<<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 80.......................................13/05/58
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 80.......................................13/05/58  (อ่าน 215662 ครั้ง)

ออฟไลน์ manutty

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 846
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +92/-0
ช่างเป็นบทอัศจรรย์ที่ทำให้  :heaven  มากกกกกกกกกกกกกกก ไม่ต้องโจ่งแจ้ง โจ๋งครึ่ม ก็ทำให้รู้สึกราวกับเห็นภาพว่า ทั้งคู่ทำอะไรกันบ้าง มันยิ่งกว่าอีกนะ ขอบอก  :haun4: เป็นนิยายที่ให้ความรู้สึกสวยงามทุกอย่าง ไม่ว่าจะอยู่ในสถานการณ์แบบไหน มันชัดเจนมากในความรู้สึก ไม่ค่อยได้อ่านนิยายจีนแบบนี้ หายาก นอกจากเป็นนิยายแปลที่ทำออกมาเป็นเล่ม ส่วนตัวชอบนะมันละมุนละไม แต่บทจะเครียด ดราม่า ก็ทำเอาอารมณ์ตามไปด้วย :hao5:  ยิ่งอ่านก็ยิ่งหลงรักพระมาตุลามากๆ ไม่แปลกใจทำไมฉีเซียงหยวนถึงรักเหลียนอันสุ่ยมากขนาดนี้ และเหลียนอันสุ่ยก็รักฉีเซียงหยวนมากเช่นกัน เป็นคู่รักที่ไม่ต้องอยู่ด้วยกันก็ให้ความรู้สึกว่าอยู่เคียงข้างกันตลอดเวลา  :-[

ออฟไลน์ KARMI

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 920
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +61/-2

ออฟไลน์ ReiSei

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1377
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +64/-5
ฮื้ออออ ชื่นใจจจจ ชื่นใจๆๆๆๆ ชื่นใจที่่สุดเลยรู้มั้ยคะะะ
ชอบความสัมพันธ์ของสองคนนี้จริง ๆ  คือเชื่อมั่นเชื่อใจแม้จะปรารถนารุนแรง ชอบๆๆ

ออฟไลน์ ratnalin

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 743
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +71/-2
ในที่สุดก็ได้หวานกันแล้ว คนอ่านมดไต่กันเลยทีเดียว
ฉี่เซียงหยวนนิสัยไม่ดี ตั้งกฏแล้วดันแหกเองซะงั้น :laugh:  แต่คนอ่านฟินมาก ให้อภัยค่ะ หุหุหุ

 :L2:  :กอด1:

ออฟไลน์ mm03

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 84
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-0
สนุกมากกกกกกกก
ปกติเราไม่ค่อยอ่านนิยายย้อนยุคค่ะ
แต่เรื่องนี้อ่านรวดเดียวเลย สนุกจนอยากรู้ว่าตอนต่อไปจะเป็นยังไง
เราชอบหมดเลยทั้งตอนดราม่า ตอนโรแมนติก ตอนชิงไหวชิงพริบ หรือมุขต่างๆ

ชอบเวลาที่บรรรยายถึงเหลียนอันสุ่ยในอิริยาบถแบบสบายๆ
อ่านแล้วรู้สึกถึงสเน่ห์อันเย้ายวนแบบไม่ต้องปรุงแต่งอะไรเลย
ส่วนฉีเซี่ยงหยวนขอบอกว่าท่านเจ้าเล่ห์มากกกกกก
ถึงจะมากด้วยเล่ห์เหลี่ยมแพรวพราวยังไงแต่ทั้งหมดที่ทำไปก็เพราะความรัก

บวกเป็ดเป็นกำลังใจให้นะคะ อยากอ่านตอนต่อไปแล้ววว >.<
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 29-12-2014 21:06:17 โดย mm03 »

ออฟไลน์ wind of autumn

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 88
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +93/-0
Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 71
«ตอบ #245 เมื่อ29-12-2014 23:30:16 »

บทที่ 71 รสชาติของการรอคอย

ฟากฟ้าลมพอเหมาะแดดแรง  ทว่าไม่ว่าฟ้าจะสีเจิดจ้าปานใดหัวใจของทุกคนในค่ายทหารล้วนจดจ่ออยู่กับเรื่องเพียงหนึ่งเดียว  นั่นคือพ่ายแพ้หรือชนะ
หลังดำเนินแผนไปมากมายเพื่อสร้างความได้เปรียบ  และหลบหลีกหูตาของฝ่ายตรงข้ามเป็นผลสำเร็จ  หน่วยทัพในค่ายก็ถูกยกออกไปเต็มอัตราศึก  ทีละหน่วย  ทีละหน่วย

ไม่มีใครรู้ว่าทหารหลายหน่วยนั้นจากไปที่ไหนบ้าง ทหารแต่ละคนเพียงทราบที่ๆตัวเองจะไปและหน้าที่ๆตัวเองต้องทำ  คงมีเพียงชนชั้นแม่ทัพที่ได้ทราบภาพรวมของสงครามทั้งหมด

เหลียนอันสุ่ยเห็นทหารราบเดินทางออกไปก่อน
หลายชั่วยามผ่านไปทหารม้าก็สวมเกราะขึ้นม้ายกออกจากค่ายไป 
ช่วงถัดมาทัพหนุนอีกทัพก็ยกตามไปอีก
ยามเช้าล่วงเข้ายามบ่าย  ทัพอีกสี่หน่วยพร้อมเครื่องยิงหินและอุปกรณ์บุกตีเมืองก็เคลื่อนออกจากค่าย  ทว่าทิศทางกลับอยู่ตรงกันข้ามกับทัพที่ยกออกไปเมื่อเช้า

ทหารในค่ายเหลือเพียงบางเบา  แต่ละคนสีหน้ากระสับกระส่าย  เงี่ยหูรอฟังข่าวการศึก

แดดแรงยามเช้าแรงขึ้นในช่วงบ่ายและอ่อนกำลังลงในตอนเย็น  ท้องฟ้ายังคงฟ้าจัดราวกำลังเสียดสี  เพราะวันนี้ท้องฟ้าจริงๆมิได้สีน้ำเงินคราม  แต่เป็นสีแดง...สีแดงของโลหิต

ประตูค่ายยังคงปิดสนิท ข่าวคราวที่ชัดเจนยังคงมิได้ถูกแจ้งมา  ...นี่คือรสชาติของการรอคอย
---------------------
กิ่งใบของต้นไม้ปกปิดร่องรอยผู้คน  ทัพซุ่มทั้งสองฟากซ่อนตัวเงียบเชียบ  มองหน่วยทัพของแคว้นหนานเหมินค่อยๆเคลื่อนผ่านไป 
“นี่ทัพของเฮ่อสวินจะพ้นช่วงที่เราดักซุ่มไปแล้วนะ  ทำไมพวกมือธนูยังไม่ลงมืออีก” นายกองผู้หนึ่งหันไปถามฝงเป่า  ความหมายของเขาคือหากฝ่ายนู้นยังไม่ลงมือฝ่ายเราใช่สมควรลงมือก่อนเพื่อมิให้สายเกินการณ์หรือไม่
แต่ฝงเป่ากลับส่งสัญญาณห้ามทั้งหมดมิให้เคลื่อนไหว 
“เถอะน่า  เรื่องแบบนี้เจ้าเด็กแซ่มู่มันไม่พลาดหรอก  คงหาจังหวะเหมาะๆอยู่  หาได้แล้วเดี๋ยวก็เปิดฉากยิงเอง”

ดวงตาหลายพันคู่จึงจับตามองต่อไปด้วยความกระสับกระส่ายว่าเหยื่อจะหลุดออกจากคันเบ็ด...นี่ก็คือรสชาติของการรอคอย

คอยอยู่ไม่นานนักเรื่องก็เป็นดังคาด  พลธนูในสังกัดมู่ซางเปิดฉากสาดฝนธนูเต็มท้องฟ้า 

ความเงียบกริบถูกฉีกทำลายลงโดยพลัน
---------------------
เวลาค่อยๆขยับผ่านไปอย่างเชื่องช้า  ท้องฟ้าล่วงเข้ายามใกล้พลบ  สีชมพูแดงกลืนกินสีน้ำเงินทั้งผืนไปจนสิ้น 

ค่ายทหารที่เงียบสงบถูกพลิกสภาพเช่นเดียวกับแผ่นฟ้า  ประตูค่ายเปิดกว้าง  หน่วยทัพต่างๆและการลำเลียงทหารบาดเจ็บทะลักเข้ามาไม่ขาดสาย  ผู้บาดเจ็บสำคัญรายแรกถูกบรรทุกมาบนหลังม้าส่งถึงโรงหมอตั้งแต่หนึ่งชั่วยามก่อน  ผู้บาดเจ็บผู้นี้คือฝงเป่า  ฝงเป่ามีธนูปักเต็มหลัง  แต่กลับมีสีหน้าอารมณ์เบิกบาน  เพราะในที่สุดแม่ทัพใหญ่เฮ่อสวินของแคว้นหนานเหมินก็สิ้นชื่อใต้เงื้อมมือเขา
สงครามครั้งนี้เป็นแผนซ้อนแผนที่เปิดฉากเกี่ยวโยงกับทัพฝั่งหยงเซี่ย  หนึ่งในเมืองที่หยงเซี่ยเฝ้ารักษามีการซ่องสุมภายในเมืองหวังก่อกบฏ  การยอมจำนนเป็นเพียงการเอาตัวรอดจากสถานการณ์เฉพาะหน้า  แท้จริงกลับลอบติดต่อกับเฮ่อสวินหาหนทางลุกฮือขับไล่ทหารต่างแคว้นออกจากเมืองมาโดยตลอด  โชคดีที่หยงเซี่ยจับตาดูใกล้ชิด  การติดต่อลับๆนี้ไม่อาจรอดพ้นไปจากสายตาของเขา  แคว้นเป่ยชางจึงดำเนินแผนซ้อนทับอีกชั้นหนึ่ง อาศัยการยกทัพมาช่วยกอบกู้เมืองของเฮ่อสวินชักนำขุนพลใหญ่ผู้นี้มาติดกับ

อำนาจในแคว้นหนานเหมินสลับซับซ้อน  เมืองหน้าด่านสำคัญที่เฮ่อสวินเฝ้ารักษาอยู่ในขณะนี้อำนาจการตัดสินใจมิได้อยู่ที่เขาคนเดียว  เมืองหน้าด่านเดิมเป็นเมืองที่หนานเหมินอ๋องมีบัญชาให้องค์ชายสามเฝ้ารักษาอยู่ก่อน  เฮ่อสวินสนิทสนมกับองค์ชายรองหลงอิ้งลึกลงไปแล้วจึงไม่ค่อยจะกลมเกลียวกับองค์ชายสามนัก  การยกทัพไปช่วยกอบกู้เมืองครั้งนี้องค์ชายสามเห็นว่าเสี่ยงเกินไป  ทุ่มเถียงเป็นเรื่องใหญ่โต 

เพราะความเห็นขัดแย้งกัน  เฮ่อสวินจึงสามารถต่อรองเอาทหารออกมาได้เพียงส่วนเดียวซึ่งเป็นส่วนที่ขึ้นตรงต่อเขามานานปี  น่าเสียดายที่แคว้นเป่ยชางจับตาดูอยู่ก่อนซ้ำการทุ่มเถียงครั้งนี้ยังไม่เงียบเลยเส้นทางและช่วงเวลาในการเดินทัพของเฮ่อสวินจึงอยู่ในสายตาของเป่ยชางอ๋องมาโดยตลอด  ทัพที่ยกออกจากค่ายของทัพเป่ยชางในช่วงเช้าจุดประสงค์คือดักซุ่มระหว่างทางจัดการเสียให้เรียบ 
เฮ่อสวินเจอทัพดักซุ่มไม่ทันตั้งตัว ถูกห่าธนูระดมยิง  ปะทะศัตรูเหยียบห้าหมื่น  ต้องแตกพ่ายไม่เป็นขบวน  ฝงเป่ารับหน้าที่เคลื่อนทัพอุดทางถอยของเฮ่อสวิน  จึงมีจังหวะที่ขุนพลทั้งสองต้องประมือกัน  เฮ่อสวินทราบว่าอีกฝ่ายยังหนุ่มกว่า  เรี่ยวแรงมากกว่า  ไม่คิดประมือนาน จังหวะชักม้าหลบจึงถูกฝงเป่าฟันใส่ถนัดถนี่บาดเจ็บสาหัส  ทัพหนานเหมินรวนถึงขีดสุดคิดเพียงหลบหนีถ่ายเดียวไม่คิดสู้อีก

ทัพที่แตกพ่ายของเฮ่อสวินมิได้ถอยทัพกลับโดยสะดวก  แต่ถูกทัพม้าของแคว้นเป่ยชางติดตามไล่ฆ่าตลอดทาง  เฮ่อสวินเป็นแม่ทัพที่ดวงแข็งยิ่งคนหนึ่ง  ด้วยบารมีของเขาทำให้เหล่าทหารหนานเหมินที่ร่วมเป็นร่วมตายกับเขามานานปีทุ่มเทคุ้มครองด้วยชีวิตอย่างเหนียวแน่น  ในที่สุดสามารถคุ้มครองแม่ทัพเฮ่อสวินในสภาพเป็นตายเท่ากันเพราะเสียเลือดมากถึงหน้าประตูเมืองหน้าด่านที่องค์ชายสามเฝ้ารักษาอยู่

ทัพเฮ่อสวินสูญเสียจนเหลือรอดไม่กี่คน  ทัพม้าแคว้นเป่ยชางที่ยกติดตามมาระหว่างทางยังสมทบกับทหารอีกสี่หน่วยที่ยกออกจากค่ายในช่วงบ่ายไล่ตามบดขยี้กระชั้นชิด  องค์ชายสามเห็นศัตรูจำนวนมหาศาลลงความเห็นว่าต้องรักษาเมืองก่อนเป็นอันดับแรก  ตัดสินใจไม่เปิดประตูเมืองรับทหารฝ่ายเดียวกันที่บาดเจ็บเข้าเมือง  เกรงชักนำเอาศัตรูหลายหมื่นเข้าเมืองมาด้วย  มีเพียงมือธนูบนกำแพงเมืองที่พยายามยิงธนูช่วยต้านแทนพรรคพวกข้างล่างอย่างสุดความสามารถ

สถานการณ์ในตอนนี้ในที่สุดชีวิตของเฮ่อสวินก็ไม่มีประโยชน์อีกต่อไปแล้ว  ทหารม้าเป่ยชางทุกคนได้รับหนึ่งบัญชา...หาโอกาสปลิดชีวิตเฮ่อสวินให้จงได้!

เครื่องยิงหินทุ่มหินใส่กำแพงเมือง  ทหารม้าหันปลายหอกดาบไปทางศัตรูที่ถูกพวกเดียวกันกักไว้หน้าประตู  ลูกธนูจากทหารหนานเหมินดังเม็ดฝนมีคมที่ปลิวลงมาคร่าชีวิต  กดดันให้ทหารเป่ยชางไม่อาจคืบใกล้ได้  ในที่สุดฝงเป่าตัดสินใจชักม้าเสี่ยงออกไปซัดหนึ่งหอก  หอกนี้เสียบแม่ทัพใหญ่ผู้มีชื่อเสียงเกรียงไกรมานานหลายปีสิ้นชื่อคาที่  แต่ตัวฝงเป่าเองก็ถูกห่าธนูจากกำแพงเมืองระดมยิงล่าถอยแทบไม่ทัน

การยึดเมืองหน้าด่านไม่ได้ไม่ได้เกินความคาดหมาย  หลังข่มขู่แคว้นหนานเหมินจนกลัวหัวหดฉีเซี่ยงหยวนก็ออกคำสั่งให้ถอยทัพ

นี่คือหัวข้อสนทนาทั้งหมดที่กำลังถูกพูดถึงดังสับสนอยู่ทุกซอกทุกมุมของค่ายทหาร  ตัวละครที่ถูกพูดถึงมากที่สุดแน่นอนว่าคือฝงเป่าที่ขณะนี้นอนคว่ำหน้าหมดท่าในสภาพมีผ้าพันแผลเต็มแผ่นหลัง 

เดิมฝงเป่าเป็นแม่ทัพที่มีฝีมือเป็นอันดับต้นๆของในสังกัดฉีเซี่ยงหยวนตั้งแต่เป็นองค์ชายสี่อยู่แล้ว  ประลองฝีมือตัวต่อตัวไม่ว่าใครก็ยากจะเอาชัยแม่ทัพร่างใหญ่ผู้นี้ได้  การฆ่าเฮ่อสวินทำให้ชื่อเสียงของฝงเป่าทะยานขึ้นสูงอีกเท่าตัว

ในบรรดาพวกพ้องที่แวะมาดูอาการทั้งหมดนับมู่ซางปากเสียที่สุด  จับๆแผลอยู่ครู่หนึ่งก็เอ่ยขึ้นหน้าตาเฉยว่า

“ก็ไม่เป็นอะไรมากนี่  เห็นผู้อื่นตีโพยตีพายกันซะใหญ่โตเข้าใจว่าใกล้จะต้องหามลงโลงแล้วเสียอีก  เอาเป็นว่าอายุปูนนี้แล้วแผลเล็กน้อยอย่าทำใจเสาะ  ออกศึกคราวหน้าข้าจะเอาหัวคนที่สั่งระดมยิงมาให้  จะได้ชดใช้บุญคุณที่เคยติดค้างกันให้มันจบๆไป” พูดจบก็เดินออกจากห้องไปง่ายๆ จนคนบาดเจ็บชักจะสงสัยว่านี่มันตั้งใจจะมาดูแผลว่าตายรึเปล่าหรือตั้งใจจะมาแช่งเขากันแน่

“เด็กบ้าอะไรนิสัยบิดเบี้ยวสิ้นดี” ฝงเป่าพึมพำ  หลิวฉางเฟยที่ยืนกอดอกดูความวุ่นวายของโรงหมออยู่ข้างๆได้ยินก็กล่าวว่า
“นี่ยังมิใช่ฝีมือเจ้ากับต้าอ๋องช่วยกันสั่งสอนเลี้ยงดูมาหรอกหรือ”

ฝงเป่าจนด้วยถ้อยคำ  คำพูดของหลิวฉางเฟยทำให้ฝงเป่าย้อนคิดถึงตอนที่พวกเขาพบมู่ซางครั้งแรกท่ามกลางซากปรักหักพังของเมืองที่สมควรถูกเรียกเป็นเมืองร้างเพราะทุกชีวิตล้วนถูกประหารฆ่าสิ้น

ความจริงแล้วมู่ซางเป็นลูกชายเพียงคนเดียวของแม่ทัพที่รับตำแหน่งเจ้าเมืองเฝ้าเมืองชายแดนให้แก่แคว้นเป่ยชาง  มีเรื่องขัดแย้งสู้รบกับชนเผ่าดุร้ายอยู่เนืองๆ  ครั้งนั้นเพราะทัพช่วยเหลือเดินทางมาถึงช้าเมืองถูกตีแตกไปก่อนที่สังเวยคือชีวิตของทหารและชาวบ้านที่กลายเป็นเครื่องระบายความโกรธแค้น   บิดาของมู่ซางต่อสู้จนตัวตาย  ครอบครัวของมู่ซางไม่มีใครรอดชีวิต  ตอนพวกฉีเซี่ยงหยวนกับฝงเป่าไปถึงที่พบมีเพียงเด็กเก้าขวบที่เล็งธนูมาด้วยดวงตาหมายจะเอาชีวิต

‘เหตุใดไม่มาถึงซักปีหน้า  ให้ศพพวกนี้ถูกหิมะกลบฝังไปให้หมดเสียก่อนเล่า’

อันที่จริงดูเหมือนสิ่งที่ทักทายพวกเขาจะมิใช่คำพูดเสียดสีประโยคนี้  แต่เป็นธนูดอกหนึ่งที่พุ่งเฉียดหน้าเขาไปเส้นยาแดงผ่าแปด  ก่อนเจ้าของธนูโผล่หัวออกมาเล็งข่มขู่อย่างโจ่งแจ้ง  เหตุที่มู่ซางยังวนเวียนไม่จากไปเป็นเพราะอารักขาความปลอดภัยให้กับผู้หญิงกลุ่มหนึ่งซึ่งซ่อนตัวอยู่ใต้ซากเมืองที่โดนเผา  นับเป็นเรื่องน่าทึ่งที่เด็กเก้าขวบคนหนึ่งจะทำได้อย่างแท้จริง

มู่ซางเป็นเด็กหัวไว  เพราะเป็นลูกแม่ทัพจึงอ่านตำราพิชัยสงครามแต่เด็ก  ทั้งยังมีพรสวรรค์จนน่ากลัว  แต่กลับเป็นเด็กขวางโลกที่นิสัย...ไม่น่ารักเอาเสียเลย
ไม่รู้เหตุใดทั้งๆที่เจอกันครั้งแรกเป้าหมายที่ถูกเสียดสีด้วยความเกลียดชังจะเป็นฉีเซี่ยงหยวน  แต่คนที่มู่ซางยอมพูดคุยด้วยคนแรกกลับเป็นฉีเซี่ยงหยวนเช่นกัน  ฝงเป่าช่วยชีวิตเจ้าเด็กบ้านั่นหลายครั้งหลายหน  แต่คนถูกช่วยกลับไม่เคยทำตัวสำนึกบุญคุณ  มีแต่จะทำตัวน่าถีบขึ้นทุกวัน  กองทัพเป็นที่ๆไม่เหมาะสำหรับการเลี้ยงดูเด็กจริงๆเสียด้วย

ส่วนหลิวฉางเฟยกลับทราบดีกว่านั้นว่าสาเหตุที่มู่ซางยอมรับฉีเซี่ยงหยวนได้ง่ายดายกว่าคนอื่นเป็นเพราะพื้นฐานนิสัยที่ใกล้เคียงกัน  ฉีเซี่ยงหยวนอบรมสั่งสอนมู่ซางไม่สู้บอกว่าฉีเซี่ยงหยวนปลูกฝังนิสัยแย่ๆให้กับมู่ซางจะเหมาะกว่า  ส่วนใหญ่ที่สองคนนี้ร่วมมือกันไม่เห็นจะมีเรื่องดีซักเรื่อง 

มู่ซางคือคนที่ทั้งกองทัพยกให้เป็นขุมปัญญาและตัวปัญหา  แต่ฉีเซี่ยงหยวนคือคนที่ทั้งกองทัพไม่กล้าเรียกเป็น ‘ตัวปัญหา’ แต่ถ้าอยู่กันมานานพอก็ควรจะทราบว่าอะไรเป็นอะไร  ครั้งไหนที่ฉีเซี่ยงหยวนความเห็นสวนทางหรือเห็นว่าชักเกินไปก็จะปรามไว้  ส่วนอันไหนที่เห็นด้วย...หลิวฉางเฟยก็จะทราบว่าความวินาศของใครซักคนมาถึงแล้ว 

หลายวันถัดมามู่ซางเอาหัวทหารคนที่สั่งระดมยิงธนูมาให้จริงๆ  ส่งตรงมาพร้อมกับชามข้าวถึงโรงหมอ  เล่นเอาฝงเป่ากลืนข้าวไม่ลงไปอีกหลายวัน
---------------------
สถานการณ์ของกองทัพแคว้นเป่ยชางเป็นเช่นนี้  ส่วนสถานการณ์ของแคว้นหนานเหมินสาหัสกว่านั้น  เพราะทัพของเฮ่อสวินตายอย่างน่าอนาถเกินไป  องค์ชายสามจึงเจอกระแสต่อต้านไม่ฟังคำสั่งอย่างหนักจากเหล่าแม่ทัพนายกองที่สนิทสนมกับเฮ่อสวิน  ต่างบอกว่าเป็นความผิดของเขาที่ทำให้ทัพหนานเหมินสูญเสียแม่ทัพคนสำคัญ 

สุดท้ายองค์ชายสามทนแรงบีบไม่ไหว  ยกทัพส่วนหนึ่งกลับเมืองหลวง  เชื้อพระวงศ์ผิดใจกับเหล่าทหาร  ผลคือไม่อาจรักษาเมืองหน้าด่านเอาไว้ได้  ต่างฝ่ายต่างโทษว่าเป็นเพราะอีกฝ่ายหนึ่ง  ความขัดแย้งฝังลึกลงทุกทีจนยากจะเยียวยา

การสูญเสียแนวรับที่เมืองหน้าด่านไปทำให้ทัพเป่ยชางบุกเข้าใกล้เมืองหลวงของแคว้นหนานเหมินโดยง่ายดาย  เดือนร้อนถึงหนานเหมินอ๋องที่เกือบจะตีเมืองหลวงของแคว้นโหยวเฉิงอ๋องแตกอยู่รอมร่อ  ต้องรีบถอยทัพกลับกลางคัน

ฝ่ายแคว้นโหยวเฉิงตอนที่ได้ข่าวว่าแคว้นเป่ยชางโจมตีแคว้นหนานเหมินก็พยายามกัดฟันยันข้าศึกไว้เต็มที่  หวังให้หนานเหมินอ๋องล่าถอยกลับไปเอง  ทว่าหนานเหมินอ๋องพาลไม่ยอมถอนทัพ  ยันจนสุดจะยัน  ยันจนเกือบจะถึงแนวป้องกันสุดท้าย  ในที่สุดก็มีข่าวว่าทัพหนานเหมินเก็บของเตรียมถอนทัพแว่วมา  ยิ่งกว่าหยาดฝนหยดลงบนแผ่นดินแห้งแล้ง  องค์ชายสามแคว้นโหยวเฉิงยินดีแทบคลุ้มคลั่ง

ชาวโหยวเฉิงเบิกตามองทัพยิ่งใหญ่เกรียงไกรของหนานเหมินอ๋องล่าถอยกลับไปด้วยสีหน้าไม่ค่อยเชื่ออยู่บ้างว่ามันจะเกิดขึ้นจริง  ส่วนหนานเหมินอ๋องกลับทราบดีแก่ใจว่าเขาไม่มีปัญญาไม่ถอยทัพ  ข่าวแรกที่มาคือข่าวการตายของเฮ่อสวิน  ข่าวที่สองที่ตามมาคือข่าวเมืองหน้าด่านแตก  หากยังไม่ถอยอีกกระทั่งเมืองหลวงของตัวเองก็คงถูกแคว้นเป่ยชางยึดเอาไปด้วย

ทัพหนานเหมินเร่งเดินทางทั้งวันทั้งคืนเพื่อกลับมาแก้สถานการณ์ให้บ้านเกิด  ฉีเซี่ยงหยวนเห็นว่ากำลังหลักของแคว้นหนานเหมินโยกกลับมาหมดแล้ว  นับว่าสมควรแก่เวลาจึงสั่งถอนทัพ  ทว่าก่อนจากไปเป่ยชางอ๋องฉีเซี่ยงหยวนนอกจากจะยึดเมืองของแคว้นหนานเหมินไปได้หลายเมืองแล้วยังทิ้งของขวัญชิ้นใหญ่เอาไว้ให้แก่ศัตรูผู้ยิ่งใหญ่ของเขา  นั่นคือ...โรคระบาด

ปกติหลังเปิดฉากสมรภูมิไปแล้วก็ต้องมีพักรบเก็บกวาดกันบ้าง  ทว่าในการรบสองครั้งสุดท้าย  ฉีเซี่ยงหยวนกลับจงใจไม่ฝังไม่เผา  ทิ้งศพไว้เกลื่อน  เมื่อศพเริ่มเน่าโรคภัยจึงมาเยือน 

อันที่จริงโรคระบาดคือเงาตามตัวที่อยู่คู่กับสงครามเสมอ

ผู้จดบันทึกประวัติศาสตร์มักไม่ให้ความสนใจและไม่ลงบันทึก  ทว่าความสามารถในการทำลายล้างของมันกลับเหนือยิ่งกว่าใช้ทหารเป็นพันเป็นหมื่น

ครั้งนี้แคว้นหนานเหมินลงทุนไปมาก  และสูญเสียไปมหาศาล  เพราะการตัดสินใจถอนทัพที่ช้าเกินไปของหนานเหมินอ๋องและการเปิดศึกในช่วงเวลาที่ยังไม่สุกงอมพอ  โรคระบาดที่ตามมาซ้ำเติมในตำแหน่งใกล้เมืองหลวงทำให้แคว้นหนานเหมินต้องการการพักฟื้นระยะยาว

ทั้งหมดนี้ปูทางสู่ความตกต่ำของแว่นแคว้นที่เคยได้ชื่อว่ายิ่งใหญ่เกรียงไกรที่สุด

=========
ในที่สุดก็ได้เขียนถึงอดีตของเด็กแสบมู่ซาง
เห็นมีคนถามว่าคนแต่งเรียนอะไร  จริงๆเรียนคณะสายวิทย์นะ
แต่วิชาโปรดที่คะแนนดีมาโดยตลอดคือสังคมกับภาษาไทย555
ชอบประวัติศาสตร์เป็นพิเศษ  งงอยู่เหมือนกันว่าไหงมาเรียนคณะนี้  แต่มันก็สนุกดีและเหนื่อยดี

เอาเป็นว่าHNYค่ะทุกคนพบกันใหม่ปีหน้า :กอด1:

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 29-12-2014 23:38:30 โดย wind of autumn »

ออฟไลน์ j123

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 699
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +75/-1
คนเขียนยังเด็กอยู่เลย แต่เขียนนิยายได้สนุก ลึกซึ้งดี เก่งมากๆ เลยค่ะ  o15

ออฟไลน์ Alone Alone

  • ขอตายในอ้อมกอดฮยอกแจ
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 773
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +40/-0
สุดยอดทุกคนเลย อ่านแล้วขนลุก

มู่ซางไอ้เด็กแสบ น่าจะมีคนปราบพยศบ้างยะเนี่ย


ออฟไลน์ mm03

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 84
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-0
อีกตัวละครที่ชอบก็มู่ซางนี่แหละค่ะ
เก่งกล้าทั้งฝีมือและฝีปาก 555
ช่างเป็นตัวละครที่น่าถีบสักทีจริงๆ 55555

สวัสดีปีใหม่ค่าาา :'D
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 30-12-2014 11:42:29 โดย mm03 »

ออฟไลน์ manutty

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 846
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +92/-0
มู่ซางเป็นเด็กน่ารักจริงๆ แสบ แต่ เก่ง ด้วยสิ หาคู่ให้นางหน่อย  :hao6:  คิดถึงเหลียนอันสุ่ยอ่ะ ชอบอ่านฉากพระมาตุลากับฉีเซียงหยวน มากๆ ยิ่งเวลาฉีพูดหยอกเหลียนเหลียนแบบกรุ้มกริ่มนี่แบบ  :-[




ปล. คนเขียนเก่งมากเลยนะ อายุแค่นี้เขียนได้อย่างกับนิยายจีนแปล สุดยอด  o13

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ ghostreader

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 12
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
สั้นๆ คนเขียนเก่งจังครับ

ออฟไลน์ lizzii

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6283
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +271/-2
มู่ซางนี่เก่งจริงๆ ว่าแต่ฝงเปาจะเป็นคนปราบตัวแสบไหมน๊าา หุหุ

ออฟไลน์ ratnalin

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 743
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +71/-2
โถววววววน้องมู่  เห็นแสบๆแบบนี้  ชีวิตแต่ละคนล้วนผ่านเรื่องโหดร้ายมาสินะ ชอบนางางนะ ออกมาทีไรฮาทุกที สร้างสีสัน ยิ่งออกมากะฉีเซียงหยวนด้วยแล้ว ยิ่งรู้สึกถึงเรื่องป่วนๆที่จะเกิดขึ้นากการรวมหัวกันสร้างความวินาศ (ส่วนหลิวฉางเฟยนี่อารมณ์ประมาณคนตามเก็บกวาด) 5555

ตอนใหม่นี้แม้แต่ชื่อ เหลียนเหลียนของเราก็ยังไม่ได้ออกเลย 5555

เจอกันปีหน้า สุขสันต์ปีใหม่ค่ะ :z3:

ออฟไลน์ wind of autumn

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 88
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +93/-0
Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 72
«ตอบ #253 เมื่อ01-01-2015 18:13:40 »

บทที่ 72 กลับบ้าน

รสชาติของการได้กลับสู่แผ่นดินเกิดเป็นอย่างไร  คล้ายกับปีติตื้นตันอยู่ในอกจนพูดไม่ออก

เหลียนอันสุ่ยไม่สามารถบรรยายสีหน้าของพวกเขาเหล่านั้นขณะก้าวข้ามพรมแดนของแคว้นหนานเหมินสู่แคว้นเป่ยชาง  ทิวเขาที่ทอดไกลอยู่เบื้องหน้าราวกับละลายหน้ากากหนักแน่นเรียบเฉยของเหล่านักรบชาวเป่ยชางต่ละคนลงจนหมดสิ้น  สีหน้ามิได้เปลี่ยนแปลงมากเท่าใด  แต่แววตากลับไม่เหมือนเดิมอีก

ในใต้หล้านี้บางครั้งก็ไม่มีอะไรวิเศษไปกว่าการได้กลับ ‘บ้าน’
---------------------
เสียงพูดคุยกับเสียงดนตรีดังแข่งกัน  ทำนองเพลงพื้นเมืองอาบย้อมทุกหนทุกแห่งที่สว่างขึ้นจากกองไฟให้อบอุ่นคึกคัก

      คนหนุ่มผู้หนึ่งประกาศเสียงดังว่ากลับไปครั้งนี้เขาจะแต่งงาน
      คนหนุ่มคนที่สองบอกว่าเขาอยู่กองทหารม้า  ประกอบความดีความชอบไม่น้อย  ราชสำนักต้องปูนบำเหน็จให้บ้านที่ยากจนของเขา
      คนหนุ่มคนที่สามนั่งเหม่อลอยอยู่ข้างกองไฟ  พึมพำว่าเขาควรบอกที่บ้านว่าอย่างไร  มือหยาบกร้านลูบคลำหมวกเกราะของพี่ชายซ้ำไปมา  ดวงตาคล้ายกับมีแววน้ำตาเมื่อนึกถึงใบหน้ามารดากับพี่สะใภ้
      คนหนุ่มคนที่สี่ดื่มเหล้าอึกใหญ่  สีหน้าปีติยินดีราวตังเขากับไหสุราเป็นญาติเก่าแก่ของกันและกัน

ยังมีคนหนุ่มคนที่ห้าคนที่หก  ความในใจของพวกเขาย่อมแตกต่างกันออกไป  เหลียนอันสุ่ยเดินพลางได้ยินไปพลาง  หลายคำดังมากระทบหูเขาเอง  และหลายคำกลืนหายกับเสียงจอกแจกจอแจจนฟังไม่ได้ศัพท์  มีคนเรียกเขาเป็น ‘ท่านหมอ’ อยู่ตลอดทาง  ต้วนจินกับหม่าหลงยังคงเป็นเงาที่ไล่ไม่ไปติดตามอยู่เบื้องหลัง

อีกไม่กี่วันจะถึงเมืองหลวง  เศรษฐีใหญ่ของเมืองที่พวกเขาพำนักจัดงานเลี้ยงต้อนรับให้เหล่าทหารที่นำชัยกลับมาเป็นพิเศษ  มันอาจมาจากความยินดีที่แท้จริง  หรือตั้งใจจะประจบเป่ยชางอ๋อง  แต่เศรษฐีใหญ่ของเมืองทั้งห้าคนล้วนได้เข้าเฝ้าใกล้ชิดสมดังปรารถนา  ส่วนสุราอาหารที่ไม่ต้องเสียเงินเหล่าทหารทั้งหลายย่อมต้องน้อมรับเอาไว้ด้วยความยินดี  ผู้ที่เสียเปรียบที่สุดเห็นจะเป็นกลุ่มทหารที่ต้องอยู่เวรยามคืนนี้ เพราะนี่เป็นคืนเดียวที่ต้าอ๋องอนุญาตให้ดื่มเหล้า  ส่วนคนเฝ้ายามแน่นอนว่าต้องอดไป

เหลียนอันสุ่ยออกมาช้า  ตั้งใจจะเดินไปสมทบกับหมอประจำกองทัพคนอื่นๆ  แต่เหลือบเห็นแม่ทัพกู่เข้าเสียก่อน  วันนี้คนเจ็บทั้งหลายต่อให้ต้องกระเสือกกระสนสักหน่อยก็ต้องกระเสือกกระสนออกมาร่วมฉลองกับพรรคพวก  แม่ทัพกู่ออกมาก่อนเขาตั้งนาน  คิดไม่ถึงยังคงกระเผลกไปไม่ถึงจุดหมาย

เพ่งดูซักพักจึงเข้าใจ  แม่ทัพกู่ผู้นี้แม้สูญเสียขาไปข้างหนึ่งแต่ความทระนงยังคงสูงเทียมฟ้า ไม่ว่าผู้ใดคิดเข้ามาช่วยเขาล้วนถูกไล่ให้ไปดื่มกินต่อ  ดูท่าคงคิดจะใช้ความสามารถของตัวเองแม้จะต้องพักๆหยุดๆเป็นช่วงๆก็ต้องเดินไปถึงจุดหมายโดยไม่มีใครช่วย  เพียงแต่คนนั่งกินยืนกินหนาแน่นทีเดียว  คิดเดินฝ่าออกไปต่อให้มีสองขาก็ยังเป็นเรื่องลำบาก

“แม่ทัพกู่”
คนถูกเรียกหันกลับมา  ความหงุดหงิดยังคงตกค้างอยู่บนใบหน้า  หงุดหงิดความพิการของตัวเองเหลือจะกล่าว  เห็นเป็นเหลียนอันสุ่ยสีหน้าจึงผ่อนคลายลงเล็กน้อย  เอ่ยปากถาม
“พระมาตุลาก็ออกมาร่วมชมความครึกครื้นหรือ” กวาดตามองไปข้างหลังเหลียนอันสุ่ยแล้วก็หัวเราะเบาๆ “สองคนนั้นปฏิบัติตามคำสั่งอย่างเคร่งครัดจริงๆ  จนตอนนี้ก็ยังเดินตามท่านไม่ห่าง”
เหลียนอันสุ่ยถอนหายใจยาว  หันไปกล่าวย้ำคำเดิมอีกครั้งว่า
“พวกเจ้าไปร่วมสนุกกับพวกองครักษ์เถอะ  อย่าเอาแต่เฝ้าข้าเลย”
ผู้ติดตามทั้งคู่ตอบพร้อมเพรียงกันคำเดิม
“ข้าน้อยมีหน้าที่อารักขาความปลอดภัยให้พระมาตุลา”

“ข้าจะเดินไปกับแม่ทัพกู่  พวกเจ้าสมควรไปได้แล้ว  แม่ทัพกู่อยู่ที่นี่รับรองไม่มีใครกล้าก่อเรื่องวุ่นวาย”
คนที่ถูกลากเข้าไปเกี่ยวด้วยเงยหน้าขึ้นอย่างมึนงง  คิดไม่ถึงยืนอยู่เฉยๆกับต้องไปคั่นกลางระหว่างนายบ่าวสามคนตรงหน้า
“แต่ว่า...”ต้วนจินคิดจะแย้งแต่หม่าหลงชิงปรามไว้  ผงกศีรษะกล่าวว่า
“ไม่ว่าอย่างไรพวกท่านก็จะเดินไปทางเดียวกัน  เช่นนั้นพวกข้าไม่กวนแล้ว  ขออภัยที่ต้องสร้างความรำคาญให้กับพระมาตุลา  รบกวนแม่ทัพกู่ด้วย” เรื่องราวควรมีความพอเหมาะพอดี  ติดตามกระชั้นชิดทุกฝีก้าวไม่ว่าใครก็ต้องอึดอัด  จะอย่างไรโต๊ะของพระมาตุลาก็ถึงก่อน  ดังนั้นสมควรไม่มีปัญหา

เมื่อผู้ติดตามสองคนจากไป  เหลียนอันสุ่ยจึงค่อยระบายลมหายใจออกมา  หันมายิ้มให้คนที่ถูกลากเข้าไปยุ่งโดยไม่รู้อิโหน่อิเหน่อย่างขอโทษขอโพย
“ขอบคุณท่าน  ความจริงข้าแค่อยากให้พวกเขาได้ไปผ่อนคลายบ้าง  ไม่ใช่ต้องทำหน้าที่ติดตามข้าอยู่ตลอด”
คนฟังหัวเราะเบาๆ จากนั้นมีสีหน้ากังวลเล็กน้อย  ก้มมองขาตัวเอง  กล่าว
“ท่านเดินนำไปก่อนก็ได้  ข้าคงเดินช้าหน่อย”
แต่เหลียนอันสุ่ยกลับลดระดับความเร็วลงมาเท่ากับเขา  เดินช้าๆไปเรื่อยๆให้บรรยากาศโหวกเหวกคึกคักกลบกลืนทุกแสงและเงา  สะกิดขอทางไปตลอดทาง 

ในที่สุดก็เดินมาถึงโต๊ะของหมอประจำกองทัพที่เต็มไปด้วยคนคุ้นหน้าที่ร่วมผ่านความลำบากมาด้วยกัน  ทว่าเหลียนอันสุ่ยกลับไม่นั่งลง  หันไปกล่าวกับผู้ที่เดินมาส่งเขาว่า
“ให้ข้าเดินไปเป็นเพื่อนท่านเถอะ  ตอบแทนที่ท่านช่วยข้าจัดการเรื่องยุ่งยาก” ถึงปากจะกล่าวเช่นนั้นแต่เหลียนอันสุ่ยเห็นแล้วว่าสาเหตุหลักที่แม่ทัพกู่กระเผลกอยู่นานก็ยังไปไม่ถึงไหนเป็นเพราะไม่ยอมออกปากขอทาง 

คนบางคนเคยเข้มแข็งมาตลอดพอตัวเองอ่อนแอลงกลับยอมรับไม่ได้  ความดื้อรั้นเช่นนี้บางทีก็ดีกว่าท้อแท้สิ้นหวัง  แต่ความดื้อรั้นเช่นนี้หากปล่อยให้เดินต่อไปเองคนที่ใกล้จะหายดีอาจถูกหามเข้าโรงหมอเป็นการเร่งด่วนเพราะหกล้มหัวแตกก็เป็นได้

ทว่าเหลียนอันสุ่ยกลับลืมเลือนไปอย่างหนึ่ง  ว่าแม่ทัพกู่เป็นสหายของฉีเซี่ยงหยวน 
ดังนั้นโต๊ะที่เขาตั้งใจจะเดินไปสมควรเป็นโต๊ะประธาน !
---------------------
โต๊ะตัวใหญ่วางอาหารไว้เต็มเพียบ  รินสุราไว้เต็มจอก
“ทำไมเจ้านั่นมาช้านัก” ฝงเป่าบ่น
“ก่อนจะบ่นเงยหน้าขึ้นดูบ้าง  มานู่นแล้ว” สิ้นเสียงของมู่ซางทุกคนที่นั่งร่วมโต๊ะล้วนหันไปมอง  มู่ซางมองดีๆอีกทีเห็นคนอีกคน  มือที่กำลังรินสุราให้ตัวเองก็ชะงักค้างไว้  ตาเหลือบมองไปยังนายเหนือหัว  เห็นสีหน้าฉีเซี่ยงหยวนเรียบเฉย  หันไปสั่งหลิวฉางเฟยสองสามคำแล้วก็ผุดลุกขึ้นยืน...  ฮ่า  ท่าทางเป็นเรื่องแล้ว  มู่ซางลอบหัวร่อในใจ  เอนหลังพิงพนักเตรียมรอชมดูเรื่องสนุก
        เป็นโชคร้ายขอแม่ทัพกู่แท้ๆที่ดันโผล่มาช้าเกินไป  เศรษฐีเอย เจ้าเมืองเอย ล้วนกล่าวอำลาจากไปหมดแล้ว  ดังนั้นต้าอ๋องจึงปราศจากข้อกริ่งเกรงอีก

เดินมาส่งถึงปลายทางเหลียนอันสุ่ยจึงพบว่าโต๊ะใหญ่ตัวนี้มีใครบ้างและตัวเองลืมเลือนเรื่องใหญ่อะไรไป  คิดจะหันหลังกลับ  มือข้างหนึ่งก็วางลงบนบ่าสูงโปร่ง
“ท่านมาแล้วก็จะไปเลยหรือ” เสียงอันคุ้นเคยถามขึ้น
เหลียนอันสุ่ยมองคนทั้งโต๊ะ  เห็นบรรดาแม่ทัพคนสนิทของฉีเซี่ยงหยวนล้วนหันมามองเขา  รู้สึกถึงมือใหญ่บนบ่า  สีหน้าไม่ทราบสมควรทำอย่างไร
บุรุษแซ่กู่ที่เดินมาด้วยกันเลิกคิ้วสูง  เห็นว่าน่าสนุก  เสาะหาเก้าอี้ได้ก็รีบนั่งลง  ตั้งหลักเตรียมรับการโจมตีจากความหึงหวง
ฉีเซี่ยงหยวนไม่ได้บันดาลโทสะอย่างที่มู่ซางคาด  แค่วางมือโอบบ่าเหลียนอันสุ่ยด้วยสีหน้าปกติ  เรียกให้คนยกเก้าอี้มาอีกตัว 
“มู่ซาง  คารวะพระมาตุลา” สิ้นเสียงมู่ซางทั้งโต๊ะเงียบกริบทันที  มองสีหน้าพวกเขาเหลียนอันสุ่ยพลันทราบว่าคนเหล่านี้เห็นทีจะรู้ตื้นลึกหนาบางของเรื่องราว  ร่างสูงโปร่งทำอะไรไม่ถูกยิ่งกว่าเดิม

“ข้าจะแนะนำพวกเขาให้ท่านรู้จัก  คนผู้นี้คือ...” ฉีเซี่ยงหยวนแนะนำทีละคน  แต่แนะนำว่าอย่างไรบ้างเหลียนอันสุ่ยกลับได้ยินไม่ค่อยถนัด  ในหัวสับสนวุ่นวายไปหมด

ฝงเป่าที่นั่งอยู่ข้างฉีเซี่ยงหยวนคิดจะสละที่นั่งให้  แต่ฉีเซี่ยงหยวนกลับกดร่างของเหลียนอันสุ่ยให้นั่งลงบนเก้าอี้ที่ยกมาใหม่เสียก่อน  ร่างสูงใหญ่เดินกลับไปนั่งที่  กล่าวว่า
“คนกันเองทั้งนั้น  เฒ่าเฉาเล่าเรื่องของท่านต่อเถอะ”
มู่ซางกระพริบตาอย่างแปลกใจที่ตำแหน่งที่เหลียนอันสุ่ยนั่งไม่ใช่ตำแหน่งข้างนายเหนือหัว  แต่เป็นตำแหน่งตรงข้ามกันพอดี

เหลียนอันสุ่ยบีบมือเข้าหากันเพื่อข่มความประหม่า  คนบนโต๊ะนี้ส่วนใหญ่เขาไม่คุ้นเคย  การที่ฉีเซี่ยงหยวนไปนั่งเสียไกลยิ่งทำให้ใจเขาว่างโหวงแปลกๆ  ขณะบทสนทนาบนโต๊ะใหญ่ที่หยุดชะงักไปกลับมาดังอีกครา  เสื้อสีดำตัวหนึ่งก็ยื่นเข้ามาเบื้องหน้าเขา  หันกลับไปเหลียนอันสุ่ยจึงเห็นหลิวฉางเฟย
“ต้าอ๋องให้เอามาให้ท่าน”

เป็นเสื้อสีดำเรียบๆตัวหนึ่ง  เหลียนอันสุ่ยเอ่ยปากขอบคุณ  มองไปยังที่นั่งฝั่งตรงข้ามก็เห็นคนยิ้มบางๆมาให้  อ้าปากพูดโดยไม่มีเสียงว่า ‘ใส่ไว้’
ยิ่งเข้าใกล้เมืองหลวงอากาศตอนกลางคืนก็ยิ่งเย็น  ฉีเซี่ยงหยวนจำได้ว่าเหลียนอันสุ่ยทนอากาศหนาวไม่ค่อยได้เลยให้หลิวฉางเฟยไปเอาเสื้อคลุมของเขามาจากกระโจม
หลังบอกให้ทำตัวตามสบาย  หลิวฉางเฟยก็เดินกลับไปนั่งที่ของเขา

ใจของเหลียนอันสุ่ยสงบลง  ในที่สุดก็เข้าใจแล้วว่าเหตุใดฉีเซี่ยงหยวนถึงไปนั่งเสียไกล  ยอมรับว่าถ้าอีกฝ่ายนั่งข้างเขา  เขาจะต้องทำตัวไม่ถูกยิ่งกว่านี้  และจะเป็นจุดเด่นยิ่งกว่านี้

จู่ๆฝงเป่าก็ตบไหล่แม่ทัพกู่  หันมากล่าวกับเหลียนอันสุ่ยว่า
“เจ้าหมอนี่ไปรบกวนท่านอยู่นาน  นับว่าเหนื่อยท่านแล้ว”
เหลียนอันสุ่ยนิ่งอึ้งเมื่อพบว่าถูกพูดถึงกะทันหัน  ไม่ทันตอบคำมู่ซางก็กลอกตาพูดขึ้นก่อน
“ได้ข่าวว่าเมื่อไม่นานมานี้ใครบางคนก็บาดเจ็บโอดครวญอยู่ในกระโจมคนป่วยเช่นกัน”
“พวกเจ้าสองคนจะทะเลาะก็ไปทะเลาะกันที่อื่น  ข้าจะฟังเฒ่าเฉาเล่าเรื่องตอนถูกปล้นชิงเสบียง” แม่ทัพกู่สวนขึ้น

“พูดได้ดี  เอาล่ะทุกคนฟังข้า  นี่มันถึงตอนสำคัญคับขัน  ตอนนั้นทุกคนตระหนกกันใหญ่  มีแต่ข้าคนนี้ที่เยือกเย็น  ข้ามองศัตรูนับพันที่ปรากฏตัวเบื้องหน้าแล้วบอกพวกมันว่า เจ้าพวกสุนัขรับใช้  ข้าไม่กลัวพวกเจ้า  อยากได้ข้าวกี่กระสอบก็เอาชีวิตมาแลกไป  จากนั้นข้าก็...”
“เฒ่าเฉา  คนที่เรียกพวกมันเป็นสุนัขรับใช้คือข้า  อีกอย่างคนที่ตั้งสติได้คนแรกคือข้า  เจ้าอย่าทำเป็นเล่าข้ามไป” มีคนโวยวาย
“ข้าเห็นว่าเรื่องมันยาวก็เลยตัดส่วนที่ไม่สำคัญออก” คนแซ่เฉาพูดหน้าตาเฉย  ยักคิ้วให้อีกฝ่ายทีหนึ่งก็เล่าต่อ “ทีนี้กลับมาที่ตัวเอกของเรื่องอย่างข้า...”

เหลียนอันสุ่ยพยายามจะกลั้นขำตามมารยาท  แต่พยายามอยู่ซักพักก็ไม่อาจพยายามต่อไป  แม่ทัพตำแหน่งสูงพวกนี้นั่งเฉยๆก็ดูน่าเกรงขามดี แต่ต่างคนต่างทับถมแย่งชิงกันเป็นตัวเอก  แฉเรื่องตลกของฝ่ายตรงข้าม  เล่าเรื่องพลาดท่าเสียทีของทหารหนานเหมิน  คุยกันตั้งแต่ฉากสำคัญในสมรภูมิไปจนถึงญาติพี่น้องที่บ้าน  ราวไม่ถือสาแม้แต่น้อยว่ามีคนนอกอย่างเขานั่งฟังอยู่ 

หัวเราะอย่างเปิดเผย  ชนจอกกันไปมา  บางครั้งก็หันมาคารวะสุราให้  ทุกคนดูเป็นกันเองยิ่ง  ชาวเป่ยชางมักทำให้เหลียนอันสุ่ยรู้สึกไม่คุ้นชิน  พวกเขาสามารถเปิดเผยได้อย่างเป็นธรรมชาติโดยไม่ต้องเคร่งครัดกับธรรมเนียมอะไรมากมาย 

หากจะบอกว่าแคว้นเหลียนสุภาพมีมารยาท  สิ่งที่แคว้นเป่ยชางมีก็คือความเปิดกว้างจริงใจ

คำพูดคุยคล้ายไม่หมดสิ้นราวแต่ละคนสะสมความอัดอั้นมาเต็มที่ตอนที่อยู่ต่อหน้าเจ้าเมืองและห้าเศรษฐีใหญ่  อากาศเย็นที่ลงทำให้เหลียนอันสุ่ยเปลี่ยนจากเอาเสื้อคลุมคลุมบ่ามาเป็นสวมทับไว้หลวมๆ  ผ่านไปอีกซักพักก็เปลี่ยนจากสวมหลวมๆเป็นดึงสาบเสื้อให้แน่นเข้า  สอดมือเข้าไปในชายแขนเสื้อทั้งสองข้าง กอดอกไว้  เปลวไฟเต้นระริกแต้มเงาอย่างมีชีวิตชีวา  บุรุษชาวเป่ยชางทั้งหลายที่นั่งอยู่รอบตัวเขาคล้ายไม่รู้สึกหนาวกันเลย  แต่ละคนสวมเสื้อไม่กี่ชั้น  เท้าแขนตามสบาย  เหลียนอันสุ่ยค่อยๆถูกเรื่องราวดึงดูดเข้าไป  ขณะนี้พวกเขากำลังสนทนาถึงวีรกรรมในอดีต  แน่นอนว่าในนั้นมีเรื่องของคนที่ตอนนี้เป็นต้าอ๋องแคว้นเป่ยชางด้วย 

ความเปลี่ยนแปลงทั้งหมดของเหลียนอันสุ่ยอยู่ในสายตาของฉีเซี่ยงหยวน  เมื่อครู่ฉีเซี่ยงหยวนใคร่ครวญดูแล้วว่าคนแถวนี้ล้วนดื่มสุรา  ให้เหลียนอันสุ่ยเดินกลับไปคนเดียวเขาไม่วางใจยิ่ง  มองเสื้อคลุมตัวเองอยู่บนร่างอีกฝ่ายรู้สึกพึงพอใจอย่างบอกไม่ถูก  เสื้อคลุมสีดำทำให้เหลียนอันสุ่ยยิ่งดูโดดเด่นชัดเจนท่ามกลางบุรุษร่างใหญ่ผิวคร้ามแดดที่นั่งอยู่รายรอบ
 
อันที่จริงผิวของเหลียนอันสุ่ยดูเนียนมากเมื่อสวมชุดสีเข้ม  ทว่าคนที่นั่งอยู่แต่ละคนมองเพียงไม่นานเห็นเสื้อที่เหลียนอันสุ่ยสวมอยู่ก็ละสายตาจากไป  ฉีเซี่ยงหยวนชอบสวมชุดสีดำมาตั้งแต่เมื่อก่อนแล้ว  สีดำไม่มีลายแต่เก็บตะเข็บสองชั้นนั่นแหละใส่บ่อยที่สุด
เหลียนอันสุ่ยคิดดื่มสุราอีกอึกเพื่อเพิ่มความอบอุ่นให้กับร่างกาย  ทว่าก่อนนิ้วจะถึงจอก  ก็มีคนหยิบมันไปก่อน
“ท่านดื่มเยอะไปแล้ว” ที่นั่งข้างกายเหลียนอันสุ่ยกลายเป็นของฉีเซี่ยงหยวนไปตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่อาจทราบได้  ดวงตาคมมองใบหน้าที่แดงระเรื่อน้อยๆ ทราบว่าอีกฝ่ายยังไม่เมา  แต่เท่านี้ก็ถือว่ามากเกินกว่าปกติที่เหลียนอันสุ่ยปล่อยให้ตัวเองดื่มแล้ว
“วันนี้ท่านมิใช่ให้ดื่มได้ไม่อั้นหรือ” มู่ซางถามขึ้นมา

“เจ้าอยากดื่มมากอย่างนั้นให้ข้าจับเจ้ากรอกสุราดีหรือไม่  ข้าว่าสุราหลายไหนี้เก็บไว้ในไหก็ออกจะดูธรรมดาเกินไป  เก็บไว้ในท้องเจ้าดีกว่า” แววตาของฉีเซี่ยงหยวนคมกริบเยือกเย็น  มู่ซางที่กำลังกรึ่มๆพลันได้สติ  รีบถอยห่าง  ต้าอ๋องกรอกสุรา  พูดเล่นกระมัง  ฉีเซี่ยงหยวนเคยลงโทษคนฝ่าฝืนกฎแอบต้มสุราในกองทัพด้วยการสั่งให้จับกรอก  นั่นแทบทำให้สำลักจนเอาชีวิตไม่รอดกันเลยทีเดียว
“เก็บสุราไว้ในท้องคนแซ่มู่ช่างเป็นการเหยียบย่ำสุราดีแท้ๆ” ฝงเป่าส่ายหน้าด้วยสีหน้าเสียดายอย่างเสแสร้ง
“แม่ทัพฝงวางใจสุราดีหลายไหนี้ข้าล้วนยกให้ท่าน  ไว้กลับถึงเมืองหลวงอยากดื่มเมื่อไหร่ก็ผ่าท้องคนเอาออกมา”
ฝงเป่าหัวเราะถูกใจเมื่อเห็นมู่ซางถูกขู่จนหน้าซีด  ทั้งกองทัพคนที่ข่มขู่มู่ซางได้มีแค่ฉีเซี่ยงหยวนคนเดียว

“ต้าอ๋อง  นิสัยชอบข่มขู่คนของท่านนี้ยังคงไม่เปลี่ยนไปเลยนะ”
“เฒ่าเฉา  ท่านก็รู้ว่าถ้าต้าอ๋องเปลี่ยนชอบข่มขู่เป็นชอบลงมือทำจริงๆมันจะน่าสยดสยองแค่ไหน  ท่านอย่าปากหาเรื่องน่า”
“เออ  จริงด้วย” พูดอย่างนึกขึ้นได้เสร็จแล้วก็หุบปากฉับ
 
ฉีเซี่ยงหยวนหันไปถามเหลียนอันสุ่ยว่า
“ท่านง่วงรึยัง  ข้าเห็นท่านขยี้ตามาตั้งแต่เมื่อครู่  ให้ข้าส่งท่านกลับกระโจมดีกว่า”
เหลียนอันสุ่ยเห็นว่าดึกมากแล้วจึงเอ่ยปากขอตัวกับทุกคน  ตอนที่หันหลังจะเดินจากไปก็มีเสียงกระเซ้าอย่างไม่จริงจังดังมาว่า
“ไม่ต้องไปส่งถึงกระโจมก็ได้กระมัง  แค่เสื้อตัวนั้นของท่านก็รับรองได้ว่าพระมาตุลาต้องถึงกระโจมโดยปลอดภัย”

เหลียนอันสุ่ยก้มมองเสื้อที่ตัวเองสวม  ใบหน้าเปลี่ยนเป็นแดงก่ำ  ได้ยินฉีเซี่ยงหยวนกระซิบข้างหูว่า
“ท่านไม่ต้องไปสนใจพวกเขา  พวกปากไม่สร้างสรรค์พวกนี้ไม่ได้ล้อเลียนคนต้องนอนไม่หลับ”
มีเสียงตะโกนดังมาอีกว่า
“ต้าอ๋อง  ส่งเสร็จแล้วก็รีบกลับมา  ข้ามีเรื่องขำๆของเฒ่าเฉา  รับรองว่าท่านต้องไม่เคยได้ยินมาก่อน”
ฉีเซี่ยงหยวนหันไปรับคำ  ขณะหันกลับมาก็ใช้ปลายนิ้วดันหลังของเหลียนอันสุ่ยเบาๆให้อีกฝ่ายก้าวเดินไปพร้อมกับเขา

“แม่ทัพของท่านหลายคนข้าเห็นเขาเข้มงวดยิ่ง  ที่แท้ตัวตนจริงๆเป็นเช่นนี้” น้ำเสียงของเหลียนอันสุ่ยมีแววไม่ค่อยเชื่ออยู่บ้าง
ฉีเซี่ยงหยวนฟังแล้วหัวเราะ  ถามว่า
“ปกติข้าก็เป็นคนเข้มงวดยิ่ง  ท่านเห็นว่าตัวตนจริงๆข้าเป็นอย่างไรเล่า” มือใหญ่กุมมือเรียวเอาไว้  เดินช้าๆไปด้วยกัน  ผู้คนที่นั่งเกะกะต่างหลีกทางให้พวกเขา  ฉีเซี่ยงหยวนหันไปทักทายเป็นครั้งคราวแต่ไม่คิดจะปล่อยมือ  เพราะที่นี่ไม่ใช่วังหลวงแต่เป็นกองทัพ

เหลียนอันสุ่ยมองท่าทีปล่อยตัวตามสบายของบุรุษข้างกาย  พลันเข้าใจคำที่ผู้คนบอกว่าฉีเซี่ยงหยวนเติบโตมากับกองทัพ  กองทัพนับเป็นโลกของฉีเซี่ยงหยวนอย่างแท้จริง  อยู่ที่นี่เขาได้รับความภักดีโดยปราศจากเงื่อนไข  อยู่ที่นี่เขากุมอำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาดไร้ข้อโต้แย้ง  แม่ทัพนายกองรักเขา  ทหารทุกนายเชื่อมั่นในตัวเขา  กฎทุกกฎเน้นใช้ได้จริงไม่จำเป็นต้องมีข้อหยุมหยิมมากความ 

ก้มลงมองมือที่จับกุมกัน  เหลียนอันสุ่ยพลันยิ้มออกมาเมื่อนึกได้ว่ากฎของกองทัพก็เป็นดุจเดียวกับตัวตนของนักรบชาวเป่ยชาง  เวลารักใครสามารถตรงไปตรงมาถึงเพียงนั้น  ยึดมั่นถึงเพียงนั้น  ชาวเหลียนมีความรักที่สวยงามราวบทกวี  มีความรักที่ถูกแบบแผนธรรมเนียม  แต่ชาวเป่ยชางกลับตกหลุมรัก
  เหลียนอันสุ่ยคิดว่าเขาชอบคำว่า ‘ตกหลุมรัก’ นี้มากทีเดียว
---------------------
ในวันที่ทัพเป่ยชางถึงเมืองหลวงผู้คนทั้งเมืองมารอแน่นขนัด  ดวงตาทุกคู่ทั้งยินดีทั้งร้อนรน  คล้ายกำลังเสาะหาเงาร่างที่คุ้นเคยจากทหารนับหมื่นที่เดินเรียงแถวเข้ามาอย่างเป็นระเบียบ  ...เสาะหาด้วยความหวังที่เต็มเปี่ยมอยู่ในหัวใจ

แน่นอนว่าการกลับมาครั้งนี้มีคนบางคนร้องไห้ด้วยความปีติยินดี  และบางคนร้องไห้ด้วยหัวใจที่แหลกสลาย  การได้กลับคืนมากับการสูญเสียไปตลอดกาลบางครั้งห่างกันเพียงเล็กน้อยจนน่าเจ็บปวด

นักรบที่หนักแน่นดุจขุนเขาเหล่านั้นเมื่อถอดหมวกเกราะออกพวกเขาก็เป็นแค่คนธรรมดา
      เป็นสามีที่มีภรรยา
      เป็นบิดาที่มีบุตรเยาว์วัย
      เป็นบุตรชายที่ต้องกตัญญูต่อมารดา
      เป็นคนรักของคู่หมั้นที่ยังไม่ได้แต่ง
      เป็นความหวัง เป็นเสาหลักของครอบครัว
      และมีบ้างบางคน...เป็นเสาหลักของบ้านเมือง  เป่ยชางอ๋องกลับถึงวังหลวง  รัชทายาทที่มีศักดิ์เป็นบุตรชายบุญธรรมของเขาพร้อมด้วยเหล่าขุนนางประสานมือรอรับเสด็จตั้งแต่หน้าประตูวัง

ทหารหลังรายงานตัวกับผู้บังคับบัญชาก็สามารถถอดหมวกเกราะแยกย้ายกันกลับไปหาครอบครัว  แต่คนเป็นเป่ยชางอ๋องทันทีที่มาถึงสิ่งที่รอเขาอยู่คือขุนนางที่รอคอยเข้าเฝ้า  ฉีเซี่ยงหยวนไล่ให้กลับไปทั้งหมด  เรื่องหารือไม่ว่าเร่งด่วนปานใดล้วนเอาไว้วันพรุ่งนี้ค่อยสะสาง  ตำหนักเยี่ยอวิ๋นกว้างใหญ่  คนที่ไม่ถูกไล่กลับไปมีเพียงรัชทายาท

รัชทายาทวันสิบห้าปีแจกแจงเรื่องที่เกิดขึ้นคร่าวๆระหว่างเขารักษาการณ์ร่วมกับเหล่าขุนนางอย่างเป็นลำดับขั้นตอน
“ฎีกาทั้งหมดลูกให้คนเก็บไว้รอให้พระบิดาทอดพระเนตร  เรื่องที่หารือในท้องพระโรงลูกให้คนจดบันทึกไว้  แต่ละเรื่องสะสางอย่างไรลูกเขียนสรุปเป็นรายงานคร่าวๆสี่ฉบับเกี่ยวกับหลักการและวิธีการ  หากพระบิดาต้องการทราบรายละเอียดในเรื่องใดลูกสามารถแจกแจงให้ฟังด้วยตัวเอง...”

ฉีเซี่ยงหยวนฟังถึงตรงนี้ก็โบกมือเป็นความหมายว่าพอ  ถามขึ้นยิ้มๆว่า
“รักษาการณ์แทนข้าเป็นอย่างไรบ้าง”
“ปัญหามากมายยากสะสาง  ลูกนับถือพระบิดายิ่ง”
ฉีเซี่ยงหยวนหัวเราะ  กล่าวว่า
“เท่าที่ดูเจ้าก็ทำได้ไม่เลว  แต่ดีไม่ดีอย่างไรไว้วันพรุ่งนี้ข้าค่อยตรวจดู  วันนี้เจ้ารับปากพี่สะใภ้ว่าจะไปกินมื้อเย็นกับนางรึเปล่า  ถ้ายังไม่ได้รับปากก็ตามข้ามา”
---------------------
เหลียนจิ้งเต๋อได้ยินว่ากองทัพเข้าเมืองมาแล้วก็ไปดักรอที่โรงหมอ  จริงดังคาดท่านพ่อมาถึงก็ดูแลให้คนจัดการเรื่องการจัดยาเบิกจ่ายยาแก่ทหารบาดเจ็บที่ครอบครัวมารับกลับไป  เหลียนจิ้งเต๋อเห็นเงาหลังบิดาก็รีบโผล่ไปช่วยเหลือ 
เหลียนอันสุ่ยตบบ่าบุตรชายเบาๆ  พึมพำด้วยรอยยิ้มว่า
“เจ้าสูงขึ้นอีกแล้ว”
---------------------
เย็นวันนั้นหลายครอบครัวได้อยู่กันพร้อมหน้า  โต๊ะอาหารตั้งเสร็จแล้ว  อิ๋งฮวาทำงานอย่างขยันขันแข็งเป็นพิเศษ 
เหลียนจิ้งเต๋อมองอาหารบนโต๊ะตาเป็นมัน  เงยหน้าขึ้นมาก็พอดีเห็นคนสองคน ขมวดคิ้วนิ่วหน้าแล้วกล่าวว่า

“รัชทายาท  ท่านจะมาก็ไม่เห็นต้องหนีบเอาบิดาบุญธรรมของท่านมาด้วยเลย”

เหลียนอันสุ่ยที่หลับตาสูดกลิ่นชาลืมตาขึ้นมาช้าๆ  พอเห็นว่าเป็นใครก็แย้มยิ้มออกมาบางๆ
---------------------
หลังจากนั้นหลายปี  หนานเหมินอ๋องพยายามตีชิงเมืองที่ถูกแคว้นเป่ยชางยึดคืนมา  ทว่าเพิ่งได้คืนไปไม่เท่าไหร่  เป่ยชางอ๋องก็มีบัญชาให้มู่ซางกับฝงเป่ายกทัพไปปราบ 

ในการศึกครั้งนี้คนที่สร้างชื่อกลับเป็นเถี่ยเจิ้งนายทหารแคว้นเหลียนที่เปล่งประกายโดดเด่นจับตาด้วยการใช้กำลังคนน้อยเอาชนะคนมาก  ตัดหัวแม่ทัพคู่ใจที่เชี่ยวชาญการบุกตีเมืองคนนั้นของหนานเหมินอ๋องมาได้  เป็นครั้งแรกที่ชาวเหลียนสร้างคุณูปการยิ่งใหญ่ต่อแคว้นเป่ยชาง สะท้อนถึงการมองการณ์ไกลของเป่ยชางอ๋องที่เปิดโอกาสให้คนต่างแคว้นทำงานรับใช้ในตำแหน่งสำคัญ

ตอนที่หนานเหมินอ๋องได้รับข่าวการสูญเสียครั้งนี้ก็โรคเก่ากำเริบหมดสติไป 
หลังจากนั้นสุขภาพไม่เคยกลับมาดีได้อย่างเดิมอีกเลย

============
เปิดปีใหม่มาพร้อมกับเซอไพรส์ต้อนรับปี2015 
ในช่วงวันหยุดยาวแบบนี้ไม่มีอะไรดีไปกว่าการได้อยู่พร้อมหน้าครอบครัว 
เลยตั้งใจจะเขียนตอนพวกเขาได้กลับบ้าน  เขียนไปเขียนมาสิบหน้าซะงั้น 
เอาเป็นว่าอยากให้ทุกคนกันยิ้มกว้างๆรับปีใหม่ปีนี้ค่ะ :)

ออฟไลน์ ReiSei

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1377
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +64/-5
ต้าอ๋องโรแมนติคเนอะ คอยดูแลกันไม่ขาดอย่างนี้รักตายเลย  เหลียนๆจูเนียร์ทำใจได้แล้วมั้ง ทุกวันนี้อาจจะแค่กัดตามความเคยชิน 555
รัชทายาทมาแป๊บเดียวแต่ดูปรีขาสามารถมากค่ะ เท่อะ

ออฟไลน์ imac

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 911
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +39/-1
 :o8:กลับมาพร้อมหน้าพร้อมตาครอบครัวกันแล้ว

ออฟไลน์ milky way

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 495
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +25/-1
สวัสดีปีใหม่ค่ะ
ตอนใหม่ สนุก และดูทั้งคู่มีความสุขมาก

ออฟไลน์ ratnalin

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 743
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +71/-2
สวัสดีปีใหม่ค่ะ ขอบคุณสำหรับของขวัญน่ารักอบอุ่นตอนนี้นะคะ
อ่านตอนนี้แล้วละมุนละไม ยิ้มแก้มปริไปตลอด ชอบบรรยากาศระหว่างฉีเซียงหยวนกับเหลียนอันสุ่ยจริงๆ แล้วก็ชอบตอนกินข้างทังครอบครัวพร้อมหน้าพร้อมตานี่ล่ะ

รอตอนหน้าค่ะ  :กอด1:

ออฟไลน์ lizzii

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6283
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +271/-2
หวานๆ ต้อนรับปีใหม่เลย ดีจัง ^^

ออฟไลน์ manutty

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 846
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +92/-0
ในที่สุดก็ได้กลับบ้านกันอย่างปลอดภัยสักที ดีใจกับฉีและเหลียน เขาจะได้มีเวลาอยู่ด้วยกันอย่างสงบสุขบ้าง เหรอ เห็นจิ้งเต๋อยังเหน็บบิดาบุญธรรมไม่เลิก  :laugh: เอาน่าอย่างน้อยจิงเต๋อก็ยอมให้สุดๆแล้ว บอกไว้เลยนะ ฉี อย่าทิ้งหรือนอกใจ เหลียนเหลียน เป็นอันขาด ไม่งั้นจิงเต๋อตัดขาดแน่  o18  จะว่าไป รัชทายาท กับ จิงเต๋อ ก็น่าจิ้นอยู่นา จะได้ดำเนินตามรอยพ่อทั้งสองไง  :hao6: ย้ำอีกหลายๆๆครั้ง ชอบโมเม้นท์ ฉี กับ เหลียน มากๆ  :-[


ปล. สวัสดีปีใหม่ ขอให้พอเจอแต่เรื่องดี ๆ สุขภาพแข็งแรง  จะได้เขียนนิยายดีๆให้อ่านอีกนะ  :mc4:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 02-01-2015 09:40:24 โดย manutty »

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ KARMI

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 920
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +61/-2

ออฟไลน์ bluecoco

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 194
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +21/-0
ขอบคุณสำหรับของขวัญปีใหม่นะคะ

เวลาอ่านแล้วหัวใจมันอุ่นไปหมด เหมาะกับอ่านหน้าหนาวจริงๆ
สวัสดีปีใหม่ค่ะ

ออฟไลน์ lilowria

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 31
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
ขอบคุณครับ
Fc เหลียนอันสุ่ย

ออฟไลน์ wind of autumn

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 88
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +93/-0
Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 73
«ตอบ #263 เมื่อ18-01-2015 17:48:42 »

บทที่ 73 ท่านอาใจดีกับท่านลุงใจโหด(1)

ต้นฤดูร้อนแผ่สีสันอันลานตาจากเหนือจรดใต้  ทุกคนที่สัญจรไปมาต้องแวะเข้าโรงน้ำชาจิบน้ำชาซักอึก

ณ โรงน้ำชาชื่อดังแห่งหนึ่งทางตอนใต้ของแคว้นเป่ยชาง  คนผู้หนึ่งนั่งหันข้างให้กับบานหน้าต่าง  เสียงโหวกเหวกและความวุ่นวายของโรงน้ำชาคล้ายไม่สามารถกระทบถึงเขา 

บ่าวรับใช้ในโรงน้ำชาวิ่งขึ้นวิ่งลงบันไดทำงานอย่างคล่องแคล่ว  ควันร้อนจากน้ำชาแต่ละกาอบอวลไปด้วยกลิ่นหอมของชาเข้มข้น  ความจริงแล้วที่นั่งในโรงน้ำชาไม่แบ่งแยกชนชั้น  แต่บ่าวรับใช้มากไหวพริบย่อมต้องจัดที่นั่งที่ดูสงบสักหน่อยให้กับแขกที่ดูจะมาแสวงหาความสงบ  และจัดที่นั่งชั้นล่างให้กับลูกค้าที่อายุขัยไม่น้อยแล้วเพื่อที่จะไม่ต้องขึ้นลงบันได
 
ฐานะของคนที่มาเยือนโรงน้ำชาแห่งนี้มากมายหลากหลายยิ่ง  การจัดแจงที่ถูกต้องเหมาะสมเป็นสิ่งจำเป็น  สำหรับกลุ่มนายท่านที่นั่งอยู่ริมหน้าต่างเหมือนจะมีรถม้าส่วนตัว  ที่มาของพวกเขาเกรงว่าคงจะไม่ธรรมดานัก  บ่าวรับใช้ประจำโรงน้ำชาเช็ดโต๊ะไปก็ครุ่นคิดไป  เหลือบมองก็ไม่กล้าเหลือบมองมากเกินไป  เพราะการจ้องลูกค้าด้วยสายตาอยากรู้อยากเห็นเป็นมารยาทที่ย่ำแย่ยิ่ง  กวาดดูคร่าวๆเหมือนโต๊ะนั้นจะมีนายท่านสองคน  สวมชุดสีดำคนหนึ่ง  สวมชุดสีฟ้าคนหนึ่ง  มีผู้ติดตามยืนข้างหลังอีกคนหนึ่ง  ไม่ทราบเป็นคนที่จ้างมาคุ้มกันหรือเป็นผู้ติดตามที่มีอยู่เดิม 

โต๊ะถัดไปเงียบกริบอยู่บ้าง  แม้จะมีผู้ชายตัวใหญ่นั่งอยู่ถึงสี่คน  แต่หลังจากสั่งน้ำชามากาหนึ่งก็มิได้เรียกสั่งอะไรอีก  พูดกันเป็นครั้งคราว  แต่เวลาส่วนใหญ่คือนั่งจิบน้ำชาอย่างสุภาพเรียบร้อย  เงยหน้าขึ้นกวาดมองความวุ่นวายของโรงน้ำชาอยู่เนืองๆ  ลูกค้าโต๊ะนี้มาถึงก่อนโต๊ะริมหน้าต่างเล็กน้อย  ขอที่นั่งเพิ่มไว้กล่าวว่าจะมีคนตามมาสมทบอีก

อันที่จริงนายท่านที่นั่งริมหน้าต่างไหนเลยจะแค่ ‘ไม่ธรรมดานัก’  เกรงว่าหากบอกฐานะออกไปคงทำให้ผู้คนแตกตื่นกันทั้งโรงน้ำชา  ฉีเซี่ยงหยวนมาถึงเมืองนี้ได้สองวันแล้ว  ว่าเจ้าเมืองยังคงไม่ทราบการมาถึงของเขา  นี่ย่อมเป็นความจงใจมาตรวจสอบการทำงานของเมืองใต้การปกครอง  ปกติหากมาถึงแล้งเจ้าเมืองยังไม่ทราบข่าวฉีเซี่ยงหยวนจะใช้เวลาสองสามวันศึกษาสภาพภายในเมืองก่อน  หลังจากนั้นค่อยส่งผู้ใต้บังคับบัญชาที่มิได้ปกปิดฐานะเข้าไปตรวจดูการทำงานของส่วนราชการ  สำหรับเมืองที่มีปัญหามากๆ  หรือเมืองที่ค่อนข้างใหญ่  บางครั้งฉีเซี่ยงหยวนจะเปิดเผยฐานะที่แท้จริงเพื่อยื่นมือเข้าไปตรวจสอบอย่างเต็มที่  สางปัญหาเกี่ยวกับการทุจริตรับสินบนหรือการจัดแจงที่ไม่มีประสิทธิภาพ
 
ทั้งหมดนี้ย่อมมิใช่หน้าที่โดยตรงของเขา  ฉีเซี่ยงหยวนมีขุนนางหน่วยที่คอยตรวจสอบการทำงานและการปกครองตามเมืองต่างๆให้กับเขาอยู่แล้ว  การลงมาดูของเขาจึงเป็นเพียงการมาดูผลงานของขุนนางพวกนั้นต่ออีกทอดว่ามีประสิทธิภาพเชื่อถือได้แค่ไหน  และถือโอกาสแก้บางปัญหาที่สามารถแก้ได้ไปตอนนั้นเสียเลย  หลายครั้งที่รัชทายาทติดตามมาด้วย  ส่วนครั้งนี้คนที่มากับฉีเซี่ยงหยวนคือเหลียนอันสุ่ย

ช่วงสองสามปีมานี้ฉีเซี่ยงหยวนเดินทางบ่อยครั้งบ้างสั้นบ้างยาว  ไปเช้าเย็นกลับ  ค้างหนึ่งคืน  ค้างหนึ่งอาทิตย์  ค้างเป็นเดือนก็มี  บางครั้งจัดการเรื่องในท้องพระโรงสองเดือนเก็บปัญหาหลักๆให้เข้าที่เข้าทางแล้วก็ให้คนเตรียมรถม้า  บางครั้งอยู่ในเมืองหลวงครึ่งปีแล้วก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะไปไหน  เหลียนอันสุ่ยติดตามไปกับเขาไม่บ่อยนัก  เพราะโดยส่วนมากฉีเซี่ยงหยวนไปทำงานคือไปทำงานจริงๆ  หลังจากเสร็จตามเป้าหมายก็จะเร่งกลับเมืองหลวง  แต่ถ้าครั้งไหนตั้งใจว่าจะมีช่วงเวลาพักในเมืองสองสามวันก็จะพาเหลียนอันสุ่ยไปด้วย 

ทว่าครั้งนี้จุดหมายปลายทางแตกต่างออกไป  ฉีเซี่ยงหยวนตั้งใจจะไปเยี่ยมดูการปกครองของแคว้นเหลียนที่ตอนนี้เปลี่ยนชื่อเป็นเมืองเหลียนเฉิง  และจุดหมายแอบแฝงเล็กๆข้อหนึ่งคือพาเหลียนอันสุ่ยกลับไปเยี่ยมบ้านเกิด  เหลียนจิ้งเต๋อเองก็ติดตามมาด้วย 
ปกติเหลียนจิ้งเต๋อก็ออกมาตรวจดูงานกับฉีเซี่ยงหยวนไม่บ่อยนัก  เพราะฉีเซี่ยงหยวนไม่ได้มาเที่ยวเล่น  ลูกบุญธรรมที่ติดตามเขาออกมาจะต้องได้รับการมอบหมายงานอย่างจริงจัง  ดังนั้นส่วนใหญ่จึงมักเกิดสภาพตรงข้าม  คือหากไม่ได้ออกปากบังคับเหลียนจิ้งเต๋อมักจะอิดออดหาเรื่องบ่ายเบี่ยง

“จิ้งเอ๋อไปไหนเสียแล้ว” เสียงใสกระจ่างดุจสายน้ำถามขึ้น
ได้ยินเสียงทุ้มหัวเราะ  ตอบว่า
“นี่ยังต้องสงสัยอีกหรือ  คงหาเรื่องเที่ยวเล่นนั่นแหละ”
“...ขอโทษที่ต้องให้ท่านกลุ้มใจอีกแล้ว” เหลียนอันสุ่ยลูบชายแขนเสื้อสีฟ้าของตัวเอง  ถอนหายใจออกมาเบาๆ  หวนนึกถึงคราวนี้ฉีเซี่ยงหยวนจงใจทิ้งรัชทายาทให้รักษาการณ์แทนที่เมืองหลวงเป็นการทดสอบความสามารถและฝึกฝนความรับผิดชอบ  บุตรชายผู้อื่นอายุมากกว่าปีเดียวสามารถแบกรับงานใหญ่  แต่ลูกคนนี้ดูเหมือนเขาจะตามใจมากเกินไป  โตจนป่านนี้ก็ยังไม่อยากรับผิดชอบงานอะไรซักอย่าง

ทุกปีฉีเซี่ยงหยวนจะเพิ่มงานที่ต้องรับผิดชอบให้กับลูกบุญธรรมของเขา  หลายปีมานี้รัชทายาทมีบทบาทในราชสำนักไม่น้อย  นี่เป็นความจงใจของฉีเซี่ยงหยวนที่จะแบ่งอำนาจในมือออกไป  ฉีเซี่ยงหยวนกำลังฝึกฝนผู้สืบทอดของเขา  ส่วนเหลียนจิ้งเต๋อโวยวายเป็นประจำและอู้งานจนเคยชิน  มักมาโอดครวญกับบิดาอยู่เสมอๆ  แต่เหลียนอันสุ่ยกลับไม่เคยออกปากขอให้ฉีเซี่ยงหยวนลดงานให้กับบุตรชายคนนี้  เพราะทราบดีว่าฉีเซี่ยงหยวนมอบหมายงานตามอายุ  ความสามารถ  สิ่งที่ควรจะรับผิดชอบอยู่แล้ว  เหลียนอันสุ่ยมีความเห็นว่าไม่มีความสุขสบายอะไรที่สามารถแลกมาด้วยการไม่ทำงาน  ในเมื่อไม่มีบิดาหนุนหลังเหลียนจิ้งเต๋อแม้กองงานจนเป็นนิสัย  แต่ถึงกำหนดส่งก็ยังต้องอดทนทำให้ทัน  แม้จะฉิวเฉียดมากก็ตาม

“จริงๆข้าว่าใช้ชีวิตได้อย่างเขาก็ดี  มิใช่สนุกสนานมีสีสันมากหรอกหรือ” ฉีเซี่ยงหยวนพึมพำด้วยรอยยิ้ม

เหลียนอันสุ่ยสั่นหัว  เหลียนจิ้งเต๋อมักบอกว่าพ่อบุญธรรมเข้มงวดและทำอะไรเป็นการเป็นงานอยู่เรื่อย  จริงๆถ้าเทียบกับรัชทายาทแล้ว  ฉีเซี่ยงหยวนอ่อนข้อให้เหลียนจิ้งเต๋อจนแทบจะเข้าขั้นลำเอียง  ฉีเซี่ยงหยวนเคยบอกว่าเด็กคนนี้มีชีวิตอย่างมีความสุข  ทำอะไรที่อยากทำ  ไม่ต้องเจ้าเล่ห์มากมาย  และไม่เคยสนใจว่าตัวเองต้องมีความสามารถเหนือล้ำกว่าใคร  แค่คิดจะใช้ชีวิตของเขาให้ดี  มุมมองแบบนี้ได้มาไม่ง่ายนัก  คนในราชสำนักมีประเภทชวนเครียดชวนหดหู่มากพออยู่แล้ว  ไม่จำเป็นต้องพยายามเปลี่ยนเหลียนจิ้งเต๋อให้กลายเป็นคนประเภทนั้นไปด้วย

“ท่านใยต้องกลุ้มใจ  อันที่จริงเด็กคนนั้นมิใช่คนไม่มีความสามารถ  เขาแค่ทุ่มเทให้กับสิ่งที่เขาสนใจ  ไม่ได้ทุ่มเทให้กับความก้าวหน้าและผลประโยชน์”
“จนตอนนี้เขาก็ยังไม่ชอบท่าน”
ฉีเซี่ยงหยวนยักไหล่กล่าวว่า
“ใช้คำว่าชอบไม่ลงมากกว่า  ข้าก็เป็นคนที่คนมักชอบไม่ลงอยู่แล้ว  ข้ายังสงสัยว่าท่านมาชอบข้าได้ยังไง”
เหลียนอันสุ่ยเหลือบมองไปโต๊ะข้างๆ เห็นบรรดาผู้ติดตามของพวกเขาที่แสร้งทำเป็นไม่รู้จักกันยังคงดื่มชาด้วยท่าทีเป็นปกติ  ไม่มีทีท่าว่าจะได้ยินบทสนทนาก็ลอบผ่อนลมหายใจอย่างโล่งอก

ครั้งนี้ฉีเซี่ยงหยวนแม้ขนคนมาไม่น้อย  แต่ขนขุนนางมาไม่มาก  การตรวจตราตามรายทางมิได้กระทำอย่างจริงจังเคร่งเครียดเท่าครั้งอื่นๆ  เพราะมันเป็นเพียงผลพลอยของคนที่ไม่ชอบอยู่โดยสูญเปล่าอย่างฉีเซี่ยงหยวนเท่านั้น  จุดหมายหลักยังคงเป็นเรื่องที่แคว้นเหลียน 

บางทีนี่อาจจะเป็นการเดินทางครั้งที่เร่งรีบน้อยสุดตั้งแต่ขึ้นรับตำแหน่งเป่ยชางอ๋องเป็นต้นมา  คล้ายกับฉีเซี่ยงหยวนจงใจเก็บเกี่ยวเวลาตามรายทางร่วมกับคนสำคัญของเขา  มันจึงออกมาในรูปแบบของสะสางราชการแผ่นดินไปด้วยผ่อนคลายและซึมซับกับอิสระที่หาไม่ได้ในวังหลวงไปด้วย  สัมผัสกับกลิ่นอายในแต่ละพื้นที่ที่ได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งในเขตปกครองของเขา  สัมผัสกับปัญหาในแต่ละพื้นที่ที่ได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งในเขตปกครองของเขา   ขณะนี้ฉีเซี่ยงหยวนกำลังยุ่งเกี่ยวกับปัญหาที่ไม่ค่อยใช่ปัญหาของเขาเท่าไหร่ปัญหาหนึ่ง

“ท่านว่าเด็กพวกนั้นถูกขังอยู่ที่ไหน” หลังจิบน้ำชาคำหนึ่งเหลียนอันสุ่ยก็ถามขึ้น
“นั่นต้องขึ้นอยู่กับว่าโจรลักพาตัวเด็กคิดประกอบการค้าขายโดยไม่สนใจกฎหมายพวกนี้เป็นผู้ใด  มีจุดประสงค์อะไร  พ่อค้าย่อมต้องหาหนทางส่งสินค้าไปยังปลายทาง  พวกเราคลำมาไม่ผิดหรอก” น้ำเสียงของฉีเซี่ยงหยวนเย็นเยียบ  เชื่อมั่นในตัวลูกน้องของเขาที่ถูกส่งออกไปตามหาตามจุดต่างๆในเมืองว่าจะต้องไม่พลาดแน่  ต่อให้อาจจะมีปัญหาติดขัด  แต่ขั้นต่อไปฉีเซี่ยงหยวนจะเปิดเผยฐานะบางส่วนยืมใช้กำลังของทางการ  มีสถานะเป่ยชางอ๋องบีบอยู่รับรองว่าไม่มีใครกล้าปกป้องคนผิด

ฉีเซี่ยงหยวนไม่ได้จงใจยุ่งเกี่ยวกับคดีเล็กน้อยที่น่าจะมีผู้สอดส่องรับผิดชอบอยู่แล้วมากความ  แต่ผู้ใดใช้ให้ตลอดรายทางมานี้มีแต่คดีเด็กหาย  โจรชั่วที่อยู่เบื้องหลังของมีอิทธิพลไม่เบา  ขนาดลูกของชนชั้นผู้มีอันจะกินยังถูกลักพาตัวไป  นับเป็นความซวยขนานแท้ของตัวการใหญ่ที่เป่ยชางอ๋องถึงกับลงมาเล่นกับเรื่องนี้ด้วยตัวเอง  ต้องโทษความอุกอาจเหิมเกริมกล้าก่อกรรมทำชั่วเป็นวงกว้างที่ทำให้ฉีเซี่ยงหยวนตัดสินใจสอดมือเข้ามายุ่งเกี่ยว  ไม่ว่าความเป็นมาจะใหญ่โตปานใดก็ไม่มีทางใหญ่โตกว่าต้าอ๋อง  ฉีเซี่ยงหยวนคิดสาวไส้โจรชั่วออกมา  โจรชั่วเหล่านั้นย่อมไม่มีปัญญาดิ้นรนหลุดพ้นกำมือไปได้

เรื่องตัวการหลักฉีเซี่ยงหยวนพอจะทราบคร่าวๆมาบ้างแล้ว  ที่แท้เป็นพ่อค้าอันดับต้นๆของแคว้นเป่ยชาง  ขวัญกล้าบังอาจเพราะแอบอิงใช้บารมีเชื้อพระวงศ์  เนื่องจากตัวเขาเป็นคนส่งเงินส่งทองให้ลุงของรัชทายาทที่ใช้จ่ายมือเติบตลอดมา  พี่ชายของพี่สะใภ้ผู้นี้ไม่มีอะไรเอาอ่าว  ตั้งแต่ฉีเซี่ยงหยวนรู้จักมาความสามารถโดดเด่นเพียงหนึ่งเดียวของเขาคือการใช้จ่ายเงินทองโดยไม่ยั้งคิด  ก่อนหน้านี้พึ่งพาบารมีน้องสาวที่ได้เป็นชายารัชทายาท  ปัจจุบันพึ่งพิงบารมีหลานชายที่ตอนนี้ดำรงตำแหน่งรัชทายาท  ฉีเซี่ยงหยวนเคยลงมือตักเตือนไปคราหนึ่ง  ลดเบี้ยหวัดไปหลายครา  คิดไม่ถึงคราวนี้ต้องลงมือจัดการจริงๆจังๆอีกครั้ง
 
แน่นอนว่าแผนการซับซ้อนสุดที่ความสามารถของพระญาติผู้นั้นจะวาดออกมาได้  เพียงแต่โฉดเขลาจนถูกผู้อื่นเอาบารมีไปก่อกรรมทำชั่วได้  นับว่าหมดหนทางเยียวยา  มีแต่ต้องใช้มาตรการคุมความประพฤติอย่างเคร่งครัดเป็นทางออกสถานเดียว

ส่วนตัวการหลักที่วาดแผนใหญ่โตประกอบเรื่องสามานย์ต้องถอนรากถอนโคนสถานเดียว  ความจริงเมื่อทราบตัวการแล้วก็คาดเดาทางไปของเด็กเหล่านั้นได้ไม่ยากเลย  กิจการของพ่อค้าผู้นี้ที่รุ่งเรืองที่สุดก็คือหอนางโลม   อีกธุรกิจเบื้องหลังเกรงว่าเป็นการค้าทาสเถื่อนทั้งชายและหญิง ตอนนี้ตามจนใกล้เข้าทุกที  เด็กทั้งหมดต้องถูกซ่อนในเมืองนี้อย่างแน่นอน  หลังสืบพบที่ซ่อนเด็กก็ได้เวลารวบตัวการใหญ่แล้ว

บุรุษร่างสูงใหญ่ผู้หนึ่งขึ้นบันไดขึ้นมาชั้นสอง  ค้อมหัวให้ฉีเซี่ยงหยวนทีหนึ่ง  แล้วจึงรายงาน
“พบที่ซ่อนของเด็กทั้งหมดแล้ว  จะให้ทำอย่างไรต่อไปขอรับ”
“ต้องช่วยเด็กออกมาก่อน” นี่เป็นเสียงเหลียนอันสุ่ย
“แต่ทำแบบนั้นตัวการใหญ่อาจไหวตัวหลบหนีกันหมด” ฉีเซี่ยงหยวนใคร่ครวญ
“ท่านทราบกระทั่งวิธีติดต่อของพวกเขา ใยไม่ใช้การเปิดโปงที่ซ่อนตัวของเด็กบีบให้พวกเขาต้องส่งข่าวเตือนภัยถึงกันและกัน  แบบนั้นท่านจะรวบคนที่เกี่ยวข้องและตัวการสำคัญได้ทั้งหมด”

ฉีเซี่ยงหยวนนิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่งก็พยักหน้าว่า “วิธีนี้ดีมาก  ข้าต้องไปพบเจ้าเมืองก่อน  ควบคุมการเข้าออกของคนได้ก็ควบคุมข่าวสารจากเมืองสู่เมืองได้” ส่วนการติดต่อลับของโจรชั่วอยู่ในกำมือหลิวฉางเฟยนานแล้ว  พวกเขาจะรู้ข่าวตอนที่ข้าต้องการให้พวกเขารู้
ร่างสูงใหญ่ยืนขึ้นช้าๆ  หลังโต๊ะริมหน้าต่างออกไปไม่นาน  โต๊ะที่อยู่ข้างกันที่นั่งด้วยชายฉกรรจ์สี่คนก็ลุกตาม  คนรับใช้ในโรงน้ำชาได้แต่มองหน้ากันด้วยความมึนงงว่าสรุปคนสี่คนนี้มาทำอะไรกันแน่  ทำไมดูยังไงก็ดูเหมือนจะมานั่งเฉยๆ  พวกเขาย่อมไม่ทราบว่าคนเหล่านี้มิใช่คนผ่านทางทั่วไปแต่เป็นองครักษ์ที่นั่งอยู่ตรงนั้นด้วยจุดประสงค์เดียวคือสอดส่องความปลอดภัยให้กับนายเหนือหัว
---------------------
เรื่องอึกทึกครึกโครมและฉูดฉาดเรื่องหนึ่งเกิดขึ้นในเมือง 
เด็กทั้งหมดถูกช่วยออกมาแล้ว  ฉีเซี่ยงหยวนเดินดูการจัดแจงของทหารใต้บังคับบัญชารู้สึกพึงพอใจยิ่ง  เด็กเหล่านี้ย่อมเป็นหน้าที่พนักงานบ้านเมืองที่จะนำพวกเขาส่งคืนกลับบ้าน  เด็กจำนวนมากถูกจับมาจากเมืองอื่นใช้วิธีตรวจเทียบประวัติกับบรรดาคำร้องเรื่องเด็กหายของแต่ละพื้นที่  เด็กส่วนใหญ่อยู่ในวัย7-8 ขวบ รู้เรื่องพอสมควร  หากสอบถามพบว่าพอจะจำได้ว่าตัวเองมาจากที่ใดก็ให้ส่งคืนไปตามนั้น    ส่วนคนที่ไม่สามารถหาเค้าลางประวัติก็ได้แต่ใช้วิธีประกาศข่าวออกไป  รอให้ข่าวไปถึงแล้วพ่อแม่เดินทางมารับตัวเด็กเอง  ทุกอย่างดูเรียบร้อยดี  ทว่ามีเด็กเจ้าปัญหาอยู่คู่หนึ่งที่หลังถูกช่วยมาได้ก็ทำเรื่องราวใหญ่โต...

“พี่ทหาร  ท่านช่วยตามหมอมาเร็วเข้า  น้องชายข้าไข้ขึ้นสูงจะไม่ไหวแล้ว”
อันที่จริงตามหมอมาแล้วก็น่าจะจบกันไป  การดื้อดึงไม่ยอมเคลื่อนย้ายทหารใต้บังคับบัญชาของฉีเซี่ยงหยวนย่อมต้องมีวิธีจัดการ  แต่ปัญหามันอยู่ที่ว่าเหลียนอันสุ่ยโผล่หน้าเข้าไปเยี่ยมดูสภาพตอนเด็กเหล่านั้นถูกช่วยออกมาด้วย  เด็กแฝดคู่นั้นจึงกลายเป็นอยู่ในความดูแลของเหลียนอันสุ่ยโดยเจ้าตัวเป็นคนออกปากเอง

บุรุษที่อยู่เหนือแผ่นดินเป่ยชางขมวดคิ้ว  ขณะกอดอกมองคนที่ทำตัวเป็นหมอทันทีที่ได้ยินว่ามีเด็กป่วย  แฝดคนน้องป่วยหนักไข้ขึ้นสูงเพ้อไม่ได้สติอยู่บนเตียงด้วยท่าทางน่าสงสารยิ่ง  เหลียนอันสุ่ยกำลังเช็ดตัวให้กับเขา  ส่วนแฝดคนพี่เฝ้าอยู่ข้างตัวน้องชายไม่ยอมขยับไปไหนแม้แต่ก้าวเดียว  ขอร้องไม่หยุดปาก
“ท่านหมอ  ท่านต้องช่วยน้องข้าให้ได้นะ  คนเลวพวกนั้นไม่ยอมตามหมอบอกว่าจะมีคนจับได้  แต่น้องชายข้าป่วยมาหลายวันแล้วอาการก็ยังไม่ดีขึ้น  ท่าน...ท่านต้องอย่าทิ้ง  อย่าปล่อยให้เขาตายนะ”
เหลียนอันสุ่ยปลอบประโลมจิตใจวิตกกังวลของเด็กคนนั้นด้วยการพยักหน้ารับคำเป็นมั่นเหมาะ

ฉีเซี่ยงหยวนที่ยืนฟังอยู่จึงเอ่ยปากเตือนความจำอีกฝ่ายด้วยความหวังดีว่า
“ไม่กี่วันพวกเราก็จะไปแล้ว  ท่านทิ้งเขาไว้ที่นี่  ข้าจะให้คนตามหมอคนอื่นมาตรวจดูอาการเขาแทนจะดีกว่า” เหมือนฉีเซี่ยงหยวนจะทำพลาดไปตรงที่ใช้คำว่า ‘ทิ้ง’ ในประโยค

เด็กแฝดคนพี่จึงหันมามองหน้ากับฉีเซี่ยงหยวนด้วยสีหน้าเจ็บแค้นราวอีกฝ่ายได้ฆ่าน้องชายเขาอย่างเลือดเย็นก็ไม่ปาน  มือเล็กขยุ้มชายเสื้อของเหลียนอันสุ่ยไว้แน่น  ดวงตามีน้ำตาคลอเบ้า  อ้อนวอนว่า
“ท่านหมอท่านอย่าใจร้ายทิ้งน้องชายข้าไปนะ  อย่าไปฟังคำของเขา  มีแต่คนไม่ดีที่อยากให้น้องชายข้าตาย  ท่านอย่าทิ้งพวกเราไปนะ  ตอนนี้ท่านพ่อกับท่านแม่ไม่อยู่  แต่ถ้าท่านอยากได้ค่ารักษา  ข้า...ข้าจะพยายามไปหามาให้”

เด็กคนนี้ดูเหมือนจะตีความผิดพลาดไปใหญ่แล้ว 
“ข้าไม่ได้หมายความว่าจะทิ้งน้องชายเจ้าให้เผชิญกับชะตากรรม  ข้าแค่บอกว่าจะให้คนไปตามหมอคนอื่น...”
 “เราก็ยังอยู่ที่นี่อีกสองวันมิใช่หรือ  เอาไว้ไข้ของเขาลงแล้วเรื่องนี้ค่อยพูดกัน  ตอนนี้ให้ข้าดูแลเขาไปก่อน” เหลียนอันสุ่ยออกปากไล่เกลี่ย
---------------------

ออฟไลน์ wind of autumn

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 88
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +93/-0
Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 74
«ตอบ #264 เมื่อ18-01-2015 18:36:37 »

บทที่ 74 ท่านอาใจดีกับท่านลุงใจโหด(2)

วันถัดมาไข้ที่ขึ้นสูงจัดก็ลงมาอยู่ในระดับที่ไม่สูงนัก  เหลียนอันสุ่ยเฝ้าคนทั้งคืน รู้สึกเหมือนได้ย้อนเวลากลับไปที่ตอนที่เหลียนจิ้งเต๋อยังเล็กๆอีกครั้ง  ฝาแฝดคนพี่ดื้อดึงไม่ยอมนอน  ทุ่มเทเฝ้าอาการน้องชายสุดท้ายทนไม่ไหวสัปหงกไปตอนรุ่งเช้า
ถัดไปอีกวันไข้ยังไม่หายดี  แต่อาการดูไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงมากแล้ว  เด็กแฝดสองคนติดเหลียนอันสุ่ยแจเรียกหาเขาเป็นท่านอา  เพราะเพิ่งผ่านเหตุการณ์เลวร้ายทั้งคู่จึงกลายเป็นเด็กหวาดกลัวคนแปลกหน้า   ส่วนเหลียนอันสุ่ยคือคนแปลกหน้าเพียงคนเดียวที่พวกเขาไว้ใจ

หลังซักถามปรากฏว่าเด็กแฝดคู่นี้มาจากครอบครัวที่ฐานะไม่เลว  เพราะหลบพ่อแม่ออกมาเที่ยวเล่นในเมือง  คนร้ายเห็นทั้งคู่หน้าตาน่ารักจึงจับตัวมาคิดขายเป็นข้าทาสให้กับชนชั้นสูง  ตรวจสอบการบอกเล่าของเด็กทั้งสองพบว่าบ้านอยู่ในเมืองที่อยู่ใต้ลงไปอีก  และเป็นทางผ่านของพวกฉีเซี่ยงหยวนพอดี  ...เหลียนอันสุ่ยจึงเกิดความคิดที่ว่าจะให้เด็กทั้งสองติดตามไปกับพวกเขาเสียเลย
เหลียนจิ้งเต๋อเข้ากับเด็กแฝดคู่นี้ได้ไม่เลว  พบกันไม่นานเด็กสองคนนี้ก็เรียกเขาเป็น ‘พี่จิ้งเต๋อ’ ไม่ขาดปาก  คนที่เข้ากับแฝดคู่นี้ไม่ได้และไม่ค่อยเห็นด้วยกับการตัดสินใจของเหลียนอันสุ่ยคือฉีเซี่ยงหยวน  เรื่องมันเริ่มจากตอนที่เด็กน้อยเพิ่งฟื้นมาได้ครึ่งวัน  ฉีเซี่ยงหยวนที่เดินคุยมากับพระมาตุลาแคว้นเหลียนจึงถือโอกาสเยี่ยมหน้ามาดูซักหน่อย

เดินเข้าห้องได้เพียงสองก้าว  ก็ได้ยินเสียงกระซิบกระซาบที่ไม่ค่อยเบาเท่าไหร่นักดังมาจากบนเตียง
“ท่านพี่  คนผู้นี้หรือว่า...หรือว่าคือท่านลุงใจโหดท่านเคยพูดถึง  ที่บอกว่าตอนนั้นเขาจะทิ้งให้ข้าตาย”
“ไม่ผิด  เจ้าต้องอยู่ห่างเขาเอาไว้” กำชับอย่างเคร่งเครียดจริงจัง

เหลียนจิ้งเต๋อที่นั่งอยู่ในห้องด้วยรับฟังจนขำก๊าก  สอบถามที่มาแฝดคนน้องก็แจกแจงด้วยดวงตาใสแจ๋วน้ำเสียงใสซื่อว่า
“พี่จิ้งเต๋อ  ตอนข้าเพิ่งฟื้นท่านพี่บอกข้าว่าที่นี่มีคนสองคน  คนหนึ่งคือท่านอาใจดี  อีกคนคือท่านลุงใจโหด  ท่านอาใจดีเป็นหมอที่ช่วยข้า  ท่านลุงใจโหดเป็นเจ้าของห้องหับและรถม้า  คนแรกมีบุญคุณ  คนที่สองล่วงเกินไม่ได้  ให้ระวังมากๆ ท่านพี่บอกข้าเอาไว้อย่างนี้”
เหลียนจิ้งเต๋อฟังจบแล้วขำออกมาอีกรอบ  เหลียนอันสุ่ยเหลือบมองสีหน้าของบุรุษร่างสูงใหญ่ที่เดินมากับเขา  เห็นอีกฝ่ายมีท่าทีพูดไม่ออกก็กลั้นหัวร่อไม่ไหวต้องหัวเราะออกมาเบาๆเช่นกัน

คนที่กล่าวอย่างฉาดฉานว่า ‘ล่วงเกินไม่ได้’  ดูเหมือนจะไปล่วงเกินฉีเซี่ยงหยวนเข้าเต็มเปา  ดังนั้นแฝดคนน้องที่ใสซื่อว่านอนสอนง่ายยิ่ง  สุดท้ายก็มีคดีกับฉีเซี่ยงหยวนเช่นกัน
---------------------
คืนนั้นฉีเซี่ยงหยวนมีเรื่องข้องใจ 
“ข้าอายุน้อยกว่าท่านชัดๆ  ทำไมท่านจึงเป็นท่านอา  แต่ข้าเป็นท่านลุงเล่า”
เหลียนอันสุ่ยฟังแล้วหัวเราะ  อิงหน้าผากกับบ่ากว้าง  ไม่ได้ตอบคำ  ซักพักก็ได้ยินคนพึมพำ
“เด็กแฝดคู่นั้น  คนพี่ปัญหาเยอะ  คนน้องก็เอาแต่พูดว่าท่านพี่บอกว่าอย่างนั้น  ท่านพี่บอกว่าอย่างนี้  เชื่อฟังพี่ชายทุกอย่าง  อีกไม่นานคงต้องถูกพี่ชายชักนำจนเสียคนกลายเป็นเด็กไม่น่ารักแน่” ฟังฉีเซี่ยงหยวนบ่น  เหลียนอันสุ่ยก็เลิกคิ้วถามว่า
“สมัยเด็กท่านนิสัยน่ารักมากเลยหรือ”

ฉีเซี่ยงหยวนชะงัก  ย้อนคิดๆดูแล้วสมัยเด็กๆตัวเขาไม่เพียงหาคำว่าน่ารักไม่เจอแล้ว  ยังสมควรเติมคำว่าร้ายกาจสุดๆซ้ำเข้าไปอีกสี่คำ  บอกว่าผู้อื่นจะเสียคน  แต่ดูเหมือน...ตัวเขาจะเสียคนไปเรียบร้อยแล้ว

ฉีเซี่ยงหยวนเคยทำตัวเหลวแหลกสุดๆในวัยสิบห้า  ชีวิตช่วงนั้นใช้คำว่าบัดซบมาอธิบายได้สถานเดียว  เรื่องแหกกฎทุกอย่างขอให้ทำได้จะรู้สึกเหมือนตัวเองประสบความสำเร็จ  บางทีเขาคงแค่อยากจะให้พระบิดาหันมามองเขาบ้าง  ให้พระมารดาดุด่าเขาซักคำ  แต่ทำๆไปแล้วกลับมิได้มีอะไรดีขึ้น  ฉีเซี่ยงหยวนเพียงรู้สึกขยะแขยงตัวเอง  ขยะแขยงสังคมเหลวแหลกที่เขาจมปลักอยู่  ข้างในกลวงโบ๋ว่างเปล่า  มันไม่ได้ทำให้เขารู้สึกมีคุณค่าขึ้นมาเลย  แต่ตัวเขาในตอนนั้นกลับยังคงไม่รู้ 

สมัยนั้นเขามีนางโลมคนโปรดคนหนึ่ง  นางถามเขาว่า
‘ท่านมาแสวงหาอะไรที่นี่กันแน่  ผู้อื่นมาแสวงหาความสุข  แต่ตัวข้ากลับไม่เคยเห็นท่านยิ้มได้นานเลย  ท่านมากับพวกเขา  แต่ลึกๆแล้วสายตาของท่านกลับเหยียดหยามพวกเขา  ในเมื่อท่านเหยียดหยามพวกเขาแล้วใยต้องทำตัวเลียนอย่างพวกเขาด้วย’
บางทีนั่นอาจจะเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้เขาสงสัยเกี่ยวกับหนทางที่ก้าวเดินอยู่  และพยายามหาคำตอบว่าชีวิตที่กลวงว่างเปล่ามีสาเหตุมาจากอะไรกันแน่  เขาทำตัวเหลวไหลสุดๆได้ก็สามารถลองทำตัวจริงจังสุดๆได้เช่นกัน  หลังจากนั้นเขาจึงเริ่มทุ่มเทกับการฝึกในกองทัพ  มิใช่ทำแค่พอผ่านๆอย่างที่แล้วมา กองทัพกลายเป็นชีวิตของเขา  กลายเป็นครอบครัวจริงๆของเขา 

บางทีชีวิตคนก็ต้องมีหลักยึด  มีเป้าหมายที่ตัวเองทุ่มเทให้  เขาก็แค่ย้ายจากการหาทางทำเรื่องร้ายกาจในสมัยเด็กมาเป็นการพยายามทำตัวให้สุดโต่งที่สุดในสมัยวัยรุ่น  และย้ายจากการทำตัวสุดโต่งในวัยรุ่นมาเป็นการพยายามพิชิตตำแหน่งหน้าที่ในกองทัพ  เส้นทางชีวิตเขาเป๋ไปเป๋มา  แต่ก็ยังดีที่ในที่สุดเขาก็สามารถหาเส้นทางของตัวเองจนเจอ

“...ก็ได้  ข้ายอมรับว่าต่อให้เด็กแฝดนั่นทำตัวแย่กว่านี้ก็ต้องนิสัยดีกว่าข้า  และขึ้นชื่อลือกระฉ่อนน้อยกว่าข้า  แต่ข้าไม่เข้าใจว่าเหตุใดท่านจึงเอ็นดูเด็กแฝดนั่นนัก  ไม่เห็นจะน่ารักเท่าไหร่  สู้อิ๋งอิ๋งของข้าก็ไม่ได้”

...เกรงว่าทั้งแผ่นดินคงจะหาคนสู้อิ๋งอิ๋งของท่านไม่ได้  เหลียนอันสุ่ยคิดในใจแต่ไม่ได้พูดออกมา  ‘อิ๋งอิ๋งของข้า’ เป็นใครนั้นเรื่องนี้ต้องเล่าย้อนกลับไปพอสมควร
---------------------
การที่ฉีเซี่ยงหยวนยกทัพบุกเข้าแคว้นหนานเหมินในครั้งนั้น  นายกองแคว้นเหลียนเถี่ยเจิ้งประกอบความดีความชอบไม่น้อย  เป่ยชางอ๋องจึงประทานหญิงงามให้กับเขานางหนึ่ง  หญิงงามผู้นี้ก็คือจือหลัน  ในที่สุดความรักที่ฝังรากลึกแอบรักกันมาเป็นสิบปีก็สามารถหาหนทางลงเอย 

ไม่นานหลังจากนั้นจือหลันก็ตั้งครรภ์  คลอดเป็นเด็กสาวที่น่ารักขอให้เหลียนอันสุ่ยตั้งชื่อให้  เด็กคนนี้เกิดมาได้เพราะเหลียนอันสุ่ย  ทั้งเถี่ยเจิ้งและจือหลันจึงคิดจะให้บุตรสาวถือพระมาตุลาเป็นบิดาบุญธรรม  เหลียนอันสุ่ยตั้งชื่อให้เด็กคนนี้ว่าอิ๋งอิ๋ง
ทว่าอิ๋งอิ๋งอายุได้ไม่เท่าไหร่เถี่ยเจิ้งก็ต้องออกไปทำศึกกับแคว้นหนานเหมิน  จือหลันที่ตอนนั้นเป็นเถี่ยฮูหยินแล้วห่วงกังวลอยู่ทุกวัน  มักหาข้ออ้างพาลูกมาที่ตำหนักชุนเกอเพื่อเยี่ยมพ่อบุญธรรมเพื่อหวังจะได้ยินข่าวคราวการศึกบ้าง  ซักนิดก็ยังดี  ในช่วงนั้นเถี่ยอิ๋งอิ๋งจึงกลายเป็นสมาชิกขาประจำของตำหนักชุนเกอ

วันหนึ่งฉีเซี่ยงหยวนเลิกประชุมขุนนางเร็ว  เหลียนอันสุ่ยเห็นอีกฝ่ายไม่เคยอุ้มเด็กมาก่อนจึงลองให้อุ้มดู  นั่นจึงเป็นครั้งแรกที่เหลียนอันสุ่ยได้เห็นต้าอ๋องที่ไม่ว่าเรื่องอะไรก็กล้าทำพยายามหาหนทางบ่ายเบี่ยงปฏิเสธ  เหลียนอันสุ่ยเพิ่งรู้ว่าอีกฝ่ายกังวลอย่างจริงจังตอนที่ยกให้อุ้มแล้วเกร็งไปหมด

“ท่านรัดแน่นขนานนี้ไม่ได้  นางจะเจ็บ”
คนฟังมีสีหน้าเหยเก  รีบกล่าวว่า
“ท่านเอาคืนไปเถอะ  เดี๋ยวข้าทำนางตก” คนที่เป็นแต่จับหอกจับดาบมาหลายปีจู่ๆกลับต้องมาอุ้มสิ่งมีชีวิตเล็กๆแบบนี้นับว่ามือไม้ปั่นป่วนทำอะไรไม่ถูกจริงๆ
“ท่านอุ้มถูกท่าแล้ว  ให้นางพิงศีรษะกับตัวท่านไว้  มืออีกข้างประคองใต้คอนางด้วยก็จะดี”
ฉีเซี่ยงหยวนก้มมองเด็กน้อยในอ้อมแขน  เทียบกับท่อนแขนเขาแล้ว  นางดูตัวเล็กนิดเดียว  ดูเปราะบางและแตกหักง่ายถึงเพียงนั้น  เขาทำได้แค่มองนางด้วยความหลากใจ

วันนั้นอิ๋งอิ๋งอารมณ์ดี  เปลี่ยนคนอุ้มก็ไม่หือไม่อือ  แค่น้ำลายยืดใส่เสื้อคลุมสูงค่าของอีกฝ่ายซะเลย

เหลียนอันสุ่ยอยากให้ฉีเซี่ยงหยวนลิ้มรสชาติของการอุ้มชีวิตน้อยๆที่เพิ่งเกิดบ้าง  เผื่อจะทำให้อีกฝ่ายเปลี่ยนใจ เผื่อจะทำให้ฉีเซี่ยงหยวนเข้าใจอย่างแท้จริงว่าได้เลือกที่จะสูญเสียอะไรไป  ทว่าในตอนที่เห็นบุรุษสูงใหญ่กำยำผู้นี้โอบชีวิตเล็กๆเอาไว้ในอ้อมแขน  ตัวเหลียนอันสุ่ยเองกลับรู้สึกเหมือนมีก้อนจุกแน่นอยู่ในคอจนพูดไม่ออก  เป็นเพราะเขา...ตลอดหลายปีมานี้ฉีเซี่ยงหยวนถึงไม่เคยมีเลือดเนื้อเชื้อไขของตัวเองอย่างแท้จริง
“ท่านน่าจะ...มีลูกซักคน”
ฉีเซี่ยงหยวนเงยหน้าขึ้นมา  จากนั้นหัวเราะเบาๆ
“เรื่องนี้พวกเราเถียงกันมากี่ครั้งแล้ว  ว่าแต่ข้าควรทำยังไง  ข้าไม่มีมือจะเช็ดน้ำลายให้นางแล้ว”
เหลียนอันสุ่ยเดินเข้าไปช้าๆ  ใช้ผ้าผืนเล็กซับน้ำลายให้ลูกสาวบุญธรรมของเขา  มองนางแล้วเหลือบตาขึ้นมองบุรุษที่เขารัก  ก็พบว่าอีกฝ่ายมองเขาอยู่ก่อน  มองด้วยสายตาที่อ่อนโยนยิ่ง

ตั้งแต่คราวนั้นแม้เหลียนอันสุ่ยจะได้ชื่อว่าเป็นพ่อบุญธรรม  แต่คนที่ตามใจอิ๋งอิ๋งมากที่สุดก็คือฉีเซี่ยงหยวน  ฉีเซี่ยงหยวนที่งานยุ่งวุ่นวายถึงกับหาเวลาว่างเพื่อจะมาหานาง  เล่นกับนางซักหน่อย  อุ้มนางซักหน่อย 

สุดท้ายเถี่ยเจิ้งปลอดภัยกลับมาประกอบความดีความชอบยิ่งใหญ่สามารถตัดหัวแม่ทัพข้าศึกจนได้ประทานยศเลื่อนขั้น  แต่กระทั่งแม่ทัพเถี่ยกับเถี่ยฮูหยินก็ยังต้องเกรงใจลูกสาวคนนี้  เพราะความโปรดปรานที่เป่ยชางอ๋องมีให้เถี่ยอิ๋งอิ๋งล้ำหน้าเกินธรรมดามากนัก  โชคดีที่เถี่ยอิ๋งอิ๋งไม่ใช่เด็กดื้อ  แต่เหลียนอันสุ่ยก็ยังออกปากเตือนฉีเซี่ยงหยวนว่าอย่าตามใจนางมากเกินไป  ส่วนเหลียนจิ้งเต๋อตั้งแต่ได้น้องสาวที่อายุห่างกันมากคนนี้มาก็ตื่นเต้นกระตือรือร้น  ร่วมด้วยช่วยกันตามใจอิ๋งอิ๋ง  นับเป็นหนึ่งในไม่กี่เรื่องที่บิดาบุญธรรมกับบุตรชายบุญธรรมคู่นี้มีความเห็นตรงกัน 
...ซึ่งนั่นทำให้เหลียนอันสุ่ยปวดหัวมากทีเดียว
---------------------
สุดท้ายเด็กแฝดคู่นั้นก็สามารถกลับถึงบ้านโดยปลอดภัย  บิดามารดาที่ได้บุตรชายกลับมาดีใจจนร้องไห้  คุกเข่าโขกศีรษะให้กับเจ้าเมือง  ตัวเจ้าเมืองเองไม่กล้ารับการโขกศีรษะนี้ไว้  บอกว่าเป็นขุนนางตำแหน่งไม่เบาฝากมายังเขาอีกทอดหนึ่ง

“ท่านพ่อ  เมื่อครู่ท่านลุงเจ้าเมืองพูดผิดแหละ คนที่พาพวกข้ามาส่งที่นี่มิใช่ท่านลุงแก่ๆคนนั้นเสียหน่อย” แฝดคนพี่บอกบิดาขณะพวกเขาอยู่ระหว่างทางกลับบ้าน
“ใช่ คนที่พาพวกเรามาคือท่านลุงกับท่านอาต่างหาก” แฝดคนน้องกล่าวพลางพยักหน้าหงึกหงัก
“ท่านลุงโหดๆคนนั้นสั่งให้ท่านลุงแก่ๆพาพวกเราไปหาเจ้าเมือง” เห็นว่าน้องชายกล่าวไม่ครบถ้วนจึงเอ่ยเสริม

บิดามารดาของสองแฝดหันไปมองหน้ากันอย่างพูดไม่ออก  ท่าทางคลางแคลงจนปิดไม่มิด
‘สั่ง’ อย่างนั้นหรือ  ท่านเจ้าเมืองมิใช่บอกว่าขุนนางที่ส่งตัวบุตรชายทั้งสองของพวกเขามามีตำแหน่งไม่ธรรมดาในเมืองหลวงหรอกหรือ  แล้วคนที่ยิ่งใหญ่ขนาดนั้นถูก ‘สั่ง’ ได้ใยมิใช่หมายความว่าคนสั่งมีอำนาจยิ่งใหญ่ยิ่งกว่า !
...บางทีที่บุตรชายของพวกเขาพูดอาจเป็นวาจาเหลวไหล  แต่ทำไมเด็กทั้งสองจึงดูไม่เหมือนพูดโกหกเลยเล่า
---------------------
การเปิดโปงคดีใหญ่กลายเป็นหัวข้อถูกพูดถึงอยู่นาน  ทุกคนเพียงทราบว่าคนที่อยู่เบื้องหลังการเปิดโปงถอนรากถอนโคนครั้งนี้ต้องมีศักดิ์ฐานะไม่ธรรมดา  กว่าจะทราบว่าเป็นการยื่นมือเข้ามายุ่งเกี่ยวของเป่ยชางอ๋องก็เป็นหลังจากฉีเซี่ยงหยวนกลับจากแคว้นเหลียนถึงเมืองหลวงแล้ว  เพราะฉีเซี่ยงหยวนไม่ต้องการให้การเดินทางของเขาเอิกเกริกนัก  เนื่องจากนั่นไม่ค่อยมีประโยชน์ใด  มีเพียงก่อผลเสียใหญ่ๆหลายเรื่อง  อาทิเช่น  การเดินทางเงียบๆของพวกเขาจะต้องกลายเป็นเรื่องใหญ่โต  อาทิเช่น  บรรดาเจ้าเมืองจะต้องโผล่มาเข้าเฝ้าตลอดทางจนทำให้ถึงแคว้นเหลียนล่าช้า  อาทิเช่น  เรื่องความปลอดภัย  แม้เป่ยชางในยามนี้จะไม่ได้มีคลื่นใต้น้ำใด  แต่ฉีเซี่ยงหยวนเห็นว่ากันไว้มีประโยชน์กว่าคอยตามแก้ไขมากมายนัก

หลังจากชาวบ้านได้ทราบว่าบุตรธิดาที่หายไปของพวกเขากลับถึงบ้านโดยปลอดภัยด้วยอำนาจบารมีของเป่ยชางอ๋องก็แซ่ซ้องสรรเสริญเป็นการใหญ่  นั่นก็เป็นเรื่องหลังจากการกลับมาจากการเยือนแคว้นเหลียนแล้ว    การที่คดีใหญ่ถูกพลิกโฉมหน้าโดยเป่ยชางอ๋องมีผลให้หน่วยงานทางตุลาการทำงานอย่างแข็งขันมากขึ้น  ด้วยเกรงถูกตำหนิว่าทำหน้าที่หย่อนยาน  บ้านเมืองมีโจรผู้ร้ายน้อยลง ชีวิตประจำวันทวยราษฎร์สงบปลอดภัยมากขึ้น  นี่ล้วนเป็นผลที่จะตามมาหลังจากนั้นทั้งสิ้น 

ฉีเซี่ยงหยวนเองก็คิดไม่ถึงว่าการยื่นมือเข้ามายุ่งเกี่ยวกับเรื่องราวของเขาจะเป็นการสานต่อความรุ่งเรืองและร่มเย็นแคว้นเป่ยชาง
แต่แน่นอนว่านั่นคือเหตุการณ์ที่เกิดหลังจากนี้อีกไกล  ช่วงเวลานี้ยังคงต้องเอ่ยถึงเหตุการณ์ที่เกิดที่แคว้นเหลียนก่อน
---------------------

คิดมานานแล้วว่าจะเขียนฉีเซี่ยงหยวนกับเด็ก 
หมอนี่เป็นต้าอ๋องที่สามารถทะเลาะกับเด็ก 
และเป็นสิ่งมีชีวิตที่เวลารักใครหลงใครจะตามใจเข้าข้างแบบสุดๆ
(คนแรกคือเหลียนอันสุ่ย  คนที่สองคือเถี่ยอิ๋งอิ๋ง)

ปล.อาทิตย์ที่แล้วไม่ได้อัพ เพราะติดสอบ  อาทิตย์หน้าก็สอบอีก  ดังนั้นอาทิตย์นี้เอาไปสองตอนเลยฮะ

ออฟไลน์ lizzii

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6283
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +271/-2
เหมือนใกล้จะจบแล้วรึเปล่าา

ออฟไลน์ ghostreader

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 12
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
ช่วงรอตอนใหม่ อ่านซ้ำหลายรอบประทับใจไม่รู้ลืมครับ :impress:

ออฟไลน์ ratnalin

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 743
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +71/-2
ฉีเซียงหยวน ทำไมท่านถึงได้น่าเอ็นดูขนาดนี้  :-[
ต้าอ๋องกะเด็กน้อย 5555 นึกว่าจะเป็นประเภทเกลียดเด็กซะอีก
ตอนนี้ก็หวานอีกแล้ว อิย๊าาาาาา ชอบๆๆๆๆๆบรรยากาศแบบนี้ อ่านแล้วรู้สึกความรักฟุ้งตลบอบอวลมากมาย ยิ่งอยู่นานยิ่งรักกัน ชอบที่ฉีเซียงหยวนจะทำอะไรก็คิดถึงเหลียนเหลียนเป็นอันดับแรก ต้าอ๋องน่ารักที่สุดอ่ะ! :laugh:

รอตอนอยู่แคว้นเหลียนค่ะ  :L2:

ออฟไลน์ manutty

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 846
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +92/-0
โอ้ยยยย ฉีฉี ทำไมน่าร๊ากกกกกกกกกกกกอย่างนี้ล่ะ ชอบที่พูดว่า น่ารักสู้อิ๋งอิ๋งของเขาก็ไม่ได้  :laugh:   นึกถึงหน้าคนเย็นชาพูดแบบนี้ มันน่ารักจริงๆนะ แต่ใจอยากให้พูดว่า น่ารักสู้เหลียนเหลียนของเขาก็ไม่ได้ มากกว่านะ  :-[

ออฟไลน์ lilowria

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 31
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
ขอบคุณครับ เหลียนอันสุ่ยมาแล้ว~~~~~ ^_^

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด