ตอนที่ 14
* ต่อจาก 30%
หลังจากที่ผมแต่งตัวเป็นพนักงานเซเว่นเสร็จเรียบร้อยก็มานั่งดูทีวี รอคุณพ่อตุลย์กับเด็กที่หนึ่งที่สั่งผมไว้ให้รอไปด้วยกัน ห้องที่เคยเงียบสงบตอนที่ผมเพิ่งตื่นตอนนี้ดังเจี๊ยวจ๊าวจนหน้าหนวกหู แต่น่าแปลกที่ผมไม่รู้สึกรำคาญสักนิด ไม่ว่าจะทั้งเสียงของพี่ตุลย์ที่เร่งที่หนึ่งให้รีบๆ แต่งตัว เสียงของตอนต้นที่ร้องเอ้ออ้าไม่เป็นภาษาอยู่ในเก้าอี้ทานข้าว เสียงของป้าสร้อยที่กำลังล่อลวงให้เด็กอ้วนอ้าปาก ผมไม่รู้สึกรำคาญเลย แม้มันจะหนวกหูบ้าง แต่มันกลับรู้สึกครื้นเครงมากกว่า มันให้ความรู้ดีที่ดีกว่าห้องอพาร์มเม้นท์เล็กๆ ที่ผมอยู่คนเดียว หรือบ้านของไอ้ปันที่ผมไปทำงานแล้วมันก็ยังไม่ตื่น
พอผมได้มองความวุ่นวายตรงหน้า ภาพที่ผมไม่เคยได้เห็นมาก่อน บางอย่างในใจก็รู้สึกวูบวาบเหมือนกับเด็กน้อยที่อยากจะเล่นซน
มันเป็นความรู้สึกแบบ...นี่สินะ ที่เขาเรียกว่า
ครอบครัว “รีบกินข้าวเลยที่หนึ่ง ลูกจะกินเช้าถ่วงเวลาไปก็เท่านั้นแหละ สุดท้ายลูกก็ต้องไปโรงเรียนอยู่ดี” ผมมองพี่ตุลย์ที่กำลังลูบหัวลูกชายคนโตอยู่ในครัว
“ที่หนึ่งขอหยุดเรียนไม่ได้หรอ?”
“ถ้าวันนี้ลูกได้หยุด แล้วลูกจะขอพ่อหยุดอีกกี่ครั้ง? ในเมื่อลูกต้องเจอพวกนั้นทุกวันอยู่ดี การเรียนหนังสือมันคือหน้าที่ ลูกก็อย่าไปยุ่งอะไรกับพวกเขา เดี๋ยวเขาก็เลิกแกล้งลูกไปเองแหละ”
“อื้ม...” ที่หนึ่งตอบเสียงแผ่ว เพราะมีหลังกว้างของคุณเจ้าของห้องบังอยู่ ผมก็เลยไม่แน่ใจว่าที่หนึ่งกำลังทำหน้ายังไง แต่ที่แน่ๆ ไม่ใช่หน้ายิ้มแน่นอนแหละเสียงแบบนี้
“นายเสร็จเรียบร้อยแล้วนะ” พี่ตุลย์ถามพลางเดินเข้ามาหาผมที่นั่งดูทีวีอยู่บนโซฟา ผมพยักหน้าอยากจะบอกว่าเสร็จอาบน้ำทีหลังแต่เสร็จก่อนลูกพี่อีก ก็กลัวโดนคุณพ่อโบกเลยต้องงับปากเอาไว้ก่อน
“พี่ ที่หนึ่งมีปัญหาอะไรหรอ?”
“ก็พวกที่ล้อที่หนึ่งเรื่องไม่มีแม่นั่นแหละ เห็นที่หนึ่งเล่าว่าชอบโดนแกล้งตลอดเลยไม่อยากไปโรงเรียนเท่าไหร่”
“อ๋อ...” ผมพยักหน้า “แล้วพี่จะทำไงอะ?”
“ทำอะไร? มันทำอะไรได้ที่ไหนละ ก็แค่บอกที่หนึ่งว่าอยู่ใกล้ครูไว้ แล้วก็อย่าไปยุ่งกับเด็กพวกนั้นแค่นั้น”
ผมเหลือบมองเด็กที่หนึ่งที่ก้มหน้าก้มตากินข้าวแบบช้าๆ เหมือนกับพยายามยืดเวลาที่จะต้องไปโรงเรียนออก “แล้วเดี๋ยวพี่ต้องไปส่งที่หนึ่งหรือเปล่า?”
“ไม่อะ ที่หนึ่งมีรถนักเรียนมารับมาส่งอยู่แล้ว”
“ก็แปลว่าไม่ได้ไปรับด้วยอะดิ”
“ก็...”
Rrrrrrrrrrrrrr
เสียงโทรศัพท์ดังแทรกขึ้นมา พี่ตุลย์หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเมื่อดูหน้าจอคนที่โทรเข้าเล็กน้อย
“ที่หนึ่ง รถมารับแล้ว” สิ้นคำเด็กนั่นก็ถอนหายใจ ลุกขึ้นเอาจานข้าวไปไว้ในซิงค์ล้างจาน หยิบกระเป๋านักเรียนลายการ์ตูนของตัวเองเดินดุ่มๆ ก้มหน้าไม่พูดไม่จา ผ่านผมกับพี่ตุลย์ไปหน้าประตูห้อง
แต่ก่อนที่เด็กนั่นจะได้ออกไป กลับโดนผู้เป็นพ่อคว้าตัวเอาไว้เสียก่อน!
“ลูกบอกพ่อว่า มะรืนนี้มีสอบครูแจ๊สสิบคะแนนใช่ไหม?”
“ครับ”
“ถ้างั้นนะ ถ้าลูกทำได้ตั้งแต่แปดคะแนนขึ้นไป พ่อมีรางวัลให้ด้วย เอาไหม? พ่อจะพาลูกไปเที่ยวสักที่ที่ลูกอยากไปในวันอาทิตย์ดีไหม?”
“แต่ผมไม่เก่งเลขอะ...”
“ก็ตั้งใจเรียน ให้เพื่อนให้ครูช่วยติวก็ได้ กลับบ้านมาก็ให้พี่เอสช่วยสอน”
“หา?” นี่ผมอุตสาห์นั่งดูการ์ตูนเงียบๆ แล้วนะเนี่ย! แต่ไอ้พี่ตุลย์ก็เมินผมครับ ละล่ำละลักบอกลาลูกชายตัวเองประหนึ่งที่หนึ่งกำลังจะไปออกรบ แล้วทันทีที่เด็กแสบนั่นพ้นประตูออกไป ผมก็ทะยานจากโซฟาพุ่งไปหาคุณพ่อตุลย์ที่อยู่หน้าประตูทันที “ผมเกี่ยวอะไรด้วยอะ?”
“เลขเด็กป. สามเองไม่ยากหรอกนะ”
“ไอ้ไม่ยากนะไม่เท่าไหร่ แต่คือผมต้องสอนหรอ?”
“แต่นายอยู่บ้าน...”
“โอเค ไว้ใจผมได้เลย ผมสอนปุ๊บ ที่หนึ่งได้คะแนนเต็มสิบปั๊บ!” ผมยกมือขึ้นตะเบะทันที แบบไม่ต้องรอให้พี่ตุลย์สาธยายความดีความชอบของตัวเองจนหมด อีกฝ่ายหัวเราะหึหึในลำคอเรียกความน่าหมั่นไส้ ตั้งท่าจะเดินผ่านผมไปหาลูกคนเล็ก แต่ผมรีบเข้ามาขวางเอาไว้เสียก่อน “แต่มีข้อแลกเปลี่ยนนะ”
“อะไร?”
“วันนี้ พี่กับผมจะต้องไปรับที่หนึ่งกลับบ้านเอง”
“อ้าว เอส แปลกจังปกติเห็นพอเลิกงานปุ๊บ ก็รีบกลับปั๊บเลยไม่ใช่หรอ?” น้ำตาลทักผมที่นั่งอยู่หลังเซเว่น
“รอคนอยู่อะ” ผมยิ้มตอบ ถ้าเมื่อก่อนนะครับ ผมคงลุกขึ้นเนียนเดินไปส่ง นู่นนี่นั่นแล้ว! แต่พอได้เจอฤทธิ์แฟนกล้ามปูของน้ำตาลเข้า ผมนี่ถึงกับต้องร้องเพลงนี้เลย ถอยดีกว่า ไม่เอา~ ดีกว่า เวลาผมจะยุ่งอะไรกับเธอทีนี่ต้องคิดแล้วคิดอีก เพื่อไม่ให้ตัวเองโดนต่อยตายอะครับคิดดู
“ให้เรานั่งรอเป็นเพื่อนไหม?”
“ไม่เป็นไรๆ เรารอคนเดียวได้”
อีกความหมายนึง ไปเถอะ พี่ไม่อยากตาย TT
“แน่ใจนะ?”
“แน่ใจสิ เราเป็นผู้ชายนะน้ำตาล”
“ฮ่าๆ โอเค งั้นเราไปก่อนนะ”
ผมโบกมือให้สาวน้อยเพื่อนร่วมงานที่น่ารักที่สุดในร้านนี้ก่อนจะหันมองดูรอบๆ หาสายตาของมนุษย์กล้ามปู เมื่อเห็นว่าทางโล่งก็ยักคิ้วลิ่วตาให้เธอไปนิดหน่อยพอหอมปากหอมคอ
ปี๊นๆ
ผมสะดุ้งโหย่ง หันขวับตามเสียงก่อนจะเจอเข้ากับรถฮอนด้าสีดำป้ายแดง กระจกด้านคนขับลดลงช้าๆ จนได้เห็นใบหน้าของพี่ตุลย์ที่ยื่นออกมา “ไปรับที่หนึ่งได้ยัง?”
“ไปรับดิ” ผมว่าพลางวิ่งอ้อมมาอีกทางขึ้นไปนั่งด้านข้างคนขับเป็นตุ๊กตาหล่อๆ หน้ารถให้กับรถใหม่ป้ายแดงอีกหน “มาตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ยพี่?”
“สักพักแล้ว” พี่ตุลย์เข้าเกียร์ก่อนจะค่อยๆ เคลื่อนตัวรถ “แต่เห็นคุยกับผู้หญิงอยู่ก็เลยไม่อยากเข้าไปขวาง”
“อ๋ออ เข้ามาขวางเถอะพี่ ผู้หญิงคนนี้น่ะ”
“ทำไมอะ?”
“พี่จำได้ไหม ที่มันมีผู้ชายกล้ามใหญ่ๆ สองคนไล่ตามเราอะ แฟนของผู้หญิงคนนั้นแหละ เขาเข้าใจผิดว่าผมไปเต๊าะแฟนเขาอะ นี่ก็เลยไม่อยากจะเข้าใกล้คุณเธอสักเท่าไหร่ถึงจะน่ารักมากตรงสเป็คผมเลยก็ตาม” ผมพูดอย่างหัวเสีย พิงหลังไปกับเบาะหนังดำนิ่มๆ
“คนในสเป็คมีอีกเยอะ เอาชีวิตไปเสี่ยงก็ไม่คุ้มเท่าไหร่หรอกใช่ไหมละ?” คนที่นั่งขับรถอยู่ข้างๆ ผมหัวเราะเสียงเบา ผมหันมองเสี้ยวหน้าด้านข้างของคนที่เป็นผู้ใหญ่กว่า
“ผมเพิ่งสังเกตว่าพี่ไม่ค่อยหัวเราะกับผมเท่าไหร่”
“หื้ม?”
“ก็พี่ชอบขมวดคิ้วใส่ผมมากกว่าอะ ทำหน้าแบบ ‘อะไรของมึง’ ใส่ผมตลอดๆ อะ ไม่ค่อยยิ้ม ไม่ค่อยหัวเราะเหมือนเวลาพี่อยู่กับลูกพี่บ้างเลย”
“อะไร? เป็นเด็กขี้อิจฉาไง ก็นั่นมันลูกฉัน ยิ้มให้ลูกผิดตรงไหน อยากให้ฉันยิ้มให้ หัวเราะให้เยอะๆ ชาติหน้าก็เกิดมาเป็นลูกฉันสิ”
“ก็จะเอาชาตินี้อะ เป็นลูกไม่ได้แล้ว เป็นอย่างอื่นก็ได้ไง คิดดิเป็นอย่างอื่นได้ไหม ที่พี่จะไม่แค่ขมวดคิ้วใส่อะ อย่างเช่นเป็น...”
“แฟนอะ อีกอันนึงที่จะยิ้มให้หัวเราะให้”
คำว่า ‘ตัวตลก’ ที่ผมกำลังจะพูดต่อกลืนหายกลับเข้าไปในลำคอทันที ทั้งๆ ที่คนที่พูดก็ไม่ได้มีท่าทางคิดอะไรกับคำนั้น แต่ผมกลับนิ่งค้าง เสียงบางอย่างที่สะท้อนก้องอยู่ในหู ทำให้ผมรีบหันหน้ามองออกไปนอกหน้าต่าง
“ผม...ขอนอนแป๊บนึงนะ ทำงานใช้แรงมามันเหนื่อยอะ”
“ตามสบาย”
ผมหลับตาปี๋ทันที พยายามที่จะไม่คิดถึงเรื่องเมื่อครู่ พยายามที่จะไม่คิดว่าความรู้สึกเมื่อกี้กับตอนที่ผมตื่นขึ้นมาบนเตียงพี่ตุลย์เป็นความรู้สึกเดียวกัน พยายามที่จะ!
เวรเอ๊ย! กอเอ๋ยกอไก่ ขอไข่ในเล้า ฃอขวดของเรา คอควายเข้านา ฅอคนขึงขัง...
ไอ้หัวใจนี่ มึงจะเต้นเบรกแดนซ์หาพ่อง!
หลังจากที่ผมตบตีกับความรู้สึกแปลกๆ ที่รวนอยู่ในใจจนกลับมาสงบได้ ในที่สุดรถฮอนด้าสีดำป้ายแดงก็ขับเข้ามาในโรงเรียนโรงเรียนหนึ่ง เสียงเจี๊ยวจ๊าวโทนแหลมสูงของเด็กวัยอนุบาลถึงป.หกเข้ามาในหูเป็นการทักทายแทบจะทันที
“ปะ ไปรอที่โรงอาหารก่อน”
เด็กตัวเล็กๆ ในชุดนักเรียนลายสก็อตวิ่งพล่านอยู่ทุกคนหนทุกแห่ง แต่ยกเว้นที่โรงอาหารใต้อาคาร แม้จะมีโต๊ะยาวกับที่นั่งจำนวนมากก็ดูเหมือนว่าจะไม่ใช่สถานที่ยอดนิยมสักเท่าไหร่ ก็เลยกลายเป็นว่ามีเพียงแค่ผมกับพี่ตุลย์ แล้วก็เด็กชั้นโตๆ สาม สี่คนที่นั่งอยู่บริเวณนั้นแบบห่างๆ กัน
“พี่มาที่โรงเรียนที่หนึ่งบ่อยปะ?”
“ไม่ค่อย มาแค่สมัครเรียน ประชุมผู้ปกครองสองสามหนแค่นั้นเองมั้งถ้าจะไม่ผิด” พี่ตุลย์ตอบพลางจิ้มโทรศัพท์ต๊อกแต๊กๆ
“พี่ทำไรอะ?”
“หาเบอร์ครูประจำชั้นของที่หนึ่งอะดิ จะได้ให้เขาบอกที่หนึ่งว่ามารับแล้วรออยู่โรงอาหาร”
“อ๋อ” ผมลากเสียงยาว หันมองซ้ายมองขวาดูอาคารโรงเรียนของเด็กประถมอย่างสนอกสนใจ ตอนที่ผมเป็นเด็กตัวน้อยๆ ผมก็เรียนที่โรงเรียนแบบนี้แหละครับ อาคารไม่สูงมาก มีสีสัน แต่ไม่สดใส เวอร์วังอลังการแบบนี้หรอกครับ แต่อาจเพราะที่นี่มีเด็กอนุบาลด้วยอะไรด้วยละมั้ง เล่นซะอาคารแทบจะเป็นสีรุ้ง แถมสนามหญ้าหน้าอาคารยังเต็มไปด้วยเครื่งเล่นเด็กเรียงรายสดใส ทอดยาวไปจนถึงอาคารสอง
หื้ม?
ผมหรี่ตามองเด็กที่กำลังเล่นอยู่ในบ้านไม้ในสนามหญ้า เพ่งมองจนแน่ใจแล้วว่าคนที่ผมเห็นเนี่ยคือเด็กที่ผมตั้งใจจะมารับก็รีบสะกิดพี่ตุลย์ยิกๆ ให้ลุกขึ้นไปหาไอ้เด็กนั่นที่สนามหน้าหน้าอาคารเรียน แต่ขณะที่ผมกับพี่ตุลย์กำลังเดินเข้าไปหา ก็มีเด็กประมาณสามคนโดยมีคนที่ตัวใหญ่สุดเป็นผู้นำเข้าไปดึงขาของที่หนึ่งแล้วลากลงมาจากสไลเดอร์
เอ่อะ สัญญาณแบบนี้ ไม่ใช่สัญญาณ Make friend แน่นอน
“เครื่องเล่นนี้เขาไม่ให้เด็กไม่มีแม่มาเล่นนะรู้ปะ ฮ่าๆๆๆๆ” เด็กตัวใหญ่สุดหัวเราะเสียงดังก่อนที่เด็กคนอื่นๆ ในบริเวณจะหัวเราะคิกคักตาม
อื้มมม ไอ้ไจแอนท์นี่สินะ ที่หัวเลี้ยวหัวตอตัวนำแกล้งที่หนึ่ง
อันที่จริงที่ผมตั้งใจจะมารับที่หนึ่งก็เพราะอยากจะเห็นมันเนี่ยแหละ ผมไม่ใช่ลูกเสือที่จะรักกับเด็กทั่วโลกนะครับ บอกไว้ก่อน ผมไม่ถูกกับเด็กสักเท่าไหร่นัก แล้วยิ่งเป็นเด็กที่มาล้อปมด้อยคนอื่น แกล้งคนอื่นแบบนี้ด้วยแล้ว หึหึ เดี๋ยวเจอของจริงเลยไอ้หนู /ยิ้มอ่อน
“นี่ๆ ไม่มีแม่แล้ว ไม่มีพ่อด้วยอะเปล่า? ไม่เคยจะเห็นพ่อนายมาที่โรงเรียนเลยนะ” เด็กอีกคนตัวแห้งแต่สูงฉลูดพูดแขวะที่หนึ่ง
“ที่หนึ่งมีพ่อนะ!” ผมชะงักเท้าหลังจากที่เข้าไปใกล้มากพอแล้ว ยืนพิงถังเหล็กที่ถูกสร้างไว้เป็นเครื่องเล่นให้เด็กลอด แต่พี่ตุลย์กลับยังเดินต่อ และถ้าผมไม่เอามือกั้นเอาไว้ก่อนป่านนี้ก็คงเข้าไปดึงที่หนึ่งให้ออกมาแล้ว
“อะไรของนาย?”
“พี่นั่นแหละจะทำอะไร ยืนดูไปก่อนสิ จะได้รู้ว่าตอนพี่ไม่อยู่ที่หนึ่งเขาเจออะไรแบบไหน มากแค่ไหน?”
“แล้วไหนอะพ่อนาย? พ่อนายก็โง่เหมือนนายเปล่า? สงสัยว่าพ่อนายต้องปัญญาอ่อนแน่เลยถึงมีลูกออกมาแบบนี้ ฮ่าๆๆๆๆ”
เหยดดดด แรง
“พ่อที่หนึ่งไม่ได้โง่นะ! แล้วพ่อที่หนึ่งก็ไม่ได้ปัญหาอ่อนด้วย!”
“พ่อที่หนึ่งไม่ได้โง่นะ พ่อที่หนึ่งไม่ได้ปัญญาอ่อน บลาๆ” ไอ้เด็กไจแอนท์ทำเสียงล้อเลียน หน้าตาแม่งกวนตีนชิบ นี่ผมเริ่มไม่แปลกใจแล้วว่าทำไมที่หนึ่งฟิวขาดจนถึงไปต่อยเอา ถ้าเป็นผมนะ เอาดินสอสีแทงตาแม่ง ถ้าตอนนั้นเป็นดินสอไม้ 24 สีก็แท่งนั่นแหละ 24 แท่ง
“ว๊าย ไม่มีแม่ แล้วยังลูกแหง่ ที่หนึ่งอย่างนั้น ที่หนึ่งอย่างนี้ ลูกแหง่ ลูกแหง่ ลูกแหง่!~”
“ทำไมฉันต้องมายืนฟังลูกตัวเองโดนด่าด้วย?” พี่ตุลย์ที่ยืนกอดอกอยู่ข้างๆ ผมพูดด้วยน้ำเสียงที่ไม่ค่อยสบอารมณ์สักเท่าไหร่ ถึงแม้ปกติพี่ตุลย์จะเป็นคนที่ค่อนข้างใจเย็น และมีเหตุผล (มั้งนะ) แต่ถ้าเป็นเรื่องลูก ก็ดูเหมือนว่าพร้อมที่จะใจร้อนแล้วเข้าไปรุมตีได้สินะ
“เด็กขี้แหง่ เด็กไม่มีแม่ โง่ที่หนึ่ง ขี้แหง่ที่หนึ่ง ไม่มีที่หนึ่ง~” เสียงประโยคนั้นดังไปมาจากไอ้ลูกหมาสามตัว ผมยืนฟังอยู่เงียบๆ จนคิดว่าพอแล้วจึงค่อยๆ สูดลมหายใจเข้าปอดแรง
“นี่ๆ ดูไอ้เด็กนั่นดิ มันชอบผู้ชายอะ!!” ผมพูดขึ้นเสียงดัง จงใจใช้เสียงที่โคตรจะดัดจริตแล้วชี้นิ้วไปที่ไอ้เด็กหมูตอนนั้น
ตอนดูโคนันมีเก็นตะเป็นไอดอลไง๊? นี่ไม่ได้ตามเทรนไทยใช่ไหมว่างานผอมตั้งหากที่ต้องมา~
“อะ อะไรของนาย?” พี่ตุลย์ขมวดคิ้วใส่ผม
“เอ้า พี่จำรายการที่เราดูด้วยกันเมื่อวานไม่ได้หรอ ที่เขาบอกว่าเด็กสมัยนี้ ถ้าชอบใครก็จะทำเป็นด่าคนนั้นเพื่อปกปิดไม่ให้รู้ว่า เราคิดกับเขามากกว่าเพื่อนไง” ผมขยิบตาใส่พี่ตุลย์ถี่ๆ พร้อมกับพูดเสียงดัง ดังชนิดที่ว่าคนขับรถอยู่บนถนนใหญ่ก็ต้องได้ยิน
“อ๋อ...” พี่ตุลย์ร้องเสียงเบา มุมปากกระตุกยิ้มเหมือนชอบใจอะไรบางอย่าง “นั่นสิ รายการที่เราดูเมื่อวาน เขาบอกว่า ยิ่งแกล้งมากเท่าไหร่แปลว่ายิ่งรักมากเท่านั้น”
ผมยิ้มในใจที่พี่ตุลย์ยอมเล่นตามน้ำไปกับผม แล้วเริ่มพอเข้าใจแผนการ หึหึ ไอ้รายการบ้าบอนั่นมันมีที่ไหนละครับ
“แล้วเด็กเนี่ยก็เอาแต่หาเรื่องที่หนึ่ง มันก็แปลกๆ น๊าาา” ผมลากเสียงกวน พร้อมกับเดินเข้าไปหาไอ้เด็กไจแอนท์นั่น “แอบชอบน้องชายเขาใช่เปล่าละ ชอบก็จีบ อยากได้ก็ให้แม่มาขอสิ” ขยิบตาให้ด้วย วิ๊ง~
“พูดอะไรอะ ใครจะไปชอบเด็กไม่มีแม่กัน ไม่ได้ชอบสักหน่อย”
“อู๊ยยย ปากแข็ง หน้าแดง หัวใจเต้นเร็ว ท่าทางแบบนี้นี่ชอบที่หนึ่งชัดๆ ถ้าไม่ชอบจะมาแกล้งทำไมจริงปะ คืออยากจะให้ที่หนึ่งสนใจจริงๆ ก็บอกดิ ไม่ใช่ทำตัวแบบนี้ ปรึกษาพี่ได้นะไอ้น้อง พอดีพี่เป็นกูรูเรื่องนี้ ยินดีให้คำปรึกษาฟรีแบบไม่เสียค่าใช้จ่าย แค่โทรมาที่เบอร์ 091-818-xxxx แล้วพี่ก็จะบอกให้ว่าตอนนี้ที่หนึ่งกำลังทำอะไร พูดอะไร ทำหน้าแบบไหนอยู่เลยเป็นไงดีไหม? เอ็กคูลซิฟสุดๆ เลยนะ~
“ไม่ได้ชอบที่หนึ่งนะ!”
“เฮ้ย ชอบเขาก็บอกเขา ปฎิเสธเสียงแข็งเดี๋ยวที่หนึ่งหาแฟนได้แล้วจะทำไงละ ไม่ต้องกลัวหรอกเรื่องชอบผู้ชายอะ เดี๋ยวนี้สังคมยอมรับมากขึ้นแล้ว” ผมยังลุกต่อ ก้มหน้าจ้องเข้าไปในตาของเด็กนั่น แล้วถ้ามันมองตาผมอยู่ มันก็จะเห็นนิ้วกลางที่ผมกำลังชูให้มันแบบนอนสต็อป
“นายชอบที่หนึ่งหรอ?” ที่หนึ่งเดินมายืนข้างๆ ผมแล้วเอ่ยถามเสียงเบา ไม่รู้ว่าเข้าใจมุขผมหรือเปล่า แต่ผมคิดว่าก็ดีที่ใช้คำพูดนี้
หึหึ ทำตัวซ่าตั้งแต่เด็กแบบนี้ เจอของจริงบ้างแล้วจะหนาวไอ้หนู พี่ก็เจอของจริงมาแล้ว แอร์คอนดิชั่น หนาวจริง เย็นจริงไม่มีโม้!
“เราไม่ได้ชอบที่หนึ่งนะ ไม่ได้ชอบผู้ชาย!” เด็กอ้วนนั้นร้องเสียงหลง ถอยหลังหนีผมที่กำลังใช้สายตาสื่อนิ้วกลางคุกคามมัน ถึงตอนนี้มันจะเริ่มเห็นน้ำตาใสคลอหน่วงอยู่ที่ตาแล้วก็ไม่ได้ช่วยให้ผมรู้สึกสงสารตั้งแต่น้อย
1. มันไม่ใช่ผู้หญิงในสเป็คของผม
2. แล้วตอนที่ทำคนอื่นร้องไห้ ทำไมไม่คิด
“ว๊าย ชอบผู้ชาย ชอบผู้ชาย ชอบผู้ชาย~ แกล้งที่หนึ่งก็เพราะชอบที่หนึ่งนี่เองอะ” ผมส่งเสียงล้อดัง เหลือบมองเด็กที่เล่นกันอยู่ที่ซุบซิบๆ ต่อๆ กันไปอย่างรวดเร็ว
“เราไม่ได้ชอบผู้ชายนะ ฮึก...”
“เฮ้ย พอแล้ว” ผมที่กำลังจะอ้าปากล้อต่อ กลับโดนพี่ตุลย์ที่ดูอยู่ข้างหลังคว้าตัวปิดปากเอาไว้ เด็กไจแอนท์นั่นร้องไห้ไปจ้องผมไปเขม็ง ก่อนจะเดินปึงปังออกไปอีกทาง
ผมส่งเสียงจิ๊จ๊ะในลำคออย่างไม่ค่อยพอใจนัก ตอนแรกก็แค่คิดจะให้เด็กนั่นไม่มาแกล้งที่หนึ่งถ้าไม่อยากโดนล้อ แต่พอทำไปมากๆ ก็ดันเผลอหงุดหงิดด้วยซะงั้น
“กลับบ้านเถอะ” พี่ตุลย์พูดสรุปพลางเดินเข้าไปหาลูกชายคนโต ส่วนผมก็เดินนำหน้าสองคนนั้นไปพลางสงบสติอารมณ์
หมับ!
ผมชะงักหันมองข้อมือตัวเองทีกำลังโดนใครบางคนยึดจับเอาไว้ ไอ้พี่ตุลย์ไม่พูดพร่ำทำเพลงอะไรก็ลากทั้งผมและที่หนึ่งไปยังรถฮอนด้าสีดำของตัวเองที่จอดไว้
“เฮ้ย พี่ตุลย์ลวนลามผมหรอ? แค่เดินอะทำเองได้อยู่ นี่ก็เดินด้วยขาตัวเองจะยี่สิบปีแล้ว”
พี่ตุลย์เลื่อนสายตามามองผม ดันลูกชายตัวเองให้ไปนั่งด้านข้างคนขับก่อนจะลากผมไปที่ประตูหลัง ขณะที่ผมกำลังสอดตัวเข้าไปนั่ง เส้นผมสีดำสนิทที่เซ็ตเสยไปไว้ข้างหลังก็มีมือของใครบางคนวางลงบนมันแผ่วเบา ผมหันมองเจ้าของมือนั่น...
รอยยิ้มอ่อนๆ แบบที่ผมไม่ค่อยได้เจอจากปรากฎอยู่จางๆ ความร้อนจากมือที่วางอยู่บนหัวเริ่มแผ่ลงมาเรื่อยๆ จนถึงใบหน้าของผม
“ขอบคุณนะ”
โธ่เว๊ย...ผมเพิ่งห้ามบังคับให้ใจเต้นเป็นโทนเดิมได้เมื่อประมาณชั่วโมงก่อนเองนะ!
TBCเส้นความรู้สึกของคนเรามันก็ละเอียดดีนะ ~
#Daddybelover
สปอย.
'ตุลย์ โทษทีที่ไม่ค่อยได้ติดต่อมาเลยนะ ฉันกำลังจะบอกนายว่า ฉันกำลังกลับมาทำงานที่ไทยแล้วนะ~'
.
.
.
"ตุลา มาดูนี่เร็ว ว่าใครมา~"