั่งล้อมวงกันกินสุกี้ร้อน ๆ เสร็จเรียบร้อยแล้วนวลก็จัดการพาน้องหนูไปอาบน้ำอาบท่า ก่อนจะเดินออกมาส่งอริญชย์กับพิชญ์ที่หน้าประตู
“บ๊ายบายค่ะพ่อพีท บ๊ายบายค่ะลุงใหญ่”
พอพูดคุยกันด้วยเหตุผลจริง ๆ น้องหนูก็เป็นเด็กว่าง่ายกว่าที่คิด เด็กหญิงยอมเข้าใจว่าพิชญ์งานยุ่ง ทำให้ไม่ได้อยู่ด้วยกันเหมือนเมื่อก่อน
“เหมือนเวลาที่แม่เล็กงานยุ่ง แล้วน้องหนูต้องอยู่กับพ่อพีทไงคะ”
น้องหนูพยักหน้าหงึก ๆ เป็นเชิงเข้าใจก่อนจะหันมาอ้อนไอลดาให้อุ้ม
“แม่เล็กจ๋า อุ้มน้องหนูจุ๊บพ่อพีทหน่อย”
ไอลดาอุ้มลูกสาวตัวน้อยขึ้นมาตามคำขอ กระซิบอะไรกันสองคนแม่ลูกแล้วก็หัวเราะคิกคัก ก่อนจะเดินเข้าไปใกล้พิชญ์ น้องหนูยิ้มหวานอย่างน่ารัก ค่อย ๆ โน้มหน้าไปหอมแก้มผู้เป็นพ่อเบา ๆ พอน้องหนูผละออกมา เด็กหญิงก็หันไปขยิบตาให้ผู้เป็นแม่ ไอลดายิ้ม...ก่อนจะโน้มหน้าเข้าไปกดจมูกลงที่แก้มพิชญ์เช่นกัน
“อุ๊ย แม่เล็กจุ๊บพ่อพีทด้วย”
พิชญ์ยืนตัวแข็งทื่อ เพราะไม่คิดว่าไอลดาจะทำอะไรแบบนี้ แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าน้องหนู เขาเลยต้องยิ้มออกมา ผิดกับอริญชย์ที่สีหน้าแข็งกระด้างขึ้นมาทันที
ทั้งที่รู้ว่าไอลดามีสิทธิ์อย่างชอบธรรม เขาต่างหากที่ไม่มีสิทธิ์ แต่...
อริญชย์ไม่เคยนึกอยากให้ใครมาแตะต้องหรือยุ่งกับของ ๆ เขาเลย แม้ว่าคน ๆ นั้นจะเป็นน้องสาวที่เขารักมากก็ตามที
สัมผัสอุ่น ๆ แตะลงที่แก้มสากของอริญชย์ ก่อนที่ไอลดาจะโน้มตัวขึ้นเอ่ยชิดหูพี่ชาย
“ฝันดีนะคะพี่ใหญ่ เล็กฝากพี่พีทด้วยนะคะ”
“ยังไงพี่ก็ต้องดูแลพีทให้ดีอยู่แล้ว เธอก็ดูแลน้องหนูดี ๆ ละกัน”
ปล่อยให้ล่ำลากันอีกซักพัก อริญชย์ก็รั้งพิชญ์ให้เดินออกมา ไอลดาจะได้พาน้องหนูเข้านอนเสียที ส่วนพวกเขาสามคนก็จะได้กลับถึงบ้านไม่ดึกเกินไป
ตลอดทางกลับบ้านมีแต่ความเงียบงันปกคลุมทั่วรถ ตุลย์ขับรถไปเงียบ ๆ ไม่ได้เอ่ยกวนประสาทเจ้านายเหมือนทุกที พิชญ์มองออกนอกหน้าต่าง ก่อนจะขยับตัวอย่างอึดอัด เพราะอริญชย์ไม่ได้พูดอะไรออกมา เขาก็เลยไม่รู้จะพูดอะไรเหมือนกัน
“วันนี้คุยกับท่านจินดาเป็นยังไงบ้างครับ”
“ก็ดี...”
ในเมื่ออริญชย์ดูเหมือนจะไม่อยากคุยเท่าไหร่ พิชญ์เลยขี้เกียจเซ้าซี้ พอกลับถึงบ้าน เขาก็แยกตัวเข้าห้องนอน จัดการอาบน้ำแล้วเปลี่ยนเป็นชุดนอนให้เรียบร้อย เสร็จแล้วก็เดินไปสอดตัวลงใต้ผ้าห่ม พิชญ์ยกมือขึ้นปิดปากหาว ก่อนจะเอื้อมมือไปปิดไฟ
กำลังจะเคลิ้มหลับก็ต้องชะงักนิด ๆ เมื่อได้ยินเสียงคนเปิดประตูห้องนอนเข้ามา
น่าแปลก ที่พิชญ์จำเสียงฝีเท้าของผู้บุกรุกได้
และที่น่าแปลกกว่า คือการที่เขาเลือกที่จะนอนนิ่ง ๆ
พิชญ์ยังไม่ได้หลับ แต่เขาก็ไม่เข้าใจว่าทำไมเขาถึงต้องแกล้งทำเหมือนหลับ อันที่จริงแล้วเขาก็ไม่ได้แกล้ง เขาเพียงแต่นอนนิ่ง ๆ คนที่ถือวิสาสะบุกรุกเข้ามาในห้องนอนของเขายามวิกาลสอดตัวลงนอนข้าง ๆ โอบรั้งร่างเขาเข้าไปในอ้อมแขน ก่อนริมฝีปากร้อนผ่าวจะกดจูบลงมาบนแก้ม ข้างเดียวกับที่ไอลดาจูบเมื่อตอนหัวค่ำ
ถ้าสัมผัสของไอลดาทำให้พิชญ์รู้สึกเย็นวาบ สัมผัสของอริญชย์ก็ทำให้พิชญ์รู้สึกร้อนรุ่ม
อริญชย์กดจูบหนัก ๆ ราวกับจะย้ำความเป็นเจ้าของ ก่อนจะค่อย ๆ ผละออกมากอดพิชญ์เอาไว้หลวม ๆ แล้วกระซิบชิดใบหูพิชญ์เบา ๆ อย่างคนขี้ขลาด
“รัก...”
คำว่า ‘รัก’ ที่หนักแน่นดังภูผา แต่ว่าจะมีประโยชน์อะไร ถ้าไม่ได้พูดออกไปในยามที่คนฟังรู้สึกตัว
TO BE CONTINUE
ขอบคุณสำหรับทุกคอมเม้นท์เลยนะคะ ^^
คุณใหญ่ขี้หวงและขี้อิจฉามาก
แต่คุณใหญ่ต้องเข้าใจเนอะ...ว่าเขาเป็นสามีภรรยากัน
อนุญาตให้หมั่นไส้และสมน้ำหน้าคุณใหญ่ได้เลยค่ะ