Act 7: เขา...กับเสื้อหมายเลขเก้า
เราหายแล้ว
เราที่ร้องไห้เมื่อวันก่อนเป็นความผิดพลาดทางความรู้สึก
“เอาอีกแล้วนะปั้น เลิกนิสัยที่ชอบเก็บเรื่องอะไรไว้คนเดียวซะที มีอะไรก็บอกกันได้ แล้วอาจารย์ก็อีกคนพูดแบบนี้ได้ยังไง ตอนแรกก็สนับสนุนหัวข้อแกซะดิบดี”
“หัวข้อมันก็ดีแต่เนื้อหาเราน่ะ...งานเราไม่ดีจริงๆ แหละ เราหาทางซ่อมมันแล้วแต่งานมันจะมีช่องโหว่”
“...”
“เวลาไปพรีเซ้นต์กับอาจารย์สามคน เราคงโดนโจมตีจนพรุน”
ชมพู่เงียบไปไม่นานก่อนจะถามต่อ “...ร้องไห้ใช่ไหม?”
“ฮะ...เฮ้ย ผู้ชายเขาไม่ร้องหรอก” เราพูดยิ้มๆ แล้วเบนสายตามองอย่างอื่น
“แล้วผู้ชายไม่ใช่คนรึไง”
...เอ่อ...ก็จริงแฮะ...
“เศร้าก็เศร้าได้ แต่ไม่ต้องมาฉีกยิ้มได้ไหม”
“เราเปล่านะ ยิ้มจากใจจริงๆ นี่ไง” เรายิ้มกว้างเท่าจักรวาลแล้วนะชมพู่
“ถ้าจะบอกแกว่าไม่ต้องคิดมาก มันก็คงไม่ได้เพราะแกคิดไปแล้ว...ตอนนี้ตัวแกอยู่ในขั้นตอนไหนล่ะ” เพราะเรามีทฤษฎีของเรา ชมพู่เลยมักจะถามบ่อยๆ ถ้าเรามีเรื่องไม่สบายใจ มันเป็นระดับการรักษาตัวเอง ซึ่งตอนที่เราเล่าให้ชมพู่ฟังครั้งแรก เธอบอกเสียงดังว่า ‘เพ้อเจ้อ’ แต่หลังจากนั้นมันก็กลายเป็นโค้ดลับของเราสองคน
“ขั้นตอนการเยียวยา...”
เธอมองมาด้วยสายตากังวล ทำท่าจะพูดอะไรบางอย่าง
“...เรียบร้อยแล้ว ”
“จริง?”
“จริงสิ ไม่ดีก็ทำใหม่”
“แกทำฉันแปลกใจนะเนี่ย เยียวยาเร็วเหลือเชื่อ แต่ฉันก็คิดอยู่ว่าถ้าแกไม่หาย แกคงไม่มาถึงที่นี่ได้ ร้อยวันพันปี แกไม่เคยมาดูกีฬาอะไรกับเขาหรอก รีบกลับบ้านตลอดเว..”
“...ก็”
“ชวนปากจะฉีกถึงหูก็ไม่เคยมา...”
“โอ๊ะ ชมพู่แวะซื้อโค้กก่อน เดี๋ยวเข้าไปดูแล้วคนเยอะออกไม่ได้แล้วเราหิวน้ำตายเลย”
“เปลี่ยนเรื่อง” ชมพู่ตีหน้าผากเราเบาๆ แต่ก็เปลี่ยนเส้นทางไปทิศที่ตั้งของร้านน้ำ
วันนี้วันศุกร์แล้ว เราตามติดชมพู่เหมือนเป็นลูกเป็ด ตอนนี้เราสองคนซื้อน้ำอยู่โรงอาหาร เวลาวันศุกร์ทีไรนักศึกษาก็มักจะกลับบ้านกันซะส่วนใหญ่ ยิ่งบ่ายๆ จะเริ่มเงียบ แต่วันนี้แปลกดีเหมือนกัน ทุกคนต่างมุ่งหน้าไปทางสนามบาสในโรงยิมกันหมด
พอเห็นคนถืออุปกรณ์เชียร์กลุ่มใหญ่เดินนำหน้าเราอยู่ ใจก็เต้นขึ้นมาซะอย่างนั้น บรรยากาศคึกคักน่าดูเลย
“คนเยอะเนอะ” เราพูดก่อนจะดูดน้ำอึกใหญ่
“เวลาแข่งกับต่างมอก็เยอะอยู่แล้ว มีแต่แกเนี่ยแหละไม่เคยเห็น”
“อ้าวหรอ”
“หิวอะไรอีกไหม ถ้าแกจะตามติดฉันก็ต้องไปอยู่ห้องเก็บตัวนะ” ชมพู่ถามขึ้นเมื่อพาเราเดินอ้อมมาด้านหลัง มัวแต่กินน้ำไม่ได้ดูเลยว่าชมพู่พาเรามาที่ทางเข้าห้องเก็บตัวนักกีฬา ได้ยินเสียงเข้มทุ้มหลายเสียงเฮฮาดังลอดออกมา
“ต้องเข้าไปในนั้นหรอ”
“อื้ม เหลืออีกเกือบสองชั่วโมง อีกอย่างฉันกินข้าวเสร็จแล้วก็ต้องไปดูแลพวกมันน่ะ”
“งั้นเรานั่งรอข้างนอกดีกว่า” พอทำท่าจะเดินไปอีกทางชมพู่ก็คว้าข้อมือเราไว้ พร้อมกับอมยิ้มแปลกๆ
“คนเดียวอะนะ? น่า...เข้าไปก่อน”
“เราไม่ไป เดี๋ยวโค้ชก็ดุหรอก” เราพยายามดึงมือออกแต่ชมพู่จับไว้แน่น
“โค้ชไม่ดุแกหรอก เขารู้จักแก”
มั่วแล้ว... “รู้จักได้ไง”
“เอ๊ะ ปั้นวันนี้แกดื้อจัง ไม่ฟังฉันเลยนะ เข้าไปกับฉันแป๊บเดียวเดี๋ยวออกมาส่ง”
“ชมพู่!”
ปัง!
“ทุกคน ฉันมาแล้ว!!”
พอประตูกระแทกกับผนังดังปัง ชมพู่ที่เดินจับมือเราเข้ามาก็ประกาศเสียงดัง
และ...เอ่อ...ทุกอย่างที่ดูวุ่นวายก็หยุดนิ่ง จนมีเสียงใครคนนึงตะโกนแหวกอากาศขึ้นมา
“เฮ้ยยยย! ผู้จัดการ ผมใส่กางเกงอยู่!!!”
“เชี่ย มึงรีบเอาผ้าไปบังเป้ามันนนน พี่ปั้นจะมาเห็นอะไรอุจาดตางี้ไม่ได้”
“เฮ้ยๆๆ พวกมึงไปยืนเรียงแถวเร็วเข้า”
...นี่มันอะไรกันเนี่ย...
พวกนักกีฬาที่แต่งตัวเรียบร้อย 4-5 คน รีบวิ่งกันทั่วห้อง บ้างก็ชนกัน บ้างก็เกือบจะล้ม เป้าหมายของพวกเขาคือยืนเรียงแถวเป็นกำแพงมนุษย์ตรงหน้ากับชมพู่กับเราที่ยืนมองด้วยความงง
“พวกแกทำไรกันเนี่ย แล้วโค้ชไปไหน”
“ไม่ต้องมาพูดเลยผู้จัดการ” คนที่ต่อล้อต่อเถียงกับชมพู่ได้ก็จะมีแต่น้องเจ็มที่ยืนตรงกลางคนนี้เท่านั้น
“อะไรของแก หลีกไป๊ มายืนบ้าอะไรกัน” ชมพู่พยายามเดินแทรกกลางแต่น้องๆ ไม่ขยับตัวเลยแม้แต่นิดเดียว จนเราต้องถอยหลังมายืนประจันหน้ากันเหมือนเดิม ว่าแต่
...พวกนี้นะ...หุ่นดีจนเราอิจฉาเลย...
“ไอ้กี้ยังไม่ได้ใส่กางเกงเลย ผู้จัดการเปิดเข้ามาแบบนี้ได้ไง”
“เป็นบ้าอะไร ไม่ใส่กางเกงแล้วไง พวกแกเคยอายอะไรด้วยหรอ”
“อายคร้าบบบ” เสียงๆ หนึ่งตะโกนมาจากหลังกำแพงมนุษย์ คงจะเป็นคนที่ยังแต่งตัวไม่เรียบร้อย
“พวกเราไม่อายผู้จัดการเลยครับ พวกเราอาย...”
“อายใครในนี้ ไหน?...มีใคร”
“พวกเราอายพี่ปั้นครับ!” น้องผิวสีแทนที่ยืนอยู่ซ้ายสุดตอบเสียงดัง
“นี่...ฉันต้องเศร้าหรือดีใจดีวะเนี่ย ไม่อายผู้หญิงอย่างฉันแต่อายเพื่อนฉันแทน พาก็พามาให้แล้วยังจะเขินอายเป็นหนุ่มวัยใสไปได้”
“ก็พวกเราใสอ๊ะ!!...” เจ็มเถียง เราเลยมองน้องๆ ที่ยืนอย่างเต็มตา พวกเขายืนเหมือนทหาร
“ปัญญาอ่อน”
เรามองซ้ายขวา
...นั่นไงแอร์ ทำไมนักกีฬาบาสพวกนี้หน้าแดงกันจัง ไม่เห็นร้อนตรงไหนเลย...
“ปั้นแกสนใจหน่อย ไอ้พวกนี้อุตส่าห์มาเรียกร้องความสนใจ”
“อ๋อ เอ่อ...หวัดดีครับ”
“ข้าวปั้นเพื่อนฉัน สมใจยัง”
“สมใจแล้วคร้าบบบบ จะดีกว่านี้ถ้าผู้จัดการช่วยส่งเสียงบอกหน่อย เล่นเปิดมาแบบนี้ ไป...พวกมึงแยกย้าย กูเรียบร้อยแล้ว” เสียงข้างหลังดังมาอีก น้องๆ ที่ยืนอยู่ถอนหายใจ บางคนลูบอกตัวเอง
“เชี่ย เหมือนกูจะตายแล้วอะพี่เขามองมาใช่ไหม กูนี่มองเพดานอย่างเดียวเลย”
“โอ๊ย ไม่มีสมาธิแล้วเนี่ย”
“ใจบางไปหมดแล้วโว้ย”
“อะแฮ่ม หลีกให้เพื่อนฉันนั่งแป๊บ” ชมพู่พาเราไปนั่งเก้าอี้ยาวกลางห้อง เราทำตัวไม่ถูกกับทุกสายตาที่จ้องมาแบบนี้
“พี่ปั้นมาเชียร์พวกผมใช่ไหมครับ” น้องเจ็มนั่งลงข้างๆ เรา พอจะหันไปหาชมพู่ เพื่อนเราก็กดมือถือหน้าเครียดซะแล้ว
“ก็ต้องเชียร์มอเราดิ จะให้เชียร์มธ.ไงไอ้เจ็ม” เรายิ้มแห้งๆ เราก็คงเชียร์มอเราอยู่แล้วแหละ...ไม่ได้มาที่นี่เพราะใครเลย...จริงๆ นะ....
“เออว่ะ กูลืมไปแล้วมึงจะมาสะกิดกูทำเชี่ยไรเนี่ยไอ้กี้”
“แนะนำพวกกูเร็วๆ ”
“เอ่อ...มีอะไรรึเปล่า”
“พี่ปั้นครับนี่ไอ้ฟุนกับไอ้เหน็งพี่ปั้นคงรู้จักแล้ว ส่วนนี่ไอ้กี้ที่อ้อยอิ่งไม่ใส่กางเกงจนพี่ปั้นเข้ามาเมื่อกี้ ที่ยืนตรงมุมห้องนู้นไอ้โม ไอ้ซอ ไอ้บอม แล้วก็นู่นไอ้แฟกับไอ้ภีมครับทั้งหมดเป็นน้องพี่ปั้นหมดเลย”
เรายิ้มก่อนจะพยักหน้าเป็นเชิงทักทาย ในใจต้องบอกเลยว่าออกไปข้างนอกเราก็ลืมชื่อพวกเขาหมดแล้ว ...เราขอโทษนะ...
ระหว่างที่นั่งอยู่เราก็มองนู่นมองนี่ น้องๆ ก็ชวนคุย ช่างเป็นเด็กที่ร่าเริงอะไรขนาดนั้น พวกเขาตลกกันหมด เราก็ขำบ้าง ไม่ขำบ้าง ตามประสาคนไม่เก็ทมุกอะไรเลย
“โค้ชไลน์มาแล้ว พวกแกเตรียมตัวไปวอร์ม” ชมพู่เงยหน้าขึ้นจากโทรศัพท์แล้วบอกพวกน้องๆ พวกเขาก็ลุกขึ้นเช็คความเรียบร้อยของตัวเองอย่างไม่อิดออด อาจจะเป็นเพราะอยู่ดีๆ ผู้จัดการทีมก็ดูเครียดขึ้นมาซะอย่างนั้น
“พี่ปั้นอวยพรพวกเราหน่อยครับ ถ้าพี่ปั้นอวยพรพวกเราต้องชนะแน่ๆ”
...จริงหรอ...
“งั้น...โชค..”
“ปั้นมันเป็นพ่องพวกแกรึไง แกก็อีกคนเชื่อพวกมันไปหมด”
“ผู้จัดการ!” เสียงร้องโวยวายระงม “อวยพรเลยครับพี่ปั้น”
“เอ่อ...โชคดีนะทุกคน”
“กำลังใจเต็มเปี่ยม!”
“วิ้วววววว วันนี้พวกเราจะด้วยความสนุกและไม่เครียดเพราะตัวเต็งของมธ.ไม่มา วู้ว”
“เฮ้!!!!” น้องนักกีฬาปลุกใจกันสนุกสนาน ทำเอาเรารู้สึกตื่นเต้นไปด้วยไม่ได้
“ใครบอก” เพราะเสียงของชมพู่ ทุกคนค่อยๆ เงียบลงเหมือนปิดสวิตซ์ น้องเจ็มเดินมาใกล้ๆ ก่อนจะถามเป็นคนแรก
“มันมาหรอครับ”
“มันลงจริงดิ” อีกหลายๆ เสียงก็มองหน้ากันอย่างสงสัย เราที่ลุกขึ้นมายืนใกล้ๆ ชมพู่ก็มองด้วยความไม่เข้าใจ เปลี่ยนโหมดกันเร็วจริงๆ เลย ทีมนี้
“มธ.ขอเพิ่มตัวสำรองมาอีกคนนึง” ชมพู่เฉลย “พวกแกติดเล่นอยู่แบบนี้แต้มไม่ขึ้นแน่”
“มันอาจจะไม่ได้ลงก็ได้นะครับ” ใครซักคนแย้งขึ้นมาด้วยน้ำเสียงไม่มั่นใจ
“อย่าประมาท ตัวสำรองเปลี่ยนอนาคตได้พวกแกก็รู้”
เพราะบรรยากาศเริ่มตึงเครียดเราเลยหลบฉากออกมาอย่างเนียนๆ พวกเขาคงจะปลุกใจกันก่อนแข่งกันอย่างแน่นอน
พอเดินออกมาก็พบว่าเหมือนอยู่อีกโลกหนึ่ง เสียงกลอง เสียงเชียร์เต็มไปหมด เราเลยเดินเลี่ยงมาทางห้องน้ำ มองแก้วน้ำที่ยังถือติดมือมา
...น้ำแข็งละลายจนโค้กเราไม่อร่อยซะแล้ว...
มัวแต่คิดอะไรไปเรื่อยเราเดินปะทะเข้ากับใครบางคนอย่างไม่รู้ตัว
ปึก! ตุ้บ!
“ขอโทษครับ” เราก้มหน้าก้มตาขอโทษ แก้วโค้กตกลงกับพื้นจนน้ำกระฉอกออกจากแก้วเล็กน้อย คงจะไม่โดนเขาหรอกมั้ง
“ไม่เป็นไรครับ”
...เอ๊ะ เสียงนี้...
“นาย...”
พอเงยหน้าขึ้น คนตรงหน้าก็ยิ้มรออยู่แล้ว เขาช่วยพยุงตัวเราขึ้นก่อนจะปัดฝุ่นตามตัวให้เรา
...เฮ้ๆ ไม่ต้องขนาดนั้น...
“ไปไหนมาครับเนี่ย ผมตามหาพี่ปั้นมาพักนึงแล้ว”
“ตามหาเรา?”
“ก็พี่ปั้นไม่รับโทรศัพท์เลย มานี่ครับ” นายคว้าข้อมือเราไปทางออกฉุกเฉินข้างๆ ห้องน้ำ ระหว่างนั้นเรารู้สึกว่ามีสายตามองมาหลายคู่เราเลยบิดข้อมือตัวเองออก เขามองแต่ก็ไม่ได้รั้งไว้
“มอนายมาถึงกันแล้วหรอ”
“ซักพักแล้วแหละครับ กว่าผมจะหลบออกมาโทรหาพี่ปั้นได้ แต่พี่ปั้นก็ไม่รับสายกันซะนี่”
“เราปิดเสียงล่ะมั้ง”
“งั้นเปิดด้วยนะครับ ถ้าแข่งเสร็จผมจะโทรหา เรากลับบ้านด้วยกัน”
“นายไม่กลับกับทีมนายหรอ”
“ไม่ครับ ผมขอไว้แล้ว”
“จะไปกับเราให้ได้?”
“แน่นอน ห้ามปฏิเสธด้วย ไหนๆ ก็มาดูผมแข่งแล้วก็รอจนผมแข่งเสร็จแล้วกันนะครับ”
“อย่าเข้าใจผิดนะ” เรารีบส่ายหน้า ไม่ใช่เพราะห้านาทีนั้นหรอกนะอย่าเข้าใจผิด “เรามาเชียร์มอเราต่างหาก”
“หึหึ โอเคครับ เชียร์มอตัวเองก็ได้” เขายิ้มมุมปาก
“จะ...จ้องเราทำไมนักหนา” เราหลบตา เขาเลยส่งเสียงหัวเราะในลำคอมาอีกระลอก
“โธ่พี่ปั้น...ก็ไม่เจอกันตั้งอาทิตย์นึง ขอมองให้หายคิดถึงก่อนสิครับ”
“นายหยุดพูดแบบนี้ซักทีเถอะ เราไม่ใช่สาวๆ นะ”
“หึหึ ครับ...พี่ปั้นจะนั่งสแตนด์ฝั่งไหนไหนครับ”
“ก็บอกแล้วไง เรามาเชียร์มอเราก็ต้องนั่งฝั่งมอเราสิ”
“พี่ปั้นจะนั่งฝั่งไหนก็ได้ แต่มองผมด้วยเข้าใจ๊ ส่วนผมน่ะมองพี่ปั้นอยู่แล้ว”
“บ้ารึไง คนเยอะขนาดนี้นายจะเห็นเราได้ไง”
“เชื่อผมเถอะ ผมเห็นพี่ปั้นตลอดแหละ”
เราส่ายหน้ากับคำพูดของเขา อะ...เราพึ่งนึกขึ้นได้ว่าเขาก็เป็นนักกีฬาบาสคนนึงเหมือนกัน เขาต้องรู้จักนักบาส ตัวสำรองคนนั้นแน่ๆ แอบถามคงไม่เป็นไรหรอกมั้ง
“นาย...นายเล่นเป็นตัวจริงหรือตัวสำรอง”
“พี่ปั้นทายดูสิ เท่ๆ แบบผมเนี่ยเป็นตัวอะไรดี” เขากอดอก หน้าเชิด มันช่างขัดกับชุดนักกีฬาสีส้มแถบดำของเขาเหลือเกิน เราเกือบหลุดขำก่อนจะรีบเปลี่ยนสีหน้าเมื่อเขาหรี่ตามอง
...ท่าทางมั่นใจจังนะ...
“นายคงจะเป็น....ตัวสำรอง”
“เฮ้ย! พี่ปั้นรู้ได้ไง” อยากจะถ่ายรูปเก็บไว้ซะจริง หน้าตาเสียความมั่นใจของเขาทำเอาเราขำออกมาจนได้
“ฮะๆ หน้านายโคตรตลกเลย เป็นตัวสำรองจริงดิ”
เรากลั้นหัวเราะจนปวดแก้ม ไม่อยากจะเสียลุคต่อหน้าเขาเลยหันหลังเข้าหากำแพงสูดลมหายใจเข้าปอด ไม่ทันสังเกตว่าเขาเงียบไปตั้งแต่เมื่อไหร่
พอหันกลับมาก็ชนกับตัวเขาไม่แรงมากนัก
“เฮ้ย...นายออกไปนะ ขยับมาทำไมเนี่ย”
เขายิ้มกว้าง สีหน้าโล่งใจ แถมยังไม่ยอมขยับเขยื้อนตัวอีกด้วย ตัวหนักเป็นบ้าเลย
“...ดีจังเลยน้า พี่ปั้นที่หัวเราะเนี่ยดีกว่าตอนนั้นตั้งเยอะ” เขายกมือมาวางบนหัวเราพร้อมออกแรงขยี้เบาๆ
“อื้อ ปล่อยนะ เราเป็นพี่นายนะ” เราพยายามจับมือของเขาออกเพราะมันหนักมากๆ รู้ไว้ด้วย
และเขาหยุดแต่ก็ไม่ยอมยกมือหนักๆ จากหัวเราซักที เราเงยหน้าขึ้นไปมองจะเอาเรื่อง แต่ก็ต้องชะงัก ไม่รู้ว่าเพราะสายตาของเขา หรือรอยยิ้มของเรา หรืออาจจะทั้งสองอย่างนั้น เราก็ไม่แน่ใจนัก
“...ปล่อยได้แล้ว” เราหลบตาพร้อมกับพูดอีกครั้ง
“อะแฮ่ม เอ่อ...ครับ ขอโทษครับ” เขากระแอมก่อนถอยออกไป เราทำเป็นจัดทรงผมตัวเองด้วยใบหน้ายุ่งๆ
“เราจะไม่ร้องอีกแล้ว นายลืมมันไปด้วยนะ”
“ดีครับ พี่ปั้นอย่าร้องอีกเลย” เขายิ้มบาง เราเลยเสมองพื้น
“แล้วก็...ขอบใจนะ”
“อะไรนะครับ” เขาก้มหน้ามาใกล้เราเล็กน้อยคล้ายว่าได้ยินไม่ชัด
...เราไม่ได้พูดเสียงเบานะ...
“ขอบใจนายมากที่ฟังเรา”
“...”
เพราะเขาเงียบผิดปกติ เราจึงเงยหน้าขึ้นแล้วก็พบว่าเขามองอยู่ก่อนแล้ว
“...ยินดีครับ...”
“...”
“จะห้านาทีหรือทั้งชีวิตก็ได้...ผมยินดีฟัง”
“....”
...ใจ...
Rrrrrrrrrrrrrrr
“มีคนโทรตามแล้วไปกันเถอะครับ ผมไปส่งพี่ปั้นที่แสตนด์ ไปครับ พี่ปั้น?...พี่ปั้นได้ยินผมไหม? งั้น...ผมขออนุญาตจูงมือนะครับ”
“...”
...ใจเรา...
“ถ้าผมแพ้ พี่ปั้นต้องไปกินอาหารญี่ปุ่นกับผม”
“...”
...ใจเราแย่แล้ว...
“ถ้าผมชนะ ผมขอไปส่งพี่ปั้นที่บ้านนะครับ”
กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด
เพราะเสียงกรี๊ดทำให้เราสะดุ้ง พอหันไปตามเสียงกรี๊ดก็พบว่าคนที่นั่งแสตนด์เชียร์ชี้มือชี้ไม้ไปที่ผู้ชายคนหนึ่ง
เดี๋ยวนะ เมื่อกี้เราอยู่ที่บันไดหนีไฟนี่ ตอนนี้มาอยู่ข้างแสตนด์ได้ยังไงเนี่ย แล้วเขาล่ะ
“ปั้น!...”
ใครเรียก “...?”
“ปั้น!!” คนที่เรียกเราวิ่งเหยาะๆ เข้ามาหา เรายืนงงๆ อยู่ท่ามกลางเสียงกรี๊ดทั่วโรงยิมจนหูแทบอื้อ
“ชมพู่”
“เมื่อกี้แกเดินออกมากับใคร”
“กับเขาน่ะ..แต่เขาไปแล้ว”
“อะไรของแกเนี่ย มา...แกมานั่งตรงนี้ ช่วยดูของให้ฉันที” ชมพู่จัดการลากเราไปนั่งแถวล่างสุดของแสตนด์ซึ่งใกล้ๆ กับที่นั่งพวกนักกีฬาที่ตอนนี้ลงไปวอร์มกันแล้ว ชมพู่พาเรามาทิ้งไว้แล้วก็เดินไปไหนซักที่นึง การเตรียมพร้อมดูวุ่นวายเอามากๆ เรามองไปรอบๆ เพื่อหาใครคนนึง
“อร๊ายยยย พี่นายมองกู”
“เบาๆ ดิ ถ้าจะเชียร์ออกนอกหน้าขนาดนี้มึงไม่ไปนั่งแสตนด์ฝั่งนู้นเลย อีเนรคุณ”
“คล้องดีอะ กูเนรคุณ พี่เขาชื่อนาย พูดแล้วกร๊าวใจ”
“มึงบ้าไปแล้ว ฮ่าๆ”
นายงั้นหรอ? เราหันไปมองตามทิศทางของน้องที่พูดคุยกันเมื่อกี้ ไม่ได้ใช้เวลามองหานานแต่เราเจอเขาในทันที นั่นไงเขา...ยืนอยู่กับคนที่คงจะเป็นโค้ช โค้ชกำลังพูดอะไรบางอย่างกับเขาอยู่แต่สายตาเขาตรงมาทางเราซะอย่างนั้น
...ยิ้มอีกแล้ว โค้ชพูดเรื่องตลกรึไง...
เราขมวดคิ้ว จะเป็นเพราะเขายิ้มหรืออะไรก็แล้วแต่ แต่เสียงกรี๊ดก็ดังขึ้นมาอีกรอบ คราวนี้เขาโบกมือมาสองสามทีมาทางเรา เราหันซ้ายหันขวาแล้วก็มองไปด้านหน้านิ่งๆ เหมือนกับว่าไม่รู้เรื่องอะไร เขาเลยทำท่าคอตกก่อนจะวิ่งเข้าไปซ้อมกับเพื่อน สาวๆ ที่นั่งแสตนด์สูงกว่าเราทำเสียงเอ็นดูกันใหญ่
...เอ็นดูหมอนี่อะนะ...
เราจะแอบมองเขาอีกรอบแต่จู่ๆ ก็มีใครซักคนมาบังตรงหน้า เธอเป็นผู้หญิงอวบนิดๆ ที่คอห้อยป้ายสตาฟอยู่
“ข้าวใช่ไหม”
“ข้าว?...” หมายถึงข้าวปั้นหรอ
“ข้าว ปีสามไง ไหนว่าปวดท้องมาไม่ได้ไง มาก็ไม่ไปรายงานตัว ดีนะ เอาป้ายมาด้วย อะ ใส่ซะ แล้วก็เตรียมน้ำ ยา อะไรให้ด้วย”
เธอพูดพร้อมกับวางป้ายห้อยคอไว้บนตักเราก่อนชี้มือสั่งนู่นนี่จนเรามึนตึ้บ
“เราไม่ใช่ เราข้าว...”
“รู้แล้ว รีบๆ วางกระเป๋าพี่พู่แล้วจัดการเรื่องกล่องยาด้วย เดี๋ยวจะไปประสานงานฝั่งมธ.ต่อ”
เธอพูดยาวเหยียดแล้วย่ำเท้าเดินจากไป เราพูดชื่อพยางค์สุดท้ายของตัวเองเบาหวิว “...ปั้น”
เอ่อ หน้าตาท่าทางอย่างเราคงจะคล้ายสตาฟที่ชื่อข้าวซักที่นึงล่ะมั้ง
และเพราะแบบนั้น ข้าวปั้นที่เป็นข้าว ปีสาม ก็ต้องมายกขวดน้ำ เกลือแร่ ใส่ถังน้ำแข็ง
...เอ เราต้องเหลือแบบไม่แช่น้ำแข็งไว้ไหมเนี่ย...
ตึก ตึก
“น้ำขวดนึงครับ”
...น้ำ?...
“นี่ครับ”
เรายื่นให้คนตรงหน้าที่เอามือเท้ากับหน้าขาตัวเองพร้อมกับก้มหาหอบหายใจ จำชื่อเขาไม่ได้ว่าคือใครในทีมนี้
“แค่กๆ พี่ปั้น?...เป็นสตาฟหรอครับ”
“เอ่อ คงจะแบบนั้น” เราเกาหางคิ้วไม่รู้จะบอกยังไงดี จะทิ้งไปก็ไม่มีใครอยู่ตรงนี้เลย
“ผู้จัดการ!!”
“อะไร!” ชมพู่ที่กำลังคุยกับโค้ชข้างสนามอีกฝั่งนึงเท้าเอวตะโกนกลับมา
“พี่ปั้น...” เขาทำท่าชี้มาที่เรา ชมพู่ตาโตก่อนจะรีบวิ่งอ้อมมาหาเรา
“เฮ้ย ได้ไงเนี่ย”
“เราก็ไม่รู้เหมือนกัน เราชื่อข้าวแหละชมพู่”
...ขอขำได้ไหมอะ...
“ไม่ต้องมาหัวเราะ ไอ้แป้งแน่เลย มันไม่เคยเห็นหน้าสตาฟคนนี้หรอก เอาป้ายออกเดี๋ยวฉันจัดการเอง”
“ไม่เป็นไรๆ ถ้าช่วยชมพู่ได้” เรามองพวกขวดน้ำกับผ้าขนหนู “มันก็ไม่ได้ยากอะไรนี่เนอะ”
“พี่ปั้นน่าร๊ากกกกก”
“มายิ้มเป็นคนบ้าอะไรแถวนี้ไอ้ซอ ไป!...ไปวอร์ม”
“โอ๊ย ผมต้องไปกระจายข่าว ทีมเราไม่แพ้มธ.แน่นอน” ว่าแล้วซอก็วิ่งเข้าไปในสนาม ทุกคนในทีมบาสหันมาทางเราแล้วก็ส่งเสียงเฮกันมาจนหลายคนสงสัย รวมถึงนักบาสฝั่งมธ.ที่หันมามองด้วย เพื่อนนายสะกิดแขนเขาด้วยหลังมือ นายหันมามองเราแล้วก็ขมวดคิ้ว ทำท่าจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ชมพู่ถามย้ำ เราจึงถอนสายตามาหาชมพู่
“ไหวแน่นะ”
“ถ้าน้องข้าวไม่ทำใครจะทำล่ะ” เราถามกลับ
“ฉันนี่ไง”
“งั้นเราไหว ถ้าชมพู่ทำได้ เราก็ทำได้แน่นอน เรายกน้ำได้มากกว่าแพ็คนึงนะ”
“โม้ หุ่นแบบแกเนี่ยนะ เออแต่ก็ดีเหมือนกัน มีแกช่วยก็รู้ใจกันหน่อย”
[ต่อด้านล่างค่ะ]