ผมนั่งถอนหายใจอยู่หน้าห้องระหว่างรอเข้าคาบเรียนตอนเช้า จนทำให้เพื่อนๆ ที่อยู่ด้วยมองหน้าผมด้วยสีหน้าแปลกใจ
“มึงยังคิดมากอยู่อีกเหรอ?” พี่ชายฝาแฝดของผมเอ่ยถาม
“อืม…..” ผมตอบกลับไปแบบผ่านๆ
“แม่ก็ไม่ได้โกรธเรื่องที่มึงเสียมารยาทเมื่อวานไม่ใช่เรอะ? มึงจะคิดมากอะไร ดูท่าทางแม่จะบันเทิงอยู่ไม่น้อยนะ เพราะหลังจากที่พวกเราเดินขึ้นห้องนอน พวกแม่ก็หัวเราะเรื่องนี้กันดังลั่น!!” เฟรมพยายามปลอบผมในแบบของมัน ซึ่งเรื่องนั่นผมน่ะทำใจได้แล้วเรื่องที่โดนแกล้ง แต่ก็ต้องขอกลบเกลื่อนไปก่อน เพราะตอนนี้มันมีเรื่องที่ผมหนักใจกว่านั่นอยู่
เรื่องก็คือ…. ดันไปตกหลุมรักศัตรูเก่าของตนเอง เรื่องที่สมัยแย่งกันจีบพี่กวีสุดน่ารัก ก็ยังจำได้ดีว่าทำกับผมไว้แสบแค่ไหน ประวัติศาสตร์ที่ผ่านมาระหว่างผมกับเขาคนนั้นก็ไม่เคยญาติดีด้วยสักครั้ง และที่สำคัญคนๆ นี้ เคยตกหลงรักแม่ของผมเองอีก ยิ่งคิดยิ่งซับซ้อน จนแทบจะคิดหาทางออกไม่ได้
ผมก็ไม่ได้ติดใจอะไรหากพี่โน่จะแก่คราวพ่อ (แต่หน้าตายังเด็กกว่าอายุมาก) แต่ดันเป็นเพื่อนสนิทแม่นี่สิ และยิ่งได้รู้ความรู้สึกที่เขามีต่อแม่ของผม ผมก็รู้สึกพ่ายแพ้และสับสน
ทั้งคาบเช้าจนถึงเที่ยง ผมแทบจะไม่ได้เรียนเอาอะไรเข้าหัวเลย มันมีแต่ความคิดเรื่องนี้เกิดขึ้นซ้ำๆ ซึ่งผมอธิบายไม่ถูก แม้แต่เพื่อนสนิทในกลุ่มอย่างไอ้ต้นน้ำและไอ้ต้นกล้า จะกวนบาทาผมอย่างหนักก็ยังทำให้ผลหยุดคิดเรื่องนี้ไม่ได้เลย
“เออ!! มึงเย็นที่แม่นัดไปวัดชุดน่ะ มึงไปกับอาโต้งก่อนนะ กูมีธุระเดี๋ยวกูตามไป” ไอ้เฟรมพูดขึ้นช่วงพักกินข้าวเที่ยง
“หะ…!! หา!?! อะไรนะ?” อยู่ๆ ก็มีเรื่องที่ทำให้ผมสนใจสงสัยขึ้นมาจากปากพี่ชายฝาแฝด
“อ้าว! ไอ้สัด สมควรที่โดนแม่ด่าตั้งแต่เช้าแล้ว เป็นอะไรไปวะ ช่วงนี้ หรือมึงจะไม่อยากให้แม่แต่งงานใหม่จริงๆดูมึงใจลอยๆ ตลอดเลย!!” ไอ้เฟรมนิ่วหน้าหันมามองหน้าผมอย่างหาเรื่อง
“ไม่!! ไม่ใช่อย่างนั้น กูมีเรื่องต้องคิดนิดหน่อย แต่ไม่ใช่เรื่องแม่หรอก” ผมแก้ตัว ที่จริงก็มีส่วนจริงอยู่กึ่งหนึ่งล่ะ แต่ไม่เล่าให้ไอ้พี่ชายฟังดีกว่า มันคงไม่เข้าใจ
“ไม่ใช่เรื่องของแม่ก็แล้วไป ! แล้วเอาไงเรื่องที่ไปลองชุดน่ะ มึงไปก่อนนะ!!”
“แล้วมึงจะไปไหน? ทำไมไม่ไปกับกู แล้วต้องตัดชุดอะไรวะ!?!”
“อ้าว! สัด! นั่นไง ชุดที่จะไปงานแต่งงานแม่มึงไง!!”
“ก็แม่มึงเหมือนกันไหม!! สัด!!” พี่น้องที่พูดกันแบบนี้ประจำจนเพื่อนๆ ในคณะฯ เห็นจนชินตา
หลังจากเรียนครบจบทุกคาบ ผมก็มานั่งเบื่อๆ คนเดียวที่พื้นที่เอนกประสงค์ใต้อาคารเรียนรวม ซึ่งเป็นที่สิงสถิตของกลุ่มผม แต่ตอนนี้จะเรียกว่ากลุ่มคงไม่ได้เพราะผมนั่งอยู่คนเดียว
ไอ้ต้นน้ำติดเมีย เลิกเรียนก็หายหัวไปเลย
ไอ้พี่ชายเฮงซวยก็หายศรีษะไปกับไอ้เพื่อนปากหมาอีกคนหนึ่ง ก็คือไอ้ต้นกล้า
น่าสงสัยบอกได้คำเดียว ใกล้จะสอบปิดภาคเรียนแล้ว พวกมันทำไมทำตัวตามสบายขนาดนี้วะ เดี๋ยวพอใกล้สอบพวกมันก็จะมาขอร้องผมให้ช่วยติวให้เหมือนเดิม เป็นอย่างนี้มาเกือบสามปีแล้ว
ในระหว่างที่ผมผ่อนลมหายใจไปกับเรื่องเพื่อนๆ ในกลุ่มแต่ละคน การที่คนหน้าตาดีอย่างผมมาอยู่คนเดียวในสถานที่สิงสถิตเป็นประจำของกลุ่มผมแบบนี้ ทำให้ตกเป็นเป้าสายตาไม่น้อย และแน่นอนว่ามีคนจำนวนมากที่ยังแยกผมกับไอ้เฟรมไม่ออก สาวๆ หนุ่มๆ เลยทำได้แต่เดินผ่านและยิ้มให้เพราะไม่รู้ว่าจะทักทายผมดีไหม กลัวหน้าแหก
โดยเฉพาะสาวๆ เพราะผมมักจะบอกกับสาวๆ ที่มาวอแวกับผมเป็นประจำว่า ผมไม่สนใจผู้หญิงนะครับ ผู้ชายหน้าสวยๆ เท่านั้นที่เป็นสเปก ต่างจากพี่ชายผมที่สนิทกับผู้หญิงทุกคนแต่ก็ไม่กล้าแม้แต่จะให้เบอร์หรือ ไลน์ไอดีกับใคร เพราะแฟนมันโคตรดุ สาวๆก็เลยดูมีความหวังกับไอ้เฟรมมากกว่า (รูปหล่อกัปตันทีมบาส)
ผมมองนาฬิกาข้อมือครั้งแล้วครั้งเล่า เพราะมันเลยเวลานัดมาเกือบสิบนาทีแล้ว แต่ก็ยังไม่เห็นอนาคตพ่อเลี้ยงของตนเองจะมารับเสียที ปกติผมเป็นโรครออะไรนานๆ ไม่เป็น เลยยิ่งหงุดหงิดกับการอยู่เงียบๆ คนเดียวแบบนี้
หลังจากคิดคำด่าหยาบคายในหัวสักสิบประโยคกับอนาคตครอบครัวตัวเอง ผมจึงตัดสินใจจะกลับไปรอที่บ้าน เพื่อให้แม่ด่าไอ้คุณอาโต้งที่ผิดเวลาขนาดนี้ นี่หากเป็นผมผิดนัดกับแม่นะคงโดนดึงหูขาดไปแล้ว
“เฮ้ย!! ทำไมเหลือคนเดียว?” เสียงคุ้นหูดังขึ้นที่ด้านหลัง ผมรีบหันกลับไปด้วยความประหลาดใจ
“พี่โน่ อ้าว!! มาทำอะไรแถวนี้!!” ผมเอ่ยทักคนรูปร่างเล็กที่มีเหงื่อพรายผุดขึ้นเต็มใบหน้าขาวๆ นั่น
“มึงอย่าเพิ่งถาม!! รีบตามกูมา!!” คนตัวเล็กเดินมาจับข้อมือผมให้ลุกขึ้น
“เฮ้ยๆ เดี๋ยวดิ! ไปไหน?” ผมยื้อแขนข้างนั้นและถามต่อ
“ก็มารับมึงไปวัดชุดงานแต่งแทนพ่อมึงไง!!” อีกฝ่ายยื้อแรงขึ้นจนผมต้องลุกก้าวตาม
“พ่อเลี้ยง!!” ผมสวนเพื่อให้อีกฝ่ายใช้คำให้ถูกต้อง
“จะพ่อเลี้ยงหรืออะไรก็ช่าง!! แต่กูต้องมารับมึงแทนมันเนี่ย!! ไอ้สัด จะแต่งงานกับแม่แต่กลับลืมลูกเขาเนี่ยนะ ก็ต้องเป็นกูสิเนี่ยต้องมาตามเก็บตามเช็ดให้ทุกครั้ง!!” พี่โน่เดินลากผมไปบ่นไป
ผมเห็นอีกฝ่ายดูเดือนดาลก็ปฎิบัติตามอย่างว่าง่าย เพราะใครๆ ก็รู้ว่า แม่ผมไม่ชอบการผิดแผน การที่อาโต้งลืมที่จะมารับผมด้วยเหตุผลอะไรก็แล้วแต่ แม่ผมคงไม่ยอมจบง่ายๆ
แต่อาการกลัวเกรงแม่ผมของอาโต้งแบบนี้ก็เป็นเครื่องยืนยันได้อย่างหนึ่งว่าอาโต้งก็รักแม่ผมไม่น้อยเช่นกัน
พี่โน่ปล่อยมือผมตรงที่เขาจอดรถสปอร์ตคันงามราคาหลายล้าน พร้อมพยักหน้าเป็นเป็นคำสั่งให้ขึ้นรถ แม้จะไม่ใช่ครั้งแรกที่ขึ้นรถกันแต่สองคน แต่ความรู้สึกที่ชัดเจนขึ้นของผมก็ทำให้ผมรู้สึกตื่นเต้นจนเกือบเก็บอาการไม่ค่อยจะอยู่
แม้เครื่องปรับอากาศในรถจะเย็นฉ่ำแต่เม็ดเหงื่อผุดพรายบนใบหน้าอีกฝ่ายต่างก็ผุดออกมาไม่ขาด มันไหลลู่ลงตามรูปหน้าที่เล็กได้รูปจนกระทั้งผมทนเห็นภาพตรงหน้าไม่ไหว จัดการหยิบกระดาษเช็ดหน้าบนรถซับหน้าให้ระหว่างที่อีกฝ่ายขับรถ
“ทำไมไม่เช็ดให้เรียบร้อย เดี๋ยวก็เข้าตากันพอดี!!” เหงื่อเค็มๆ เข้าตาน่าจะแสบ และมันก็ขับนถเร็วเสียเหลือเกิน
“เดี๋ยวเหงื่อเข้าตาก็แสบจนมองทางไม่ได้หรอก ผมยังไม่อยากตายนะ!!” ผมเสริมแก้เขินขณะค่อยๆ ใช้กระดาษเช็ดหน้าซับเหงื่อที่ผุดขึ้นมาไปตามรูปหน้าและเหนือคิ้ว
“ก็รออยู่ ว่าเมื่อไหร่จะเช็ดให้” คนขับรถตอบเสียงเรียบ
“เช็ดเองก็ได้นี่เห็นขับรถมือเดียวออกจะบ่อย!!”
“ก็อยากให้เช็ดให้”
อยู่ๆ ก็โดนอีกฝ่ายรุกมากแบบนี้ทำให้ผมถึงกับทำตัวไม่ถูกรีบเก็บไม้เก็บมือนั่งนิ่งเรียบร้อยตลอดทาง ถึงแม้ว่าผมจะไม่ได้มองแต่ทำไมผมถึงรู้ว่า ไอ้เตี้ยนั่นมันอมยิ้มอยู่ก็ไม่รู้
ในที่สุดก็ถึงที่หมายเสียที ผมพึมพำในใจเมื่อเห็นอาคารร้าน เวดดิ้ง เพลเนอร์ชื่อดังในจังหวัด หลังจากรถจอดสนิท ผมกล่าวคำขอบคุณและก้าวลงจากรถอย่างรวดเร็วจนแทบไม่มองคนที่ขับมาส่ง
ขณะที่กำลังรีบเร่งเข้าประตูร้านที่ตกแต่งด้วยกระจกสไตล์โบสถ์ยุคกลางของทางยุโรป ที่ปลายสายตาผมก็ไปกระทบกับชายร่างท่วมที่วิ่งมาจากลานจอดรถอีกฝั่งของอาคาร
“เซฟ!!” ชายร่างท้วมวิ่งกระหืดกระหอบมาแตะประตูร้านพร้อมพูดเหมือนกีฬาเบสบอล
“อ่า…..ครับ” ผมมองคนที่เหงื่อท่วมร่างจนเสื้อเชิ้ตแขนยาวที่ใส่ลู่เปียกติดลำตัว พร้อมเอ่ยทักเป็นเชิงคำถาม
“ติดธุระนิดหน่อยน่ะ…..เอ่อ… ไอซ์ใช่ไหม?” ลุงโต้งพูดไปหอบไป แต่ก็สร้างความประทับใจให้ผมได้ดีทีเดียว เพราะน้อยคนนะที่จะจำแนกพวกผมได้ หากไม่สนิทกัน
“ใช่ครับ! ผมเข้าใจครับ รีบเข้าไปกันเถอะครับ ป่านนี้แม่ผมคงนั่งเคาะนาฬิกาข้อมือจนกระจกพังแล้วครับ” ผมรีบชวนอีกฝ่ายทันทีที่ผมเหลืบไปมองนาฬิกาข้อมือตัวเอง
“เห็นภาพเลย” อีกฝ่ายยิ้มแห้งๆ เห็นด้วย
เป็นไปตามคาด แม่ผมนั่งหน้านิ่วในชุดเดรสสีขาวเกาะอก ผ้าลายลูกไม้ที่ประดับไปด้วยลูกปัดนับไม่ถ้วนที่ส่องประกายระยิบระยับ ช่วยส่งเสริมให้คนที่สวมใส่เหมือนนางฟ้าที่ร่วงลงมาจากสวรรค์ แต่ใบหน้าที่แสดงอยู่ของนางฟ้ากลับทำให้รู้สึกว่านรกอยู่แค่เอื้อม
“ที่รัก ยางรถผมมันระเบิดน่ะ กว่าจะหาที่เปลี่ยนได้แทบแย่” ลุงโต้งที่มีไหวพริบดีรีบแก้ตัว ในขณะที่ผมนั่น ยอมรับบทลงโทษไปเรียบร้อยแล้ว ถึงจะสายแค่สิบนาทีแต่แม่ผมผู้รักษาเวลายิ่งกว่าผู้ใดนั้น มันเหมือนจะเป็นเรื่องที่ให้อภัยไม่ได้
ผิดคาด …. แม่ผมกลับเปลี่ยนใบหน้าที่บึ้งบูด กลายเป็นรอยยิ้มพร้อมทั้งโผเข้ามากอดลุงตัวอวบได้อย่างน่ารักน่าเอ็นดู ความรักทำให้คนเปลี่ยนไปได้อย่างเหลือเชื่อ
หากเป็นผมที่เดินเข้ามาคนเดียวคงกลายเป็นศพกองอยู่หน้าร้านไปแล้ว เห็นสวยๆ แบบนี้ ความโหดไม่ธรรมดาเลยทีเดียว ผมรู้ซึ่งดี เพราะการลงโทษของแม่ ไม่ได้มีแค่การลงมือหนัก แต่ยังบทลงโทษอื่นๆ ที่คิดว่าโดนไม้เรียวฟาดให้มันจบๆ น่าจะดีกว่า
“แม่ครับ ผมว่า…. มัน….” ลูกชายอีกคนที่เรียบร้อยกว่าผม เดินออกมาพร้อมกับการแต่งกายที่คนทั่วไปคงไม่ใส่
“หล่อมากเลยจ๊ะ” แม่ผมโผจากคนตัวท้วมไปพินิจพี่ชายผมในระยะประชิด พี่ชายผมที่อยู่ชุดทักซิโด แบบในสมัยก่อตั้งอาณานิคมยุโรป เสื้อตัวนอกมีชายเสื้อทางด้านหลังเป็นหางแหลมชี้ลงพื้นยาวจนเลยหัวเข่า หมวกทรงสูงสีดำเงาวาว ถูกชี้นิ้วสั่งให้หมุนตัวไปมา ผมมองไปด้วยสายตาที่หวาดหวั่น อย่าบอกนะว่าต้องแต่งแบบนี้ นี่มันธีมอะไรวะ?!?
“เหมาะดีนะ” เสียงปนหัวเราะดังขึ้นจากทางด้านหลัง ผมหันไปก็พบพี่โน่เดินเข้ามายิ้มร่าเริงปนหัวเราะ
“ไม่ต้องหัวเราะ เธอก็ต้องแต่งตัวแบบนี้!!” แม่ผมหันมาทางผู้มาใหม่ด้วยรอยยิ้มเพชรฆาต ทำให้คนมาใหม่ยิ้มสลายไปทันที
“เฮ้ย!! ไม่เห็นบอกกันก่อน!! นี่มันไม่ได้อยู่ในข้อตกลง!!” คนตัวเล็กโวยวาย แต่ก็ถูกเพื่อนสนิทอย่างลุงโต้งเดินเข้ามาจับไหล่และส่ายหน้า
“เพราะมึงคือเพื่อนเจ้าบ่าวไงล่ะ! มึงก็รู้ว่าเถียงไปก็ไม่ชนะหรอก” ลุงโต้งพูดด้วยสีหน้าทำใจ
“ที่บอกว่าธีมแวมไพร์ยุคอาณานิคม กูนึกว่าพูดเล่น!!” ผมเห็นเส้นเลือดของคนตัวเล็กปูดโปนที่ขมับ
“เอาน่าๆ กูบอกไปแล้วว่างานแต่งก็แล้วแต่เขา” ลุงโต้งที่เห็นชุดของตนถูกเจ้าหน้าที่ในสตูดิโอนำมาให้ตรงหน้าก็แอบกลืนน้ำลาย
“มึงตามใจยัยมลไปแล้วนะ!!” นักเลงตัวเล็กโวยวายไม่เลิก จนกระทั้งแม่ผมเอาชุดของเพื่อนเจ้าบ่าวมาส่งให้กับมือ นีโน่จึงได้แต่ทำใจยอมรับ เพราะสายตาของแม่ผมนั้นไม่ธรรมดา ไม่มีใครต้านทานได้หรอก รังสีอำมหิตเหล่านั้นผมยังสามารถรับรู้ได้จากอีกฝากหนึ่งของห้อง หลังจากที่ผมมารับชุดของตนเองจากพนักงานของสตูดิโอ
“เจ้าบ่าวไปเปลี่ยนห้องทางนั่นนะคะ ส่วนเพื่อนเจ้าบ่าวและลูกชายไปเปลี่ยนที่ห้องนี้คะ เหลือห้องเดียวเปลี่ยนด้วยกันได้นะคะ?” พนักงานสาวสวยแจ้งพร้อมผายมือไปตามทางเดินที่จะไปแต่ละฟากของห้องตามกำหนด ภายใต้สายตาและรอยยิ้มเย็นเยียบของแม่ของผม