บทที่ 30
ในวันนั้น แอชลีย์นำคนกลุ่มหนึ่งแยกออกมาตามหาลูกคนเล็กตามทิศที่ซินเธียบอก การค้นหาเป็นไปอย่างราบรื่น ใช้เวลาไม่นานพวกเขาก็พบทารกคนหนึ่งถูกซ่อนเอาไว้ในซอกของโขกหินขนาดใหญ่ลึกเข้าไปในตัวถ้ำ เนื่องจากได้ยินเสียงเด็กร้องออกมาเป็นตัวนำทาง
อัลฟ่าหนุ่มไม่รู้จะบรรยายความรู้สึกครั้งแรกยามได้เห็นหน้าลูกชายของตนออกมาเช่นไร เขาไม่รู้ว่าสำหรับพ่อคนอื่นแล้วพวกเขามีปฏิกิริยาอย่างไรยามได้พบลูกชายเป็นครั้งแรก ได้สัมผัสตัวพวกเขาเป็นครั้งแรก อาจจะกู่ร้อง ดีใจ ร้องไห้ หรือนิ่งอึ้ง
แต่สำหรับเขาในตอนนี้ ยามได้อุ้มทารกตัวน้อยขึ้นมาในอ้อมอกหัวใจของชายหนุ่มเต็มไปด้วยความปวดหนึบ
ตอนแรกแอชลีย์มีท่าทีกังวลเล็กน้อยเนื่องด้วยตนไม่รู้วิธีอุ้มเด็กทารก ยิ่งตอนนี้ไม่รู้ว่าก่อนจะพบกันเขาได้เผชิญกับสถานการณ์ใดมาบ้าง รีบร้อยไปก็กลัวจะยิ่งเป็นการทำร้ายร่างอันแสนบอบบางนี้ไป โชคดีว่าหนึ่งในคนที่ติดตามมามีคนที่แต่งงานมีครอบครัวแล้วจึงมีประสบการณ์มาบ้างเลยช่วยให้คำแนะนำในการอุ้มเด็กแรกเกิดให้กับผู้เป็นนาย
เฟย์ลินน์ตัวเล็กมาก ยิ่งถูกกระชับเข้ามาในอ้อมแขนของอัลฟ่าหนุ่มก็ราวกับจะจมหายลงไปในอก เขาร้องไห้เสียงดังแต่เป็นเสียงแหบแห้งแสนอ่อนแรง ใบหน้าแดงก่ำ แอชลีย์ไม่แน่ใจว่าตนเองควรจะจัดการกับสถานการณ์แบบนี้อย่างไร เขาเลยลองพูดเป็นเชิงปลอบประโลมโดยใช้น้ำเสียงแบบเดียวที่พูดกับคนแม่เมื่อครู่ดูพร้อมทั้งโยกตัวเล็กน้อยตามคำแนะนำของผู้มีประสบการณ์ข้างกาย
“พ่ออยู่ตรงนี้”
พอถูกรับเข้าสู้อ้อมกอดแม้เด็กน้อยจะยังไม่หยุดร้องแต่เขาดูสงบกว่าตอนเข้ามาพบครั้งแรก คล้ายได้กลิ่นและน้ำเสียงแสนคุ้นเคย
“ทำไมเขาไม่หยุดร้องเลยล่ะ” แอชลีย์พยายามปลอบลูกตามคำแนะนำของผู้ติดตามด้วยท่าทีเก้กัง แขนทั้งสองข้างแข็งไปหมดจนเริ่มชาเนื่องด้วยไม่กล้าขยับเปลี่ยนท่าทางกะทันหัน โดยเฉพาะส่วนคอของทารกทั้งบอบบางและอ่อน ไหนจะผิวเนื้ออุ่นรุมๆ นี่อีก ร้อนจนคุณพ่อมือใหม่ต้องให้คนช่วยถอดเสื้อสูทออกให้แล้วนำมาห่อตัวเฟย์ลินน์อีกชั้นหนึ่ง ในถ้ำนี้อากาศเย็นสำหรับเด็กมากเกินไปจริงๆ
“คุณชายน้อยอาจจะหิวหรือเปล่าครับ” หนึ่งในผู้ติดตามคาดคะเน
“ถ้าอย่างนั้นรีบออกไปจากที่นี่”
อัลฟ่าหนุ่มสั่งการโดยไม่ลังเล ตอนนี้พวกเขาต้องรีบออกเดินทางไปยังโรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุด น่าเป็นห่วงอาการทั้งคนแม่คนลูกประเมินไม่ได้เลยว่าใครย่ำแย่กว่ากัน
ซินเธียลืมตาตื่นขึ้นมาอีกครั้งหลังจากนอนหลับไปนาน เด็กหนุ่มไม่รู้เลยว่าตัวเองหมดสติไปตอนไหน อาจจะเป็นตั้งแต่ที่อัลฟ่าหนุ่มหันหลังวิ่งไปยังทิศทางของถ้ำเพื่อตามหาลูกๆ พอได้พบใบหน้าอันคุ้นเคยเขาก็ปล่อยวางทุกอย่างให้ความเหนื่อยล้าตลอดค่ำคืนที่ผ่านมาเล่นงานอย่างง่ายดาย มันเกินขีดจำกัดของร่างกายเขามามากพอแล้ว
เด็กหนุ่มลืมตาขึ้นมาได้ชั่ววินาทีก็ต้องหลับลงไปอีกครั้ง ใช้เวลาปรับตัวกับแสงสว่างอยู่พักใหญ่ถึงได้มองเห็นบรรยากาศรอบกายชัดขึ้น
สิ่งแรกที่เห็นคือเพดานสีขาวสะอาดและกลิ่นยาอบอวลไปทั่ว ไอน้ำจากเครื่องฟอกอากาศ เมื่อขยับศีรษะไปอีกด้านพบชุดโซฟาว่างเปล่าและกระเช้าผลไม้บนโต๊ะกระจกต่างจากกระเช้าของเยี่ยมอื่นบนโต๊ะอาหารขนาดสองที่นั่งตรงมุมห้องอีกด้านราวกับว่ามันพึ่งถูกนำเข้ามายังไม่ได้รับการจัดเรียงให้เข้าที่
“อา...”
ครางออกมาแผ่วเบารู้สึกว่าร่างกายของตัวเองมันช่างแสนจะหนักอึ้ง ซินเธียกะพริบตาอีกสองสามครั้งพลางสูดลมหายใจเข้าลึกพยายามจะดันกายลุกขึ้นนั่งเป็นจังหวะเดียวกับที่บานประตูส่วนในถูกเปิดเข้ามาแผ่วเบา ปรากฏเป็นร่างสูงใหญ่ของอัลฟ่าผู้นำตระกูลคิม ใบหน้าคมคร้ามยังคงสงบนิ่งดังปกติ ทว่า นัยน์ตาอำพันคู่นั้นมีแววยินดีหลังจากเห็นว่าคนที่นอนหลับมาถึงสองวันเต็มตื่นขึ้นมาแล้ว
“ค่อยๆ”
แอชลีย์สาวเท้าเข้ามาใกล้โอบประคองร่างของภรรยาให้นั่งพิงหมอนได้สะดวก มือใหญ่ไล้ไปตามกรอบหน้าเรียวได้รูปซึ่งบัดนี้ดูซีดเซียวไปมาก พอแน่ใจว่าอุณหภูมิของร่างกายปกติดีก็วางใจ กำลังจะย้ายมือไปลูบกลุ่มผมจินเจอร์ตามความเคยชินกลับต้องชะงักไปเพราะลูบลงมาได้ถึงช่วงลำคอก็ต้องพบแต่อากาศว่างเปล่า
ชายหนุ่มกำมือเข้าหากันก่อนจะชักกลับมาวางข้างตัวอย่างแนบเนียน เอ่ยปากถามไถ่อาการอย่างนึกเป็นห่วง
“รู้สึกอย่างไรบ้าง”
“ลูกๆ ล่ะครับ” น้ำเสียงแหบแห้งสวนขึ้นด้วยคำถาม วูบหนึ่งมองเห็นแวววูบไหวในดวงตาอำพันครู่นั้น แต่ก็เป็นระยะเวลาเพียงเสี้ยววินาทีหากไม่สังเกตก็คงไม่พบความผิดปกติ
“พวกเขาอยู่ที่ไหน” ถามย้ำด้วยความร้อนรนเมื่อเห็นว่าคนตรงหน้าเงียบไป ดวงตาทั้งสองเริ่มแดงก่ำ
แอชลีย์ทรุดตัวนั่งข้างเตียงก่อนจะดึงกายบางเข้ามาสวมกอดยามเอ่ยเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นระหว่างที่อีกคนนอนหลับอยู่
“เฟย์ลินน์ตอนนี้อยู่ในห้องสำหรับเด็กอ่อน เพราะเขาคลอดก่อนกำหนดทำให้ร่างกายไม่ค่อยแข็งแรงตอนนี้จำเป็นต้องอยู่ในตู้อบสักระยะเพื่อจะได้ง่ายสำหรับดูแล” เขาเลี่ยงจะใช้คำว่าติดตามอาการอย่างใกล้ชิดอย่างที่หมอเคยพูดเอาไว้ เพราะสภาพจิตใจของซินเธียตอนนี้เขาจะยิ่งรู้สึกแย่กว่าเดิม
เพราะว่า...
“ทำไมคุณพูดถึงแต่เฟรย์ล่ะ แล้วฟรานอยู่ที่ไหน ไม่ได้อยู่ด้วยกันหรือครับ” ซินเธียขืนตัวออกมาจากอ้อมกอด จับต้นแขนทั้งสองของผู้เป็นสามีแน่นเค้นเอาคำตอบกับคนที่เงียบไปหลังเอ่ยประโยคแรกจบทั้งยังไม่มีวี่แววจะพูดอะไรต่อ
หมดแล้วหรือ มีเพียงเท่านี้น่ะหรือ?
“ผมจะรีบตามหาเขาให้พบ”
เพียงเท่านั้นน้ำตาที่รื้นอยู่ก็หลั่งไหลออกมาเป็นสายราวกับว่ามันถูกกักเก็บไว้นานจนเกินไปพอถึงเวลาปะทุออกมาถึงได้มีมากมายมหาศาล ไม่อาจหยุดยั้งได้ สองมือสั่นเทิ้มที่จับต้นแขนแข็งแรงเอาไว้เปลี่ยนเป็นขยำเนื้อผ้าแน่น
“เขา... เขา” ซินเธียกลอกตาไปมาอย่างคนเหม่อลอย สมองสับสนอันแน่นไปด้วยความคิดมากมาย
แอชลีย์กระชับร่างสั่นระริกเข้าสู่อ้อมแขนแน่น เขาวางใบหน้าด้านหนึ่งไว้บนกลุ่มผมสีจินเจอร์ มืออีกข้างก็คอยลูบแผ่นหลังคอยปลอบประโลมไม่หยุด
หัวใจรู้สึกเจ็บปวดกับทุกๆ เรื่อง
ทุกเรื่องจริงๆ มันมากมายไปเสียหมด
“ขอโทษ”
“เขาพึ่งลืมตาได้ไม่ถึงหนึ่งวันด้วยซ้ำ ไม่ถึงหนึ่งวัน ฮึก... แม้แต่น้ำนมสักหยดก็ยังไม่มีโอกาสได้ดื่มกินดีๆ...” ซินเธียสะอื้น ตั้งแต่เกิดมาเป็นครั้งแรกที่ปล่อยให้น้ำตาหลั่งรินออกมาเป็นสายธารขนาดนี้
อดทนฝ่าฟันมาได้ทั้งคืน ตอนนี้เพียงได้ตกอยู่ในอ้อมแขนแข็งแกร่งเขาก็ยอมปล่อยให้ความอ่อนแอทั้งหมดออกมา พรั่งพรูความในใจแสนอัดอั้นออกมาด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ
“เพราะเราให้เขามากอย่างที่ต้องการไม่ได้ เราพยายามแล้ว” แต่ร่างกายของตนก็ไม่มีสารอาหารมากพอจะกลั่นเป็นน้ำนมให้กับลูกๆ ได้ในตอนนั้น “คนพวกนั้นต้องการอะไร ทำไมเขาต้องเอาฟรานไปด้วย เขาก็เป็นแค่เด็กตัวเล็กๆ ยังไม่ทันจะได้ลืมตาด้วยซ้ำ”
“ฉันส่งคนไปค้นหาเพิ่มแล้ว ไม่ว่าอย่างไรก็จะต้องพาลูกกลับมา”
ต่อให้ต้องเผาทั้งป่าบ้าๆ นั่น เขาก็จะทำให้มันมอดไหม้จนใช้มุดหัวไม่ได้
แอชลีย์ขบกรามแน่นพลางกระชับอ้อมแขนแน่น
วันนั้นหลังจากพาตัวเฟย์ลินน์กลับมาได้ คนจากฝั่งที่ไปค้นหาฟรานซิสยังไม่กลับมา แอชลีย์ไม่ต้องการทิ้งคนใดคนหนึ่งไว้แต่อาการของซินเธียกับลูกคนเล็กก็น่าเป็นห่วงไม่อาจรั้งรอได้นานกว่านี้แล้ว ยิ่งกว่าพวกเขาจะเดินทางออกจากเขตของแดนใต้ออกไปยิ่งใช้เวลา ขามากับขาไปนั้นสภาพการเดินทางย่อมต้องแตกต่าง ต่อให้รีบแค่ไหนตอนนี้ก็มีคนเจ็บและเด็กอ่อนต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ
แอชลีย์ตัดสินอย่างเด็ดขาด เขารีบพาตัวภรรยาและลูกคนเล็กมุ่งหน้าสู่โรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุดก่อน ส่วนฮิลล์รั้งรอพาคนของตัวเองค้นหาต่อ ตอนนี้แอชลีย์ได้พาคนของทางตระกูลคิมออกไปค้นหาสมทบแล้วคิดว่าอีกไม่นานก็คงจับตัวพวกมันมาได้
ครั้งแรกหลังได้รับข่าวเรื่องการลอบโจมตีนั้นอัลฟ่าหนุ่มทั้งตกตะลึงและโกรธแค้น โชคดีว่าอีสเทิร์นพอร์ตนั้นเมื่อเทียบระยะทางแล้วอยู่ใกล้กว่า และที่นั่นมีฮิลล์ แลมเบิร์ต นายท่าแห่งนาวีเจี้ยนผู้ยิ่งใหญ่ ด้วยความช่วยเหลืออย่างเต็มกำลัง และการจัดการอย่างเด็ดขาดของฮิลล์ เขาสามารถนำคนออกมาช่วยเหลือได้ทันเวลา
แน่นอนว่าความช่วยเหลืออันยอดเยี่ยมเหล่านี้ต้องแลกกับอะไรไปไม่น้อย แอชลีย์ไม่ลังเลเลยที่จะทำการค้ากับฮิลล์อีกครั้ง แม้ระดับความเสียเปรียบจะมีมากกว่าการเจรจาธุรกิจทั่วไปเกือบสองเท่าตัว ความเด็ดเดี่ยวไม่ลังเลของอัลฟ่าหนุ่มข้อนี้ไม่เคยทำให้นายท่าแห่งนาวีเจี้ยนผิดหวัง เขายิ้มกว้างพร้อมมอบกำลังคนให้อย่างใจกว้าง
ชายหนุ่มผ่อนลมหายใจ ขณะประคองร่างของภรรยาลงนอนดังเดิม ซินเธียร้องไห้จนเหนื่อยแล้วนอนหลับไปด้วยความอ่อนเพลีย เขาลูบปลายผมสั้นระลำคอของคนหลับเหม่อลอยอยู่ครู่ใหญ่ พอได้ยินเสียงเคาะประตูเบาๆ ก็ผละออกมาโดยไม่ลืมช่วยจัดผ้าห่มให้ ตรวจสอบจนแน่ใจว่าไม่มีตรงไหนน่าห่วงแล้วก็เดินออกไปคุยธุระกับผู้ติดตามคนหนึ่งที่มาแจ้งข่าวสาร
ตอนค่ำเด็กหนุ่มฟื้นขึ้นมาด้วยสภาพที่ดีกว่าตอนแรกเล็กน้อย ใบหน้าซีดเซียวเริ่มมีริ้วสีของเลือดฝาด พอได้ทานอาหารอ่อนๆ ร่างกายก็ฟื้นตัวมากขึ้น ด้วยความที่คลอดเองระดับการฟื้นตัวจึงใช้เวลาไม่นาน นอนพักสักคืนหลังคลอดก็สามารถเดินเหินได้คล่องแล้วหากไม่ติดว่าตลอดช่วงเวลาเมื่อสองวันก่อนซินเธียต้องประสบพบเจอกับเรื่องราวสุดระทึกมา ร่างกายขาดทั้งน้ำขาดทั้งอาหาร ไม่ได้รับการพักผ่อนอย่างเพียงพอ ร่างกายจึงอ่อนเพลียมากส่งผลให้พอถูกส่งตัวมายังโรงพยาบาลก็นอนหลับไปถึงสองวัน ตอนนี้ก็เริ่มขยับร่างกายได้ดังเดิมแล้วเพียงแค่อาจจะไม่คล่องแคล่วนัก
เรื่องของแมรี่ก็ทำให้ซินเธียรู้สึกสะเทือนใจไม่น้อยร่างของเธอถูกนำกลับมาด้วย แอชลีย์เล่าว่าได้จัดการเรื่องฝังศพและทำพิธีโดยครอบครัวของเธอเรียบร้อย ทางตระกูลคิมให้ความช่วยเหลืออย่างเต็มที่และไม่ลืมแสดงความเสียใจกับขอโทษทางครอบครัวเธอจากใจจริง ชายหนุ่มยังกล่าวอีกว่าเมื่อร่างกายของซินเธียดีขึ้นมากกว่านี้หากต้องการเขาจะพาไปเยี่ยมเด็กสาว
“เราอยากเจอเฟรย์” ซินเธียเอ่ยหลังทานมื้อเย็นเสร็จ ภายในใจของเด็กหนุ่มยังคงร้อนรน เขาจะไม่วางใจหากไม่ได้เห็นหน้าลูกด้วยตนเองว่าเขาปลอดภัยดี
“ได้สิ” แอชลีย์ใช้ผ้าช่วยซับปากให้เด็กหนุ่มก่อนยื่นยากับน้ำเปล่าให้ “ทานยาก่อนนะแล้วฉันจะพาไป”
แน่นอนว่าคุณแม่ตัวเล็กยอมทำตามโดยไม่อิดออด หลังนั่งรอให้อาหารย่อยสักพักคุณหมอก็เข้ามาตรวจอาการ เธอกล่าวว่าร่างกายของเด็กหนุ่มฟื้นตัวได้เร็วเพราะแข็งแรงอยู่แล้วเลยไม่มีปัญหาอะไรขอเพียงได้รับการพักผ่อนที่เพียงพอและทานยาบำรุงที่ทางโรงพยาบาลจัดให้ บาดแผลจากการคลอดเองก็ไม่มีอะไรต้องห่วง รออีกสักวันแล้วก็สามารถออกโรงพยาบาลได้ แต่สำหรับเด็กนั้นต้องอยู่ในตู้อบเพื่อเฝ้าดูอาการอีกระยะ
“ปอดของเขาไม่ค่อยแข็งแรงค่ะ อาจจะเป็นเพราะตอนคลอดออกมาช้าเกินไป” สำหรับเด็กแฝดส่วนใหญ่แล้วคนที่สองจะออกมาห่างจากคนแรกไม่เกินหนึ่งนาที อาจจะด้วยความไม่สะดวกและสภาพแวดล้อมในขณะนั้นรวมกับการคลอดก่อนกำหนดเลยทำให้ทุกอย่างดำเนินไปด้วยความไม่ราบรื่น
“แล้วจะมีผลเมื่อเขาโตขึ้นไหมครับ” ซินเธียถามอย่างกังวลใจ
“ถ้าดูแลดีๆ ก็จะไม่เป็นปัญหาค่ะ ช่วงนี้ก็ต้องดูกันไปก่อนหากไม่มีอาการแทรกซ้อนอะไรเข้ามาทุกอย่างก็จะราบรื่น” แพทย์สาวส่งยิ้มให้กำลังใจ “โดยรวมแล้วหัวใจของเขาปกติดี ส่วนปอดตอนนี้แม้จะไม่ค่อยแข็งแรง แต่ก็ไม่ถึงขั้นอันตรายค่ะ หมอจะให้เขาอยู่ในตู้อบสักระยะ ประมาณสัปดาห์หน้าก็น่าจะกลับได้แล้ว”
อยู่คุยกันเรื่องอาการโดยรวมต่อไม่นานคุณหมอก็ขอตัวกลับไป แอชลีย์เลยพาเด็กหนุ่มไปยังชั้นสำหรับเด็กอ่อน สำหรับวันนี้ยังไม่สามารถเข้าไปด้านในได้คนทั้งสองเลยได้แต่มองลูกผ่านกระจกกั้นบานใหญ่
ซินเธียเดินเข้าไปแนบฝ่ามือเข้ากับบานกระจกใส ริมฝีปากสีซีดระบายรอยยิ้มน้อยๆ เมื่อเห็นว่าเฟย์ลินน์กำลังนอนหลับอยู่ในนั้น ลูกดูสบายดี การหายใจก็ไม่ดูทรมานเท่าคืนแรกแล้ว พอได้เห็นแบบนั้นหัวใจอันหนักอึ้งก็เริ่มเบาขึ้นส่วนหนึ่ง
“เขาเหมือนคุณมากเลยนะครับ”
ซินเธียเงยหน้าขึ้นเอ่ยทั้งรอยยิ้มให้กับคนตัวสูงที่ขยับเข้ามาชิดพลางยกแขนข้างหนึ่งขึ้นโอบรอบเอวกันแผ่วเบา
“ผมก็ทั้งดกทั้งเข้ม รูปปาก จมูก ดวงตา” หัวเราะคิกคักออกมา ขณะขยับมือวาดไปตามตำแหน่งต่างๆ ที่เอ่ยออกมาเมื่อครู่ “ฟรานก็เหมือนกัน พวกเขาทั้งสองเหมือนกันมาก แต่เพราะตอนนั้นเฟรย์ออกมาทั้งตัวเล็กแถมยังดูอ่อนแรง เราเลยแยกเขาออก”
ท้ายประโยคนี้น้ำเสียงของท่านชายคล้ายจะหม่นลง แต่ด้วยความไม่อยากทำตัวปล่อยพลังงานด้านลบต่อหน้าลูกซินเธียถึงได้พยายามฝืนยิ้มอีกครั้งขณะบรรยายความคล้ายคลึงซึ่งถอดแบบผู้เป็นบิดาของลูกทั้งสองคนออกมา
“สีตาของเขาก็เป็นอำพัน สวยมากเลยนะ” ชายหนุ่มเอ่ยด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำฟังดูผ่อนคลาย ในเนื้อความนั้นแฝงแววยินดีเอาไว้ไม่น้อย “ตอนอุ้มครั้งแรก เขาตัวเล็กมากจริงๆ นั่นแหละ”
“จริงหรือครับ” ซินเธียแสดงสีหน้าสนใจ
“อืม”
ในช่วงระหว่างที่ซินเธียยังไม่ได้สติ ชายหนุ่มคอยวนเวียนมาเฝ้าลูกเป็นระยะ บางครั้งก็นั่งมองเงียบๆ อยู่เกือบครึ่งวันไม่นึกเบื่อ เฟย์ลินน์พออยู่ในความดูแลของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญแล้วอาการทรงตัวขึ้นมาก คุณพ่อมือใหม่จึงมีโอกาสได้สังเกตอากัปกิริยาต่างๆ ของลูกได้มากมาย มีบางครั้งเขาก็ลืมตาขึ้นมามองบ้าง นัยน์ตาของเด็กน้อยเป็นสีอำพันงดงามราวกับอัญมณี บางครั้งพอยื่นมือเข้าไปใกล้ นิ้วทั้งห้าเล็กๆ นั่นก็กำนิ้วเรียวยาวของชายหนุ่มเอาไว้แน่น ต่อให้นอนหลับไปแล้วก็ยังไม่ยอมปล่อย จะแกะออกก็ไม่กล้า เพราะแบบนั้นจึงมีบางช่วงเวลาที่แอชลีย์ต้องนั่งอยู่ในท่าเดิมหลายชั่วโมง และบางครั้งเจ้าตัวน้อยก็ยิ้มออกมาโดยไร้เหตุผล ตาของเด็กวัยนี้ยังไม่สามารถทำงานได้ดี บางครั้งพวกเขาก็ทำเพียงมองเหม่อไปเรื่อยไร้จุดหมาย ถึงรู้แบบนั้นแอชลีย์ก็ยังเผลอส่งยิ้มคืนไปให้ลูกอยู่ดี ต่อให้จะคิดไปเองคนเดียวว่าลูกยิ้มให้ก็ตาม
“เวลายิ้ม เขาก็เหมือนเธอมากนะ” คิดมาถึงเรื่องนี้เขาเลยเอ่ยออกไป
“จริงเหรอ” คนแม่พอได้ฟังแบบนั้นก็สุขใจเป็นอย่างมาก ละสายตากลับไปจ้องเจ้าตัวน้อยในตู้อบที่ขณะนี้เริ่มขยับแขนขายุกยิกแล้ว
“ว่าแต่ช่วงที่เราหลับไป เขาได้ทานอะไรบ้างไหมครับ”
“ต้องใช้น้ำนมของคนอื่นชั่วคราวน่ะ แต่ตอนนี้เธอฟื้นแล้วหมอบอกว่าต้องปั๊มนมให้ไปก่อนยังไม่สามารถอุ้มออกมาข้างนอกได้”
“อ่า...” เด็กหนุ่มครางรับ ทั้งที่ในใจอยากจะให้ลูกได้ดื่มนมจากอกตนมากกว่า “แล้วใครเป็นคนป้อนเขา คุณหรือครับ”
“ใช่”
คนตัวโตตอบออกมาด้วยใบหน้าเรียบเฉย เห็นแบบนั้นแล้วคุณแม่ก็นึกตลกขึ้นมาเสียดื้อๆ ไม่รู้ว่าตอนป้อนนมลูกอีกคนจะทำหน้าอย่างไรกันนะ นั่งป้อนด้วยใบหน้าเคร่งขรึมอย่างนี้น่ะหรือ กับผู้ชายตัวโตๆ เต็มไปด้วยบรรยากาศน่าเกรงขามช่างเป็นภาพที่นึกไม่ออกเลยจริงๆ มันคงทั้งแปลกประหลาดและน่ารักไม่น้อย
“แล้วคุณได้คุยกับลูกบ้างไหม”
อัลฟ่าหนุ่มขมวดคิ้ว “คุยบ้าง...”
“พูดอะไรไปบ้างครับ”
แอชลีย์กระแอม เบือนหน้ากลับไปมองลูกเสียอย่างนั้น ทำเอาเจ้าของคำถามส่ายหน้าไปมา มุมปากกระตุกรอยยิ้มเจือจาง ไม่คิดคาดคั้นสิ่งใดอีก
ซินเธียพักฟื้นต่ออีกหนึ่งวันร่างกายก็กลับมาแข็งแรงดังเดิมอย่างที่คุณหมอกล่าวไว้ เด็กหนุ่มได้รับอนุญาตให้ออกจากโรงพยาบาลได้ในอีกหนึ่งวันถัดมา ทว่า ด้วยความที่เฟย์ลินน์นั้นยังคงต้องได้รับการดูแลในห้องสำหรับเด็กอ่อนอย่างต่อเนื่อง คนทั้งสองเลยตัดสินใจว่าจะยังพักผ่อนอยู่ในโรงพยาบาลต่อ เนื่องด้วยซินเธียไม่อยากออกห่างจากลูก จะให้กลับไปนอนโรงแรมต่อเขาคงนอนไม่หลับ สู้อยู่ต่ออีกระยะยังสามารถไปอยู่กับลูกได้ตลอดเวลา
ทางด้านแอชลีย์นั้นไม่ได้ขัดข้องอะไร ห้องระดับวีไอพีภายใต้การจัดการของนายท่านาวีเจี้ยนทำให้พวกเขาสามารถใช้ชีวิตได้สุขสบายไม่ต่างจากโรงแรมระดับห้าดาว เอาไว้เฟย์ลินน์ออกจากโรงพยาบาลแล้วค่อยเดินทางกลับวินเทอร์ฟอลทีเดียวเลยก็แล้วกัน ไม่ต้องไปเช่าโรงแรมให้วุ่นวายแล้ว
ในระหว่างนั้นนอกจากดูแลคุณแม้แล้วอัลฟ่าหนุ่มก็ยังแวะเวียนมาอยู่เป็นเพื่อนลูกชายคนเล็กอย่างสม่ำเสมอ เรื่องการตามหาฟรานซิสเองก็ยังดำเนินต่อเนื่อง
ขณะนี้เป็นวันที่สี่หลังจากเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาล คนของฮิลล์ทำงานได้รวดเร็วและยอดเยี่ยมแต่ด้วยฐานะของฝ่ายตรงข้ามนั้นไม่ได้ธรรมดาอย่างคนทั่วไป การไปเชิญอีกฝ่ายมาพบนั้นเลยต้องใช้เวลานานกว่าปกติเล็กน้อย
กลางดึก หลังจากส่งซินเธียเข้านอนเรียบร้อย ชายหนุ่มก็เดินเอื่อยมาจนถึงห้องเด็กอ่อนตามความเคยชิน นัยน์ตาอำพันจับจ้องทารกน้อยซึ่งกำลังนอนหลับใหลอย่างสงบอยู่ในตู้ เขายืนล้วงกระเป๋ามองอยู่แบบนั้นเงียบๆ หน้ากระจกพักใหญ่ จนกระทั่งได้ยินเสียงฝีเท้าเดินเข้ามาใกล้แผ่วเบา
แอชลีย์ไม่ได้หันกลับไปมองแม้ผู้มาใหม่จะยืนอยู่ด้านหลังแล้ว ยังคงเอาแต่จับจ้องด้วยท่าทางดังเดิม แผ่นหลังกว้างเหยียดตรงดูสงบ เคร่งขรึม
“ได้ตัวมาแล้วครับ” เสียงหนึ่งเอ่ยขึ้น
“อยู่ที่ไหน”
“ท่าเรือนาวีเจี้ยนครับ คุณฮิลล์กำลังรับรองอยู่”
หลังจบคำรายงานนั้น นัยน์ตาอำพันส่องประกายวูบหนึ่งก่อนริมฝีปากบางจะเหยียดขึ้นเล็กน้อย
“ดี ฉันจะไปพบแขกสักหน่อย”
กล่าวจบกายสูงใหญ่ก็หันหลังย่ำเท้าเป็นจังหวะสม่ำเสมอ ไร้ความรีบร้อนไปตามโถงทางเดินเงียบสงัดท่ามกลางความมืด
TBC