งวดยี่สิบห้า ถึงเวลาแล้ว
เมื่อได้กำลังใจ นายนทีเดินมุ่งหน้าไปท่าน้ำหน้าวัดอย่างแน่วแน่เด็ดเดี่ยว ผิดกับก่อนจะได้รับโทรศัพท์ลิบลับ เมื่อมาถึงใกล้สถานที่ในระยะสายตามองเห็นจับภาพได้ ไอ้น้ำก็พบว่าตอนนี้องค์ประชุมน่าจะมาครบถ้วนแล้ว
“ป้าจ๊ะ” มันพูดโพล่งขึ้นจากด้านหลังของทุกคนที่กำลังมุงกับไม้ตะเคียนที่เรือเก่า
“โอ๊ย ผีๆ กลัวแล้วเจ้าค่ะ” ป้าแช่มอุทานดังลั่นด้วยความตกใจ มือไม้ก็รีบยกท่วมหัว หลับตาปี๋เพราะกลัวจะเห็นสิ่งที่ไม่ควรเห็นเอาได้
“กลัวแล้วเจ้าค่ะ” พลอยให้ป้าๆ คนอื่นทำตาม ชาวบ้านที่มาร่วมเป็นสักขีพยานในการขูดหวยก็ไม่รอช้าที่จะทำตามเช่นกัน
ไอ้น้ำได้แต่ยืนหัวเราะขำท่าทางคนกลัวผีทั้งหลาย
“ฉันเอง ไอ้น้ำจ้ะ” ชายหนุ่มสะกดอาการหัวเราะนั้นแล้วค่อยๆ บอกหมู่เหล่าข้างหน้าตนเอง
“อ้าว ไอ้น้ำเองเรอะ โอย ทำข้าเกือบหัวใจวาย” ป้าแช่มบ่นพลางลูบอกเรียกขวัญของตัวเองกลับมา
“ตกใจอะไรขนาดนั้น ร้อยวันพันปีไม่เห็นป้าจะกลัวนี่นา”
“เอ็งไม่รู้หรือว่าคนในหมู่บ้านลือกันให้แซ่ดว่าเจ้าแม่ตะเคียนนั้นเฮี้ยนนักเฮี้ยนหนา”
“จริงเหรอป้า แล้วเราจะมาที่นี่กันทำไม กลับบ้านกันเถอะ” น้ำลูบแขนทันทีที่ได้ยินป้าแช่มบอก ปากก็ชวนอีกฝ่ายกลับ
“ไม่ได้ๆ พรุ่งนี้ต้องซื้อหวยแล้ว นี่ก็อยู่กันตั้งหลายคน ถ้าเจ้าแม่ตะเคียนมาอย่างน้อยก็มีเพื่อนล่ะวะ ลองดูหน่อยแล้วกันนะ” ป้าแช่มยื้อไว้ จะกลับบ้านมือเปล่าไม่ได้ เสียเที่ยวแย่
“เอาอย่างนั้นเหรอ” ไอ้น้ำถามเสียงเบาหวิวกลับไป
“เอาอย่างนั้นสิวะ มาๆ เริ่มเลย จะได้ไม่เสียเวลา ดีมั้ย”
“ดีๆ” น้ำไม่ได้ตอบแต่เป็นบรรดาเหล่าผู้กล้าร่วมกันออกเสียงกันพร้อมเพรียงกันราวกับจะลงประชามติอย่างไรอย่างนั้น
บรรยากาศและเหตุการณ์ก็เหมือนครั้งก่อนๆ ที่เวลาจะขูดหวยกันก็จะเริ่มโรยแป้งฝุ่น จะยี่ห้อไหน หรืออยากได้กลิ่นอโรมาเธอราปี หรือกลิ่นเด็กแบเบาะแรกเกิด ก็ตามแต่สะดวก ส่วนใหญ่ก็เอามาจากบ้านนั่นแหละ ส่วนไอ้น้ำก็ดันคิดไปว่าถ้าเอาแป้งเย็นมาโรย แม่ตะเคียนจะเย็นซ่าตามโฆษณาด้วยมั้ย
เสียงคุยกันเริ่มเบาลง กลายเป็นเสียงของลมหายใจที่กำลังเฝ้ารอเลขเด็ดมากกว่า นางเล็กกับนางสายคุยกันหงุงหงิงเสียงเบา แว่วๆ ว่า ลูบแป้งจนเนื้อไม้ตะเคียนจะเนียนเรียบ ไร้ผิวขรุขระแล้ว ทำไมเลขยังไม่ออกมาให้ยลโฉมเลย
“เจ้าแม่ตะเคียนเจ้าคะ ได้โปรดเมตตาให้ลูกมีเงินไว้กินไว้ใช้ด้วยเถิดเจ้าค่ะ” นางเล็กยกมือไหว้บอกกล่าวไปถึงเจ้าแม่อันโด่งดังของหมู่บ้าน
“ป้า พูดอะไรอะ” ไอ้น้ำจะห้ามไว้ก็ห้ามไม่ทัน ไปทักไปบอกแบบนั้นได้อย่างไร เดี๋ยวก็มาจริงๆ หรอก
“เออ ก็เผื่อเจ้าแม่จะเห็นใจไง”
“จะมาหาแทนน่ะสิไม่ว่า”
“เอ็งว่าไงนะ ไอ้น้ำ”
“เปล่าๆ ป้ารีบลูบต่อเถอะ เผื่อเลขมาแล้ว”
“นานไปจริงๆ นะนางสาย เอ็งว่ามั้ย” นางแช่มพูดขึ้นมาบ้าง
“อืม หรือว่าวันนี้ เจ้าแม่ตะเคียนจะไม่ว่างวะ” นางสายบอก
“ฉันว่าถ้าเลขไม่มาก็กลับกันเถอะจ้ะ ไปฝันเอาก็แล้วกันนะ หรือไม่ก็ดูข่าวคืนนี้ก็ได้ น่าจะมีอะไรให้ตีเลขอยู่หรอก” น้ำยื่นข้อเสนอ
กลับกันเถอะนะ ทุกคน น้ำขอวิงวอน
“เฮ้ยๆ พวกเอ็ง มาแล้วว่ะ มาแล้ว” เป็นเจ้าเดิม ป้าแช่มตะโกนเสียงดัง ผู้กล้าที่ถอดใจนั่งอยู่รอบๆ บริเวณต่างกรูเข้ามายังจุดหมายเดียว
“ไหนๆ เลขอะไร” ลุงซ่อมรถมอเตอร์ไซค์ถามขึ้นพลางยื่นหน้าเข้ามา
“เอาหน้าเอ็งออกไปเดี๋ยวนี้!ให้ไอ้น้ำมาดู” ป้าแช่มเจ้าเดิมผู้แน่นอน ผลักหน้าลุงซ่อมรถออกไปให้ห่างแล้วดึงแขนไอ้น้ำเข้าไปแทน
“ไอ้น้ำ ดูสิเห็นเลขมั้ย” น้ำเพ่งมอง ฟ้าก็เริ่มมืด เขามองไม่ค่อยเห็นเลย
“ป้าเห็นเลขอะไร ฉันมองไม่ค่อยออก มันลางเหลือเกิน”
“เลข 6 กับ 3เอ็งไม่ค่อยเห็นเหรอ”
“จ้ะ มันลางๆ”
“โรยแป้งเพิ่มมั้ย” นางเล็กเสนอความเห็น
“ไม่ได้ๆ ถ้ามันลบของเก่าไปเล่า นางเล็ก เอ็งนี่มันไม่รู้เรื่อง” ป้าแช่มหันไปดุเพื่อนรัก เอาแป้งมาเทเพิ่มเดี๋ยวร่องรอยก็หายไปพอดี โชคดีๆ อาจมีมาแค่ครั้งเดียว
“แล้วจะเอายังไงล่ะ ไอ้น้ำก็มองไม่ค่อยเห็น”
“เดี๋ยวฉันลองเอาไฟฉายส่องดูจ้ะ” น้ำหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาเปิดไฟฉาย
เมื่อไฟสว่างดีแล้วเขาเตรียมจะส่องแต่แสงไฟมันดันสาดไปเห็นร่างในชุดไทยนั่งอยู่บนกาบเรือเสียก่อน เท้าที่โผล่พ้นเลยมาจากผ้าถุงกำลังแกว่งไปมาอย่างสนุกสนาน น้ำยกโทรศัพท์สูงขึ้นเรื่อยๆ เขาไม่ตั้งใจแต่เพราะมือมันไปเอง จนกระทบเข้ากับผมยาวสีดำ ผมทางด้านขวาทัดหูไว้ บนหูมีดอกไม้สีแดงทัดอยู่
เขากลืนน้ำลาย ไม่กล้ามองหน้าอีกฝ่าย ชายหนุ่มเลื่อนแสงไฟจากโทรศัพท์ให้ตกลงมา คงจะใช่แล้วล่ะมันเป็นชุดไทยสีเดียวกันกับที่เขาเคยเอามาถวายให้แม่ตะเคียนเมื่อหลายงวดก่อน น้ำกำลังหายใจไม่ทั่วท้อง เขากลั้นหายใจเอาไว้โดยไม่รู้ตัว
“เป็นอะไรไอ้น้ำ มือเย็นเชียว แล้วทำไมจับแขนข้าเสียแน่น” ป้าแช่มถามเพราะแรงบีบจากไอ้น้ำที่จับตนเองแน่น
“ปะ..ป้า..หะ..เห็นใครตรงนั้นมั้ย” น้ำถามเสียงกระท่อนกระแท่น
“ไหนวะ” ป้าแช่มถามกลับ ไอ้น้ำเลยส่องไฟไปยังบริเวณนั้นและเขาก็หลับตา
“ไม่มีนี่ เอ็งเห็นอะไรวะ”
“มะ..ไม่เห็นเหรอจ๊ะ”
“เออ ไม่เห็นมีอะไร เอ็งเห็นอะไร หรือว่า...” สิ้นเสียงป้าแช่ม เขาค่อยๆ ลืมตาไปมอง แต่ไม่พบอะไรเลย ไอ้น้ำพรูลมหายใจออกมา
“ไม่มีจ้ะ ฉันก็ถามเฉยๆ”
“ทำข้าตกอกตกใจหมด นึกว่าเอ็งโดนเจ้าแม่ตะเคียนเล่นเข้าให้แล้ว”
“เปล่าจ้ะ เปล่า” ไอ้น้ำอยากบอกเหลือเกิน เขาโดนมาตั้งแต่งวดแรกแล้ว แต่ถ้าบอกไปตอนนี้วงต้องแตกแน่นอน
ผู้กอง...รีบมาได้มั้ย ไอ้น้ำภาวนาด้วยความร้อนใจ
“สรุปเอ็งเห็นเลขหรือยัง” ป้าแช่มเตือนสติมัน ไอ้น้ำรีบเอาแสงไฟมาส่อง
“เอ..เลขอะไรนะ” ชายหนุ่มพึมพำ เขาไม่แน่ใจว่าเลขตรงหน้าคือเลขอะไรกันแน่ จะบอกว่าเหมือนเลขหกกับเลขสามตามที่ป้าแช่มก็ไม่ผิดนัก แต่มันดูไม่ใช่ บางอย่างมันกำลังบอกเขาว่าไม่ใช่แน่ๆ
“39 จ้ะ 39” เสียงเย็นเยียบของหญิงสาวดังขึ้นข้างหู ไอ้น้ำสะดุ้งโหยง มือทั้งคู่บีบกันแน่น
“เลขอะไรวะ ไอ้น้ำ ยืนนิ่งเป็นอะไรเนี่ย” ป้าแช่มบ่นที่ไอ้น้ำเงียบไปนาน
“สามกับเก้าจ้ะ ป้า” เขาพูดออกไป อากาศค่อนข้างเย็น แต่เหงื่อกาฬกับผุดพรายเต็มหน้าผาก ขัดกับมือที่เย็นอย่างผิดปกติ
“เรอะ เออ ขอบใจเอ็งมาก เอ้า พวกเรามาประชุมกัน” ป้าแช่มเรียกรวมพลไปอีกมุมหนึ่ง ทิ้งไอ้น้ำยืนตัวแข็งอยู่ตรงหน้าเลขเด็ด
“เมื่อไหร่จะเลิกกลัวฉันล่ะพ่อ” เสียงเย็นดังขึ้นอีกครั้ง น้ำอยากจะวิ่งหนี แต่ขามันก้าวไม่ออก
‘ทำไมฉันต้องได้ยินเสียงแม่ตะเคียนคนเดียวด้วย’ น้ำเถียงในใจ ทำไมโลกนี้ไม่ยุติธรรมกับเขาเลย
“พ่อน้ำใจดี ฉันเคยบอกไปแล้วไง” ‘คนอื่นก็ใจดี’
“คนอื่นก็ใจดี แต่จิตของเขาไม่ตรงกับฉัน นี่พ่อน้ำพัฒนาจนเห็นร่างของฉันแล้วนะ ดีใจที่มีคนเห็นฉันสักที”แม่ตะเคียนพูดอย่างดีใจ
‘แต่ฉันไม่อยากเห็น ไม่มีใครอยากเห็นคนที่ไม่ใช่มนุษย์หรอก’
“เหรอจ้ะ พ่อน้ำไม่ดีใจเหรอ”แม่ตะเคียนบอกด้วยความน้อยใจ
‘อย่าโกรธเลยแม่ตะเคียน’น้ำปลอบอีกฝ่าย ถ้าโกรธขึ้นมาแล้วกลายร่างมาหลอกเขา ไอ้น้ำคิดว่าเขาคงต้องตายอยู่ตรงนี้แน่ๆ
“ฉันไม่โกรธหรอก แล้วมาคนเดียวเหรอ แฟนล่ะ?” ‘ไม่ใช่แฟน’
“ไม่ใช่แฟนได้ยังไง ฉันดูออกนะ พ่อน้ำชอบเขาไม่ใช่เหรอ” ‘รู้ได้ไง’
“ฉันรู้ ฉันเห็นจ้ะ ไม่งั้นฉันจะบอกหวยถูกหรือ” ‘ถ้าอย่างนั้น บอกหน่อยสิ ว่าผู้กอง เอ่อ..ผู้ชายคนนั้นชอบฉันด้วยมั้ย’น้ำคิดกลัวก็กลัว แต่เรื่องความอยากรู้ มันห้ามไอ้น้ำไม่ไหว
“ไม่บอกหรอกจ้ะ” ‘อ้าว ทีนี้กลับไม่ยอมบอก’
“ถามเขาเองเลย หันกลับไปสิจ๊ะ ดูสิว่าใช่คนที่เพิ่งลงจากรถตรงนั้นหรือเปล่า”ไอ้น้ำหันกลับไปตามที่แม่ตะเคียนบอก เขามองก็รู้ว่าคนนั้นเป็นใคร เหมือนพ่อพระมาโปรด ไอ้น้ำวิ่งสี่คูณร้อยทำลายสถิติโลกไปหาอีกฝ่ายทันที
“ผู้กอง!!” เสียงกระหืดกระหอบเรียกเจ้าของชื่อดังลั่น
“เป็นอะไร..น...” ไม่ทันได้เรียกชื่อคนที่วิ่งมา ผู้กองก็รู้สึกจุกเพราะไอ้น้ำไม่ผ่อนแรงพุ่งเข้ากอดอีกฝ่ายแน่น
“ผู้กอง” เสียงพูดอู้อี้อยู่บนไหล่ของปรานต์
“เป็นอะไร วิ่งหนีแม่ตะเคียนมาเหรอ”
“ผู้กองรู้ได้ไงอะ” น้ำเงยหน้าขึ้นมองด้วยความแปลกใจ
“ก็มีอยู่ไม่กี่เรื่องที่นายจะทำแบบนี้ แล้วจริงหรือเปล่า”
“อือ คราวนี้เห็นร่างของแม่ตะเคียนด้วย” น้ำพูดถึงเจ้าแม่สาวก็ขนลุกซู่ขึ้นมาอีกรอบ ขนคอตั้งชันเหมือนมีลมหายใจรดต้นคออยู่อย่างไรอย่างนั้น
“หน้าเป็นยังไงล่ะ” ผู้กองถามไปตามประสาคนที่ไม่ค่อยกลัวผีสักเท่าไหร่
“ไม่เห็นหน้าหรอก ผู้กองอย่าเพิ่งถามเลย กลัวอะ” น้ำบอกคนไม่กลัวผีจะเข้าใจความรู้สึกคนกลัวผีบ้างมั้ยนะ
“ขึ้นรถก่อนก็แล้วกัน” พอเจ้าของรถปลดล็อครถ ไอ้น้ำไม่รอให้ผู้กองหนุ่มบอกซ้ำสอง มันก็รีบโดดขึ้นรถอย่างรวดเร็วปานพายุ
“ขึ้นรถแล้วคงไม่มีอะไรแล้วล่ะ” ผู้กองปลอบใจ
“ครับ เป็นอย่างนั้นก็คงดี” น้ำบอกเพราะแม่ตะเคียนนั้นอยู่ทุกที่ เอเวอรี่แวร์ วิท ยู จริงๆ
“ยังไง ก็อย่าเผลอมองกระจกล่ะ” ผู้กองพูดทิ้งท้ายก่อนจะสตาร์ทรถออกตัว
“ผู้กอง!! จะพูดทำไมเนี่ย คนยิ่งกลัวๆ อยู่” น้ำโวยวาย ถ้าอย่างนั้นเขาจะขอหลับตาไปตลอดทางเลยก็แล้วกัน
“ถึงแล้ว ลืมตาเถอะ” น้ำไม่รู้หลับตามานานเท่าไหร่ จนกระทั่งได้ยินเสียงผู้กองบอกว่าถึงที่หมาย
“ถึงแล้วจริงๆ อะ”
“อืม ลืมตาได้แล้ว”
“ไม่อะ ผู้กองหลอกผมใช่มั้ย”
“ไม่ได้หรอก ถึงแล้วจริงๆ” ผู้กองขยับตัวเข้ามาใกล้คนไม่ยอมเชื่อ เขาจับมืออีกฝ่ายออกมาให้มือนั้นพ้นจากใบหน้าคนกลัวผี
น้ำค่อยๆ ลืมตา สิ่งแรกที่เขาเห็นคือใบหน้าของผู้กอง เดี๋ยวนะ! ใบหน้าคมคายนั้นมันใกล้เกินไปแล้ว สบตากันแล้วมันทำให้เขาใจสั่น น้ำไม่กล้าสบตาผู้กองหนุ่มต่อ สถานการณ์มันดูสุ่มเสี่ยงเกินไป ในรถก็คับแคบ เขาไม่ไว้ใจตัวเอง ถ้าเผลอคว้าผู้กองมาจูบก่อน จะทำยังไง เขาเลยเสไปมองนอกกระจกรถแทน
เขาพบว่ามันไม่ใช่บ้านไม้ใต้ถุนสูง มีบันไดเดินขึ้นบ้านแบบบ้านเขา แต่มันกลายเป็นบ้านไม้ชั้นเดียว ดูแล้วคุ้นๆ เหมือนเป็น
บ้านพักของผู้กอง!ใช่ บ้านพักของผู้กอง
“เอ่อ..พาผมมาที่นี่ทำไม” น้ำเปลี่ยนเรื่องเพื่อกลบเกลื่อนอาการตื่นเต้นของหัวใจตัวเอง
“ขออาบน้ำก่อนได้หรือเปล่า เสร็จแล้วจะไปส่ง” ผู้กองหนุ่มละมือออกจากอีกฝ่ายก่อนจะถามออกมา
“ทำไมไม่ไปส่งผมก่อนแล้วผู้กองก็กลับมาอาบน้ำอะ” ไอ้น้ำ ตัวภาระเริ่มโวยวาย
“ฉันรู้ว่าแม่น้อยทำกับข้าวไว้รอนายแน่ๆ ก็เลยจะขออาศัยฝากท้องสักมื้อ”
“อ่อ เห็นแก่กินสินะ” น้ำแหย่ด้วยความคะนองปาก
“น้ำ!!” ผู้กองหนุ่มดุ
“ขอโทษ ก็แซวเล่นเฉยๆ เอง ผมรู้น่าว่าแม่ผมทำกับข้าวอร่อยใช่มั้ยล่ะ”
“อืม”
“จริงๆ ผมก็ตั้งใจจะชวนผู้กองกินข้าวด้วยกันที่บ้านอยู่แล้ว บอกแม่ไว้แล้วว่าให้ทำอาหารเผื่อผู้กองด้วย”
“อย่างนั้นเหรอ ขอบใจนะ ลงมารอในบ้านก่อนสิ”
“ครับ”
น้ำเดินเข้ามานั่งรอบนโซฟาขนาดคนนั่งประมาณสามคนที่ตั้งอยู่บริเวณกลางบ้าน ผู้กองบอกให้น้ำทำตัวตามสบาย หาน้ำหาท่าดื่มที่ตู้เย็นเองในครัวได้เลย แล้วเจ้าตัวก็หายเข้าไปในห้องนอนเพื่อไปอาบน้ำอย่างที่ได้บอกไว้ในทีแรก ไอ้น้ำเดินสำรวจไปรอบๆ บ้าน ก็ไม่เห็นมีอะไรสะดุดตาเลย ไม่มีของอะไรประดับตกแต่งเป็นพิเศษ ดูเหมือนจะมีแค่ของใช้พื้นฐานตามที่รัฐบาลได้จัดสรรเอาไว้ให้ก็เท่านั้น
เรียบง่ายเหลือเกิน
นายนทีลุกขึ้นเดินไปที่ตู้เย็นตั้งใจจะดื่มน้ำเย็นๆ สักแก้ว ตอนนี้เขารู้สึกคอแห้งผาก พูดกับแม่ตะเคียนก็พูดในใจ แทบไม่ได้พูดอะไรมาก แต่ทำไมหิวน้ำมากขนาดนี้
เหตุการณ์เมื่อสักครู่นี้ยังทำให้เขาใจเต้นไม่เป็นจังหวะอยู่เลย ใจมันยังสั่นรัวเหมือนจะหลุดออกมา น้ำไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อน โรคหัวใจเขากำลังกำเริบอีกแล้วเหรอ พอได้แล้วคิดเรื่องอื่นบ้างเถอะ ลืมๆ ไปได้แล้วเรื่องนี้ น้ำบอกกับตัวเอง พอพยายามจะเปลี่ยนเรื่องคิด ใจก็พลันหวนไปคิดเรื่องก่อนหน้า เขานึกถึงแม่ตะเคียนขึ้นมาจนได้
ยอมรับว่าหากยังเจอแม่ตะเคียนอยู่แบบนี้เรื่อยๆ สักวันหนึ่งไอ้น้ำคงอาจจะหัวใจวายแน่นอน ขึ้นชื่อว่าไม่ใช่คนไม่ใช่มนุษย์ เป็นวิญญาณ เป็นเทพเจ้า เป็นผี หรือเป็นอะไรก็ตามแต่ น้ำไม่ประสงค์จะเจอทั้งนั้น ไม่ควรจะมาให้เห็นหรือให้ได้ยินเสียงเลยด้วยซ้ำ
“น้ำ” เจ้าของชื่อกำลังคิดเพลินๆ อยู่ ก็ได้ยินเสียงทุ้มจากด้านหลังขึ้น
“เฮ้ย!” อารามตกใจ ไอ้น้ำปล่อยแก้วในมือร่วงสู่พื้น เดชะบุญโชคดียังเป็นของเขา เพราะแก้วน้ำนั่นเป็นแก้วพลาสติกมันจึงไม่แตกแต่อย่างใด
“ใจลอยคิดอะไรอยู่” ผู้กองพูดพลางไปหาผ้าแห้งมาเช็ดน้ำที่หกไปทั่วบริเวณ
“ผู้กอง มาไม่ให้ซุ่มให้เสียง ตกใจหมด” น้ำแย่งผ้ามาจากมืออีกฝ่าย เขาเป็นฝ่ายทำหก ก็ควรที่จะเช็ดมันเสียเอง แต่ผู้กองก็ไม่ปล่อยมือจากผ้านั้น กลายเป็นสถานการณ์เหมือนคนสองคนกำลังจับผ้าไว้คนละมุม
“เดี๋ยวฉันเช็ดเอง นายไปรอข้างนอกเถอะ” ปรานต์บอกตามมารยาทของเจ้าบ้านที่ดี
“ไม่ได้ ผมเป็นคนทำหก เช็ดเองดีกว่า” น้ำก็บอกตามที่ตนเองเป็นผู้ที่สร้างปัญหาและอยากจะแก้ไขปัญหานั้น
“เป็นเด็กอย่างเถียง”
“ฮื้อ ผู้กองแก่กว่าผมกี่ปีกัน ถึงมาว่าผมเด็ก ปล่อยผ้าครับ” คนที่ว่าไม่เด็กกำลังยื้อแย้งผ้าผืนนั้นจากมือของอีกฝ่ายด้วยความดื้อรั้น
“เดี๋ยวฉันเช็ดเองน่า”
“ก็บอกว่าไม่เอา จะเช็ดเองไง ทำไมผู้กองไม่เข้าใจ” น้ำดึงผ้าจากมือผู้กองอย่างแรงอีกครั้ง แต่ครั้งนี้ผู้กองจงใจปล่อยผ้า แรงที่กระชากมันจึงมากมายจนทำให้น้ำเสียหลักเพราะความลื่นจากพื้นน้ำด้วย
“เฮ้ย!!”
“น้ำ” โชคครั้งที่สองของไอ้น้ำยังมี ผู้กองหนุ่มคว้าแขนของเขาเอาไว้ได้
“ขอบคุณผู้กอง” น้ำถอนหายใจด้วยความโล่งอก ไม่อยากจะคิดถ้าผู้กองคว้าไว้ไม่ทัน เขาต้องล้มลงไปแน่ๆ แล้วอาจจะหัวฟาดพื้นด้วย เลือดเจิ่งนองเต็มพื้น แล้วก็ตายไปในที่สุด
โอเวอร์เสียจริงไอ้น้ำ คิดอะไรเป็นตุเป็นตะ
“ไม่เป็นไร” ปรานต์ตอบ มองใบหน้าใสที่บัดนี้เต็มไปด้วยแรงสูบฉีดบนใบหน้าที่มาจากการตกใจของเจ้าตัว มันทำให้น้ำ เด็กหนุ่มตรงหน้าดูมีเสน่ห์มากกว่าเดิม มากกว่าใครที่เขาเคยรู้จัก
“ปล่อยแขนและก็ถอยไปได้แล้วผู้กอง เดี๋ยวผมจะเช็ดน้ำตรงนี้” เขากำลังจะย่อตัวลงไปที่พื้นเพื่อเช็ดน้ำ แต่ก็ถูกมือของผู้กองจับไว้อยู่อย่างนั้น
“ผู้กองปล่อยก่อ....” ไม่ทันจบประโยค ไอ้น้ำก็ถูกดึงให้เข้าไปประชิดกับร่างของอีกฝ่าย
ใบหน้าผู้กองก้มต่ำลงมา ไอ้น้ำตกใจจนไม่กล้าขยับตัว ดวงตาเบิกกว้างเมื่อเห็นหน้าของ ผู้กองใกล้เข้ามาเรื่อยๆ เขาคิดว่าเขาควรจะเบือนหน้าหนีดีมั้ย แต่ปรานต์ก็เหมือนรู้ทัน ชายหนุ่มจับล็อคต้นคอของไอ้น้ำไว้แน่นเพื่อไม่ให้ขยับไปไหน
ไอ้น้ำกำลังจูบกับผู้กอง เอ๊ย ไม่ใช่สิ ไอ้น้ำกำลังถูกผู้กองจูบ
สถานที่โคตรโรแมนติกเลยเหอะ หน้าตู้เย็น ไอ้น้ำคิดในใจอย่างเซ็งๆ
น้ำขอแนะนำ
ย้ายที่ดีมั้ยผู้กอง
==========================================
คุณขา เขาจูบกันแล้วค่าาาาาาาาา แม่จะจุดพลุฉลอง เลี้ยงโต๊ะจีนเลย
ติด Tag ได้เลยค่ะ #LOTTOสื่อรัก #คนบ้าหวย2018