CHAPTER TEN
- After all, how can you run away from what’s inside you -
{ Special Part - Tae }
ตึก...ตึก...ตึก...
เสียงฝีเท้าที่สะท้อนอยู่ในทางเดินโถงของคอนโด ณ เวลาเกือบตีหนึ่งเป็นไปอย่างสะเปะสะปะ เนื่องจากคนที่เดินอยู่ข้างผมถูกน้ำเมาที่เรียกว่าเหล้าล้างสติออกไปจากสมองเสียหมดแล้ว ผมพยายามพยุงพิณที่ตอนนี้ดูเสมือนร่างไร้กระดูกให้ตั้งตัว เมื่อผมทั้งสองคนเดินมาถึงหน้าห้องของเขา
“พิณ คีย์การ์ดห้องอยู่ไหน” ผมเอ่ยถาม พลางปาดเหงื่อบนหน้าผาก
“…”
พิณนิ่งสนิท ผมเลื่อนหน้าเข้าใกล้คนเมาขึ้นอีกหน่อย ลดระยะห่าง เพื่อเพิ่มความหวังในการปลุกคนหลับให้มีสติขึ้นมาสักนิด “พิณ ตื่นก่อน”
“…” คนตรงหน้าผมลืมตา แต่เขาไม่ได้เอ่ยอะไรออกมา
ผมหายใจผิดจังหวะอย่างกระทันหัน ลมหายใจแผ่วของคนตรงหน้าอาบลดลงบนปลายจมูกของผม เราทั้งสองนิ่งสนิทไปชั่วเสี้ยววินาทีนึงด้วยความรู้สึกประหลาดที่ปั่นป่วนอยู่ภายใน ความวูบไหวบางอย่างในแววตาของพิณทำให้ผมไม่สามารถละสายตาจากวงหน้าของเขาได้
ผมเม้มปากเข้าหา กลืนน้ำลายลงคอแล้วเอ่ยออกมาด้วยเสียงที่คล้ายจะหายไปก่อนหน้า “คีย์การ์ดห้องพิณอยู่ไหน”
สิ้นคำถามของผม พิณก็หลับตาลงอีกครั้ง ไร้ซึ่งคำตอบหรือทางแก้ปัญหาใดๆ ผมนิ่ง แต่ก่อนที่ในหัวผมจะมีเสียงความคิดอะไร เครื่องมือสือสารในกระเป๋าของคนเมาก็ดังขึ้น ผมน้อมตัวเอื้อมหยิบเจ้าเครื่องที่แผดร้องเสียงออกมาอย่างทุลักทุเล
~!
‘ครูอ้อ’
จริงสิ...เราเอาพิณออกมาจากร้าน แต่ยังไม่ได้บอกใครเลยนี่หว่า
ผมกดรับสาย “ฮัลโหลครับ”
[ ภัทร เราอยู่ไหนเนี่ย ครูหาทั้งร้านแล้วก็หาไม่เจอ ] คนปลายสายฟังดูใจร้อนเพราะความเป็นห่วง
“ผมเป็นเพื่อนข้างห้องของภัทรเขานะครับ ไม่ใช่ภัทร” ผมเอ่ยในขณะที่ค่อยๆวางคนในอ้อมกอดลงให้นั่งพิงกับกำแพง “พอดีผมเจอเขาเดินเมาไม่ได้สติอยู่ที่ริมถนนน่ะครับ กลัวรถจะชนเข้า เลยพากลับคอนโดมาก่อน”
[ เดี๋ยวนะ...แล้วฉันจะมั่นใจได้ยังไงว่าคุณเป็นเพื่อนข้างห้องของภัทรจริงๆ ]
“เอาอย่างนี้นะครับ เดี๋ยววางสายแล้ว ผมจะถ่ายรูปตัวเองกับภัทร พร้อมกับรูปบัตรประชาชนของผมส่งไปให้ทางข้อความ ถ้าพรุ่งนี้ตอนสิบโมง ภัทรยังไม่ติดต่อกลับไปหาคุณครู คุณครูก็เอาข้อมูลทั้งหมดไปแจ้งความได้เลยครับ” ผมเสนอทางออกอย่างใจเย็น
[ แบบนั้นก็ได้ ] ครูอ้อ เธอฟังดูหัวเสียระคนโล่งใจ [ แล้วเธอจะพาภัทรเข้าห้องยังไง ภัทรลืมกระเป๋าตังค์เอาไว้ที่โต๊ะ คีย์การ์ดห้องเขาก็อยู่นี่ ]
“อ้าวหรอครับ ผมก็หาอยู่ตั้งนาน” ผมเบือนหน้าไปมองคนไร้สติแล้วยิ้มออกมาน้อยๆด้วยความเอ็นดูผมใช้มือปัดผมที่ปรกหน้าพิณออกไปเพื่อจะได้ลอบมองวงหน้านั้นให้ชัดเจนขึ้นก่อนจะพูดต่อ “งั้นไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวคืนนี้ให้ภัทรค้างห้องผมก่อนก็ได้”
[ โอเค ] ครูอ้อตอบห้วน ยังคงเสียงที่แสดงออกถึงความไม่พอใจ [ พรุ่งนี้ฉันจะรอสายจากภัทร สิบโมงนะ ]
“ได้ครับ สวัสดีครับ” ผมตอบแล้วถือสายรอจนคู่สนทนาวางสายไปเอง
ผมหันกลับไปมองคนที่นั่งพิงกำแพงที่ยังไม่ได้สติ แว่บแรกแล้วผมคิดว่าจะใช้วิธีพยุงร่างเล็กเช่นเคย ทว่าการกระทำที่บางครั้งไว้กว่าความคิดกลับนำให้ผมทำอีกอย่าง
ผมล้วงกระเป๋ากางเกงเตรียมคีย์การ์ดห้องของตนเองไว้ในมือ ก่อนจะช้อนอุ้มพิณขึ้นมา
พิณไม่ใช่คนตัวหนักเลย ออกจะเบาไปเสียด้วยซ้ำในความคิดของผม
“ไม่เปลี่ยนเลยนะ” ผมพึมพำออกมาเบาๆ ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองตอนนี้คิดอะไรอยู่ “ไม่เปลี่ยนเลย”
ผมพูดย้ำครั้งที่สองด้วยด้วยความรู้สึกที่ต่างไปจากเดิม
มันเต็มไปด้วยคำขอโทษที่ซ่อนอยู่ในนั้น
แม้ว่าตอนนี้...
ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าผมกำลังขอโทษเรื่องอะไร ผมคิดมาตลอดว่าเรื่องที่พิณโกรธผมคือเรื่องที่พิณเข้าใจผิดว่าผมเป็นคนปล่อยรูปบ้าๆนั่นแต่มันก็ไม่ใช่
ผมเจ็บที่ผมไม่สามารถขอโทษในเรื่องที่ผมทำให้เขาเสียใจได้
แต่ที่ผมเจ็บมากไปกว่านั้น...คือการที่ผมปล่อยให้พิณเจ็บโดยที่ตัวผมเองไม่รู้ซ้ำว่าเขาเจ็บเรื่องอะไร
ผมรักเขา แต่ผมไม่เคยกล้าแสดงออกให้เขารับรู้ได้เลย
หรืออย่างน้อย....ผมก็ไม่เคยทำได้ในตอนที่เขาต้องการ
ผมพาร่างไร้สติของพิณเข้าห้อง เดินตรงไปที่เตียงเพื่อวางเขาลงอย่างเบามือ ก่อนจะอ้อมไปที่ปลายเตียงเพื่อถอดรองเท้าออกให้เขา
“เต...” เสียงเรียกแผ่วเบาดังขึ้นเมื่อผมถอดรองเท้าข้างที่สองของพิณออกสำเร็จ คนที่นอนอยู่บนเตียงจัดแจงเปลี่ยนท่าตัวเองมาเป็นนั่ง เขาทอดสายตามองผม
ผมเดินเข้าไปใกล้ตามเสียงเอ่ยเรียกของพิณ นั่งลงบนเตียงเพื่อจะได้มองหน้าเขาให้ถนัดตาขึ้น “ว่าไงพิณ” ผมรับคำเรียก “มึนหัวมั้ย”
“เต” พิณเรียกผมอีกครั้ง บางอย่างในน้ำเสียงนั้นบ่งบอกว่าเขาไม่ได้จะพูดอะไรต่อ ผมจ้องลงไปในนัยน์ตาคู่สวยของพิณเพื่อละเลียดความรู้สึกเปลือยเปล่าไร้กำแพง แววตาของเขาสั่นไหวและดูเปราะบางเกินไปจนผมไม่สามารถทนมองได้นาน
เพราะถ้าพิณมองตาของผมในตอนนี้ด้วยสติ
พิณจะพบว่าความรู้สึกข้างในของผมสั่นไหวไม่ต่างไปจากเขาสักนิด
ผมหลุบตาลง
“ความรู้สึกของกู...” พิณเอ่ยขึ้น เสียงของเขาฟังดูเลื่อนลอยแต่ก็หนักแน่นและเต็มไปด้วยความรู้สึกในที “ความรู้สึกของกู มันตรงข้ามกับสิ่งที่กูอยากจะรู้สึกทุกครั้งที่อยู่ใกล้มึง”
เขาเว้นวรรค
โลกทั้งโลกเงียบไป เหมือนทุกสรรพสิ่งรอบข้างกำลังตั้งใจฟังเขาเช่นเดียวกับผม
“กับมึงแล้ว...กูไม่เคยควบคุมได้เลย”
พิณยิ้ม
เขาไม่ได้ฝืนยิ้ม แต่เขายิ้มดังเช่นคนยิ้มเยาะตัวเอง “กูควรจะโกรธมึงมากกว่านี้” เขาพูดต่อ “กูควรจะเกลียดมึง...หนีมึง...ผลักไสมึงไปให้ไกลๆ”
พิณเอื้อมมือมาวางไว้ที่ข้างหน้าของผม ผมไม่เคยคิดว่าไออุ่นจากฝ่ามือของคนตรงหน้าจะเป็นสิ่งที่ผมโหยหาจนกระทั่งผมได้สัมผัสมันอีกครั้ง ผมหลับตาลงเพื่อรับความรู้สึกที่พิณส่งผ่านมาก่อนจะยกมือขึ้นมาวางทับมือบาง
“พิณ...” ผมจูบลงบนมือของเขา ขยับเข้าใกล้คนร่างบาง “พิณบอกเตได้มั้ยว่าพิณโกรธเตเรื่องอะไร” คนตัวเล็กเงียบไปทันทีที่ผมถามจบ พิณเม้มริมฝีปากเข้าหากันอย่างชั่งใจ ผมมองเห็นใบหน้าตัวเองสะท้อนในดวงตาของคนตรงหน้าที่เต็มไปด้วยหยาดน้ำ
ความเจ็บปวดที่ถูกส่งผ่านมาในนัยน์ตานั้นมันชัดเจนเสียจนผมเกือบจะบอกให้พิณเพิกเฉยกับคำถามเมื่อครู่
“มึงไม่มา” ทว่า...พิณกลับตอบขึ้นมาเสียก่อน
หยดน้ำตาของพิณกระทบลงบนหน้าตักของผม
“เพราะกูรอ...แต่มึงไม่เคยมา” [ สามปีที่แล้ว ]
“โห น้าจินทำขนมกล้วยได้อร่อยเหมือนเดิมไม่เคยเปลี่ยนเลยนะคะ” เสียงของเด็กสาวในครัวดังขึ้นพร้อมกับเสียงวิ่งจากเด็กชายที่ดังมาจากตรงบันได หญิงวัยกลางคนผู้เป็นแม่ขมวดเข้าหากันอย่างอัตโนมัติจากความไม่พอใจของการกระทำไร้มารยาทของลูกชายเจ้าตัว
“พิณ ม๊าบอกกี่รอบแล้วว่าห้ามวิ่งลงบ้าน” จินตนากล่าวในขณะที่พิณเดินเข้ามาใกล้ด้วยสีหน้าแกล้งสำนึกผิด
“โถ่...ม๊า” พีรการต์ย่างเข้าหา ก่อนจะก้มลงไปหอมแก้มแม่ของตัวเองเพื่อแทนคำขอโทษ
“พิณรีบนี่หน่า ก็พิณกลัวเบลรอนานอ่ะ” “ไม่ต้องมาอ้างเบลเลย ถ้าวิ่งลงบันไดแบบนี้บ่อยๆ ม๊าจะเอาไม้เคาะตาตุ่มให้จำแล้วนะ” จินตนายังคงเอ็ดพร้อมชี้หน้าคาดโทษลูกชายต่อไปแม้ว่าใจข้างในจะอ่อนลงแล้วก็ตาม หญิงสาวเอื้อมตัวไปหยิบขนมกล้วยที่จัดใส่จานไว้อย่างดีดิบ ยื่นให้พิณ
“เอ้า...เอาไปกินกัน ระวังอย่าให้หกบนเตียงด้วยนะ” “ขอบคุณครับ” พีรการต์หอมแก้มแม่ตัวอีกฟอดใหญ่
“ไปกันเถอะเบล” พิณว่าก่อนจะเดินนำนภสรไป เด็กสาวกล่าวขอบคุณแม่ของเพื่อนเล็กน้อย หยิบข้าวของที่เตรียมมา แล้วเดินตามพีรการต์ขึ้นห้อง
เบลกวาดสายตามองสำรวจห้องพีรการต์ดังคนไม่เคยมาเยือน ทั้งที่เมื่อก่อนเธอก็มาคลุกอยู่ที่นี่เช้าจรดเย็นด้วยซ้ำ แต่ทุกอย่างก็เปลี่ยนไปเมื่อเตชภณย่างเท้าเข้ามาในชีวิตของพิณ
นภสรกัดปากตัวเองจนเธอรู้สึกเจ็บพร้อมกับกำของที่เธอเตรียมไว้ในมือจนแน่น
เบลไม่ได้อยากทำแบบนี้...แต่เธอทนให้เพื่อนสนิทของเธอโกหกเธอหน้าตายต่อไปไม่ได้อีกแล้ว
“พิณ” เด็กสาวเปล่งเสียงเรียกเพื่อนตัวเอง เสียงของเธอแหบพร่าด้วยความประหม่าจนหากสังเกตก็จะจับได้
โชคร้าย...ที่พีรการต์ไม่ได้สังเกต
“ว่าไง” เจ้าของชื่อขานรับ
“คือพ่อเราฝากของฝากมาให้อ่ะ เป็นที่ทับกระดาษ” นภสรเอ่ย เธอชูถุงกระดาษขึ้นมาให้พีรการต์ดูแต่เธอไม่ได้ยื่นออกไปให้เขารับ เบลเดินไปที่โต๊ะหนังสือของพิณแล้วจัดการวาง ‘ของฝาก’ ที่เธอบอกไว้บนโต๊ะของพิณก่อนที่เด็กชายจะได้เห็นว่าที่ทับกระดาษนั่นรูปร่างหน้าตาเป็นอย่างไรเสียด้วยซ้ำ
“วางไว้มุมนี้ เวลาแสงจากหน้าตากระทบลงมา มันจะฉายออกมาเป็นรูปกวางเนี่ย พิณเห็นมั้ย” เบลพยายามอธิบายด้วยความรวดเร็ว เธอกะพริบตาถี่จนเกือบเรียกได้ว่าถี่เกินไป
“ชอบมั้ยพิณ” พีรการต์เดินเข้าใกล้ เด็กสาวหายใจติดขัดเมื่อคนตรงหน้าเอื้อมหยิบที่ทับกระดาษรูปร่างซับซ้อนนั้นขึ้นมาดูใกล้
“สวยดี ฝากขอบคุณอาเก่งด้วยนะเบล” พิณส่งยิ้มให้เธอ เบลยิ้มตอบ
หากทว่ารอยยิ้มของทั้งสองนั้นกลับมีความจริงใจที่ต่างค่ากันคนละโยชน์
พีรการต์วางของฝากในมือลง เด็กสาวตั้งใจมองการกระทำดังกล่าวก่อนจะถอนหายใจออกมาเพราะความโล่ง เมื่อพิณจัดแจงที่ทับกระดาษให้อยู่ในองศาเดียวกันกับที่เขาหยิบขึ้นมา
“เริ่มทำงานกันเลยมั้ย” พีรการต์ถาม
นภสรส่งยิ้มหลากอารมณ์
“อืม” เบลกลับไปที่บ้านของพีรการต์อีกครั้งในอาทิตย์ต่อมา นภสรเลือกช่วงเวลาที่เธอคิดว่าพิณไม่อยู่เพื่อกลับไปเก็บ ‘หลักฐาน’ ที่เธอมั่นใจเกินร้อยว่ามันจะต้องถูกบันทึกลงในกล้องขนาดเล็กที่เธอแอบซ่อนไว้ในที่ทับกระดาษรูปร่างประหลาด
เด็กสาวเร่งฝีเท้าขึ้นด้วยความร้อนใจทันทีที่เธอย่างก้าวพ้นธรณีประตูห้องตนเอง เบลมุ่งไปเปิดคอมพิวเตอร์ของเธอก่อนจัดการเชื่อมอุปกรณ์จากกล้องเข้าไป สัญลักษณ์วงกลมขึ้นรอดาวน์โหลดปรากฏขึ้น แสงจากหน้าจอที่สะท้อนลงมาบนวงหน้าของเด็กสาวทำให้เธอดูซับซ้อนเกินกว่าเด็กวัยมอต้นทั่วไป
เบลกัดเก็บตัวเอง
ไม่กี่อึดใจ วิดีโอที่รอเด็กสาวรอก็ปรากฎขึ้น นภสรพอใจกับมุมกล้องที่ถูกจัดวางไว้ทว่าเธอไม่ได้ยิ้มออกมา หนำซ้ำ...เบลยังขมวดคิ้วเข้าหากันแน่นขึ้นกว่าเดิม
ขอร้องเถอะ... …
เบลหยุดคำภาวนา
เธอไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเธออยากให้ภาพบนหน้าจอออกมาเป็นแบบไหน
ถ้าภาพในวิดีโอนั่น แสดงออกมาว่า พีรการต์กับเตชภณมีอะไรปกปิดกันอยู่จริงๆ นั่นก็จะหมายความว่าสิ่งที่เธอคิดมาตลอดนั้นถูก แต่ถ้ามันเป็นไปในทางกลับกัน นั่นก็จะหมายความว่า...
…พีรการต์โกหกเธอ พิณเลือกที่จะทรยศความไว้ใจของเธอ
นภสรแทบจะลืมความรู้สึกที่เธอมีให้เตชภณไปหมดแล้วด้วยซ้ำ สิ่งที่เธอทำอยู่ตอนนี้มันเป็นเพราะเจ็บใจกับคำว่าเพื่อนหลอกๆที่พิณมอบให้
คิดได้แบบนั้น เบลก็กดเล่นวิดีโอแล้วกรอมันไปข้างหน้าด้วยความเร็วพอประมาณ
รอไม่นาน ใบหน้าของบุคคลที่นภสรรอก็ปรากฏขึ้นบนหน้าจอ
...เตชภณ...
เธอขยับนิ้วกดให้ความเร็วบนภาพฉายกลับมาเป็นแบบปกติ
[ น้องแตงโทรมาตามตัวมึงกับกูอีกแล้วว่ะ ] เสียงคุ้นเคยของพีรการต์ดังออกมาจากลำโพง
[ ถามจริงๆเถอะว่าทำไมกูจะบอกน้องสาวมึงไปไม่ได้ว่ากูอยู่กับมึง ] ร่างบางถาม แต่อีกคนกลับไม่ตอบ
[ ตั้งแต่แตงขึ้นมาที่นี่มึงก็ดูแปลกๆไปนะเต ] [ อย่าไปสนใจเลย ] เตชภณบอกปัด เขาเดินผ่านตัวพิณไปนั่งลงบนเตียง
[ แต่มึง... ] พีรการต์เดินเข้าไปนั่งข้างเขา
[ ไม่ต้องเป็นห่วงนะ ] คนตัวสูงขยับเข้าหาลดระยะห่างระหว่างร่างทั้งสอง
[ มันไม่มีอะไรที่มึงช่วยได้แล้วมึงยังไม่ได้ทำหรอกพิณ ] เตชภณเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่เบลรู้สึกได้ว่ามันแปลกไปจากปกติ เธอรับรู้ได้ถึงความอ่อนโยนที่ถูกถ่ายทอดออกมาจากประโยคเหล่านั้น แต่ในขณะเดียวกันเธอก็สามารถบอกได้จากสัญชาตญาณบางอย่างว่าเตกำลังมีเรื่องหนักใจ
เตชภณเอื้อมมือไปทาบลงบนแก้มของคนตรงหน้าเขา
[ แค่ได้อยู่กับพิณ ] ร่างสูงนิ่งไปเสี้ยววินาทีนึง
[ แค่นี้ก็ดีที่สุดแล้ว ] [ แต่กูเป็นห่วง ] พีรการต์เอ่ย
[ เป็นห่วงหรอ ] ร่างสูงพูดด้วยน้ำเสียงที่แฝงไปด้วยนัยยะ เขาขยับเข้าใกล้พิณมากขึ้นอีก มือหนาจับล็อคใบหน้าของคนร่างบางเอาไว้ไม่ให้หนีออก แล้วเลื่อนตัวหน้าของตัวเองเข้าจนปลายจมูกของทั้งสองชนกัน
[ ไหน...ขอดูหน่อยสิ ว่าความเป็นห่วงนี่มันหน้าตาเป็นแบบไหน ] นภสรไม่เห็นหน้าตาของความเป็นห่วง...
…แต่ในวินาทีนั้น เด็กสาวได้รับรู้หน้าตาของคำว่าการโกหก
การโกหกที่มีชื่อว่า ‘พิณ พีรการต์’
ภาพของคนทั้งสองยังคงฉายบนจอคอมพิวเตอร์ของเบล เด็กสาวเหม่อมองภาพเคลื่อนไหวนั่นด้วยสายตาที่ไม่ว่าใครก็อ่านความรู้สึกไม่ออก เตกับพิณเปลี่ยนจากการนั่งใกล้ เป็นใกล้มากขึ้น เป็นจากสัมผัสที่แผ่วเบา เป็นสัมผัสที่หนักแน่นมากขึ้น เปลี่ยนการพรมจูบอย่างอ่อนหวาน เป็นจูบที่ลึกซึ้งมากขึ้น
[ เต... ] พีรการต์ใช้มือดันอกของร่างหนาออก น้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยคำถาม
[ พิณ ] เตเลื่อนมือลงมาจับมือบาง เขาจูบย้ำลงไปบนปากเล็กอีกรอบ
[ เตขอนะ ] ไหวเท่าความคิด เบลกดหยุดภาพวิดีโอบนจอคอมของตัวเอง
เธอเห็นมามากพอแล้ว...เธอไม่จำเป็นจะต้องเห็นอะไรอีก
นภสรคิด
ก๊อกๆๆ! นภสรสะดุ้งโหย่ง ทันทีที่เสียงหน้าประตูห้องนอนของเด็กสาวดังขึ้น
“พี่เบล มีรุ่นน้องที่โรงเรียนมาหา” ตามมาด้วยคำบอกกล่าวของน้องสาวคนกลางของเธอ คนที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ลุกขึ้นผุด เบลกดพักหน้าจอทันควัน
“ใครหรอบัว” แอ๊ดดดด...!
“แตงเองค่ะ” คำตอบของคำถามที่เบลเพิ่งเอ่ยออกไปมาพร้อมกับการมาเยือนของคนที่นภสรเองไม่ได้คาดเอาไว้ว่าเธอจะมาปรากฎตัวถึงที่นี่ เด็กสาวผิวสีน้ำผึ้งอนุญาตให้ตัวเองย่างเข้ามายืนในห้องนอนของเบลอย่างพลการก่อนจะยิ้มปราดให้เจ้าของห้อง
“น้อง...” เบลประหลาดใจ
“บัวไปนะ” น้องสาวของเบลกล่าวบอก เธอเดินออกไปแล้วจัดการปิดประตูห้องให้อย่างรู้งาน
“น้องมาได้ยังไง” นภสรถามหลังจากที่เสียงเดินลงบันไดจากข้างนอกห้องเงียบไป
“ให้เพื่อนมาส่งค่ะ” ตุลยดาตอบนิ่ง แววตาของเธอแข็งกร้าวจนเบลเลี่ยงที่จะมองตรงๆ
“เปล่า...พี่หมายถึงว่าน้องมาทำไม แล้วรู้ได้ไงว่าบ้านพี่อยู่ไหน” “มาเรื่องพี่เตค่ะ” เด็กสาวเอ่ยพลางถอนหายใจอย่างรำคาญ เธอไม่ได้ตอบคำถามที่สองของเบลอย่างจงใจ แตงกวาดตามองรอบห้องนอนสีครีมด้วยสายตาที่ถือตัว ก่อนที่ตุลยดาจะเดินย่างเท้าเข้าใกล้เบลมากขึ้น จนเด็กสาวอายุมากกว่ารู้สึกได้ถึงลมหายใจของอีกฝ่าย
“ถ้าน้องจะมาหาเต พี่บอกได้เลยว่าเตไม่ได้อยู่ที่นี่” นภสรใช้น้ำเสียงที่พยายามจะข่มความรู้สึกถูกคุกคาม
“รู้ค่ะว่าไม่อยู่” ตุลยดาเอ่ยพร้อมเดินกอดอกผ่านเด็กสาวเจ้าของห้องไปที่โต๊ะคอมพิวเตอร์ ก่อนที่แตงจะวางสะโพกพิงกับขอบโต๊ะดังกล่าว
สายตาของนภสรเปลี่ยนความสนใจจากใบหน้าของผู้มาเยือนไปที่คอมเครื่องนั้นโดยอัตโนมัติ ความเปลี่ยนแปลงของจุดมองรวมทั้งความกังวลที่ส่งออกผ่านสายตานั่นมันมีมากพอให้เด็กฉลาดอย่างแตงจับสังเกตได้ เธอหันไปมองที่หน้าจอดำสนิท ก่อนจะไล่สายตาลงไปมองอุปกรณ์หน้าตาประหลาดที่ถูกเชื่อมต่ออยู่
“น้องมาหาพี่เรื่องเต” นภสรพูดขัด
“มีอะไรก็ว่ามา” แตงแกล้งละความสนใจ
“ทีแรกแตงก็ว่าแค่จะโทรบอกนะคะ แต่คิดไปคิดมา ก็อยากมานี่เองเลยมากกว่า เพราะแตงกลัวพี่เบลไม่เข้าใจสิ่งที่แตงกำลังจะพูด” ตุลยดาว่าเสียงกระด้าง “
แตงแค่อยากจะมาขอร้องให้พี่เบลเลิกยุ่ง เลิกคุย เลิกติดต่อ เลิกเป็นเพื่อนกับพี่เตน่ะค่ะ” “ขอร้อง?” เบลนึกสงสัยกับการเลือกใช้คำของตุลยดา
“ค่ะ...ขอร้อง” เด็กสาวเน้นคำ
“แล้วทำไมพี่จะต้องทำตามที่แตงขอร้องด้วย เตก็เพื่อนพี่” นภสรถามกลับ เบลไม่เข้าใจว่าทำไมน้องสาวของเตชภณจะต้องมาหาเธอถึงที่บ้านเพื่อบอกให้เธอเลิกยุ่งกับเด็กหนุ่ม
แต่ที่แน่ๆ....เบลรู้สึกได้ว่ามันมีอะไรบางอย่างไม่ชอบมาพากลกับความสัมพันธ์ระหว่างพี่น้องคู่นี้
“ถามตรงๆนะ แตงกับเตเป็นอะไรกัน” นัยน์ตาของตุลยดาแข็งกร้าวขึ้นมาเป็นเท่าตัวหลังจากเบลเอ่ยคำถามนั้นจบประโยค แตงใช้ดวงตาไร้แววของเธอสาดความเกลียดชังที่ปิดไม่มิดมาที่นภสรจนคนถูกมองสะดุ้ง
“อย่าถามแบบนี้นะคะ แตงไม่ชอบ” ตุลยดาเดินย่างเข้าหาคู่สนทนาของเธอ
“เมื่อกี้พี่เบลพูดว่าเป็นอะไรกับพี่เตนะคะ เพื่อนงั้นหรือ” แตงกัดฟันยิ้มแสยะ เธอเค้นขำในลำคอ
“น้อง...” นภสรรู้สึกกลัวเด็กสาวที่อยู่ตรงหน้าเธอมากขึ้นไปทุกที
“คิดว่าแตงโง่มากหรอคะ คิดว่าแตงไม่มีปัญญาสืบเรื่องพี่กับพี่เตงั้นหรอ” ตุลยดาไม่กะพริบตา
“พี่ว่า...” นภสรกลั้นหายใจ
“แตงสืบผิดคนแล้วละ” แว่บนึงในความคิด เบลคิดจะเดินไปที่คอมพิวเตอร์เพื่อบอกความจริงกับตุลยดาให้มันจบๆกันไป แต่วินาทีต่อมา นภสรก็ตระหนักได้ว่านั่นเป็นความคิดที่ไร้สติมาก เพราะถึงแม้ว่าเธอจะโกรธพีรการต์อยู่ไม่น้อย เธอก็ไม่อยากให้เด็กสาวที่ดูโรคจิตพิกลตรงหน้าไปตามรังควานเพื่อนของเธอ
“พี่เบลหมายความว่ายังไงคะ” แตงหรี่ตาลง
“คือพี่...” นภสรหลุบตาลงต่ำ เธอพยายามหาประโยคมาพูดแก้สิ่งที่เธอเพิ่งเอ่ยออกไป แต่เบลกลับคิดอะไรไม่ออก
“ช่างมันเถอะค่ะ” แตงตัดบท เบลเห็นว่าเท้าของเธอถอยห่างออกไป เมื่อนภสรเงยหน้าขึ้นมาแตงก็ยืนพิงอยู่ที่โต๊ะคอมฯเช่นเดิม
“ต่อให้พี่เบลก็จะโกหกต่อไปยังไง หรือจะคบกับพี่เตในสถานะไหน แตงก็ขอร้องให้พี่เลิกยุ่งกับพี่เตอยู่ดี” เด็กสาวผิวสีน้ำผึ้งยืดตัวขึ้น เดินออกห่างจากโต๊ะคอมพิวเตอร์และผ่านตัวนภสรไปที่ประตู เป็นสัญญาณบอกว่าเธอพูดธุระของเธอใกล้จบแล้ว ทว่าก่อนจะออกจากห้อง ตุลยดาก็พูดขึ้นอีกครั้งด้วยน้ำเสียงสบายๆ ที่ดูขัดกับความหมายที่ประโยคนั้นสื่อออกมา
“ถ้าไม่ทำตามที่แตงขอร้อง ระวังหน้าสวยๆจะมีรอยกรีดนะคะ” นภสรรู้สึกเย็นวาบไปทั้งตัว
“ถือว่าแตงเตือนแล้วนะ” ตุลยดาหันมายิ้ม
“แฟนเก่าพี่เต ก็โดนไปตั้งหลายแผลแหน่ะ”......................................................
คนเขียนขอเม้าท์: ขอโทษที่กลับมาช้าไปเกือบปีนะคะ ไม่มีคำแก้ตัวจริงๆค่ะ ขอโทษอีกครั้งจริงๆค่ะ