ให้มันหมดปายยยยยยยยยยยยยยบทที่ 19
เขามองผมด้วยดวงตาสะลึมสะลือ ตระกองกอดผมเอาไว้เหมือนจะให้ผมเป็นหลักยึดเหนี่ยวไม่ให้เขาล้ม
ผมประคองเขาเข้าไปในบ้าน แล้วพาเขามานอนตรงโซฟา เพราะผมคงไม่สามารถพาเขาขึ้นไปนอนข้างบนได้ไหว เนื่องจากตัวเขาหนักมากเหลือเกิน
ผมขึ้นไปเอาหมอนกับผ้าห่มที่เขาใช้ประจำเวลามาบ้านนี้มาให้เขา แล้วก็เดินเข้าไปในครัว เอาผ้าขนหนูที่ติดมือมาด้วยใส่น้ำในกะละมัง
“ขอโทษนะครับที่มาช้า พอดีว่าผมไม่สบายเป็นไข้ตั้งแต่เมื่อวันพุธที่ผ่านมา วันที่ผมมาหาคุณน่ะครับ ออกจากบ้านฝนก็ตกพอดี
ฝนตกตลอดทางเลย รถแท็กซี่ไม่ยอมเข้าไปส่งด้วย เพราะว่าน้ำท่วมซอย ผมเลยต้องลุยน้ำเข้าบ้าน ตื่นขึ้นมาก็รู้สึกไม่สบาย
แต่ก็พยายามแข็งใจไปทำงานทั้งๆที่เป็นไข้ แต่ก็ไปไม่ไหว เลยต้องขอลางานครับ ตั้งใจว่าจะนอนพักสักวัน แต่ปรากฏว่านอนซมอยู่ตั้งสองวันแน่ะครับ…………”
“เมื่อวานนี้พอจะลุกได้บ้าง ก็มีงานเต้นโชว์เร่งด่วนเข้ามา พอดีเขาขาดคนเต้นคนหนึ่งครับ เลยนึกถึงผมได้ จะปฏิเสธก็กลัวจะเสียงานอื่นเลยต้องรับ
เต้นทั้งวันเลยครับ เหนื่อยมาก เต้นทั้งที่เป็นไข้เลย กลับมาถึงบ้านเมื่อวานนี้ก็ดึกมากแล้ว เพลียมาก ไข้กลับมาซ้ำอีก วันนี้ก็นอนหลับไปทั้งวัน
ตื่นขึ้นมาอีกทีก็เย็นมากแล้ว นึกขึ้นได้ว่าวันนี้ผมต้องมาหาคุณที่บ้าน วันนี้เป็นวันของเราสองคน ที่เราจะอยู่ด้วยกัน ไม่อยากให้คุณรอนาน
แล้วก็ไม่อยากจะเสียวันของเราไปด้วยครับ”
เขาอธิบายถึงสาเหตุที่เขาหายหน้าหายตาไปอย่างยืดยาวให้ผมฟังด้วยเสียงที่แหบแห้ง ก่อนจะไอโขลกออกมา
ผมนั่งนิ่งไม่ตอบอะไรเขา ได้แต่ก้มหน้าก้มตาบิดผ้าชุบน้ำให้หมาดๆ
“ไม่พูดอะไรบ้างเลยเหรอ โกรธผมหรือครับ ขอโทษทีนะ ที่ไม่ได้โทรมาบอก ทำให้คุณกังวลใจหรือเปล่าไม่รู้ ผมหมดแรงจริงๆเลยครับ โทรมาหาไม่ไหวจริงๆ”
เด็กหนุ่มขอโทษขอโพย และพยายามสบตาผม แววตาของเขาเศร้าสร้อย มีความเสียใจอยู่ในนั้น
“นี่ ถ้าไม่สบายนะ ก็ไม่ต้องลำบากมาหาฉันหรอก”
ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่ ก่อนที่จะดุเขา ขณะที่มือก็ง่วนอยู่กับการเอาผ้าชุบน้ำเช็ดหน้าตาให้เดียร์ จากนั้นก็วางมันลงบนศีรษะร้อนรุมนั้น
“อยากมานี่ อาทิตย์หนึ่ง จะได้อยู่กับคุณ แค่ วันเดียวเอง นอกนั้นไม่ได้รับอนุญาตให้มาหา ถ้าผมไม่มา ก็ต้องรอไปจนถึงอาทิตย์หน้าโน่นแน่ะ
รอไม่ไหวหรอก ไม่ว่าจะป่วยหนักแค่ไหน ก็ต้องตะเกียกตะกายมาเจอหน้าเรียว มาคุยด้วย แม้ว่าเรียวจะรังเกียจผมก็ตาม
แต่ก็ยังอยากมาอยู่ดีครับ ขอแค่ได้อยู่ด้วยใกล้ๆ ก็พอแล้ว”
เขาบอกผมเสียงสั่นเครือ ทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ ผมมองหน้าเขา ใจอ่อนยวบ รู้สึกได้ถึงความรักความภักดีที่เขามีต่อผมอย่างลึกซึ้ง
ผมเอื้อมมือไปลูบศีรษะเขาอย่างแผ่วเบา เด็กหนอเด็ก ช่างไม่รู้อะไรบ้างเลย ว่าที่ไม่อยากอยู่ใกล้ ที่ไล่ออกไปให้พ้น
เพราะไม่อยากให้ใจตนเองมันถลำลึกไปมากกว่านี้ ยิ่งเขามาคอยนัวเนียอยู่ใกล้ ผมก็ยิ่งลำบากใจ กลัวตัวเองจะไปหลงรักเขาเข้าให้
“จะบ้าเหรอ ถ้ามาไม่ได้ก็บอกมา ฉันไม่ได้ใจไม้ไส้ระกำเสียหน่อย แล้วก็ไม่ได้เป็นคนที่ไม่รักษาสัญญา บอกว่าให้มาได้แค่วันอาทิตย์ก็จริง
แต่ถ้ามาไม่ได้ ก็มาชดเชยวันอื่นแทนก็ได้ มาทั้งๆที่ป่วยแบบนี้ ก็มาเป็นภาระฉันเปล่าๆ ไม่อยากดูแลคนป่วยหรอก น่าเบื่อจะตาย”
ความสงสารเห็นใจ ทำให้ผมเอ่ยปากอนุญาตเขาให้มาหาผมในวันอื่นๆได้ พอพูดออกไปแล้วก็กลัวว่าเขาจะได้ใจ และคิดมากว่าผมยินยอมเขา
เพราะห่วงใยรักใคร่ จึงแกล้งพูดด้วยน้ำเสียงเบื่อๆที่เขามารบกวนผม เพื่อซ่อนความรู้สึกที่แท้จริงภายในใจ ไม่ให้มันแสดงออกมา
เดียร์หน้าระรื่นขึ้น ตาแห้งผากนั้นกลับหวานฉ่ำ เด็กหนุ่มคว้ามือผมมากุมไว้ ยกขึ้นมาจูบ แล้ววางมันไว้แนบอกตรงตำแหน่งที่เป็นหัวใจของเขา
ใบหน้าซีดเซียวด้วยพิษไข้นั้นมีรอยยิ้มที่บ่งบอกถึงความสุข
“ดีจังเลยครับ ให้ผมมาวันอื่นๆได้จริงๆนะ”
“ทดแทนวันที่มาไม่ได้ต่างหาก”
ผมตอกย้ำลงไปอีก ไม่อยากให้เข้าใจผิด
“แล้วเมื่อไหร่ล่ะฮะ ที่จะให้ผมมาได้ทุกวัน เอากุญแจให้ผมมาก็ได้ฮะ จะได้ไม่ต้องมากด
กริ่งเรียกบ่อยๆ
หรือถ้าไม่อยากให้ผมมาทุกวัน ก็ให้ผมอยู่ที่นี่เลยก็ได้”
ดูเหมือนเจ้าบ้านี่ จะไม่เคยแม้แต่ทำความเข้าใจว่าผมพยายามอย่างยิ่งที่จะหลบเลี่ยงการอยู่กับเขา ไม่เคยสักครั้งที่เดียร์จะใส่ใจในคำพูดที่เขาคิดว่าไม่ได้ประโยชน์
เขาจะเลือกแต่ข้อความที่จะทำให้เขาได้เปรียบ ได้อยู่ใกล้ๆผมมากยิ่งขึ้น ผมมองใบหน้ายิ้มๆนั้น แล้วก็ดุเขา
“คนป่วยอะไรเนี่ย พูดมากอยู่ได้ น่ารำคาญ นี่ก็ดึกแล้ว พักผ่อนได้แล้ว”
“ให้ผมนอนตรงนี้หรือครับ”
เด็กหนุ่มทำหน้าละห้อยละเหี่ย
“ก็ใช่น่ะสิ นายคิดว่าฉันจะให้นายไปนอนที่ไหนได้ล่ะ”
“แต่นอนตรงนี้มันไม่ค่อยสบายนะครับ โซฟาก็สั้นกว่าตัวผม ให้ผมไปนอนบนเตียงในห้องเรียวไม่ได้เหรอ”
เขาทำเสียงอ้อนจนผมรู้สึกหมั่นไส้ คนป่วยท่ามากแบบนี้ น่าเตะสักพลั่กมากกว่าที่จะพยาบาลให้หาย
“ไม่ได้หรอก นอนตรงนี้น่ะดีแล้ว ข้างบนนั่น เป็นพื้นที่ส่วนตัวของฉันห้ามไม่ให้ใครเข้าไปยุ่งเกี่ยว”
ผมบอกเสียงแข็ง เรื่องอะไรจะให้เจ้าเด็กบ้านี่ ล่วงล้ำเข้าไปบนห้องส่วนตัวของผม
“แต่ว่า มันนอนลำบากจริงๆนะครับ”
เขายังดื้อ ไม่ยอมนอนที่โซฟาในห้องรับแขก
“แค่ตอนธรรมดาๆไม่เจ็บไม่ไข้ เวลานอนทีไรผมก็รู้สึกปวดเมื่อยตัวไปหมด แต่ตอนนี้ผมป่วยนะครับ อยากนอนพักผ่อนในที่สบายๆจะได้หายไวๆอ่ะ
ถ้าผมนอนข้างล่างนี่ ตอนกลางคืนเกิดจับไข้หนักขึ้นมา เรียวก็จะไม่ได้รู้ได้เห็น อาการก็จะยิ่งแย่หนัก ไปหาหมอไม่ทัน
หรือว่า จริงๆแล้ว เรียวไม่ได้อยากให้ผมหายไวๆ เพราะอยากให้ผมอยู่ที่นี่กับเรียวใช่ไหม”
มาอีกแล้ว มุขเข้าข้างตัวเองของหมอนี่ ขนาดไม่สบาย ตัวร้อน เสียงแหบแห้งแบบนี้ ก็ยังไม่วายเจ้าเล่ห์ ที่พูดยืดยาวทั้งหมด
ก็เพียงเพื่อให้ผมยอมทำตามในสิ่งที่เขาต้องการ เจ้าเด็กนี่เกเรจริงๆทั้งตอนดีและตอนเจ็บไข้ได้ป่วย น่าหมั่นไส้ยิ่งนัก
ผมยิ้มขำความเป็นเด็กเอาแต่ใจตัวของเขา ไม่ได้รู้สึกโมโหเลยสักนิดที่เขาทำท่างอแงเหมือนเด็ก ทั้งที่ตัวโตกว่าผมตั้งเยอะ
ไม่รู้ว่าเวลาอยู่ต่อหน้าคนอื่น เขาจะแสดงอาการแบบนี้ออกไปไหมหนอ แล้วคนอื่นจะรำคาญแบบผมไหม ไม่สิ คงไม่รำคาญผมเองยังไม่รู้สึกรำคาญเลย
ถ้าผมไม่ชอบ ผมจะยิ้มทำไม เด็กบ้าเอ๊ย นายกำลังทำอะไรอยู่กันแน่นะ ทำไมผมถึงโกรธเขาไม่ลงเลย เป็นเพราะความสงสารที่เห็นว่าเขาไม่สบาย
หรือเป็นเพราะว่าผมตระหนักกันตัวเองว่าคิดถึงเขากันแน่นะ หรือว่าเป็นทั้งสองอย่างรวมกัน
“ว่ายังไงครับ เรียวอยากให้ผมหายดี หรืออยากให้ผมป่วยแล้วนอนซมอยู่กับบ้านของเรียวแบบนี้อ่ะครับ”
เด็กหนุ่มรอฟังคำตอบ ตาละห้อย แต่ดูแล้วน่าหมั่นไส้ มากกว่าน่าสงสาร
“เอาล่ะ ฉันเองก็ไม่อยากให้นายมาป่วยตายที่บ้านนี้ ถ้าการขึ้นไปนอนในห้องฉัน มันจะช่วยให้นายสบายตัวหายป่วยตามที่นายคิด ก็ไปนอนข้างบนก็ได้ แต่ต้องมีข้อตกลงกันนะ”
ไม่มีทางเสียหรอกที่เด็กนี่จะได้อะไรมาโดยง่าย ผมหาทางจำกัดพฤติกรรมการเอาแต่ใจตัวของเขา ไม่ให้ย่ามใจจนเกินไปด้วยการอ้างถึงข้อตกลงที่จะทำร่วมกัน
“อะไรหรือครับ”
เดียร์ทำท่ากระตือรือร้นขึ้นมาทันที มองผมตาแป๋ว
“ข้อแรก หากนายลุกเดินไปไหว ฉันก็จะให้นายขึ้นไปนอนข้างบน เพราะฉันไม่แบกตัวนายไปแน่ ตัวหนักจะตาย
ข้อสอง เวลาที่นอนในห้องของฉัน ก็ห้ามรุ่มร่าม ทำตามอำเภอใจ ห้ามแตะข้าวของ หรือแม้แต่เนื้อตัวของฉัน โดยไม่ได้รับอนุญาต
แล้วข้อสาม ขอให้นายทำความเข้าใจไว้ด้วยว่า ที่ฉันยอมให้นายขึ้นไปนอนบนเตียงของฉัน ในห้องของฉัน ไม่ได้เป็นเพราะว่า
ฉันเกิดเปลี่ยนใจ พิศวาสนายขึ้นมา แต่ที่ทำไปเพราะเห็นแก่เพื่อนร่วมโลกตาดำๆที่กำลังเจ็บไข้ได้ป่วย
แล้วข้อสุดท้าย นายต้องกินยาให้ที่ฉันเอามาให้ด้วย จะได้ฟื้นไข้เร็ว ถ้าหากนายหายแล้ว ก็จะได้กลับไปซะที แค่นี้แหละ ทำได้ไหม”
เด็กหนุ่มมองผมตาเป็นประกายแพรวพราว เขายกมือผมมาจูบอีกครั้ง ทำท่าดีอกดีใจที่ผมอนุญาตให้เขารุกล้ำเข้ามาในพื้นที่ที่เป็นส่วนตัวของผม
“รับทราบแล้วยินดีปฏิบัติตามครับ ขึ้นไปนอนตอนนี้เลยนะ ผมง่วงแล้ว”
เขารีบผลุดลุกขึ้นจะยืน แต่ความที่เคลื่อนไหวเร็วเกินไป เด็กหนุ่มเลยเซถลาจนผมเกือบจะคว้าตัวไว้ไม่ทัน
เด็กหนุ่มพิงร่างไว้กับผม หอบหายใจอย่างเหนื่อยอ่อน ผมอดสงสารไม่ได้ แต่ก็ไม่วายจะบ่นเขา
“รีบร้อนอะไรกันนักหนา เห็นไหม เกือบจะล้มไปแล้ว ถ้าฉันรับไว้ไม่ทันจะทำไง ตัวนายก็ใช่ว่าเบา ล้มมาทีแขนฉันแทบยอกเลย
เอาล่ะ เก่งนักนี่ ขึ้นไปเองแล้วกัน ฉันไม่ประคองนะ ระวังตัวด้วย บันไดมันขัดมันเดี๋ยวจะลื่น ถ้านายขึ้นไปเองได้ ฉันจะให้นายนอนในห้องด้วยตามสัญญา”
ผมกระตุ้นให้เด็กหนุ่มตื่นตัวด้วยการท้าทาย พลางดันตัวให้เขายืนขึ้น ผละออกจากเขาแต่ก็ยืนคุมเชิงอยู่ กลัวว่าเขาจะล้มโครมลงมาด้วยพิษไข้ที่รุมเร้า
เหมือนจะดูว่าใจดำที่ไม่ยอมช่วยประคองเด็กหนุ่มที่กำลังป่วย แต่ผมไม่ได้คิดจะให้เขาขึ้นไปบนนั้นตั้งแต่แรก ในเมื่อร้องขอให้ผมอนุญาต
เขาก็จะต้องพิสูจน์ให้ผมเห็นว่าเขาขึ้นไปบนห้องผมเองได้จริง อย่างน้อยผมจะได้รู้สึกดีมากกว่าการที่ยินยอมพร้อมใจให้เขาขี้นไปนอนด้วยโดยไม่ขัดขืน
แบบนั้นน่ะมันทำให้ผมรู้สึกว่าผมกำลังทอดสะพานให้อย่างไรไม่รู้ แล้วเด็กนี่เมื่อขึ้นไปแล้ว จะทำอะไรมิดีมิร้ายกับผมหรือเปล่า
ป่วยขนาดนี้ก็ใช่ว่าจะไม่มีแรง เกิดทำบ้าๆขึ้นมา ก็ยังไม่รู้เหมือนกันว่าผมจะขัดขืนเขาได้ไหม
ลูกฮึดของเจ้าหมอนี่มีอยู่มากโข ทั้งๆที่ตัวเองเดินซวนเซแทบจะล้มอยู่แล้ว แต่เขาก็ยังพยายามที่จะขึ้นไปบนห้องให้ได้ เขาค่อยๆเกาะราวบันไดไต่ขึ้นไป
ได้ไม่กี่ขั้นก็หอบแฮ่ก ซึ่งตามปกติเด็กหนุ่มคนนี้ร่างกายแข็งแรงอยู่แล้ว แต่นี่เพราะว่าเขาไม่สบายมาก ร่างกายจึงดูอ่อนแอ
แต่กระนั้นก็ยังไม่ยอมแพ้ เขาคงตั้งใจที่จะไปนอนกับผมให้ได้ เขาจึงไม่ยอมละความพยายาม ผมมองเขาแล้วก็นึกสงสารขึ้นมา
อยากเข้าไปช่วย ก็ตะขิดตะขวงใจว่า กำลังร่วมมือให้เขาเข้าห้องนอนของตัวเองง่ายดายไปหรือเปล่า เลยปล่อยให้เขาขึ้นไปด้วยตัวเองอย่างนั้น
เด็กหนุ่มยิ้มกว้างอย่างมีชัยให้ผม เมื่อเขาสามารถเดินขึ้นไปยืนอยู่หน้าห้องผมได้สำเร็จ ผมยิ้มตอบ และยกนิ้วหัวแม่โป้งทั้งสองมือให้เขา
เปิดประตูพาเขาเข้าไปในห้อง เดียร์กวาดตาไปรอบๆทำสีหน้าชื่นชม
“ห้องของเรียวตกแต่งได้สวยมากเลยนะครับ ผมชอบเตียงนอนของเรียวที่มีเสาสี่มุมนั่นจัง และมุ้งบางๆนั้นด้วย
ให้ความรู้สึกคลาสสิคยังไงไม่รู้ เหมือนอยู่ในฮาเร็ม หรือในห้องนอนของชนชั้นสูงน่ะครับ เอ หรือว่าเรียวแต่งห้องไว้รอเจ้าชายมาประทับกันนะ”
“เจ้าชายอะไร ฉันเป็นผู้ชายนะ ต้องรอเจ้าหญิงถึงจะถูกสิ”
ผมว่าเขาอย่างขำๆ เจ้าเด็กคนนี้ คิดอย่างไรกันนะ ถึงอยากจะให้ผมเป็นผู้หญิงเสียเหลือเกิน หรือว่าเขาคิดอยากจะให้ผมเป็นฝ่ายรับมาตลอด
โดยที่เขาจะมารุกผมเสียเอง บ้าไปหน่อยแล้วมั้งถ้าจะคิดแบบนี้
“ผมก็เป็นเจ้าชายเหมือนกัน ไม่ใช่เจ้าหญิง แต่ไม่เป็นไรหรอกผมไม่ถือ ผู้ชายกับผู้ชายนอนด้วยกันได้ครับ ไม่มีใครว่า ตำรวจไม่จับ
งั้นขอให้เจ้าชายนอนเตียงแสนสวยนั้นเลยนะครับ ขอแค่พักผ่อนให้ร่างกายสดชื่นเท่านั้นแหละ แต่ถ้าเจ้าของเตียงอยากให้ผมนอนอยู่ด้วยตลอดไป ผมก็ไม่ขัดข้องหรอกครับ”
ดูเอาสิ ไม่สบายขนาดนี้ยังจะทำปากดี ปากเก่ง พูดอะไรแต่ละอย่าง ก็เข้าข้างตัวเองทั้งนั้น เบื่อแต่ก็สนุกทุกครั้งที่ได้ฟังเด็กนี่พูด
รู้สึกว่ามันเป็นอะไรที่บ้าดีที่ต้องมาฟังคนที่คิดเอง เออเองอยู่ตลอดเวลา แถมซ้ำหน้าไม่อาย ไม่สะทกสะท้านต่อคำด่าเสียด้วย จนคนที่ว่าต้องรามือไปเอง
หลังจากจัดที่ให้เดียร์ได้นอนลงบนเตียงของผมในอีกมุมหนึ่งแล้ว ผมก็ขอตัวลงไปข้างล่างเพื่อจะหายามาให้เขาทาน
เด็กหนุ่มบอกกับผมว่า เขายังไม่ได้กินอะไรเลยตั้งแต่เมื่อวาน รู้สึกหิวมาก รบกวนให้ผมหาอะไรให้เขาทานด้วยได้ไหม
ผมรู้สึกรำคาญใจที่ต้องมาปรนนิบัติเด็กหนุ่ม แต่พอคิดถึงสิ่งที่เขาทำให้ผมตั้งมากมาย ก็เลยต้องรับปากว่าจะทำให้เขา
เด็กหนุ่มพร่ำบ่นขอบคุณผม ดวงตาเป็นประกาย รู้สึกว่าเขาจะดีอกดีใจมากที่ผมทำอะไรให้เขา
ความที่ผมไม่ค่อยถนัดในเรื่องการทำอาหาร ไม่รู้ว่าจะทำอะไรให้เขากินดี ผมจึงเอาข้าวต้มสำเร็จรูปที่ซื้อตุนไว้คราวที่ไปห้างด้วยกัน
เอามาใส่ถ้วยแล้วเทน้ำร้อนใส่ พอสุกได้ที่ผมก็ถือถาดใส่ข้าวต้ม น้ำเปล่า และยามาให้เขาทาน
เด็กหนุ่มหลับไปแล้วด้วยความอ่อนเพลีย ผมเอาผ้าชุบน้ำแล้วบิดให้แห้งมาวางไว้บนหน้าผากของเขาเพื่อลดไข้ แล้วจึงเข้านอน
คืนนั้นผมกับเขาอยู่บนเตียงเดียวกัน โดยมีหมอนคั่นกลาง
ดึกสงัดประมาณตีสองกว่าๆ ผมต้องสะดุ้งตกใจตื่นขึ้นมาเมื่อได้ยินเสียงครางจากเขา จึงลุกขึ้นมาดู เห็นเขานอนตัวสั่น พึมพำฟังไม่ได้ศัพท์
ผมลุกไปปรับอุณหภูมิของแอร์ในห้อง แต่เขาก็ยังร้องครางตัวสั่นเทาอยู่ดี ผมจับตัวเขาดู ตัวเขาร้อนจัด แต่เขาก็ยังบ่นว่าหนาว
ผมจึงเอาผ้ามาชุบน้ำเช็ดตัวให้เขาใหม่เพื่อให้ความร้อนในตัวของเขาลดลงอีก
และหลังจากที่ชั่งใจอยู่นาน ในที่สุดผมก็ล้มตัวลงนอน โดยรั้งตัวเขามากอดไว้แนบอก เพื่อให้ไอความร้อนจากร่างกายผมส่งผ่านไปยังตัวเขา
ตัวของเด็กหนุ่มไม่สั่นอีกต่อไปแล้ว เขาซุกเข้าหาและโอบแขนไว้รอบตัวผม ตอนแรกผมนอนนิ่งตัวแข็งทื่อ นึกว่าเจอเด็กหนุ่มทำมารยาใส่เข้าให้แล้ว
แต่เมื่อพิจารณาดวงหน้าอ่อนเยาว์ที่ซีดเซียวนั่นก็ไม่พบอะไรที่ผิดปกติ เขานอนหลับตาพริ้ม หายใจสม่ำเสมอ ดูเหมือนคนที่ไม่ได้สติจากการอ่อนเพลีย
มากกว่าที่จะมาแกล้งกัน ผมหลับตาลงบ้าง รู้สึกเหนื่อยเหมือนกัน หิวด้วย แต่ไม่อยากกินอะไรแล้ว อยากนอนพักข้างๆเด็กหนุ่มคนนี้ แล้วหลับไปพร้อมๆกัน
เช้าแล้ว ผมรู้สึกปวดหัวตุ๊บๆ ลืมตาแทบจะไม่ขึ้น แต่ความรู้สึกบอกให้ผมต้องรีบลุกขึ้นโดยด่วน เพราะวันนี้เป็นเช้าวันจันทร์เริ่มต้นการทำงานวันแรกของสัปดาห์
ผมไม่อยากไปสาย เพราะอยากจะทำงานให้เสร็จๆ จะได้ไม่ต้องอยู่ดึกมาก ตอนที่ผมเปิดเปลือกตาขึ้นมาก็พบว่าเด็กหนุ่มนอนมองผมอยู่ก่อนแล้ว ด้วยตาโตแป๋วแหวว
ตัวของเขาแนบอยู่ชิดใกล้ โดยมีอ้อมแขนของผมโอบรอบร่างเขาไว้ ผมรีบผละออก
“อรุณสวัสดิ์ครับ เรียว”
เขายิ้มทักทาย ใบหน้าอ่อนเยาว์แลดูสดใส แทบจะไม่เหลือริ้วรอยของความป่วยไข้ให้เห็น ผมเสียอีกที่กลับรู้สึกว่าตัวร้อนรุม
“ขอบคุณมากนะครับ สำหรับเตียงแล้วก็อ้อมกอดที่อบอุ่น”
“เมื่อคืนนายบ่นว่าหนาว ห่มผ้าให้ กับลดแอร์แล้ว นายก็ยังตัวสั่นอยู่ดี ฉันไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร ก็เลยกอดให้เพื่อให้นายคลายหนาว
แต่ก็อย่าคิดมากว่าฉันพิศวาสนายนะ แค่ช่วยให้นายไม่ต้องป่วยหนักไปมากกว่านี้น่ะ”
ผมรีบสร้างกำแพงขึ้นมาขวางกั้นระหว่างผมกับเขาโดยเร็ว
“ไม่เป็นไรครับ ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไร ผมก็รู้สึกซาบซึ้งใจมากครับ กับความช่วยเหลือนี้ของเรียว”
เด็กหนุ่มยิ้มละไม สบตาผมด้วยแววตาพราวระยับของเขา
“ค่อยยังชั่วแล้วหรือยังล่ะเราน่ะ”
พร้อมกับคำพูด มือของผมก็เอื้อมไปแตะหน้าผากเขา มันยังคงอุ่นๆอยู่ ไม่ร้อนจัดแบบเมื่อวาน แสดงว่าเขาอาการดีขึ้นมากแล้ว
“คิดว่างั้นนะครับ แต่ก็มึนหัวนิดหน่อยนะครับ”
เด็กหนุ่มจับมือข้างนั้นของผมไว้ แล้วดึงขึ้นมาหอมที่หลังมือของผม เขาจูบที่นิ้วนางข้างซ้ายที่ผมสวมแหวนที่เขาให้เอาไว้
ก่อนที่จะพลิกให้หงายขึ้น และจูบตรงใจกลางฝ่ามือนั้น เขาช้อนตาขึ้นมองผม เผยให้เห็นความจงรักภักดีอยู่ในดวงตาคู่นั้น
ผมถอนหายใจ และดึงมือออกเบาๆ เด็กหนุ่มยินยอมปล่อยแต่โดยดี
“เรียวใส่แหวนของผมด้วย ดีใจจังเลยครับ”
“เพิ่งจะเห็นหรือไง”
“เห็นนานแล้ว แต่ที่ไม่ทักตั้งแต่แรก กลัวว่าพอทักไป เรียวจะถอดมันอ่ะครับ อยากให้เรียวใส่แหวนวงนี้ไปตลอด
อยากเห็นมันติดนิ้วของเรียวอย่างนี้ ไม่อยากให้เรียวทิ้งขว้างมันอ่ะครับ”
สายตาของเด็กหนุ่มที่มองมา มีแวววิงวอนขอร้อง เขาคงกลัวว่าผมจะถอดแหวนของเขา ผมมองหน้าเดียร์ ไม่ตอบคำถามนั้น แต่เสพูดไปเรื่องอื่น
“นายนอนพักที่บ้านฉันอีกสักหน่อยแล้วกัน หายแล้วค่อยกลับบ้านนะ อยากทานอะไรก็ทำเอา ถ้าลุกไหว แต่ถ้าไม่ไหวจริงๆก็โทรสั่งให้ร้านอาหารแถวนี้มาส่งก็ได้นะ เอาไหมฉันมีเบอร์”
เดียร์ทำตาโต หูพึ่ง เหมือนไม่เชื่อในสิ่งที่ได้ยิน
“ได้จริงๆเหรอครับ ให้ผมนอนที่บ้านเรียวได้อีกวันหนึ่งเหรอ ทำไมใจดีจังอ่ะ”
“จะนอนหรือเปล่า ไม่นอนก็ได้นะ ไม่ได้ว่าอะไร แค่เห็นว่าเมื่อวานนี้นายมาเที่ยงคืนแล้ว ยังไม่ครบตามวันที่สัญญา ฉันเลยให้นายนอนต่อ ถ้าคิดว่าจะกลับบ้านก็ไม่ว่ากัน”
ผมตอบเด็กหนุ่มไปอย่างเย็นชา เดียร์ทำหน้าอ้อน
“นอนสิ อยากนอนครับ ก็ยังไม่ค่อยหายเลยอ่ะ ปวดหัวจัง คงกลับบ้านไม่ไหวอ่ะครับ”
เดียร์ทำเป็นยกมือกุมหัว ท่าทางสำออยเหมือนป่วยหนักเสียเต็มประดา ผมมองหน้าเจ้าเล่ห์นั้นยิ้มๆ พลางลุกขึ้นจากที่นอนเตรียมจะไปอาบน้ำแต่งตัว
เกิดนึกขึ้นมาได้ว่าตนเองไม่ได้อยู่ตามลำพังในห้อง จึงเดินไปเปิดประตูตู้เสื้อผ้า แล้วหยิบเสื้อคลุมนอนมาสวมทับ ก่อนเดินเข้าห้องน้ำ ได้ยินเสียงเดียร์ไล่หลังมา
“ไม่ต้องอายหรอกครับเรียว ผู้ชายด้วยกันจะอายอะไร แล้วผมก็เคยเห็นของเรียวจนหมดแล้วด้วย อีกอย่างผมก็ไม่สบาย ไม่มีแรงกวนเรียวหรอกนะครับ”
คนป่วยอะไรกันเนี่ย ตะโกนเสียงเจื้อยแจ้วได้ขนาดนี้ ผมคิดอย่างขำๆ บ้าน่ะสิ ถึงจะเคยเห็นเรือนร่างผมมาแล้วก็ตาม
แต่ก็ใช่ว่าจะต้องมาเปลือยกายให้เขาเห็นซ้ำอีกนี่ หมอนี่ไว้ใจได้เสียที่ไหน ถึงจะนอนแหม่บ ไม่มีแรงลุกขึ้นมา แต่ปากแล้วก็ตา ก็ยังทำงานได้นี่นา
ผมไม่อยากให้ตาเจ้าเล่ห์นั้นมองตามผมตอนโป๊ แล้วก็ไม่อยากได้ยินเสียงพูดเกี่ยวกับร่างกายหรือวิพากษ์วิจารณ์อะไรเกี่ยวกับตัวผมทั้งนั้น
สงสัยต้องเข้าไปเปลี่ยนเสื้อผ้าในห้องน้ำเสียแล้ว
แต่ผมไม่จำเป็นต้องทำเช่นนั้นเลย ตอนที่ออกมาจากห้องน้ำ เดียร์ก็หลับไปอีกแล้ว ผมเดินมาหยุดอยู่ข้างเตียง ยืนมองอยู่ตั้งนาน
ก็เห็นเด็กหนุ่มนอนหลับตาพริ้ม ทรวงอกสะท้อนขึ้นลง ท่าทางจะไม่ตื่นขึ้นมาง่ายๆ สงสัยจะไม่มีแรงอย่างที่ว่าจริงๆ
คงไม่สามารถกวนใจผมได้แล้วมั้ง เมื่อคิดได้อย่างนั้น ผมจึงแต่งเนื้อแต่งตัวโดยไม่ต้องมานั่งระมัดระวังอีกต่อไป
“วันนี้กลับดึกไหมครับ”
เสียงใสๆถามขึ้นมาท่ามกลางความเงียบ ผมสะดุ้ง หันไปที่เตียงก็เห็นเขานอนตะแคงข้าง มองผมตาแป๋ว มีรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ระบายอยู่ทั่วใบหน้า
ชักเริ่มรู้ตัวแล้วว่าถูกหมอนี่แอบมองมาโดยตลอด เจ้าเด็กบ้านั่นแสร้งทำเป็นหลับ เพื่อให้ผมตายใจ แล้วก็นอนดูผมโป๊ด้วยความเพลิดเพลิน
ผมสำรวจความเรียบร้อยของตนเองที่หน้ากระจก ก่อนจะเดินมานั่งที่เตียง แล้วทำมือเป็นมะเหงกเขกหัวคนที่นอนป่วยดังโป๊กใหญ่ เขาทำหน้าเบ้ เอามือลูบหัวตัวเองป้อยๆ
“ดูเพลินเลยนะ ไอ้คนโรคจิต”
เด็กหนุ่มยิ้มเขินๆ เหมือนเด็กที่ถูกจับได้ว่าแอบทำผิด เขาดึงมือข้างที่สวมแหวนของผมมาแนบแก้มตนเอง แล้วก็จูบอย่างรักใคร่
ก่อนที่จะพูดด้วยเสียงอ้อนที่ทำให้โกรธไม่ลงว่า
“ก็แหม ผู้ชายคนที่ตัวเองรัก โป๊ทั้งที ก็ต้องดูกันนิดหน่อยอ่ะ เรียวน่ะ ถึงจะผอมเพรียวบางไปหน่อยก็ตาม แต่ก็หุ่นดีเหมือนกันนะ
ดูกี่ครั้งก็ไม่เบื่อเลย เมื่อกี้อ่ะ ถ้ามีแรงสักหน่อยนะ ผมจะเข้าไปกอดให้สมกับความคิดถึงเลย”
ผมดึงมือออกแล้วผลักที่หน้าผากเขาเบาๆ พลางพูดหยอกล้อใส่เขา
“ดีแล้ว ที่ไม่คิดจะทำ ไม่อย่างนั้นฉันเตะนายกลิ้งแน่ๆ”
“เรียวไม่ทำหรอก ผมรู้ เรียวใจดีจะตาย”
ท่าทางออดอ้อนประจบประแจงที่เดียร์ทำต่อผม ทำให้ใจอ่อนยวบ ผมยิ้มให้เขา แล้วถามว่า เขาจะทานข้าวต้มไหม จะได้ทานยา
ตอนแรกเขาปฏิเสธ บอกเกรงใจผม แต่เมื่อผมทำเสียงดุใส่เขาว่า ไม่ทานข้าว แล้วจะหายได้ยังไง ถ้าไม่อยากหาย ก็กลับไปตายที่บ้านซะ อย่ามาตายที่นี่
เด็กหนุ่มก็เลยยอมทาน แต่ก็บ่นกระปอดกระแปดว่า ถ้าห่วงเขา ก็ไม่จำเป็นต้องดุว่าแรงๆนี่นา ทำท่าไม่ใยดีแบบนี้
มันทำให้เขาหัวใจสลาย ผมเลยอดที่จะหัวเราะคำพูดของเขาไม่ได้
ทำข้าวต้มให้เดียร์ และรอดูจนกระทั่งเขาทานยาเสร็จแล้ว ผมจึงออกจากบ้านเพื่อไปทำงาน โชคดีที่วันนี้ไม่มีประชุม หรือมีโทรศัพท์มากวนใจ
ผมจึงสามารถพิจารณางานที่กองอยู่บนโต๊ะได้ในเวลาอันรวดเร็ว ยังเหลือใบคำขอที่ต้องพิจารณาอีกไม่มาก วันนี้ผมคงสามารถกลับบ้านได้เร็ว
นึกห่วงเจ้าเด็กบ้านั่น ป่านนี้จะเป็นอย่างไงบ้างหนอ ค่อยยังชั่วหรือยังก็ไม่รู้ ลุกขึ้นมาได้แล้วหรือว่ายังนอนซมอยู่บนเตียง แล้วกินข้าวปลาอาหารได้กินหรือยังนะ
ไหนจะยาอีก ไม่ได้อยู่คุม ก็ไม่รู้ว่าจะกินยาตามที่สั่งไว้หรือไม่ เฮ้อ เจ้าเด็กบ้านี่ ทำให้ผมกังวลใจจนแทบจะไม่มีกระจิตกระใจทำงาน
ก่อนเที่ยงเล็กน้อย ผมโทรไปหาเขาที่มือถือ แต่เขาไม่ยอมรับสาย อาจจะยังไม่ตื่นก็ได้ เดี๋ยวตอนบ่ายผมค่อยโทรไปอีกทีแล้วกัน
หากโทรไปบ่อยเดี๋ยวเขาจะคิดมาก ว่าผมห่วงเขา ซึ่งที่จริงผมก็ห่วงน่ะแหละ แต่ไม่อยากจะให้เดียร์รู้ เดี๋ยวได้ใจแล้วจะทำตัววุ่นวายกับผมไม่หยุดหย่อน
ประมาณสักบ่ายสาม หลังจากที่ผมเคลียร์งานชุดที่สองบนโต๊ะจนหมด ผมจึงโทรไปหาเดียร์อีกครั้ง เขาไม่ยอมรับสายอีกเช่นเดิม
ผมโทรไปหลายรอบก็ยังได้ผลเหมือนเดิม เริ่มที่จะรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาว่า ทำไมเขาถึงไม่รับสาย
หรือว่าจะไม่สบายหนักยิ่งกว่าเดิมอีกจนไม่สามารถลุกขึ้นมารับโทรศัพท์ได้กันนะ ผมชักเป็นห่วงเขาขึ้นมาเสียแล้วสิ
ผมรู้สึกปวดหัวจี๊ดขึ้นมา เลยวางมือจากงาน แล้วเดินออกมานอกห้อง แวะพูดคุยให้กำลังใจลูกน้อง แล้วก็เดินตรงไปยังแคนทีน เพื่อชงกาแฟกินสักแก้ว
ไม่อยากใช้เลขาให้เอามาให้ เพราะเห็นว่างานเขาเยอะมาก อีกอย่างผมก็อยากจะเดินไปเดินมา ให้หายเครียดจากเรื่องงานและเรื่องเจ้าเด็กนั่นด้วย