'เขาเป็นผู้ชายนะเจ็ท'
"ผมขอโทษ..."
'จะขอโทษทำไม แกไม่ได้ทำอะไรผิด'
"อ้าว..."
'แค่อยากจะเตือนว่าเขาเป็นผู้ชายคนหนึ่งที่มีแฟนเป็นผู้หญิง'
"อื้อ ผมรู้"
'แกจะไม่เป็นมือที่สามและจะไม่ทำอะไรวู่วามใช่ไหมเจ็ท'
"แน่นอนว่าไม่ครับพี่แจม"
'ก็ดีแล้ว การแอบชอบของแกต้องมีขอบเขตด้วยนะ เข้าใจไหม'
"ครับ เข้าใจแล้ว"
'นี่... พ่อแม่ได้ยินเรื่องที่เราคุยกันหมดแล้วนะ'
"ห๊ะ! เฮ้ย ละ แล้ว พ่อกับแม่ว่าไงบ้าง"
'ก็นั่งบ่นว่าตกใจที่แกชอบผู้ชาย แต่เห็นว่าหมอหล่อดีเลยยอม'
"อย่ามาอำ"
'แกเคยเห็นพ่อแม่เครียดเรื่องแฟนของพวกเราหรือไง แกจะรักใครชอบใครก็ตามใจ ขอแค่มีความสุขและไม่ทำให้คนอื่นเดือดร้อนก็พอ'
"ฝากขอบคุณทั้งสองคนด้วยที่เข้าใจ"
'จ้า แล้วจะบอกให้นะแก'
"ง่วงแล้ว แค่นี้ก่อนนะพี่แจม"
'เออๆ ดูแลจิณณ์ดีๆ ด้วยล่ะ'
"ครับๆ บ๊ายบาย"
เฮ้อ โล่ง!
ผมนอนคิดทบทวนเหตุการณ์เมื่อคืนแล้วได้แต่ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก นึกว่าจะโดนพ่อกับแม่ด่าที่ลูกชายชอบเพศเดียวกัน และผิดคาดที่พี่แจมไม่ได้อาละวาดอะไรเลย แต่กลับเข้าอกเข้าใจดีว่าความรักไม่สามารถบังคับได้ นี่ล่ะนะครอบครัวที่สมบูรณ์แบบ ไม่บังคับ ให้ลองผิดลองถูกเอง เมื่อทำผิดจะคอยตักเตือน
ครืด ~
เสียงโทรศัพท์สั่นทำให้ผมหลุดจากภวังค์ความคิดแล้วเอื้อมมือไปหยิบมันมาเปิดดู เป็นข้อความไลน์ที่ถูกส่งมาจากไอ้ไธตั้งแต่เช้า
Thamthai : มึง... กูมีอะไรจะบอกว่ะ
Thamthai : ตื่นมาฟังกูหน่อย เร็วๆ
ผมอ่านจบก็ได้แต่ขมวดคิ้ว ทำไมมันดูเร่งร้อนแปลกๆ หรือมีธุระด่วนแบบคอขาดบาดตาย แต่ถ้าหนักขนาดนั้นไอ้ไธต้องโทรมาสิ จะเสียเวลาพิมพ์ไลน์เพื่ออะไร
Phakin : ตื่นแล้ว มึงมีอะไรวะ
ผมพิมพ์ตอบกลับไปแล้วมันขึ้นว่าอ่านทันที คงมีเรื่องด่วนจริงๆ นั่นล่ะ ตั้งแต่เก้าโมงเนี่ยนะ
Thamthai : พี่ทาวน์ลงแข่งบาสฯ มหา'ลัยเว้ย มึงจะไม่ลงไปคลุกวงในกับเขาบ้างเหรอ
Phakin : ห๊ะ...
ผมช็อกไปแล้วเพราะตั้งแต่วันนั้นที่ลงรูปอยากคลุกวงในในไอจี ไอ้ไธก็ไม่ได้พูดอะไรสักอย่าง แต่มาวันนี้ทำเหมือนรู้เรื่องดี... งงแล้วนะเว้ย ตกลงว่าที่ทำเนียนถามนั่นถามนี่ก็พังหมดน่ะสิ ความลับถูกเปิดเผยไวฉิบหาย
Thamtai : มึงจะตกใจห่าอะไรอีก กูรู้หรอกน่าว่ามึงชอบพี่ทาวน์ อุตส่าห์ไปสืบมาจากพี่ฟา
Phakin : ทำไมรู้วะ กูยังไม่ได้บอกมึงเลย
Thamthai : กูฉลาด กินแบรนด์เยอะ 5555
Phakin : ไม่เล่นดิ ขอความจริง แล้วมึงบอกพี่ฟาไปหรือเปล่า
มันตลกแต่ผมไม่ขำนะ ถ้าไอ้ไธรู้ จิณณ์ก็มีสิทธิ์จะรู้เหมือนกัน แต่รายนั้นคงมัวแต่เฮิร์ทเลยไม่ได้สังเกตอะไร ไม่อย่างนั้นคงหยิบมาล้อนานแล้ว
Thamthai : ก็มึงดูสนใจพี่ทาวน์เป็นพิเศษ พอลงรูปนั้นกูก็มั่นใจว่าชอบแน่ๆ
ดูออกง่ายขนาดนั้นเลยเหรอวะ ซวยแล้ว แต่ตอนที่ถามถึงหมอทาวน์ยังไม่ได้ชอบในเชิงชู้สาวจริงๆ นะเว้ย...
Thamthai : กูไม่ได้บอกอะไรพี่ฟานะ เดี๋ยวมันเอาไปบอกพี่ทาวน์จะเรื่องใหญ่
Phakin : เออๆ แม่ง ความลับกู...
Thamthai : ตกลงจะแข่งบาสฯ ปะ กูจะได้บอกรุ่นพี่ให้
Phakin : ไม่ล่ะ ขอเป็นกองเชียร์ก็พอแล้ว
Thamthai : เออ
ผมวางโทรศัพท์ไว้ที่เดิมแล้วถอนหายใจออกมาหนักๆ มีอีกหนึ่งคนที่รู้เรื่องนี้แล้วสินะ หลังจากนี้ถึงใครจะรู้อีกกี่สิบกี่ร้อยคนมันก็คือความจริงที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ ถ้าวันหนึ่งหมอทาวน์จะสะกิดใจคงไม่แปลก แต่ผลตอบรับจะเป็นไปในทิศทางไหน อันนี้ก็แล้วแต่แต้มบุญที่ยังมีอยู่ หรือไม่มีเลยวะ เฮ้อ
ความคิดที่จะนอนต่อเป็นอันต้องล้มเลิกเมื่อเสียงเคาะประตูห้องนอนดังขึ้นตามมาด้วยใบหน้าที่ของฝาแฝดโผล่เข้ามา สงสัยจะหิวแล้วขี้เกียจทำอาหารแน่ๆ ปลุกกันตั้งแต่เช้าตลอด ไม่สงสารคนติดเกมบ้างเลย
"ตื่นยัง"
จิณณ์ถามด้วยน้ำเสียงที่ดูสดใสกว่าเมื่อวานแต่ใบหน้ายังคงแสดงความอิดโรย ท่าทางกวนตีนอะไรก็ไม่มีสักนิดเดียว แต่ดีแล้วที่มันสามารถแงะตัวเองออกจากเตียงในเวลาประจำได้ ถือว่าอาการอกหักทุเลาลงบ้าง
"เออ ตื่นแล้ว หิวเหรอ"
ผมผงกหัวมองพี่ชายที่เดินมานั่งลงบนเตียง ท่าทางนิ่งๆ แบบนี้โคตรขัดหูขัดตา ปกติต้องระริกระรี้ไปเปิดผ้าม่านแกล้งกันสิวะ
"นิดหน่อย แต่จริงๆ แล้วจะมากวนตีนมึง"
จิณณ์พูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบแล้วแสร้งยักคิ้วกวนมาให้กัน ผมได้แต่แอบหายหายใจและคิดอยู่เงียบๆ ว่า แม่งเหมือนหน้าแค่กระตุกเฉยๆ ไม่ใช่ตั้งใจจะกวนตีน
"ห๊ะ... อ๋อ ตลกละมึง วันนี้พลาดนะ กูตื่นก่อน"
ผมก็ตามน้ำไปเรื่อยเพื่อให้มันสบายใจ ดูจากท่าทางคงยังตัดเรื่องของพี่เค้กไม่ได้แต่ก็พยายามสุดความสามารถให้ผมวางใจ
"เออ เสียเซลฟ์เลยเนี่ย แม่ง..."
มันทำเป็นบ่นกระปอดกระแปดก่อนจะตีมือลงบนฟูกด้วยท่าทางหงุดหงิด ผมเห็นแบบนั้นแล้วอยากถีบให้กระเด็น ฝืนตัวเองจนดูเหมือนหุ่นยนต์ ไหนบอกสิใครตั้งโปรแกรมจำกัดขอบเขต ผมจะด่ายันโคตรเง่าเลย
"มึงเพิ่งตื่นเหรอ"
ผมถามด้วยความสงสัย เพราะปกติแล้วฝาแฝดจะตื่นเช้ากว่ากันเสมอ แล้ววันนี้ที่เขาตั้งใจจะมากวนตีนทำไมถึงได้ตื่นสายล่ะ แปลก
"เออดิ นอนเพลินฉิบหายเลยวันนี้"
ตอบกลับด้วยน้ำเสียงฉุนเล็กน้อยก่อนจะทิ้งตัวลงนอนข้างๆ กัน ดีนะที่ผมไม่ได้ยึดกลางเตียง ไม่อย่างนั้นจิณณ์คงทับลงมาเต็มๆ
"ไม่สบายหรือเปล่า"
ผมถามในสิ่งที่อาจจะเป็นไปได้ เพราะตั้งแต่มันเข้ามาในห้องนี้ก็เอาแต่สูดจมูกฟึดฟัด การอกหักทำให้ร่างกายอ่อนแอจนเป็นหวัดสินะ... ทฤษฎีนี้ใช้ได้ไหม เอาไปถามหมอทาวน์ได้ปะ ข้ออ้างของการอยากคุยชัดๆ เขินจัง
"คงงั้น"
"อืม ไปอาบน้ำไป เดี๋ยวกูออกไปเตรียมอาหารเช้าให้"
"ขอข้าวต้มกุ้ง"
มันพูดด้วยน้ำเสียงสดชื่นขึ้นมานิดหน่อยก่อนจะเด้งตัวขึ้นจากเตียงตามมาติดๆ ผมหันขวับไปมองแล้วแยกเขี้ยวใส่ ข้าวต้มกุ้งทำยังไงวะ ชีวิตนี้ทำเป็นแค่ข้าวไข่ข้นกับมาม่าเหอะ อะๆ แถมทอดของกินเล็กๆ น้อยๆ ได้
"ไอ้สัด ยากไปปะ อยากแดกก็ไปทำเองเลย"
ผมด่าฝาแฝดก่อนจะลุกขึ้นยืนแล้วกระชากผ้านวมที่ยังไม่ได้พับให้คลุมหัวจิณณ์ด้วยความหมั่นไส้ ทำอย่างกับน้องชายตัวเองเป็นเชฟ กูก็แค่นักชิมดีๆ นี่เอง
"โห ฝึกดิๆ ทำอย่างอื่นด้วย แดกแต่ข้าวไข่ข้นแม่ง... ไม่ไหว"
จิณณ์บ่นเสียงอู้อี้แล้วพยายามหาทางออกจากผ้านวมผืนยักษ์ สภาพของมันตอนหลุดพ้นนั้นแทบดูไม่ได้ ผมเผ้ายุ่งเหยิง สีหน้าบูดบึ้ง เห็นแล้วแทนที่จะสงสารกลับอยากแกล้งอีกสักรอบสองรอบ
"ใครบอกว่ากูจะทำเมนูนั้น เช้านี้จะทอดไส้กรอก ไข่ดาว เบคอนต่างหาก เบรคฟาสต์น่ะ รู้จักไหม"
ผมบอกด้วยน้ำเสียงภาคภูมิใจ การทอดเบคอนไม่ใช่เรื่องง่ายนะเว้ย ต้องคอยขยับตัวซ้ายขวาหลบน้ำมันที่กระเด็น ทำยากสุดๆ
"นี่เรียกพัฒนาลงปะวะ"
จิณณ์เหลือบสายตามองอย่างเหยียดๆ คนทำอาหารเก่งอย่างมันคงเห็นว่าของแค่นี้ทำง่าย แต่สำหรับผมแล้วมันโคตรยาก ไม่เข้าใจวิถีคนรอกินเป็นอย่างเดียวเลย
"จะแดกไม่แดก พูดมาก"
ผมพูดเสียงสะบัดก่อนจะจัดการพับผ้านวมให้เรียบร้อย จิณณ์ลงจากเตียงแล้วเข้ามาเอาหน้าถูไถแผ่นอกกว้างจนรู้สึกขนลุก ไอ้นี่แกล้งกันอีกแล้ว กูไม่ได้ใส่เสื้อ ไอ้สัด!
"แดกจ้าๆ อย่ามีอารมณ์ตั้งแต่เช้าสิ"
ผมขยับตัวถอยหลังแล้วด่ามันไปแบบลิ้นรัว แต่จิณณ์กลับตอบมาด้วยใบหน้าระรื่นเต็มที่ แล้วดูสิ่งที่พูดออกมา มันใช่เหรอวะ
"พูดเหี้ยอะไรของมึง"
"อุ้ย เก๊าพูดผิด ไปอาบน้ำดีกว่า"
มันทำเสียงแบ๊วก่อนจะรีบวิ่งออกจากห้องด้วยความเร็วที่น่าเหลือเชื่อ เพราะผมยังไม่ทันได้ขยับไปขย้ำคอจิณณ์ เจ้าตัวก็ไปถึงประตูห้องซะแล้ว
"มึงแม่ง!"
ผมจัดการอาหารเช้าเรียบร้อยแล้วนั่งกินกับจิณณ์จนหมดก่อนจะค่อยพาตัวเองมานั่งพักท้องที่โซฟา รอย่อยแล้วค่อยไปอาบน้ำ มือหนาเอื้อมไปหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาหวังจะเล่นเกม แต่สายตาสะดุดเข้ากับข้อความของไอ้ไธซะก่อน วันนี้มันคึกอะไรวะ ส่งไลน์หาทั้งวัน
Thamthai : มึงๆ ตอนบ่ายว่างปะวะ
Phakin : ว่างทั้งวัน จะชวนกูไปเดทเหรอ
ผมตอบมันด้วยประโยคกวนตีน ไหนๆ ก็หน้าเหมือนจิณณ์ มันอาจจะชวนไปซ้อมเดทก็ได้
Thamthai : ใช่ก็เหี้ยละ ว่าจะชวนไปเดินห้าง อยากกินไอติมว่ะ
Phakin : ตอแหล อยากคุยเรื่องจิณณ์ก็บอก
Thamthai : สัดนี่ รู้ทันอีก
มีไม่กี่เรื่องหรอกที่เราคุยกันช่วงนี้ เหมือนกำลังแลกเปลี่ยนข้อมูลเป้าหมายซึ่งกันและกัน ผมบอกเรื่องจิณณ์ ส่วนไอ้ไธบอกเรื่องหมอทาวน์ แฟร์ๆ โลกสีชมพูอมม่วง
Phakin : แน่นอน กูเก่ง
Thamthai : ไม่เถียงกับมึงแล้ว แต่จิณณ์จะปล่อยให้มึงไปกับกูปะเนี่ย
Phakin : เดี๋ยวมันก็ออกไปคณะแล้ว มีประชุมห่าเหวอะไรไม่รู้ กลับเย็นๆ นู่นล่ะ
ผมตอบแล้วเหลือบสายตาไปมองคนที่กำลังใส่ชุดนักศึกษาเต็มยศ ทำเป็นมาควงกุญแจ ถ้ามันหลุดมือแล้วฟาดหน้า จะหัวเราะให้ฟันหัก เท่ตายห่าล่ะมึง
Thamthai : เออดี งั้นเจอกันชั้นล่างตอนบ่ายโมง
Phakin : โอเค
ผมวางโทรศัพท์ลงในขณะที่จิณณ์เดินตรงมาหาแล้วยื่นเนคไทมาให้ เดือดร้อนกูอีกแล้วพ่อเดือนมหา'ลัย มีปัญหากับไอ้ผ้าเส้นยาวๆ นี่ตลอด
"ทำไมไม่เลือกเนคไทแบบสำเร็จวะ"
ผมถามแต่มือก็รับเนคไทมาผูกให้
"ก็... แหะๆ ตอนนั้นคิดว่าถ้ามีแฟนแล้วอ้อนให้แฟนผูกคงน่ารักดี"
มันตอบด้วยน้ำเสียงอ่อยๆ ก่อนจะยกมือขึ้นถูท้ายทอยด้วยความเขินอาย ผมถึงกับเหลือกตา เหตุผลส้นตีนอะไรเนี่ย ปัญญาอ่อนโคตร
"แล้วไง สุดท้ายก็อ้อนกู น่ารักไหมล่ะ"
ผมถามด้วยน้ำเสียงเซ็งๆ แล้วส่งเนคไทพร้อมใส่ให้มัน จิณณ์เอ่ยขอบคุณแล้วจัดการแต่งตัวให้เรียบร้อยก่อนจะเดินไปหยิบกระเป๋ากับโทรศัพท์ที่ตั้งอยู่บนชั้นวางทีวี
"น่ารักที่สุดในโลก ~"
ชมกันด้วยน้ำเสียงตอแหลจนผมอดไม่ได้ที่จะขวางกระดาษทิชชู่ใช้แล้วใส่มันด้วยความหมั่นไส้ มีพี่ชายคนหนึ่งก็โคตรปวดหัว ใครสนใจเอาไปดูแลแทนไหม จะขายให้ราคาถูกๆ
ตามที่ได้นัดไอ้ไธไว้ ผมมานั่งรอที่ชั้นล่างได้ประมาณสิบนาทีแล้ว แต่ยังไม่เห็นมันโผล่หัวมา อาจจะมีธุระติดพันก็ได้ แต่ตอนที่กำลังจะเข้าเล่นเกมในโทรศัพท์กลับได้ยินเสียงเรียกที่คุ้นเคย
"เจ็ท ขอโทษที่ช้า"
"เออๆ ไม่เป็นไร"
ผมบอกก่อนจะลุกขึ้นยืนแล้วบิดขี้เกียจไปมา ช้าแค่สิบนาทีจะซีเรียสอะไรนักหนา ทำหน้าอยากกับบุกไปปล้ำจิณณ์แล้วมาสารภาพบาปทีหลัง
"งั้นไปกัน กูเริ่มหิวละ"
มันบอกด้วยน้ำเสียงสดใสก่อนจะเริ่มออกเดินไปที่ลานจอดรถพร้อมๆ กัน
"หิวเหมือนกันว่ะ แดกอะไรดี"
ถามออกไปเพราะคิดของที่อยากกินไม่ออก เพราะปกติชอบเข้าร้านซ้ำๆ กลัวเพื่อนจะเบื่อ
"โออิชิบุฟเฟ่ต์"
ไอ้ไธตอบด้วยน้ำเสียงร่าเริงจนผิดสังเกต ก็พอเข้าใจว่าไอ้โออิชิบุฟเฟ่ต์เนี่ยโคตรดี โคตรอร่อย แต่ค่าหัวก็แพงหูฉีกไง สิ้นเดือดจะได้แดกมาม่ากันเป็นแถวเนื่องจากเงินในบัญชีหมดก่อนกำหนด
"ห๊ะ กูไม่มีตังค์นะเว้ย"
ผมโวยทันทีเพราะทั้งเนื้อทั้งตัวพกมาแค่ธนบัตรสีม่วงหนึ่งใบและสีแดงอีกสามใบ เสือกแดกของแพงก็กระเป๋าปลิ้นดิวะ
"มึงคิดว่ากูมีเหรอ พี่แทนจะเลี้ยง"
ไอ้ไธยักคิ้วจึกๆ อย่างเจ้าเล่ห์ตอนพวกเราสอดตัวเข้ารถ ผมยอมรับว่าโคตรดีใจ แดกข้างฟรีโคตรหรู แต่มันติดปัญหาอยู่อย่างหนึ่ง
"แล้วจะคุยเรื่องจิณณ์ยังไง"
ผมหันไปถามคนที่กำลังคาดเข็มขัดนิรภัยด้วยความสงสัย ถ้ามีพี่แทนอยู่ด้วยน่าจะไม่สะดวก
"กินมื้อเที่ยงเสร็จมันก็กลับบ้านแล้ว"
"อ๋อ โอ้ย ลาภปากพี่เจ็ทจัง"
ในที่สุดผมก็ยิ้มเต็มแก้มกับอาหารฟรีของวันนี้ โชคดีจริงๆ ที่มีพี่(ของเพื่อน)รวย
พวกเรามาถึงห้างเกือบบ่ายสองครึ่ง ลงจากรถได้ก็รีบจ้ำอ้าวไปยังสถานที่นัดหมายทันทีเพราะกลัวว่าเจ้ามือเลี้ยงข้าวจะรอนานแล้วเปลี่ยนใจ
พอเลี้ยวเข้าร้านอาหารก็เห็นพี่แทนกวักมือไวๆ อยู่มุมหนึ่ง ซึ่งมันไกลจากที่วางบุฟเฟ่ต์แต่มีความเป็นส่วนตัว ช่างเหอะ จะนั่งไหนไม่สำคัญ ตามใจเจ้ามือเสมอครับ น้องเจ็ทเป็นคนง่ายๆ อะไรก็ได้
"พี่แทน สวัสดีครับ"
ผมยกมือไหว้คนที่ไม่ได้เจอกันนานก่อนจะหย่อนตัวลงนั่งข้างไอ้ไธที่ไม่พูดไม่จา ไม่คิดจะทักทายพี่ชายตัวเองหน่อยเหรอวะ
"เออๆ หวัดดี มึงหล่อขึ้นปะวะเจ็ท"
ผมชะงักกึกก้นยังไม่ได้แตะเก้าอี้ก็โดนทักแบบนี้ ทำให้ไปไม่เป็นอยู่เหมือนกัน นี่ตกลงว่าผมหล่อจริงๆ ใช่ไหม ยอมรับก็ได้วะ ขี้เกียจเถียงแล้ว
"ไม่หรอกพี่ เหมือนเดิมทุกอย่าง"
ผมตอบแล้วนั่งลงก่อนจะส่งยิ้มเป็นมิตรให้พี่แทน เขาดูขาวขึ้น ผิวใสขึ้น หน้าตาดีขึ้นกว่าเมื่อก่อนเป็นเท่าตัว ได้ข่าวว่ามีแฟนเป็นคนญี่ปุ่นด้วยนี่หว่า คงจะน่ารักมากแน่ๆ
"ถ่อมตัวตลอดนะมึง"
พี่แทนไม่วายแอบเหน็บผมก่อนจะหัวเราะออกมา แต่ไอ้ไธนั่งทำหน้าบูดเหมือนตูดนั้นกำลังไม่พอใจแน่ๆ
"กินกันเถอะ อย่ามัวคุย"
เพราะความหิวแท้ๆ
หลังจากผ่านไปครู่ใหญ่ที่ซัดอาหารเข้าปากแบบไม่มีใครพูดจา ตอนนี้ทุกคนเริ่มอืดเลยนั่งพักแล้วชวนคุยเรื่องสัพเพเหระ จนมาถึงคำถามยอดฮิต
"เออนี่ มึงมีแฟนหรือยังเจ็ท"
พี่แทนเอ่ยปากถามในขณะที่เพิ่งวางโทรศัพท์ลงหลังจากวีดีโอกับแฟน
"ยังครับ"
ผมตอบกลับไปตามความจริงแต่ในหัวกลับคิดถึงหมอทาวน์ นั่นคืออนาคตแฟนที่เลือนลางเหลือเกิน ชาตินี้ไม่รู้จะมีโอกาสขนาดนั้นไหม
"เลือกเยอะสินะ"
พี่แทนพูดด้วยน้ำเสียงหยอกเย้า คืออย่าว่าอย่างนั้นอย่างนี้เลย ความจริงไม่ได้เลือกเยอะแต่ยังไม่สนใจใครต่างหาก
"โห พูดซะผมดูแย่"
"หรือไม่จริง"
"ก็... ยังไม่เจอคนที่ถูกใจ"
ผมว่าเสียงอ่อยแล้วคีบแซลมอนใส่ปาก ไม่ได้กินซาซิมินานแล้ว ตอนนี้เลยโคตรฟิน ทั้งอร่อยทั้งฟรี
"นี่มึงสองคนก็อปปี้คำพูดกันมาเหรอ ตอบเหมือนกันเด๊ะ"
พี่แทนมองผมกับไอ้ไธสลับกันด้วยสีหน้าจับผิด มันน่าจะเป็นเรื่องปกติที่เพื่อนกันจะคิดเหมือนกันได้ แปลกตรงไหนวะ
"เพื่อนกันครับ"
ไอ้ไธบอกด้วยน้ำเสียงราบเรียบแล้วเลื่อนจานกุ้งเทมปุระมาให้ผมเพราะเอื้อมไปคีบไม่ถึง แต่พี่แทนจะยิ้มกรุ้มกริ่มทำไมวะ อย่าบอกนะว่า...
"ถ้าบอกเป็นแฟนกันกูก็เชื่อ"
ซื้อหวยไม่ถูกแบบนี้บ้างวะ ขนาดแค่เลื่อนจานอาหารให้กันยังเป็นประเด็นได้ ถ้าเห็นพวกเราตอนอยู่มหา'ลัยจะไม่บอกว่าเป็นผัวเมียกันเลยเหรอ
"เอิ่ม เดี๋ยวฟ้าผ่า ขนลุกครับ"
ผมบอกก่อนจะมองไอ้ไธด้วยใบหน้าขยะแขยง แต่เหมือนมันจะอยากแกล้งผมเลยส่งยิ้มหวานมาให้จนรู้สึกขนลุก กูไม่ใช้ไอ้จิณณ์ไม่ต้องทำแบบนี้ใส่เลย แม่ง...
"กูล้อเล่นน่า กินต่อๆ เอาให้คุ้ม"
พี่แทนบอกด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะแล้วชวนพวกเรากินต่อเพราะเหลือเวลาอีกเกือบครึ่งชั่วโมง มันต้องยัดลงกระเพาะให้คุ้มกับค่าหัวที่เสียไป ลุย!
หลังจากที่เดินลูบท้องป่องๆ ออกมาจากร้านพวกเราก็แยกกับพี่แทน ก่อนโบกมือลายังโดนนัดไปกินเหล้าฟรีปลายอาทิตย์อีก ผมจะปฏิเสธได้ยังไง เดี๋ยวเสียมารยาทเพราะผู้ใหญ่ชวน ต้องตอบตกลงลูกเดียว มีคนเปย์ให้ก็สบายแบบนี้ล่ะ
"มึง ไปร้านหนังสือกัน"
ระหว่างที่เดินทอดน่องแบบไร้จุดหมายปลายทาง คนข้างๆ ตัวผมก็เอ่ยปากชวน
"อ้าว แล้วไอติมล่ะ"
ผมขมวดคิ้วเพราะนึกว่าเพื่อนจะตรงไปร้านไอติมเลย ผิดคาดแต่ก็ดีเหมือนกัน เพราะตอนนี้อิ่มจนจะอ้วกอยู่แล้ว ไม่สามารถยัดอะไรได้อีก
"เดินย่อยปลาแซลมอนของมึงก่อนไหม จะออกมาทางปากแล้วมั้ง"
ไอ้ไธพูดติดตลกแล้วเอื้อมมือมาจิ้มท้องตึงๆ ของผม อย่าถามหาซิกแพคอะไรตอนนี้ เพราะมันหายไปหมดแล้ว รอย่อยก่อนเถอะ จะกลับมาน่าขย้ำเหมือนเดิม
"เออว่ะ ก็ดีเหมือนกัน"
ผมตอบกลับก่อนจะตีพุงเบาๆ แล้วยิ้มเผล่ เดินย่อยก่อนจะได้กินไอติมเยอะๆ ออกมากับไอ้ไธวันนี้มีแต่คำว่าคุ้มกับคุ้มจริงๆ
ผมกับไอ้ไธเดินกันจนมาถึงร้านหนังสือชั้นนำขนาดใหญ่ นานๆ ครั้งจะได้มาเหยียบที่นี่เพราะไม่ค่อยชอบ เห็นตัวหนังสือเยอะๆ แล้วพาลง่วงทุกที ช่วงสอบเลยกลายเป็นปัญหาใหญ่ ต้องหาอะไรกินไปด้วยระหว่างอ่าน ไม่อย่างนั้นจะหลับ
"มึงจะมาซื้ออะไร"
ผมถามเมื่อตัวเองไม่มีจุดหมาย ถ้าเป็นร้านขายเกมพอว่าไปอย่าง อันนั้นอาจจะช็อปจนหมดตัวได้
"หนังสือการ์ตูนออกใหม่"
มันบอกก่อนจะหันมามองกันเป็นเชิงถามว่าจะตามไปด้วยหรือเปล่า ซึ่งผมพยักหน้ารับอย่างรวดเร็ว อย่าทิ้งกูในร้านหนังสือเลย ไปไม่เป็นว่ะ
"เออๆ"
ผมตอบก่อนจะโดนไอ้ไธกอดคอแล้วออกเดินไปพร้อมกัน ระหว่างทางก็มองซ้ายมองขวาเพื่อมีอะไรน่าสนใจ แล้วเท้ากลับหยุดชะงักเมื่อสายตาปะทะกับร่างใครคนหนึ่ง เสี้ยวหน้าที่คุ้นเคย
"เฮ้ย"
ไอ้ไธร้องเสียงหลงเพราะผมหยุดเดินโดยไม่บอกกล่าว มันยกมือขึ้นโบกหัวกันไม่แรงมากนัก เจ็บแต่ไม่สน เพราะคนที่อยู่ในสายตาตรงนั้นน่าสนใจมากกว่าเป็นล้านเท่า
"มึง..."
ผมเรียกเพื่อนด้วยน้ำเสียงล่องลอย ดวงตามองเป้าหมายด้วยความคิดถึง ไม่ได้เจอกันเลยตั้งแต่วันนั้น กี่วันแล้วนะ ครบอาทิตย์หรือยัง จะลืมหน้ากันไหม
"อะไรวะ หยุดเดินทำไม"
น้ำเสียงฉุนๆ มาพร้อมกับการบีบไหล่เป็นเชิงกระตุ้นให้ผมตอบคำถาม
"คนนั้นคุ้นๆ ปะ"
ผมชี้มือไปที่เป้าหมายแล้วกระตุกยิ้มมุมปากเพราะแน่ใจว่าเป็นเขา แต่อยากได้รับการยืนยันจากเพื่อนว่าเห็นเหมือนกันไหม ไม่ใช่มโนภาพของตัวเอง
"อ้อ... พรหมลิขิตมึงละเจ็ท เข้าไปทักดิ"
ไอ้ไธกระแทกไหล่ผมอย่างแซวๆ แล้วยอมผละแขนออกแถมยังดันหลังให้เดินไปทางนั้นอีก แต่ด้วยความกลัวเลยต้องต่อต้านแรงของเพื่อน ขอเตรียมตัวเตรียมใจสักพักสิวะ
"กลัวหมอทำหน้ายักษ์ใส่อีกว่ะ วันนั้นไม่รู้เกลียดกูไปหรือยัง"
เสียงอ่อยๆ กับใบหน้าหงอยๆ ถูกแสดงออกมาอย่างตั้งใจ พอคิดย้อนไปถึงวันนั้นจิตใจก็พาลห่อเหี่ยว ผมคงจะกวนตีนเขามากไปจริงๆ นั่นล่ะ เลยทำให้อารมณ์เสียขนาดนั้น
"ใจกล้าหน่อยเพื่อน พี่ทาวน์มีเหตุผลมากพอน่า"
ไอ้ไธตบบ่าเพื่อให้กำลังใจจบก็ออกแรงผลักหลังกันอีกรอบ ผมได้แต่หันไปมองค้อนใส่แล้วเบะปากลงเมื่อประโยคเมื่อครู่น่าหมั่นไส้
"แหมะ บอกให้กูใจกล้า ทีมึงล่ะ ป๊อดเรื่องจิณณ์ตลอด"
ผมเหน็บมันไปก่อนจะโยกตัวหลบผ่ามือที่จะตีลงมาบนต้นแขน ทำให้ไอ้ไธเสียหลักเล็กน้อย แต่ทำเป็นเก๊กเพราะกลัวเสียภาพลักษณ์ จ้าๆ พ่อเดือนมหา'ลัย โคตรน่าหมั่นไส้
"เออน่า กำลังตั้งหลัก มึงก็รีบๆ เหอะ เดี๋ยวพี่ทาวน์ไปที่อื่นจะอด"
"เออๆ"
พอเห็นไอ้ไธแยกตัวออกไปแล้วใจมันเขวๆ ยังไงก็ไม่รู้ว่ะ ผมสูดลมหายใจเข้าเต็มปอดเพื่อเรียกขวัญกำลังใจก่อนจะมองเป้าหมายอย่างแน่วแน่ เอาวะ วันนี้เป็นไงเป็นกัน ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น อย่างหนึ่งที่ต้องได้ทำคือขอโทษหมอทาวน์
ผมเดินเข้าไปหาหมอทาวน์ด้วยหัวใจที่เต้นแรงจนเผลอยกมือขึ้นกุมหน้าอก ไม่เคยตื่นเต้นขนาดนี้มาก่อน รู้สึกว่าตัวเองกลับไปเป็นเด็กหนุ่มอายุสิบห้าที่เพิ่งมีความรัก
เขากำลังสนใจหนังสือในมือโดยไม่สังเกตเลยว่าผมเข้าไปยืนข้างๆ รอยยิ้มที่ปรากฏบนใบหน้าหล่อนั้นยิ่งทำให้ใจผมสั่นแรงขึ้น เพิ่งได้รู้วันนี้เองว่าหมอทาวน์มีลักยิ้ม โคตรน่ารักเลยว่ะ
"สวัสดีครับพี่หมอทาวน์"
ผมทักทายด้วยน้ำเสียงร่าเริง หมอสะดุ้งเล็กน้อยก่อนจะละสายตาจากหนังสือในมือแล้วกันมามองหน้ากัน เขานิ่งอยู่สักพักคล้ายกำลังประมวลผล คงคิดอยู่แน่ๆ ว่าไอ้นี่เป็นใคร
"หือ มึง..."
"ครับ บังเอิญจัง มาซื้อหนังสือเหรอ"
ผมไม่อยากให้บทสนทนาชะงักกลางอากาศเลยพูดแทรกขึ้นมาทันที ไม่สนใจแล้วว่าเขาจำได้หรือจำไม่ได้ก็ช่าง ตอนนี้มีโอกาสคุยก็ต้องชวนคุยไว้ก่อน
"อืม"
เขาตอบกลับมาสั้นๆ ก่อนจะทำท่ากลับไปสนใจหนังสือต่อ แต่ผมไม่ยอมแพ่หรอกนะ นานๆ ทีจะเจอกัน ขอตักตวงความสุขหน่อยเถอะ
"มากับใครครับ"
"คนเดียว"
"อ๋อ แฟนไม่มาด้วยเหรอครับ"
"ไม่..."
เขาตอบว่าไม่อะไรสักอย่าง แต่ผมฟังไม่ค่อยถนัด ขอสรุปเอาเองแล้วกันว่าไม่มา คงไม่ใช่ไม่มีหรอก
"คือวันนั้น..."
ผมอึกอักก่อนจะเหลือบมองปฏิกิริยาของคนข้างตัว กลัวจะไปสะกิดต่อมโมโหเขาเข้าว่ะ
"อะไร"
หมอหันมาขมวดคิ้วใส่กันเพียงครู่เดียวก่อนจะกลับไปสนใจหนังสือในมือต่อ ท่าทางแบบนี้ถือว่าเขาอารมณ์ปกติได้ไหม
"ขอโทษนะครับที่กวนตีนไปหน่อย เลยทำให้พี่หงุดหงิด"
ผมก้มหัวเป็นการขอโทษเขาก่อนจะลอบมองอย่างกล้าๆ กลัวๆ หน้าของหมอนิ่งจนไม่สามารถเดาอารมณ์ได้
"ขอโทษเหมือนกัน"
น้ำเสียงราบเรียบหลุดออกจากริมฝีปากหยัก แต่นั่นทำให้ผมเบิกตาโตด้วยความตกใจ เพราะไม่คิดว่าจะโดนขอโทษกลับแบบนี้
"หือ ขอโทษทำไมครับ"
ผมถามด้วยความสงสัยแล้วมองใบหน้าด้านข้างของเขาเพื่อลอบดูปฏิกิริยา แต่มันนิ่งเฉยจนคาดเดาไม่ได้เหมือนเดิม สงสัยต้องไปเรียนพลังจิตแล้วมั้ง อยากอ่านใจออกจัง
"ที่หงุดหงิดใส่ ไม่ได้ตั้งใจ"
สงสัยก่อนหน้านั้นที่จะเจอผมตื้ออยากรู้จัก เขาคงอารมณ์เสียอยู่ก่อนแล้ว
"อ๋อ ไม่เป็นไรครับ"
ผมตอบกลับด้วยหัวใจที่ฟูฟ่อง สุดท้ายก็ไม่โดนหมอทาวน์เกลียด วันนี้มันเป็นวันดีจริงๆ เลยเชียว
"อืม ไปนะ"
อยู่ๆ เขาก็ปิดหนังสือแล้วถือมันไว้เตรียมตัวเดินไปที่แคชเชียร์ แต่ผมยังอยากคุยต่อเลยหาวิธีรั้ง ซึ่งไม่รู้ว่าจะช่วยอะไรได้มากน้อยแค่ไหน เอาก็เอาวะ ชวนไปกินไอติมนี่ล่ะ
"เดี๋ยวครับๆ คือ... ไปกินไอติมด้วยกันไหม"
ผมชวนด้วยน้ำเสียงตะกุกตะกักจนคนที่หันหลังให้กันต้องหันกลับมาเลิกคิ้วใส่ ดูเขาจะงงๆ ว่าไอ้นี่ชวนไปกินไอติมได้ยังไง สนิทขนาดนั้นแล้วเหรอ
"....."
"เอ่อ... พอดีผมกับไอ้ไธจะไปกินไอติมกันน่ะ พี่หมอสนใจไหมครับ"
ผมขยายความแล้วดึงตัวละครที่สามยัดลงไปด้วย เพราะอย่างน้อยก็ดูเขาจะคุยกับไอ้ไธอยู่บ้าง ไม่ถึงขั้นสนิทแต่ถือว่ารู้จัก
หมอทาวน์นิ่งคิดไปสักพักก่อนจะพยักหน้าตอบรับ และนั่นทำให้ผมต้องเม้มปากกลั้นยิ้มอย่างหนัก เพราะไอ้เจ็ทคนนี้ไม่นกแล้วเว้ย อยากอวดไอ้ไธจริงๆ!
"อืม ได้ อยากกินอะไรหวานๆ พอดี"
เขาตอบตกลงแล้วเดินไปที่แคชเชียร์เพื่อจ่ายเงินค่าหนังสือ ผมเลือกที่จะโทรตามไอ้ไธแทนแล้วยืนเฝ้าหมอทาวน์ กลัวเขาหายอะ...
"มึง..."
ขณะที่เดินออกจากร้านหนังสือโดยมีหมอทาวน์นำอยู่ด้านหน้า ไอ้ไธก็หันมาสะกิดไหล่ยิกๆ แล้วขมวดคิ้วใส่ เครียดอะไรนักหนาวะมึง แต่ชวนหมอทาวน์ไปกินไอติมด้วยกันเอง
"อะไร"
"ไปลากพี่ทาวน์มาได้ไงวะ"
ผมถามด้วยเสียงกระซิบแล้วพาดแขนลงบนไหล่ผมเหมือนทุกครั้ง อยากสะบัดตัวออกเพราะกลัวคนด้านหน้าเข้าใจผิด แต่ลองสังเกตดูแล้วเขาไม่ได้สนใจอะไรเลย
"ความสามารถพิเศษเว้ย"
ผมตอบด้วยความภาคภูมิใจแล้วมองแผ่นหลังคนด้านหน้าอย่างมีความสุข ถึงแม้เขาจะมีแฟนเป็นตัวเป็นตนไปแล้ว แต่การได้อยู่ใกล้ๆ ได้พูดคุยก็ทำให้คนแอบชอบยิ้มได้เหมือนกัน
"อย่ามาตอแหล"
ไอ้ไธมองกันด้วยหางตาแล้วกระชับอ้อมแขนแน่นขึ้น พยายามบีบบังคับให้คายความจริงออกมา ผมได้แต่กรอกตาด้วยความเซ็ง เบื่อจริงๆ โกหกมันทีไรโดนจับได้ทุกที
"โห เซ็งคนรู้ทัน"
"ตกลงอะไร ยังไง"
มันว่าเสียงเข้มแล้วมองแผ่นหลังของคนด้านหน้าด้วยแววตาสงสัย ถ้าไม่ติดว่าไอ้ไธชอบจิณณ์ ป่านนี้ผมคงเอามือจิ้มตาไปแล้ว ถึงจะไม่ได้เป็นเจ้าของหมอทาวน์ แต่ก็แอบหวงนะ ในตอนนี้ก็ทำได้แค่นี้เพราไม่มีสิทธิ์อะไร สนิทก็ไม่สนิท คงต้องพยายามต่อไป
"เขาบอกอยากกินของหวานๆ พอดีก็เลยยอมมาด้วย"
ผมคายความลับก่อนจะเดินเลี้ยวเข้าร้านไอติมราคาพอรับได้
หมอทาวน์เป็นคนเชือกที่นั่งมุมหนึ่งของร้านที่คนไม่ค่อยพลุกพล่านตามแบบฉบับผู้รักความสงบเหมือนกับผม พนักงานสาวนำเมนูมาให้กับพวกเราแล้วส่งยิ้มหวานเยิ้ม และด้วยความมารยาทดีของนายภาคินเลยก้มมองเมนูลูกเดียว ไม่ชอบโดนมองด้วยสายตาแบบนั้น โดยรุกไม่ใช่เรื่องตลก
"สองคนจะกินอะไร กูสั่งแล้ว"
บทสนทนาเริ่มต้นขึ้นเป็นการถามไถ่เรื่องสั่งไอติม ผมเงยหน้ามองหมอก่อนจะเบนสายตาไปที่พนักงานสาว เธอหุบยิ้มไปแล้วว่ะ สงสัยโดนท่าทางนิ่งๆ ของเขาไปเลยไม่กล้าทำอะไรเกินงามอีก
"อ้อ ผมขอมะนาวเชอร์เบทครับ"
ไอ้ไธสั่งก่อน มันชอบกินรสชาติเปรี้ยวๆ ไอ้ติมไม่ผสมนม บางครั้งก็เห็นหาสูตรโฮมเมดมานั่งทำเองที่คนโด ผมเคยแอบจิณณ์ไปชิมอยู่หลายรอบ ก็อร่อยดีนะ
"บลูเบอร์รี่โยเกิร์ตครับ"
ผมสั่งบ้างก่อนจะส่งเมนูคืนให้กับพนักงาน เธอมองพวกเราตาละห้อย ทำเหมือนอาลัยอาวรณ์ซะเต็มประดา คือ... นี่ลูกค้าครับ ไม่ใช่แฟนที่กำลังจะไปเรียนต่อต่างประเทศ อย่าทำหน้าเศร้าขนาดนั้นเลย ส่วนหมอทาวน์ไม่ได้สนใจใครตั้งแต่ตั้งคำถามนั้นจบ เอาแต่นั่งกดโทรศัพท์ หัวคิ้วขมวด สงสัยมีเรื่องเครียดอยู่ล่ะมั้ง
ต่อด้านล่างเนอะ