ตอนที่ 21“หม่าม้าเดี๋ยวผมไปตามน้าปานก่อนนะครับ โทรหาไม่ติดเลย” อาตี๋ธีหน้ามุ่ยคุยกับคนเป็นแม่เสียงนุ่มจนคนฟังแบบผมอดจะอมยิ้มไม่ได้ เพราะเอ็นดูตี๋น้อยยามอยู่กับหม่าม้าที่ดูเป็นเด็กน่ารักขึ้นมาทันตา
“ไม่ต้องหรอกครับ พี่ให้คนไปตามดีกว่า” ผมเสนอให้คนไปตามคนขับรถเพราะไม่อยากให้ธีเหนื่อยต้องเดินไปเองและที่สำคัญยังอยากเห็นหน้าอาตี๋น้อยอยู่ครับ
“ไม่ต้องๆ ผมไปตามเองดีกว่า เดี๋ยวไม่ทันมื้อเที่ยงของหม่าม้า อาเตี่ยก็รออยู่ด้วย” อาตี๋หน้าขาวปฏิเสธผมทันทีก่อนเดินออกไปที่ประตู สายตาผมจับจ้องตามหลังร่างสูงโปร่งที่วิ่งเหยาะๆจากไป และผมต้องหันมาตามเสียงของหม่าม้าที่ดังขึ้นด้วยความไม่แน่ใจว่าที่ท่านพูดนั้นต้องการอะไรหรือรู้อะไรบ้างกันแน่
“อาตี๋เล็กของหม่าม้านี่น่าสนใจมากมั้ยในสายตาอาหมอภีม ถึงจ้องจนไม่วางตาแบบนี้” ผมมองผู้หญิงที่ผมเคารพเหมือนแม่ตัวเองที่นั่งอยู่บนรถเข็น โดยที่ผมไม่สามารถมองเห็นสายตาของท่านได้เพราะท่านมองตรงไปข้างหน้าและจับจ้องไปทางที่ธีเพิ่งเดินไป
“ผมไม่ได้ตั้งใจจะมองธีครับ แต่ผมห้ามสายตาตัวเองไม่ได้ทุกทีที่มีตี๋เล็กของหม่าม้าอยู่ใกล้ เพราะฉะนั้นผมคงยิ่งกว่าสนใจธีครับหม่าม้า” ผมตัดสินใจพูดในสิ่งที่ผมคิดเพราะผมเชื่อว่าสายตาของผู้ใหญ่ที่ผ่านโลกมาก่อนแบบหม่าม้าคงดูผมออกตั้งแต่ในห้องพักแล้วครับ และนี่ก็เป็นคำถามลองใจผมของท่าน หม่าม้าของคนที่ผมรักเงียบไปพักเดียวก็เงยหน้านิ่งๆมาสบตา
“อาหมอภีมรู้ใช่มั้ยว่าหม่าม้ารักอาตี๋เล็กมากแค่ไหน” ท่านส่งสายตาจริงจังมาให้ผมขณะพูดและจ้องรอคำตอบจากผมนิ่งเรียบ ผมจึงคลี่ยิ้มให้ท่านก่อนตอบคำถาม
“ครับผมรู้ว่าหม่าม้าและทุกคนในครอบครัวรักธีมากแค่ไหน ตัวตนของธีที่ผมรู้จักทำให้ผมรู้ว่าอาตี๋เล็กของหม่าม้าถูกเลี้ยงดูมาอย่างดีและเต็มไปด้วยความรักของคนรอบข้าง ถ้าเป็นไปได้ผมก็อยากเป็นหนึ่งในนั้นที่จะมอบความรักและสิ่งดีๆให้กับธีครับ” หม่าม้ามองหน้าผมนิ่งก่อนจะค่อยๆคลี่ยิ้มคุ้นตาส่งมาให้ผม และนี่คือสัญญาณที่ดีใช่มั้ยครับว่าท่านอาจจะให้โอกาสกับผมในการดูแลอาตี๋เล็กของท่าน
“ฮึๆ อาหมอภีมนี่เข้าใจพูดนะ ไอ้ความรักที่ว่าของอาหมอภีมคงจะคนละแบบกับของหม่าม้าล่ะซิ เฮ้อออ เรื่องแบบนี้หม่าม้าก็เป็นคนหัวสมัยใหม่พอที่จะยอมรับได้หน่า ถ้าลูกชายหม่าม้าจะรักกับเพศเดียวกัน และตัวอย่างก็มีให้เห็นจากบรรดาแฟนๆของเพื่อนอาตี๋เล็กทั้งอาหมอกัสอาหมอมิคก็น่ารักเป็นคนดีทำให้อาวินกับอาฟินมีความสุขได้ ถ้าอาตี๋จะเลือกอาหมอภีมที่ดูเป็นคนดีในสายตาของหม่าม้าก็ไม่ได้ว่าอะไร แต่ทำไมน้า อาตี๋ถึงไม่หาแฟนให้ตัวเล็กๆน่ารักๆแบบอากัสอามิคน้าเนี่ย หม่าม้าจะได้ฟัดเช้าฟัดเย็นให้ชื่นใจไปเลย ฮ่าๆๆ”
ผมที่ได้ฟังหม่าม้าพูดก็ดีใจมากครับที่ท่านเข้าใจและไม่ขัดขวางผมกับธี และประโยคหลังทำเอาผมหัวเราะตามท่านออกมา เพราะดูท่าทางท่านจะเสียดายจริงๆครับที่ผมไม่ได้เป็นแบบที่ท่านต้องการ
“ฮึๆ หม่าม้าก็ฟัดผมได้นะครับแม้ผมจะไม่ได้ตัวเล็กน่ารักแต่ผมก็ยอมครับ ผมขออนุญาตไปมาหาสู่กับตี๋เล็กของหม่าม้านะครับ” ผมส่งสายตาจริงจังมองท่านเพื่อสื่อว่าผมจริงใจกับลูกชายท่านจริงๆ หม่าม้าก็พยักหน้ายิ้มๆให้ผมก่อนพูดออกมา
“อื้ม หม่าม้าก็ไม่ว่าอะไรตามใจลูกอยู่แล้วว่าจะเลือกใคร แต่คนอื่นหม่าม้าไม่รู้ว่าจะยอมรับอาหมอภีมได้รึเปล่านะ ฮึๆ” ท่านคงต้องการขู่และเตือนผมไปในตัวครับ มันเป็นเรื่องจริงที่ผมยังต้องพิสูจน์ตัวเองให้คนในครอบครัวธีเห็นอีกมากและต้องฝ่าฟันอีกหลายด้านเพื่ออาตี๋ธีของผมครับ
“ครับ ผมจะขอพิสูจน์ตัวเองว่าผมจริงใจกับอาตี๋เล็กของทุกคนแค่ไหนครับ” พอผมพูดจบหม่าม้าคนสวยก็หัวเราะก้องอย่างอารมณ์ดีมีสายตาพราวถูกใจส่งตรงมาให้ผม
สายตาแบบนี้ท่าทางแบบนี้ผมผ่านด่านหม่าม้าคนสวยของตี๋น้อยแล้วใช่มั้ยครับเนี่ย ผมดีใจมากครับที่อย่างน้อยคนที่ธีรักมากที่สุดคนหนึ่งก็รับรู้และยอมรับผมได้แล้ว แม้เจ้าตัวดีของผมจะยังไม่ยอมตกลงปลงใจกับผมก็ตาม แต่ท่าทางในหลายๆครั้งของธีที่แสดงออกมาให้ผมเห็นนั้นเชื่อได้ว่าความพยายามของผมที่มีต่อธีไม่สูญเปล่าครับ และมันก็เป็นกำลังใจให้ผมต้องฝ่าฝันต่อไปเพื่อจะได้อาตี๋เล็กมาครอบครองทั้งตัวและใจ คนที่ผมคิดถึงเปิดประตูรถลงมาทำหน้ามึนงงมองหน้าผมสลับกับหน้าหม่าม้าไปมา เจ้าตัวแสบคงสงสัยล่ะมั้งครับว่าผมกับหม่าม้าคุยอะไรกันเพราะเดี๋ยวก็เครียดเดี๋ยวก็หัวเราะกัน ผมก็ส่งยิ้มกว้างไปให้ธีที่หันมามองหน้าผมพอดี ตี๋น้อยมองผมด้วยใบหน้าเฉยๆติดดุและเหมือนจะถามอะไร แต่เสียงหม่าม้าก็ขัดขึ้นซะก่อนครับ
“อาหมอภีมวันอาทิตย์นี้ว่างมั้ย ไปกินข้าวเย็นด้วยกันที่บ้านหม่าม้านะ” ผมก้มมองหน้าคนชวนด้วยสายตายินดีและส่งยิ้มกว้างก่อนตอบรับทันที แม้ไม่ว่างผมก็จะต้องทำให้ว่างครับ เสียงธีเรียกหม่าม้าตัวเองดังลั่นคงนึกไม่ถึงว่าท่านจะชวนผมเข้าบ้านน่ะครับ ผมมองหน้าอาตี๋หน้าขาวด้วยรอยยิ้มกว้างอย่างดีใจ ธีหน้ามุ่ยเตรียมค้านสิ่งที่หม่าม้าพูดแต่ต้องหยุดเพราะท่านขัดจังหวะอีกแล้วครับ แม่ลูกคู่นี้เค้าทันกันจริงๆ
“อาตี๋รถมาแล้วเราก็ไปกันเถอะ อาเตี่ยรอแย่แล้ว” ผมเข้าพยุงท่านลุกจากรถเข็นโดยมีธีมาช่วยพยุงอีกข้าง พอหม่าม้ายืนได้มั่นคงแล้วท่านก็ควงแขนเราทั้งคู่เดินไปขึ้นรถ ผมยกมือไหว้ว่าที่แม่ยายเพื่อบอกลาเมื่อท่านนั่งในรถเรียบร้อยแล้ว และหม่าม้าก็ย้ำนัดวันอาทิตย์อีกที
“เฮียคุยอะไรกับหม่าม้าผม บอกมาให้หมด” คนใจร้อนถามผมทันทีที่ผมปิดประตูรถฝั่งที่หม่าม้านั่งแล้วด้วยใบหน้าจริงจัง
“ฮึๆ ใจเย็นครับอาตี๋เล็ก เดี๋ยวพี่โทรไปเล่าให้ฟังอย่างละเอียดเลยครับ ตอนนี้รีบพาหม่าม้ากลับบ้านก่อนนะครับ” ผมใช้เสียงนุ่มเหมือนปลอบเด็กอยากใช้มือลูบแก้มเนียนตรงหน้าไปด้วย แต่ต้องระงับใจไว้ครับเพราะนี่มันหน้าตึกโรงพยาบาล
ผมจึงใช้มือแตะหลังเอวของตี๋น้อยเป็นสัญญาณให้ออกเดินไปที่อีกฝั่งที่ประตูถูกเปิดรออยู่แล้ว ตี๋น้อยที่คงเพิ่งคิดได้ว่าต้องรีบเลยออกเดินไปตามที่ผมบอกโดยไม่ได้ปัดมือผมออกจากเอว จนผมเดินตามมาส่งที่อีกฝั่งก่อนปิดประตูก็ก้มหน้ามองหน้าธีเพื่อส่งยิ้มให้และพูดโดยไม่มีเสียงย้ำว่าจะโทรหาให้รับด้วย อาตี๋ชักสีหน้าใส่ถลึงตาโตก่อนเอื้อมมือมาดันตัว
ผมออกจากรถและสั่งให้คนขับเลื่อนประตูปิดทันที
“ฮึๆ แสบจริงนะอาตี๋เล็ก” ผมมองส่งจนรถตู้ที่มีว่าที่แม่ยายและคนรักจากไปจนลับตาจึงหมุนตัวเดินกลับเข้าตึก แต่ก่อนที่ผมจะเข้าห้องพักของตัวเองก็มีเลขาของคุณพ่อมาดักรออยู่
“คุณหมอคะ คุณมินตราเรียกหาให้ไปทานข้าวกลางวันด้วยกันค่ะ” ผมพยักหน้ารับรู้แล้วเธอจึงเดินจากไป
การที่คุณแม่เรียกพบผมกะทันหันแบบนี้ต้องมีเรื่องด่วนอะไรแน่ๆครับ เพราะถ้าไม่เร่งด่วนจริงเรามักจะพูดคุยกันที่บ้านเสมอ เมื่อคิดได้ว่าเป็นเรื่องด่วนผมจึงเร่งฝีเท้าเดินไปที่ตึกบริหารเพื่อพบท่านตามที่ท่านต้องการ
................................................
“มาแล้วรึพ่อตัวดี” เสียงหวานออกแนวประชดนิดๆด้วยใบหน้ายิ้มย่องของคุณแม่ยังสาวทักผมทันทีที่ผมเปิดประตูห้องผู้อำนวยการเข้ามาได้
“ครับ คุณแม่คนสวยเรียกหาทั้งทีผมก็ต้องรีบมาอยู่แล้วครับ” ผมยิ้มกว้างให้คุณแม่มินตราคุณนายผู้อำนวยการโรงพยาบาลที่นั่งอยู่ตรงโซฟารับแขกตัวใหญ่ ก่อนหันไปยิ้มให้คุณพ่อที่นั่งทำงานที่โต๊ะอีกด้านและเดินมานั่งใกล้คุณแม่คนสวย
“แหม แม่ก็นึกว่าจะมาไม่ได้ซะแล้ว เห็นว่ากำลังยุ่งเชียว ใช่มั้ย?!” ก้นผมเพิ่งแตะโซฟาคุณแม่ก็ส่งเสียงถามทันที ผมมองสบตาแววตารู้ทันคู่สวยของคุณแม่ ก็ได้แต่ยิ้มหน้าระรื่นรู้เลยครับว่าทุกเรื่องของโรงพยาบาลนี้จะไม่มีทางรอดพ้นหูพ้นตาคุณแม่แน่นอนครับ เพราะสายสืบท่านอยู่เต็มโรงพยาบาลและยิ่งเรื่องของผมด้วยนั้นย่อมไม่พลาด
“อะไร ตาภีม! แม่ถามก็ไม่ยอมตอบ ฮึๆ ยิ้มแบบนี้รู้ใช่มั้ยว่าแม่ต้องการอะไร เล่ามาเร็ว” มาแล้วครับสีหน้าและน้ำเสียงวางอำนาจในฐานะคุณนายท่านผู้อำนวยการ ถ้าท่านใช้สีหน้าแบบนี้กับใครเมื่อไหร่คนๆนั้นจะรีบคายความจริงออกมาทันที แต่นี่เป็นผมที่เป็นลูกชายแค่มองตาก็รู้แล้วครับว่าท่านแกล้งเล่น แต่เรื่องอยากรู้นั้นเรื่องจริงครับ ผมก็ยังไม่ตอบอยากแกล้งแม่ตัวเองให้อยากรู้ขึ้นอีกนิดหน่อย
“คุณวัฒน์คะ ดูลูกชายคุณสิเอาแต่ยิ้ม มินถามตั้งนานแล้วก็ไม่ยอมตอบ ไปแอบมีแฟนไม่ยอมบอกแม่เลย” พอขู่ผมไม่ได้คุณแม่มินตราคนสวยก็หันไปฟ้องสามีตัวเองซะแล้วครับ
“ฮึๆๆ ตาภีมอย่าแกล้งเมียพ่อ บอกแม่แกเร็วๆเดี๋ยวงานจะเข้าพ่อเอาโว้ย” คุณพ่อภัควัฒน์หัวเราะกับท่าทางของภรรยาที่คงจะเริ่มงอนลูกชายตัวเอง ก่อนหันมาเร่งลูกชายอย่างผมให้ทำตามใจคุณแม่ได้แล้ว
“แม่คร้าบบบ ยังไม่ใช่แฟนหรอกผมกำลังจีบอยู่” ผมไม่อยากแกล้งแม่ตัวเองแล้วครับขืนไม่ยอมบอกดีๆจะโดนงอนยาวเดี๋ยวพานมาตัดเงินเดือนผมเอาด้วย
“อะไรตาภีม ยังไม่เป็นแฟนกันอีกเหรอทั้งๆที่พามาเดินว่อนรอบโรงพยาบาลแถมพาลูกเค้าไปนอนที่ตึกหลังกับคอนโดตัวเองเนี่ยนะ อุ๊บ!!” คุณแม่ตกใจลืมตัวพูดออกมาหมดและยกมือปิดปากแล้วครับ
ผมรู้อยู่แล้วครับว่าถ้าผมทำอะไรภายในโรงพยาบาลและคอนโดย่อมไม่รอดพ้นสายตาท่าน ดังนั้นถ้าผมไม่มั่นใจว่าธีคือคนที่ใช่ผมย่อมไม่พาอาตี๋น้อยไปที่คอนโดหรือแสดงการใกล้ชิดภายในโรงพยาบาลแน่ๆครับ เพราะผมจะโดนคุณแม่ที่รักซักจนขาวเหมือนวันนี้ ผมจึงได้แต่ส่งยิ้มไปให้คุณแม่ที่กำลังงอนแทนการตกใจเพราะผมรู้เท่าทันนั่นเอง
“ฮึๆ ผมยังไม่ได้เป็นแฟนกับ ‘ธี’ จริงๆครับ น้องยังไม่ยอมตกลงด้วยเลย นี่ผมก็พยายามจีบอยู่” คุณแม่หันมาสนใจทันทีที่ผมเริ่มพูดถึงธี จ้องตาแป๋วอย่างอยากรู้และผมได้ยินเสียงคุณพ่อหัวเราะแผ่วๆเข้าหูด้วย
คุณแม่ผมจะดูเป็นผู้ใหญ่น่าเกรงขามกับคนภายนอกเท่านั้นแต่กับสามีและลูกๆท่านกลับกลายเป็นสาวน้อยที่ทุกคนต้องคอยเอาใจ เพราะทั้งบ้านมีคุณแม่เป็นผู้หญิงคนเดียวครอบครัวผมมีกันสี่คน ผมมีน้องชายอีกคนที่กำลังเรียนมหาวิทยาลัยคณะบริหารปีสุดท้ายอยู่ครับ ดังนั้นสามหนุ่มบ้านเราจึงคอยเอาใจผู้หญิงที่เป็นที่รักของเรามากที่สุด ไม่เคยขัดใจท่านได้นานเลยครับนำทีมโดยคุณพ่อภัควัฒน์ และผมก็โชคดีที่มีท่านทั้งคู่เป็นบุพการีเพราะท่านใช้ความรักและความเข้าใจเลี้ยงลูก ผมซึ่งมีพฤติกรรมชอบเพศเดียวกันมาตั้งแต่มัธยมนั้นแรกๆก็กลุ้มใจกลัวท่านผิดหวังกับลูกชายคนโตแบบผมที่มีความเบี่ยงเบนทางเพศ ยิ่งรู้ว่าท่านรักผมมากผมก็ยิ่งกลุ้มแต่ก็ตัดสินใจคุยกับท่านทั้งสองเพราะไม่ว่าจะเรื่องอะไรผมปรึกษาพวกท่านมาตลอด ยิ่งเรื่องที่ผมรู้ใจตัวเองว่าไม่ได้ชอบผู้หญิงย่อมเป็นปัญหาที่ผมอยากได้รับคำปรึกษาจากคนที่ผมรัก เมื่อผมพูดความในใจนี้ให้ท่านรู้ท่านเงียบไปจนผมใจเสีย แต่วันนั้นก็เป็นวันที่ผมรู้ว่าความรักของพ่อแม่นั้นยิ่งใหญ่แค่ไหน นอกจากท่านจะไม่ต่อว่าผมสักคำแต่ยังคอยให้กำลังใจและประคับประคองผมที่ผิดแปลกจากผู้ชายคนอื่นมาจนถึงทุกวันนี้ ดังนั้นเรื่องของตี๋น้อยนามว่า ‘ธีรนัย’ ย่อมไม่ใช่เรื่องผิดปกติสำหรับครอบครัวที่ผมจะมีแฟนเป็นผู้ชาย แต่เป็นเรื่องให้พวกท่านแปลกใจมากกว่าเพราะถึงผมจะเคยคบกับผู้ชายแต่ไม่เคยมีครั้งไหนที่จริงจังหรือเปิดตัวได้เท่าครั้งนี้
“แสดงว่าคนนี้จริงจังใช่มั้ย แล้วน้องธีเนี่ยเป็นใครมาจากไหนและเจอกันได้ยังไงล่ะลูก” สาวสวยของผมจ้องตารอลุ้นตำตอบของผมอย่างจดจ่อ
“คุณมินครับ เราไปทานข้าวกันก่อนมั้ยเพราะลูกต้องทำงานต่อตอนบ่ายนะ หรือทานไปคุยไปด้วยก็ยังได้” คุณพ่อที่นั่งอยู่ที่โต๊ะลุกขึ้นเดินมาหาและชวนกันไปทานข้าว
คุณแม่ทำหน้าขัดใจส่งให้คุณสามีตัวเองก่อนจำใจพยักหน้าตกลง ผมกับคุณพ่อก็หันมาสบตาและยิ้มให้กันพยายามไม่ส่งเสียงหัวเราะเอ็นดูผู้เป็นภรรยาและแม่ตัวเอง เพราะจะโดนคนสวยงอนยาวได้ครับ หลังจากนั้นเราสามคนพ่อแม่ลูกก็พากันเดินไปที่โรงอาหารของโรงพยาบาลซึ่งตลอดทางก็มีเจ้าหน้าที่ยกมือไหว้ทำความเคารพไปตลอดทางเลยครับ เมื่อมาถึงโรงอาหารที่ไม่เหมือนโรงอาหารทั่วไป เพราะความโอ่อ่าหรูหราให้บรรยากาศเหมือนสวนอาหารในห้างสรรพสินค้าใหญ่ๆเสียมากกว่า และเรามีห้องอาหารแยกสำหรับผู้บริหารเป็นสัดส่วน บนโต๊ะที่เรานั่งก็พร้อมไปด้วยอาหารหน้าตาน่าทาน เมื่อเริ่มลงมือทานอาหารไปสักพักคุณแม่มินตราก็เริ่มซักผมถึงเรื่องธีอีกครั้ง และครั้งนี้ผมก็เล่าประวัติของธีและที่มาที่ไปของการพบกันของเราให้คุณแม่รับรู้ทั้งหมด
“คุณวัฒน์คะ เรื่องตาภีมเหมือนนิยายเลยเจอกันตอนเด็ก ประทับใจกัน แยกจากกัน และพรหมลิขิตก็ให้ทั้งคู่มาพบกันอีกครั้ง แหม เรื่องของเรานี่สู้ไม่ได้เลย ฮิๆๆ” เอาแล้วครับคุณแม่ช่างฝันของผมกลับมาแล้วเมื่อคิดถึงครั้งอดีตเมื่อแรกเจอกับคุณพ่อ คุณพ่อก็ส่งยิ้มหวานให้ท่านลบภาพนายแพทย์ใหญ่ที่เคร่งขรึมของท่านผู้อำนวยการโรงพยาบาลไปเลยครับ ผมก็ได้แต่ยิ้มให้กับบรรยากาศหวานแหววของพ่อแม่ตัวเอง ผมชินแล้วครับกับการแสดงความรักกันระหว่างคุณพ่อคุณแม่
“ภีมรีบจีบน้องให้ติดเร็วๆสิแม่อยากเจอน้องธีแล้ว เห็นว่าตี๋อินเทรนด์ซะด้วยใช่มั้ยคะ เดี๋ยวคนอื่นก็แย่งไปก่อนพอดี” คุณแม่หันมาพูดกับผมเมื่อส่งสายตาหวานกับคุณพ่อเสร็จแล้ว
“ผมจะพยายามเต็มที่ครับ จะพาน้องมาหาคุณพ่อคุณแม่เร็วๆนี้ครับ”
ผมให้สัญญากับคุณแม่และตัวเองว่าจะต้องพิชิตใจตี๋แสบให้ได้โดยเร็ว และผูกมัดไว้กับตัวไม่ให้ไปแอบเจ้าชู้กับใครได้อีก ไม่ว่าต้องใช้วิธีไหนก็ตาม ‘อาตี๋น้อย’ ต้องเป็นของผมคนเดียว
.....................................................................
โปรดติดตามตอนต่อไปค่ะ >O<
ใครหลายๆคนคงได้รู้แล้วเนอะว่าเฮียภีมนี่เค้าแน่มาก
กล้าบอกความในใจกับหม่าม้าของตี๋น้อย นี่ยังดีว่าหม่าม้า
ใจดีไม่ว่าอะไร แต่ขอบอกว่าคนที่เหลือเฮียต้องสู้ยิ่งกว่านี้ 555
ส่วนครอบครัวเฮียภีมนี่น่ารักเนอะ ทั้งพ่อวัฒน์แม่มินร้ากกก
ลูกชายในแบบที่เป็นมั่กมาก อีกไม่นานตี๋น้อยก็จะได้เข้าบ้าน
มาเปิดตัวตัวว่าที่พ่อแม่สามีด้วย โฮะๆ
ตอนหน้ามาตามดูค่ะว่าเมื่อตี๋น้อยคิดจะใช้คำว่า “เรา” กับเฮียภีมแล้ว
จะเกิดอะไรขึ้นบ้าง
ปล.+1ให้ทุกเม้นท์แล้วค่ะ เจอธีภีมอีกทีวันศุกร์นะคะ