ตอน : ทว่ามีความสุขยิ่งผมคนต้มยำกุ้งในหม้อ ก่อนจะเหลือบสายตาไปดูความเรียบร้อยในห้องนั่งเล่น
เมื่อเห็นลูกๆกำลังนอนกลิ้งเกลือก(ขอใช้คำนี้กับเจ้าพวกลูกลิงนะครับ!)ทำการบ้านโดยมีพี่กฤษณ์คอยดูแลอยู่ ผมก็เบาใจขึ้น(นิดหน่อย..)
ก็แหงล่ะ เด็กวัยกำลังซน จะปล่อยให้หลุดพ้นสายตาไปไม่ได้
ผมที่เป็นคนคิดมากอยู่แล้ว พอมีลูกๆ ยิ่งทำให้คิดมากเข้าไปอีก..
จะสะดุดล้มอะไรหรือเปล่า จะเล่นอะไรอันตรายหรือเปล่า
ระวังมือเปียกไฟจะช็อต ระวังลื่น ดูน้องอย่าให้กลืนลูกปัด
อย่าไปเล่นแถวบ่อปลาคาร์ฟคนเดียว ...โอ๊ย และอื่นๆอีกเยอะบรรยายไม่หมด!
ห่วงตัวเองยังไม่เคยห่วงเท่านี้!
ลูกอยู่กับพี่กฤษณ์ผมก็วางใจได้แค่ครึ่งหนึ่ง
เพราะรายนั้นก็ชอบพาลูกเล่นอะไรห่ามๆ ปีนต้นไม้บ้าง เกมทำสงครามกระดาษบ้าง
เล่นแต่ละทีนี้ทั้งรกทั้งวุ่นวายบ้านสุดๆ
แถมพี่กฤษณ์ก็ไม่ค่อยมีเซ้นต์ด้านความละเอียดอ่อน จุดเล็กๆน้อยๆที่จะเป็นอันตรายต่อลูกได้แกก็มองข้ามไป
เราทะเลาะกันเล็กๆน้อยๆบ่อยๆก็เรื่องพวกนี้นี่แหละ
'สอง เอ็งเนี่ยคิดมากไป..'
'พี่น่ะคิดน้อยไป'
อ้อ ลืมบอกไปครับ..ตั้งแต่เรามีลูกเนี่ย ไอ้พวกคำหยาบต่างๆที่เคยใช้ด่าเพื่อนฝูง มันลดไปกว่าครึ่ง
ยิ่งอยู่ในบ้านทั้งผมและพี่กฤษณ์ ก็ใช้คำพูดเพราะๆสุภาพ เพื่อเป็นแบบอย่างให้ลูก
(จริงๆจะว่าเพราะ,สุภาพหรือเปล่าไม่แน่ใจ เพราะหลายๆครั้ง(ส่วนใหญ่)เราก็พูดภาษาอังกฤษในบ้านไปเลย
ไม่ใช่ไม่อนุรักษ์ความเป็นไทยอะไรน่ะครับ แต่เด็กๆสามารถเรียนรู้ได้หลายภาษาตั้งเเต่เยาว์วัย
พอไปโรงเรียนเขาก็ต้องใช้ประจำอยู่แล้วด้วย สภาพเเวดล้อมที่เราหาให้เขาเป็นแบบนั้น เราจึงต้องส่งเสริมเขาในทุกๆด้านไปด้วย)
อย่างการทำอาหารเหมือนกัน..
เมื่อก่อนผมก็ทำเป็นไม่กี่อย่าง แรกๆตอนผมกับพี่กฤษณ์อยู่ด้วยกันใหม่ๆ
พี่กฤษณ์ได้กินแต่ข้าวหน้าไข่ข้นกับเบค่อนย่าง จนน้ำหนักขึ้น 4 กิโลใน 1 เดือน( กลายเป็นเสี่ยกฤษณ์ 5555)
และเขาขอร้องให้ผมทำอาหารอย่างอื่นบ้าง เพราะเขาก็อยากกินอาหารในบ้านฝีมือผมมากกว่าซื้อข้างนอก
ผมที่ตอนนั้นยุ่งกับงานสุดๆ จึงไปฝึกการทำอาหารพวกผัดผัก ผัดปลาอะไรเพิ่มขึ้นนิดหน่อย
ภาวะโภชนาการของพี่กฤษณ์จึงดีขึ้นบ้าง(รวมถึงตั้งโปรแกรมออกกำลังกายให้พี่แกด้วย)
แต่พอเราวางแผนว่าจะมีลูก
เชื่อไหมครับว่าผมลงทุนไปเรียนทำอาหารทุกเสาร์อาทิตย์เลย..
คิดดูแล้วกันว่ารักใครมากกว่า! ลูกหรือพ่อมัน(ฮา!)
เมื่อต้มยำกุ้งเสร็จพร้อมไข่เจียว ผมก็เรียกทั้งลูกทั้งพ่อมาช่วยกันเตรียมจาน,ตักข้าว
สารภาพว่าตอนแรกผมไม่ชินเท่าไหร่
เพราะบ้านเรามีขนาดค่อนข้างเล็ก ห้องครัวกับห้องอาหารจึงเป็นห้องเดียวกัน
คือมีโต๊ะอาหารอยู่แถวที่ทำอาหารเลย..ผมมองว่ามันไม่ค่อยเรียบร้อยนัก แต่พี่กฤษณ์บอกว่า บ้านใครๆเขาก็ทำกัน
ผมจึงโอเค.. (ใครๆไหนวะ..ขนาดบ้านพี่กฤษณ์ ห้องครัวกับห้องทานข้าวยังแยกกันเลย!)
"โหหห แดดดี้สองทำต้มยำกุ้งง"
"เหม่ยเหมยชอบล็อบสเตอร์"
"นี้ไม่ใช่ล็อบสเตอร์ครับ นี้คือ Shrimps (กุ้ง)"
"ล็อบสเตอร์คือกุ้งตัวใหญ่! ใช่ไหมฮะแด๊ดดี้"
"อืม..คืออย่างงี้นะลูก ล็อบสเตอร์กับกุ้งเป็นสัตว์คนละชนิดกัน หน้าตามันคล้ายกัน แต่กุ้งชอบว่ายน้ำ ในขณะที่ล็อบสเตอร์ชอบเดินครับ.."
ล็อบสเตอร์เป็นสัตว์ที่อยู่ในสายวิวัฒนาการระหว่างกุ้งกับปู..แต่นั่นจะเป็นสิ่งที่ผมบอกพวกเขาเมื่อโตขึ้นกว่านี้อีกหน่อย หากพวกเขายังสงสัยน่ะนะ!
หลังจากอาเฟ่ยช่วยพ่อกฤษณ์ตักข้าวใส่จานทุกคนจนเรียบร้อย
เราก็กล่าวขอบคุณมื้ออาหาร ก่อนจะลงมือทานข้าว..
และตามธรรมเนียมครอบครัว ไม่ว่าจะมาจากฝั่งครอบครัวผม หรือครอบครัวพี่กฤษณ์
เวลาทานข้าวจะเป็นเวลาของครอบครัวเสมอ..
ลูกๆจะเล่าเรื่องต่างๆของพวกเขาให้เราฟัง
ผมกับพี่กฤษณ์ค้นพบว่า เราสามารถฟังพวกเขาคุยจ้อถึงเรื่องนู้นเรื่องนี้อย่างสนุกสนานทั้งวันโดยไม่เบื่อเลยสักนิด
สิ่งที่พวกเขาได้พบเจอ ได้เรียนรู้ ได้สำรวจ
แมลงที่ค้นพบชนิดใหม่ๆ คุณครูที่ใจดีและใจร้าย
เพื่อนๆที่ชื่นชมและกลั่นแกล้ง การบ้านที่น่าสนุกและน่าเบื่อ
กันดั้มกับของเล่น เทรนด์การแต่งตัวของเด็กๆสมัยนี้ ชมรมกีฬาและดนตรี
บาร์บี้และเจ้าหญิง ...
หลังจากทานอาหารเสร็จก็ถึงเวลาที่เด็กๆต้องอาบน้ำ ฟังนิทาน ส่งเข้านอน..
(พี่กฤษณ์เคยบอกผมว่าอยากให้สอนลูกล้างจาน แต่ผมจะรอให้โตกว่านี้อีกหน่อย เดี๋ยวจานแตกบาดมือ แพ้น้ำยาล้างจาน นู้นนี้นั่นโน้น โอ๊ย...สารพัดเรื่องที่กลัว!...ส่วนป๊าก็เสนอให้เอาคนรับใช้จากที่บ้านมาอยู่ด้วย.. แต่ใครจะอยากให้ใครที่ไหนก็ไม่รู้มาอยู่ในบ้านกับลูกตลอด 24 ชั่วโมงล่ะ..จะไว้ใจได้หรือเปล่าก็ไม่รู้.. โอย..กลัว!
(วิตกจริตเกินไปล่ะ! ไอ่สอง : เสียงพี่กฤษณ์))
เวลาอาบน้ำ ผมจะเป็นคนคอยดูแลลูกๆทุกคนเอง เพราะเป็นช่วงเวลาที่อันตรายที่สุด
แม้ว่าในบ้านเราจะเปลี่ยนพื้นห้องน้ำให้เป็นกันลื่น แต่อ่างอาบน้ำที่เด็กๆชอบ เวลาเปิดน้ำจนเต็มยังมีความสูงมากกว่าลูกสาวคนเล็กของผมอยู่..ผมเลยต้องดูแลทุกขั้นตอน..ตั้งแต่ให้เจ้าสองแสบอาบให้เสร็จก่อน แล้วปล่อยให้เด็กๆไปแต่งตัว .. ส่วนผมก็อาบน้ำให้เหม่ยเหมยต่อ
ระหว่างที่เราอาบน้ำกัน งานล้างจานเลยตกเป็นของพี่กฤษณ์ไปโดยสมบรูณ์..
นับวันพี่แกยิ่งเหมือนตาลุงเข้าไปทุกทีแฮะ..ล้างจาน ถูบ้าน กวาดบ้าน ดูแลลูก ทำสวน!
แต่ผมเองก็ไม่ต่างกัน.. ทำอาหาร กวาดบ้าน จัดของ ดูแลลูก ดูแลความเรียบร้อยของบ้าน! ขอบอกเลยว่างานสุดท้ายผมดุมาก(เหรออออ : เสียงพี่กฤษณ์)
และถึงแม้จะโดนไอ้ตั้มแซวบ่อยๆว่าผมโหดและพี่กฤษณ์เป็นลุงกลัวเมีย
แต่นั่นไม่ใช่เรื่องจริงเลยครับ..เพราะผมกับพี่กฤษณ์แบ่งกันทำงานมากกว่า
ผมไม่เคยคิดอยากจะใช้พี่กฤษณ์งกๆ และไม่ค่อยอินกับการข่มเหงคนรักแบบในละครน้ำเน่าเสียด้วย..
ผมว่าเราเป็นครอบครัวเดียวกัน มันไม่แฟร์หรอกนะถ้ามีเเค่ฝ่ายเดียวที่ต้องทำทุกอย่าง
ในเมื่อก่อนอยู่ด้วยกัน ตอนคบกัน ก็สัญญากันไว้ว่าจะเเบ่งปันทั้งสุขและทุกข์
พี่กฤษณ์ที่เป็นคนรักษาสัญญา แกก็ทำของแกแบบนั้น แถมยังชอบทำเกือบทุกอย่างเเทนผม
มันจึงดูเหมือนแกเป็นพ่อบ้านที่โดนผมใช้งานสารพัด..ทำให้ไอ้ตั้มหยิบมาแซวเป็นประจำ
ทั้งที่จริงๆแกทำของแกเอง!
ตั้งเเต่คบกันบ้ายังไง ตอนนี้ก็ไม่เปลี่ยน ..
คอยโอบอุ้ม แบกรับ ..เหมือนกับว่าจะปกป้องเราได้อยู่เสมอ..
และตอนนี้แผ่นหลังของเขาได้ปกป้องอีกสามชีวิตน้อยๆเพิ่มขึ้นด้วย..
หลังจากอาบน้ำให้เด็กๆเสร็จ
ลูกๆสุดแสบซึ่งตอนนี้ตัวหอมไปด้วยแป้งฟุ้งก็เดินต่อเเถวกันเข้าห้องนอนเหมือนแพนด้าตัวน้อย
ห้องนอนในบ้านเรามีแค่สองห้อง(ในอนาคตตอนเหม่ยเหมยโตเป็นสาวเราต้องวางแผนแยกห้องแน่ครับ..)
ห้องหนึ่งเป็นของพี่กฤษณ์กับผม
อีกห้องที่ใหญ่กว่าเป็นของเด็กๆ
ลูกๆของผมนอนในเตียงบ้าน(คุณปู่โดนออดอ้อนให้ซื้อให้หลานเป็นของขวัญวันคริสมาสต์!)
เป็นเตียงขนาดสองชั้นที่ดัดเเปลงเป็นรูปบ้าน(มีบันไดขึ้นไปชั้นสอง) และถูกออกแบบมาเฉพาะให้มีสามเตียงย่อย
หลังจากลูกๆปีนขึ้นไปนอนเรียบร้อย ผมก็หรี่โคมไฟลง ก่อนจะเริ่มเล่านิทานให้ลูกๆฟัง
นิทานส่วนใหญ่ก็จำมาจากการ์ตูนดิสนีย์บ้าง แต่งเองบ้าง นิทานกริมม์บ้าง นิทานพื้นบ้านบ้าง
บางวันนึกครึ้มอกครึ้มใจหน่อยก็เอาหนังสือเล่มสีฟ้ามาอ่านให้ลูกฟังบ้าง..
แต่พอถึงตอนโรเเมนติกเด็กๆมักจะ
"Ewwww.. แดดดี้สองทำยังงั้นจริงๆเหรอฮะ.."
"แหวะะ.."
มีแค่ลูกสาวคนเดียวที่กระพริบตาปริบๆ อยากฟังเรื่องในเล่มสีฟ้า..
พูดง่ายๆคือเด็กๆไม่ค่อยอินกันหรอกครับ.. ถ้าเลือกได้พวกแกอยากฟังการ์ตูนมากกว่า
ก็ตามวัยนั่นแหละนะ..(สรุป..เหม่ยเหมยโตสุด!(ฮา))
หลังจากเล่านิทานจบไปเรื่องสองเรื่อง เด็กๆก็หลับกันเรียบร้อยครับ
ผมจูบราตรีสวัสดิ์ลูกๆ ก่อนจะปิดไฟโคม
เป็นอันเสร็จสิ้นภารกิจ!
..................................
ผมลากร่างกายอันเหนื่อยล้าออกจากห้องน้ำมาในชุดคลุมก่อนนอน
ในแต่ละวันที่ผ่านไปมันไม่ง่ายเลยจริงๆ
ทั้งปัญหาที่ต้องจัดการ งานในบริษัท ผู้คนที่ต้องพบเจอ..
แต่เมื่อกลับมาถึงบ้าน
ความเหนื่อยจากงานทั้งหลายก็หายเป็นปลิดทิ้ง(..เพราะมาเหนื่อยกับเจ้าพวกนี้เเทน!)
"ลูกหลับเเล้วเหรอ"
พี่กฤษณ์ถามก่อนจะกอดผมจากด้านหลัง
"อื้อ ..เหนื่อยชะมัด"
"เป็นยังไงบ้าง"
พี่กฤษณ์กับผมมักจะคุยกันก่อนนอนเสมอ ส่วนใหญ่ก็เรื่องลูกๆ ไม่ก็เรื่องงาน
เราให้คำปรึกษากันเเละกัน..ผมค้นพบว่าหากเรามีคู่ชีวิตที่เข้าใจเรื่องสายงานของเรา ชีวิตเราจะสะดวกสบายขึ้นมาก
เราสนับสนุน ส่งเสริม และช่วยเหลือซึ่งกันเเละกัน
"ช่วงนี้สองยังไม่ค่อยมีอะไรหรอก..พี่กฤษณ์ล่ะ เรื่องอสังหาที่ถนนXXX สรุปให้พุฒิจัดการให้เเล้วใช่ไหม..?"
"อื้อ เขาจะเป็นธุระให้..พี่ก็จะตามดูๆนั่นล่ะ"
พี่กฤษณ์พูดก่อนจะซุกไซ้ซอกคอของผม
"ลูกกินนมนอนแล้ว..พี่ยังไม่ได้กินเลย.."
"กินเกินอะไรเล่า หมดมุกนั่นเเล้วตั้งเเต่เหมยหย่านมขวด!"
ผมพูดก่อนจะขำเบาๆ มุกนี้พี่แกเล่นตั้งเเต่ลูกยังต้องนอนดูดนม..คิดดูความหื่น!
"น่า.."
พี่กฤษณ์พูดก่อนจะปลดสายเสื้อคลุมผมออก เผยให้เห็นผิวขาวเปลือยภายใต้ผ้าคลุม
"..หืม..ร้ายนะเรา..ทำไมไม่ใส่เสื้อนอนครับ..อยากให้พี่กินใช่ไหม"
พี่กฤษณ์ดันตัวผมลงที่นอนก่อนจะโน้มตัวลงหอมแก้มผมฟอดใหญ่..
เอ้อ..ข้อดีอีกอย่างของการที่เราไม่พูดคำหยาบในบ้าน..
คือเวลามีเซ็กส์มันโรแมนติกขึ้น!(ผมไม่รู้สึกว่าโดนด่าอีกต่อไป(ฮา))
แล้วพี่แกก็'ดูด'นม อย่างที่ว่าไว้จริงๆ
"..อือ..ดูดพอยัง..พี่กฤษณ์.."
พี่กฤษณ์ใช้ลิ้นดุนดัน ทั้งดูด ทั้งเลียอย่างหนักหน่วง จนยอดอกของผมชูชันขึ้นมา มันรู้สึกหวาบหวาม ผมเจ็บยอดอกนิดๆ แต่รู้สึกตึงๆมากกว่า ช่วงล่างของผมก็ปวดหน่วงไปหมด..
เดี๋ยวนี้ผมเวลาถูกกระตุ้นเล็กๆน้อยๆก็อยากให้พี่แกใส่เข้าไปเเล้วอ่ะ..
ไม่ต้องอารัมภบทมากก็ได้..งื้ออ ทรมาน!
พี่กฤษณ์เหมือนไม่ได้ยิน ยังคงดูดหน้าอกผมเสียงจ๊วบจ๊าบอยู่อย่างเมามัน
"..พี่กฤษณ์..พอละมั้ง..น้ำนมก็ไม่มีนะ"
"หืมม์ ทีลูกยังได้กินเยอะกว่าพี่"
"แล้วพี่จะกินเเต่นมสองเหรอ.."
"งั้นสองมากินนมพี่.."
พี่กฤษณ์พูดก่อนจะเอาเจ้ากฤษณ์น้อย(ที่ขนาดไม่ได้น้อยเลย) ซึ่งตอนนี้มีน้ำสีขาวขุ่นเยิ้มอยู่ตรงปลายมาถูเบาๆกับหน้าท้องผม
"นมบ้าอะไร..ทุเรศ"
"จะกินไม่กิน"
ร่างสูงพูดก่อนจะใช้ส่วนห้วค่อยๆแทรกเข้าสู่ช่องทางของผม ก่อนจะค้างไว้อย่างนั้น..
"จะกินไหมครับ..ไหนขอร้องพี่สิ"
ผมรับรู้ถึงของอุ่นร้อนคุ้นเคยที่กดน้ำหนักลงตรงทางเข้า ทำเอาช่องทางด้านล่างของผมเต้นตุบๆ
ผมมองพี่กฤษณ์ด้วยสายตาวิงวอน..
"อือ..พี่กฤษณ์..กินครั..อ๊ะ!!!"
ยังพูดไม่ทันจบ ร่างสูงก็กระเเทกลำตัวเข้ามา เนื้อร้อนขยับเข้าออกเป็นจังหวะที่สอดรับประสานกัน
ผมพยายามเก็บเสียงเพราะกลัวลูกๆจะตื่น
แต่กับคนที่ไม่ได้คิดอะไรละเอียดอ่อนอย่างนั้นกลับเร่งเอาเร่งเอา
"อะ..อ..พี่กฤษณ์..เบาหน่อย"
"..ลูก..จะ..ตื่น"
และเมื่อผมพูดจบก็ดูเหมือนพี่แกจะคิดได้(พึ่งคิดได้) จึงลดความเร็วลงก่อนที่ในท้ายที่สุดจะเหลือเพียงนอนกอดผมนิ่งๆ
หอบเหนื่อย..ทว่าสุขใจ
"..มีลูกก็ลำบากเหมือนกันเนาะ"
พี่กฤษณ์กระซิบ ผมพยักหน้ารับเบาๆ
"แผนที่วางไว้ว่าจะสร้างห้องแยกให้เหม่ยเหมยตอนโตเป็นสาว
เรารีบสร้างแล้วให้เด็กๆย้ายไปอยู่นั่นกันก่อนดีไหม"
พี่กฤษณ์พูดอย่างติดตลก และผมหัวเราะ
"หรือไม่เราก็นานๆทีมีเซ็กส์ หรือเอาลูกไปฝากให้ปู่ย่าดูให้"
"แล้วบอกลูกว่าแดดดี้ไปทำงาน"
"หรือไม่เราก็สร้างห้องสตูดิโอในบ้าน มันเก็บเสียง.."
"แล้วพี่จะให้สองไปนอนบนไหน บนเปียโนตอนมีเซ็กส์เหรอ"
เราคุยกันเรื่องไร้สาระต่ออีกสามสี่ประโยค ก่อนที่พี่กฤษณ์จะหรี่ไฟโคม
เมื่อไฟดับลง และอ้อมเเขนแกร่งก็กอดผมแน่นยิ่งขึ้น
ผมปล่อยให้ตัวเองหลับตาลง
คืนนี้เป็นคืนที่เหน็ดเหนื่อยเช่นเคย
ทว่ามีความสุขยิ่ง..