THE​ HEARTBREAK HOLIDAYS : พ่ายรักมาพักร้อน Episode 10 END [25-JUNE-2018]
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: THE​ HEARTBREAK HOLIDAYS : พ่ายรักมาพักร้อน Episode 10 END [25-JUNE-2018]  (อ่าน 17743 ครั้ง)

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3360
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2
 :pig4: :pig4: :pig4:

บอกแล้วว่า "แพ้ทาง"

ยังไงก็ไม่รอดหรอก  นุ้งจอส

ป.ล. ก็อีกเรื่องเฉลยมาแล้วนิ ว่าคบกันเป็นแควน  อิอิ

ออฟไลน์ nunda

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3004
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-2
อิพี่วินทร์มันร้ายนัก
น้องจอสสู้ๆ

ออฟไลน์ lolito

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 156
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-1
Episode 6          

          หนึ่งเดือนแรกของการอยู่ร่วมชายคาเดียวกันผ่านไปอย่างราบรื่น แม้กระทั่งจอสเองก็ยังอดไม่ได้ที่จะรู้สึกว่าทุกอย่างเป็นไปได้ด้วยดีมากกว่าที่คิด การนอนร่วมเตียงกับวินทร์ไม่ได้ทำให้อึดอัดหรือลำบากใจอย่างที่กังวลเอาไว้ก่อนหน้านี้ ส่วนการใช้ชีวิตในแต่ละวันก็ยิ่งเรียบง่ายยิ่งกว่า วินทร์มักจะวุ่นวายกับงานบริหารจัดการของรีสอร์ทในขณะที่จอสก็คอยช่วยงานเล็กๆ น้อยๆ อย่างเช่นบริการต้อนรับลูกค้าชาวต่างชาติที่มาพักรวมไปถึงเป็นไกด์นำเที่ยว ซึ่งก็เป็นงานแนวพบปะผู้คนที่ถนัดและเด็กหนุ่มก็มีทักษะการสื่อสารภาษาอังกฤษที่ดีมากจากเชื้อสายลูกครึ่งอยู่แล้ว เพียงแค่ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับสถานที่ท่องเที่ยวอีกนิดหน่อยแล้วผนวกเข้ากับความสามารถในการนำเสนอและเอนเตอร์เทนผู้คนระดับมืออาชีพก็ทำให้บรรดานักท่องเที่ยวต่างชื่นชอบจนจอสสามารถทำเงินได้เป็นกอบเป็นกำจากเพียงแค่ค่าทิป

          เมื่อต้องมาใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันแทบจะยี่สิบสี่ชั่วโมงแบบนี้แถมยังพ่วงด้วยสถานะของการคบหาดูใจ แน่นอนว่าเรื่องบนเตียงย่อมเป็นสิ่งที่ไม่อาจหนีพ้นได้แต่เมื่อลองเปิดใจจอสก็พบว่ามันไม่ได้เลวร้ายหรือน่าอายแบบที่รู้สึกในครั้งแรก อันที่จริงมันค่อนข้างจะเรียกได้ว่ารู้สึกดีมากเสียจนช่วงหลังมานี้หลายครั้งทีเดียวที่จอสเกิดเป็นฝ่ายต้องการมันขึ้นมาเอง และอีกหลายครั้งเช่นกันที่ความต้องการทำให้ใจร้อนรุ่มจนอดทนรอให้ถึงเวลาเลิกงานไม่ไหวต้องแอบไปหาวินทร์ที่ออฟฟิสของรีสอร์ทแล้วใช้ห้องเก็บของอันแสนจะเล็กและคับแคบเป็นรังรักแบบฉุกเฉิน จนเมื่อเสร็จสมอารมณ์หมายจึงพาร่างกายซึ่งชุ่มไปด้วยเหงื่อหลบออกจากออฟฟิสไปโดยไม่ให้พนักงานคนอื่นเห็น

          ในขณะที่ทางฝั่งของวินทร์ก็เรียกได้ว่ามีความสุขจนยิ้มไม่หุบกับการที่ได้มีจอสเข้ามาอยู่ในชีวิต ได้ใช้เวลาร่วมกัน หลับไปด้วยกันและตื่นมาเจออีกครั้งในตอนเช้า แต่ท่ามกลางความสุขนั้นก็ยังมีความหวาดหวั่นแอบแฝงอยู่ ด้วยรู้ดีว่าจอสไม่อาจอยู่ที่นี่กับเขาได้ตลอดไป สักวันหนึ่งเด็กหนุ่มก็ต้องกลับไปอยู่ในจุดที่จากมาและเมื่อเวลานั้นมาถึงความสุขที่กำลังดำเนินไปในขณะนี้นั้นจะยังคงมีอยู่ต่อไปหรือไม่ก็ไม่อาจรู้ได้เลย มีบางคืนที่เขาตื่นขึ้นมากลางดึกและเฝ้ามองใบหน้าของจอสที่หลับไม่รู้เรื่องอยู่ข้างๆ หลงใหลสุดหัวใจแต่ก็ยังนึกสงสัยว่าแท้จริงแล้วอีกฝ่ายรู้สึกเช่นไรกับตนกันแน่ เป็นความรู้สึกที่จริงแท้หรือเกิดขึ้นมาเพื่อเป็นเครื่องมือในการลืมรักเก่าที่ไม่สมหวัง แต่ไม่ว่าจะเป็นอย่างไหนสิ่งเดียวที่เขาพอจะทำได้ก็คือพยายามทำทุกอย่างในตอนนี้ให้ดีที่สุด เผื่อว่าหากวันนั้นมาถึงมันคงจะช่วยเปลี่ยนใจให้จอสไม่จากไปได้

          วันนี้แม้จะไม่มีอะไรเร่งด่วนต้องจัดการในรีสอร์ทแต่วินทร์ก็ยังต้องตื่นมาเตรียมตัวตั้งแต่เช้าเพื่อขึ้นฝั่งพาโจโฉไปฉีดวัคซีนที่โรงพยาบาลสัตว์ในตัวเมือง จอสผู้ซึ่งเบื่อชีวิตบนเกาะเต็มแก่งอแงขอตามไปด้วยแม้อีกฝ่ายจะอธิบายแล้วว่าไปต้องไปทำธุระต่ออีกหลายอย่าง แต่เด็กหนุ่มก็หาฟังไม่ ซ้ำยังทำถึงขนาดงัดอุปกรณ์ในการแปลงโฉมที่เคยใช้ตั้งแต่เมื่อครั้งมาถึงที่นี่ใหม่ๆ ออกมาอีกครั้งเพื่อแสดงให้เห็นถึงความกระตือรือร้นจนในที่สุดวินทร์ก็ใจอ่อนยอมให้ตามไปด้วยได้

          “จะไปด้วยก็แต่งตัวได้แล้วครับ” วินทร์เร่งเมื่อเห็นจอสยังคงไม่อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าทั้งที่ใกล้จะได้เวลาออกไปแล้ว

          “แป้ปนึง อีกสิบนาทีจะครบครึ่งชั่วโมงแล้ว” จอสนั่งจับเวลารอให้ครบกำหนดตามที่ระบุไว้บนกล่องน้ำยาเปลี่ยนสีผม

          “ใส่หมวกเอาก็ได้มั้ง ไม่เห็นจะต้องทำสีให้ผมเสียเลย” วินทร์ขัดตากับสีที่จอสเลือกใช้

          “พี่คิดว่าใบหน้าหล่อระดับนี้สมควรจะถูกหมวกปิดบังเอาไว้เหรอครับ?” จอสตอบกลับมาอย่างหลงตัวเองแบบสุดๆ

          “มันสายแล้ว…” วินทร์หมั่นไส้อยากเขกกะโหลกอีกฝ่ายใจจะขาดแต่ก็กลัวน้ำยาเปลี่ยนสีผมจะเลอะมือ

          “นิดเดียวน่า เดทแรกทั้งที ให้เวลาเตรียมตัวบ้างสิ” จอสหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูเวลาอีกรอบก่อนจะหยิบผ้าเช็ดตัวเตรียมเข้าห้องน้ำไปสระผมล้างน้ำยาออกเมื่อเห็นว่าใกล้จะครบครึ่งชั่วโมงแล้ว

          “หือ?” วินทร์สะดุดกับคำบางคำในประโยคเมื่อครู่ “นายบอกว่าเดทแรกเหรอ?”

          “อ่ะฮะ” จอสพยักหน้า “ก็ตั้งแต่คบกันมาเรายังไม่เคยไปไหนด้วยกันไกลกว่าชายหาดเลยนี่นา”

          “ใช้คำว่าเดท ก็หมายความว่านายพร้อมจะเปลี่ยนสถานะความสัมพันธ์ของเราแล้วเหรอ?” วินทร์ใจเต้นตึกตักกับข่าวดีที่มาถึงแบบไม่ทันตั้งตัว จริงอยู่ที่ว่าการที่ทั้งสองมาอยู่ร่วมชายคาเดียวกับฉันผัวเมียแบบนี้ก็ไม่ต่างอะไรกับการเป็นคู่รักแล้ว แต่ถ้ามันถูกชี้ชัดอย่างเป็นทางการโดยตัวของอีกฝ่ายเองก็ถือว่าเป็นสิ่งที่มีความหมายมาก

          “ก็คงงั้น…” จอสตอบโดยไม่มองหน้าอีกฝ่ายเพราะเขินเกินไปที่จะยอมรับ

          “แสดงว่าต่อไปนี้พี่ก็มีสิทธิ์ในตัวนายเต็มที่แล้วสิ” วินทร์เดินตรงดิ่งเข้ามากอดเอวจอสรั้งเอาไว้ไม่ให้เข้าห้องน้ำ “งั้นต่อไปต้องเลิกดื้อแล้วเชื่อฟังพี่ทุกอย่างนะ เข้าใจไหม?”

          “อย่าได้ใจให้มันมากไปนักเลย” จอสยกมือขึ้นยันศรีษะอีกฝ่ายออก “แค่จริงจังขึ้นมากว่าเดิมหน่อยนึง ไม่ได้หมายความว่าเป็นแฟน”

          “แล้วเมื่อไหร่จะเป็นซักที นี่ถ้าเป็นผู้หญิงนายท้องมีลูกกับพี่ไปไม่รู้กี่คนแล้วนะ” วินทร์โยกศรีษะหลบมือของจอสแล้วก้มหน้าลงมาซุกที่ไหล่ “พี่ว่าเราสองคนก็โอเคอยู่นะ ไม่เคยทะเลาะกัน เรื่องอย่างว่าก็เข้ากันได้ อยู่ด้วยกันก็มีความสุขดีไม่ใช่หรือไง?”

          “ยังไม่ถึงเวลา อย่ามารีบได้ป่ะ” จอสดิ้นจนหลุดออกจากอ้อมแขนอีกฝ่ายได้ก็รีบหลบเข้าห้องน้ำไป

          แม้จะรู้ดีว่าในสถานการณ์ที่ทุกอย่างยังไม่แน่นอนเช่นนี้เขาไม่ควรให้ความหวังกับวินทร์อย่างเช่นที่เพิ่งทำเมื่อครู่ แต่มันก็เป็นเพียงหนทางเดียวที่เขาพอจะตอบแทนอีกฝ่ายสำหรับช่วงเวลาอันแสนวิเศษตลอดหนึ่งเดือนที่ผ่านมาได้ ด้วยสภาพจิตใจที่ดีขึ้นจนเกือบจะเป็นปกติทำให้จอสเริ่มคิดถึงการกลับไปทำงานและพาชีวิตของตนเข้าสู่สถานะบุคคลสาธารณะเหมือนเดิมเสียที แต่แน่นอนว่าก่อนจะกลับไปทำเช่นนั้นก็ยังมีเรื่องของความสัมพันธ์ระหว่างเขาและวินทร์ที่ต้องจัดการให้ลงตัวเสียก่อน อีกไม่กี่วันหลังจากนี้จอสตั้งใจจะบอกวินทร์ทุกอย่างเกี่ยวกับที่มาของแผลเป็นบนท้องแขนเหล่านี้รวมไปถึงเงาดำมืดที่เกาะกินอยู่ในจิตใจซึ่งจะไม่มีวันจางหายไป และหากเวลานั้นมาถึงเขาก็พร้อมจะยินดีรับคำตอบที่ได้ ไม่ว่ามันจะสมหวังหรือผิดหวังก็ตาม หากมันสมหวังเขาก็ยินดีเป็นอย่างยิ่งที่จะอ้าแขนรับความรักครั้งใหม่เข้ามาในชีวิต แต่หากคำตอบคือไม่ ความรู้สึกของเขาก็ยังคงยินดี ที่ครั้งหนึ่งเคยได้เป็นที่รักของใครสักคนแม้จะเป็นเพียงแค่ช่วงเวลาสั้นๆ ก็ตาม

          เพียงแต่ตอนนี้ขอมีความสุขแบบนี้ไปอีกสักพักก็แล้วกันนะ….

          หลังจากเสร็จสิ้นกระบวนการเปลี่ยนสีผมอำพรางตน วินทร์รีบจูงโจโฉเดินนำจอสไปยังท่าเรือก่อนจะข้ามฟากไปขึ้นฝั่งยังแผ่นดินใหญ่ ชายหนุ่มกดสวิทช์ที่รีโมทเพื่อปลดล๊อครถซีดานสีดำคันที่จอดทิ้งไว้ในลานจอดรถในขณะที่จอสวิ่งหลบไปมองหาจักรยานยนต์คู่ใจของตนที่ใช้บริการจุดรับฝากรถแบบรักษาความปลอดภัยรายเดือนก่อนจะพบว่ามันยังคงอยู่ดีไม่บุบสลายจึงได้กลับไปหาวินทร์ซึ่งยืนรออยู่ในลานจอดรถโดยมีโจโฉซึ่งออกอาการกระสับกระสายเพราะรู้ตัวว่ากำลังจะโดนพาไปหาหมอนั่งคอตกอยู่ข้างๆ

          ทั้งสองออกเดินทางไปทำธุระตามตารางที่วางเอาไว้เริ่มจากนำโจโฉไปส่งโรงพยาบาลสัตว์เพื่อฉีดยาและฝากไว้เพื่อรับบริการกรูมมิ่งอาบน้ำและตกแต่งขนก่อนจะออกเดินทางต่อไปยังในตัวเมืองที่ซึ่งวินทร์มีธุระต้องเข้าไปติดต่อยังหน่วยงานราชการอีกสองสามแห่ง ซึ่งกว่าจะเสร็จสิ้นทุกอย่างเวลาก็ล่วงเลยจนเข้าสู่ช่วงบ่ายทำให้จอสเข้าใจได้ในทันทีว่าทำไมเมื่อเช้าอีกฝ่ายถึงดูเร่งรีบจะออกมานัก หลังจากช่วงเวลาแห่งความวุ่นวายได้ผ่านพ้นไป ยังเหลือเวลาอีกกว่าสองชั่วโมงจะถึงเวลานัดที่ไปรับตัวโจโฉกลับจากโรงพยาบาลสัตว์ วินทร์จึงใช้เวลาที่เหลือพาจอสไปเดินเที่ยวเล่นยังศูนย์การค้าเพื่อให้เด็กหนุ่มได้เติมเต็มความหิวกระหายในความศิวิไลซ์ให้สมอยาก

          แม้จะพรางบุคลิกจนเหมือนชาวต่างชาติแล้วแต่จอสก็ยังดูโดดเด่นจนดึงดูดสายตาผู้คนที่มาเดินจับจ่ายใช้สอยในศุนย์การค้าแห่งนี้ให้ต้องมองตามทุกครั้งที่เดินผ่าน บางคนก็ดูเหมือนจะจำได้ว่าเด็กหนุ่มเป็นใครและรีบหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาถ่ายรูปเก็บเอาไว้แต่ถึงกระนั้นเจ้าตัวก็กลับดูไม่เดือดร้อนหรือสนใจอะไรเลย ทำให้กลายเป็นวินทร์เสียอีกที่ต้องเป็นฝ่ายระวังไม่ทำตัวรุ่มร่ามเพื่อรักษาภาพลักษณ์ให้กับจอสเสียเอง ทั้งคู่เดินตะลุยจนทั่วทุกซอกทุกมุมของห้างก่อนจะพากันมาจบลงที่ร้านอาหารแห่งหนึ่งตามเสียงเรียกร้องของกระเพาะที่ว่างเปล่ามาตั้งแต่ช่วงเช้า หลังจัดการกับอาหารจนเสร็จเรียบร้อยวินทร์ก็บอกกับจอสว่าต้องไปรับของที่สั่งไว้และขอตัวออกจากร้านไปพักใหญ่ก่อนจะกลับเข้ามาพร้อมกับกล่องเล็กๆ หนึ่งใบที่เขาวางมันลงบนโต๊ะ

          “อะไรอ่ะ?” จอสละความสนใจจากเครื่องเล่นเกมแบบพกพาที่เพิ่งซื้อมาใหม่สดๆ ร้อนๆ เมื่อครู่

          “เปิดดูสิครับ” วินทร์เลื่อนกล่องไปตรงหน้าจอส

          ด้วยประสบการณ์ทั้งจากที่เห็นในภาพยนตร์และการอ่านหนังสือทำให้จอสพอจะเดาได้ไม่ยากว่าในกล่องนั้นมีอะไรอยู่ข้างใน แต่เมื่อเปิดมันออกแล้วเจอเข้ากับแหวนเงินเงาวับวงนั้นหัวใจก็พลันพองโตขึ้นมาด้วยความยินดีอย่างห้ามไม่ได้ แม้อีกใจหนึ่งจะยังส่งเสียงร้องเตือนว่าทุกอย่างกำลังถลำลึกลงไปเกินขอบเขตที่ควรจะเป็นในเวลานี้แต่นั่นก็ไม่อาจหยุดให้เขาลองสวมมันลงบนนิ้วนางข้างขวาตามคำขอของวินทร์ ความรู้สึกเมื่อมองดูแหวนบนมือของตัวเองสลับกับสายตาเปี่ยมไปด้วยความรักของชายที่นั่งอยู่ฝั่งตรงกันข้ามทำให้ช่องว่างในหัวใจราวกับได้ถูกเติมเต็มจนแทบจะล้นปรี่

          “ชอบใช่ไหม?” วินทร์ถาม “พี่เอาเป็นแหวนเงินเพราะดูจากบุคลิกนายแล้ว คิดว่าน่าจะชอบอะไรที่เรียบๆ แบบนี้”

          “อ่ะฮะ… ก็ดี” จอสซ่อนความดีใจเอาไว้เพื่อรักษาฟอร์ม “แล้วรู้ได้ไงว่านิ้วผมใส่ไซส์นี้”

          “แอบวัดตอนนายหลับน่ะ กว่าจะได้เหนื่อยแทบตาย นอนดิ้นอยู่ไม่สุขเลย” วินทร์รู้ดีว่าอีกฝ่ายดีใจจากอาการที่ถึงแม้จะปิดซ่อนเอาไว้แล้วก็ยังไม่มิด

          “แล้วนี่มันคืออะไร การเร่งรัดรูปแบบใหม่เหรอ?” จอสดันแหวนออกจากนิ้วแต่ไม่ให้หลุดเพียงแค่คาปลายนิ้วไว้เช่นนั้น

          “ของขวัญสำหรับเดทแรกไง” วินทร์ตอบเขินๆ “ตอนแรกก็อยากจะให้เป็นแหวนหมั้น แต่นายก็จะหาว่าเร่งรัด ก็เลยให้เป็นแค่ของขวัญไปก่อน พี่ถึงให้นายสวมมันเองไง ถ้าวันนึงนายพร้อมจะเป็นคนรักของพี่แบบเต็มตัวแล้ว พี่จะเป็นคนสวมมันให้นายอีกครั้งในฐานะแหวนหมั้น”

          “แล้วถ้าสิ่งที่พี่หวังมันไม่เกิดขึ้นล่ะ” เมื่อนึกขึ้นมาแล้วจอสก็ไม่อยากที่จะรับมันไว้ เพราะหากถึงเวลาที่ต้องคืนมันกลับไปเด็กหนุ่มก็ไม่รู้ว่ามันจะเจ็บเหมือนหัวใจของตนถูกกระชากออกไปด้วยหรือเปล่า

          “ถึงมันจะเป็นอย่างนั้น นายก็เก็บมันไว้เถอะครับ” วินทร์ไม่ร้องขอคืนสิ่งที่ตนให้ไปแล้ว “มันเป็นของนาย ไม่ว่าจะแหวนวงนี้ หรือความรู้สึกที่พี่ให้นาย ต่อให้นายจะไปเป็นของใคร สิ่งที่ได้จากพี่ไปมันก็จะยังเป็นของนายเสมอนั่นแหละครับ”

          “ก็ให้จริง อย่ามาทวงแล้วกัน ไม่คืนนะบอกก่อน” จอสรีบสวมแหวนกลับเข้านิ้วตามเดิม

          ทั้งสองออกจากศูนย์การค้าหลังจากนั้นไม่นานก่อนจะรีบตรงไปรับโจโฉกลับจากโรงพยาบาลเพื่อเตรียมข้ามฟากกลับไปยังเกาะ ระหว่างรอวินทร์นำรถกลับเข้าไปเก็บในลานจอดรถจอสรีบตรงไปยังสำนักงานของจุดรับฝากรถเพื่อชำระค่าบริการล่วงหน้าสำหรับการฝากดูแลรถจักรยานยนต์คู่ใจอีกหนึ่งเดือน ซึ่งเป็นการเผื่อเอาไว้เพราะเอาเข้าจริงแล้วเด็กหนุ่มคิดว่าตนคงอยู่ที่เกาะนั้นอีกไม่นาน หลังจากบอกความจริงทุกอย่างเกี่ยวกับตนเองให้วินทร์ฟังแล้วไม่ว่าผลจะเป็นเช่นไร เขาก็จะกลับกรุงเทพและเริ่มพาชีวิตตนเองเข้าสู่วิถีอันเป็นปกติเสียที

          เมื่อจัดการธุระส่วนของตนเป็นที่เรียบร้อย จอสรีบตามไปสมทบวินทร์ซึ่งล่วงหน้าไปรอยังบริเวณท่าเรือข้ามฟากก่อนตั้งแต่เมื่อครู่นี้แล้ว ความเร่งรีบทำให้เด็กหนุ่มไม่ได้สนใจสภาพแวดล้อมรอบตัวตนจนไม่เห็นมีนซึ่งกำลังเดินเข้ามายังบริเวณท่าเรือเช่นกัน ตรงกันข้ามกับอีกฝ่ายที่สังเกตเห็นจอสอย่างชัดถนัดสองตา เริ่มแรกมีนเร่งฝีเท้าเตรียมจะเข้าไปทักแต่เมื่อเห็นว่าอดีตคนรักของตนมากับใครบางคนที่แสนจะคุ้นหน้าคุ้นตา เขาจึงเปลี่ยนความตั้งใจเร้นกายหลบในมุมที่ทั้งสองไม่อาจมองเห็นแล้วเฝ้าสังเกตการณ์อยู่อย่างเงียบๆ จนกระทั่งเดินทางไปถึงเกาะจึงได้ปลีกตัวเดินเลี่ยงออกไปอีกทาง

          วินทร์พาโจโฉกลับไปเข้าบ้านในขณะที่จอสขอตัวเดินเล่นที่ริมชายหาดอีกครู่หนึ่งแล้วจะตามเข้าไป เด็กหนุ่มจ้องมองดูทิวทัศน์ยามเย็นที่ปรากฎอยู่เบื้องหน้าแล้วจดจำภาพของมันไว้เพราะรู้ดีว่าอีกไม่นานทุกอย่างก็จะกลายเป็นแค่อดีต ไม่ว่าความสัมพันธ์ระหว่างเขากับวินทร์จะเป็นเช่นไร วันพักผ่อนนี้ก็คงต้องจบลงเสียที แต่ถ้ามันจะเป็นไปได้ หากโชคชะตาจะเป็นใจให้เพียงสักครั้ง เขาก็อยากจะให้ความรักครั้งนี้ได้คงอยู่ต่อไปแม้จะเป็นในรูปแบบของความรักทางไกลก็ตามที

          แสงอาทิตย์กำลังจะเลือนหายไปจากฟากฟ้าในอีกไม่กี่นาทีต่อจากนี้ จอสเตรียมจะเดินกลับไปยังบ้านของวินทร์ที่รีสอร์ทแต่ทว่ายังไม่ทันจะก้าวขาพ้นชายหาด มีนก็ปรากฏตัวขึ้นมาขวางหน้าเอาไว้เสียก่อน เด็กหนุ่มมองบุคคลตรงหน้าตนแล้วถอนหายใจออกมาอย่างเหนื่อยหน่ายเพราะรู้ดีว่าคงไม่พ้นได้มีเรื่องปวดหัวอีกแน่

ออฟไลน์ lolito

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 156
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-1
          “ขอคุยด้วยหน่อย” มีนบอกกับจอสก่อนจะขยับตัวไปขวางทางไว้เมื่ออีกฝ่ายตั้งท่าจะเดินเลี่ยงหนีไป

          “มีอะไรกับกูอีก?” จอสตัดสินใจเผชิญหน้าไปให้จบๆ “ถ้าเรื่องกูทำมึงเจ็บตัววันนั้น กูขอโทษก็ได้เอ้า… กูผิดเอง พอใจมึงไหม?”

          “กูไม่ได้มาเรื่องนั้น” มีนส่ายหน้าปฏิเสธ “มึงบอกความจริงกูมาได้แล้ว มึงมาที่นี่ทำไม?”

          “เรื่องของกูป่ะ?” จอสไม่ตอบและไม่เห็นความจำเป็นที่จะต้องตอบคำถามนั้น

          “มึงเป็นเด็กใหม่พี่วินทร์เหรอ?” มีนเลิกอ้อมค้อมแล้วเข้าประเด็นทันที “กูต้องถามเพราะกูไม่เชื่อว่าคนแบบมึงจะสิ้นไร้ไม้ตอกขนาดนั้นนะ”

          “มึงเสือกอะไรกับเรื่องของกู?” จอสใจหล่นวูบเมื่อได้ยินชื่อวินทร์ออกมาจากปากของมีน ซึ่งหมายความว่าทั้งสองต้องมีส่วนเกี่ยวข้องกันอย่างแน่นอน แต่จะเป็นในรูปแบบไหนเท่านั้น “กูจะคบใครมึงมายุ่งอะไรด้วยไอ้มีน?”

          “กูก็ไม่ได้อยากเสือกหรอกนะ ถ้าเป็นคนอื่นกูคงปล่อยไปตามเวรตามกรรมแล้ว” มีนจ้องหน้าจอสด้วยแววตาจริงจังจนน่าขนลุก “แต่ก่อนจะพูดอะไรออกไป กูต้องรู้ก่อนว่ามึงกับเค้าเป็นอะไรกัน”

          “ถ้ามึงอยากรู้มาก กูจะตอบให้ก็ได้ จะได้เลิกวุ่นวายกับกูซักที” จอสตัดสินใจบอกออกไปตรงๆ “กูคบกับเค้าอยู่ สบายใจรึยัง?”

          “งั้นมึงฟังกูให้ดี กูจะเตือนมึงไว้” มีนก้าวเข้ามาประชิดอีกฝ่ายราวกับกลัวใครจะได้ยินสิ่งที่ตนกำลังจะพูด “คนๆ นี้ไม่ได้ดีแบบที่มึงคิด เค้าไม่ได้เป็นแบบที่เค้าพยายามแสดงออกให้มึงเห็น”

          “นี่คือมึงจะทำลายชีวิตกูให้ได้ทุกวิถีทางเลยใช่ป่ะ?” จอสโมโหขึ้นมาติดหมัดกับพฤติกรรมจองล้างจองผลาญไม่เลิกของมีน “ตอนคบกันก็พากูไปลงเหวจนเสียผู้เสียคน พอเลิกกันแล้วมึงยังจะมาทำแบบนี้อีกเหรอ มากไปแล้วมั้ง”

          “มึงจะเกลียดกู อคติกับกูก็เรื่องนึง แต่มึงก็ควรจะรับฟังไว้” มีนไม่ยอมออกนอกประเด็น “มึงไม่สงสัยหรือไง ว่าทำไมกูถึงเป็นคนที่มาเตือนมึงเรื่องนี้?”

          จอสชะงักไปครู่หนึ่งเมื่อได้ยินคำถามนั้น ด้วยสมองได้คิดตามและพบกับคำตอบอันไม่พึงประสงค์

          “มึงเคยรู้เรื่องส่วนตัวของเค้ามากกว่าที่เห็นบ้างไหม?” มีนยังซ้ำต่อ “มึงรู้ไหมนอกจากรีสอร์ทแล้วเค้ายังมีธุรกิจอะไรบนเกาะนี้อีกบ้าง?”

          ในหัวของจอสว่างเปล่า ไม่มีคำตอบใดๆ สำหรับคำถามนี้ เด็กหนุ่มเพิ่งฉุกคิดขึ้นมาได้ว่าแม้จะอยู่ด้วยกันมาระยะหนึ่งแล้ว แต่เขาก็เคยรู้เรื่องอะไรของวินทร์มากไปกว่าเท่าที่เห็นเลย อีกทั้งอีกฝ่ายก็ไม่เคยจะเล่าอะไรเกี่ยวกับตนเองให้ฟังด้วย ซึ่งในเวลานั้นมันไม่รบกวนจิตใจของจอสเพราะเขาคิดว่าก็เป็นเรื่องยุติธรรมดีแล้ว เนื่องจากตนก็ไม่ได้เล่าชีวิตส่วนที่ปกปิดไว้ให้วินทร์ฟังเช่นกัน แต่ในเวลานี้เมื่อมีนมาพูดให้สงสัย มันก็ทำให้ใจอดไม่ได้ที่จะกระหายใคร่รู้ขึ้นมา

          “มึงไม่สงสัยบ้างเหรอ? ว่านายจ้างกูเป็นใคร ทำไมถึงใจดีกับกูนัก ถึงขนาดหาที่พักส่วนตัวให้อยู่ฟรีๆ” มีนขมวดปมเข้ามาถึงจุดอันเป็นชนวนเหตุ “มึงน่ะไม่ใช่เด็กหลงทางคนแรกที่เค้าเก็บมาเลี้ยงหรอกนะ”

          “มึงจะพูดอะไรก็พูดมาตรงๆ” จอสตอบกลับไป แต่ด้วยจิตใจที่ไขว้เขวทำให้น้ำเสียงกลับฟังดูอ่อนแอราวกับคนป่วย

          “ก็เอาเป็นว่าจุดที่มึงยืนอยู่ตอนนี้ ไอ้ที่ได้นั่งชูคออยู่ร่วมชายคากับเค้าน่ะ กูเคยไปยืนมาแล้ว” มีนยิ้มมุมปากเหมือนเย้ยหยัน “แล้วถ้าสักวัน มีเด็กหลงทางคนใหม่ที่เค้าเห็นว่าน่าเอ็นดูพอจะเก็บมาเลี้ยง มึงก็เตรียมตัวลงมาอยู่จุดเดียวกับกูได้เลย แต่ก็ดีนะมึง อิสระดี แค่เวลาที่เค้าโทรมาบอกว่าจะมาหามึง มึงก็ต้องเคลียร์ตัวเองให้ว่างไว้เท่านั้นเอง”

          “ไร้สาระ… มึงหุบปากไปเลย…” จอสไม่อยากได้ยินอะไรมากกว่านี้แล้ว บางสิ่งในจิตใจที่ตรึงรั้งตัวตนอันเป็นปกติไว้กำลังจะหมดแรงยึดเหนี่ยว

          “ถ้ามึงไม่เชื่อหรือยังไม่อยากจะเชื่อ กูมีหลักฐานที่จะทำให้มึงจำใจต้องเชื่อ” มีนงัดไพ่ใบสุดท้ายออกมา เด็กหนุ่มล้วงหยิบบางอย่างออกมาจากในกระเป๋ากางเกงก่อนจะโยนมันใส่จอส ซึ่งอีกฝ่ายก็รับเอาไว้ได้ทัน “ดูเอาซะ กูว่ามึงก็คงมีอะไรแบบนี้เหมือนกัน”

          จอสดูสิ่งที่ตนกำเอาไว้อยู่ในอุ้งมือก่อนจะต้องเบือนหน้าหนีไม่อาจทนมองมันต่อได้ เมื่อสิ่งที่มีนเพิ่งโยนมาให้นั้นมันคือแหวนเงินซึ่งไม่มีตรงไหนแตกต่างจากวงที่อยู่บนมือของเขาเลย หากจะมีก็เพียงขนาดที่ดูจะเล็กกว่าตามนิ้วของผู้ใส่ ถึงแม้จอสจะรู้ดีจากประสบการณ์ผ่านวันเวลาที่รู้จักคบหากันมาว่าคำพูดของมีนนั้นไม่อาจเชื่อถือได้ทั้งร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่กับครั้งนี้ทุกสิ่งทุกอย่างดูจะมีหลักฐานรองรับจนไม่อาจเปลี่ยนความคิดให้เป็นอื่นได้ เด็กหนุ่มรู้สึกเหมือนพื้นดินใต้เท้าปริแตกออกและสลายหายไปเหลือแต่เพียงเวิ้งความมืดดำไร้ที่สิ้นสุด ตัวตนอันแสนเปราะบางของเขากำลังจะร่วงหล่นลงไปเบื้องล่างนั้นในขณะที่เงาดำมืดซึ่งแสนจะน่าชิงชังได้โอกาสที่จะปีนกลับขึ้นมาสู่พื้นผิวอีกครา

          “มึงมีอะไรจะถามกูเพิ่มเติมอีกหรือเปล่า? กูจะตอบให้ จะได้ไม่มากล่าวหากูทีหลังว่ามาพูดอะไรคลุมเครือให้มึงเข้าใจผิดไปเอง” มีนพูดต่อโดยทันได้สังเกตว่าจอสเริ่มมีอาการผิดปกติ เขาคิดว่ามันเป็นแค่อาการโกรธธรรมดาเท่านั้น “กูก็สงสัยอยู่ว่าทำไมระยะหลังเค้าถึงไม่มานอนค้างกับกูเลย ที่แท้ก็กำลังเห่อมึงนี่เอง”

          “มึงโกหก” จอสตัวสั่น ดวงตาพร่าไปด้วยน้ำตาที่เอ่อขึ้นมา “กูไม่เชื่อมึง…”

          “โธ่ คุณหัสนัยน์…” มีนพูดด้วยน้ำเสียงสมเพช “เห็นไปเป็นดาราอยู่ตั้งนาน ผมนึกว่าคุณจะแสดงละครได้เก่งกว่านี้นะ”

          สติของจอสขาดผึง มือกำหมัดแน่น น้ำตาที่เอ่อหยดลงมาเพียงแค่หยดเดียวก่อนที่จะเหือดหายไปด้วยเพลิงที่เผาอยู่ในดวงตา ร่างกายสั่นเทิ้มไปด้วยความโกรธแต่เขาเลือกที่จะเดินหันหลังกลับออกมาจากตรงนั้นเพราะรู้ดีว่ามีนไม่ใช่คนที่จะต้องสะสางด้วยในเวลานี้ เด็กหนุ่มเดินมุ่งหน้าตรงกลับไปยังรีสอร์ทที่ซึ่งมีบุคคลอันเป็นเป้าแห่งโทสะอยู่ วินทร์กำลังเก็บกวาดบริเวณกรงนอนของโจโฉอยู่ในตอนที่จอสเดินกลับเข้ามา เขาวุ่นวายกับงานจนไม่ทันสังเกตเห็นเลยด้วยซ้ำว่าอีกฝ่ายไม่ได้อยู่ในสภาพอารมณ์ปกติ

          “กลับมาแล้วเหรอครับ?” วินทร์ถามเมื่อได้ยินเสียงฝีเท้ามาหยุดอยู่ข้างหลัง

          “พี่สนุกมากใช่ไหม?” จอสถาม “เห็นผมโง่มากนักเหรอ?”

          “อะไรอีกล่ะ?” วินทร์วางมือจากงาน “เมื่อกี้ก็ยังเห็นดีๆ อยู่เลย เป็นอะไรอีกแล้ว?”

          ทันทีที่วินทร์หันหน้ากลับมาหา จอสก็จัดการซัดกำปั้นลุ่นๆ ใส่ใบหน้าอีกฝ่ายเต็มแรง ผิวบริเวณโหนกแก้มใต้ตาขวาของวินทร์ถึงกับแตกจนเลือดซึมออกมา การใช้กำลังยิ่งเหมือนโหมไฟแห่งความโกรธเกรี้ยวให้รุนแรงมากขึ้น เด็กหนุ่มหน้ามืดไม่รับรู้อะไรทั้งสิ้นแล้วในขณะนี้ เขาเหวี่ยงกำปั้นซัดซ้ำลงไปอีกหลายต่อหลายครั้ง โจโฉซึ่งอยู่ในกรงส่งเสียงเห่ากรรโชกเมื่อเห็นเจ้านายถูกทำร้ายแต่ก็ไม่อาจออกมาช่วยได้ วินทร์ได้แต่ปกป้องตัวเองจนกระทั่งสบโอกาสจึงหยุดอีกฝ่ายไว้ได้ด้วยการจับข้อมือแล้วบีบเอาไว้แน่นชนิดที่มากพอจะสร้างความเจ็บปวดแก่เจ้าของมือได้ แต่ความเจ็บเพียงเท่านั้นไม่อาจดึงตัวตนของจอสให้พ้นกลับขึ้นมาจากเวิ้งแห่งความมืดดำที่จิตใจกำลังจมดิ่งอยู่ได้ เขาพยายามดิ้นให้หลุดแต่เมื่อสู้แรงคนโตกว่าไม่ได้จึงคำรามออกมาอย่างเกรี้ยวกราดราวกับสัตว์ร้ายที่ติดกับของนายพราน

          “จอส หยุด!!” วินทร์ร้องห้าม แม้เรี่ยวแรงจะมีมากพอจะหยุดการเคลื่อนไหวของอีกฝ่าย แต่ใจก็ยังอดไม่ได้ที่หวาดหวั่นต่อพายุอารมณ์ที่อีกฝ่ายสาดโถมเข้ามา มันรุนแรงน่ากลัวจนดูราวกับผีร้ายที่กำลังคลั่ง “เป็นอะไรไป มีอะไรมาคุยกันให้รู้เรื่องก่อนสิ! ”

          “คุยเพื่ออะไร? พี่จะได้โกหกผมต่อไปเรื่อยๆ งั้นเหรอ? ! ” จอสตะคอกใส่หน้า

          “โกหกเรื่องอะไร! ?” วินทร์ตะโกนถามกลับไป เพราะรู้ดีว่าเสียงพูดปกติไม่อาจเข้าถึงอีกฝ่ายได้แน่ในอารมณ์แบบนี้ “เลิกเป็นบ้าแล้วบอกมาสิว่าพี่โกหกนายเรื่องอะไร? ! ”

          “ก็เรื่องนี้ไง กล้าพูดไหมว่าไม่เคยเห็นแหวนวงนี้? ! ” จอสล้วงแหวนที่ได้จากมีนออกมาแล้วโยนลงบนพื้น มันกระเด้งตามแรงกระแทกก่อนจะกลิ้งไปหยุดตรงปลายเท้าของวินทร์ “บอกมาสิว่าพี่ให้แหวนแบบนี้กับใครไปบ้าง แล้วไหนจะเรื่องธุรกิจลับๆ ของพี่อีก”

          วินทร์ก้มลงมองดูแหวนที่ปลายเท้าตนแล้วก็ถึงกับหน้าถอดสี ด้วยคาดไม่ถึงว่ามันจะมาอยู่กับจอสได้ โจโฉยังส่งเสียงเห่าไม่หยุดจนวินทร์ต้องหันไปส่งสัญญาณให้มันเงียบก่อนจะกลับมาสะสางเรื่องของตนต่อ

          “นายไปเอามันมาจากไหน? มีนงั้นเหรอ?” วินทร์ถาม มือยังไม่ปล่อยแขนจอสเพราะรู้ว่าอีกฝ่ายต้องไม่ยอมคุยแล้วโจมตีตนต่อแน่

          “ไม่สำคัญหรอก” จอสสะบัดตัวอย่างแรงจนหลุดจากการจับกุมได้ แต่ก็เสียหลักล้มลงไปกับพื้นเช่นกัน “ห่าเอ๊ย! ”

          “ไม่ว่านายจะรู้อะไรมา มันจบไปแล้ว” วินทร์พยายามอธิบาย ใจอยากจะเข้าไปพยุงจอสขึ้นมาแต่ก็ยังเกรงท่าทางฮึดฮัดของอีกฝ่ายที่ดูอันตรายเสียเหลือเกิน “พี่ยอมรับมันเคยเกิดขึ้นจริง ก่อนหน้านายจะมาถึง แล้วมันก็จบลงก่อนหน้านายจะมาถึงหลายเดือนแล้วเหมือนกัน ส่วนเรื่องธุรกิจบาร์ พี่เป็นแค่หุ้นส่วนเท่านั้น ที่ไม่เล่าให้นายฟังเพราะมันก็ไม่ได้เป็นเรื่องสำคัญอะไรขนาดนั้น”

          “งั้นของผมมันจะจบเมื่อไหร่ล่ะ?” จอสยังไม่สงบ “เมื่อมีคนใหม่ที่ถูกใจกว่าเข้ามางั้นเหรอ? เมื่อไหร่ที่ผมจะโดนเฉดหัวออกไปอยู่ที่อื่นเหมือนไอ้มีน? แล้วไอ้แหวนเฮงซวยนี่มันมีความหมายอะไรมากไปกว่าปลอกคอแสดงความเป็นเจ้าของที่พี่สวมให้คนที่พี่นอนด้วยทุกคนหรือเปล่า?”

          “อย่ามาพูดแบบนั้นกับพี่นะ” วินทร์เจ็บขึ้นมากลางอกเมื่อได้ยินสิ่งที่อีกฝ่ายพูดออกมา

          “ทำไม? มันแทงใจดำเหรอ?” จอสยังพ่นคำพูดร้ายกาจออกมาไม่หยุด แม้จะรู้จากใบหน้าเจ็บปวดของผู้ฟังว่าควรพอแล้วแต่ก็ไม่อาจหยุดตัวเองได้ “หรือเพราะเจ็บใจที่ผมรู้ทันแผนของพี่?”

          “บอกให้พอไง…” วินทร์พยายามใช้ความสงบจบเรื่องนี้ เขาเดินเข้าไปพยุงให้จอสลุกขึ้น “มาเถอะ ลุกขึ้นครับ เข้าบ้านกันดีกว่านะ นายกำลังโกรธ เอาไว้ดีขึ้นเราค่อยมาคุยกันดีกว่า”

          “อย่ามายุ่งกับผม ไอ้พวกตอแหล!!! ” จอสกระถดตัวหนี

          เมื่อพ้นจากมือของอีกฝ่ายเด็กหนุ่มฉวยคว้าก้อนหินจากบนพื้นขึ้นมาแล้วขว้างสวนกลับไป มันกระแทกเข้าที่หน้าผากของวินทร์แบบเต็มๆ เขาผงะถอยออกมือยกขึ้นกุมยังจุดที่เกิดการปะทะพร้อมกันกับเลือดที่เริ่มไหลออกมาจากปากแผล

          “ถ้านายจะเป็นแบบนี้ เราคงไม่ต้องคุยอะไรกันต่อแล้วล่ะครับ เปล่าประโยชน์” วินทร์หมดความอดทนกับความไร้เหตุผลของจอส ด้วยไม่รู้ว่ามันเป็นสิ่งที่อยู่เหนือการควบคุมของอีกฝ่าย

          “ได้งั้นก็ดี!” จอสรู้สึกเหมือนกำลังจะอาเจียน ความเครียดเริ่มก่อตัวขึ้นมากจนเกินกว่าที่สมองจะรับไหว

          “ถ้าไม่เข้าบ้านตามที่พี่บอก นายอยากจะไปไหนก็ไปเถอะ” วินทร์ปาดเลือดที่กำลังจะไหลลงมาเข้าตาออก “เรื่องของเราก็พอกันแค่นี้แหละ พี่ไม่อยากเกลียดนายมากไปกว่านี้ ขอบคุณมากสำหรับช่วงเวลาที่ผ่านมา”

          “ก็เท่านั้นแหละ...” จอสเสียงแผ่วอ่อนลงด้วยความเจ็บราวกับถูกมีดกรีดลงกลางหัวใจ “ผิดจากที่ผมบอกเอาไว้ไหมล่ะ ว่าสุดท้ายแล้วก็จะเป็นพี่ที่ไม่อยากเป็นอะไรกับผมทั้งนั้น”

          “พี่ไม่ได้เป็นคนเริ่มเรื่องนี้นะ” วินทร์โมโหที่จอสพูดเหมือนตนเป็นคนผิด

          “รู้… ผมรู้ ไม่ใช่พี่ แต่เป็นผมเอง พี่ไม่ผิดหรอก ไม่ผิดเลย” จอสยันตัวลุกขึ้นยืน ความเจ็บทางใจเมื่อครู่ได้ผลชะงัด เงามืดดำได้สลายหายไปเหลือไว้แต่เพียงหมอกแห่งความเศร้าซึ่งเลวร้ายยิ่งกว่า “ผมมันของพังแล้ว ไม่มีใครอยากได้ของที่พังแล้วหรอก”


To be continued...

ออฟไลน์ lolito

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 156
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-1
จอส ยอมๆ ไปเถอะ ดูแล้วแพ้หมดทุกทางเอย  :เฮ้อ:

แพ้หมดรูปจริงๆงานนี้  :hao5:



:L2: :pig4:

ขอบคุณการลงอย่างสม่ำเสมอ

ครับ จะพยายามไม่ห่างไม่หายครับ  :katai4:



จอสเค้าน่าเอ็นดูนะคะ​ สงสารอ่ะ​ คนมีปม​ หวังว่าพี่วินทร์จะรักและเอ็นดูไปตลอด​ ยอมรับน้องให้ได้ :katai2-1:

ตอนนี้ยังไม่รู้ว่าน้องเป็นอะไรก็ยังรับได้ แต่รู้แล้วจะยังเหมือนเดิมไหมก็ต้องรอดูครับ  :ling3:



:pig4: :pig4: :pig4:

บอกแล้วว่า "แพ้ทาง"

ยังไงก็ไม่รอดหรอก  นุ้งจอส

ป.ล. ก็อีกเรื่องเฉลยมาแล้วนิ ว่าคบกันเป็นแควน  อิอิ

อาจจะเป็นคนอื่นก็ได้น้า อิอิอิ :hao6:



อิพี่วินทร์มันร้ายนัก
น้องจอสสู้ๆ

ไม่ร้ายคงปราบน้องจอสไม่ลง  :hao7:



ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3360
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2
 :pig4: :pig4: :pig4:

 :sad11: :sad11: :sad11:

น่าสงสารนุ้งจอส  อาการไบโพลาร์กำเริบ  อิพี่วินทร์ไม่รู้ก็เลยไปกันใหญ่

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7518
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
ไม่ฟังเหตุผล วู่วาม ก็ออกมาแบบนี้
แล้วเจ็บทั้งคู่  ทั้งที่กำลังจะดีๆกันแล้ว  :เฮ้อ: :เฮ้อ: :เฮ้อ:
ถ้าฟังหูไว้หู ก็จะดีนะจอส  :mew2: :mew2: :mew2:

ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4805
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
พี่มันเลว หรือนังมีนมันแค้น  :katai1:

ออฟไลน์ nunda

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3004
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-2
นัองจอสค่อยๆตั้งสตินะคับ

ออฟไลน์ lolito

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 156
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-1
Episode 7


          แกทำพังอีกจนได้… กี่ครั้งแล้วที่เป็นแบบนี้...

          จอสนึกด่าตัวเองอยู่ในใจขณะเดินออกมาจากรีสอร์ท เมื่อมองย้อนกลับไปด้วยความหวังอันน้อยนิดว่าจะเห็นวินทร์ยังคงยืนมองอยู่จากตรงนั้น แต่ในความเป็นจริงก็มีแต่ความผิดหวังเมื่ออีกฝ่ายกลับเข้าไปในบ้านแล้ว ซึ่งเด็กหนุ่มก็ไม่แปลกใจเพราะรู้ดีว่าสิ่งที่ตนทำลงไปนั้นมันรุนแรงและไร้เหตุผลจนเกินกว่าที่ใครจะมายอมรับได้แม้จะรักแค่ไหนก็ตามที การย่างเท้าเดินแต่ละก้าวนั้นช่างหนักอึ้งเมื่อตระหนักดีว่าแสงสว่างในชีวิตที่เคยคิดว่าเป็นดวงดาวบัดนี้กลับดับวูบไปเป็นเพียงแค่ดอกไม้ไฟ และแน่นอนว่าจอสไม่อาจโทษใครได้เลยนอกจากตัวเอง

          วินทร์มีเหตุผลทุกอย่างที่เขาควรจะรับฟัง แม้จะอยู่ในห้วงอารมณ์แห่งความโกรธที่ควบคุมไม่ได้แต่จอสก็รับรู้และเข้าใจทุกอย่างที่อีกฝ่ายพยายามอธิบาย หากแต่ไม่อาจหยุดตัวเองได้ ความเกรี้ยวกราดที่สาดออกไปนั้นน่ารังเกียจจนแม้กระทั่งตัวของเขาเองยังไม่อยากจะนึกถึง ซึ่งก็เหมือนกับทุกครั้งที่มันเคยเกิดขึ้นที่ในเวลานี้ความหดหู่และเสียใจจะตามมาเป็นคลื่นระลอกสองที่ถาโถมซัดให้จิตใจเสียหลัก เหมือนกราฟที่พุ่งขึ้นถึงขีดสุดแล้วร่วงลงมาแตะก้นเหว จอสรู้ดีว่าการอยู่คนเดียวในช่วงเวลาแบบนี้ย่อมนำพาไปสู่การทำอะไรโง่ๆ เช่นทำร้ายตัวเองไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง ดังนั้นเขาจึงเริ่มมองหาใครสักคนที่พอจะอยู่เป็นเพื่อนได้จนกระทั่งถึงเวลาเช้าที่เรือข้ามฟากจะให้บริการอีกครั้ง และถึงตอนนั้นเขาจะไปจากที่นี่และทิ้งทุกอย่างให้เป็นเพียงแค่ความหลัง

          ความสิ้นหวังทำให้จอสรู้สึกเหมือนตัวเองหมดทางเลือก อับจนหนทางไป ถึงแม้จะเกลียดแสนเกลียดแต่ในเวลานี้ก็คงมีแต่มีนคนเดียวที่พอจะเป็นที่พึ่งพาได้ แม้จะรู้ดีว่าอาจต้องพบเจอกับความน่าหงุดหงิดรำคาญใจ แต่ถึงอย่างไรก็คงดีกว่านั่งทำร้ายตัวเองอยู่คนเดียวแน่ เมื่อคิดได้เช่นนั้นเขาจึงรีบมุ่งหน้าไปยังบ้านพักของมีนที่ซึ่งเจ้าตัวกำลังนั่งรออยู่ด้านหน้าราวกับรู้อยู่ล่วงหน้าแล้วว่าอีกฝ่ายจะมา

          “มึงมาช้ากว่าที่กูคิด” มีนทักทายเมื่อเห็นจอสปรากฎตัวขึ้น

          “สะใจมึงแล้วสิ” จอสไม่มีอารมณ์จะทะเลาะหรือแม้แต่จะต่อล้อต่อเถียงกับใครแล้ว

          “นิดนึง” มีนยอมรับ แล้วลุกมาประคองจอสไปนั่ง

          “แต่กูไม่โทษมึงหรอก ลำพังลูกไม้ปั่นหัวของมึงก็ทำได้แค่ให้กูโกรธ” จอสสะบัดแขนมีนออก “ที่มันฉิบหายป่นปี้แบบตอนนี้ มันเป็นปัญหาจากตัวกูเองทั้งนั้น”

          “ไม่มีใครยอมรับมึงได้แบบที่กูยอมรับหรอก” มีนตบบ่าจอส “มึงก็รู้ว่าเราสองคนมันพวกของชำรุดทั้งคู่ แต่พอมาอยู่ด้วยกันมันก็เติมเต็มกันได้พอดี”

          “อย่าเอากูไปจัดเข้าประเภทเดียวกับมึง” จอสรับไม่ได้ “กูไม่เหมือนมึง”

          “มึงจะพูดยังไงก็ได้” มีนยักไหล่เหมือนไม่แคร์ “แต่ก็ดูเอาสิ ว่าตอนนี้ใครกันที่ซมซานมาหากู”

          “กูแค่หาที่นอน เช้ากูจะขึ้นฝั่งกลับกรุงเทพแล้ว” จอสบอกให้อีกฝ่ายเลิกสำคัญตัวเองผิด

          “โอเค…” มีนไม่ขัด แค่จอสมาที่นี่ก็ถือว่าเข้าทางแผนการที่วางไว้แล้ว “เดี๋ยวกูไปหาอะไรให้มึงดื่มก่อน หรือว่าอิ่มน้ำตาจนกินอะไรไม่ลงแล้ว?”

          จอสปัดมือไล่ให้มีนไปให้พ้นๆ ตา เด็กหนุ่มหัวเราะก่อนจะปลีกตัวเข้ามาในบ้าน เมื่อลับสายตาของจอสแล้วมีนจึงค่อยหยิบขวดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์แบบผสมสำเร็จออกมาจากในตู้เย็นก่อนจะเปิดฝาแล้วเทของเหลวไร้สีไร้กลิ่นในขวดสีชาลงไปจากนั้นจึงแกว่งขวดเขย่าให้ทั้งหมดผสมเข้าด้วยกันแล้วนำไปเสิร์ฟให้กับจอสที่นั่งรออยู่ด้านนอก

          “เอ้า แดกซะ จะได้เลิกเครียด” มีนส่งขวดให้กับจอสที่นั่งหน้าซึมเซาหมดอาลัยตายอยากอยู่

          จอสไม่ปฏิเสธอะไรก็ตามที่สามารถทำให้สติสัมปชัญญะของตนหันเหออกห่างจากเรื่องที่กำลังรุมเร้าอยู่ เขารับมันมาแล้วกระดกดื่มเข้าไปรวดเดียวครึ่งขวดก่อนจะนึกขึ้นมาได้ว่าเมื่อช่วงหัวค่ำตนมัวแต่วุ่นวายกับการทะเลาะกับวินทร์จนลืมกินยาจึงรีบหยิบตลับใส่ยาออกมาจากในกระเป๋ากางเกงแล้วเทยาทั้งหมดที่เหลือในนั้นเข้าปากและกลืนลงคอไป อันที่จริงมันเป็นยาสำหรับช่วงเวลาหลังอาหารเย็นแต่คงไม่จำเป็นแล้วในเวลาที่ความอยากอาหารหดหายไปหมดสิ้นเช่นนี้ จะกินตอนไหนก็คงมีค่าเท่ากัน เด็กหนุ่มรีบกระดกเครื่องดื่มที่เหลือตามลงไปจนหมดขวดเพื่อบรรเทาอาการขื่นคอแล้วจึงค่อยพาตัวเองเข้าไปในบ้าน

          “อาบน้ำหน่อยไหม?” มีนยื่นผ้าเช็ดตัวผืนใหม่ให้ “หรือจะให้กูอาบด้วยก็ได้นะ”

          “อาบกับมึงมีแต่จะสกปรกขึ้นกว่าเดิมน่ะสิ” จอสรับผ้ามา เมื่อมองดูสภาพตัวเองที่มอมแมมจากฝุ่นดินที่เลอะตัวตอนหกล้มเมื่อครู่ การอาบน้ำชำระล้างร่างกายก็ไม่ใช่เรื่องที่น่าปฏิเสธ อย่างน้อยเมื่อรู้สึกสบายตัวก็คงทำให้ข่มตาหลับในที่ๆ ไม่คุ้นเคยได้ง่ายขึ้นบ้าง

          “งั้นมึงก็ไปอาบก่อนเลยไป เดี๋ยวกูจะได้อาบบ้าง” มีนปล่อยให้จอสอาบน้ำคนเดียวตามที่ต้องการ เพราะถึงอย่างไรสิ่งที่เขาผสมลงไปในเครื่องดื่มของจอสก็คงต้องใช้เวลาอีกครู่หนึ่งกว่าจะออกฤทธิ์ ถึงตอนนั้นอีกฝ่ายก็คงจะกลายเป็นแค่แมวเชื่องๆ ให้เขาได้เล่นสนุกด้วยได้ตามใจชอบ ดังนั้นการยอมอดเปรี้ยวไว้กินหวานก็ย่อมเป็นผลดีกว่า

          มีนจ้องมองดูจอสซึ่งกำลังสลัดเสื้อผ้าที่สวมอยู่ออกจนเหลือแต่กางเกงชั้นในอย่างไม่วางตา ใจนึกชื่นชมอดีตคนรักที่มีพัฒนาการไปในทิศทางที่ดีมากเมื่อเทียบกับสมัยที่ยังคบกันอยู่ ไม่ใช่เพียงแค่ร่างกายภายนอกที่ดึงดูดสายตาไปทุกสัดส่วนเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงทุกสิ่งอันที่ประกอบขึ้นเป็นตัวตนของอีกฝ่ายด้วย ไม่ว่าจะเพราะอะไรก็ตามในเวลานี้แววตาของเด็กหนุ่มคนนี้ไม่ได้ว่างเปล่าไร้วิญญาณเหมือนเมื่อสมัยมัธยมอีกต่อไปแล้ว จอสคนใหม่กลายเป็นคนที่ไม่ยอมให้เขาชักจูงได้ง่ายๆ เหมือนเมื่อก่อน จากของตายกลายเป็นสิ่งที่ท้าทายและน่าเอาชนะ และนั่นทำให้เขาอยากจะกลับมาเป็นผู้ครอบครองสิ่งล้ำค่าที่เคยปล่อยให้หลุดมือไปแล้วนี้อีกครั้ง แม้จะต้องใช้วิธีสกปรกเช่นนี้ก็ตาม

          ในห้องน้ำ จอสปล่อยให้น้ำจากฝักบัวไหลรดร่างกายไปเรื่อยๆ ขณะที่ในสมองนึกอยากให้ความรู้สึกแย่ๆ ทั้งหลายที่รุมเร้าจิตใจอยู่ถูกชำระล้างออกไปตามสายน้ำได้เหมือนกับความสกปรกตามร่างกาย แม้กระทั่งตอนนี้จอสก็ยังไม่อยากเชื่อว่าเรื่องของเขาและวินทร์ได้มาถึงจุดจบแล้ว ทั้งที่ทุกอย่างดูเหมือนกำลังจะไปได้ดีแท้ๆ มันคงไม่เป็นเช่นนี้หากเขามีสภาพจิตใจที่เป็นปกติเหมือนคนทั่วไป หากเป็นเช่นนั้นเขาก็คงจะควบคุมอารมณ์ของตนเอาไว้ได้และรับฟังคำอธิบายของอีกฝ่ายไม่ปล่อยให้เรื่องทุกอย่างลุกลามจนพังพินาศแบบนี้

          ร่างของจอสสะท้านเฮือกเมื่อหัวใจเต้นผิดจังหวะจนเกิดอาการปวดเสียดขึ้นกลางอก เด็กหนุ่มรู้สึกเหมือนกำลังหายใจไม่ทันอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่ร่างกายจะเริ่มอุ่นจนกลายเป็นร้อนเหมือนมีไฟรุมสุม ทว่านั่นก็ไม่ได้สร้างความสงสัยอะไรให้กับเขามากนักด้วยเข้าใจไปว่ามันเป็นเพียงอาการข้างเคียงจากการดื่มแอลกอฮอล์ จอสพยายามรีบถูสบู่ด้วยมือที่สั่นราวกับกล้ามเนื้อกำลังจะหมดเรี่ยวแรงจนกระทั่งชำระล้างร่างกายเสร็จจึงค่อยเช็ดตัวแล้วออกมาจากห้องน้ำ มีนนำเสื้อผ้าสำหรับใส่นอนมาให้ก่อนที่เจ้าตัวจะเข้าไปอาบน้ำต่อเป็นคิวถัดไป

          เมื่อไม่อยากนอนร่วมเตียงกับมีน จอสจึงไม่มีทางเลือกอื่นเหลือนอกจากนอนบนโซฟาของชุดรับแขกซึ่งเล็กกว่าตัวของเขามาก เด็กหนุ่มขยับจัดท่าทางจนได้ที่แล้วจึงหลับตาพยายามข่มจิตใจให้สงบเพื่อพักผ่อนรอเวลาเช้าของวันใหม่แต่ทว่าร่างกายที่เกิดอาการร้อนวูบวาบแบบแปลกๆ และหัวใจเต้นรัวแรงจนผิดปกติกลับทำให้ร่างกายตื่นตัวจนเกินจะข่มตาให้หลับได้ เหงื่อกาฬเม็ดเป้งผุดออกมาทั่วใบหน้าและแผ่นหลังในขณะที่ฝ่ามือและเท้าเย็นเฉียบราวกับถูกน้ำแข็งเกาะ นี่ไม่ใช่อาการจากฤทธิ์ของแอลกอฮอล์ เด็กหนุ่มรู้ตัวดีว่ามีบางอย่างผิดปกติเกิดขึ้นแล้วแต่ก็ไม่อาจรู้ได้ว่ามันคืออะไร

          จอสพยายามลุกขึ้นจากโซฟาแต่ขาที่จู่ๆ ก็เกิดเปลี้ยหมดแรงก็ทำให้เขาต้องล้มกลับลงไปอีกรอบบนโต๊ะกระจกด้านหน้าโซฟา เสียงโครมครามเรียกให้มีนซึ่งอยู่ในห้องน้ำออกมาดูก่อนจะพบว่าบัดนี้จอสได้ลงมานอนกองจมกองเศษกระจกที่แตกอยู่บนพื้น ร่างกายชักเกร็งกระตุกน้ำลายฟูมเป็นฟองสีขาวท่วมปาก

          “ฉิบหายแล้วไง!” มีนรีบวิ่งเข้าไปดูอาการของอีกฝ่ายใกล้ๆ

          ใบหน้าของจอสเริ่มเปลี่ยนสีในขณะที่อาการชักยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง มีนตกใจจนทำอะไรไม่ถูก สารเคมีที่เขาผสมลงในเครื่องดื่มของจอสนั้นไม่ควรจะให้ผลเช่นนี้ มันควรจะแค่ทำให้อีกฝ่ายมึนงงและเคลิบเคลิ้มยอมโอนอ่อนผ่อนตามทุกอย่างที่เขาต้องการเหมือนเช่นครั้งที่เขาเคยใช้มันกับดนูน้องชายของวินทร์ ต้องมีอะไรผิดพลาดเป็นแน่ มีนลุกขึ้นแล้วรีบค้นหาเบอร์โทรฉุกเฉินของหน่วยกู้ภัยในท้องที่เพื่อพาจอสไปส่งโรงพยาบาล แต่ก็มืดแปดด้านเพราะจะด้วยความรีบร้อนลนลานหรืออะไรก็ตามที เขาไม่สามารถหาข้อมูลที่ต้องการได้ในเวลาที่จำเป็นที่สุดเช่นนี้ และในตอนนั้นเองหนทางหนึ่งก็ผุดขึ้นมาในหัว เป็นหนทางสุดท้ายบนโลกนี้ที่มีนอยากจะใช้แต่ก็คงไม่มีทางเลือกอื่นใดแล้วในเวลานี้ เด็กหนุ่มรีบกดโทรศัพท์หาเบอร์ของวินทร์ที่เคยบันทึกเอาไว้ก่อนจะกดโทรออก เสียงรอสายดังขึ้นอยู่หลายครั้งซึ่งมีนก็พอเข้าใจเหตุผลถ้าอีกฝ่ายจะไม่อยากรับ เขาทำได้เพียงแค่ภาวนาให้วินทร์ยอมรับสายในขณะที่อาการของจอสดูจะแย่ลงในทุกขณะ

          “มีอะไรก็รีบว่ามา” ในที่สุดคำภาวนาของมีนก็ได้รับการตอบสนอง

          “พี่ จอสอยู่กับผม อาการไม่ดีเลย พี่มาช่วยที” มีนรีบระล่ำระลักบอก

          “จะลูกเล่นอะไรอีก?” วินทร์ไม่เชื่อ เพราะคิดว่าเป็นอีกหนึ่งหลุมพรางของมีน “คิดว่าพี่ไม่รู้เหรอว่านายเป็นคนไปปั่นหัวให้จอสมาโวยวายใส่พี่น่ะ”

          “เรื่องนั้นไว้ทีหลังได้ไหมครับ” มีนแทบจะก้มลงกราบถ้าทำได้ “ตอนนี้จอสมันจะไม่ไหวแล้ว พี่รีบมาพามันไปโรงพยาบาลก่อนเร็ว”

          บางอย่างในความรู้สึกของวินทร์บอกว่าอีกฝ่ายกำลังพูดความจริง เขารีบวางสายจากมีนแล้วตรงไปยังบ้านพักก่อนจะรีบพาจอสซึ่งตอนนี้อาการชักสงบลงแล้วแต่ที่น่าเป็นกังวลกว่าคือใบหน้าและริมฝีปากที่เปลี่ยนเป็นสีม่วงจากการขาดออกซิเจน ซึ่งบ่งบอกว่าเด็กหนุ่มหยุดหายใจมาได้ระยะหนึ่งแล้ว วินทร์ทำการผายปอดแบบเป่าปากเพื่อช่วยหายใจระหว่างที่รอรถพยาบาลมาถึง จนกระทั่งมาถึงโรงพยาบาลจอสก็ถูกนำตัวเข้าห้องฉุกเฉินไปปล่อยให้วินทร์และมีนนั่งรออยู่ด้านนอกอย่างเป็นกังวล

          “ผมไม่ได้ตั้งใจ…” มีนเสียงสั่น หน้าซีด เมื่อรู้ดีว่าหากจอสเป็นอะไรไป เขาจะมีความผิดทางกฎหมายทันที

          “ทำไปทำไม? พี่ไม่เข้าใจนายเลยให้ตายสิ ทำแบบนี้ไปเพื่ออะไร?” แม้จะอยากต่อว่าอีกฝ่ายแรงๆ แต่ความวิตกกังวลเกี่ยวกับอาการของจอสก็ทำให้เขาไม่อาจจะโฟกัสความสนใจไปที่เรื่องอื่นได้ “เมื่อไหร่จะเลิกสักทีนิสัยที่ชอบทำเหมือนคนอื่นเป็นของเล่นตัวเอง?”

          “มันไม่ควรจะเป็นแบบนี้สิ” มีนไม่เข้าใจว่าทำไมจอสถึงตอบสนองต่อฤทธิ์ยาอย่างรุนแรงเช่นนี้

          “รู้จักกับจอสมาก่อนเหรอ?” วินทร์ถาม ก่อนจะเขย่าที่ไหล่แล้วถามซ้ำเมื่อเห็นว่ามีนยังใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว “พี่ถามว่านายรู้จักกับจอสมาก่อนงั้นเหรอ?”

          “อ่ะ อืม…” มีนพยักหน้า “เราเคยคบกันสมัยมัธยม”

          “แล้วทำไมทำกับเค้าแบบนี้?” วินทร์ไม่เข้าใจสิ่งที่เด็กหนุ่มคนนี้คิดอยู่จริงๆ “โกรธพี่ก็มาลงกับพี่สิ ไม่ใช่ไปทำกับคนที่เค้าไม่รู้เรื่องอะไรด้วย แถมยังเป็นคนรู้จักของตัวเองอีก ทำลงไปได้ยังไง”

          “ผมไม่ได้ทำเพราะโกรธ…” มีนก้มหน้าเสียงอ่อย

          มีนเป็นคนที่ซับซ้อน วินทร์พอจะรู้ถึงเรื่องนี้ดีนับตั้งแต่ช่วงแรกๆ ที่ทั้งสองรู้จักกัน เด็กหนุ่มคนนี้เดินทางมาถึงเกาะโดยมีเพียงกระเป๋าเสื้อผ้าและเงินติดตัวเพียงไม่กี่พันบาท มีนได้เข้ามาพักอยู่ที่รีสอร์ทจนกระทั่งเงินหมดจึงได้เอ่ยปากของานทำ แต่ถึงแม้จะอยู่ในสภาวะถังแตกแต่อีกฝ่ายก็ยังดูผ่อนคลายไร้ความวิตกกังวลใดๆ ทั้งสิ้น จนในที่สุดวินทร์ก็อดรนทนไม่ได้ต้องพาไปฝากงานให้ที่บาร์ซึ่งเขาเป็นหุ้นส่วนก่อนที่ความใกล้ชิดสนิทสนมจะทำให้ความสัมพันธ์ของทั้งคู่เริ่มเกินเลยไปกว่าคำว่านายจ้างและลูกจ้าง และหลังจากนั้นไม่นานก็เป็นวินทร์เองอีกนั่นแหละที่ตัดสินใจถอยห่างออกมาและลดระดับความสัมพันธ์ลงเนื่องจากรับไม่ได้กับพฤติกรรมรักสนุกจนเกินขอบเขตของมีน เด็กหนุ่มเอาตัวเองไปข้องเกี่ยวกับทุกอย่างที่อาจพาให้ชีวิตย่ำแย่ ไม่ว่าจะเป็นเซ็กส์กับคนแปลกหน้าที่เพิ่งเจอ ยาเสพติด และเลยเถิดไปจนถึงขั้นมอมยาดนูน้องชายของวินทร์ ซึ่งเป็นจุดแตกหักที่ทำให้วินทร์ตัดสินใจจบทุกอย่างลงในทันที แต่เขาไม่คาดคิดเลยว่าประวัติศาสตร์จะวนกลับมาซ้ำรอยอีกครั้งกับจอสในวันนี้

          หลังจากเวลาผ่านไปเกือบสามชั่วโมง หมอจึงได้ออกมาจากห้องฉุกเฉินและแจ้งกับวินทร์ซึ่งเป็นเจ้าของไข้ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นกับจอสคืออาการช๊อคจากการใช้ยาเกินขนาด หมอตรวจพบแอลกอฮอล์และตัวยาหลายชนิดในเลือดซึ่งล้วนแล้วส่งผลต่อระบบประสาททั้งสิ้น ตอนนี้ได้ทำการรักษาเบื้องต้นจนพ้นขีดอันตรายแล้วและจะต้องส่งต่อไปยังโรงพยาบาลบนแผ่นดินใหญ่ที่มีเครื่องมือทางการแพทย์พร้อมกว่าสำหรับการเฝ้าระวังดูอาการต่อไป เนื่องจากสิ่งที่น่าเป็นห่วงที่แท้จริงในเวลานี้คือการที่สมองของจอสอยู่ในสภาวะขาดออกซิเจนมานานเกินไป ซึ่งนั่นเป็นสาเหตุว่าทำไมเด็กหนุ่มจึงยังหลับไหลไม่ได้สติจนกระทั่งในเวลานี้

          “นายใช้อะไรกับเค้ามั่ง?” วินทร์ถามมีนหลังจากที่หมอขอตัวไปจัดการเรื่องเอกสารส่งตัวจอส “ตอบมาสิว่าใช้ยาอะไรกับเค้ามั่ง!?”

          “ผมใช้แค่ตัวเดียว” มีนดูสับสน “เหมือนที่เคยใช้กับนูตอนนั้น มันแค่ยากล่อมประสาทธรรมดา”

          “แล้วทำไมหมอบอกว่ามียาในเลือดเค้าหลายตัวล่ะ หยุดโกหกแล้วพูดความจริงมาซักที! ” วินทร์เหลืออดเพราะคิดว่ามีนยังปากแข็งไม่พูดความจริง แต่ในวินาทีต่อมาเมื่อเห็นสีหน้าตื่นตระหนกกับน้ำตาที่เอ่อคลอเบ้าของอีกฝ่าย เขาก็รู้ว่ามีนได้พูดทั้งหมดที่ตนรู้ไปแล้ว “ช่างมันเถอะ รู้ไปก็แก้ไขอะไรไม่ทันแล้ว นายกลับไปเถอะ เดี๋ยวที่เหลือพี่จัดการเอง”

          “จอสมันกินยาอะไรก็ไม่รู้…” มีนพูดถึงสิ่งที่ตนเห็นเมื่อช่วงหัวค่ำ “ก่อนที่มันจะเข้าไปอาบน้ำ มันกินยาอะไรบางอย่าง”

          “งั้นเหรอ?” วินทร์นึกถึงขวดยาที่ตนเจอในกระเป๋าเสื้อผ้าของจอสเมื่อครั้งที่เด็กหนุ่มเพิ่งย้ายเข้ามาอยู่ร่วมบ้าน

          “ผมรู้แค่นี้แหละ ฝากบอกจอสด้วยว่าผมไม่ได้ตั้งใจจะทำร้ายมันแบบนี้” มีนปาดน้ำตาที่ทำท่าจะไหลออกมา แม้กระทั่งในเวลาเช่นนี้เขาก็จะไม่ยอมให้ใครเห็นน้ำตาตัวเองอย่างเด็ดขาด “บอกมันว่าผมขอโทษ”

          “แล้วจะบอกให้ ถ้าเค้ามีโอกาสตื่นขึ้นมาฟังน่ะนะ” วินทร์ถอนหายใจออกมา

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ lolito

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 156
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-1
          วินทร์แยกกับมีนที่หน้าโรงพยาบาล ทันทีที่เฮลิคอปเตอร์ของทางโรงพยาบาลประจำจังหวัดมาถึงจอสก็ถูกนำตัวขึ้นไปและออกเดินทางอย่างรวดเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ ในส่วนของวินทร์เมื่อกลับมาเตรียมของที่บ้านเสร็จก็จึงค่อยออกเดินทางตามไปทางเรือโดยไม่ลืมที่จะหยิบขวดยาในกระเป๋าของจอสติดมือไปด้วยเพื่อสอบถามกับหมอให้รู้แน่ชัดว่ามันคือยาสำหรับรักษาโรคอะไรกันแน่ ขณะที่ในใจนั้นภาวนาอย่าให้มันเป็นยาเสพติดหรืออะไรที่พาดเกี่ยวทางนั้นเลย เพราะเขาไม่อยากจะให้ความรู้สึกดีๆ ต้องมาสูญเสียไปเหมือนเมื่อครั้งที่เกิดขึ้นกับมีน

          วินทร์มาค้นพบในภายหลังว่าขวดยาที่เตรียมมานั้นไม่มีความจำเป็นเลยแม้แต่นิดเดียว เมื่อทางโรงพยาบาลสามารถตรวจค้นหาทะเบียนผู้ป่วยผ่านระบบออนไลน์ได้ซึ่งข้อมูลการรักษาตัวตลอดช่วงเวลาหลายปีที่ผ่านมาของจอสก็ไม่อาจที่จะหลุดพ้นจากการค้นหาไปได้ ซึ่งนั่นทำให้วินทร์ได้รู้ความจริงในที่สุดว่ายาของจอสนั้นใช้สำหรับรักษาโรคอะไร และคำตอบที่ได้นั้นก็ทำให้เขาเข้าใจได้ในทันทีถึงที่มาแห่งอารมณ์อันร้ายกาจที่อีกฝ่ายสาดโถมใส่ตนในยามที่ทะเลาะวิวาทว่ามันเป็นสิ่งที่อยู่เหนือการควบคุมของเจ้าตัว เมื่อรู้เช่นนั้นแล้ววินทร์ก็อดรู้สึกผิดขึ้นมาไม่ได้ที่เป็นฝ่ายเอ่ยปากไล่ให้เด็กหนุ่มไปให้พ้นจากชีวิต

          ถ้ารู้ว่านายป่วย ต่อให้เจ็บตัวมากกว่านี้ ก็ต้องเอาตัวเข้าบ้านไปด้วยให้ได้ จะไม่ปล่อยไปแบบนั้นเด็ดขาด…

          จอสยังคงไม่รู้สึกตัวแม้ตัวยาที่เป็นพิษในร่างกายจะถูกกำจัดออกไปจนพ้นขีดอันตรายแล้ว สมองที่ขาดออกซิเจนมานานเกินไปทำให้ตอนนี้คาดหวังได้เพียงแค่ปาฏิหาริย์ วินทร์มองเด็กหนุ่มซึ่งนอนหลับตาใบหน้าซีดเซียวราวกับไร้ชีวิตอยู่บนเตียงของโรงพยาบาลโดยมีสายระโยงระยางของอุปกรณ์พยุงชีพติดอยู่ตามร่างกายจนดูคล้ายกับเครื่องพันธนาการ หากยังมีสติอยู่จอสคงร้องโวยวายให้เอาออกทั้งหมดเป็นแน่ วินทร์นึกเช่นกันแล้วก็ยิ้มออกมาแต่ก็เพียงแค่ครู่เดียวก่อนที่ความวิตกกังวลจะกลับเข้ามาครอบงำจิตใจตามเดิม

          แผลบนหน้าผากเริ่มออกอาการปวดหนักขึ้นจนวินทร์ตัดสินใจให้หมอที่โรงพยาบาลทำแผลและสั่งยาให้ด้วยเลย เมื่อรับยาเสร็จเรียบร้อยและกลับขึ้นมายังห้องของจอสก็พบกับหมอที่กำลังเข้ามาตรวจดูอาการและได้แจ้งกับวินทร์ว่าทางโรงพยาบาลได้ติดต่อไปยังพ่อของจอสแล้วแต่เจ้าตัวยังไม่สามารถเดินทางมาได้ในเวลานี้เนื่องจากยังติดธุระที่ต่างประเทศ ทางโรงพยาบาลจึงได้ให้หมายเลขโทรศัพท์ของวินทร์ซึ่งเป็นเจ้าของไข้ไปเพื่อจะได้ติดต่อประสานงานกันเองเมื่อพ่อของเด็กหนุ่มกลับมาถึงประเทศไทย ซึ่งวินทร์ก็เห็นดีด้วยตามนั้นไม่ขัดข้อง

          เสียงเคาะประตูห้องดังขึ้นก่อนที่มีนจะเปิดเข้ามา เมื่อเห็นสีหน้าไม่สบอารมณ์ของวินทร์เด็กหนุ่มก็ผวาถอยหลบไปอยู่หลังบานประตูเหมือนเดิม ก่อนที่กลับเข้ามาอีกครั้งเมื่อเห็นอีกฝ่ายพยักหน้าอนุญาต วินทร์สังเกตเห็นกระเป๋าเสื้อผ้าที่มีนถือมาขณะที่เด็กหนุ่มวางมันลงบนพื้นข้างเตียงคนไข้ มีนมองดูจอสที่นอนหลับใหลไม่ได้สติแล้วก้มหน้านิ่ง วินทร์เองแม้จะไม่อยากเชื่อว่าจะเป็นไปได้แต่ก็มั่นใจว่าตนเห็นความรู้สึกผิดที่ฉายอยู่บนใบหน้านั้น

          “จะไปไหน?” วินทร์ถามพลางพยักเพยิดไปยังกระเป๋าที่วางอยู่ “คิดจะหนีหรือไง? รู้ใช่ไหมว่าถ้าจอสเป็นอะไรไป นายจะต้องรับผิดชอบเรื่องนี้”

          “ไม่หนี ผมแค่จะกลับบ้าน” มีนล้วงเอากระดาษจดที่อยู่ของตนออกมาจากในกระเป๋ากางเกง “ถ้าผมต้องรับผิดชอบอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้ ผมก็อยู่ที่นี่แหละ ไม่หนีไปไหนแน่”

          “แล้วจะกลับไปทำไม ถ้าอยากรับผิดชอบก็อยู่รอซะที่นี่ไม่ดีกว่าหรือไง?” วินทร์รับกระดาษมาและวางมันลงบนโต๊ะตัวเล็กข้างเตียง “ไหนว่าเป็นพวกไม่เคยกลัวอะไร มาวันนี้ถึงคราวใจฝ่อแล้วสิ”

          “ถ้าผมจะติดคุกเพราะเรื่องนี้ ผมก็อยากใช้เวลาช่วงสุดท้ายที่บ้านตัวเองนะ” มีนถอนหายใจออกมาเหมือนคนปลงตก “มีอีกหลายคนเลยที่ผมต้องขอโทษ”

          “เริ่มจากพี่ก่อนเลยเป็นไง?” วินทร์เสนอจุดเริ่มต้นให้ “ไม่ต้องไปถึงเรื่องเก่าๆ ของเราหรอก เอาแค่ปัจจุบันนี้ก็พอ มีอะไรจะพูดไหมถึงสิ่งที่ทำลงไปเมื่อตอนเย็น”

          “ขอโทษ…” มีนไม่มีอะไรจะแก้ตัว การยอมรับผิดสำหรับเขาเป็นเรื่องที่แสนจะทำใจยอมรับได้ยาก แต่ในเมื่อมันมาถึงขั้นนี้แล้วดื้อดึงไปก็คงไม่ช่วยอะไร

          “พี่อยากได้เหตุผลจากนายมากกว่า แค่ซักครั้งก็ยังดีว่าทำลงไปทำไม?” วินทร์ร้องขอ “ที่ผ่านมานายไม่เคยมีเหตุผลอะไรให้พี่เลย แต่นั่นไม่สำคัญหรอกมันจบไปแล้ว เอาแค่ครั้งนี้ว่ามาสิว่าทำไปทำไม?”

          “พี่เคยเลี้ยงนกไหม?” มีนเริ่มเล่าในจุดที่ดูจะไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องที่ถามเลย “ผมเคยมีนกตัวนึงอยู่ในกรง มันทำให้ผมอารมณ์ดีได้ตลอด จนวันนึงผมเบื่อมันแล้วคิดว่าน่าจะมีนกตัวอื่นที่ดีกว่านี้ ผมเลยปล่อยมันไป”

          ในวันแรกที่พบกันสำหรับมีนแล้วจอสเป็นแค่เพื่อนร่วมห้องคนหนึ่ง ถึงแม้จะมีใบหน้าที่โดดเด่นกว่าคนอื่นๆ ในโรงเรียนด้วยเชื้อสายลูกครึ่งแต่สำหรับเขาแล้วมองว่าอีกฝ่ายนั้นจืดชืดเกินไป จอสมักจะทำอะไรคนเดียว กินข้าวกลางวันคนเดียว ในเวลาว่างก็หมกตัวอยู่แต่ในห้องสมุด นานทีปีหนถึงจะเห็นเขาพูดคุยกับเพื่อนคนอื่นๆ ในเรื่องที่ไม่เกี่ยวกับการเรียนการสอน แต่เมื่อถึงชั่วโมงพละจอสก็แสดงให้เห็นว่าเขามีทักษะในด้านกีฬาอยู่พอตัวซึ่งนั่นเป็นสิ่งแรกที่จุดประกายแห่งความสนใจของมีนขึ้น และยิ่งเมื่อได้เข้าไปตีสนิทและรู้จักมากขึ้น มีนก็ยิ่งชอบใจที่พบว่าตัวตนที่แสนว่างเปล่าของจอสเป็นสิ่งที่สามารถถูกแต่งแต้มและชักจูงไปได้ตามที่เขาต้องการ ไม่ว่าจะด้วยความรักหรือหลงหรือเหตุผลอันใด จอสยอมมีนทุกอย่างเพียงเพื่อให้อีกฝ่ายยังอยู่ข้างๆ เขาไม่จากหนีไปไหน

          แต่ถึงแม้จะเป็นของเล่นที่ถูกใจเพียงใดก็ย่อมมีวันที่ถูกเบื่อ หลังจากหมดความสนใจในตัวของจอสมาได้พักใหญ่ ในที่สุดมีนก็เลือกที่จะจบความสัมพันธ์ลงในวันสำเร็จการศึกษาชั้นมัธยมปลาย ซึ่งถึงแม้จะเห็นได้ชัดจากสีหน้าว่าเจ็บปวดกับคำบอกเลิกแต่จอสก็ไม่ฉุดรั้งมีนเอาไว้ เด็กหนุ่มเพียงแต่ก้มหน้ายอมรับมันเงียบๆ ก่อนจะหายไปจากชีวิตของมีนราวกับไม่เคยมีตัวตนมาก่อน จนกระทั่งมารู้ข่าวอีกครั้งก็เมื่อจอสกลายเป็นดาราดังมีชื่อเสียงในวงการแต่นั่นไม่ใช่เหตุผลที่ทำให้มีนอยากได้อดีตคนรัก หรือถ้าจะเรียกให้ถูกก็คือของเล่นชิ้นเก่าของตนกลับมา

          “เวลาผ่านไป นกตัวใหม่ที่ผมคาดหวังว่าจะเจอก็ไม่เคยมีอยู่จริง” มีนพยายามกดความขื่นขมในน้ำเสียงเอาไว้เพื่อไม่ให้ตัวเองดูน่าสมเพชมากไปกว่านี้ “จนกระทั่งนกตัวเดิมมันกลับมาอีกครั้ง พร้อมกับบางสิ่งที่แตกต่างออกไปจากเดิม มันสดใส มีชีวิตชีวา ต่างกับตัวผมที่กลับกลายเป็นสิ่งที่อยู่ในกรงซะเอง”

          “ก็เลยอยากได้เค้าคืนงั้นเหรอ?” วินทร์สรุปความตามที่เข้าใจ

          “อืม…” มีนพยักหน้ายอมรับตามนั้น “แต่ก็พอรู้อยู่ว่ามันเป็นไปไม่ได้แล้ว ให้ตายยังไงจอสก็ไม่กลับมาหาผม”

          “แล้วคิดว่าใช้ของพรรค์นั้นแล้วเค้าจะยอมกลับมาหานายหรือไง? คิดอะไรโง่ๆ” วินทร์ตำหนิ

          “ก็ไม่ได้คิดว่ามันจะช่วยหรอก ที่ปั่นหัวมันเรื่องพี่ก็แค่อยากเอาคืนเรื่องที่มันปฏิเสธผมเฉยๆ แต่พอมันทะเลาะกับพี่ ผมก็เหมือนเห็นตัวตนที่ว่างเปล่าของมันกลับมาอีกครั้ง แล้วก็เลยคิดว่าแค่มอมเมามันนิดหน่อยผมคงกลับไปครอบงำชีวิตมันได้เหมือนเมื่อก่อน” มีนสารภาพสิ้นไส้

          “นายต้องโตซักทีนะมีน…” วินทร์พูดด้วยความเป็นห่วง ถึงจะมีเรื่องบาดหมางกันมาแต่ถึงอย่างไรเขาก็ยังมองอีกฝ่ายเป็นเหมือนน้องชายคนนึง “นายจะหวังให้ใครมาเห็นคุณค่าของตัวเองได้ยังไง ถ้านายยังไม่เคยมองใครเป็นมากกว่าของเล่นสำหรับนาย”

          “คำว่ารักของผมมันคงมีความหมายต่างจากคนอื่นๆ มั้ง” มีนไม่ยอมรับและไม่ปฏิเสธ “จิตใจผมอยู่กับความผิดปกติมานานเกินไปจนบางทีมันอาจจะสายเกินไปที่จะซ่อมแซมแล้ว”

          “ไม่หรอก ถ้าจอสยังเปลี่ยนได้ นายก็ต้องเปลี่ยนได้” วินทร์ยกจอสขึ้นมาอ้างอิง

          “เกี่ยวอะไรกับจอส?” มีนไม่เข้าใจ

          “ไม่รู้เหรอว่าเค้าเป็นอะไร? ไม่ได้สังเกตแผลที่แขนเค้าเหรอ? แล้วไหนจะยาที่เค้ากินอีก” วินทร์อธิบาย “เค้าเองก็ไม่ได้บอกพี่ตรงๆ หรอก คงจะรอโอกาสเหมาะๆ ที่จะเล่าอยู่แต่ดันมาเกิดเรื่องขึ้นซะก่อน พี่ก็เลยรู้เองหมดทุกอย่าง”

          “จอสเป็นอะไร?” มีนถาม

          “ไบโพลาร์ ดิสออเดอร์” วินทร์ตอบตามที่ฟังจากหมอมา “แผลที่แขนเค้าก็เกิดจากอาการซึมเศร้าของมัน เขาฆ่าตัวตายช่วงหลังจากเรียนจบมัธยมได้ไม่นาน”

          เป็นคำบอกเล่าที่ชวนให้ตื่นตระหนกเป็นอย่างยิ่ง มีนยืนนิ่งตัวแข็งทื่อ รู้สึกผิดยิ่งกว่าเดิมเมื่อรู้ว่าตนอาจเป็นหนึ่งในต้นเหตุของแผลเหล่านั้น

          ร่างของจอสกระตุกเบาๆ ดึงความสนใจของคนทั้งสอง แต่ก็ยังเป็นแค่อีกหนึ่งอาการตอบสนองตามธรรมชาติของร่างกาย ไม่ใช่สัญญาณแห่งการฟื้นคืนสติ มีนหยิบกระเป๋าเสื้อผ้าขึ้นมา หากจะเข้ากรุงเทพเขาควรจะไปถึงที่ท่ารถได้แล้ว เด็กหนุ่มมองดูอดีตคนรักของตนเป็นครั้งสุดท้ายพร้อมกับคำขอโทษที่ดังก้องอยู่ในใจ หวังเหลือเกินว่าอีกฝ่ายจะตื่นขึ้นมาเพื่อรับฟังมันจากปากของเขาเอง

          “ผมต้องไปแล้วล่ะครับ ถ้ามีอะไรคืบหน้าพี่แจ้งผมด้วย ไม่ว่าจะข่าวดีหรือข่าวร้ายก็ตาม” มีนขอร้องก่อนไป

          “อืม ไปเถอะ” วินทร์ไม่รั้งไว้

          “พี่ว่าจอสมันจะตื่นขึ้นมาอีกไหม?” มีนถามแม้จะรู้ว่าเป็นแค่ความหวังลมๆ แล้งๆ

          “ต้องตื่นสิ เค้าต้องตื่นมาเล่นงานนายอยู่แล้ว ทำเขาเอาไว้ขนาดนี้” วินทร์ยังเชื่อมั่นในตัวของจอส “ตอนนี้คงกำลังฝันดีมากอยู่ อีกเดี๋ยวพอหมดสนุกก็คงตื่นขึ้นมาเองนั่นแหละ”


To be continued...

ออฟไลน์ lolito

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 156
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-1
:pig4: :pig4: :pig4:

 :sad11: :sad11: :sad11:

น่าสงสารนุ้งจอส  อาการไบโพลาร์กำเริบ  อิพี่วินทร์ไม่รู้ก็เลยไปกันใหญ่

เล่นพี่ซะหัวแตกเลย หุหุหุ :ling3:



ไม่ฟังเหตุผล วู่วาม ก็ออกมาแบบนี้
แล้วเจ็บทั้งคู่  ทั้งที่กำลังจะดีๆกันแล้ว  :เฮ้อ: :เฮ้อ: :เฮ้อ:
ถ้าฟังหูไว้หู ก็จะดีนะจอส  :mew2: :mew2: :mew2:

อารมณ์ของคนที่เป็นแบบจอส ลองมีอะไรสะกิดถูกจุดนิดนึงก็จะเอาไม่ลงเลยครับ ไม่มีสติคิดหาเหตุผลอะไรทั้งสิ้น  :ling2:



พี่มันเลว หรือนังมีนมันแค้น  :katai1:

ต้องรอดูงานนี้ใครจะแหล  :katai4:



นัองจอสค่อยๆตั้งสตินะคับ

ถ้าเป้นคนปกติทั่วไปก็คงพอสงบสติได้เนอะ แต่นี่จอสมีปัญหาอยู่แล้ว มันเลยกลายเป็นเรื่องใหญ่  :ling3:



ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4805
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
ที่แท้ก็นังมีนนี่เอง  :z6:

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3327
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3360
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2
 :pig4: :pig4: :pig4:

หวังว่ามีนคงจะปรับปรุวตัวให้ดีขึ้นนะ 

ดูจากสัญญาณความสำนึกผิดที่แสดงออกมา ก็น่าจะเป็นไปในทางที่ดีะ  เขื่อว่าอย่างนั้น

ออฟไลน์ lolito

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 156
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-1
Episode 8

          “งั้นกูกลับก่อนนะ…”

          จอสหันไปบอกกับกลุ่มเพื่อนที่กำลังนั่งสุมหัวกันเร่งทำงานสำหรับส่งในเช้าวันพรุ่งนี้ ซึ่งสำหรับตัวของเขาเองนั้นถือว่าลอยตัวอยู่เหนือปัญหาเพราะทำเสร็จเรียบร้อยไปตั้งแต่เมื่อสองวันก่อนแล้ว ที่อยู่จนถึงป่านนี้ก็เพียงแค่ช่วยเพื่อนคนอื่นๆ ทำก็เท่านั้น แต่ตอนนี้ถึงแม้จะอยากช่วยต่อก็คงไม่ได้เพราะอีกไม่กี่นาทีก็จะถึงเวลานัดแล้ว เด็กหนุ่มจึงต้องขอตัว

          “เดี๋ยวดิไอ้จอส!” เพื่อนคนหนึ่งรั้งตัวเขาเอาไว้ “มึงช่วยกูอีกนิดนึง มึงจะมาทิ้งกูกลางคันแบบนี้ไม่ได้นะ!”

          “ก็อยากช่วยนะ แต่มีนัดว่ะ” จอสตอบพลางฮัมเพลงในลำคออย่างสบายอารมณ์

          “นัดอะไร มีใครสำคัญกว่าเพื่อนมึงอีกเหรอ?” เพื่อนคนเดิมร้องถาม

          “มึงก็ไม่น่าถามเลยนะไอ้เคี้ยง ไอ้จอสมันจะมีนัดกับใครที่ไหนได้ ก็ไอ้พิภูเด็กสถาปัตย์ผมยาวนั่นไง มันรักมันหลงของมันยังกับอะไรดี” เพื่อนผู้หญิงมาดห้าวตอบคำถามนั้นแทนจอส “แต่จะว่าก็ว่าเถอะ หล่อน่ารักขนาดนั้น เป็นกูได้มาควงก็คงหลงเหมือนกัน”

          “แสดงว่าแม่งน่ารักจริง ขนาดเปลี่ยนทอมแบบอีเจี๊ยบให้เป็นเธอได้” เคี้ยงคล้อยตาม

          “มึงก็ดูหน้าไอ้จอสมันก่อน” ทอมเจี๊ยบชี้ไปทางจอสซึ่งกำลังยืนโก้งโค้งส่องกระจกข้างของรถจักรยานยนต์เพื่อจัดแต่งทรงผมอยู่ “ขั้นเทพขนาดนี้ จะมีแฟนก็ต้องได้ระดับนั้นนั่นแหละ”

          “ถ้าหวังจะให้กูพูดถ่อมตัวกับคำชมของพวกมึง รู้ใช่ไหมว่าต้องผิดหวังอยู่แล้ว?” จอสหันไปเลิกคิ้วข้างหนึ่งให้เพื่อน “กูไปก่อนนะ สายละ”

          จอสรีบจ้ำเท้าเดินออกจากตึกคณะวิศวกรรมศาสตร์และมุ่งตรงไปยังคณะสถาปัตย์กรรมศาสตร์ ที่ซึ่งภูผู้เพิ่งจะเสร็จสิ้นการเรียนกำลังลงมาจากตึกพร้อมกับกลุ่มเพื่อน เมื่อเห็นจอสยืนรออยู่ด้านหน้าตึกภูก็แยกตัวออกจากกลุ่มเพื่อนแล้วเดินด้วยความเร็วที่เกือบจะกลายเป็นวิ่งเข้ามาหาจอส

          “รอนานรึเปล่า?” ภูถามเสียงกลั้วลมหอบหายใจ “โทษที อาจารย์เพิ่งปล่อยเนี่ยแหละ”

          “ไม่นานหรอก แต่ถึงนานก็รอได้” จอสเอากระเป๋าเป้ของภูมาสะพายไว้เอง “ขนาดตอนจีบนาย ตั้งหลายเดือนกว่าจะยอมรับรัก เรายังทนรอได้เลย”

          “โยงเก่ง” ภูหัวเราะออกมา “แล้ววันนี้จะไปไหนกัน? บอกไว้ก่อนนะว่าเรามีงานต้องทำส่ง กลับดึกไม่ได้นะ”

          “ก็หาอะไรกินกันก่อน” จอสเสนอโดยอิงจากข้อเท็จจริงที่ว่าภูไม่ชอบสถานที่ๆ คนพลุกพล่าน “แล้วไปนั่งเขียนงานที่คอนโดเราก็ได้ ดึกๆ ค่อยกลับบ้าน”

          ภูตกลงตามนั้น ทั้งสองแวะทานมื้อเย็นที่ร้านใกล้ๆ มหาวิทยาลัยก่อนที่ภูจะซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์คันยักษ์ไปยังคอนโดของจอส เมื่อขึ้นลิฟท์มาถึงชั้นอันเป็นจุดหมายประตูก็เลื่อนเปิดออกประจวบเหมาะพอดีกับที่ชายชาวต่างชาติวัยกลางคนซึ่งยืนอยู่ด้านนอกตั้งท่าจะเดินเข้ามา เมื่อเห็นเด็กหนุ่มทั้งสองอยู่ด้านในเขาก็ชะงักและหยุดให้ทั้งคู่เดินออกมาก่อน ภูลอบมองดูอีกฝ่ายขณะเดินออกจากลิฟท์ ชายคนนี้แต่งตัวภูมิฐาน แม้จะดูมีอายุแล้วแต่ก็ยังจัดว่าหล่อมาก ภูอดรู้สึกไม่ได้ว่าหากแก่ตัวไปจอสก็คงจะดูไม่ต่างไปจากเขาคนนี้

          “สวัสดีครับ” ภูยกมือไหว้ชายคนนั้น ซึ่งเขาก็รับไหว้เป็นอย่างดีด้วยท่าทีคุ้นเคย

          “พ่อจะไปไหนเนี่ย?” จอสถามออกไปเป็นภาษาอังกฤษ

          “พาแม่แกไปดินเนอร์ไง นานๆ จะมีเวลาว่างซักที ไม่พาไปเดี๋ยวก็จะมางอนพ่ออีก” พ่อของจอสตอบกลับมาเป็นภาษาอังกฤษเช่นกัน “แล้วนี่ไม่ไปไหนหรือไง กลับบ้านตั้งแต่ฟ้ายังไม่มืดได้”

          “ไม่ครับ ภูเค้ามีงานต้องทำส่ง” จอสบอกกับพ่อ ก่อนจะหันไปทักทายแม่ที่เพิ่งเดินตามออกมา “โอ้โห้ แม่ใครเนี่ย สวยยังกับนางงาม”

          “ปากหวานไปก็ไม่ได้ค่าซ่อมมอเตอร์ไซค์คืนหรอกนะ” แม่ของจอสในชุดเดรสสวยตั้งแต่หัวจรดเท้าบอกกับจอสขณะเดินมาที่หน้าลิฟท์ “เดี๋ยวเดือนหน้าแม่จะหักจากเงินรายเดือน”

          “แม่อ่ะ…” จอสคอตก “ออกให้มั่งบ้านเราคงไม่จนลงหรอกมั้ง”

          “ไม่เกี่ยวกับจนหรือรวย เราขับไปชนเองก็ต้องรับผิดชอบเองสิ” แม่ของจอสเอ็ดก่อนจะหันมาหาภูและพูดด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลต่างกับเมื่อครู่ราวกับคนละคน “ถ้ามีลูกแบบภูก็ดีเนอะ ท่าทางจะไม่ค่อยมีเรื่องให้ปวดหัว”

          “เดี๋ยวก็ได้เป็นลูกสะใภ้แล้ว ไม่ต้องรีบหรอก” จอสดึงแขนภูเข้ามา

          “เพ้อเจ้อ นิสัยแบบนี้ใครเค้าจะไปแต่งด้วย แม่ไปก่อนล่ะ ฝากดูแลจอสด้วยนะลูก” แม่จอสฝากฝังกับภูก่อนจะเข้าลิฟท์ “ถ้าวุ่นวายมาก จะทุบซักทีสองทีก็ไม่ว่าหรอก”

          เมื่อพ่อกับแม่ออกไปแล้ว จอสเข้ามาด้านในห้องคอนโดก่อนจะถอดเสื้อช๊อปที่สวมอยู่ออกพาดไว้แล้วเดินตรงไปหยิบน้ำอัดลมจากในตู้เย็นมาสองกระป๋องจากนั้นจึงเดินจูงมือพาภูไปยังห้องนอนส่วนตัวของตนเอง ไม่มีกิจกรรมอื่นใดที่สามารถทำร่วมกันได้ในเวลานี้เนื่องจากภูยังมีงานที่ต้องทำให้เสร็จเพื่อส่งในวันถัดไป ซึ่งจอสก็ไม่ว่าอะไรเพราะเพียงแค่ได้อยู่ใกล้ชิดกันและมองดูอีกฝ่ายไปเรื่อยๆ ก็มีความสุขมากแล้ว จอสนอนเล่นเกมในโทรศัพท์มือถืออยู่บนเตียงสลับกับแอบมองภูที่กำลังเขียนงานอย่างตั้งอกตั้งใจอยู่บนโต๊ะใกล้ๆ จนกระทั่งผ่านไปเกือบสองชั่วโมงภูก็วางดินสอเขียนแบบลงเพื่อพักสายตา เด็กหนุ่มยืนขึ้นและบิดตัวยืดเส้นยืดสายคลายความเมื่อยล้าจากที่ต้องนั่งอยู่ในท่าเดิมๆ มาร่วมชั่วโมง จอสฉวยโอกาสนั้นย่องเขยิบเข้าไปใกล้ๆ แล้วกอดรั้งลากตัวภูให้ล้มมานอนลงบนเตียง ภูดิ้นรนขัดขืนนิดหน่อยแต่สุดท้ายก็ปล่อยเลยตามเลย จอสยันตัวลุกขึ้นมาคร่อมทับอีกฝ่ายเอาไว้แล้วก้มหน้าลงไปประกบริมฝีปากจูบซึ่งภูก็ตอบรับสนองกลับมาเป็นอย่างดี

          “ดะ… เดี๋ยวก่อน…” ภูดันแผ่นอกของจอสให้ผละออกเมื่อรู้สึกว่ามือของอีกฝ่ายเริ่มรุกรานมาแกะกระดุมเสื้อนักศึกษาของตน “พอเลย ไม่เอา”

          “เราขอนะ…” จอสกระซิบแล้วก้มลงไปจูบต่อแต่ก็โดนภูปิดปากสนิทแน่นเป็นการแสดงความต่อต้าน เขาจึงยอมถอนปากออกมาอ้อนวอนต่อ “น่า… นะ ไม่เจ็บหรอก”

          “ไว้คราวหน้าดีกว่า” ภูยังไม่ยอม “เรายังไม่พร้อมอ่ะ”

          “ครั้งที่แล้วก็พูดแบบนี้อ่ะ” จอสงอแงจะเอาให้ได้ “เราก็คบกันมาหลายเดือนแล้วนะ เมื่อไหร่จะยอมซักที ไม่สงสารเราบ้างเหรอ”

          “หน้าตาบ้ากามอย่างนี้มีอะไรให้สงสารไม่ทราบ?” ภูย้อนถามกลับไป “นายสิไม่สงสารเราบ้างหรือไง? ก็รู้อยู่ว่าถ้าทำเราก็ต้องเจ็บแน่ๆ”

          “แป้ปเดียวก็หาย แล้วหลังจากนั้นรับรองสนุกตื่นเต้นเร้าใจยิ่งกว่ารถไฟเหาะอีก เชื่อฝีมือจอสได้เลย” จอสรีบโฆษณาชวนเชื่อเพื่อโน้มน้าวใจ

          “ยังไงก็คือไม่” ภูยืนกราน “เรารู้กิตติศัพท์นายดี ถ้าให้นายง่ายๆ นายก็ทิ้งเราไปง่ายๆ เหมือนกัน นี่ครั้งแรกของเรา เราไม่อยากโดนชนแล้วหนี”

          “เดี๋ยวจับข่มขืนเลยนี่” จอสแยกเขี้ยวใส่ “ชอบไปฟัง ไปเชื่อข่าวลือมั่วซั่วมา เราอ่ะเสียหายนะแบบนี้”

          “หรือไม่จริง?” ภูแกล้งถาม “ก่อนจะมาคบเรา นายทิ้งมากี่คนแล้วล่ะ”

          “ไม่เคยอ่ะ” จอสถอนหายใจแล้วล้มตัวลงนอนหงายบนเตียง “มีแต่โดนเค้าทิ้งตอนเรียนจบมัธยม พอเข้ามหาลัยก็มีนายคนแรก จะไปทิ้งใครที่ไหนมาก่อนได้”

          “แน่ใจ?” ภูถามย้ำ

          “แน่ซะยิ่งกว่าแน่” จอสยืนยันความบริสุทธิ์ตัวเอง “นายนั่นแหละ ที่น่ากลัว ไม่รู้ว่ายังแอบติดต่อกับไอ้ตากล้องนั่นอยู่หรือเปล่า”

          “พี่กรรณน่ะนะ? ก็บอกแล้วไงว่าแค่พี่ข้างบ้าน รู้จักกันมาแต่เด็กเฉยๆ” ภูหัวเราะออกมา “นี่จนเค้าแต่งงานไปอยู่ต่างประเทศแล้วยังไม่เลิกคิดเล็กคิดน้อยเรื่องเค้าอีกเหรอ”

          “ก็ไม่รู้ ใครจะไปรู้ล่ะ บางทีนายอาจจะหวงตัวกับเราเพื่อรอเก็บไว้ให้เค้าก็ได้” จอสใช้ลูกไม้ตัดพ้อ เขาลุกขึ้นมานั่งบนเตียง ตีหน้าเครียด

          “คิดอะไรแบบนั้น…” ภูถอนหายใจ มือยื่นไปแตะไหล่ของจอสแต่เจ้าตัวก็กระเถิบหนี “ไม่เห็นจะต้องทำตัวจริงจังกับเรื่องแบบนี้เลย แค่จูบกันแบบเมื่อกี้ก็มีความสุขแล้วนี่นา”

          “แค่นั้นมันไม่พอหรอก นายไม่เข้าใจเรา” จอสยิ่งได้ใจเมื่อเห็นภูออกอาการว่ากลัวตนจะโกรธ “นายไม่เข้าใจว่ามันรู้สึกยังไงเวลาคนที่เรารักไม่ยอมให้แตะต้อง”

          “จอส…” ภูยื่นมือไปอีกแต่จอสก็ยิ่งขยับหนีจนเกือบจะชิดสุดขอบเตียงอีกด้านแล้ว

          “ไม่เป็นไรหรอก เราเข้าใจแล้ว” จอสงัดไม้ตายออกมาเพื่อปิดเกม “นายเก็บไว้ให้ใครที่นายอยากให้เถอะ เราไม่เซ้าซี้แล้วล่ะ ได้แค่ไหนก็แค่นั้น แต่เราให้นายไปทั้งหมดที่เรามีแล้ว”

          “อย่ามาดราม่าได้ป่ะ?” ภูพยายามง้อด้วยการล้มตัวลงนอนเอาศรีษะหนุนบนต้นขาของจอส “ถ้าไม่มีเรื่องนี้มาเกี่ยว เราจะคบกันไม่ได้หรือไง?”

          “ก็ไม่ใช่อย่างนั้นหรอก…” จอสก้มลงมองใบหน้าของภูซึ่งมองตาแป๋วขึ้นมาจากหน้าตักของตนแล้วก็เกือบเคลิ้มไปกับความน่ารักที่เห็นจนเผลอยิ้มออกมาแต่ก็รีบปั้นหน้าเครียดแสดงต่อ “แต่บางทีมันก็น้อยใจไง ขอเท่าไหร่ก็ไม่ให้… เราก็อยากเป็นคนแรกของคนที่เรารักนะ”

          “ถ้าเราให้ พอได้แล้วจะไม่หายหัวไปใช่ไหม?” ภูถาม คล้ายจะขอคำยืนยันให้มั่นใจก่อนจะตัดสินใจ

          “ไม่หาย สัญญา” จอสรู้ดีว่าสิ่งที่หวังอยู่ใกล้แค่เอื้อมมือแล้ว “เราจะรักจะหวงนายมากขึ้นกว่านี้เยอะๆ เลยด้วย”

          “ถ้าหายเราเอาตายแน่ บอกไว้ก่อน…” ภูยันตัวลุกขึ้นมานั่งและจ้องหน้าจอส แต่ทว่าคำขู่ที่หลุดออกมาจากปากนั้นไม่มีความน่ากลัวเลยแม้แต่น้อยเพราะใบหน้าผู้พูดกำลังแดงเรื่อไปด้วยเลือดที่สูบฉีดจากความเขิน

          “นี่คือยอมแล้วใช่ไหม?” จอสถามเพื่อความแน่ใจ “ถ้ายอมแล้วทำๆ อยู่ห้ามถีบเราออกเหมือนคราวก่อนนู้นนะ”

          “เออ ไม่ถีบหรอก อยากทำอะไรก็ทำไปเลย” ภูหลบตาอีกฝ่ายขณะพูด “แล้วก็เบาๆ ด้วย ไม่เคยนะเว้ย”

          “คร้าบบบ ได้ทุกอย่างตามที่นายท่านสั่งเลยคร้าบบบบ” จอสยิ้มร่าเมื่อในที่สุดก็สมหวังเสียที

          เด็กหนุ่มรีบถอดเสื้อยืดสีดำที่สวมอยู่ออกแล้วโยนทิ้งไปข้างเตียงก่อนจะกระโจนเข้าหาภูซึ่งยังมัวแต่เขินจนไม่ทันตั้งตัว เขายันแขนขึ้นคร่อมแล้วมองดูร่างบอบบางที่นอนรอให้กระทำอยู่เบื้องล่างพลางนึกวางแผนว่าจะเริ่มจากตรงไหนดี และในตอนนั้นเองเหมือนฟ้าจะเข้าข้างผู้ถูกกระทำ เมื่อยังไม่ทันที่กระดุมเสื้อนักศึกษาของภูจะถูกปลดออกหมด เสียงเคาะประตูห้องนอนก็ดังขึ้นเสียก่อนพร้อมกับเสียงเรียกของแม่จอสซึ่งกลับมาจากข้างนอกเร็วกว่าที่ลูกชายได้คาดคิดเอาไว้ ภูเห็นทางรอดของตนและไม่ลังเลที่จะคว้าไว้โดยผลักจอสออกแล้วติดกระดุมเสื้อกลับตามเดิมก่อนจะไปเปิดประตูห้องให้แม่ของจอสทันทีในขณะที่จอสยับยั้งอะไรไม่ทันได้แต่ดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมร่างตัวเองไว้ไม่ให้แม่เห็นพิรุธจากการเปลือยท่อนบน

          แม่ของจอสมาเพื่อบอกกับเด็กหนุ่มทั้งคู่ว่ามีขนมมาให้เป็นของฝากจากโรงแรมที่ไปดินเนอร์มา ภูรับปากจะรีบออกไปกินก่อนจะปิดประตูกลับมาเผชิญหน้ากับจอสซึ่งมองตาขวางอย่างไม่สบอารมณ์อยู่

          “พวกขี้โกง ฉวยโอกาสเอาตัวรอด สัญญาไม่เป็นสัญญา” จอสว่า ตาจ้องมาที่ภูอย่างเอาเรื่อง

          “ก็แม่นายมา จะให้ทำไงอ่ะ?” ภูแกล้งทำมึนใส่

          “ไม่รู้ล่ะ ไม่คุยด้วยแล้ว อยากกินเค้กก็ไปกินเถอะไป” จอสดึงผ้าห่มมาคลุมโปง

          “ก็ไปกินด้วยกันสิ” ภูเดินเข้าไปเขย่าไหล่จอสจากนอกผ้าห่ม

          “ไม่!” จอสส่ายหน้า

          “ไปกินด้วยกันเถอะน่า กินเอาแรงไว้ก่อนไง” ภูนั่งลงข้างๆ โปงผ้าห่ม

          “เอาแรงขับรถไปส่งนายที่บ้านน่ะเหรอ?” จอสส่งเสียงออกมาจากในนั้น

          “เปล่า ใครว่าจะกลับบ้านล่ะ” ภูเขินจนหน้าแดงขึ้นมาอีกรอบเมื่อต้องเป็นฝ่ายเปิดทางให้เอง “คืนนี้จะอยู่ค้างด้วยก็ได้ ถ้ามีเสื้อนักศึกษาให้เรายืมใส่พรุ่งนี้”

          “มีสิมี!” จอสโผล่พรวดออกมาจากผ้าห่ม “กางเกงในก็มี แปรงสีฟันก็มี อยากได้อะไรมีให้หมดเลย”

          “งั้นก็เลิกงอนแล้วออกไปกินเค้กได้แล้ว แม่นายอุตส่าห์ซื้อมาฝาก” ภูลงจากเตียงแล้วยื่นมือให้จอสจับเพื่อลุกตามมา
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 12-06-2018 14:22:33 โดย lolito »

ออฟไลน์ lolito

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 156
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-1
         หลังจัดการกับของฝากจนหมด ขณะที่ภูช่วยแม่ของจอสเก็บล้างจาน จอสก็รีบปลีกตัวไปอาบน้ำเพราะรู้ดีว่าอีกไม่กี่นาทีข้างหน้าจะต้องมีการใช้ร่างกายเกิดขึ้น เมื่ออาบน้ำเสร็จเด็กหนุ่มรีบตรงกลับไปยังห้องนอนของตนก่อนจะพบเพียงแต่ความว่างเปล่าเมื่อภูไม่ได้รออยู่ข้างในนั้นตามที่ควรจะเป็น เขารีบย้อนกลับออกมาดูข้างนอก ภายในคอนโดที่เมื่อครู่เปิดไฟเอาไว้สว่างไสวกลับถูกปิดจนมืด บรรยากาศในห้องเย็นเยียบไม่มีวี่แววของพ่อและแม่อีกต่อไป ขณะที่เดินไปยังส่วนของห้องรับแขก ทุกก้าวที่เหยียบย่างลงบนพื้นปลุกความทรงจำบางอย่างที่อยู่เบื้องลึกขึ้นมา ราวกับทุกสิ่งทุกอย่างได้เคยเกิดขึ้นไปแล้ว และนี่คือภาพย้อนของมัน ความเจ็บปวดดึงความสนใจจอสไปยังท้องแขนของตน รอยแผลเป็นได้ปรากฎขึ้นอย่างไร้ที่มาที่ไปแต่เด็กหนุ่มกลับไม่มีความสงสัยเกี่ยวกับมัน เขายังคงออกเดินต่อจนกระทั่งมาถึงห้องรับแขก และไม่ว่าจะด้วยเหตุผลกลใดก้ตาม จอสรู้ว่าประตูระเบียงจะต้องเปิดอยู่และภูจะต้องยืนอยู่ข้างนอกนั่น

         “นึกว่าหนีไปแล้วซะอีก…” จอสร้องทักภูที่เพิ่งเก็บโทรศัพท์ลงในกระเป๋ากางเกง เขาแต่แรกแล้วเช่นกันรู้ว่าตัวเองจะต้องพูดคำนี้ทันทีที่เจอหน้าอีกฝ่าย

         “อีกเดี๋ยวเราต้องกลับแล้วล่ะ” ภูตอบกลับมาหลังดูเวลาจากนาฬิกาที่ข้อมือ

         “ไหนว่าวันนี้จะอยู่ค้างด้วยไง?” จอสทวงสัญญา “มีธุระอะไรด่วนเหรอถึงต้องรีบกลับ?”

         “นายรู้อยู่แล้วว่าเราต้องรีบไปไหน” ภูตอบเสียงเรียบ

         “ไม่ เราไม่รู้…” จอสปฏิเสธออกไปทั้งที่ในใจมีคำตอบปรากฏขึ้นมาอย่างชัดเจนว่าภูกำลังจะต้องไปที่สุโขทัย

         “นายรู้ เหมือนที่ตอนนี้นายรู้ว่าพ่อกับแม่นายทำไมถึงไม่อยู่ที่นี่” ภูเอนตัวลงพิงกับขอบระเบียงแล้วกอดอกมองมาทางจอส

         จอสส่ายหน้าไม่ยอมรับ แต่รู้อยู่เต็มอกว่าทุกสิ่งที่อีกฝ่ายพูดมานั้นจริงจนไม่เหลือช่องให้ได้โต้เถียง ไม่มีอะไรให้ต้องสงสัย เขารู้ดีถึงที่มาของทุกสิ่งทุกอย่างในนี้และรู้กระทั่งมันจะดำเนินต่อไปอย่างไร เขารู้ดีว่าโลกใบนี้ไม่ใช่ความจริงแต่เป็นเพียงสิ่งที่ถูกสร้างประกอบขึ้นมาจากความทรงจำสิ่งละอันพันละน้อยต่างๆ ในชีวิต แล้วบิดผันมันให้ออกมาเป็นโลกที่เขาต้องการ เขาเคยเรียนอยู่คณะวิศวกรรมศาสตร์ในมหาวิทยาลัยอยู่เทอมหนึ่งก่อนจะดรอปเรียน ส่วนเคี้ยงและเจี๊ยบเป็นชื่อของเพื่อนร่วมชั้นปีเพียงไม่กี่คนที่เขาพอจะจำได้ในชีวิตการเป็นนักศึกษาอันแสนสั้นนั้น

         “แล้วถ้านี่ไม่ใช่ความจริง มันคืออะไร?” จอสย้อนถามภูกลับไป

         “สวรรค์ล่ะมั้ง เพราะมันคือสิ่งที่ทำให้นายมีความสุขที่สุด “ภูจำกัดความให้ “แต่ไม่ว่ามันจะคืออะไร นายยังไม่ถึงเวลาที่จะต้องมาอยู่ที่นี่”

         “ทำไมล่ะ?” จอสถอนหายใจออกมาก่อนจะทรุดตัวลงนั่งกับพื้นระเบียง “อยู่ที่นี่ก็ดีแล้ว ไม่ต้องออกไปเป็นคนที่ไม่มีใครต้องการอยู่ข้างนอกนั่น”

         “แน่ใจเหรอว่าไม่มี?” ภูถามย้ำ

         “อาจจะมี แต่ที่นั่นไม่มีนาย” จอสไม่อยากละทิ้งความสุขตรงหน้านี้ไป “ไม่มีพ่อกับแม่ ไม่มีเพื่อน ไม่มีชีวิตเด็กวัยรุ่นธรรมดาๆ เหมือนที่เรามีในตอนนี้”

         “แต่มันคือชีวิตนายนะ” ภูเดินเข้ามาและย่อตัวลงนั่งยองตรงหน้าจอสเหมือนผู้ใหญ่กำลังจ้องดูเด็ก “จะไม่ลองให้โอกาสมันบ้างเลยเหรอ?”

         “เราเหนื่อย…” จอสชันเข่าขึ้นแล้วฟุบหน้าลง “เราอยากพัก”

         “พักเท่านี้ก็คงพอแล้วมั้ง” ภูยื่นมือมาแตะที่ไหล่ของจอส “เดี๋ยวคนทางนั้นเค้าจะเป็นห่วงเอานะ”

         “ถ้านายบอกว่านี่เป็นสวรรค์ หมายความว่าสักวันเราจะได้เจอกันอีกใช่ไหม?” จอสเงยหน้าขึ้นมาถาม

         “ก็อาจจะ ถ้าตอนนั้นภาพความสุขของนายยังเป็นแบบนี้อยู่” ภูยันตัวลุกขึ้นยืน “แต่ตอนนี้ ออกไปมีความสุขกับชีวิตจริงก่อนเถอะ”

         “มานี่ก่อนสิ” จอสลุกขึ้นยืนตาม “มาให้กอดหน่อย”

         “รีบๆ กลับไปได้แล้วไป ลีลาจริงๆ” ภูกรอกตา

         “นี่สวรรค์ของเรา นายขัดขืนไม่ได้ มาเดี๋ยวนี้” จอสพลิกตัวเองขึ้นมาควบคุมทุกอย่าง ภูถอนหายใจแล้วยอมเดินเข้ามาอย่างว่าง่าย เด็กหนุ่มกอดภาพลวงแห่งคนรักของตนเอาไว้แน่น จมูกฝังลงบนเรือนผมดอมดมกลิ่นอายสุดท้ายและกักเก็บมันไว้ในความทรงจำ “สัญญานะว่าจะรออยู่ที่นี่”

         “ถึงตอนนั้นนายอาจจะอยากเจอคนอื่นที่นี่แทนเราแล้วก็ได้” ภูหัวเราะขณะที่หน้าฟุบลงบนไหล่ของจอส “แต่ก็จะรอนะ”

         “งั้นคงไม่ต้องบอกลากันหรอกใช่ไหม?” จอสสูดหายใจแล้วปล่อยอีกฝ่ายออกจากอ้อมกอด

         “ไม่ต้องทำอะไรน้ำเน่าแบบนั้นหรอกน่า” ภูโบกมือให้ “แล้วก็ไม่ต้องรีบกลับมานะ”

         “จะพยายาม” จอสโบกมือตอบกลับ

         วินทร์เดินกระวนกระวายอยู่ที่หน้าห้องไอซียู เมื่อจู่ๆ ช่วงเช้าของวันนี้ จอสซึ่งอาการทรงตัวมาตลอดก็เกิดภาวะความดันตกอย่างกะทันหันจนกระทั่งนำไปสู่การหยุดหายใจ แม้จะรู้ดีว่าทีมแพทย์กำลังพยายามกันอยู่อย่างเต็มความสามารถแต่ชายหนุ่มก็ยังอดไม่ได้ที่จะหงุดหงิดที่ตนไม่อาจช่วยอะไรได้มากไปกว่านี้ ตลอดระยะเวลาเกือบสองสัปดาห์ที่ผ่านมาซึ่งจอสนอนหลับเป็นเจ้าชายนิทราอยู่ สิ่งที่เขาทำได้ก็มีเพียงคอยเฝ้าดูอาการและกันพวกนักข่าวจมูกไวที่ได้กลิ่นเรื่องนี้และเตรียมนำไปกระพือข่าวให้ออกไปพ้นทางด้วยการจ่ายเงินก้อนใหญ่ปิดปาก เพราะรู้ดีว่าหากเรื่องนี้หลุดออกไปสู่สาธารณะชนภาพลักษณ์ของจอสจะต้องเสียไปอย่างไม่อาจกอบกู้ได้เนื่องจากมีเรื่องของยาเสพติดเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย แม้ในความเป็นจริงเจ้าตัวจะถูกมอมและเป็นฝ่ายเสียหาย แต่ใครจะเชื่อเช่นนั้นในเมื่อจอสเองก็มีภาพจำในรูปแบบของหนุ่มรักสนุกชอบปาร์ตี้อยู่แล้ว

         พ่อของจอสติดต่อกลับมาหาวินทร์เพื่อขอรับผิดชอบค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลทั้งหมดเอง แต่เมื่อถูกถามว่าจะมาเยี่ยมลูกชายของตนเมื่อไหร่ อีกฝ่ายกลับไม่มีคำตอบสำหรับเรื่องนั้น วินทร์เองถึงแม้จะไม่พอใจกับการที่พ่อแสดงความเหินห่างต่อลูกชายที่กำลังอยู่ในสภาพครึ่งเป็นครึ่งตายเช่นนี้แต่ก็ไม่อาจจะก้าวล่วงเรื่องของครอบครัวได้ ทำได้เพียงบอกกับตนเองว่าต้องมีเหตุผลบางอย่างที่ทำให้พ่อของจอสเป็นอย่างที่เห็น เพราะคงไม่มีพ่อคนไหนที่จะอยากทำตัวไม่ไยดีต่อลูกที่เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขแท้ๆ ของตน และหากสุดท้ายแล้วจอสจะไม่มีครอบครัวให้กลับไปหา เขาก็พร้อมจะอ้าแขนรับเอาไว้เอง ขอเพียงแค่ในตอนนี้เด็กหนุ่มจะฟื้นขึ้นมาให้โอกาสนั้นกับเขา

         ประตูห้องไอซียูเปิดออกพร้อมกับหมอและพยาบาลที่พากันเดินออกมา วินทร์ภาวนาขอให้เป็นข่าวดีขณะที่ลุกจากเก้าอี้สำหรับญาตินั่งรอแล้วตรงไปหาหมอผู้เป็นเจ้าของไข้ ซึ่งก็สมดังหวังเมื่อได้รับการแจ้งว่าอาการของจอสพ้นขีดอันตรายแล้ว แต่ข่าวดียังไม่หมดเพียงเท่านั้น เพราะนอกจากจอสจะรอดพ้นจากความตายมาได้แล้ว ยิ่งไปกว่านั้นในตอนนี้เขายังได้สติฟื้นคืนมาอีกด้วย วินทร์แทบจะอดใจรอไม่ไหวที่จะเข้าไปเห็นใบหน้าที่ลืมตาตื่นของจอสอีกครั้งแต่ก็ต้องอดทนรอจนกระทั่งเด็กหนุ่มถูกย้ายกลับไปพักฟื้นยังห้องพิเศษ ทั้งสองจึงได้โอกาสพบเจอกันอย่างเป็นส่วนตัวอีกครั้ง

         “ตื่นซักทีนะ ไอ้ขี้เซา” วินทร์ยื่นมือไปลูบศรีษะของจอสซึ่งนอนตาปรืออยู่บนเตียง ที่แขนยังมีสายน้ำเกลือและยาห้อยระโยงระยางอยู่พร้อมกับเครื่องวัดออกซิเจนในกระแสเลือดและสัญญาณชีพ

         “พี่มาได้ไง…” จอสตอบกลับมาด้วยเสียงที่แหบเครือ

         “แล้วทำไมพี่ต้องไม่มาล่ะ?” วินทร์นั่งลงที่ข้างเตียง มือละจากศรีษะมาจับมือของจอสไว้แล้วนวดเบาๆ

         “ก็ผมทำร้ายพี่…” จอสมองไปยังแผลบนหน้าผากของวินทร์ซึ่งบัดนี้เริ่มแห้งตกสะเก็ดแล้ว

         “ไม่เป็นไรหรอกนะ ไม่เป็นไร” วินทร์ยิ้มให้จอสเลิกกังวล “พี่รู้ทุกอย่างหมดแล้ว พี่เข้าใจ ไม่โกรธนายหรอก”

         “พี่โกรธไปแล้ว พี่ไล่ผม” แค่นึกถึงคำพูดของอีกฝ่ายในตอนนั้น กลางอกก็เจ็บแปลบขึ้นมาทันที

         “ก็ไม่รู้นี่ นายก็ไม่เคยบอกพี่” วินทร์ไม่แก้ตัว “ขอโทษนะ มันจะไม่เกิดขึ้นอีกแล้ว”

         “พี่ไม่ต้องขอโทษหรอก ผมไม่ได้โกรธพี่ ผมโกรธตัวเองมากกว่าที่ปล่อยให้มันเป็นไปแบบนั้น” จอสพักกลืนน้ำลายลงคอก่อนจะพูดต่อ แม้จะรู้สึกเหนื่อยมากจากร่างกายที่เพิ่งฟื้นตัวแต่เด็กหนุ่มก็ยังอยากจะพูดสิ่งที่ค้างคาอยู่ในใจออกไปให้อีกฝ่ายรับรู้ “ผมควรจะมีสติมากกว่านั้น ควรฟังพี่อธิบาย”

         “ไม่เป็นไร มันไม่ใช่เรื่องที่นายจะควบคุมได้นี่” วินทร์ไม่ถือสา “ตอนนี้เราเข้าใจกันแล้วก็พอ นายรู้ว่าพี่ไม่ได้เป็นแบบที่มีนพูด พี่ก็รู้ว่านายมีปัญหาอะไรที่ต้องคอยระวัง เท่านี้ทุกอย่างก็โอเคแล้ว”

         “แต่มันจะไม่มีวันหายนะ” จอสบอกกับวินทร์ให้เตรียมใจรับ “สิ่งที่ผมเป็น มันอาจจะควบคุมได้ แต่มันจะไม่มีวันหาย แล้วผมก็บอกไม่ได้ว่ามันจะกลับมาอีกเมื่อไหร่”

         “งั้นเราก็ต้องช่วยดูแลกันไป โอเคไหม?” วินทร์กุมมือของจอสเอาไว้ “ต่อไปนี้มันจะไม่ใช่เรื่องของนายคนเดียว แต่มันจะเป็นเรื่องของเราทั้งคู่แล้ว”

         “แต่ผม…” จอสพยายามจะพูดต่อแต่ลำคอที่ฝืดเคืองก็ขัดขวางเอาไว้ เด็กหนุ่มไอออกมาชุดใหญ่จนวินทร์ต้องรีบเข้ามาลูบหลังกันสำลัก

         “ไม่ต้องพูดแล้วล่ะ นอนพักดีกว่า” วินทร์บอกกับจอส “เดี่ยวพอหายดีจะได้กลับบ้านเรากันนะ”

         จอสพยักหน้าแล้วหลับตาปล่อยร่างกายให้ได้พักผ่อนตามที่มันต้องการ แม้เปลือกตาจะปิดแต่ประสาทสัมผัสก็ยังรู้สึกได้ถึงฝ่ามือของวินทร์ซึ่งลูบเบาๆ อยู่บนศรีษะ ความอบอุ่นที่แผ่ซ่านจากฝ่ามือลงมามอบความรู้สึกมั่นคงและปลอดภัย เด็กหนุ่มหวนนึกไปถึงทุกสิ่งที่ตนเพิ่งจากมาอีกครั้งและพบว่ามันเทียบไม่ได้เลยกับความเป็นจริงในขณะนี้ นี่คือความสุขอันจริงแท้แบบที่ไม่ต้องการสิ่งใดมายืนยันไม่ใช่เพียงแค่ภาพฝันลวงตาที่จิตใต้สำนึกสร้างขึ้นมาปลอบประโลมตัวเอง จอสลืมตาขึ้นมาอีกครั้งก่อนจะถอดแหวนบนนิ้วนางของตนออกแล้วส่งมันคืนให้กับวินทร์

         “ยังโกรธอะไรอีกล่ะ?” วินทร์เข้าใจไปว่าจอสคืนแหวนเพราะยังมีเรื่องไม่พอใจอยู่

         “ใครว่าโกรธ” จอสแม้จะเขินมากแต่ก็คงถึงเวลาต้องยอมรับความรู้สึกตัวเองเสียที เด็กหนุ่มอดคิดไม่ได้ว่าโชคดีที่สมองยังคงเบลออยู่ การพูดอะไรแบบนี้ออกไปจึงง่ายกว่าที่ควรจะเป็นอยู่พอสมควร “ก็พี่บอกเองไม่ใช่เหรอ ว่าถ้ายอมคบเป็นแฟนเต็มตัวเมื่อไหร่ จะสวมมันให้ผมเอง”

         วินทร์ถึงกับอึ้งไปพักหนึ่งเพราะตั้งตัวไม่ทันกับสิ่งที่ได้ยิน ก่อนจะตั้งสติได้แล้วรีบรับแหวนวงนั้นมา เขาบรรจงสวมมันกลับคืนให้ที่นิ้วนางของจอสอีกครั้งก่อนจะจูบลงไปเบาๆ เมื่อมันอยู่บนนิ้วของเด็กหนุ่มแล้ว จอสรีบชักมือกลับก่อนที่อีกฝ่ายจะทำอะไรให้ตนต้องเขินมากไปกว่านี้ เขาผล็อยหลับไปหลังจากนั้นไม่นานด้วยความเพลียและฤทธิ์ยาที่หมอสั่งให้ เหลือเพียงวินทร์ที่ยังคงนั่งเฝ้ามองอยู่ไม่ห่าง และโดยที่ทั้งสองไม่รู้ตัว ที่หลังบานประตูของห้อง พ่อของจอสกำลังมองผ่านกระจกเข้ามา เขาถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอกเมื่อเห็นว่าลูกชายพ้นขีดอันตรายและมีคนคอยดูแลอยู่จากนั้นจึงเดินจากไปอย่างเงียบเชียบเหมือนตอนขามา


To be continued...

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3360
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2
 :pig4: :pig4: :pig4:

ยังไงเนี่ย  พ่อมาแต่ไม่ยอมเข้าหา

ดูเหมือนจะรัก  แต่ทำไมต้องทำเยี่ยงนี้

ไม่เข้าใจ  รอเฉลยคำตอบ

ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4805
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
ปลอดภัยแล้วนะจอส  :กอด1:

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3327
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ nunda

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3004
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-2
ขอเม้นท์ตอนก่อนหน้าหน่อยนะ
.... อยากโดดถีบไอ้มีนมาก!!! คนอะไรนิสัยแย่สุดๆ
ถ้าไม่ปรับปรุง ก็จงอยู่ในโคลนตมต่อไปเถอะ!!!

สำหรับตอนนี้
โชคดีเหลือเกินที่จอสไม่เป็นอะไรมากกว่านี้
เห็นความฝันของจอสแล้วเศร้าจัง
ในชีวิตจริงพี่วินทร์จะเป็นแสงสว่างให้นะ ^^

ออฟไลน์ วายซ่า

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2224
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +205/-6
พี่วินทร์เป็นผู้ใหญ่ดี่จัง ยอมให้อภัยคนที่ทำร้ายน้องชายกับ คนรักตัวเอง  มีความเข้าใจ ยอมรับตัวตนของจอสได้ ดูแลน้องด้วยนะพี่วินทร์. 

ออฟไลน์ lolito

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 156
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-1
Episode 9

          จอสยืนอยู่หน้ารั้วพุ่มโมกของบ้านเลขที่แปดสิบห้าอันเป็นที่อยู่ซึ่งคาดว่าน่าจะเป็นของกรรณจากข้อมูลที่สอบถามผู้จัดการส่วนตัวของภูและสืบเสาะเอาจากคนในละแวกนี้มา เด็กหนุ่มเขย่งเท้าจนพ้นความสูงของรั้วเข้าไปดูลาดเลาภายในบริเวณบ้านก่อนจะพบว่าบรรยากาศนั้นเงียบเชียบไร้วี่แววของผู้คนที่อาศัยอยู่จนเขาอดรู้สึกขึ้นมาไม่ได้ว่าตนมาผิดบ้าน ด้วยความไม่มั่นใจจอสถอยออกมาตั้งหลักยังรถจักรยานยนต์ของตนที่จอดอยู่ห่างออกไปใต้ร่มไม้ไม่กี่เมตรจากตรงนั้นก่อนจะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดโทรหาวินทร์ เสียงรอสายดังขึ้นแต่ไม่มีใครรับ จอสไม่แปลกใจเท่าไหร่เพราะรู้ดีว่าอีกฝ่ายคงยังไม่หายโกรธกับการตัดสินใจของตน

          นับจากวันที่ออกจากโรงพยาบาลเวลาก็ผ่านมาได้หนึ่งเดือนเศษ แม้จอสจะยืนยันว่าตนหายดีแล้วแต่วินทร์ก็ยังยืนกรานที่จะให้เขาพักผ่อนอยู่กับบ้านไม่ต้องออกไปทำอะไรท้าแดดท้าลมข้างนอกซึ่งนั่นทำให้เด็กหนุ่มรู้สึกทรมานเหมือนติดคุกแต่ก็ไม่ได้ออกฤทธิ์เดชอะไรมากเนื่องจากรู้ดีว่าอีกฝ่ายทำไปแบบนั้นก็เพราะความเป็นห่วง เมื่อไม่มีงานให้ต้องรับผิดชอบเวลาของจอสในแต่ละวันจึงหมดไปกับการสรรหาความบันเทิงใส่ตัวในทุกรูปแบบเท่าที่สภาพแวดล้อมจะเอื้ออำนวยให้ได้ เขาเล่นเกมจนไม่เหลืออะไรให้เล่นต่อ อ่านหนังสือทุกเล่มเท่าที่วินทร์ขนซื้อมาให้จากในเมือง แต่สุดท้ายความเบื่อก็บีบบังคับให้จอสต้องละการปลีกวิเวกปิดกั้นข่าวสารแล้วเปิดโทรทัศน์ดูจนได้

          ข่าวเรื่องภาพหลุดของภูทำให้จอสรีบติดต่อไปยังพี่ช้างผู้ซึ่งเป็นผู้จัดการส่วนตัวของอีกฝ่าย ก่อนจะทราบเรื่องราวทั้งหมดว่าความสัมพันธ์ระหว่างภูกับกรรณจบลงแล้ว และนั่นทำให้จอสลุกขึ้นมาจัดของเตรียมตัวออกจากเกาะมุ่งเข้าสู่กรุงเทพทันที แต่ไม่ใช่เพราะอยากจะไปฉวยโอกาสที่ภูกำลังอ่อนแอสานต่อความสัมพันธ์ที่เคยถูกปฏิเสธ แต่เป็นเพราะเขาไม่อาจทนอยู่เฉยได้ในเวลาที่รู้ดีว่าอีกฝ่ายกำลังเจ็บปวด ทุกอย่างต่างออกไปจากเดิมแล้ว เขาจะกลับไปในฐานะเพื่อนคนหนึ่งเท่านั้น

          ทว่ากลับเป็นวินทร์ที่เมื่อรู้เจตนาของจอสแล้วก็รีบขัดขวางอย่างเต็มกำลังในทุกวิถีทาง ด้วยเหตุผลที่เด็กหนุ่มก็พอจะเข้าใจได้ว่ามันคือความหวาดระแวงเพราะรู้ว่าภูคืออดีตรักที่ไม่สมหวังของจอสจึงทำให้วินทร์เข้าใจไปว่าการกลับไปครั้งนี้คือความหวังที่จะสานต่อ วินทร์ปิดหนทางการเดินทางเข้าฝั่งของจอสแต่สุดท้ายเด็กหนุ่มก็หาจ้างเรือจากคนท้องถิ่นจนได้ ทว่าถึงกระนั้นก็ไม่อาจรอดพ้นหูตาของผู้เป็นเจ้าถิ่น วินทร์รู้เรื่องและตามมาจนไล่ทันจอสในขณะที่เขากำลังจะขึ้นเรือออกเดินทางพอดี

          “ลงมาเดี๋ยวนี้เลยนะ!” วินทร์ตะโกนเรียกก่อนจะหันไปอาละวาดใส่เจ้าของเรือซึ่งกำลังตกใจอยู่ “ห้ามออกเรือเด็ดขาด! ออกได้มีเรื่องกันแน่!”

          “พี่จะมาขังผมไว้นี่ไม่ได้นะเว้ย!” จอสโวย “ก็บอกแล้วไง ไปแป๊ปเดียว เดี๋ยวกลับมา เชื่อใจกันมั่งสิ! ”

          “พี่ไม่ห้ามหรอกถ้านายจะไปเพราะเรื่องอื่น จะกลับไปทำงานหรืออะไรก็ได้ จะไม่รั้งเลย แต่ไม่ใช่เรื่องนี้” วินทร์แสดงจุดยืนชัดเจน “ของๆ พี่ พี่หวง!”

          “อย่ามาพูดแบบนี้ต่อหน้าคนอื่นนะเว้ย!” จอสอับอายกับสายตาคนขับเรือที่มองจ้องมา “ผมบอกว่าผมไปแป้ปเดียวก็กลับ อะไรก็อธิบายไปหมดแล้ว ปกติพี่เป็นคนมีเหตุผลเข้าใจอะไรง่ายจะตาย อย่ามาเสียประวัติทำตัวงี่เง่ากับเรื่องแค่นี้ได้ป่ะ?”

          “ถ้าพี่จะทำตัวไม่มีเหตุผลกับอะไรซักอย่าง เรื่องนี้ก็สมควรที่สุดแล้วล่ะ” วินทร์ไม่ยอม “ขืนปล่อยไปก็ไม่รู้ว่านายจะกลับมาอีกทีในสถานะแฟนเก่าหรือเปล่า”

          “ก็บอกว่าไม่มีอะไรแล้ว!” จอสปวดหัวตึบ “เพื่อนกัน ก็แค่นั้น เพื่อนไม่สบายใจก็ต้องไปดูแล”

          “ช่วยให้เค้าสบายใจแล้วแลกกับการทำให้แฟนไม่สบายใจแทนงั้นสิ” วินทร์สวนกลับไป

          “ถ้าปัญหามันเยอะมากนักก็ไปด้วยกันเลยมา ขึ้นเรือมาเลย” จอสหมดปัญญาจะอธิบายให้วินทร์เข้าใจ “ไปด้วยกัน เดี๋ยวผมบอกกับเค้าเลยว่าพี่แฟนผม”

          “ทำไมพี่ต้องไป? นายนั่นแหละลงมา ไม่ต้องไป เค้าอยากได้กำลังใจก็แค่โทรไปก็ได้ ไม่ต้องโร่ไปถึงกรุงเทพ” วินทร์ยืนกระต่ายขาเดียว

          “รู้งี้ไม่น่าบอกเลย พอรู้แล้วก็เป็นแบบนี้อ่ะ นี่ถ้าไม่รู้ก็คงไม่เป็นแบบนี้หรอกใช่ไหม?” จอสเหลืออดเหลือทน

          “ไม่สำคัญอ่ะ ตอนนี้พี่รู้แล้ว และพี่ไม่ให้ไป” วินทร์ไม่รับฟัง

          “ผมจะไป” จอสงัดลูกดื้อออกมาใช้หลังจากยอมทำตัวเชื่องอยู่นาน “พี่ห้ามผมไม่ได้”

          “ดี” คำพูดของจอสเหมือนจะเข้าไปกระทบบางอย่างในใจวินทร์ “ถ้านายไปก็ไม่ต้องกลับมาหาพี่อีกก็แล้วกัน พี่ถือว่านายเลือกเค้าแล้ว”

          “ไม่สนใจ” จอสมึนใส่ “เสร็จธุระแล้วผมจะกลับมา ต่อให้พี่จะต้อนรับหรือไม่ผมก็จะกลับมา”

          “นายเลือกเองนะ” วินทร์จ้องหน้าจอส

          “ผมรักพี่นะ พี่เป็นคนสำคัญที่สุดของผม” จอสกลับมาใช้ลูกอ้อน “แต่ที่ผมต้องไป ก็เพราะเค้าเป็นเพื่อนคนเดียวในชีวิตที่ผมมี”

          “ตามใจ…” วินทร์เหมือนจะใจอ่อนลงแต่ก็ยังหงุดหงิดมากอยู่ “อยากทำอะไรก็ตามใจ แต่ไม่รับประกันนะว่ากลับมาพี่จะยังเหมือนเดิมกับนายอยู่”

          “ไม่สำคัญหรอก เพราะผมจะเหมือนเดิมกับพี่” จอสหันไปพยักหน้าบอกคนขับเรือให้เตรียมออกเดินทาง “รอหน่อยนะ สองสามวันก็กลับมาแล้ว”

          “สองสามวันอะไรๆ ก็คงเปลี่ยนไปเยอะแล้วล่ะ” วินทร์ทิ้งท้ายเอาไว้ก่อนจะหันหลังเดินกลับออกไปจากท่าเรือ

          บทสนทนาของทั้งสองจบลงเพียงเท่านั้น และนับตั้งแต่นั่งเรือออกมาจากเกาะจนขึ้นฝั่งยันกลับมาถึงกรุงเทพจนกระทั่งเมื่อครู่นี้วินทร์ก็ยังไม่ยอมรับสายจอสเลยแม้แต่ครั้งเดียว เด็กหนุ่มถึงแม้จะกังวลแต่ก็สายเกินกว่าจะถอยกลับไปแล้ว ตอนนี้มีเพียงแต่ต้องทำธุระของตนให้สุดทางก่อนแล้วจึงค่อยกลับไปปรับความเข้าใจกับอีกฝ่าย ที่พอจะทำได้ในเวลานี้ก็มีเพียงเชื่อมั่นในวุฒิภาวะของวินทร์ว่าจะไม่ทำเรื่องไม่เป็นเรื่องให้เลยเถิด จอสเดินกลับไปที่รั้วบ้านอีกครั้งก่อนจะตัดสินใจกดกริ่งเพื่อเรียกเจ้าของบ้านออกมาดูหน้าให้รู้ไปเสียทีว่าตนมาถูกบ้านหรือไม่

          เสียงกริ่งดังขึ้นจากในตัวบ้าน จอสชะเง้อคอคอยมองหาความเคลื่อนไหวใดๆ ที่จะตอบรับกลับมา เงาของใครบางคนปรากฎขึ้นที่หน้าต่างบ้านซึ่งมีผ้าม่านสีขาวบางๆ กั้นอยู่ก่อนจะผลุบหายกลับเข้าไปอีกครั้ง จอสรีบกดกริ่งซ้ำเพราะรู้แล้วว่าข้างในนั้นมีคนอยู่อย่างแน่นอน ขณะที่ในหัวคิดหาทางเล่นงานแบบเจ็บแสบหากคนที่ออกมาเปิดประตูเป็นกรรณเพื่อเป็นการเอาคืนที่ทำให้ภูเสียใจ ทว่าอีกฝ่ายก็เหมือนนกรู้ทำหูทวนลมกับเสียงกริ่งไม่ยอมออกมาเสียที จนในที่สุดจอสก็เป็นฝ่ายหมดความอดทน เด็กหนุ่มมองซ้ายมองขวาจนเมื่อเห็นว่าปลอดคนจึงได้กระโดดขึ้นประตูรั้วบ้านแล้วปีนเข้าไปข้างใน

          จอสตรงดิ่งไปยังประตูหน้าบ้านในขณะที่ตาก็ยังสอดส่องมองไปตามหน้าต่าง เงาร่างสูงของคนปรากฏขึ้นอีกแวบหนึ่งก่อนจะผลุบหายเข้าไปเมื่อเห็นว่าจอสกำลังจ้องมา ไม่ผิดแน่ในบ้านหลังนี้มีคนอยู่และไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรคนผู้นั้นไม่ต้องการจะพบเจอกับเขาถึงขนาดเมินเฉยต่อเสียงกริ่ง สิ่งนี้ยิ่งยืนยันให้จอสมั่นใจขึ้นมาอีกระดับว่าตนมาถูกที่แล้ว เด็กหนุ่มยังทู่ซี้เคาะประตูบ้านไปอีกสองสามครั้งแต่คนข้างในก็ยังดื้อไม่ยอมมาเปิด

          “เฮ้ย ไอ้ลุง!” จอสตัดสินใจตะโกนเรียกให้รู้แล้วรู้รอด “เห็นนะว่าอยู่ข้างใน จะหลบทำไม”

          “ไปให้พ้นๆ เลยไป” เสียงของกรรณตะโกนไล่ตอบกลับมาจากหลังบานประตู “ปกติก็ไม่อยากเห็นหน้าอยู่แล้ว หนีมาถึงนี่แล้วยังตามมารังควาญอีก”

          “ไม่ไป” จอสเห็นแล้วว่าพูดดีๆ คงไม่ได้เรื่อง จึงเปลี่ยนมาใช้การท้าทายยั่วยุอีกฝ่ายแทน “ออกมาหน่อยเซ่ คนเค้าอุตส่าห์มาขอบคุณที่อุตส่าห์ส่งต่อแฟนให้ใช้ต่อ”

          ได้ผลเหมือนสูตรสำเร็จทางวิทยาศาสตร์ สิ้นเสียงประโยคนั้นประตูหน้าบ้านก็เปิดผัวะออกมาทันทีพร้อมกับร่างสูงของกรรณซึ่งกระโจนออกมาจากข้างใน จอสซึ่งเตรียมตั้งรับอยู่แล้วเบี่ยงตัวหลบได้ทันก่อนจะหันกลับไปซัดกำปั้นเข้าที่เบ้าตาของชายรุ่นพี่เต็มแรง ซึ่งนั่นก็เหมือนยิ่งเติมเชื้อไฟให้เพลิงโทสะของกรรณจนคุโชนยิ่งขึ้น ชายหนุ่มยันตัวขึ้นยืนตรงได้ก็ตรงกลับเข้าไปตะลุมบอนกับจอสอย่างไม่รีรอ ทั้งสองฟัดกันจนฝุ่นตลบจนเมื่อแรงหมดทุกอย่างก็มาถึงจุดจบอย่างกลายๆ จอสยกมือขึ้นทำสัญญาณขอสงบศึกในขณะที่กรรณถ่มเลือดซึ่งซึมออกมาจากบาดแผลแตกบนริมฝีปากลงพื้น

          “พอก่อนลุง คุยกันก่อน” จอสพยายามดึงสถานการณ์ให้กลับสู่เจตนารมณ์ดั้งเดิมในการมาของตน

          “ไสหัวไปให้พ้นๆ เลยไป” กรรณทั้งเจ็บตัวทั้งเหนื่อยจนไม่มีอารมณ์จะเสวนาอะไรต่อทั้งสิ้น “ชั้นไม่มีอะไรจะคุยกับแกทั้งนั้นแหละ”

          “แม้แต่เรื่องของภูเหรอ?” จอสยิงจั่วหัว

          “นี่แกต้องการอะไรวะเนี่ย?” กรรณฉุนกึกขึ้นมาอีกรอบ “จะคบกันก็คบไปสิ จะมาเยาะเย้ยชั้นให้มันได้อะไรขึ้นมา”

          “แก่แต่ตัว เชื่อคนง่ายจังนะ” จอสยันตัวลุกขึ้นยืน “ก็แค่ยั่วโมโหเล่นนิดหน่อย คิดเป็นจริงเป็นจังไปได้”

          “แล้วมาที่นี่ทำไม?” กรรณไม่เข้าใจเจตนาของอีกฝ่าย

          “บอกเหตุผลมาว่าบอกเลิกภูทำไม?” จอสเข้าเรื่อง เขาต้องรู้เหตุผลในการตัดสินใจของกรรณก่อนที่จะก้าวเข้าสู่ขั้นต่อไป

          “จุ้นอะไรด้วยล่ะ?” กรรณไม่ยอมตอบ ซึ่งก็ไม่ผิดจากที่จอสคาดเอาไว้เท่าไหร่นัก

          “ถามก็ตอบเหอะ” จอสกระทืบเท้าหงุดหงิดไม่ได้ดั่งใจ

          “แค่ที่เห็นในข่าวมันยังไม่ชัดพอหรือไง” กรรณมองว่าเมื่อมาถึงจุดนี้แล้วเขาก็ไม่รู้จะปิดบังต่อไปทำไม การตอบคำถามจอสอาจเป็นเรื่องดีเสียอีกเพราะช่วยให้ได้ระบายออกกับใครสักคนบ้าง “ภูเคยมีชีวิตที่ดีมากอยู่แล้ว แต่สนิมที่เข้ามาเกาะแบบชั้นทำทุกอย่างให้วุ่นวายจนพังไปหมด ถอยออกมาซะดีกว่า ชีวิตเค้าจะได้กลับไปสมบูรณ์เหมือนเดิม”

          “แล้วไม่คิดหรือไงว่าเค้าจะเสียใจแค่ไหนที่คนที่ควรอยู่เคียงข้างเค้ามากที่สุดในเวลานี้กลับเลือกจะเดินหนีไป” จอสถามกลับไป “บทพระเอกผู้เสียสละมันไม่ได้เวิร์คกับทุกปัญหาหรอกนะ”

          “มาพูดตอนนี้ก็ไม่มีประโยชน์อะไรแล้ว” กรรณเองก็ใช่ว่าจะไม่รู้ นับตั้งแต่วันที่บอกเลิกภูไป ก็ไม่มีวันไหนเลยที่ความเสียใจจะห่างหายออกไปจากชีวิต “ผ่านมาตั้งหลายเดือน มันคงสายไปแล้ว เค้าเองก็คงโกรธมาก”

          “ก็เพราะรักอยู่ไง ถึงได้โกรธ” จอสบอกสิ่งที่รู้จากปากของภูมาให้กรรณฟัง “หมอนั่นไม่เคยเลิกรักคนที่ทิ้งตัวเองไปเลย”

          “….” กรรณมองหน้าอีกฝ่าย พยายามหาร่องรอยหรือวี่แววของลูกไม้ตุกติกที่จะใช้ล่อหลอกให้ตนหลงกล แต่ก็ไม่พบอะไรที่จะส่อไปในแนวทางนั้นเลย “หมายความว่าไง?”

          “หมายความว่ายังไงก็ไปถามกับเจ้าตัวเองเถอะ นี่ก็รู้มาแค่นี้แหละ” จอสหมดธุระแล้ว เขาหยิบกุญแจรถจักรยานยนต์ออกมาจากในกระเป๋ากางเกงก่อนจะหันไปถามกรรณอีกครั้ง “ไงล่ะ จะไปถามเค้าเลยไหม?”

          “อ่า…” กรรณดูลังเล แต่สิ่งที่จอสพูดมาหากเป็นความจริงนี่ก็คือโอกาสที่จะพลาดปล่อยทิ้งไปไม่ได้เด็ดขาด เมื่อรู้ว่าหนทางกลับไปครอบครองความรักที่เคยหลุดลอยได้มาปรากฏอยู่ตรงหน้าอีกครั้ง ชายหนุ่มจึงเลิกพะวักพะวงและตัดสินใจพุ่งเข้าไปลองเสี่ยงกับมัน “ติดเครื่องรถรอเลย… ขอไปเปลี่ยนเสื้อผ้าแป้ปนึง”

ออฟไลน์ lolito

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 156
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-1
          เวลาล่วงมายังกลางดึกของวันเดียวกัน จอสยืนหลบอยู่ในมุมรั้วมองดูภาพของภูและกรรณที่กำลังกอดกันอยู่บนระเบียงชั้นสองของบ้าน ซึ่งเมื่อสังเกตจากอากัปกิริยาท่าทางเด็กหนุ่มก็พอจะเดาได้ว่าทั้งสองคงปรับความเข้าใจและกลับมาคืนดีกันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว นั่นก็หมายความว่าภารกิจที่ตั้งใจเอาไว้ได้สำเร็จลุล่วงได้ด้วยดี รวมไปถึงอีกหนึ่งความตั้งใจซึ่งเขาไม่ได้บอกให้ใครรู้ การเผชิญหน้ากับภูอีกครั้งได้พิสูจน์ความรู้สึกของจอสจนชัดเจนแล้วว่าบัดนี้เขาไม่ได้ต้องการจะครอบครองอีกฝ่ายมาเป็นของตนอีกต่อไป ความรู้สึกดีๆ มากมายยังคงมีอยู่เต็มเปี่ยมแต่ไม่มีความกระหายจะครอบครองรวมอยู่ในนั้น เขามีเพียงความเป็นห่วงและยินดีที่เห็นอีกฝ่ายมีความสุขอีกครั้ง

          แม้จะห่วงพะวงกับเรื่องของวินทร์อยากรีบกลับไปปรับความเข้าใจกับอีกฝ่ายมากเพียงใด แต่ความเหนื่อยล้าที่สะสมมาจากการขับขี่ทางไกลตลอดทั้งวันก็ส่งสัญญาณเตือนว่าสมควรแก่เวลาที่จะต้องพักผ่อนแล้ว จอสเลือกจะเชื่อความรู้สึกตนเองเพราะรู้ดีว่าหากฝืนเดินทางตอนนี้เปอร์เซ็นต์ที่จะไปไม่ถึงที่หมายมีอยู่สูงมาก เขาจึงตัดสินใจว่าคืนนี้จะกลับไปนอนพักที่คอนโดก่อนแล้วพรุ่งนี้ค่อยรีบออกเดินทางทันทีที่ตื่น แต่ขณะที่กำลังจะติดเครื่องรถเพื่อออกเดินทางนั้นเสียงเรียกเข้าโทรศัพท์มือถือก็ดังขึ้นขัดจังหวะเอาไว้เสียก่อน เด็กหนุ่มรีบหยิบมันขึ้นมาดูก่อนที่ร่างกายซึ่งเหนื่อยเพลียจะตื่นตัวขึ้นมาอย่างปัจจุบันทันด่วนเมื่อเห็นชื่อวินทร์เป็นผู้โทรเข้า

          “ผมกำลังจะกลับ…” จอสรีบออกตัวทันทีที่กดรับสาย

          “เสร็จธุระแล้วเหรอ?” เสียงของวินทร์ถามมาตามสาย

          “เสร็จแล้ว เค้ากลับไปดีกันแล้ว” จอสตอบ แม้จะมีปัญหากันก่อนจากมา แต่การได้ยินเสียงของวินทร์ก็ช่วยให้เด็กหนุ่มรู้สึกดีขึ้นได้มาก

          “นายช่วยให้เค้าดีกัน แล้วใครจะมาช่วยนายให้ดีกับพี่” วินทร์ถามต่อ

          “ไม่ต้องให้ใครช่วยหรอก แฟนผม ผมง้อเองได้” จอสทำทะเล้นสู้ แม้ใจจะยังหวั่นๆ กับความสงบในน้ำเสียงของอีกฝ่าย

          “พี่ยังเป็นแฟนนายอยู่อีกเหรอ?” วินทร์ถามด้วยคำถามที่ทำให้หัวใจจอสหล่นวูบลงไปที่ตาตุ่ม

          “ทำไมพูดงั้นอ่ะ…” จอสถึงกับทะเล้นต่อไม่ออก

          “ก็…” วินทร์เงียบไป จอสได้ยินเสียงถอนหายใจหนักๆ ดังแว่วมาจากฝั่งนั้น “พี่พูดไม่ดีกับนายก่อนนายไป…”

          “เรื่องแค่นั้นเอง ไม่เป็นไร” จอสโล่งอกเมื่อได้รู้ว่าบรรยากาศหนักอึ้งนี้เกิดจากความรู้สึกผิดของวินทร์ ไม่ใช่ความโกรธเคือง “ผมรู้ว่าพี่ทำไปเพราะหวงผม”

          “ขอโทษนะ ขอโทษที่ทำตัวงี่เง่าไม่สมอายุเลย” วินทร์ขอโทษเสียงอ่อย “แล้วนี่นายจะกลับมาเลยหรือเปล่า?”

          “ผมเหนื่อยมากเลย อยากพักก่อนซักคืน” จอสยอมรับตามตรง “แต่ถ้าพี่อยากให้ผมกลับไปเลย ผมก็จะกลับ”

          “ไม่ต้องเลย เหนื่อยก็พัก ฝืนเดินทางมันอันตราย” วินทร์รีบห้ามไม่ให้จอสฝืนตัวเอง “แค่รู้ว่านายจะกลับมาก็พอ จะเมื่อไหร่พี่ก็รอได้”

          “โอเค…” เด็กหนุ่มหลุดหาวออกมาก่อนจะพูดจบประโยค “งั้นพรุ่งนี้เจอกันนะครับ”

          จอสวางสายจากวินทร์ แม้จะอ่อนเพลียจนแทบจะลืมตาไม่ขึ้นแต่เมื่อความกังวลเกี่ยวกับวินทร์จางหายไปทุกอย่างก็ดูไม่หนักหนาเกินกว่าจะรับไหวอีกต่อไป เด็กหนุ่มขับขี่ด้วยความเร็วปานกลางเพื่อลดความเสี่ยงต่ออุบัติเหตุเนื่องจากประสาทสัมผัสที่ง่วงซึม จนเมื่อมาถึงคอนโดจึงได้จอดรถแล้วตรงดิ่งขึ้นไปยังห้องของตนแต่ทันทีที่ประตูลิฟท์เปิดออกแม้สมองจะเบลอแต่เขาก็รู้สึกได้ว่ามีบางอย่างผิดไปจากปกติวิสัยที่ควรเป็น แสงไฟจากโคมด้านหน้าห้องเปิดสว่างอยู่ทั้งที่จอสมั่นใจว่าก่อนออกไปตนได้ปิดทุกอย่างจนหมดเรียบร้อยแล้ว

          เด็กหนุ่มรู้ดีว่าคนแปลกหน้าไม่มีทางผ่านระบบรักษาความปลอดภัยจากชั้นล่างขึ้นมาถึงบนนี้ได้แน่ ดังนั้นไม่ว่าใครก็ตามที่เป็นคนเปิดไฟในห้อง เขาจะต้องเป็นคนที่มีคีย์การ์ดผ่านประตูขึ้นมาได้ ซึ่งนั่นก็มีเพียงแค่คนเดียว จอสเปิดประตูออกอย่างกล้าๆ กลัวๆ ก่อนจะชะโงกหน้าเข้าไปดูลาดเลาข้างใน หากผู้ที่อยู่ในนั้นคือคนที่เขาคาดคิดเอาไว้จริงๆ เด็กหนุ่มก็ไม่มั่นใจว่าตนพร้อมที่จะเผชิญหน้าด้วยหรือไม่ บรรยากาศด้านในห้องมีสัญญาณแห่งการใช้ชีวิต ไม่ว่าจะแสงไฟที่เปิดอยู่ทั่วทั้งห้อง แก้วเครื่องดื่มที่วางทิ้งเอาไว้บนเคาท์เตอร์ของบาร์น้ำซึ่งน้ำแข็งภายในยังไม่ละลายนั่นหมายความเจ้าของเพิ่งละออกไปจากมันเพียงไม่นานก่อนหน้านี้

          “กลับมาแล้วเหรอ?” เสียงอันคุ้นเคยที่ห่างหายไปจากโสตประสาทมานานร้องทักเป็นภาษาอังกฤษมาจากด้านหลัง

          จอสรีบหันกลับไปตามเสียงก่อนจะพบเข้ากับร่างสูงของพ่อที่ยืนมองมาทางตนอยู่ เด็กหนุ่มเขม้นมองด้วยสายตาตื่นตระหนก แม้จะเป็นพ่อแท้ๆ ของตนแต่ด้วยความไม่คุ้นเคยจากการที่ห่างหายหน้าจากกันไปนานทำให้ความรู้สึกที่เกิดขึ้นไม่ต่างอะไรกับการเผชิญหน้ากับคนแปลกหน้า พ่อดูแปลกตาไปมากนับจากวันที่จอสได้เจอหน้าครั้งล่าสุดเมื่อเกือบสองปีก่อน นอกจากริ้วรอยแห่งวัยอันเป็นธรรมชาติตามอายุที่มากขึ้นแล้ว สิ่งที่เปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัดคือความสดใสในแววตาซึ่งเด็กหนุ่มไม่เคยพบเห็นมันมาก่อนแม้กระทั่งเมื่อครั้งที่ครอบครัวยังอยู่พร้อมหน้ากัน

          “พ่อกลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่?” จอสถามทันทีที่ตั้งสติได้

          “สองสามวันได้” พ่อของจอสตอบก่อนจะเดินเข้ามาหยิบแก้วเครื่องดื่มที่วางทิ้งเอาไว้ไปจิบต่อ “แกมาทันก่อนพ่อจะกลับไปพอดี”

          “พ่อไม่บอกผมล่ะว่าจะมา” จอสรู้สึกแย่ที่แม้จะกลับมาถึงบ้านแล้วไม่เจอตน พ่อก็ยังดูไม่ห่วงหรือสนใจจะติดตามหาเลย “แล้วพ่อกลับมามีธุระอะไรหรือเปล่าครับ?”

          “ก็แค่แวะมา ธุระก็พอมี แต่ตอนนี้มาคุยเรื่องสารทุกข์สุกดิบกันก่อนดีไหม?” พ่อของจอสผายมือเชิญให้ลูกชายของตนนั่งลงที่เก้าอี้ตัวข้างๆ “นั่งก่อนสิ”

          จอสนั่งลงตามคำเชิญของพ่อ เด็กหนุ่มขยับตัวหันออกห่างเล็กน้อยเพื่อรักษาระยะ ผู้เป็นพ่อมองอาการประดักประเดิดของลูกชายตนเองแล้วก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกเศร้าใจที่ความสัมพันธ์อันแนบแน่นที่เคยมีในกาลก่อนกลับกลายเป็นแบบนี้ก็เพราะตน สิ่งที่เกิดขึ้นกับจอสเมื่อเดือนก่อนทำให้เขายิ่งเป็นกังวลกับการปล่อยให้เด็กหนุ่มต้องอยู่ตามลำพังคนเดียว จริงอยู่ว่านี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่จอสปางตาย แต่ครั้งก่อนที่เป็นการฆ่าตัวตายก็ยังไม่น่ากังวลเมื่อคิดในแง่ที่ว่าอาการเหล่านั้นถูกบำบัดโดยแพทย์จนเกือบเป็นปกติแล้ว สิ่งที่รบกวนจิตใจของผู้เป็นพ่อมากที่สุดในขณะนี้คือการที่ลูกถูกประทุษร้ายจากบุคคลที่สามต่างหาก

          ใช่ว่าจะไม่รู้ตัวว่าการทอดทิ้งลูกให้อยู่ตามลำพังตั้งแต่อายุยังไม่บรรลุนิติภาวะย่อมส่งผลเสียมากกว่าผลดี อีกทั้งภาวะผิดปกติทางจิตใจของจอสก็เป็นสิ่งที่ช่วยยืนยันถึงอันตรายของมันได้เป็นอย่างดีแล้ว แต่เขาก็ยังเชื่อว่ามันจะเป็นการดีที่สุดหากตนจะอยู่ห่างจากลูกให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นได้ มันไม่ใช่ความผิดของจอสที่ภรรยาเก่าของเขานอกใจไปกับผู้ชายอื่น แต่การได้เห็นหน้าลูกที่เกิดจากเธอคนนั้นก็ย้ำเตือนให้ความรู้สึกแย่ๆ อันไม่พึงประสงค์ย้อนกลับมาครอบงำจิตใจได้ทุกครั้ง ในช่วงที่การเลิกราเกิดขึ้นใหม่ๆ หลายครั้งที่เขามองเด็กชายที่นอนหลับอยู่บนเตียงในยามค่ำคืนแล้วต้องข่มกลั้นความรู้สึกไม่ให้เอื้อมมือไปบีบคอน้อยๆ นั้นให้แหลกคามือ ด้วยหวาดกลัวความรู้สึกอันดำมืดเช่นนั้นจึงได้ตัดสินใจตัดปัญหาทุกอย่างด้วยการพาตัวเองออกมาแล้วทิ้งจอสไว้ลำพังเบื้องหลัง

          “เป็นยังไงบ้าง?” พ่อเอ่ยถามเพื่อทำลายความเงียบน่าอึดอัด “ที่ผ่านมา อยู่ได้ไม่มีปัญหาใช่ไหม?”

          “พ่อห่วงด้วยเหรอ?” จอสแค่นหัวเราะ “เรื่องน่าประหลาดใจที่สุดในรอบหลายปีเลยนะเนี่ย”

          “พ่อรู้ว่าตัวเองไม่ใช่พ่อที่ดี” พ่อของจอสไม่โต้แย้งกับคำค่อนแคะจากลูกชาย “แต่เชื่อเถอะ ถ้าพ่อจะบอกว่าพ่อก็ห่วงแกไม่น้อยไปกว่าพ่อคนอื่นๆ ห่วงลูกหรอก”

          “งั้นก็แสดงออกให้ผมรู้สึกแบบนั้นบ้างก็ดีนะ” จอสหัวใจพองโตขึ้นมานิดหน่อยเมื่อได้ยินถ้อยคำแสดงความห่วงใยจากพ่อ

          “ก็นี่ไง พ่อพยายามอยู่นะ” พ่อจ้องจอสตาเขม็งเหมือนขอความร่วมมือ “แล้วไงล่ะ ที่ผ่านมาอยู่ได้ ไม่มีปัญหาอะไรใช่ไหม?”

          “ก็ถ้าไม่นับเรื่องรอยจารึกบนแขนนี่” จอสชูแผลเป็นบนท้องแขนให้พ่อดู “ทุกอย่างก็โอเคครับ เรื่อยเปื่อยตามประสา”

          “ก็ดี…” พ่อเบือนสายตาออกจากแผลเหล่านั้น เพราะเพียงแค่มองก็เจ็บในอกราวกับมีดกรีด “เห็นไปเป็นดาราดังแล้วนี่ ไปไงมาไงล่ะ?”

          “ก็เค้ามาชวนไปทำก็ทำ ดีกว่าอยู่ว่างๆ” จอสก้มหน้าหลบอาการเขิน

          “แกเปลี่ยนไปเยอะ ในทางที่ดี และพ่อภูมิใจกับมันนะ” พ่อบอกกับจอส ขณะพูดตาก็เสมองไปทางอื่นด้วยความเก้อเขินไม่ต่างกัน

          “ขอบคุณครับ” จอสพยักหน้ารับคำชมนั้น

          “อันที่จริง ที่พ่อมาก็มีเรื่องอยากจะคุยกับแก ไม่ใช่เรื่องคอขาดบาดตายอะไรหรอก พ่อเองก็ยังลังเลอยู่ว่าควรจะคุยดีไหม ถึงได้ไม่โทรเรียกแก ปล่อยวัดดวงเอาว่าถ้าแกมาทันเจอพ่อ ก็จะได้รู้ แต่ถ้าไม่ มันก็คือยังไม่ถึงเวลา” พ่อของจอสเกริ่นเข้าถึงจุดประสงค์ที่แท้จริงในการมาครั้งนี้ “พ่อกำลังจะแต่งงานใหม่”

          “นี่พ่อเรียกเรื่องแบบนี้ว่าไม่ใช่เรื่องคอขาดบาดตายเหรอ?” จอสงงกับตรรกะของพ่อ “เรื่องนี้มันเรื่องสำคัญที่ต้องบอกผมเลยนะ”

          “พ่อแต่งไม่ใช่แกแต่ง มันจะสำคัญอะไรมากมาย อีกอย่างแกเองก็มีแฟนเป็นผู้ชาย คบกันเป็นตัวเป็นตน ไปอยู่กินด้วยกันพ่อก็ยังไม่ว่าอะไรเลย” พ่อของจอสสวนกลับด้วยข้อมูลที่เด็กหนุ่มไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะรู้

          “พ่อรู้ได้ไง?” จอสทำตัวไม่ถูก จริงอยู่ที่เขาไม่ได้คิดจะปกปิดสถานะทางเพศของตน แต่การที่จู่ๆ โดนพ่อโพล่งเปิดโปงออกมามันก็ชวนให้ตื่นตระหนกไม่ใช่น้อย

          “แกเป็นลูก ถึงจะไม่ได้อยู่ด้วยกัน แต่ก็ไม่ใช่ว่าพ่อจะไม่รู้ความเคลื่อนไหวของแกนะ” พ่อยกเครื่องดื่มกระดกเข้าปากไปอีกอึกใหญ่ราวกับจะย้อมใจก่อนพูดต่อ

          “แล้วไง?” จอสเริ่มก่อกำแพงป้องกันตัวเอง “ถ้าคิดจะมาบอกให้ผมเลิก ก็รู้ไว้เลยนะว่านี่ไม่ใช่เรื่องของพ่อ พ่อสั่งผมไม่ได้”

          “พ่อยังไม่ได้พูดแบบนั้นซักคำเลย” พ่อส่ายหน้าระอากับความตื่นตูมของลูก “แกจะคบใครก็คบไปเถอะ ไม่ได้ว่าอะไรทั้งนั้นล่ะ ดูแลตัวเองดีๆ ก็แล้วกัน”

          “ก็ดูแลมาตลอดนั่นแหละ ไม่มีใครมาดูแลให้นี่” จอสแอบแขวะพ่อกลับไป “พ่อจะแต่งกับใครก็แต่งไปเหอะ ผมก็ไม่ว่าเหมือนกัน แค่ให้แม่ใหม่แก่กว่าผมหน่อยก็ดี”

          “จริงๆ เค้าอายุเท่าๆ กับพ่อนี่แหละ” พ่อของจอสบอก

          “จริงเหรอ? ดูไม่ใช่สเปกพ่อเลยนะ” จอสแปลกใจ เพราะที่ผ่านมาบรรดาผู้หญิงของพ่อมักจะอายุห่างจากเขาไม่ถึงห้าปีเสมอ

          “เค้าเป็นจิตแพทย์ที่ดูแลพ่อช่วงหลายปีที่ผ่านมา” พ่อเล่าถึงตัวตนของหญิงที่จะมาเป็นแม่เลี้ยง “เค้าเป็นคนดีนะ พ่อว่าถ้าได้เจอแกก็คงจะชอบเค้าเหมือนกัน”

          “ถ้าพ่อไม่ยุ่งเรื่องแฟนผม ผมก็ไม่ยุ่งเรื่องแฟนพ่อ” จอสบอกจุดยืน “เพราะงั้นถ้าพ่อชอบเค้าและมั่นใจว่าเค้าเป็นคนที่ใช่จริงๆ ผมก็ไม่ขัดอะไรหรอกครับ”

          “เราเป็นพ่อลูกที่คุยอะไรเข้าใจกันง่ายดีนะ” พ่อหัวเราะออกมาด้วยความขบขันปนโล่งใจที่ทุกอย่างดูจะง่ายไปหมด

          “อาจเป็นเพราะเรามีชีวิตแบบตัวใครตัวมันมานานแล้วมั้งครับ” จอสหาสาเหตุให้

          “แล้วก็อีกเรื่อง หลังแต่งงานพ่อจะไปอยู่บ้านหลังใหม่แถบชานเมือง” พ่อบอกส่วนที่เหลือของธุระ “ที่นั่นก็ไม่มีใครหรอก ก็แค่พ่อแล้วก็แม่เลี้ยงของแก ถ้าแกอยากจะไปอยู่กับเรา…”

          “ขอคิดดูก่อนนะ” จอสไม่มั่นใจว่าตนต้องการเช่นนั้น “ไม่ใช่รังเกียจหรืออะไร แต่พ่อเข้าใจผมใช่ไหม?”

          “เข้าใจ…” พ่อพยักหน้า “แต่บ้านใหม่มันมีพื้นที่พอสมควร คงจะเลี้ยงหมาอะไรอย่างที่แกอยากเลี้ยงมาตลอดได้ ในบริเวณบ้านก็มีบ้านหลังเล็กอีกหลัง แกไม่ต้องอยู่บ้านหลังเดียวกับพ่อก็ได้ถ้าต้องการความเป็นส่วนตัว”

          “ถ้าแค่แวะไปสุดสัปดาห์ก็คงได้อยู่มั้งครับ” จอสเริ่มเอนเอียงตามคำชวนเชื่อ

          “แล้วแต่เถอะ พ่อต้อนรับแกตลอดนั่นแหละ” พ่อให้เวลาจอสปรับตัวเพราะรู้ดีว่าทุกอย่างค่อนข้างฉุกละหุก

          หลังหมดธุระทั้งสองยังนั่งคุยกันต่ออยู่อีกครู่หนึ่งก่อนที่จอสจะทนถ่างเปลือกตาที่หนักอึ้งให้ตื่นต่อไปไม่ไหวต้องขอตัวไปนอนพักผ่อน และเมื่อตื่นมาอีกครั้งในตอนเช้าเขาก็พบว่าความว่างเปล่าได้กลับมาอีกครั้งเมื่อพ่อได้ออกเดินทางไปกลับไปสู่ชีวิตอันแสนวุ่นวายตามเดิมตั้งแต่ช่วงเช้ามืดที่เขายังไม่ลุกจากเตียง หากทว่าในครั้งนี้มีบางสิ่งที่ต่างออกไปจากที่เคย เพราะจอสรู้ดีว่าบางสิ่งได้เปลี่ยนไปแล้ว แม้จะไม่ใช่ในรูปแบบที่ต้องการร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่คำว่าครอบครัวกำลังจะกลับเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตอีกครั้ง แน่นอนว่ามันย่อมมาพร้อมกับการปรับตัวขนานใหญ่ แต่เวลาก็คงจะช่วยให้ทุกอย่างลงตัวได้เอง จอสเชื่อเช่นนั้น


To be continued...


ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3360
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2
 :pig4: :pig4: :pig4:

โถ...มีอาการทางจิตทั้งพ่อทั้งลูกเลยนะ   

สงสัยคงถ่ายทอดทางพันธุกรรมได้

ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4805
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
รอวันที่จอสพาวินทร์ไปแนะนำตัวกับพ่อนะ  :กอด1:

ออฟไลน์ nunda

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3004
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-2
ขอให้มีแต่สิ่งดีๆนะ ^^

ออฟไลน์ วายซ่า

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2224
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +205/-6
รีบกลับไปหาพี่วินทร์เลยจอส คงต้องง้องอนกันอีกนิดหน่อย

ดีที่จอสได้เจอพ่อ ได้เปิดใจคุยกันบ้าง เป็นการเริ่มต้นที่ดี

ออฟไลน์ puiiz

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +135/-4

ออฟไลน์ sangzaja122

  • บึนปากให้ทุกๆอย่าง
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 95
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด