ตอนที่ 10
“มาแล้วโว้ย”
เต็งหนึ่งสะพายกระเป๋าคอนเวิร์สไว้บนไหล่ซ้าย มือขวาถือถุงขนมที่จัดมาถวายเพื่อนในทีม ส่วนคนเดินตามมีกาแฟสองแก้วในมือ
“สัสมาช้า อ้าว”
แมทหันมาก่อนจะเลิกคิ้ว
“วิดวิ้ว พาใครมาด้วยน่ะ”
สก๊อตที่ไม่ได้ร่วมทีมทำฟอมูล่าแต่เสร่อมาทุกวันก็ผิวปากแซวขึ้นมา แค่นั้นล่ะบรรดาอีกแปดคนที่กำลังงมเครื่องยนตร์ก็หันหน้ามาอ้าปากแซวกันเป็นแถบที่เห็นเบอร์ 2 หน้านิ่งผู้กล้าหาญประกาศจีบเต็งหนึ่งมาก่อนยืนอยู่ด้วย
“เสือก ไปๆไอ้เอกไปนั่งในห้องนู้น”
ชี้นิ้วไปที่ห้องกระจกสำหรับพักผ่อนเวลาเข้าชอปนานๆ
ขายาวพยักหน้าทักทายทุกคนหนึ่งทีก่อนจะเดินไป
“ตกลงอะไรยังไงครับเพื่อนครับ”
สก๊อตรีบพุ่งเข้ามาเข้าชาร์จ มีแมทมายืนกอดอกสอบสวนด้วยอีกคน
“มาขนาดนี้ บอกกูมาเลยว่าขั้นไหน”
“สัสปล่อยกู นี่ไงพามาให้รู้จักไง ตามกูมาดิจะพาไปคุย”
แมทยังคงทำหน้านิ่งแต่ก็เริ่มตาวาวระยับ ส่วนสก๊อตนี่ดี๊ด๊าพุ่งไปห้องกระจกคนแรกจนต้องกระชากคอเสื้อรั้งไว้
สามหน่อเดินเข้ามาในห้องกระจกยืนเรียงแถวหน้าโต๊ะ เป็นเอกละสายตาจากจอมือถือเงยหน้ามอง
“เอก นี่เพื่อนสนิทกู ไอ้แมทกับสก๊อต”
คนถูกแนะนำเพื่อนให้รู้จักลุกขึ้นยืนยื่นมือไปจับแก้มสากลูบเบาๆ
“มึงเขิน”
มันใช่เวลามั้ยไอ้เหี้ยยยยยยยยยยยยยยยย
หน้าเต็งหนึ่งแดงเถือกจนเพื่อนสองคนหันมามองแล้วเป่าปากแซว
“เชรดดด เขินไรนักหนา แดงไปถึงฝ่าตีนแล้วไอ้เหี้ยหนึ่ง”
“เชี่ยก๊อตหุบปากเลยมึง”
“กูสองคนเป็นเพื่อนเต็งหนึ่ง แล้วมึงล่ะเป็นอะไรกับมัน”
แมทสวนกลางป้อง ตาเรียวใต้แว่นกรอบดำหนาฉายแววสนุก
“…”
“เป็นแฟนกู จบ เลิกแซวด้วยพวกมึง ไปโว้ยทำงาน”
ดันหลังเพื่อนสองคนออกไป
ทิ้งเป็นเอกไว้…กับใบหน้าซีดที่ขึ้นสีเรื่อและหัวใจเต้นแรง
นั่งอ่านการ์ตูนไปจนเกือบครบห้าเล่มเต็งหนึ่งก็กลับเข้ามาพร้อมใบหน้าเลอะคราบน้ำมันเครื่อง มือหนึ่งถือไขควงขนาดใหญ่
“เอก ไปซื้อของให้หน่อยได้ปะวะ พวกกูออกไม่ได้สักคน”
“เอาอะไร”
“กระทิงแดงสิบขวด อ่ะกุญแจรถ”
วางรีโมทรถแล้วเดินตัวปลิวออกไป
ตาคมมองคนที่ยังจ้องรีโมทรถยนต์ในห้องกระจกแล้วคิดว่าตัวเองตัดสินใจถูกแล้ว เป็นเอกควรตัดสินใจเรื่องนี้ด้วยตัวเอง ถ้ามันพร้อมมันก็
ขับ ถ้าไม่พร้อมมันก็จะบอกเอง
คนเราทุกคนต้องมีจุดที่ต้องผ่านไปให้ได้ด้วยตัวเอง
รู้ตัวอีกทีกระป๋องเย็นๆก็แนบลงที่แก้ม
“เฮ้ย ตกใจหมด ไปซื้อมาแล้วหรอ”
“อือ”
เขยิบออกมาวางกระป๋องและถุงเซเว่นบนโต๊ะ กระทิงแดงสิบกระป๋องพร้อมขนมอีกเพียบ
รีโมทลัมโบกินี่วางลงข้างถุงขนม
คนไปซื้อเดินกลับเข้าไปที่ห้อง
เป็นเอก…ในจุดที่เปิดใจมากกว่าเดิม
“เอก ส่งไขควงตรงกระป๋องแดงให้กูหน่อย”
“อือ”
“เชี่ยแมทใช้แฟนกูหรอ”
แกล้งโวยไปงั้น
เป็นออกอ่านการ์ตูนจบหมดเลยมานั่งข้างนอกดูผู้ชายสิบคนสุมหัวทำงาน สุดท้ายก็เลยกลายเป็นลูกมือคนใหม่แทนสก๊อตที่กลับไปแล้ว
“อย่าฝืนนะมึง”
พยักหน้าเข้าใจ
แต่คนถามไม่วางใจ…เลยลุกขึ้นเดินไปนั่งลงข้างๆ เอาหน้าผากเข้าไปแนบหน้าผากอีกคน จะใช้มือก็ไม่ได้มีแต่เขม่าน้ำมันเครื่อง
“ยังมีไข้นะ”
“เฮ้ยๆ มดกัดดดดดดดดด”
ฮากระจาย…
ถึงจะเขินแต่ก็รู้สึกดี เป็นเอกก็ดูเข้ากับแมทได้ดี นั่งคุยเงียบๆกันสองคนด้วยซ้ำบางที ไม่รู้ทำไมรู้สึกเหมือนบรรยากาศสองคนนี้มันเหมือน…คนสปีชี่เดียวกันในบางที
เต็งหนึ่งสะบัดหัวไล่ความคิดแปลกๆ ไอ้แมทมันไม่ได้เงียบเหมือนไอ้เอกสักหน่อย
พักงานที่สี่ทุ่มกว่า สิบชีวิตบวกเป็นเอกเลยตัดสินใจไปกินข้าวหลังมอ ใกล้ร้านเหล้าประจำแต่วันนี้ไม่มีใครอยากกินเหล้าทั้งนั้น เหนื่อยล้าเกินกว่าจะเมา
“เชรดดดดดด ลัมโบกินี่ เฮ้ยกูว่ารื้อเครื่องลัมโบมาใส่ฟอมูล่าเราเหอะ รับรองชนะ”
“เออความคิดดี รื้อเลยแล้วกัน”
“เออกูเห็นด้วย ซื้อใหม่คืนไอ้เอกมันด้วยนะ”
รับมุกเพื่อนก่อนจะตบหน้าตาย
“โห รถหรูว่ะ ไอ้หนึ่งได้เป็นตุ๊กตาหน้ารถลัมโบ เชรดดด อิจฉาวาสนาตูดเพื่อนจริงๆ เอกถนอมๆเพื่อนพวกกูหน่อยนะ ฮ่าๆ”
จากเกร็งๆก็เริ่มสนิทกัน
“ได้”
รับมุกหน้านิ่ง
ตูดมึงมากกว่ามั้งไอ้เอกกกกก
“พอเลย แม่ง ไปแดกข้าวโว้ย”
ไปถึงร้านก็เข้าไปนั่งแชร์แอร์เย็นๆคุยกันโล้งเล้งดังลั่นร้าน แต่ก็ไม่มีปัญหาเพราะร้านใกล้ปิดแล้วตอนนี้ก็มีแค่โต๊ะนี้โต๊ะเดียว พออาหารวางครบความเงียบก็ครอบงำทันที
คนทั้งโต๊ะก็ต้องแอบขำเพื่อนหน้าโหดที่มีคนหน้านิ่งกว่าคอยตักกับข้าวให้
แมทมองแล้วยิ้มขำความเคยชินของคู่นี้…หลังจากถามเป็นเอกจนรู้ว่าคบกันมาห้าปีแล้ว
“มึงกินไรวะ”
“ข้าวผัดต้มยำ”
“กูกินกะเพราหมูกรอบ แต่ทำไมมันหวานจังวะ มึงหวานมั้ยวะ”
“เออโคตรหวานเลย มดเดินขึ้นจานกูแล้วเนี่ย”
“กูช่วยกระทืบมั้ย สัส!!”
“ไม่เอาเต็งหนึ่งไม่หน้าแดง ไม่เอาๆ”
ยังคงแซวกันต่อไป…
“อ้าวเป็นเอก”
เสียงจากคนที่เปิดประตูเข้ามาใหม่
“…”
แค่ผงกหัวให้ทีเดียว แต่คนคิ้วเข้มทำหน้าเซ็งทันที
“ไม่สบายหรอ หายดียังครับ”
ยิ้มน้อยๆเหมือนเดิม เดินเข้ามายกมือทาบที่หน้าผากเนียน
“เสือก”
มือหนาปัดมืออีกฝ่ายออก
ตาเรียวหันมามองด้วยความไม่พอใจแต่ปากก็ยังยิ้มเหมือนเดิม
“อย่าลืมกินยาล่ะ พี่ไปก่อน”
จิพลิกมือกลับมาลูบหัวเป็นเอกเบาๆก่อนจะเดินผ่านเข้าไปที่เคาน์เตอร์
เต็งหนึ่งลุกขึ้นจะตามไปแต่เพื่อนข้างตัวดึงให้นั่งลง
“อย่าๆ ช่วงนี้อย่ามีเรื่องเลยมึง”
“แม่งเอ้ย”
หงุดหงิด…หันไปมองไอ้คนหน้านิ่งมันก็ทำหน้าไม่เข้าใจ
“ไปให้เขาจับอีกละ”
“ไม่ได้ให้”
เออก็เห็นว่ามันจับเอง แต่อารมณ์พาลผสมหึงมันก็ปนเปกันไปมา
“เฮ้ยหนึ่งใจเย็นๆ”
แมทช่วยปราม
“แม่งหมดอารมณ์แดก กูกลับละ”
หยิบกระเป๋าตังวางแบงค์ร้อยก่อนจะลากกันออกมา
เป็นเอกถอนหายใจมองคนที่ขับรถด้วยความเร็วสูง คำสบถหลุดออกมาหลายครั้ง
“หนึ่ง”
“อย่าพึ่ง… กูไม่ได้โกรธมึง กูหงุดหงิดมัน”
“…”
“กูรู้ว่ามึงไม่ได้ชอบมันหรอก แต่มันอารมณ์แบบ… หงุดหงิดที่มีใครมายุ่งกับมึง เข้าใจปะวะ?”
“เขาไม่ได้ชอบกู”
“ไอ้เหี้ยยยยยยยยย คนตาบอดก็ดูออก ไม่ชอบบ้าไรแตะมึงอยู่ได้ ห้ามนะห้าม คราวหลังมึงโยกหัวหลบเลย”
กว่าจะถึงคอนโดเป็นเอกก็ฟังสารพัดข้อห้ามของเต็งหนึ่งจนสรุปได้แค่ … หึงสุดๆ
ความหึงของเต็งหนึ่งทำให้ทุกวันเวลาสี่ทุ่มจะมีคนหน้าเครียดในชุดชอปเลอะๆมานั่งอยู่ไม่ไกลจากเวทีรอรับแฟนตัวเองกลับบ้าน
อันที่จริงละครเวทีของมหาลัยปีนี้ก็ทำน่าสนุกอยู่เหมือนกัน เพราะเอาเรื่องเจ้าหญิงนิทราฉบับมาเลฟิเซนต์มาทำ เน้นความรักของแม่มดต่อเจ้าหญิง
ซึ่งคนรับบทเจ้าหญิงคือ พะแพง ดาวคณะเศรษฐศาสตร์ปี 2 ที่ทั้งร้องทั้งเต้นได้เก่งมาก ขนาดใส่แค่ชุดซ้อมยังดูแล้วเพลินตา แต่ไอ้ที่ขัดหูขัดตาคือไอ้บ้าที่มายืนกอดอกอยู่ข้างๆคนเล่นเปียโนนี่แหละ! เป็นฝ่ายดูแลเสียง(เป็นเอกบอก) แล้วเสียงเดียวจากเรื่องนี้ก็คือเปียโน มันจะมีฝ่ายนี้ทำบ้าไร ไอ้เอกมันเล่นเป็นอยู่แล้ว!!!!
ไอ้ปุ้นมันก็คงหล่อพอตัวถึงได้รับบทเจ้าชาย แม้เจ้าชายเรื่องนี้จะออกมาแค่ท้ายๆเรื่องก็เหอะ
เสียงโทรศัพท์ดึงความสนใจกลับมาที่มือถือ
“ว่าไงแมท”
“หนึ่ง…กูรถชนว่ะ แม่งเอ้ย !! ขับซะเบียดกูตกถนน”
“เอ้าไอ้เหี้ยอยู่ไหนเนี่ย”
“ทางประตูเหนือ”
“แล้วไปทำไรเส้นนั้นวะ?”
หอไอ้แมทออกประตูตะวันออกใกล้กว่าชัดๆ ประตูเหนือดึกๆทางโคตรเปลี่ยว
“กูมาส่งจิ๊บ”
สาวเศรษฐศาสตร์ที่แมทจีบ
“เออเดี๋ยวกูไปตอนนี้เลย มึงเคลียกับคนชนมึงยัง”
“แม่งชิ่ง มาไวๆนะ… แว่นกูแตก มองไม่เห็นเหี้ยไรเลย”
วางสาย เต็งหนึ่งเดินไปที่เวที
“เอกๆ”
เสียงตะโกนทะลุกลางป้องทำเอาชะงักทั้งเวที เพราะนักแสดงกำลังซ้อมกับเปียโนจริงครั้งแรก
“โทษที… เดี๋ยวกูมา ไอ้แมทรถชน”
“ไปด้วย”
เป็นเอกลุกขึ้น
“ซ้อมไปก่อนก็ได้ เดี๋ยวกูไปเอง แปปเดียวเดี๋ยวมา”
ไม่อยากให้เสียงาน
“อือ”
“อย่ากังวลนะเป็นเอก ไม่มีอะไรหรอก”
คิ้วขมวดเพราะไอ้บ้าฝ่ายเสียงดันวางมือบนลาดไหล่ของเป็นเอก ทำมาปลอบให้เหี้ยจิ!!
บิดเวสป้ามาตามทางประตูเหนือจนพ้นเขตมหาลัยไปไม่ไกลก็เจอฟีโน่ล้มอยู่พร้อมเจ้าของรถที่นั่งขัดสมาธิอยู่ข้างซากรถ
เศษแว่นแตกกระจายอยู่ข้างตัว หน้าขาวๆของแมทมีแต่รอยถลอก ข้อศอก หัวเข่า สมบุกสมบันได้ที่
“เหี้ยเอ้ย ซวยชิบหายเพื่อนกู”
“เออแม่งโคตรเจ็บ กูหมดแรงเหี้ยๆจะยกรถขึ้นยังไม่ได้”
เต็งหนึ่งดึงแมทขึ้นยืนก่อนจะเอารถขึ้นต่อ
“แล้วเอาไง มึงขับต่อไม่ไหวแน่ๆ เดี๋ยวกูโทรเรียกไอ้พลมาช่วยแล้วกัน หอมันอยู่ไม่ไกล”
“อือ เอาไงก็ได้ กูเบลอไปหมดละ”
แมททิ้งตัวนั่งบนเบาะเวสป้าปล่อยให้เต็งหนึ่งจัดการทุกอย่าง เกือบครึ่งชั่วโมงเพื่อนร่วมชั้นปีก็พากันมา ทั้งถามไถ่อาการ บอกให้ไปหาหมอแล้วก็รับปากจะเอารถไปเข้าอู่ให้
“ขอบใจพวกมึงมากนะเว่ย”
“เพื่อนกันน่า”
ห้าทุ่มกว่าเข้าไปแล้วแมทก็ดึงดันไม่อยากไปโรงพยาบาลเพราะรู้ว่าเป็นเอกรอเพื่อนตัวเองอยู่ เลยต่อรองว่าไปรับเป็นเอกแล้วค่อยไปโรงบาล เพราะเลือดก็ไม่ได้โชกแค่ถลอกไปทั้งตัว
ถึงหอประชุมคราวนี้คนเจ็บก็ต้องรีบกระชากแขนเพื่อนไว้เพราะมาเจอภาพเป็นเอกถูกดึงมือเข้าไปกุมไว้ พยายามดึงออกแล้วแต่อีกฝ่ายก็ยังปั้นยิ้มไม่ยอมปล่อย สองคนยื้อกันอยู่ข้างเวที
“แมทปล่อยกู”
เสียงเรียบกว่าที่เคย
“หนึ่งมึงใจเย็น”
“กูใจร้อนหรอ”
หันมามองเพื่อน
คนมองกลืนน้ำลาย ไม่เคยเห็นเพื่อนตัวเองหน้านิ่งได้ขนาดนี้
“มึงจะต้องไม่มีเรื่องที่นี่ หอประชุมกลางนะเว่ย”
“อือ”
แมทกลอกตาแต่ก็ยอมปล่อยเพื่อน โดยตัวเองเดินตามไปแม้สภาพจะไม่เอื้ออำนวย
“เฮ้ยมึงอ่ะ ไปฟัดกับหมาที่ไหนมา”
ร่างสูงหัวฟูหน้ากวนเข้ามายืนขวางซะก่อน
“ไอ้เชี่ยหลบ”
“ไม่หลบ เอาหน้ามึงมาดูดิ๊ โวะ มีแต่แผล”
แมทถลึงตาใส่เมื่อไอ้ปุ้นมันเล่นถลกชายเสื้อมันขึ้นมาถูหน้าเขา แถมล็อคคอไม่ให้ดิ้น
“ไอ้สัสปล่อยโว้ย”
“ห่า มานี่กูจะพาไปโรงบาล”
“เฮ้ยเดี๋ยว”
“พี่ๆ ผมไปละ บาย”
“อ้าวไอ้ปุ้นมึงมาซ้อมอีกฉากก่อนโว้ย”
“ไม่ซ้อมแล้วโว้ย กูง่วง!!!”
เอวัง…
เต็งหนึ่งหัวสมองว่างเปล่า ตาจ้องไปที่ข้อมือซีดที่ถูกรั้งไว้…
มันพยายามดึงออกจนเห็นรอยแดงชัดที่ข้อมือ…
ไอ้จิมันทำเป็นเอกข้อมือแดง…
แถมยังยิ้มยียวน…
มือกำแน่นขึ้นทุกฝีเก้าที่เดินเข้าไปใกล้…
ใกล้พอจนไอ้จิหันมาเลิกคิ้วยิ้มค้าง…
ใกล้พอที่เป็นเอกจะหันมามอง…
ใกล้พอที่เป็นเอกจะสะบัดข้อมือหลุดแล้วเข้ามากอดไว้แน่น…
“หนึ่ง… หนึ่ง”
เสียงกระซิบพร้อมแรงดันให้ถอยหลัง
“ปล่อย”
“หนึ่ง…”
“ปล่อยกู”
เสียงบดกรามดังชัดข้างใบหูซีด
“หนึ่ง…กลับกัน…กลับบ้านเรา”
เป็นเอกพยายามฝืนต้านแรงอีกฝ่าย…ถ้าปล่อยตอนนี้พี่จิตายแน่ หน้าคนคิ้วเข้มเหมือนจะไปฆ่าคน
“ทำไมวะเอก… ทำไมกูต้องเห็นมันแตะมึงตลอด”
เต็งหนึ่งหยุดพยายามก้าวไปข้างหน้า แค่ยืนนิ่งตาจ้องไปที่คู่กรณีที่ยิ้มเก้อมองมา
“กูบอกมึงว่ากูเข้าใจว่ามึงไม่ได้ชอบมัน แต่ทำไมต้องยอมให้มันจับวะ มึงสลัดไม่ได้หรอ กูมานั่งเฝ้ามึงขนาดนี้ แสดงออกชัดขนาดนี้มันยังไม่เข้าใจหรอ”
“….”
“กูรู้ว่ามึงไม่ค่อยพูด… มันคงไม่เข้าใจเวลามึงจะสื่ออะไร…แต่มึงพยายามบอกมันหน่อยได้มั้ย…ว่าอย่ามายุ่งกับมึง…เพราะกูไม่อยากเห็นมึงห้ามกูไม่ให้กระทืบมันอีกแล้ว”
“หนึ่ง…”
“มันเหมือน…มึงกลัวมันตายมากกว่ากูตายอีก”
“ไม่ใช่แบบนั้น”
“กูไปรอข้างนอก ซ้อมเสร็จก็ออกมาแล้วกัน”
เต็งหนึ่งดันร่างอีกคนออกเล็กน้อย ก่อนจะหันหลังเดินออกมา
มือซีดยกขึ้นเสยผมตัวเองมองแผ่นหลังอีกฝ่าย ก่อนจะถอนหายใจหนักๆ
“พี่ทำให้เกิดปัญหาอะไรหรือเปล่าครับ”
จิเดินมาถามทั้งที่ยังคงยิ้มเหมือนเดิม
“….”
ไม่ตอบแค่เดินขึ้นเวทีไปหยิบโน้ตเพลงแล้วเดินออกไป
“เจอกันพรุ่งนี้นะเป็นเอก”
เสียงตะโกนไล่หลังดังตามมา
= =================================================== =
มาอัพตอนหกโมงเช้า -...- คึคึ