STEP 01
เดี๋ยวนี้พอมองซ้ายก็เจอแท็กซี่ มองขวาก็เจอแท็กซี่ เรียกว่ารถยนต์กว่าครึ่งบนท้องถนนคือรถแท็กซี่ ผมเองก็กำลังนั่งอยู่บนรถแท็กซี่ (แล้วจะบ่นเพื่อ?) พอลงมาจากรถก็แหงนมองคอนโดหรูที่อยู่บนถนนสุขุมวิทด้วยอาการตกตะลึง หรูฉิบ ก็เล่นอยู่บนย่านที่อยู่อาศัยของคนมีเงินเลยนี่ แถมยังเป็นถนนเส้นที่รถติดบรรลัยอีกต่างหาก
อันที่จริง ถึงคุณแม่จะสั่งงดค่าขนมของผม ส่งเสียแต่ค่าเล่าเรียน แต่ผมก็ยังเหลือคอนโดหนึ่งห้องสำหรับซุกหัวนอน กับรถกระป๋องสี่ล้อสำหรับคอยขับรับส่งสาว แต่วันนี้ผมเลือกที่จะนั่งแท็กซี่มาแทนครับ เหตุผลน่ะเหรอ...
แหม...มาทำงานนะครับ ขืนเกินหน้าเกินตาเจ้านาย เดี๋ยวจะถูกเขม่นเอาครับ แล้วอย่างผมก็ต้องมาแบบมาดเซอร์ เน้นความสมถะนะครับ ผมเลยแต่งตัวแบบเรียบง่าย แต่ดูดี สวมเสื้อยืดสกรีนลายที่ดูมาดแมนเข้ากับกางเกงยีนส์ฟอก ที่ดูท่าคนขายมันคงฟอกจนลืม สีสว่างเชียวครับ ล่างสุดก็คือรองเท้าหุ้มส้นคู่เก่งของผม ที่อดีตเคยเป็นสีขาว แต่ปัจจุบันเริ่มออกเหลืองปนน้ำตาล เพราะลุยมานักต่อนัก
คอนโดที่นี่ระบบรักษาความปลอดภัยดีเยี่ยมสมราคา พอผมเข้ามาก็เจอประชาสัมพันธ์ก่อน พี่สาวประชาสัมพันธ์รีบส่งยิ้มหวานมาหาผม เป็นเชิงบอกว่า...มาหาพี่ซิคะ ผมก็รีบทำตามทันทีครับ
“สวัสดีค่ะ มาติดต่อเรื่องอะไรคะ”
“มาหาเพื่อนครับ” ผมตอบแล้วก็ล้วงเอาเศษกระดาษยับยู่ยี่ออกมาจากกระเป๋ากางเกง
“ขอทราบชื่อและหมายเลขห้องที่มาติดต่อด้วยนะคะ”
“คุณภีศเดช ดิเรกรุจน์ ห้อง1704ครับ”
พอผมบอกเสร็จ พี่สาวคนสวยก็ก้มหน้าก้มตาคีย์ข้อมูลลงคอมพิวเตอร์ พอเห็นว่าข้อมูลที่ผมบอกตรงกับฐานข้อมูลของคอนโดก็ยิ้ม แล้วก็ตามสเต็ปเลยครับ
“รบกวนแลกบัตรด้วยนะคะ”
“นี่ครับ...” ผมวางบัตรประชาชนที่นับวันรอมันหมดอายุลงบนเคาน์เตอร์
เห็นรูปบัตรประชาชนตัวเอง แล้วก็อยากจะเอามือปิดด้วยความอาย หัวเกรียนเชียวครับผม ถ่ายออกมาหน้าตาแลดูละม้ายคล้ายแรงงานต่างด้าวอีกต่างหาก แต่เท่าที่พิสูจน์ของคนอื่นมาหลายคนก็พบว่า...ส่วนมากมีสภาพเดียวกันครับ ผมคอนเฟิร์ม รูปถ่ายบัตรประชาชนทำร้ายตัวจริงมานักต่อนักแล้ว
“นี่คีย์การ์ดสำหรับเข้าลิฟต์นะคะ ลิฟต์จะจอดเฉพาะชั้นที่แจ้งนะคะ”
“ครับ ขอบคุณนะครับ”
บอกขอบคุณพี่สาวเสร็จ ผมก็คว้าคีย์การ์ดแล้วเดินออกมา ระบบรักษาความปลอดภัยของที่นี่สมกับความหรูของคอนโด ชนิดที่ว่าคอนโดที่ผมอยู่ชิดซ้ายเลย แม้กระทั่งตอนที่ผมเดินออกมา พี่สาวคนสวยก็กำลังยกหูโทรศัพท์เตรียมโทรแจ้งเจ้าของห้องว่ามีคนมาพบอยู่พอดี นี่ผมมาทำงานนะครับ นึกว่าผมมาปล้นเหรอ สกรีนกันหลายรอบเหลือเกิน
แต่พอก้มลงมองสภาพของตัวเองแล้วเทียบกับสภาพแวดล้อมรอบข้าง ก็อยากขอเปลี่ยนคำพูดที่ว่ามาดเซอร์มาเป็นมาดซอมซ่อแทน เกือบละ...เกือบเหมือนแรงงานต่างด้าวเลย ขอชะลอมกับย่ามหน่อยครับ รับรองเป๊ะเลย!
พอก้าวเท้าออกมาจากลิฟต์ ผมก็ต้องอึ้งอีกรอบ ก็ลองมาดูซิครับ คอนโดออกจะหรู แต่อยู่กันแค่สี่ห้องเนี่ยนะ!! ท่าทางจะรักสันโดษกันน่าดู หรือว่าความจริงแล้วมนุษยสัมพันธ์ติดลบกันแน่เนี่ย
ผมมองหมายเลขห้องไล่มาจากห้องแรก 1701 1702 1703 1704
นี่ผมมาทำงานกับอาร์ตตัวพ่อเหรอเนี่ย อยู่ซะห้องริมสุดเลยนะ ห้องก็ห่างจากลิฟต์ซะเหลือเกิน
เดินมาถึงห้องเป้าหมาย ผมก็กดออดทันที ยืนอยู่คนเดียวนี่ก็แอบเสียวสันหลังเหมือนกันนะ ถึงจะเป็นตอนกลางวันก็เถอะ
ติ๊งต่อง.....เงียบ
ติ๊งต่อง.....ก็ยังคงเงียบ
ติ๊ง...........ผัวะ!! อีกนิดเดียวครับ อีกนิดเดียวประตูห้องจะกระแทกหน้าผมแหกแล้วครับ
“เห้ย! กดทีเดียวก็รู้แล้ว ยืนรอหน่อยมันจะตายเหรอวะ”เอิ่ม...ณ จุดนี้ ถึงกับอึ้งแดกเลยครับผม เมื่อผู้ชายที่คาดว่าน่าจะเป็นเจ้าของห้องเปิดประตูผัวะออกมา หน้าตากับหุ่นนี่เป๊ะยังกับหนุ่มคลีโอมาเอง แต่ปากนี่...กินเพ็ดดิกรีเป็นอาหารเหรอครับพี่ แค่กดออดหลายทีก็ผิดแล้ว ดุฉิบ!!
“ผม...” ผมอ้าปากเตรียมตัวจะพูด แต่อีกคนก็รีบแย่งพูดทันที ถ้าอยู่คนเดียวมันเหงาปากมาก วันหลังก็เคาะเรียกเพื่อนข้างห้องมาคุยด้วยนะ
“ฉันรู้แล้วว่านายเป็นเพื่อนของเวย์ ชื่อแอล ชื่อจริงว่าวีรินทร์ จะมาทำงานเป็นพ่อบ้าน”
นี่มันคิดว่าตัวเองเป็นทะเบียนราษฎร์เหรอ รู้ลึก รู้จริง รู้ทุกสิ่งทุกอย่าง พูดเสร็จก็กวาดสายตามองผมอย่างสำรวจ สภาพผมมันซอมซ่อนี่ แต่อย่ามาดูถูกกันเด็ดขาด ถึงแม้ว่าผมจะเป็นลูกผู้ชายตัวจริง แต่ผมนั่งยันนอนยันเลยนะว่า ผมเนี่ยผ่านหลักสูตรงานบ้านงานเรือนมาจากคุณยายของผมมาแล้ว
“นี่เราจะยืนคุยกันหน้าห้องเหรอครับ”
เพิ่งพบกันต้องสุภาพก่อนครับ เก็บสันดานเดิมของตัวเองเข้ากระเป๋าอย่างมิดชิด เพราะดูแล้วอีกฝ่ายน่าจะอายุรุ่นราวคราวเดียวกับผม ถึงจะมากกว่า ก็น่าจะแค่ปีสองปี แต่ที่สำคัญก็คือ...
หล่อและหุ่นดีแบบหนุ่มคลีโอ ปากหมาแบบโดเบอร์แมน คือนายจ้าง คือคนจ่ายเงิน ห้ามหลุดเด็ดขาดเลยนะครับแอล เพื่อปากท้องและเพื่อความอยู่รอดของตัวเอง ต้องสุภาพอย่างเดียวครับ
“เออ...โทษที เข้ามาก่อนสิ” ขอโทษแบบขอไปที แล้วก็เบี่ยงตัวเล็กน้อย ผลลัพธ์คือ...ผมก็ต้องเดินเบียดไหล่หมอนี่เข้าห้องมาน่ะสิ แล้วจะยิ้มกริ่มเพื่อ? อยู่คนเดียวจนเพี้ยนเหรอวะครับ??
ผมเดินนำหน้าเข้ามาก่อนแล้วก็ต้องชะงัก ห้องแม่งอย่างหรู แค่ขนาดห้องก็ต่างจากของผมลิบลับแล้ว ก็รู้อยู่ว่าบ้านเวย์ก็รวยพอสมควร แต่ระดับญาติมันนี่คงเป็นคุณชายแล้วล่ะ ถึงเวย์จะบอกว่าญาติมันอยู่คนเดียว แต่สาบานเถอะว่าอยู่คนเดียว อยู่กับลูกเมียก็บอกกันมาตามตรงดีกว่า ก็ดูห้องที่อยู่สิ นี่มันขนาดสองห้องนอน สองห้องน้ำ หนึ่งห้องครัว และหนึ่งห้องนั่งเล่นเลยนะครับ
“ฉันชื่อภีศเดช ชื่อเล่นชื่อเภา อายุยี่สิบเอ็ดปี เป็นญาติผู้พี่ของเวย์”
“ผมชื่อวีรินทร์ครับ ชื่อเล่นชื่อแอล อายุเท่ากับเวย์ แล้วก็เป็นเพื่อนสนิทของเวย์ด้วย” ผมลอกแพทเทิร์นการแนะนำตัวมันมาเลย คุณชายมันหรี่ตามองผมเล็กน้อย ก่อนจะพูดต่อ
“ประวัตินายน่ะฉันรู้อยู่แล้ว มาพูดถึงหน้าที่ของนายกันดีกว่า”
แล้วคุณชายมันก็หยิบสมุดจดขนาดเท่าฝ่ามือออกมา เห็นมีตัวหนังสือเขียนขยุกขยุย พอคุณชายมันเริ่มร่ายรายการที่ดูแล้วคงจะเขียนเอง ผมก็อ้าปากค้างเลย
“หน้าที่ของนายคือทำงานบ้าน ปัดกวาดเช็ดถู แล้วก็ทำความสะอาด”
“ฉันมีเครื่องซักผ้าอยู่ตรงลานซักล้างริมระเบียง นายก็ต้องคอยซักรีดเสื้อผ้าฉันด้วย”
“สุดท้าย...นายมีหน้าที่คอยทำอาหารเย็น ตอนเช้าฉันกินแค่กาแฟถ้วยเดียว ส่วนกลางวัน ปกติจะกินข้างนอก เรื่องเงินก็ตามที่นายบอกเวย์มานั่นแหล่ะ ฉันตกลง”
เฮ้ย!!...ไหนเวย์มันบอกผมว่าทำงานบ้านนิดหน่อยกับทำอาหาร แต่เท่าที่ฟังมานี่ ผมต้องทำทุกอย่างเลยนะครับ เรียกว่าบริการครบวงจรกันเลยทีเดียว ถึงเงินจะดี แต่ถ้าทำคนเดียว ก็ต้องบอกเลยว่างานแอบหนักนะเนี่ย เห็นผมทำเป็นเงียบหน่อย คุณชายเลยรีบกระตุ้น
“นายตกลงหรือเปล่า?”
“ปกติแม่บ้านคนก่อนที่คุณจ้างมาทำหมดนี่เลยเหรอครับ” ผมถามกลับด้วยความสงสัย คำตอบคือการส่ายหน้า ก่อนจะเฉลยว่า...
“มีนายเป็นคนแรกเลย ที่ต้องทำทุกอย่าง ปกติฉันจ้างแม่บ้านมาทำความสะอาดห้องทุกวันอาทิตย์”
“แล้วเสื้อผ้าที่ต้องซักรีด?”
“เมื่อก่อนฉันส่งร้านซักรีดที่อยู่ข้างล่างคอนโดมิเนียม แต่นี่ฉันเพิ่งซื้อเครื่องซักผ้ากับเตารีดมาเอง”
มึงลงทุนมากครับ คุณชาย อย่าบอกนะว่าซื้อมาเพื่อผม
“แล้วอาหารเย็นของคุณล่ะ?”
“เมื่อก่อนฉันก็กินข้างนอกบ้าง หรือบางทีก็โทรศัพท์สั่งบ้างแล้วแต่อารมณ์ มีคำถามอีกหรือเปล่า”
ผมสูดลมหายใจเข้าเต็มปอด ก่อนจะเอ่ยคำถามสุดท้าย
“แล้วผมต้องเริ่มทำงานวันไหนครับ”
“เดี๋ยวนี้เลย”
.
.
นึกว่าจะแค่มาทำความรู้จัก คุยเรื่องหน้าที่ที่ผมต้องทำ เสร็จแล้วผมก็จะกลับมานอนผึ่งพุงที่ห้อง ดันกลายเป็นว่าผมต้องมาเริ่มทำงานเลย คุณชายเจ้าของห้องก็แสนดี ปล่อยผมเดินสำรวจทุกซอกทุกมุมตามสบาย ส่วนตัวเองก็นั่งกระดิกเท้าดูทีวีอยู่ตรงโซฟา สบายจริงนะครับพี่
ห้องพักของคุณชายเขาตกแต่งเป็นสไตล์โมเดิร์น เน้นสีขาวดำ อย่างหรูเลย ผมเห็นแล้วอยากจะแหกปากร้องด้วยความอิจฉา มีเครื่องซักผ้า ที่คุณชายเขาบอกว่าเพิ่งซื้อมา วางอยู่ติดกับลานซักล้างตรงระเบียง ระเบียงก็กว้างขวาง น่าออกมานั่งดูวิวกรุงเทพฯตอนกลางคืน แล้วก็จิบเบียร์วุ้นมาก...เอิ่ม ชักจะเพ้อแล้ว กลับมาก่อน
พอเดินเข้ามาที่ห้องครัว ผมก็ต้องอ้าปากค้าง จากสายตาของคนที่ทำอาหารเป็น มองปราดเดียวก็รู้ทันทีครับ เครื่องครัวนี่มีแบบครบชุด แถมอุปกรณ์ก็เป็นอย่างดีหมด จะเปิดร้านอาหารเหรอครับพี่? แต่ทุกอย่างก็แลดูสะอาดเอี่ยมอ่อง เหมือนแค่เอามาประดับห้องครัวเล่น ดูจากสภาพแล้ว คุณชายเขาคงจะพึ่งแต่ไมโครเวฟอย่างเดียว แต่ท่านเจ้าของห้องครับ แล้วท่านจะมีอุปกรณ์ทำครัวครบชุดเพื่อ?
“หิวแล้ว...” ประโยคบอกเล่าที่บังเอิญเข้าหูผม ดึงผมออกจากความคิดของตัวเอง แต่บอกผมเพื่อ?
“.....” ผมก็เลยเงียบ เพราะเหมือนที่พูดมาจะเป็นประโยคบอกเล่า
“ทำอาหารสิ” ส่วนนี่คือประโยคคำสั่ง ผมเหลือบตาดูนาฬิกาแขวนผนัง ก่อนจะเอ่ยท้วง
“อ้าว...ผมต้องทำแค่อาหารเย็นนี่นา” ผมทวนหน้าที่ของตัวเอง
“ฉันเป็นเจ้านาย เป็นคนจ่ายเงินเดือนนาย นายต้องทำตามที่ฉันสั่งสิ”
เออ! กูลืมครับ ว่ามึงเป็นเจ้านาย เป็นคนจ่ายเงินเดือน ความจริงบอกหน้าที่มาว่า ทำทุกอย่างที่สั่งก็จบ นี่แหล่ะ...ชีวิตลูกจ้างของผมที่กำลังจะเริ่มต้น
“นายทำอะไรเป็นบ้าง” พอพูดถึงเรื่องทำอาหาร คุณชายเขาตาเป็นประกายทันที
“ต้องดูก่อนว่ามีของสดอะไรบ้าง” ผมพยายามตอบเป็นกลางเอาไว้ก่อน เกิดคุณชายมันบ้า สั่งผมทำหูฉลาม ผัดเป๋าฮื้อ ขาห่านตุ๋นน้ำแดง นี่มีเหวี่ยงกันนะครับ
ผมเดินมาเปิดตู้เย็นขนาดสามประตู ที่ใหญ่โคตรบิดามารดาตู้เย็นเลยครับ อยากจะถามอีกรอบว่า...อยู่คนเดียวจริงเหรอ ผมเปิดมาด้วยความคาดหวัง ว่าน่าจะมีของสดอยู่บ้าง อย่างน้อยก็ควรจะมีไข่ วัตถุดิบสามัญประจำบ้าน แต่สิ่งที่คิดกับความจริงที่เห็นมันสวนทางกันอย่างสิ้นเชิงครับ
ผ่างงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงง...เหยด!! กินอะไรกันดีครับพี่น้อง ไฮเนเก้นราดข้าว อาซาฮีตุ๋นน้ำแดง หรือว่าแกงเขียวหวานลีโอดีครับ??บ้านเป็นโรงกลั่นสุราเหรอครับ เปิดมานี่เจอเบียร์เกือบครบทุกสัญชาติเลยนะ พี่สิงห์พี่ช้างอยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตาเชียว ยังดีที่มีน้ำเปล่ากับช็อคโกแลตติดตู้เย็นอยู่อีกนิดหน่อย แต่ของสดล่ะ...ของสดอยู่ไหน?
“เอ้า...ตกลงจะทำอะไรกิน” นี่ก็เร่งจังครับ ช่วยเดินมาแล้วแหกตาดูตู้เย็นตัวเองหน่อยเถอะ หิวมากก็แทะตู้เย็นเล่นก่อนละกัน
ผมเบือนหน้ากลับมามองคนถาม ที่ยังนั่งกระดิกเท้าดูทีวีอยู่บนโซฟา สายตาที่มองมาที่ผมนี่พราวระยับ เดี๋ยวพ่อจับไฮเนเก้นกรอกปากเลยนี่ รู้อยู่แล้วว่าตู้เย็นตัวเองมีอะไรบ้าง ยังกล้าเรียกผมทำอาหารอีกนะ กวนตีนหว่ะ...
“ผมทำไม่ได้ครับ”
“ก็ว่าแล้ว ว่าอย่างนายเนี่ยนะจะมาเป็นพ่อบ้าน นี่สงสัยฉันโดนเจ้าเวย์มันหลอกแน่ บรรยายสรรพคุณนายซะจนฉันทึ่ง ที่แท้ก็...” คุณชายมันพูดแล้วก็ปรายตามองผมเหมือนจะหยามกัน
เชี่ย! โคตรดูถูก!! อาหารน่ะผมทำได้แน่ ขอแค่มีอุปกรณ์และเครื่องปรุงพร้อม แต่ตู้เย็นที่มีแต่เบียร์ น้ำเปล่า และช็อคโกแลต จะทำอะไรกินกันดีล่ะครับเจ้านาย?
เดี๋ยวปั๊ดเอาช็อคโกแลตแช่เบียร์มาเสิร์ฟเลยนิ พอกินเสร็จก็เอาน้ำเปล่าล้างคอซะ คงอร่อยพิลึก
เห็นแล้วก็นึกหมั่นไส้ญาติของเพื่อนรักผมขึ้นมาทันที คิดว่าตัวเองเป็นคุณชายแล้วคนอื่นต้องยอมเหรอ ผมล่ะอยากจะเถียงกลับ แต่...ผมก็ต้องยอมครับ ก็มันเป็นจ่ายเงินเดือนผมนี่ รู้ซึ้งถึงหัวอกลูกจ้างทันที
“ทำน่ะมันทำได้ครับ ถ้าคุณจะมีของสดติดตู้เย็นบ้าง”
“อ้าว...ก็ฉันไม่เคยทำอาหาร แล้วตกลงนายจะเอายังไงล่ะ”
สารภาพบาปออกมาแล้วสินะ ก็ว่าแล้วว่าทำไมห้องครัวมันถึงสะอาดเอี่ยมอ่องเหมือนเพิ่งย้ายเข้ามาอยู่ เจ้าของห้องมันคงเคยแต่กดปุ่มไมโครเวฟล่ะสิ
“คิดนานหว่ะ เอาเป็นว่าสั่งพิซซ่ามากินละกัน พอกินเสร็จแล้วค่อยออกไปซื้อของกัน”
ผมก็พยักหน้ารับ เพราะกระผมมันก็เป็นแค่ลูกจ้างนี่ครับ ก็ต้องยอมตามเจ้านายอยู่แล้ว ถือคติพจน์ที่ว่า...
ได้ครับท่าน ดีครับผม เหมาะสมทุกประการครับเจ้านาย
.
.
หลังจากสวาปามพิซซ่าเรียบร้อยจนพุงกาง ผมก็ถูกลากขึ้นรถเบนซ์สปอร์ตสีดำคันหรู ที่ปกติเคยแต่มองตามตาละห้อย แต่วันนี้ได้มานั่งเป็นตุ๊กตาหน้ารถเลยครับ แล้วคุณชายเขาก็บึ่งออกมาห้างหรูบนถนนสุขุมวิท ที่ปกติคนอื่นเขามาซื้อสินค้าแบรนด์เนมกัน แต่...ผมมาซื้อของสดที่นี่ครับ!!
“หยิบเอาตามสบายเลยนะ ฉันจ่ายเงินเอง” แหม...แล้วคิดว่าผมจะเป็นคนจ่ายเหรอครับ พูดซะตลกเชียวนะ คนยิ่งถังแตกอยู่
แล้วชายหนุ่มที่เพิ่งมีอาชีพเสริมเป็นพ่อบ้าน รองจากนักศึกษาอย่างผม ก็ต้องมาเข็นรถเข็นจ่ายตลาด อยู่ที่ซุปเปอร์มาร์เก็ตของห้างสรรพสินค้าสุดหรู เว่อร์ฉิบ!! วันหลังแวะตลาดสดหรือซุปเปอร์ข้างนอกเถอะ
พอเดินเข้ามาแล้วสั่งผมเรียบร้อย คุณชายเขาก็ปล่อยผมเดินเข็นรถเข็นเหมือนมาคนเดียว ส่วนตัวเองก็เลี้ยวเข้าแถวที่เป็นขนมขบเคี้ยวทันที ตกลงจุดประสงค์ที่แท้จริงคือมาซื้อขนมสินะ ส่วนของสดนี่เป็นของแถม
ผมเดินวนเวียนเข้าซ้ายออกขวาอยู่ตรงโซนของสด ของที่ขายที่นี่เป็นของที่คัดมาเรียบร้อยแล้ว คุณภาพดี แต่ราคาก็สูงตามจนผมต้องคิดหนัก เพราะถ้ายอมลงทุนแวะตลาดสดนี่ ราคาจะถูกกว่ากันครึ่งต่อครึ่งเลยทีเดียว แต่ช่างหัวมันเถอะ ไม่ใช่เงินผมนี่ ผมมันแค่ลูกจ้าง
คุณชายเขาก็แวะมาหาผมที่โซนของสดเป็นระยะ อย่านึกว่าเป็นห่วงหรือจะมาช่วยนะครับ แค่เอาขนมนมเนยมาหย่อนลงรถเข็นครับ เห็นปริมาณที่หยิบมาแล้วอยากจะถามเหลือเกินว่า...
มึงจะเปิดร้านขายขนมที่คอนโดเหรอครับ เยอะฉิบ!! เรื่องขนมน่ะช่างมันก่อนเถอะ แต่เรื่องที่สำคัญกว่าก็คืออาหารเย็นนั่นแหล่ะ หลังจากที่ผมสำรวจห้องครัวมาทุกซอกทุกมุมแล้ว สรุปว่า...
อุปกรณ์...พร้อมยิ่งกว่าภัตตาคารห้าดาว จะทำอาหารคาวหวานนี่พร้อมซะยิ่งกว่าพร้อม
แต่วัตถุดิบ...ขาดแคลนยิ่งกว่าตอนเกิดสงครามโลก ขนาดมาม่าซักซองยังไม่มีเลย คิดดูแล้วจากโซนของสด ผมเลยต้องอัปเปหิตัวเองมาเลือกเครื่องปรุง หยิบมันทุกอย่างเลยครับ มีกี่น้ำ ผมกวาดลงรถเข็นจนหมด น้ำมันพืชเอย น้ำมันหอยเอย น้ำปลาเอย ยิ่งกว่าเพิ่งย้ายเข้าบ้านกันอีกครับ และของที่สำคัญกว่าเพื่อนและห้ามลืมเด็ดขาดเลยก็คือ...ข้าวสาร!!
เสร็จแล้วก็แวะเข้าโซนของแห้งต่อ หยิบมาม่ามาหนึ่งห่อกันเหนียว หยิบซุปก้อนมาเผื่อจำเป็น หยิบไข่ไก่มาหนึ่งแพ็ค เอาซะเต็มคราบเลย แต่เหมือนผมจะลืมถามเจ้าของห้อง...
“ที่ห้องมีหม้อหุงข้าวใช่ไหมครับ?” ผมหันมาถามคนที่กำลังชะโงกมองรถเข็นด้วยสายตาอยากรู้อยากเห็น ทำสายตาตื่นเต้นเชียวนะ โคตรเด็กเลยหว่ะ
“พูดปกติเหมือนเวลาที่นายพูดกับเพื่อนก็ได้ ปกตินายก็ไม่ใช่คนสุภาพอยู่แล้วนี่”
ก่อนที่มึงจะกวนตีน รบกวนช่วยตอบคำถามก่อนดีกว่า ขอแบบกันเอง เดี๋ยวพ่อก็จัดกูมึงซะเลยนี่ เดี๋ยวมีหงายเงิบหรอก เจอของจริงแล้วจะหนาว
“ตกลงมีหม้อหุงข้าวหรือเปล่า?”
“มี แต่ไม่เคยหยิบออกมาใช้” อ๋อ...เป็นเฟอร์นิเจอร์ประดับห้องอีกอย่างหนึ่งนี่เอง
ผมก้มลงเช็คบรรดาของที่หยิบลงรถเข็น ก่อนจะเข็นออกมาต่อคิวเตรียมจ่ายเงิน คนที่ห่างมีดห่างครัวเหลือเกินก็ตามมาถามด้วยความสงสัยอีก
“ทำไมซื้อของสดแค่นิดเดียวเองล่ะ”
“ก็ทำแค่วันนี้เอง”
“อ้าว! แล้ววันอื่นล่ะ” ถามเสียงหลง หน้าตาตื่นเชียวนะ นี่ห่วงกินหรือกลัวผมอู้งานวะเนี่ยะ
“ปกติของสดเขาต้องซื้อกันวันต่อวันครับ ถ้าซื้อมาตุนแล้วมันจะสดเหรอ ถ้าจะเก็บ ก็เก็บแค่วันสองวันพอ อย่าเก็บนาน เพราะเดี๋ยวมันจะไม่สด พอเอามาทำอาหารก็ไม่อร่อย”
คุณชายเขาพยักหน้าเป็นเชิงรับรู้ ความรู้ใหม่เลยล่ะสิ แต่ยังไม่วายมีคำถามตามมาอีก
“แล้วตอนเย็นเราจะทำอะไรกินกันดีล่ะ?” ฟังดูแล้วมันคล้ายคำถามที่สามีถามภรรยาเลยแฮะ แต่ช่างมันเถอะ ผมอาจจะคิดเล็กคิดน้อยเอง
“ก็กะว่าจะทำข้าวผัดหมู กับเนื้อปลาเก๋าผัดพริกไทยดำ แพ้อาหารทะเลหรือเปล่า กินได้ใช่ไหม?”
“ถ้านายทำให้มันกินได้ ฉันก็กินได้”
แสรด...กวนตีนนะครับ เดี๋ยวปั๊ดแอบวางยาซะเลยนี่ ถ้าผมเผลอฆาตกรรมนายจ้างนี่ผิดหรือเปล่าครับ หรือผมจะฟ้องกรมแรงงานดีว่า...
นายจ้างแม่งกวนตีนหน้าตายครับ!!END STEP 01