(ตอนที่1)
กูเกลียดตัวเองตอนนี้ที่สุด...เกลียดเสียงร้องไห้ที่ทำให้ตัวเองดูอ่อนแอ...เกลียดน้ำสีใสที่ไหลออกมาทำกูเหมือนหมาขี้แพ้...เกลียดท่าทางสะอื้นจนตัวโยนจนกลายเป็นจุดสนใจของคนอื่น
แต่...ไม่ใช่จุดสนใจของ...คนที่กูรักมันหายไปแล้ว...มันเดินหายไปแล้ว...ไม่แม้แต่จะชายตามองกู ไม่แม้แต่จะสนใจใยดี ทั้งๆที่มัน ‘เคย’ บอกว่ารักกูมากที่สุด รัก...กูมากกว่าสิ่งอื่นใด
ทั้งๆที่มันบอกแบบนั้นแต่มันก็ทิ้งกูไปแล้ว
ทิ้งกูไปพร้อมกับผู้หญิงของมันกูไม่เข้าใจ...รัก...ที่เคยให้กูทำไมถึงหมดไป หรือเพราะกูเป็นผู้ชายเหมือนมึง...ไม่ใช่หรอก นั้นมันก็แค่ ‘ข้ออ้าง’ ของพวกที่อยากมีใหม่ มีหลายคู่ มีหลายคน ที่แหวกกฎสังคมแล้วก็อยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข
แค่ไม่ใช่คู่ของกูเท่านั้นเอง
ยิ่งคิดกูก็ยิ่งร้องไห้...สะอื้น...เสียงดัง จนคนรอบข้างหันมามองกันหมด แต่ก็ไม่มีใครเข้ามาสนใจคนบ้าอย่างกูหรอก แค่มอง สงสัย แล้วพวกนั้นมันก็เดินผ่านไป
กูไม่แคร์...ใครจะมองกูยังไงกูไม่แคร์...กูแคร์แค่มัน...มันคนเดียว
อดีต...กูก็เคยเป็นผู้ชายธรรมดา มีแฟนเป็นผู้หญิง และทำงานเป็นมนุษย์เงินเดือนแบบปรกติ แต่พอกูเจอมัน...มันที่ทำให้กูเปลี่ยนไป มัน...ทำให้กูรู้ตัวว่ากูคงรักผู้ชายด้วยกัน
หรือไม่...กูก็คงรักได้แค่มันคนเดียวมันเข้ามาในช่วงที่ชีวิตกูกำลังวุ่นวายแบบที่สุด พ่อแม่กูตายเพราะอุบัติเหตุ ถึงบ้านกูจะไม่ใช่คนร่ำรวยแต่ก็ยังเสือกมีปัญหาเรื่องมรดก...พวกที่ดิน...สำหรับพี่สาวกับน้องสาวกูไม่ใช่ปัญหาเพราะพวกเรารักกันดี
แต่กับญาติที่คอยจะเกาะแข้งเกาะขาที่ร้องบอกว่าพ่อกูพูดว่าจะยกให้...นั้นแหละปัญหา
ช่วงนั้นทำให้กูหัวหมุนจริงๆ ทำงานไปกูก็โดนโทรศัพท์จากไอ้ญาติเหี้ยๆโทรเข้ามากดดัน จนกูทำงานชิ้นใหญ่พลาดไปชิ้นหนึ่ง...โดนด่าเละ...แถมยังโดนไล่กลับไปทำงานเอกสารง่ายๆ
ชีวิตกูแมร่งโคตรน่าเบื่อจนอยากจะลาออก ขายที่ทางที่มีให้หมด แล้วพาพี่สาวน้องสาวหนีไปอยู่ที่ไหนซักที่ไกลๆ
กูจะทำแบบนั้นจริงๆ...ถ้ากูไม่รู้จักกับมันก่อน
มันเป็นพนักงานใหม่ที่พึ่งเข้ามาทำงานในบริษัทเดียวกับกู ทำในตำแหน่งที่สาวๆทุกคนแอบหลงปลื้ม...พวกนายช่าง...
แถมมันยังหล่อ เข้ม หุ่นก็ดี ทำเอาพวกสาวๆพากันกรี๊ดกันไม่หยุดหย่อน ขนาดคนละแผนกอย่างกูยังรู้จักชื่อมัน ทั้งๆที่ยังไม่เคยเจอหน้ากับมันเลยด้วยซ้ำไป...แล้ว...คงจะเรียกว่าเป็นความบังเอิญก็คงได้...มันกับกูจบจากมหาวิทยาลัยเดียวกัน แถมรุ่นเดียวกัน
รู้ตอนที่นั่งกินข้าวอยู่ในร้านอาหารหน้าบริษัทกับพวกพี่ๆที่แผนก พวกพี่เขาลากมันมานั่งคุยด้วย พอรู้เท่านั้นแหละกูก็เลยโพล่งบอกไปว่า ‘เฮ้ย!! จริงดิ เราก็จบที่นั่น รุ่นเดียวกันเลย’
คงเพราะด้วยพึ่งจบมาไม่เท่าไรเลยรู้สึกดีใจที่มีเพื่อนร่วมสถาบันมาทำงานที่เดียว
แต่...ถ้ากูรู้มาก่อนว่าเรื่องมันจะเป็นแบบนี้...วันนั้น...กูคงไม่พูดคุย...ไม่ยิ้ม...ไม่ทำความรู้จักกับมันแน่นอน
เพราะหลังจากนั้นมันก็เริ่มเข้ามาชวนกูคุย ชวนกูไปเดินเที่ยวซื้อของ ชวนกูไปดูหนัง...ซึ่งแน่นอนว่าตอนนั้นกูคิดแค่เพื่อน กูไปกับมันตลอด ช่วงเวลาที่อยู่กับมันกูรู้สึกดี มันทำให้กูลืมเรื่องเครียดๆไปได้ตลอดเวลา
จากหนึ่งวันที่กูรู้จักกับมัน...กลายเป็นหนึ่งปีที่กูกับมันเหมือนเพื่อนสนิทกัน
ตอนนั้นกูยอมรับในใจตัวเองแล้วว่ากูคงชอบมัน...มันยากนะ...กูรู้สึกแปลกๆกับมันมาพักใหญ่ๆ
อยากเจอหน้า...อยากพูด...อยากคุย...อยากไปไหนต่อไหนกับมันอีก...เฝ้ารอคอยแต่ละวันให้งานมันหมดไปเร็วๆเพื่อที่ตอนเย็นจะได้เจอกับมัน จะได้ไปกินข้าวด้วยกัน
สุดท้ายกูเลยรู้ตัวเองว่ากูคงชอบมันเข้าให้แล้ว...แต่กูไม่เคยบอก...ทำไมกูต้องบอก...กูกลัว...เพราะมันก็ไม่แสดงท่าทีว่ามันจะชอบผู้ชาย
แต่พอมาวันหนึ่ง...เป็นวันที่กูคิดว่ากูดีใจที่สุดในโลก...เป็นวันเสาร์ มันชวนกูออกไปดูหนังตามปรกติ แต่ระหว่างที่ดูอยู่มันก็เอื้อมมือมาจับมือกู...ใจกูเต้นแรง...และยอมให้มันจับไปแบบนั้น
จนหนังจบ มันกับกูก็ออกมากินข้าวด้วยกัน...แล้วมันก็มาส่งกูที่คอนโดที่กูผ่อนไว้ ก่อนจะลงจากรถมันคว้ากูเข้าไปจูบ...จูบแบบที่กูเคยใช้กับผู้หญิง...พอจูบเสร็จมันก็พูดคำที่กูอยากได้ยินที่สุดในตอนนั้น
‘รัก....’หัวใจกูพองอย่างไร้สาเหตุ... มันบอกว่ารักกู ขอกูเป็นแฟน...แน่นอนว่ากูตกลง เพราะกูเองก็รักมัน ทั้งๆที่กูก็ยังมีแฟนเป็นผู้หญิงอยู่แต่กูก็ยอมเลิกเพราะเพียงคำบอกว่ารักจากปากมัน
กูยอมทำให้ผู้หญิงที่บอกว่ารักกูเสียใจ...เพราะได้รับคำว่ารักจากผู้ชายที่กูหลงรัก
หลังจากที่กูเคลียร์ปัญหาชีวิตรักกับผู้หญิงคนเก่า...กูกับมันก็เริ่มต้นการเป็นแฟนอย่างสมบูรณ์ มันชอบมาค้างกับกูบ่อยๆในขณะที่กูก็ได้ไปค้างที่บ้านมันบ่อยพอกัน
กูรู้จักกับพ่อแม่มันในฐานะเพื่อนของลูก...พวกท่านก็ดูจะเอ็นดูกูไม่ต่างอะไรจากลูกของตัวเอง คงเพราะกูไปที่นั้นบ่อยด้วย เรียกได้ว่าสองปีหลังจากที่เริ่มใช้คำว่าแฟนกูกับมันแทบจะตัวติดกันเลยก็ว่าได้
จนเริ่มจะมีคนในบริษัทที่เริ่มแซวพวกเราไปต่างๆนานา ตอนแรกดูมันจะไม่สนใจ มันยังคงเดินมารอกูไปกินข้าวกลางวันด้วยบ่อยๆ หรือถ้าวันไหนที่มันไปดูงานข้างนอกมันก็จะมีขนมกลับมาให้กูเสมอ แต่เพราะหลังๆเรื่องแซวเริ่มจะน่ารำคาญเกินไป
ขนาดกูที่เป็นคนไม่ค่อยจะแคร์ใครยังเริ่มรู้สึกไม่ไหว...เพราะแบบนั้นมันเลยบอกว่าเฉพาะแค่ที่ทำงาน คงต้องลดๆความสัมพันธ์ของพวกเราไม่ให้ใครรู้ไว้ก่อน
กูโอเค...นาทีนั้น...มันจะสั่งให้กูไปทางไหนกูก็ไม่สามารถขัดมันได้แล้ว
แต่เหมือนว่าที่มันบอกลดความสัมพันธ์จะไม่ใช่แค่ที่ทำงาน...
มันเริ่มห่างจากกูไปเรื่อยโดยเหตุผลของการทำงาน มันบอกว่าต้องไปดูงานข้างนอก ต้องตามหัวหน้าออกไปที่ไซต์งาน และอีกสารพัดที่จะบ่ายเบี่ยงให้กูไม่ได้เจอหน้ามัน
เกือบจะสามเดือนที่กูต้องอยู่อย่างเดี่ยวดาย กูรู้สึกแปลก...มันไม่ค่อยมาค้างกับกู กูเองก็ไม่ได้ไปที่บ้านมันแล้วเพราะมันไม่เคยชวนไป วันหยุดกูเคยนั่งรถไปหามันที่บ้านแต่พ่อแม่มันบอกว่ามันออกไปข้างนอกแล้ว
กู...สติแตกถึงขั้นที่ทะเลาะกัน...กูหาเรื่องก่อนเอง กูน้อยใจ...มันบอกว่ามันไปทำธุระส่วนตัว กูถามว่าธุระอะไรมันก็ไม่ตอบ...เป็นแบบนี้ตลอดจนกูทะเลาะกับมันเรื่องนี้....เรื่องเดิมๆ ทะเลาะกันเกือบทุกวัน
กูร้องไห้...ไม่เคยคิดว่าผู้ชายอย่างกูเองจะร้องไห้ กูรักมันมากจริงๆ
กูเกิดมาเป็นลูกชายคนเดียวในบ้าน โชคร้ายที่บ้านกูไม่ใช่ครอบครัวคนจีน กูเลยต้องรับหน้าที่ในการดูแลพี่สาวน้องสาว ไม่ได้มีคนตามใจอะไรกูมากมาย ส่วนใหญ่เป็นกูเองที่ต้องตามใจคนอื่น
แต่มันดูแลเอาใจกู...กูรู้สึกว่ากูเป็นคนพิเศษ...อุ่นใจ...และปลอดภัยเสมอเวลาอยู่กับมัน
กูยังคงทะเลาะกับมันอีกเป็นเดือนๆ จนวันนี้...วันที่กูทนไม่ไหว
กูออกมาเดินห้างคนเดียว เพราะรู้สึกว่าถ้าอยู่ในห้องกูคงต้องโทรไปทะเลาะกับมันแน่ๆ
แต่กูคิดผิด...เพราะการออกมานอกห้องครั้งนี้ทำให้กูต้องทะเลาะกับมันรุนแรงที่สุด...มันเดินควงแขนมากับผู้หญิงสวยและสาวแต่งชุดนักศึกษามหาวิทยาลัยเดียวกับกู
ถึงแม้มันจะไม่ได้ดูสวีทหวานแต่กูดูออกว่ามันสองคนเป็นอะไรที่มากกว่าเพื่อน...เหมือนกับกูกับมันกูไม่ใช่คนใจเย็น...กูเข้าไปกระชากแขนและพร้อมจะโวยวาย แต่...พอมันโดนกูกระชาก เพียงแว่บเดียวเท่านั้นที่มันตกใจ...แล้วมันก็เปลี่ยนเป็นใครบางคนที่กูไม่รู้จัก ใครบางคนที่ร้ายกาจกับกูมากจริงๆ
ผู้หญิงข้างๆมันตกใจที่กูเข้าไปกระชากพวกมันออกจากกัน...มันผลักอกกูออกจนกูล้มลงไปกับพื้น พร้อมกับที่มันบอกว่ากูเป็น
‘กระเทยที่ตามจีบมัน’จากที่กูจะโวยวาย...กูนิ่งเงียบ...ปล่อยให้พวกมันเดินหนีจากกูไปเฉยๆ กูไม่เห็นว่าพวกมันมองกูอย่างไง กูก้มหน้าเห็นแต่มือและขาของตัวเอง
ในที่สุด...น้ำตา...เสียงสะอื้น...ของกูเองก็ล้นออกมาจนคนเดินผ่านไปผ่านมาคงมองกูกันหมด
ใจกูเหมือนจะแตกเป็นเสี่ยงๆ รู้สึกแน่นยิ่งกว่าโดนบีบ ขนาดหายใจกูยังทำได้ลำบาก สมองกูเองก็เหมือนไม่รับรู้อะไรซักอย่าง กูกลับมาที่ห้องกูได้ยังไงกูยังลืมไปแล้วเลย
พอรู้ตัว...กูก็นั่งมองกรอบรูปที่แตกกับรูปภาพที่กูถ่ายคู่กับมัน...มันยิ้ม...กูยิ้ม...เรามีความสุข...ถ้าจะให้บอกว่ามันไม่รักกู...กูไม่เชื่อ ที่ผ่านๆมามันรักกูแน่ๆกูมั่นใจ
แล้วตอนนี้มันหมดรักกูแล้วเหรอ??? คำถามนั้นดังก้องอยู่ในหัวที่ขาวโพลนของกู กูไม่มีคำตอบให้...ที่จริงกูไม่กล้าตอบคำถามนั้นมากกว่า กูยังคงก้มมองรูปนั้น...พร้อมๆกับคว้านหาโทรศัพท์ในกระเป๋า...กูต้องโทรหามัน กูต้องคุยกับมัน...
แต่กูโทรเท่าไรมันก็ไม่รับ...ไม่ใช่ไม่รับ...แต่มันตัดสายกูทิ้งทุกครั้ง...จากน้ำตาที่แห้งไปแล้วมันก็ล้นกลับขึ้นมาใหม่ กูร้องไห้เสียงดังจะเป็นจะตาย ยิ่งมันหนีกูแบบนี้กูยิ่งรู้สึกใจกูจะหยุดเต้นลงให้ได้จริงๆ
แล้ววินาทีที่ทำให้ใจกูคงหยุดเต้นก็มา...เสียง...ติ๊ด...ติ๊ด บอกกูว่ามีข้อความเข้า...เป็นมัน...ข้อความของมัน ที่กูไม่อยากอ่าน
‘นัท...เราเลิกกันเถอะนะ ขอโทษแต่ปอนก็มีเหตุผลของปอน เข้าใจปอนนะ’คำตอบที่กูกลัว...มันตอบมาให้กูชัดเจนยิ่งกว่าอะไรทั้งสิ้น น้ำตาและเสียงสะอื้นของกูดังขึ้นเป็นเท่าตัว...กูกำกรอปรูปนั้นอยู่...มองดูภาพนั้นอีกครั้ง...เพราะกูไม่เชื่อ...ไม่อยากเชื่อว่ามันจะหมดรักกู...
มันเป็นทุกสิ่ง...และทุกอย่าง...มันเป็นรอยยิ้ม...เป็นเสียงหัวเราะ...เป็นชีวิต...และลมหายใจ สามปีที่กูรู้จักมัน สองปีที่กูเป็นแฟนมัน มันทำให้กูรู้สึกว่ากูเป็นคนที่โชคดีที่สุดที่ได้รักกับมัน
กูเองก็ทำตัวให้มันรักทุกอย่าง...มอบให้มันทั้งตัว...และหัวใจ
แล้วกูผิดอะไร?...กูผิดที่ตรงไหน?คำถามใหม่ที่กูตอบไม่ได้...ตอบไม่ได้จริงๆ กูไม่รู้คำตอบ ไม่ไม่เข้าใจ และสับสนไปหมด...รู้แค่ว่าในหัวกูมีแต่คำถามนั้นดังก้องไปทั่วทั้งหัว...แต่เสียงก็เริ่มเบาลงเรื่อยๆ เบาลงเรื่อยๆ พร้อมๆกับจมูกกูที่ได้กลิ่นคาวโชย ดวงตาที่เห็นหยดน้ำสีแดง กับร่างกายที่ชินชาไม่เจ็บปวดอะไร
หูได้ยินเสียงเคร้งๆข้างตัว...หันไปดูก็เป็นเศษกระจกสีแดงเข้มเปอะเปื้อนไปทั่วบานกระจกแตก...มันคงหล่นลงไปจากมือกู
แต่กู...ไม่ได้สนใจ...เพราะกูคิดอะไรไม่ออก เพราะในหัวของกูยังคงมีแต่คำถามที่ว่า
กูผิดอะไร?
อ่านแล้วอย่าเครียดกันมากนะครับ ตอนหน้าจบแล้ว
ขอบคุณทุกคอมเม้น(ซึ่งยังไม่มี)(ก็ขอบคุณล่วงหน้าไง )