พิมพ์หน้านี้ - กว่าจะเข้ากันได้ โดย เขมกันต์ [บทที่ 23 จบ] หน้า 4 - 31/05/2559 -- ย้ายได้เลยค่ะ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => นิยายที่โพสจนจบแล้ว => ข้อความที่เริ่มโดย: เขมกันต์ ที่ 22-01-2016 14:16:33

หัวข้อ: กว่าจะเข้ากันได้ โดย เขมกันต์ [บทที่ 23 จบ] หน้า 4 - 31/05/2559 -- ย้ายได้เลยค่ะ
เริ่มหัวข้อโดย: เขมกันต์ ที่ 22-01-2016 14:16:33
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทุ้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเวปไซต์ที่อ้างอิง 
  (กรณีนี้จะโพสอ้างอิงชื่อผู้โพสหรือเวปไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเวปไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสและเวปไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเวปไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพส
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี  ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข  ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้

18.ใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ






===================================


ขอบคุณทุกคอมเมนท์เลยค่ะ
ขอรวบยอดอธิบายตรงนี้นะคะ

นิยายเรื่องนี้ไม่สามารถลงตอนพิเศษได้ค่ะ เนื่องจากลิขสิทธิ์กับทางสำนักพิมพ์
ต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยค่ะ

ตอนพิเศษในเล่มมีความยาวเหมือนเรื่องสั้นเล็กๆ เล่มนึง ความยาวเกินกว่าห้าสิบหน้าเอสี่เลยล่ะค่ะ
มีไขความข้องในหลายเรื่อง เช่นสัญญาระหว่าง นักแข่ง white devil และ black sky ด้วยค่ะ

รวมถึงการรีไรท์และเพิ่มเติมเนื้อหาหลักเข้าไปด้วยค่ะ ที่ทำให้ตัวละครมีเหตุผล มีมิติ มีที่มาที่ไปมากขึ้น
โดยเฉพาะตัวละครอย่างภูสิตาค่ะ

ทั้งนี้ปกก็เสร็จเรียบร้อยมาสักพักใหญ่แล้วค่ะ แต่ยังไม่มีกำหนดจากทาง สนพ เลยค่ะ จะพิมพ์เป็นรูปเล่มเมื่อไหร่
ถ้าได้รายละเอียดเพิ่มเติม เขมจะนำมาแจ้งให้ทราบนะคะ

อวดรูปปกด้วยเลยละกัน


http://oi68.tinypic.com/k0om6d.jpg (http://oi68.tinypic.com/k0om6d.jpg)

ด้วยรัก
เขมกันต์






-----------------========== กว่าจะเข้ากันได้ โดย เขมกันต์ ==========-----------------


บทนำ

   "อ้าว นี่จะออกไปไหนอีก สิตา" เสียงทุ้มเอ่ยถามอย่างแปลกใจเมื่อเปิดประตูห้องเข้ามาเจอภูสิตายืนอยู่หน้าประตู พอดีกับหญิงสาวที่กำลังจะออกไปข้างนอก

   "ไปทำธุระน่ะค่ะ พี่ธนา" เสียงไม่ใส ไม่แหลมเกินไปนัก ตอบกลับทันทีที่พี่ชายถาม

   "ธุระอะไรกันตอนเย็น พี่เพิ่งไปรับน้องภูมาจากเตรียมอนุบาล มารับน้องภูไปนอนก่อนสิ" ภูธนาบอกน้องสาวให้ทำหน้าที่แม่ให้เรียบร้อยเสียก่อน

   "ไม่เอาล่ะ เดี๋ยวจะสาย พี่พาน้องภูไปนอนเองเถอะ อ้อ หนูทำกับข้าวให้แล้ว อย่าลืมป้อนข้าวหลานด้วยนะ หนูไปละ" พูดจบหญิงสาวรีบออกจากประตูไปโดยเร็วเกรงว่าพี่ชายจะท้วงได้ทัน

   ภูธนา ส่ายหน้าเบาๆ ให้กับพฤติกรรมของน้องสาว พร้อมมองเด็กน้อยในอ้อมแขนที่กำลังหลับอย่างเอ็นดูก่อนจะค่อยๆ วางเด็กน้อยลงบนโซฟาอย่างเบามือ

   ภูธนา ชายหนุ่มวัย 27 ปี มีพี่น้องทั้งหมดสามคนคือ ภูตะวัน พี่ชายคนโต ตัวเขาเองคนกลาง ภูธนา และน้องสาวคนเล็กอย่างภูสิตา เมื่อ3 ปีที่แล้ว บ้านของเขาเกิดภาวะล้มละลายเพราะพ่อแม่ติดการพนัน ทำให้พวกเขาต้องขายบ้านที่อาศัยมาตั้งแต่เล็กและย้ายมาอยู่ห้องเช่าแห่งนี้กับน้องสาวและหลานอีกหนึ่งคน


   เหตุการณ์ครั้งนั้น พ่อแม่และพี่ชายของเขาหนีไปด้วยกัน ปล่อยให้เขาต้องแบกรับปัญหาทั้งหมดเอาไว้ด้วยวัย 23 ปี ในเวลานั้น ชีวิตเขาที่เพิ่งจะเข้าสู่วงการนักแสดงเพียงไม่นานกลับต้องตกต่ำลงเพราะข่าวเรื่อง    การล้มละลาย ผู้ว่าจ้างหลายรายไม่กล้าจ้างเพราะเป็นห่วงในชื่อเสียงตนเอง สำหรับยัยสิตาจริงๆ แล้วก็ไม่ได้อยากอยู่กับตัวเขาเองหรอก เพียงแต่ตอนนั้นตั้งท้องอ่อนๆ จึงไม่สามารถหนีไปกับพ่อแม่ได้ ภูสิตาเลยต้องอยู่กับเขาเรื่อยมา จนกระทั่งคลอดลูกชาย หญิงสาวจึงตั้งชื่อลูกว่า     ภูบดินทร์หรือน้องภู


   "ลุงธนาฮะ น้องภูหิวข้าว" เสียงใสดังขึ้นในความเงียบ ความคิดของเขาหยุดชะงักลงทันที

   "น้องภู ตื่นแล้วเหรอครับ ไปอาบน้ำกันก่อนนะ แล้วเดี๋ยวเราค่อยมาทานข้าวกันนะ"

   "คุณลุง แล้วแม่ไปไหนล่ะฮะ" หลังจากที่เด็กน้อยกวาดตามองไปรอบๆ ห้อง

   "คุณแม่ไปทำธุระครับ ไปอาบน้ำกับลุงก่อน น้องภูจะได้ทานข้าวเร็วๆ ไงครับ" ชายหนุ่มพูดพลางเบนความสนใจของเด็กน้อย คำพูดนี้ดูจะได้ผล เพราะเด็กน้อยยิ้มตาหยีก่อนจะรีบวิ่งไปห้องน้ำอย่างรวดเร็ว

   "มาช้าจริงๆ นะยัยสิตา" เสียงแหลมที่นั่งอยู่เอ่ยดังขึ้นเมื่อเห็นภูสิตาเดินเข้าไปในร้านอาหาร

   "โอ้ย นี่ก็รีบสุดๆ แล้วนะ แต่พอดีพี่ธนาดันกลับมาก่อน" ภูสิตาโอดครวญให้เพื่อนเห็นใจก่อนที่จะบ่นไปมากกว่านี้

   "เออๆ รู้แล้ว นี่กินอะไรมาหรือยัง" อิงธาร เอ่ยถามด้วยความเป็นห่วงที่เห็นเพื่อนยกแก้วน้ำดื่มรวดเดียวหมด

   "ช่างเถอะ ว่าแต่โทรมาว่ามีเรื่องด่วน นี่มีเรื่องอะไร"

   "สิตา แกจำคุณบดินทร์ได้มั้ย" เรื่องที่อิงธารพูดออกมาทำเอา      ภูสิตาชะงักมือที่กำลังจะหยิบขนมเข้าปาก ก่อนจะวางมือแล้วมองหน้าเพื่อนอย่างเต็มตา

   "จำได้ ทำไมล่ะ"

   "ฉันได้ยินมาว่า เขากำลังตามหาแกและลูกอยู่น่ะสิ"

   "ตามหาฉันกับตาภู ตามหาทำไมกัน เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าฉันท้อง"    ภูสิตาถามกลับอย่างไม่แน่ใจ เพราะเรื่องของภูบดินทร์นั้นแทบไม่มีใครรู้นอกจากครอบครัวและเพื่อนสนิทอย่างอิงธารคนนี้คนเดียว

   "ฉันก็ไม่รู้ว่าเขาไปรู้มาจากไหน แต่ดูเหมือนจะเริ่มตามหาแกกับลูกมาได้เกือบเดือนแล้ว"

   "ยัยอิง แกแน่ใจนะว่าไม่ใช่ข่าวมั่ว" ภูสิตาถามกลับด้วยความตื่นเต้น

   "แน่ยิ่งกว่าแน่ กรองมาเรียบร้อยย่ะ" อิงธารพูดด้วยน้ำเสียงที่เต็ม  ไปด้วยความมั่นใจ

   " ถ้าคุณบดินทร์จะมาเอาลูกไป ฉันคงไม่ติดใจอะไร ดีเสียอีก ลูกเป็นภาระจะตาย จะทำอะไรก็ทำไม่ได้ พี่ธนาก็คอยพูดบ่นฉันทุกวันเรื่อง ตาภู เอาแกไปเลี้ยงได้ก็ดี แต่ปัญหาใหญ่ น่าจะเป็นพี่ธนาที่ไม่ยอมแน่ๆ "  ภูสิตาแทบจะนั่งอยู่ไม่สุข เพราะรู้ว่าภูธนารักหลาน หวงหลานยิ่งกว่าอะไร

   "ฉันเป็นห่วงแกนะยัยสิตา เลยรีบมาบอกก่อนจะได้เตรียมตัวไว้แต่เนิ่นๆ"

หัวข้อ: Re: กว่าจะเข้ากันได้ โดย เขมกันต์ [บทนำ]
เริ่มหัวข้อโดย: เขมกันต์ ที่ 22-01-2016 14:22:44
        "ขอบใจแกมากนะ เรื่องนี้ฉันคงต้องหาทางพูดกับพี่ธนาก่อน" หญิงสาวพูดพลางปลงตกกับเรื่องราวที่เพื่อนนั้นเล่าให้ฟัง



   4 ปีก่อน

   "สิตา ทางนี้" อิงธารตะโกนเรียกเพื่อนเมื่อเห็นภูสิตาเดินเข้ามาในผับที่กำลังเปิดเพลงเสียงดังอึกกระทึก

   ภูสิตาพยายามมองหาโต๊ะที่เพื่อนอยู่ แต่ภายในนี้มืดและแสงสีวูบวาบไปหมดทำให้มองไม่ค่อยชัดเท่าไหร่นัก ร่างสูงโปร่งที่กำลังเดินเข้าไปและมองหาเพื่อนไปด้วย ทำให้ไปชนกับชายหนุ่มที่ยืนอยู่ที่โต๊ะ

   "อุ้ย ขอโทษค่ะ พอดีไม่เห็นน่ะค่ะ" หญิงสาวเอ่ยปากขอโทษทันทีด้วยน้ำเสียงออดอ้อน พร้อมค่อยๆ ช้อนตามองชายหนุ่ม

   "ไม่เป็นไรครับ คุณไม่เป็นไรใช่มั้ย"

   "ค่ะ ไม่เป็นไร ขอบคุณมากนะคะ ฉันชื่อภูสิตาค่ะ เรียกสิตาก็ได้ค่ะ" เมื่อชายหนุ่มไม่สานต่อ หญิงสาวจำเป็นต้องเดินเรื่องต่อด้วยตัวเอง

   "ดีแล้วล่ะครับ" พูดเพียงเท่านั้นก็หันกลับไปยังโต๊ะของตัวเอง

   "แหม สิตาแนะนำตัวไปแล้ว คุณจะไม่บอกชื่อกับสิตาหน่อยเหรอคะ"

   "อ้อ โทษทีครับ ผมบดินทร์ครับ"

   "คุณบดินทร์นั่นเอง ยินดีที่ได้รู้จักค่ะ" พร้อมยื่นมือออกไป

   "ครับ เช่นกัน" ชายหนุ่มก้มมองมือที่ยื่นมาตรงหน้า ครั้นหากไม่ตอบรับคงจะดูเป็นการหักหน้าเกินไป จึงยื่นมือออกไปจับเป็นพิธีแล้วรีบปล่อย แต่กลับถูกภูสิตายึดมือเอาไว้แน่น

   "ยังไงแล้ว สิตาขอตัวไปหาเพื่อนที่โต๊ะโน้นก่อนนะคะ" พูดจบภูสิตาค่อยๆ คลายมือแล้วชี้ไปทางโต๊ะที่เพื่อนนั่งอยู่ก่อนแล้วให้ชายหนุ่มเห็น บดินทร์ตอบรับโดยการพยักหน้ารับรู้เบาๆ

   "กว่าจะเดินมาถึงโต๊ะนะ ยัยสิตา ฉันก็นึกว่าแกจะไม่เห็น" เสียงเพื่อนสาวอิงธารค่อนขอดเพื่อน  เมื่อเห็นว่าที่มาโต๊ะช้านั้น มัวแต่หยุดทักทายโต๊ะด้านหน้า

   "เจอผู้ชายก็ต้องหยุดทักทาย หว่านสเน่ห์หน่อยสิ คืนนี้ฉันต้องได้ผู้ชายคนนี้" ภูสิตาพูดพลางยักไหล่มั่นใจในรูปร่างหน้าตาของตนเอง

   และด้วยเล่ห์กลพร้อมมายาร้อยเล่มเกวียน ที่ภูสิตามี คืนนั้นบดินทร์ก็ไม่สามารถรอดพ้นไปได้  "ช้าๆ นะคะ ค่อยๆ เข้าไปในห้องนะคะ คุณบดินทร์คะ คุณดูเมามากจริงๆ ดื่มไปเยอะสินะคะ" ภูสิตาค่อยๆ ประคองชายหนุ่มเข้าไปในห้องในโรงแรมที่ตนเองมาใช้บริการอยู่เป็นประจำ


   ฝ่ายชายหนุ่มไม่ตอบเพราะถึงเตียงนอนพอดี ร่างสูงล้มตัวลงนอนบนเตียงใหญ่โดยไม่สนใจภูสิตาที่คอยช่วยประคองมาตลอดทาง ภูสิตาดูท่าทีแล้วกลัวจะไม่ได้การ หากปล่อยไปแบบนี้คืนนี้คงจะต้องเสียเวลาเปล่า ไร้ประโยชน์ที่อุตส่าห์แบกชายหนุ่มขี้นห้อง  หญิงสาวไม่รอช้ารีบถอดเสื้อผ้าของชายหนุ่มแล้วตามด้วยของตนเองทันที


   บดินทร์รู้สึกกึ่งฝันกึ่งตื่น เขาฝันว่ากำลังมีความสุขอยู่บนเตียงกับ ผู้หญิงคนหนึ่งโดยที่เขาไม่รู้จักชื่อ เอ.. หรือว่าจะรู้จักนะ เพราะหน้าตาเจ้าหล่อนดูคุ้นเหมือนว่าเคยพบเจอที่ไหนมาก่อน แต่ก็ช่างเถอะความรู้สึกมันกำลังดีทีเดียวล่ะ


   แต่บดินทร์ก็ไม่ได้สงสัยว่าเขาฝันหรือว่าเป็นเรื่องจริงอีกต่อไปเมื่อพบว่าเขาตื่นมาพร้อมกับหัวที่ปวดจนแทบระเบิด เมื่อคืนเขาดื่มหนักมากจริงๆ แฟนสาวที่คบกันมานาน 8 ปี บอกเลิกเขาอย่างกระทันหันเพราะ ผู้หญิงที่เขารักมากคนนั้นกำลังท้องลูกของคนอื่น เพื่อนของเขากลัวว่าเขาจะคิดมากและเสียใจจึงพาเขาออกมาเที่ยวที่ผับแห่งหนึ่งเมื่อวาน



   จนกระทั่งเขาได้พบกับหญิงสาว ชื่ออะไรนะ คิดสิ ผู้หญิงคนนั้นชื่ออะไรนะ

   อ้อ ภูสิตา นั่นเอง


   ใช่ ต้องยอมรับว่าเธอนั้นสวย มีสเน่ห์ รูปร่างก็น่าสนใจ เมื่อคืนนี้เขาถึงกับฝันว่าได้มีสัมพันธ์กับเธอ น่าละอายใจเสียจริง นี่เขาเพิ่งเลิกกับแฟนสาวที่รักนะ แค่ชั่วข้ามคืนฝันถึงคนอื่นได้อย่างไร

   แต่เดี๋ยวก่อน ที่นี่ไม่ใช่ห้องนอนของเขา ที่นี่คือที่ไหน สงสัยเมื่อคืนเขาคงเมาหนักมากจริงๆ แม้กระทั่งบ้านช่องก็ยังหาทางกลับไม่ถูก       ชายหนุ่มจึงมองไปรอบๆ ห้อง การตกแต่งที่นี่ค่อนข้างเรียบง่ายเหมือนโรงแรมมากกว่าจะเป็นบ้าน หรือว่าที่นี่จะเป็นโรงแรมจริงๆ


   มันอย่างไรกันแน่นะ เขารีบลุกออกจากเตียงทันที ผลจากการรีบลุกทำให้ตาพร่าไปชั่วขณะ ชายหนุ่มรีบหลับตาให้พื้นห้องหายโคลงเคลงก่อนจะค่อยๆ ลืมตาขึ้นใหม่อีกครั้งและพบว่าเขายืนอยู่กลางห้องโดยไม่มีเสื้อผ้าติดตัวเลยสักชิ้น
   ชายหนุ่มไม่ต้องสงสัยนานเมื่อสายตาเหลือบไปเห็นกระดาษโน้ตสีขาวของโรงแรม


   "ฉันกลับก่อนนะคะ อย่าลืมจ่ายค่าห้องด้วย เมื่อคืนฉันมีความสุขมากค่ะ จาก ภูสิตา"

   บิงโก !! แจ่มแจ้ม ชัดเจน เมื่อคืนนี้เขาไม่ได้ฝันไป แต่มันคือเรื่องจริง แล้วจะเป็นอะไรมั้ย มันคือสัมพันธ์เพียงชั่วข้ามคืนเหรอ เขาต้อง      รับผิดชอบมั้ยหรือต้องทำอย่างไร

   ชายหนุ่มรีบแต่งตัวอย่างรวดเร็วแล้วรีบโทรศัพท์หาเพื่อนสนิทโดยด่วน  "ว่าไง ไอ้ดิน เมื่อคืนไงวะ ดีมั้ย อย่างแจ่มเลยนะมึง" สัญญาณโทรศัพท์ดังไม่นานพฤฒธาก็รับสายและพูดเสียยาวในคราวเดียว

   "ดีอะไรวะ เมื่อคืนกูเมา แล้วมึงทำไมปล่อยให้กูไปกับเขาได้ยังไง ทำไมไม่พากูไปส่งบ้าน" พอสบหาจังหวะได้ บดินทร์ก็รีบต่อว่าเพื่อนทันที

   "ใครบอกมึงว่ากูไม่พยายามจะพามึงไปส่งบ้าน แต่มึงเองไม่ใช่หรือไง ที่จะไปกับเขาน่ะ ไอ้นี่ พอสร่างเมาทำจำไม่ได้นะเว้ย" พฤฒธาย้อนกลับมาอย่างไม่ยอมแพ้

   "ไม่มีทาง กูจะไปกับเขาได้อย่างไร"

   "จะมีทางหรือไม่มี มึงก็ไปกับเขาแล้ว ว่าแต่อย่างไร ดีมั้ยวะ ท่าทางน่าจะไม่ธรรมดาอยู่นะมึง" พฤฒธายังไม่ลืมคำถามครั้งแรกที่ถามไป

   "ยุ่ง เรื่องของกู เออกูมีเรื่องจะปรึกษามึงหน่อย"

   "อย่าบอกกูนะว่าเรื่องที่มึงอยากปรึกษาเพราะคุณบดินทร์ไปสนใจน้องผู้หญิงคนนั้นเข้าให้ซะแล้ว"

   "เปล่า ไม่ใช่เว้ย เมื่อคืนกูกับเขาคงจะมีอะไรกันจริงนั่นแหละ แต่กูไม่เคยทำแบบนี้กับใครเลยนะ กูต้องรับผิดชอบน้องเขามั้ยวะหรือต้องทำอย่างไร กูไม่รู้ว่ะ"

   "โอ้ย คิดว่าเรื่องอะไร ไม่ต้องหรอกมึง ของแบบนี้เขารู้กันหมดแหละว่า คืนเดียวได้กันก็จากกันไป คืนต่อไปก็หาคนใหม่นอนด้วย อ่อนจริงๆ ว่ะมึง"

   "เออๆ อย่างนั้นก็ดีแล้วว่ะ กูนี่ใจหายวาบกลัวได้รับผิดชอบจริงๆ ขอบใจมากเว้ย แค่นี้แหละ" บดินทร์พูดจบก็ตัดบทวางสายไปทันที

   "อ้าว เฮ้ย ไอ้ดิน ไอ้นี่ บทจะวางก็วางเลยแฮะ ตกลงเลยไม่รู้เลยว่าน้องคนนั้นสรุปว่าโอเคมั้ย" พฤฒธาบ่นพึมพำกับตัวเองก่อนที่จะนอนต่อ



Talk :.

สวัสดีค่ะ นิยายเรื่องนี้เป็นนิยายที่ลงเล้าเป็ดเรื่องแรกนะคะ ก่อนหน้านี้เคยแต่งฟิคชั่นมาบ้าง แต่ก็นานมากแล้วค่ะ
ขอฝากเนื้อฝากตัวกับเรื่องใหม่นี้ด้วยนะคะ

เนื้อเรื่องช่วงแรกจะเน้นไปทางภูมิหลังตัวละครก่อนนะคะ อาจจะดูอืด เฉื่อย ไปบ้าง แต่หลังจากนั้นรับรองว่าจะเข้มข้นขึ้นแน่นอนค่ะ

ด้วยรัก
เขมกันต์

หัวข้อ: Re: กว่าจะเข้ากันได้ โดย เขมกันต์ [บทนำ]
เริ่มหัวข้อโดย: monoii ที่ 22-01-2016 16:00:42
รอตอนต่อไป มาต่อเร็วๆน๊า
หัวข้อ: Re: กว่าจะเข้ากันได้ โดย เขมกันต์ [บทนำ]
เริ่มหัวข้อโดย: yisren. ที่ 22-01-2016 16:08:11
เรื่องของคุณลุงกับคุณพ่อใช่มั้ยคะ แฮ่ๆ รอๆๆ น่าสนใจดีค่ะ
หัวข้อ: Re: กว่าจะเข้ากันได้ โดย เขมกันต์ [บทนำ]
เริ่มหัวข้อโดย: เขมกันต์ ที่ 23-01-2016 00:13:06
เรื่องของคุณลุงกับคุณพ่อใช่มั้ยคะ แฮ่ๆ รอๆๆ น่าสนใจดีค่ะ

มารอลุ้นด้วยกันนะคะ   :mew1:
หัวข้อ: Re: กว่าจะเข้ากันได้ โดย เขมกันต์ [บทนำ]
เริ่มหัวข้อโดย: เขมกันต์ ที่ 23-01-2016 00:13:57
รอตอนต่อไป มาต่อเร็วๆน๊า

ค่าา :z2:
หัวข้อ: Re: กว่าจะเข้ากันได้ โดย เขมกันต์ [บทนำ]
เริ่มหัวข้อโดย: เขมกันต์ ที่ 23-01-2016 10:36:14
บทที่ 1 หนี้



                "กลับมาแล้วเหรอ"  ภูธนาหันไปมองประตูเมื่อได้ยินเสียงไขกุญแจเข้ามา เขาเหลือบมองนาฬิกาบนฝาผนัง พบว่าเป็นเวลาสองทุ่ม       

                "วันนี้กลับเร็วนะ ยัยสิตา"

                "แหม พี่ธนา ใจคอจะไม่ให้หนูทำหน้าที่แม่ที่ดีหน่อยเหรอคะ"

                "ไม่ทันแล้วล่ะมั้ง ตาหนูนอนหลับเรียบร้อยแล้ว อย่าทำเสียงดังล่ะ" ภูธนายิ้มให้น้องสาวอย่างรู้ทันว่าเจ้าตัวไม่ได้หมายความจริงๆ อย่างที่พูด

                "ค่ะ รู้แล้วล่ะค่ะ แล้วนี่พี่ทำอะไรอยู่" หญิงสาวชะโงกหน้ามองเข้าไปที่จอโน้ตบุคที่พี่ชายกำลังจ้องอยู่นั้น


                "สมัครงานน่ะ"


                "อ้อ งั้นหนูไม่กวนดีกว่า ขอตัวไปนอนก่อนนะคะ" ภูสิตาลอบมองแผ่นหลังพี่ชายอีกครั้ง ก่อนที่จะเดินเข้าห้องของตนไปพร้อมครุ่นคิดเรื่องที่ได้ฟังมาจากเพื่อนในวันนี้




                ภูธนากำลังขะมักเขม้นกับเวบไซต์หางานอย่างใจจดใจจ่อ เขาพยายามสมัครงานหลายที่แล้ว แต่ก็แทบไม่มีที่ไหนติดต่อกลับมาเลย ถึงแม้เขาจะเคยโลดแล่นอยู่ในวงการบันเทิง แต่ช่วงนั้นก็ไม่ได้มีงานเข้ามามากมายเหมือนกับดาราคนอื่นๆ ด้วยความที่เขาเข้าวงการมาไม่นาน เงินเก็บที่มีจึงยังไม่มากมายอะไร ประกอบกับพ่อแม่ของเขาก็มีหนี้สินไว้มากถึงจะถูกศาลสั่งฟ้องเป็นบุคคลล้มละลาย แต่หนี้นอกระบบนั้นไม่ได้หมดไปด้วย




                ในช่วงวัย 23 ปีของเขานั้น เขาจึงต้องนำเงินเก็บมาจ่ายให้กับพวกหนี้นอกระบบและทำงานแทบทุกอย่างเท่าที่จะมีคนจ้าง แต่นานเข้า แทนที่จะมีงานเข้ามาเหมือนดาราคนอื่น กลับไม่มีงานที่จะติดต่อถึงเขาอีกเลย ถึงจะไม่ได้ประกาศลาออกจากวงการ แต่การที่ไม่มีงานและหายหน้าไปจากจอโทรทัศน์นั้นก็เหมือนบังคับเขาทางอ้อม




                ภูธนาจำเป็นต้องดรอปการเรียนมหาวิทยาลัยปีสุดท้ายเอาไว้แค่นั้น เพื่อแก้ไขปัญหาของครอบครัวให้สามารถผ่านช่วงเวลาที่วิกฤต เสียก่อน กว่าเขาจะกลับไปเรียนต่อให้จบ ได้ ก็ใช้เวลาไปอีก 4ปี ภูธนาค่อยมีเวลานอกเหนือจากการเลี้ยงหลานมามุ่งมั่นจนจบ เงินทองที่พอมีเก็บ ก็ใช้หมดพอดี



                แต่ปัญหาหนี้นอกระบบพ่อแม่ก่อหนี้ไว้ ก็ยังไม่หมด ยิ่งคิดก็ยิ่งกลุ้ม งานก็ยิ่งหายาก ไม่มีใครจ้างสักที อย่าหวังภูสิตาช่วยเหลือทำมาหากินเลย  แค่ไม่สร้างปัญหาหรือความวุ่นวายให้ก็นับว่าเป็นบุญโขแล้ว



 
                'เครียดโว้ย'




                2 คำ ตัวใหญ่ ปรากฎอยู่บนโน้ตแพดที่ภูธนาเขียนไว้บนหน้าจอโน้ตบุคเพื่อระบายความในใจของตัวเองออกมา เขาถอนหายใจเบาๆ ก่อนจะเลื่อนเมาส์ไปที่สัญลักษณ์กากบาทสีแดง และปิดมันซะ



                ถึงอยากจะระบายปัญหาให้ใครฟัง แต่ใครล่ะจะรับฟัง เขาไม่มีเพื่อนในวงการ ไม่มีเพื่อนในมหาวิทยาลัย ชีวิตของเขามีแต่ความรีบเร่ง มีแต่การรีบหาเงินใช้หนี้ รีบกลับไปดูแลหลาน ดูแลน้องสาว เท่านี้ก็แทบไม่มีเวลาที่จะใช้ชีวิตวัยรุ่นเหมือนคนทั่วไปแล้ว
 


                แต่เขาจะยอมแพ้ไม่ได้ พรุ่งนี้ต้องดีกว่าวันนี้



 
                เช้าวันรุ่งขึ้น ภูธนารีบจับหลานรักอาบน้ำแต่งตัวเพื่อพาไปส่งโรงเรียนเตรียมอนุบาลให้ทันก่อนจะสาย

                "ไม่ดื้อไม่ซนนะครับ น้องภู ตอนเย็นลุงจะให้แม่มารับกลับบ้านนะครับ" ภูธนาก้มลงหอมแก้มเด็กชายดังฟอดก่อนจะส่งตัวหลานให้กับคุณครูที่ยืนรออยู่ก่อนแล้ว เด็กน้อยหันมาโบกมือบ๊ายบายคุณลุงก่อนจะเดินเข้าห้องเรียนไป


                หลังจากส่งหลานชายเรียบร้อยแล้ว ภูธนามุ่งหน้าไปยังร้านอาหารชื่อดังแห่งหนึ่งที่เขาทำงานเป็นผู้ช่วยพ่อครัวใหญ่ โชคดีที่พื้นเพเดิมของภูธนาเป็นคนชอบทำอาหารอยู่แล้ว และมีทักษะเรื่องรสชาติดีเยี่ยม จึงทำให้เขาผ่านการสัมภาษณ์ และทดสอบเรื่องการทำครัว จากพ่อครัวใหญ่ได้ไม่ยากนัก



                ที่นี่เปิดโอกาสให้เขาได้ลองทำอาหารหลากหลายสัญชาติ และได้ฝึกปรือฝีมือเพิ่มขึ้น ภูธนาชื่นชอบมากที่ได้มีโอกาสมาทำงานที่ร้านนี้ เพื่อนๆ ในครัวก็ให้ความเป็นมิตรกับเขา ส่วนภูธนาเองก็ให้ความช่วยเหลือกับทุกคนเท่าที่เขาจะทำได้  แต่ก็ไม่ได้ให้ความสนิทกับทุกคนจนเกินไปนัก



                ภูธนากลับบ้านตรงเวลาทุกครั้ง ซึ่งพนักงานในครัว ต่างก็รู้ดีว่าชายหนุ่มนั้นมีภาระที่ต้องเลี้ยงดูหลานชาย และ น้องสาว  หลายๆ ครั้งที่ภูธนา สามารถนำอาหาร ขนม กลับมาทานที่บ้านได้ อยู่เสมอๆ ทำให้ชายหนุ่มประหยัดค่าอาหารมื้อเย็นได้ค่อนข้างบ่อยทีเดียว



                "วันนี้ มาเร็วเชียวนะ ธนา" หัวหน้าพ่อครัวเอ่ยทักเมื่อเห็นภูธนาเดินเข้ามาในครัวกำลังสวมหมวกและผ้ากันเปื้อนอยู่

                "อ้อ ครับ พอดีวันนี้ผมไปส่งน้องภูที่โรงเรียนเร็วก็เลยตรงมาที่ร้านเลย"

                "ได้ยิน ในครัวเขาพูดกันว่าตอนนี้นายเรียนจบแล้วใช่มั้ย"

                "ใช่ครับ จบแล้ว" เสียงทุ้มเอ่ยตอบเรียบๆ พลางล้างจานที่อยู่ภายในครัว

                "ดีแล้วล่ะ แล้วคิดจะทำอะไรต่อ จะไปทำงานด้านที่เรียนมาหรือเปล่า" พ่อครัวใหญ่ตะโกนถามเสียงดังเพราะกำลังผัดปูผัดผงกะหรี่

                "ก็กำลังมองหาอยู่บ้างครับ แต่ผมก็อายุเยอะแล้ว อาจจะแก่เกินไปสำหรับการเริ่มทำงานในบริษัท ก็เลยไม่มีที่ไหนติดต่อกลับมาเลย" ภูธนาตะโกนตอบกลับ

                "คิดอะไรอย่างนั้นกัน ยังหนุ่มยังแน่นแท้ๆ" ภูธนาไม่ตอบอะไรอีก เขาก้มหน้าก้มตาล้างผักสดต่อ





หัวข้อ: Re: กว่าจะเข้ากันได้ โดย เขมกันต์ [บทนำ]
เริ่มหัวข้อโดย: เขมกันต์ ที่ 23-01-2016 10:42:44
                ช่วงพักเที่ยงภูธนาเดินออกมานอกร้าน พร้อมกับเดินดูร้านรวงต่างๆ เพื่อคลายความอุดอู้ตลอดช่วงเช้าที่อยู่ภายในครัว ชายหนุ่มเดินตามทางมาเรื่อยๆ จนกระทั่งเดินเข้าไปในร้านโมเดลแห่งหนึ่ง


                รถยนต์ โดยเฉพาะรถแข่งเป็นสิ่งที่เขาชื่นชอบมาก ก่อนหน้าที่จะเกิดปัญหาสถานะทางการเงิน ภูธนาสะสมโมเดลรถหลายรุ่น หลายสี และหลายแบบมาก บางรุ่นซื้อซ้ำ เจ้าตัวก็ไม่ได้สนใจ สะสมเพิ่มไปเรื่อยๆ แต่วันนี้โมเดลเหล่านั้นเขาต้องขายมันไปทั้งหมด เหลือเพียงคันเดียว รุ่นที่เขาชอบมากที่สุด



   
  'เวนอม จีที  (Venom GT)'



                "เอ้า ว่าไง คุณ มาดูโมเดลรถเหรอ" เจ้าของร้านส่งเสียงร้องทักเมื่อเห็นชายหนุ่มเดินเข้ามาในร้าน

                "ครับ" ชายหนุ่มเดินไปที่มุมประจำของเขา แต่คิ้วดกหนาต้องเลิกคิ้วขึ้นอย่างแปลกใจ "เอ่อ โมเดลที่ผมขายให้พี่ ขายไปแล้วเหรอครับ"

                "ใช่ๆ พี่ลืมบอกเลย วันก่อนมีลูกค้าคนนึงมาซื้อไปหมด และเลือกแต่เซตที่คุณเอามาขายต่อให้ผมทั้งหมดเลยนะ แถมยังถามผมว่ามีอีกมั้ย ท่าทางคงจะชอบเหมือนคุณเลยล่ะ"

                "งั้นเหรอครับ ก็ดีแล้วถ้ามันได้ไปอยู่กับคนที่รักมันอย่างแท้จริง ขอบคุณนะครับ" ภูธนายิ้มบางๆ ให้กับเจ้าของร้านก่อนจะขอตัวออกมา



                ร้านนี้ภูธนาเดินมาแทบทุกวันที่มีเวลาว่าง  ถึงแม้จะขายโมเดลรถไป แต่เจ้าของร้านก็ใจดีอนุญาตให้เข้ามาดูรถได้ตลอดเพราะรู้ว่าชายหนุ่มตัดใจขายมันเพราะความจำเป็นจริงๆ หลังจากนี้คงไม่ได้เห็นโมเดลที่รักอีกแล้ว แต่ก็ช่างเถอะ หากมีโอกาสเขาจะหาทางซื้อมาสะสมใหม่ให้ได้



                ภูสิตาตื่นมาอีกครั้งพบว่าเป็นเวลาเที่ยงพอดี หญิงสาวตื่นขึ้นมาเจอข้อความที่พี่ชายเขียนไว้บนโต๊ะอาหารว่า


       
         'ไปรับน้องภูที่โรงเรียนแทนพี่ด้วย วันนี้พี่เลิกดึก ทำโอที ไม่ต้องรอนะ
                                                                                                  ภูธนา'


                หญิงสาวหยิบกระดาษโน้ตขึ้นมาอ่านข้อความอีกครั้ง คิ้วเรียวสวยขมวดครุ่นคิดไปถึงเรื่องเมื่อวาน เธอเองยังหาโอกาสเหมาะๆที่จะบอกพี่ชายเรื่องพ่อน้องภูไม่ได้ และยังไม่กล้าที่จะบอกด้วย ภูสิตากลัวใจพี่ชายเหลือเกินว่าจะไม่ให้ภูบดินทร์ไปอยู่กับพ่อ




                ภูสิตาไม่ใช่ว่าจะไม่รักภูบดินทร์ แต่เธอยังอายุไม่มาก ชีวิตสนุกสนานของเธอยังไม่สิ้นสุด เธอไม่พร้อมแบกภาระเป็นคุณแม่ยังสาว ถึงภูธนาจะจิตใจดี น้อยคำก็ไม่เคยว่าเรื่องที่เธอท้อง แต่พี่ชายก็ต้องทำงานอย่างหนัก เพื่อให้เธอและลูกมีความเป็นอยู่อย่างไม่ลำบากมากนัก



                ถึงกระนั้นภูสิตาก็ยังรักตัวเองอยู่ค่อนข้างมาก ครั้นจะให้เธอออกไปทำงานช่วยเหลือพี่ชาย เห็นทีจะทำไม่ได้หรอก เธอหน้าบางเกินกว่าจะออกไปทำงานได้เงินเพียงไม่กี่สตางค์ เธอยังห่วงเที่ยว และห่วงสบาย


                บ่าย 2 โมง ภูสิตาแต่งตัวออกจากห้อง พร้อมโบกแทกซี่เพื่อไปรับลูกชายตามที่ภูธนาสั่งไว้


                "น้องภู แม่มารับแล้ว" หญิงสาวเดินไปที่หน้าห้องของเด็กชายพร้อมส่งเสียงเรียก เมื่อเห็นว่าภูบดินทร์กำลังง่วนอยู่กับของเล่นที่วางเรียงรายอยู่ตรงหน้า

                "แม่ แม่มารับน้องภูเหรอฮะ ดีใจจังเลย" เด็กชายตะโกนเสียงดังเมื่อเห็นว่าใครมารับตนเองในวันนี้ น้อยครั้งที่ภูสิตาจะมารับถ้าไม่ถูกภูธนาสั่งให้มา ก็ต้องถูกลากมาพร้อมกัน

                "ค้าบ ดีใจมั้ย เดี๋ยวเราแวะซื้อขนม แล้วกลับบ้านกันนะ"

                "ดีใจฮะ แล้วลุงธนาล่ะ" เสียวเล็กๆ เอ่ยถามถึงภูธนาเมื่อพยายามชะเง้อมองหาแล้วไม่เจอ

                "วันนี้คุณลุงทำงานเลิกดึก แม่เลยมารับไง" หญิงสาวพูดพร้อมกับจูงมือเด็กน้อยออกจากโรงเรียน พร้อมกับแวะซื้อขนมอีก 2-3 อย่างหน้าโรงเรียนและโบกแทกซี่กลับบ้าน



                2 แม่ลูกเดินคุยมาตลอดทางระหว่างทางเดินขึ้นห้อง แต่ต้องหยุดชะงักลงเมื่อเห็นว่ามีผู้ชายคนหนึ่ง รูปร่างสูงใหญ่ ไว้หนวดเครารกรุงรังเต็มใบหน้า ยืนอยู่หน้าห้อง หญิงสาวรู้สึกถึงความไม่ปลอดภัย เลยรีบจูงมือภูบดินทร์และหันหลังกลับหมายจะไปที่ลิฟท์และออกจากคอนโดแห่งนี้



                ผู้ชายคนนั้นสังเกตเห็นเสียก่อน เขารีบวิ่งมากระชากแขนของ  ภูสิตา หญิงสาวตกใจมาก ดวงตาเรียวสวยเบิกกว้าง เตรียมจะส่งเสียงกรีดร้อง แต่ถูกมือสากปิดปากเอาไว้เสียก่อน เสียงจึงไม่หลุดรอดออกมา แขนเล็กของภูสิตารีบกอดภูบดินทร์เข้าไว้กับอกตนเองอย่างหวาดกลัว



                "แกชื่อภูสิตาใช่มั้ย" เสียงใหญ่ของชายหนุ่มกระโชกถามอย่างไม่เป็นมิตร ภูสิตาส่ายหน้าเป็นพัลวันทั้งที่ยังถูกปิดปาก

                "อย่ามาโกหก ฉันรู้จักแก" ภูสิตาส่ายหน้าอีกครั้ง ดวงตาเต็มไปน้ำตาคลอหน่วย เพราะเธอไม่รู้จักผู้ชายตรงหน้านี้เลยแม้แต่น้อย เธอไม่รู้ ว่าผู้ชายคนนี้ต้องการอะไรจากเธอ

                "บอกพี่ชายแกด้วยว่า รีบหาเงินมาใช้หนี้ซะ ไม่งั้นพวกแกจะเจอของจริง แล้วนี่ฝากเป็นมัดจำไว้ก่อนละกัน" พูดจบมือใหญ่หนาก็สะบัดข้อมือเหวี่ยงเข้ากับใบหน้านวลทันที หญิงสาวโดนตบอย่างเต็มแรง ร่างโปร่งล้มฟุบลงกับพื้นทันที

                "อย่าทำฉันเลยนะ ฉันกลัวแล้ว ฉันจะบอกพี่ให้นะ อย่าทำฉันเลย" หญิงสาวร้องขอด้วยเสียงสั่น มือเล็กรีบกอดกระชับลูกชายแน่นขึ้นไปอีก

                "แม่เป็นไรมั้ยฮะ น้องภูกลัวฮะแม่" เด็กชายกอดแม่ไว้แน่น ร้องไห้จ้าด้วยความกลัว

                "ไม่เป็นไรนะลูก แม่อยู่นี่แล้ว" ภูสิตาหันไปปลอบลูกอีกครั้งก่อนจะเงยหน้าขึ้นไปมองชายตรงหน้าด้วยความกลัว

                "ถ้าแกลืม อย่าหาว่าฉันไม่เตือน" ชายหนุ่มสั่งเสียอีกครั้งก่อนจะเดินจากไป



                ภูสิตารีบลุกขึ้นพาภูบดินทร์เข้าห้องอย่างรวดเร็ว รีบลอคประตูห้องอย่างแน่นหนา เธอยกเก้าอี้ตรงโต๊ะทานข้าวมาวางขวางตรงหน้าประตูเพิ่มด้วยเกรงว่าผู้ชายน่ากลัวคนนั้นจะกลับมาอีก




                "จะทำไงดี พี่ช่วยหนูด้วย หนูจะทำยังไงดี" ภูสิตาพึมพำเบาๆ กับตัวเองอีกครั้งก่อนที่จะสลัดความกลัวนั้นรีบเข้าไปปลอบภูบดินทร์ให้หายเสียขวัญเสียก่อน เพราะเด็กชายยังร้องไห้ไม่หยุดคงกลัวมากจริงๆ




Talk :.

     ตอนแรกมาแล้วนะคะ ^^ ขอบคุณสำหรับคอมเมนท์ด้วยนะคะ ช่วงนี้อาจจะลงเร็วหน่อย เพราะมีแต่งล่วงหน้าเอาไว้อยู่อีก 2-3 ตอนค่ะ 

     สำหรับเรื่องนี้ ติชมกันได้เลยนะคะ จะนำไปปรับปรุงให้ดียิ่งขึ้นเลยค่ะ

     ขอบคุณค่ะ    :mew1: :mew1: :mew1: :mew1: :mew1:


ด้วยรัก
เขมกันต์
หัวข้อ: Re: กว่าจะเข้ากันได้ โดย เขมกันต์ [บทที่ 1 หนี้]
เริ่มหัวข้อโดย: Alice111 ที่ 23-01-2016 10:56:22
มาเจิมเรื่องใหม่น่าสนใจน่าติดตามจร๊า รอตอนต่อไป :mc4: :mc4:
หัวข้อ: Re: กว่าจะเข้ากันได้ โดย เขมกันต์ [บทที่ 1 หนี้]
เริ่มหัวข้อโดย: cheezett ที่ 23-01-2016 12:23:31
ติดตามจ้าา มาต่อบ่อยๆน้า  :mew1:  :pig4:
หัวข้อ: Re: กว่าจะเข้ากันได้ โดย เขมกันต์ [บทที่ 1 หนี้]
เริ่มหัวข้อโดย: zombi ที่ 23-01-2016 12:52:00
น้องภูต้องเข้มแข็ง ปกป้องแม่และลุงนะลูก
หัวข้อ: Re: กว่าจะเข้ากันได้ โดย เขมกันต์ [บทที่ 1 หนี้]
เริ่มหัวข้อโดย: monoii ที่ 23-01-2016 13:09:26
อู้ยยยยย  ตอนใหม่มาเร็วดีจัง

มีเฟสม่ะ จะได้ตาม จะได้รู้ว่าตอนใหม่มาแว้วววว
หัวข้อ: Re: กว่าจะเข้ากันได้ โดย เขมกันต์ [บทที่ 1 หนี้]
เริ่มหัวข้อโดย: kkmm ที่ 23-01-2016 20:21:55
มารอครับ เป็นกำชังใจให้ครับ
หัวข้อ: Re: กว่าจะเข้ากันได้ โดย เขมกันต์ [บทที่ 1 หนี้]
เริ่มหัวข้อโดย: kun ที่ 23-01-2016 20:42:56
มารอลุ้นจ้า
หัวข้อ: Re: กว่าจะเข้ากันได้ โดย เขมกันต์ [บทที่ 1 หนี้]
เริ่มหัวข้อโดย: เขมกันต์ ที่ 24-01-2016 21:35:38
บทที่ 2 รู้ข่าว

   ร่างสูงโปร่งยืนหน้าประตูห้องด้วยความสูง 178 เซนติเมตร มือยาวเรียวกำลังไขกุญแจเข้าไป ประตูเปิดออกกว้างและปิดลงอีกครั้งอย่างเบามือเพราะกลัวหลานตัวเล็กๆ จะตื่นขึ้นมาในตอนกลางคืน


   ภูธนาวางกระเป๋าและกุญแจห้องบนโต๊ะอาหารก่อนจะเหลือบไปเห็นภูสิตาที่นั่งดูทีวีอยู่ แต่สายตาของหญิงสาวไม่ได้สนใจกับภาพเคลื่อนไหวตรงหน้านี้เลย


   "สิตา ยังไม่นอนเหรอ แล้วน้องภูล่ะ" ภูธนาถามน้องสาวเสียงไม่ดังนัก ขาคู่ยาวเดินไปที่ตู้เย็นตรงมุมครัวเล็กๆ ของห้อง ชายหนุ่มรินน้ำจน เต็มแก้ว ก่อนจะยกดื่มรวดเดียวหมดด้วยความกระหาย

   "สิตา ได้ยินพี่หรือเปล่า" ภูธนาวางแก้วน้ำลงในอ่างล้างจาน แล้ว จึงเดินมายังหน้าทีวีที่ภูสิตานั่งอยู่ มือขาวสะกิดหัวไหล่ของน้องสาวเบาๆ เป็นเชิงเรียก

   "อ้ะ ตกใจหมดพี่ธนา เข้ามาไม่ให้สุ้มไม่ให้เสียง" ภูสิตาส่งเสียงบ่นพี่ชาย ท่าทางดูตกอกตกใจจริงๆ ภูธนาได้แต่มองด้วยความงุนงงว่าภูสิตาเป็นอะไร

   "เป็นอะไรไปน่ะ สิตา ดูท่าทางแปลกๆ"

   "วันนี้ พะ พวกทวงหนี้มาดักยืนรอหน้าประตูห้องของเราค่ะ" ภูสิตาละล่ำละลักออกมา  ใบหน้าสวยยังก้มหน้าก้มตาไม่ยอมเงยขึ้นมาสบตาพี่ชาย

   "อะไรนะ แล้วนี่แกกับน้องภูเป็นอะไรหรือเปล่า" ภูธนารีบจับแขน ภูสิตายกขึ้นดู พลิกซ้ายพลิกขวาให้แน่ใจ

   "หนูกับน้องภูไม่เป็นไรค่ะ" ภูสิตาเอ่ยตอบเบาๆ ด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ

   "ไม่เป็นไรแน่นะ" ภูธนาถามย้ำ

   "ค่ะ ไม่เป็นไร"

   "ถ้าไม่เป็นไร แล้วทำไมไม่มองหน้าพี่ล่ะ" ไม่รอช้า ชายหนุ่มจับใบหน้าของภูสิตาให้เงยขึ้นมาเพื่อให้ตนเองได้มองเห็นถนัด

   "เฮ้ย นี่จะไม่เป็นไรได้ไง รอยช้ำแดงขนาดนี้ พวกมันทำอะไรแก  บอกพี่มาเดี๋ยวนี้" ภูธนาตกใจเมื่อเห็นรอยปื้นแดงช้ำเป็นรอยยาวบนใบหน้า     ของน้องสาว ภูสิตามีผิวที่ขาวอยู่แล้ว รอยแดงยิ่งเด่นชัดขึ้นไปอีก

   "หนูไม่เป็นไรจริงๆ ค่ะพี่ ตะ แต่ พะพวกมันฝากบอกว่า ให้รีบหาเงินมาใช้หนี้ซะ ไม่อย่างนั้นมันจะกลับมาอีก"

   "พี่ขอโทษนะ สิตา พี่จะพยายามหาเงินไปใช้หนี้พวกมันให้หมด   สิตากับน้องภูจะได้ไม่เจอเหตุการณ์แบบวันนี้อีก" ภูธนารู้สึกเสียใจจริงๆ ถ้าวันนี้เขาเป็นคนที่รับหน้าเอง มันคงจะดีกว่านี้ ไม่ใช่ให้ผู้หญิงและเด็กมาพบเจอเรื่องแย่ๆ แบบนี้

   "พี่ธนา หนูกลัว หนูขอร้อง เอาน้องภูไปให้พ่อเขาเถอะค่ะ"   ภูสิตาจับแขนของพี่ชายเขย่าให้ชายหนุ่มทำตามอย่างที่ขอไป

   "ดะ เดี๋ยวก่อน พูดอะไรน่ะ เอาน้องภูไปให้พ่อ พ่ออะไร พ่อที่ไหน อยู่ๆ มาพูดแบบนี้ พี่ไม่เข้าใจ"

   "คุณบดินทร์ พ่อของน้องภู เขากำลังตามหาน้องภูอยู่ค่ะ"

   "ไม่มีทาง พี่ไม่ยกน้องภูให้ใครหรอก แกแน่ใจได้ยังไงว่าคุณบดินทร์ ไรนั่นจะเป็นพ่อจริงๆ ของน้องภู แล้วเขาจะรักน้องภูเหมือนที่พี่หรือแกรักเหรอ สิตา ไม่มีวันหรอก ยังไงพี่ก็ไม่ยอมยกน้องภูให้ใครเด็ดขาด น้องคนเดียว หลานคนเดียว พี่เลี้ยงของพี่เองได้" ภูธนายืนกรานหนักแน่น เขาเลี้ยงน้องภูมาตั้งแต่เกิด รักยิ่งกว่าอะไร ใครจะมาเอาหลานไปจากเขานั้นไม่ได้


   "เมื่อวันก่อน ยัยอิงเล่าให้หนูฟังเรื่องคุณบดินทร์ค่ะ พี่ลองคิดดูนะ อย่างน้อยเราก็อาจจะได้เงินมาใช้หนี้ แล้วยังไงเราก็ยังไปหาน้องภูได้นะคะ" หญิงสาวพยายามเกลี้ยกล่อมพี่ชายอีกครั้ง


   "แกแน่ใจได้อย่างไร ว่าเขาจะยอมให้พวกเราได้เจอกับน้องภู ถ้าเขาได้ตัวน้องภูไปแล้ว หัวเด็ดตีนขาดยังไงพี่ก็ไม่ยอม แกไม่รักลูกเหรอ สิตา แกตัดใจได้อย่างนั้นเหรอ" เสียงชายหนุ่มเริ่มดังขึ้นเรื่อยๆ ด้วยความโมโห

   "พี่ธนา ฟังหนูก่อนนะคะ ไม่ใช่ว่าหนูไม่รักน้องภู แต่ปัญหาการเงินเรายังแย่ หนูไม่อยากให้น้องภูลำบาก ถ้าไปอยู่กับทางนั้น น้องภูก็จะได้รับการศึกษาที่ดี สังคมสภาพแวดล้อมที่ดีนะคะพี่" ถึงจะไม่ใช่เหตุผลหลักทั้งหมดของภูสิตา แต่วินาทีนี้ ขืนเธอบอกว่าเธอเห็นน้องภูเป็นภาระมากกว่า พี่ชายยิ่งได้หัวเสียไปกว่านี้แน่ การแสดงออกว่ารักลูกกว่าอื่นใด น่าจะเหมาะที่สุดกับสถานการณ์ในตอนนี้



   "ไว้คุยเรื่องนี้กันทีหลังแล้วกัน ตอนนี้พี่ยังตัดสินใจไม่ได้"


   "ไม่เป็นไรค่ะ อนาคตของน้องภูสำคัญที่สุดกว่าเรื่องไหนๆ ยังไง พี่ธนาลองเก็บไปคิดดูนะคะ " ภูสิตาทิ้งท้ายไว้เท่านั้น


   "อืม ก็ได้ พี่จะลองเอาไปคิดดู ส่วนเรื่องหนี้ แกไม่ต้องเป็นห่วง พี่จะหาเงินมาใช้หนี้ให้ได้"



   กลางดึกคืนนี้ ภูธนายังคิดเรื่องหนี้ไม่ตก เขาคงต้องถอนเงินในบัญชีก้อนสุดท้ายออกมาจ่ายหนี้งวดนี้ให้ผ่านไปก่อน แล้วงวดถัดไปค่อยว่ากันอีกที ถึงจะหาทางแก้ปัญหาเฉพาะหน้าได้แล้ว แต่ชายหนุ่มก็ยังนอนไม่หลับอยู่ดี



   'บดินทร์'
   


   ชื่อนี้ เขาไม่เคยได้ยินมาก่อน ภูธนาไม่เคยถามภูสิตาเลยด้วยซ้ำ   ว่าพ่อของน้องภูเป็นใคร ที่ไม่ถามไม่ใช่ว่าไม่อยากรู้ แต่กลัวว่าหากถามไปแล้วน้องสาวจะตอบว่าไม่รู้เสียมากกว่า ปล่อยให้เป็นแบบนี้ไปเรื่อยๆ นั่นแหละดีที่สุดแล้ว



   ตอนนี้ เขาได้รู้แล้วว่าบดินทร์คือพ่อของน้องภู ใจนึงก็โล่งอกที่อย่างน้อย น้องสาวก็รู้ว่าใครคือพ่อเด็ก แต่ก็ยังไม่ชัดเจนหรอกว่าใช่พ่อที่แท้จริงหรือไม่ หากบดินทร์ตามหาน้องภูเจอและต้องการรับเลี้ยงน้องภู เขาคงจำเป็นต้องทำเรื่องที่น่าละอายต่อน้องภูด้วยการไปตรวจดีเอ็นเอ ให้ชัดเจน



   ลองเอามาคิดๆ ดูแล้ว ชื่อของน้องภูก็มาจากชื่อของบดินทร์ด้วยส่วนนึง ภูธนาไม่เคยเอะใจเลยว่าชื่อที่ภูสิตาตั้งให้ลูกนั้นมาจากชื่อต้นของครอบครัวตัวเองและชื่อของพ่อเด็ก ถ้าวันที่บดินทร์ได้เจอกับน้องภู ภูธนาจะจัดการเรื่องนี้อย่างไร

   
   "ได้เรื่องมั้ยวะ ไอ้พฤฒ" เสียงทุ้มของบดินทร์กรอกเสียงลงไปในสาย

   "ใจร้อนจริง กูยังไม่ค่อยได้เรื่องอะไรมากนัก" พฤฒธาเหมือนจะเข้าใจในความหมายว่าชายหนุ่มถามเรื่องอะไร

   "ไม่มีอะไรคืบหน้าเลยเหรอวะ" น้ำเสียงของบดินทร์เริ่มดังขึ้น   ด้วยความไม่พอใจ

   "เออๆ ก็ได้มาอยู่บ้างนิดหน่อย เท่าที่รู้ตอนนี้ ลูกมึงอยู่กับภูสิตาแล้วก็ลุงอีกคนว่ะ อดีตดาราที่ชื่อภูธนา"

   "กูจะไปหาพวกเขา ตอนนี้ลูกกูอยู่ไหน "

   "ไม่รู้ว่ะ"

   "อะไรกันวะ" บดินทร์ยิ่งโมโหเพิ่มขึ้นไปอีก เมื่อเรื่องดังกล่าวดูเหมือนจะไม่ค่อยคืบหน้าอะไร

   "ใจเย็นสิครับ มึง ตอนไม่รู้เรื่องก็อยู่มาได้ตั้งนาน พอรู้เรื่องแล้วเรื่องเยอะเชียวนะมึง กูก็บอกอยู่ว่ายังไม่ค่อยได้เรื่องอะไร กูช่วยมึงอยู่แล้ว ไม่ต้องกลัวไปหรอก แต่ขอเวลาอีกหน่อย" พฤฒธาอธิบายยืดยาวอย่างใจเย็นเพราะรู้จักนิสัยของบดินทร์

   "เออๆ ขอโทษเว้ย กูใจร้อนไปหน่อย"

   "ไม่เป็นไร แต่เด็กคนนั้นน่ะ ก็ยังปักใจว่าเป็นลูกมึงไม่ได้หรอก ถ้าไม่ได้พิสูจน์ก่อน  มึงก็อย่าเพิ่งกระโตกกระตากเกินไปนัก"



   บดินทร์รู้ข่าวของภูบดินทร์เมื่อ 2 เดือนก่อน พฤฒธาไปทานอาหารที่ร้านอาหารแห่งหนึ่งและเห็นภูสิตาที่กำลังนั่งอยู่ในร้าน พฤฒธาจำภูสิตาได้เพราะหญิงสาวนั้นมีรูปร่างที่ดี งดงาม ซึ่งเป็นที่ดึงดูดตาของใคร หลายๆ คน



   ในตอนนั้นภูสิตากำลังกดมือถือเล่นอย่างเบื่อๆ ข้างกายเธอมีเด็กชายตัวน้อย แขนจ้ำม่ำ หน้าตาน่ารัก  กำลังตักอาหารเข้าปากด้วย ท่าทางเงอะงะและมีผู้ชายอีกคนหน้าตาดีในระดับนึง แต่ไม่สะดุดตาเท่า  ภูสิตา กำลังยิ้มและมองเด็กชายตัวน้อยด้วยความเอ็นดู 
   


   พฤฒธารู้สึกแปลกใจไม่น้อย ที่ภูสิตานั้นแต่งงานเร็ว แต่พอมองหน้าเด็กน้อยคนนั้น มันแปลกๆ มันคุ้นตา เหมือนเคยเห็นที่ไหนสักแห่ง พฤฒธาจึงแอบถ่ายรูปของคนทั้ง 3 คนไว้



   หลังจากนั้นพฤฒธาก็ลืมไปเสียสนิทว่าเจอใครโดยบังเอิญกะว่าจะเล่าให้บดินทร์ฟัง แต่ก็ไม่ค่อยได้เจอกันเพราะต่างคนต่างยุ่งเรื่องงานด้วยกันทั้งคู่ พฤฒธานั้นต้องเตรียมรับผิดชอบบริษัทต่อจากที่บ้าน  ส่วนบดินทร์ก็ก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งผู้บริหาร ทำให้ช่วงวัยคึกคะนองเที่ยวเตร่ เลยต้องลดลงเรื่อยๆ



   กว่าพฤฒธาจะได้เจอกับบดินทร์อีกครั้งก็ล่วงเข้ามาอีก 2 สัปดาห์ ชายหนุ่มจึงนึกขึ้นได้


   "เออ ไอ้ดิน กูลืมเล่าให้มึงฟังวะ เมื่อสัก 2 วีคก่อน กูไปเจอใครคนนึงมาโดยบังเอิญ มึงเดาหน่อย ว่าใคร" พฤฒธาอยากเล่นสนุกๆ และกวนอารมณ์ของเพื่อนด้วย

   "จะไปรู้มึงเหรอ จะเล่าก็เล่ามา ถ้าลีลาก็ไม่ต้องว่ะ" แต่บดินทร์ไม่ได้มีอารมณ์อยากเล่นด้วยเท่าไหร่นัก เพราะเมื่อ 2-3 วันก่อน แฟนเก่าที่เลิกราไปเมื่อ 4 ปีก่อน กลับโทรศัพท์มาหาเขาและบอกว่าอยากเจอ ชายหนุ่มหัวใจกระตุกวูบ


   บดินทร์ยังไม่ได้รับปากหญิงสาวไป เพราะแผลเก่านั้นยังไม่หายสนิท แผลที่หญิงสาวทิ้งเขาไปมีคนใหม่ มันยังทำร้ายจิตใจของบดินทร์อยู่


   "ก็ได้ เล่นกับมึงเนี่ย ไม่สนุกเลย ให้ตายเถอะ เออๆ กูไปเจอผู้หญิงในผับตอนนั้นที่มึงได้เขาไปน่ะ จำได้มั้ย"

   "ใครวะ ไม่เห็นจำได้" บดินทร์ไม่ได้เล่นลิ้นแต่ชายหนุ่มจำไม่ได้จริงๆ

   "สวยๆ หุ่นดีๆ อ่ะ มึงจำไม่ได้เหรอ ผ่านมากี่ปี มึงได้นอนกับใครมั้ยล่ะ"

   "ใคร กูจำไม่ได้ แล้วมึงจะบ้าหรือไง ผ่านมาตั้งนาน มึงจะให้กูจำศีลไม่นอนกับใครหรือไงวะ ไอ้นี่"

   "ตกลงจะบอกกูดีๆ มั้ยว่าใคร" ตาของบดินทร์มองฝ่ายตรงข้ามอย่างเอาเรื่อง หากพฤฒธายังลีลาอยู่อีก





Talk:.

ตอนที่ 2 มาแล้วค่ะ เรื่องราวยังเป็นเล่ากึ่งย้อนหลังอยู่นะคะ อดใจรอกันอีกนิดนะคะ  :mew1: :mew1: :mew1: :mew1: :mew1:

ขอบคุณค่ะ



ด้วยรัก
เขมกันต์

หัวข้อ: Re: กว่าจะเข้ากันได้ โดย เขมกันต์ [บทที่ 2 รู้ข่าว]
เริ่มหัวข้อโดย: mukmaoY ที่ 24-01-2016 23:43:08
น่าสนๆ
หัวข้อ: Re: กว่าจะเข้ากันได้ โดย เขมกันต์ [บทที่ 2 รู้ข่าว]
เริ่มหัวข้อโดย: yisren. ที่ 24-01-2016 23:54:27
ลุ้นๆๆๆๆ รอต่อนะคะ ลุงธนาสู้ๆ น้า
หัวข้อ: Re: กว่าจะเข้ากันได้ โดย เขมกันต์ [บทที่ 2 รู้ข่าว]
เริ่มหัวข้อโดย: monoii ที่ 25-01-2016 08:09:13
น้องภูจะโดนพรากป่าวอ่ะ สงสารคุณลุงจัง
หัวข้อ: Re: กว่าจะเข้ากันได้ โดย เขมกันต์ [บทที่ 2 รู้ข่าว]
เริ่มหัวข้อโดย: เขมกันต์ ที่ 27-01-2016 14:52:14
บทที่ 3 พบเจอ
   
   "ทำไมเพิ่งมาบอกกูวะ ไอ้พฤฒ ไม่รอให้กูตายก่อนแล้วค่อยบอกกูล่ะ" ดูเหมือนอารมณ์ของบดินทร์จะโมโหเพิ่มขึ้นไปอีก หลังจากได้ฟังเรื่องราวที่พฤฒธาได้พบเจอมาบอกต่อ


   "ก็.. กูยุ่งๆ งานที่บริษัทที่กูเตรียมรับทำช่วงต่อจากพ่อ ก็ยังไม่ค่อยจะราบรื่นเท่าไหร่"  พฤฒธาไม่ได้อยากจะแก้ตัว แต่ตัวเขาเองก็ลืมจริงๆ เพราะมัวแต่ยุ่งกับเรื่องงาน


   "มึงว่า เด็กคนนั้น จะใช่ลูกกูมั้ยวะ" บดินทร์ถามเพื่อนเหมือนจะขอความเห็น แต่ลึกๆ เจ้าตัวก็ดูออกว่า เด็กคนนั้นหน้าเหมือนเขาในวัยเด็กราวกับฝาแฝด


   "ตอนแรกกูก็แปลกใจ แต่พอเห็นหน้าเด็ก กูชักเริ่มแน่ใจว่าใช่หลานกูแน่ๆ  แต่ถึงกูจะยุ่งก็ยังพอจะให้คนของพ่อไปสืบมาแล้วนิดหน่อยว่ะ"


   "เด็กคนนั้นชื่อ ภูบดินทร์"


   บดินทร์ได้ยินถึงกับไม่เชื่อหู ชื่อที่ตั้งรวมมีชื่อของเขาเข้าไปด้วย ยิ่งเพิ่มความน่าเชื่อถือเข้าไปอีก ถึงจะบอกว่าอาจจะบังเอิญ แต่เรื่องนี้ดูยังไงแล้วเห็นทีจะไม่บังเอิญเสียแล้ว

   "กูอยากเจอภูบดินทร์ สืบเรื่องนี้ต่อให้กูทีได้มั้ย ไอ้พฤฒ"


   เรื่องผ่านมาเกือบเดือนหลังจากได้รู้ข่าวว่าเด็กคนนั้นชื่อภูบดินทร์และหน้าตาเหมือนกับบดินทร์อย่างกับแกะ วันนี้พฤฒธาสืบเพิ่มมาได้ว่า เด็กที่น่าจะเป็นลูกของเขาอยู่กับภูสิตาผู้เป็นแม่ และลุงที่ชื่อภูธนา อดีตดาราที่คนยังไม่ค่อยรู้จักมากนัก


   "ไอ้ดิน เฮ้ย มึงยังฟังกูอยู่มั้ยเนี่ย" เสียงของพฤฒธาแว่วมาจากปลายสาย ปลุกให้ชายหนุ่มหลุดพ้นจากห้วงความคิดของตัวเอง


   "เออๆ ยังอยู่ มึงว่า อยู่กับลุงอีกคนที่ชื่อภูธนา ที่เป็นดาราใช่มั้ย" เสียงทุ้มของบดินทร์ถามกลับไปเพื่อความแน่ใจอีกครั้ง


   "ใช่ ถามทำไมวะ"


   "งั้นมึงเริ่มสืบจากคนนี้ให้หน่อย น่าจะไม่ยาก ได้มั้ยวะ"


   "ได้ๆ กูจะลองให้คนของพ่อสืบต่อจากลุงของเด็ก ดูแล้วกัน ได้เรื่องอย่างไร กูจะรีบโทรมาบอก แค่นี้ก่อนนะ กูมีงานต่อ"


   "ขอบใจมากนะ ไอ้พฤฒ"


   "กูเต็มใจช่วย ถ้าเด็กคนนั้นเกิดเป็นลูกมึงจริงๆ กูก็จะได้มีหลาน เด็กนั่นก็น่าเอ็นดูไม่น้อยเลยนะเว้ย" พฤฒธาพูดจบก็วางหูเป็นอันจบบทสนทนาปล่อยให้บดินทร์ยังคิดถึงใบหน้าเด็กน้อยคนนั้นต่อไป


   
   เช้าวันรุ่งขึ้นหลังจากไปส่งภูบดินทร์ที่โรงเรียนเตรียมอนุบาลเรียบร้อยแล้ว ก็ไปทำงานที่ร้านอาหารต่อ จวบจนเที่ยงจึงรีบไปถอนเงินก้อนสุดท้ายที่ธนาคารเพื่อนำไปจ่ายให้กับคนที่มาทวงหนี้




   ระหว่างทางหลังจากจ่ายเงินใช้หนี้ไปแล้ว ชายหนุ่มยังคงครุ่นคิดหาหนทางที่จะหาเงินงวดถัดไปมาใช้หนี้ต่ออีก เขาไม่อยากให้ภูสิตาและภูบดินทร์ต้องมาพบกับเรื่องให้ตกใจอีก รู้สึกตัวอีกครั้งเมื่อโทรศัพท์ในกระเป๋าสั่นไม่หยุด ชายหนุ่มรีบหยิบโทรศัพท์ออกมาดูว่าเป็นชื่อใคร พอเห็นว่าชื่อคนที่โทรมา ภูธนาก็ยิ้มเบาๆ



   "ครับพี่" เสียงทุ้มรีบกรอกเสียงลงไปตามสายทันทีที่กดรับ


   "ไม่ได้คุยกันเสียนานนะ ธนา พี่จอม จำได้หรือเปล่า" จอมเดชแนะนำตัวอย่างเรียบง่าย


   "จำได้สิครับ ใครจะลืมพี่จอมได้ ว่าแต่พี่มีธุระหรือเปล่าครับ"


   "ก็นิดหน่อยนะ จริงๆ ก็เกรงใจธนา แต่ว่าขาดคนจริงๆ เลยคิดลองโทรมาก่อนเผื่อว่าธนาจะเปลี่ยนใจ" คนโทรมาเอ่ยพลางขอความเห็นใจ


   "เรื่องอะไรครับ ถ้าช่วยได้ ผมช่วยพี่แน่นอน" ภูธนาคิดตามที่พูดจริงๆ เพราะก่อนหน้าที่เขาจะก้าวมาเป็นดารา ก็สนิทกับจอมเดชอยู่ไม่น้อย


   "เข้าเรื่องเลยละกัน จะได้ไม่เสียเวลา พอดีมือหนึ่งของทีม ได้รับอุบัติเหตุระหว่างแข่งกะทันหัน แล้วจะมีแข่งอีกครั้งวันเสาร์ที่จะถึงนี้ พี่เองก็หาคนแทนไม่ทัน ทั้งเรื่องนี้ก็บอกใครไม่ได้อีก ถ้าพวกนักข่าวหรือคณะกรรมการรู้เข้า คงจะมีปัญหาแน่ๆ"


   "อุบัติเหตุระหว่างแข่งหรือครับ"


   "ใช่ เจ้าหมอนั่น ดันดื่มเหล้าเข้าไปก่อนการแข่งน่ะ ถึงจะดื่มไม่มาก แต่ก็คงมึนตอนเข้าโค้งรถถึงได้พลิกคว่ำไปทั้งอย่างนั้น"


   "แล้วปล่อยให้ลงไปขับได้อย่างไรกันล่ะครับ" ภูธนายังคงถามต่อไปด้วยความสงสัย


   "อืม พี่ผิดเอง วันนั้นพี่ไม่ได้ไปที่สนามแข่ง เด็กๆ ในทีมก็คงต้านเจ้านั่นไม่อยู่ ถึงจำใจให้ลงไปแข่งทั้งอย่างนั้น พอเรื่องเกิดก็ทำอะไรไม่ได้ ก็ต้องตามเช็ดตามล้างกันไป" จอมเดชถอนหายใจเบาๆ แต่ภูธนาก็ได้ยินลมหายใจนั้น ดูถ้าเจ้าตัวคงเครียดอยู่ไม่น้อย


   "อ้อ ลำบากแย่เลยนะครับ"


   "เรื่องก็เท่านี้ ว่าแต่ธนาจะพอมาแข่งให้หน่อยได้มั้ย เป็นตัวแทนให้พี่หน่อย จะเรียกว่าตัวแทนก็ไม่ถูกคงต้องเรียกว่า ตัวปลอมนั่นแหละ"


   "เอ่อ ถ้าจับได้จะยิ่งเป็นปัญหานะครับ" ภูธนาท้วงจอมเดชเรื่องความถูกต้อง


   "ถือว่าช่วยพี่หน่อยนะ หาคนแทนไม่ได้เลย งานนี้พี่ให้ค่าเหนื่อยคุ้มแน่นอน"




   ภูธนาที่กำลังสองจิตสองใจอยู่ว่าจะช่วยหรือไม่ช่วยดี ด้วยเหตุผลแรกชายหนุ่มไม่ได้ลงสนามมานานหลายปีแล้ว ตั้งแต่สมัยเข้าวงการใหม่ๆ และเหตุผลสองการทำแบบนี้มันผิดกฎแน่นอน หากถูกจับได้จะเกิดปัญหาตามมาเป็นทอดๆ แต่ความคิดเหล่านั้นต้องกระเด็นออกจากสมองไป เมื่อได้ยินเรื่องค่าเหนื่อย ค่าตอบแทน เพื่อที่จะนำไปใช้หนี้


   "ได้ครับ ช่วงนี้ผมก็ร้อนเงินเหมือนกัน แต่ผมไม่ได้ขับมานานแล้วนะครับ กลัวจะทำได้ไม่ดี" ภูธนาตกลงตอบรับแต่ก็ร้างมือเสียนาน


   "ไม่เป็นไร อีก 2 วันจะถึงวันแข่ง ธนามาซ้อมให้พี่เลยได้มั้ย ระหว่างการซ้อมพี่จะบวกเป็นโอทีให้ธนาไปเลยนะ ไม่ให้มาซ้อมฟรีๆ หรอก ตกลงมั้ย"


   ชายหนุ่มยืนคิดอยู่สักครู่จึงตอบกลับไป "ตกลงครับ งั้นผมขอสัก  4 โมงเย็นเป็นต้นไปนะครับ"


   "ได้ๆ ขอบใจธนามาก งั้นวันนี้พี่ไปรอที่สนามนะ อ้อ รถที่จะได้ลองซ้อมแล้วไปเอาแข่งจริง ธนาต้องชอบมากแน่ๆ ทางทีมเพิ่งสั่งเข้ามาเอง"


   "จริงเหรอครับ รุ่นไหนครับ" น้ำเสียงตื่นเต้นปกปิดไม่มิดเมื่อได้ยินว่าเพิ่งสั่งนำเข้ามา


   "มาถึงแล้วก็จะรู้เองน่า แล้วเจอกันนะ" จอมเดชปิดเป็นความลับไว้ก่อนที่จะวางสายไป




   ภูธนารีบไปร้านอาหารทันที ด้วยปกติแล้วชายหนุ่มทำงานตั้งแต่ 8 โมงเช้าถึง 4 โมงเย็น หากมีโอที ก็แล้วแต่ว่าลูกค้ามากหรือน้อย และหากไม่ติดอะไรชายหนุ่มจะทำโอทีอยู่เสมอๆ ดังนั้นหลังจากกลับเข้ามาจากพักเที่ยง เขาจึงแจ้งให้กับพ่อครัวใหญ่ทราบว่า 2 วันนี้จะไม่อยู่ทำโอทีเพราะมีธุระ ซึ่งพ่อครัวก็ไม่ว่าอะไร
   


   เรื่องที่จอมเดชโทรมาให้ภูธนาช่วยเหลือนั้นคือการแข่งรถ นอกจากชายหนุ่มจะชื่นชอบโมเดลรถเป็นชีวิตจิตใจแล้ว ตัวเขาเองก็ชอบแข่งรถชอบความเร็วไม่แพ้กัน ก่อนหน้าที่จะเข้าวงการบันเทิง หากมีเวลาว่างหรือมีงานแข่งรถที่ไหน จอมเดชมักจะจ้างชายหนุ่มมาเป็นนักแข่งรถให้บ่อยครั้ง จะเรียกว่าภูธนาเป็นนักแข่งอิสระก็เป็นได้



   ภูธนากับจอมเดช พบเจอในสนามแข่งรถทั่วไป ตอนที่ยังไม่เดือดร้อนเรื่องเงินภูธนาชอบขับรถที่สนามแข่งตามแต่จะมีวันว่าง จอมเดชได้เห็นฝีมือการขับของชายหนุ่มโดนบังเอิญจึงเกิดความสนใจ ติดต่อมาร่วมงานกัน ทำให้ทั้ง 2 สนิทกันไปโดยปริยาย




   ช่วงบ่ายวันนั้นภูธนาทำงานใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว เพราะตอนนี้จิตใจบินไปสนามแข่งรถเสียแล้ว เจ้าตัวตื่นเต้นเหมือนได้ของเล่นใหม่ ชีวิตความสนุกที่ไม่ได้สัมผัสมานาน
   



   "วันนี้ผมมีธุระ ไปก่อนนะครับทุกคน สวัสดีครับ" เข็มนาฬิกาแสดง 4 โมงเย็น ภูธนารีบเก็บสัมภาระที่มีอยู่ไม่กี่อย่าง บอกลากับทุกคนโดยไม่รอเสียงตอบรับจากเพื่อนร่วมงาน ภูธนาก็รีบออกจากร้านและมุ่งหน้าไปสนามแข่งรถทันที





   "มาแล้วครับ พี่จอม" ภูธนายกมือไหว้จอมเดช ไม่ว่านานเท่าไหร่  ภูธนาก็เป็นคนมือไม้อ่อน ที่ทำให้ใครต่อใครเอ็นดูชื่นชอบในตัวเขาได้ตลอด


   "สวัสดีๆ ไม่เจอเสียนาน หล่อขึ้นมาเลยนะธนา" จอมเดชเอ่ยปากชม อายุที่เปลี่ยนไปทำให้ภูธนาดูภูมิฐานขึ้นมากกว่าเดิม


   "พี่จอมก็เหมือนกันนะครับ ยังหล่อและดูดีเหมือนเดิม" ภูธนาไม่ได้ตอบเอาใจ แต่จอมเดชจัดว่าเป็นบุคคลที่ดูดี วางตัวดี และหน้าตาดีไม่แพ้ใคร สมัยที่จอมเดชยังแข่งรถก่อนจะผันตัวมาเป็นผู้จัดการทีมนั้น มีแฟนคลับทั้งสาวน้อย สาวใหญ่มากมาย


   "มัวแต่ชมกันไปมา เอ้ามาดูของใหม่กันเถอะ" จอมเดชเดินไปเข้าไปรถแข่งที่จอดอยู่ภายใน ก่อนจะดึงผ้าขึ้นเพื่อเปิดออก


   "สุดยอด พี่จอม รุ่นนี้จริงๆ เหรอพี่" ความตื่นเต้นในดวงตากลมโตของภูธนาฉายแววออกมาอย่างชัดเจนว่าเจ้าตัวรู้สึกชื่นชอบและตื่นเต้นจริงๆ กับรถคันตรงหน้า



   'เวนอม จีที ทูโทนสีดำ-ฟ้า'



   ตัวรถสีดำแต่ช่วงล่างของรถรวมไปถึงล้อนั่นเป็นสีฟ้าเข้ม รุ่นและสีที่เขาชอบและใฝ่ฝันอยากจะลองขับมาโดยตลอด ไม่คาดฝันว่าจะได้มีโอกาสแบบนี้


   "ถูกใจใช่มั้ยล่ะ แบล็คสกาย (Black Sky)" จอมเดชส่งเสียงเป็นเชิงแหย่ชายหนุ่มเมื่อเห็นว่าภูธนาดีใจราวกับเด็กๆ


   "พี่เรียกผมว่าไงนะ" ภูธนาถามกลับไปอย่างไม่เชื่อหู


   "ลืมชื่อตัวเองแล้วเหรอ แบล็ค"


   "พี่จอม โธ่ ผมไม่ได้ยินชื่อนี้มานานเท่าไหร่แล้ว" แบล็คสกายคือฉายาที่เขาใช้ในวงการแข่งรถนี้ หลังจากเลิกแข่งรถก็เลิกใช้ชื่อนี้ด้วยเช่นกัน ชายหนุ่มกลับมาเป็นภูธนาดังเดิม


   "เอาล่ะ มัวแต่ดูก็ไม่ได้เกิดอะไรขึ้นหรอก ของอย่างนี้ ไปลองขับได้แล้ว เอ้า เด็กๆ เตรียมตัว" จอมเดชยิ้มยกที่มุมปากก่อนจะหันไปสั่งเด็กในทีมให้เตรียมตัวให้พร้อม


   "ธนา เดี๋ยวนายลองขับให้คุ้นมือสัก 4-5 รอบก่อนนะแล้วค่อยเอารถมาเข้าพิท" จอมเดชหันไปบอกภูธนาอีกครั้งก่อนจะเดินไปตรวจตรารถเพื่อความปลอดภัย






   ช่วงเวลาเลิกงาน 6 โมงเย็น รถราเต็มแน่นท้องถนน ส่งผลให้การจราจรค่อนข้างหยุดชะงัก บดินทร์ชะโงกหน้าลงไปมองที่ถนนแล้วก็ส่ายหน้าเบาๆ คงต้องรอดึกกว่านี้แล้วค่อยขับรถกลับบ้าน



   เสียงเคาะกระจกหน้าห้องทำงานดังขึ้น 2-3 ครั้ง ชายหนุ่มเหลือบมองหน้าห้องก็พบกับ ชายหนุ่มใส่แว่น ผมเผ้ารุงรังปิดหน้าปิดตา เสื้อผ้าค่อนข้างยับ ยืนก้มหน้าเล็กน้อยอยู่ข้างนอก บดินทร์ยิ้มให้เบาๆ ก่อนจะเอ่ยปากอนุญาตให้เข้ามาได้



   มือขาวเปิดประตูกระจกเข้ามาเบามือ ร่างสูงราว 180 เซนติเมตรเดินเข้ามาหยุดยืนหน้าโต๊ะทำงานของชายหนุ่ม ก่อนจะสบตากับบดินทร์ มือเรียวยาว เล็บตัดมนสั้น ไม่สกปรก ยื่นตั๋วมาตรงหน้าเขา


   "อะไรน่ะ พัตเตอร์" น้ำเสียงติดจะเอ็นดูหน่อยๆ ของบดินทร์เอ่ย    ถามอย่างแปลกใจ


   "ตั๋วไปดูแข่งรถวันเสาร์ พี่ดินว่างหรือเปล่า พอดีผมได้มา 2 ใบ แต่ไม่มีเพื่อนไปดูด้วย" เสียงทุ้มน่าฟังแต่กลับพูดไม่ค่อยชัดถ้อยชัดคำเอาเสียเลย


   "เอาสิ พี่ไม่ได้ไปไหนอยู่แล้ว ว่าแต่จะกลับบ้านหรือยัง รอกลับพร้อมพี่มั้ย พัตเตอร์" บดินทร์ถามอย่างเป็นห่วงและจงใจเน้นคำว่าพัตเตอร์เป็นพิเศษ


   "ไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวผมนั่งรถไฟฟ้ากลับเอง ไปก่อนนะแล้วเจอกันที่บ้าน อ้อ แล้วเลิกเรียกผมว่าพัตเตอร์สักทีสิ พัตเฉยๆ ก็พอ อายคน ผมโตแล้วนะ" 


   "อาย เอย อะไรกัน พัตเตอร์น่ารักดีออก กลับบ้านดีๆ ล่ะ แล้วเจอกัน" บดินทร์แกล้งแหย่อย่างอารมณ์ดี






Talk :.

มาต่อสำหรับตอนที่ 3 แล้วค่ะ ^^ ตอนนี้เป็นยังไงกันบ้างคะ ติชมกันได้เลยจ้า  :mew1: :mew1: :mew1: :mew1: :mew1:

ขอบคุณค่ะ

ด้วยรัก
เขมกันต์

หัวข้อ: Re: กว่าจะเข้ากันได้ โดย เขมกันต์ [บทที่ 3 พบเจอ]
เริ่มหัวข้อโดย: yisren. ที่ 27-01-2016 15:05:53
เดี๋ยวพ่อดินกับลุงธนาก็จะได้เจอกันแล้ววใช่มั้ยย
หัวข้อ: Re: กว่าจะเข้ากันได้ โดย เขมกันต์ [บทที่ 3 พบเจอ]
เริ่มหัวข้อโดย: mukmaoY ที่ 27-01-2016 15:41:51
รอเขาป๊ะกัน
หัวข้อ: Re: กว่าจะเข้ากันได้ โดย เขมกันต์ [บทที่ 3 พบเจอ]
เริ่มหัวข้อโดย: cheezett ที่ 27-01-2016 16:20:20
จะได้เจอกันแล้วใช่ไหมมม  :-[
รบกวนคนเขียนใส่หน้าและวันที่อัพด้วยได้ไหมคะ บางทีเราก็ลืมว่าอ่านถึงไหนแล้ว  :mew2:
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: กว่าจะเข้ากันได้ โดย เขมกันต์ [บทที่ 3 พบเจอ]
เริ่มหัวข้อโดย: เขมกันต์ ที่ 27-01-2016 20:07:33
จะได้เจอกันแล้วใช่ไหมมม  :-[
รบกวนคนเขียนใส่หน้าและวันที่อัพด้วยได้ไหมคะ บางทีเราก็ลืมว่าอ่านถึงไหนแล้ว  :mew2:
 :pig4: :pig4:

ได้เลยค่า เพิ่มให้แล้วเรียบร้อยนะคะ  :mew1:
หัวข้อ: Re: กว่าจะเข้ากันได้ โดย เขมกันต์ [บทที่ 3 พบเจอ]
เริ่มหัวข้อโดย: เขมกันต์ ที่ 27-01-2016 20:08:12
รอเขาป๊ะกัน

มาลุ้นๆ ด้วยกันเนาะ  :hao6:
หัวข้อ: Re: กว่าจะเข้ากันได้ โดย เขมกันต์ [บทที่ 3 พบเจอ]
เริ่มหัวข้อโดย: เขมกันต์ ที่ 27-01-2016 20:09:26
เดี๋ยวพ่อดินกับลุงธนาก็จะได้เจอกันแล้ววใช่มั้ยย

มาลุ้นด้วยกันค่า ขอบคุณสำหรับการติดตามนะคะ ^^  o18
หัวข้อ: Re: กว่าจะเข้ากันได้ โดย เขมกันต์ อัพเดท [บทที่ 3 พบเจอ] หน้า 1 - 27/01/2559 ค่ะ
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 27-01-2016 20:46:04
รออีกจ๊ะ
หัวข้อ: Re: กว่าจะเข้ากันได้ โดย เขมกันต์ อัพเดท [บทที่ 3 พบเจอ] หน้า 1 - 27/01/2559 ค่ะ
เริ่มหัวข้อโดย: double9JH ที่ 27-01-2016 20:53:00
จะได้เจอกันแล้วใช่มั้ยยย :katai1:
หัวข้อ: Re: กว่าจะเข้ากันได้ โดย เขมกันต์ อัพเดท [บทที่ 3 พบเจอ] หน้า 1 - 27/01/2559 ค่ะ
เริ่มหัวข้อโดย: เขมกันต์ ที่ 30-01-2016 09:30:57

บทที่ 4 เปิดตัว



   "สิตา วันนี้พี่มีงาน ดูแลลูกดีๆ ล่ะ" ภูธนาเดินเข้าไปในห้องภูสิตา เคาะประตู 2-3 ครั้งพอเป็นพิธี ก่อนจะเปิดประตูและชะโงกหน้าเข้าไปบอกน้องสาวที่เพิ่งจะรู้สึกตัวตื่นขึ้นมาแล้ว


   "น้องภู วันนี้ห้ามดื้อ ห้ามซนนะครับ อยู่กับคุณแม่ 2 คนอย่าพากันซนจนห้องรกล่ะ เดี๋ยวลุงจะรีบกลับนะครับ" เสียงทุ้มพูดสอนน้องภูไป มือเรียวยาวก็ป้อนข้าวน้องภูไปด้วย


   "ลุงธนาจะไปไหนเหรอฮะ น้องภูไปด้วยได้เปล่า" เด็กน้อยเคี้ยวข้าวเต็มปากอยู่ แต่เจ้าตัวก็ยังพูดกับลุงไม่หยุด ภูธนาได้แต่ยิ้มให้กับเด็กน้อยด้วยความน่ารักของเด็กคนนี้


   "ไม่ได้หรอกครับ ลุงไปทำงานเลยพาน้องภูไปด้วยไม่ได้ น้องภูไม่งอนลุงนะครับ" ชายหนุ่มว่าพลางลูบศีรษะเด็กน้อยอย่างอ่อนโยน


   "น้องภูอยากไปด้วย" ดวงตาใสแจ๋วของภูบดินทร์มองผู้เป็นลุงด้วยสายตาอ้อนวอน เห็นแบบนี้ภูธนาแทบใจอ่อน แต่ต้องอดกลั้น เพราะงานวันนี้ค่อนข้างสำคัญอยู่ไม่น้อย


   "ไม่ได้หรอกครับ ไว้วันหลังลุงจะพาไปเที่ยวนะ น้องภู วันนี้อยู่บ้านกับคุณแม่ดีๆ นะครับ" ภูธนาส่ายหน้าเบาๆ เป็นเชิงปฏิเสธอีกครั้ง


   "พี่ธนาจะออกไปทำงานเหรอคะ วันนี้วันเสาร์นึกว่าพี่จะได้หยุดเสียอีก" จังหวะนั้นภูสิตาก็เปิดประตูห้องนอนออกมาพอดี ดวงตาคู่สวยเหลือบมองเด็กชายตัวน้อยก่อนจะหันไปพูดกับพี่ชาย


   "ใช่ คงจะกลับค่ำหน่อยน  อาหารอยู่ในตู้เย็น ถ้าหิวก็เอาออกมา เวฟกินล่ะ พี่ต้องไปแล้ว เดี๋ยวจะสาย น้องภูอย่าซนนะลูก" ชายหนุ่มหันไปบอกหลานชายอีกครั้งก่อนจะลุกขึ้นหยิบเสื้อคลุมมาใส่แล้วหยิบของจำเป็นขึ้นมาอีก 2-3 อย่างใส่กระเป๋าและออกจากห้องไป




   หลังจากเสียงปิดประตูของพี่ชาย ภูสิตารีบวิ่งไปที่ประตูลงกลอน อีกชั้นให้แน่นหนาและหันกลับมาเจอเด็กน้อยที่นั่งมองตาแป๋ว



   "แม่ฮะ น้องภูกลัว คุณลุงน่ากลัวคนนั้นจะมาหาเราอีกมั้ยฮะ"      ภูสิตาไม่ตอบอะไร กลับเอื้อมมือไปลูบศีรษะเล็กนั้นอย่างเบามือ แต่สายตากลับมองออกไปนอกหน้าต่าง


   
   ภูสิตาคิดอยู่ไม่นาน ก็หันกลับมามองหน้าของเด็กชายตัวน้อย




   "น้องภูครับ หนูอยากเจอพ่อมั้ย"



   เด็กชายไม่ตอบ เพราะไม่เข้าใจว่า พ่อคืออะไร


   "สวัสดีครับ พี่จอมและทุกๆ คนครับ" ภูธนายกมือไหว้ทุกคน


   ชายหนุ่มมาถึงสนามแข่งขันล่วงหน้า 1 ชั่วโมง เพราะร้างราจากการแข่งเสียนานจึงมีอาการตื่นเต้นอย่างเห็นได้ชัด


   "มาเร็วเหมือนกันนะ ก็ดีแล้ว จะได้ซ้อมกัน" เสียงจอมเดชดังออกมาจากด้านหลังของที่พัก ก่อนที่เดินออกมาข้างหน้า
   จอมเดชไม่ได้เดินออกมาเพียงลำพัง แต่มีผู้ชายอีกคนเดินเคียงข้างตามมาด้วย


   "อ้อ นี่ ตัวปัญหาที่ทำให้นายต้องมาช่วยพี่นะ ศดิศ หรือชื่อฉายาว่า 'ไอซ์แมน' (Iceman) ดิศ ส่วนนี่ก็ ภูธนานะ จะมาช่วยนายวันนี้" จอมเดชแนะนำทั้ง 2 คนเสร็จสรรพ ภูธนายกมือไหว้ศดิศก่อนจะยิ้มให้


   "หน้าตาคุ้นๆ นะ เหมือนเคยเห็นที่ไหนมาก่อน" ศดิศรู้สึกเหมือนเคยเห็นหน้าตาแบบนี้ แต่ไม่รู้ว่าที่ไหนเหมือนกัน


   "ทางทีวีมั้ง ธนาน่ะเป็นดารา" ไม่ทันที่ภูธนาจะได้ตอบจอมเดชก็ชิงอธิบายแทนเสียก่อน


   "ครับ คงจะอย่างที่พี่จอมว่านั่นแหละครับ คุณศดิศ"


   "เรียกซะเต็มยศเลย เอางี้ เรียกพี่ว่าดิศแล้วกัน ส่วนพี่จะเรียกนายว่า ธนา ตามพี่จอมละกัน" ศดิศหันมายิ้มให้กับภูธนาก่อนที่จะหันหลังกลับเข้าไปข้างใน

   ภูธนาสังเกตคนที่เดินจากไป แต่ไม่รู้สึกถึงความผิดปกติของร่างกาย ชายหนุ่มจึงแปลกใจ อดที่จะเอ่ยถามไม่ได้ "เอ่อ พี่จอมครับ ผมไม่เห็นว่าคุณ เอ่อ พี่ดิศ จะบาดเจ็บตรงไหนนี่ครับ"


   "ภายนอกน่ะ อาจดูไม่ค่อยออกหรอกเพราะดิศใส่เสื้อคลุมปิดไว้ ถ้าถอดเสื้อคลุมออก คงเห็นรอยแผลอยู่ จริงๆ แล้วอาการของเจ้านั่นก็ไม่ได้หนักจนขับไม่ได้หรอกนะ แต่คงขับได้ไม่ดีเหมือนเดิม"


   "อย่างนั้นเหรอครับ" ภูธนารับคำเบาๆ


   "เกือบลืม เดี๋ยวช่วงแรกพี่จะให้ดิศขับไปก่อนนะสักรอบ 2 รอบแล้วจะให้เอารถมาเข้าพิท จังหวะนั้นดิศจะเดินเข้ามาข้างในแล้วธนาก็เปลี่ยนออกไปขับ แล้วช่วงก่อนจะเข้าเส้นชัยสักรอบ ธนาก็กลับเข้ามาแล้วพี่จะให้ดิศเปลี่ยนออกไปรอบสุดท้าย"


   "ได้ครับ ผมยังไงก็ได้ แล้วแต่พี่เลย"


   "งั้นตกลงตามนี้นะ ระหว่างนี้ ธนาคงต้องรออยู่ในห้องรับรองไปก่อน ห้ามไปไหนล่ะ พอใกล้ๆ แล้วพี่จะไปตามนะ เรื่องชุดพี่เตรียมไว้แล้วไปเปลี่ยนรอได้เลย ใส่หมวกกันนอคให้เรียบร้อย พี่ไม่อยากให้ใครเห็น" ประโยคสุดท้ายจอมเดชลดเสียงลงอย่างเห็นได้ชัด จนภูธนาเกือบจะไม่ได้ยิน



   ภูธนาเดินตรงเข้าไปห้องรับรองอย่างที่จอมเดชบอกไว้ ชายหนุ่มหยิบชุดที่แขวนไว้เข้าไปเปลี่ยนในห้องแต่งตัวทันที



   นานหลายปีที่ไม่ได้แข่งรถครั้งนี้ภูธนารู้สึกตื่นเต้นจริงๆ ชายหนุ่มไม่ได้มีความรู้สึกแบบนี้มานานแล้ว เขาคิดถึงช่วงชีวิตความสนุกและความสุขในตอนนั้นเป็นอย่างมาก หากไม่เจอมรสุมทางบ้านเสียก่อน ป่านนี้ชีวิตของเขาจะดำเนินไปในรูปแบบไหนกันนะ



   อีก 30 นาที การแข่งขันจะเริ่มขึ้น



   "คนเยอะเหมือนกันนะ พัตเตอร์" บดินทร์กวาดตามองไปรอบๆ สนามแข่ง วันนี้ที่นั่งทุกที่นั่งเต็มหมด แต่บัตรที่บริพัตรให้มานั้นดูเหมือนจะเป็นบัตรราคาที่ค่อนข้างแพงทีเดียว พวกเขาทั้ง 2 คนจึงได้นั่งเกือบหน้าๆ ของสนาม


   "พัต ครับ ไม่ใช่พัตเตอร์" ชายหนุ่มปรายตามองผ่านกรอบแว่นดำหนามองบดินทร์ที่ยังยียวนไม่หยุด


   บดินทร์ไม่ตอบอะไรอีก การแกล้งหรือเย้าแหย่คนข้างๆ คือความสุขอย่างหนึ่งที่อยากจะให้เจ้าตัวเบิกบานหรือผ่อนคลาย ไม่ให้ดูเคร่งเครียดหรือเงียบแบบนี้


   "พี่ดินครับ เดี๋ยวผมมานะ"


   "การแข่งจะเริ่มแล้วนะ พัต" บดินทร์พูดเตือนถึงเวลา


   "ไม่นานครับพี่ เดี๋ยวมา" ชายหนุ่มตอบด้วยเสียงที่ค่อนข้างดังเล็กน้อย เพราะเสียงรอบข้างดังพอสมควร




   บริพัตร หรือ พัตเตอร์ อายุ 30 ปี ทำงานบริษัทแห่งเดียวกับบดินทร์ ที่เป็นลูกพี่ลูกน้องของตน ชายหนุ่มทำงานเป็นพนักงานบริษัทธรรมดา ผิดกับพี่ชายที่เติบโตจนก้าวหน้าเป็นถึงผู้บริหาร



   บริษัทแห่งนี้บดินทร์เป็นผู้ฝากงานให้กับบริพัตร ชายหนุ่มอุปนิสัยที่ขี้อาย ไม่สู้คน เมื่อบดินทร์ฝากให้ทำงาน ชายหนุ่มจึงไปทำงานโดยไม่มีข้อโต้แย้ง หรือความคิดเห็นใดๆ



   
   อีก 15 นาที การแข่งขันจะเริ่มขึ้น



   หัวใจของภูธนาเต้นดังคล้ายจะหลุดออกมาเสียให้ได้ ชายหนุ่มนั่งรอเฉยๆ ต่อไปไม่ไหว จึงหยิบหมวกกันนอคขึ้นมาสวม แล้วเดินออกจากห้องรับรองไปทางด้านหลังเพื่อจะทำจิตใจให้สงบลงได้บ้าง



        ด้านหลังของห้องรับรองเป็นสวนหย่อมขนาดเล็ก ภูธนาเดินเร็วๆ รอบๆ สวนแห่งนี้  ปกติแล้วชายหนุ่มจะสูบบุหรี่ลดความเครียดหรือความตื่นเต้น แต่ภูธนาไม่ได้แตะต้องบุหรี่มานานแล้ว ดังนั้นจึงไม่มีบุหรี่ติดตัว   ภูธนา หยุดเดินที่หน้าประตูทางเข้าห้องรับรองด้านหลัง ชายหนุ่มยกนาฬิกาขึ้นดู



   เหลืออีก 10 นาที การแข่งขันจะเริ่มขึ้น



   ภูธนาอยากสูดอากาศเข้าปอดให้เต็มที่ก่อนที่จะกลับเข้าไปเพื่อรอการแข่งขัน มือเรียวสวยจึงถอดหมวกกันนอคออก ถือไว้ข้างๆ ตัว เงยหน้าขึ้นแล้วสูดอากาศลึกๆ แล้วค่อยหายใจออกช้าๆ  มันช่วยได้เยอะเลย ลดความตื่นเต้นลงไปได้มากทีเดียว ภูธนากำลังจะทำอีกครั้ง แต่กลับมีมือมาแตะไหล่ของเขาเสียก่อน



   "ตื่นเต้นเหรอวะ ไอ้ดิศ" เสียงทุ้มดังอยู่ด้านหลัง แต่ภูธนาตัวแข็งแน่นิ่งไปแล้ว จึงเอาแต่เงียบ


   "เฮ้ย เป็นไรไปวะ" เมื่อไม่มีการตอบรับ บริพัตรจึงเดินอ้อมไปด้านหน้าทันที


   "ไม่ใช่ไอ้ดิศนี่ ผมจำคนผิด ขอโทษด้วยนะครับ" ร่างสูงค้อมตัวลงเล็กน้อย ภายในผมดกดำยาวที่ปิดบังดวงตาไปเสียเกือบหมด ทั้งยังใส่แว่นสายตากรอบหนาเข้าไปอีก ทำให้ภูธนามองเห็นใบหน้าไม่ชัด


   "ไม่เป็นไรครับ" ภูธนาตอบเสียงเบากลับไป


   "เอ่อ เห็น ไม่เป็นไรครับ" บริพัตรตั้งท่าจะพูดอะไรออกไป แต่ได้ยินเสียงประกาศดังทั่วสนามว่าเหลือเพียง 5 นาที การแข่งขันจะเริ่มขึ้นแล้ว ชายหนุ่มจึงเดินกึ่งวิ่งกลับไปทางเดิม



   ภูธนารีบใส่หมวกกันนอคที่อยู่ในมือ กว่าจะหันกลับไปมอง ก็ไม่เห็นร่างของคนเมื่อสักครู่นี้แล้ว ชายหนุ่มจึงรีบเดินกลับเข้าไปในห้องรับรอง



   จอมเดชกลับเข้ามาในห้องรับรอง และงานลำดับของวันนี้อีกรอบให้เข้าใจตรงกันระหว่างภูธนาและศดิศอีกครั้ง ก่อนที่จะกลับออกไปพร้อมกับศดิศ



   เหลืออีก 0 นาที




   การแข่งขันเริ่มขึ้นแล้ว ...



   เสียงคนที่มาดูต่างส่งเสียงเชียร์ทีมที่ตนเองชื่นชอบกันสนั่นดัง ภูธนารับรู้เพราะเสียงเหล่านั้นดังเข้ามาถึงด้านใน มือประสานกันแน่นก่อนจะคลายออก และบีบแน่นอีกครั้ง เพื่อลดความตื่นเต้น



   "นึกว่าจะกลับมาไม่ทันเริ่มซะแล้ว" บดินทร์บอกด้วยความเป็นห่วง


   "ไปไหนมา"


   "ห้องน้ำครับ" บริพัตรตอบสั้นๆ ด้วยความที่เป็นคนพูดน้อย จึงไม่อธิบายอะไรมากไปกว่านี้ บดินทร์รู้จักนิสัยของน้องชายดี จึงไม่เซ้าซี้ถามต่อ




   เสียงประกาศดังทั่วสนามแนะนำนักแข่งรถและรถที่ใช้ในวันนี้ ก่อนจะพูดถึงสภาพอากาศอุณหภูมิและความชื้นภายในสนาม บริพัตรฟังผ่านๆ ไม่ได้เข้าหูนัก แต่ก็ยังได้ยินว่า ศดิศ อยู่ในรถหมายเลข 10 จึงเฝ้าจับตามองเป็นพิเศษ




   เมื่อครบ 2 รอบ บริพัตรเห็นรถหมายเลข 10 ขับเข้าพิทไป น่าแปลก เร็วไปมั้ยที่จะเข้าพิทในตอนนี้ เพราะช่วงรอบแรกหรือ 2 รอบแรกนั้น นักแข่งส่วนใหญ่ยังทำเวลาไม่เต็มที่นัก ถ้าไม่มีเหตุอะไรเช่น รถอาจจะมีปัญหา หรือยางไม่เหมาะกับสภาพถนนก็มักจะไม่กลับเข้าพิท



   บริพัตรเห็นศดิศออกจากรถก่อนจะกลับมาอีกครั้ง แต่ทำไมเขาถึงรู้สึกว่ามันแปลกๆ เหมือนไม่ใช่ศดิศ



   ภูธนาขึ้นมานั่งในรถ ยางเปลี่ยนเสร็จ  จริงๆ แล้ว ไม่ได้เปลี่ยนแก้อะไรเลย แค่เป็นการแสดงเท่านั้น ชายหนุ่มหายใจเข้าลึกๆ อีกครั้งก่อนจะปิดกระจกที่หน้าหมวกกันนอคลง และเมื่อได้สัญญาณว่าเรียบร้อยแล้ว ภูธนาไม่มีเวลาคิดอะไรอื่นอีก ชายหนุ่มรีบออกตัวทันที



   ในห้องรับรองมีจอทีวีไว้คอยดูบรรยากาศข้างนอก ศดิศจ้องมองโดยไม่ละสายตา


   "เสียดายใช่มั้ยล่ะ" จอมเดชทักชายหนุ่มอย่างรู้ทัน


   "อือ" ศดิศรับคำเบาๆ เพราะทั้งหมดเป็นเพราะตัวเขาเองทั้งนั้น หากไม่เพราะว่าเขาไปกินเหล้าแล้วแข่งคงจะดีกว่านี้



   การขาดสติเพียงเล็กน้อยก่อให้เกิดผลเสียมากมาย รถคู่กายก็ต้องซ่อมอีกนาน ผู้สนับสนุนต้องเสียเงินสั่งซื้อรถคันใหม่เข้ามา ซ้ำยังต้องหาตัวปลอมมาแทนเขาอีก ถ้าเรื่องนี้รู้ถึงคนนอก ศดิศอาจจะไม่มีโอกาสได้มาขับรถแข่งอีกก็เป็นได้



   "ฝีมือดีทีเดียวนะ" จอมเดชดูภาพในหน้าจอทีวีพลางเอ่ยปากชม


   "ครับ ฝีมือดี"


   "เสียดายนะ ถ้าไม่ใช่ว่าเข้าวงการ ป่านนี้คงได้อยู่ทีมเดียวกับนายแล้ว" จอมเดชเดินเข้ามานั่งตรงโซฟาอีกตัวนึงข้างๆ ศดิศ


   "ก็พอเข้าวงการเป็นดารา ผู้จัดการของธนาก็ไม่อยากให้แข่งรถอีกเพราะกลัวจะได้รับอุบัติเหตุอะไรทำนองนั้นแหละนะ ก็เลยไม่ค่อยได้ติดต่อกัน"


   "แต่ดูเหมือนจะเป็นดาราได้ไม่นานหรือเปล่าพี่" ศดิศถามต่อด้วยความสงสัย


   "จะว่าใช่ก็คงใช่ล่ะมั้ง นายจำข่าวสัก 4 ปีก่อนได้มั้ย ที่ว่ามีตระกูลดังในแวดวงไฮโซล้มละลาย"


   "ไม่แน่ใจนะครับ คุ้นๆ ว่าใช่ไฮโซ ใช่ตระกูล วัฒนา วัฒนาอะไรสักอย่างหรือเปล่าพี่"


   "วัฒนาวิเศษโชค ถูกแล้วล่ะ นั่นน่ะเป็นครอบครัวของภูธนา"    จอมเดชอธิบายเพิ่มเติม


   "แต่ตระกูลนี้ล้มละลาย แล้วได้ข่าวว่าพ่อแม่กับพี่ชายคนโต หนีไปนี่ไม่ใช่ธนาหรอกเหรอ" ศดิศพยายามจับต้นชนปลายเรื่องให้ถูก


   "ไม่ใช่หรอก ธนามี พี่ชาย คนโตชื่อ ภูตะวัน และน้องสาวคนเล็กชื่อภูสิตา ตอนนี้เจ้าตัวหาเงินเลี้ยงน้องสาวใจแตกกับหลานชายอีกคนที่ไม่รู้ว่าพ่อเด็กเป็นใคร พอมีแต่ข่าวฉาวงานก็เลยไม่ค่อยมียังไงล่ะ"


   "ลำบากแย่เลยสิ" ศดิศพึมพำเบา ตอนนั้นภูธนาคงยังอายุน้อยแต่ก็ต้องประคับประคองน้องสาวและหลานให้ผ่านวิกฤติไปให้ได้


   "ใช่ ลำบากเอาการอยู่ล่ะ พี่เคยพยายามยื่นมือเข้าไปช่วยหลายครั้ง แต่เจ้านั่นก็ดื้อไม่เบา บอกเกรงใจไม่อยากเป็นภาระใคร" เสียงประกาศดังแว่วมาว่า รถหมายเลข 10 เตรียมเข้าพิท จอมเดชจึงลุกขึ้นแล้วหันมาบอกคนที่ยังนั่งอยู่นั้น


   "เตรียมเปลี่ยนตัวได้แล้ว"


   "ครับ" ศดิศรับคำแล้วหยิบหมวกกันนอคขึ้นมาสวม



   มือยังสั่นไม่หยุด ภูธนากลับเข้ามาในห้องรับรองและเปลี่ยนชุดเป็นชุดเดิมเรียบร้อยแล้ว ร่างสูงยังนั่งอยู่ที่โซฟาไม่ได้ขยับเขยื้อน แต่มือคู่นี้ยังสั่นไม่หยุด มันมีหลายความรู้สึกเหลือเกิน ทั้งตื่นเต้น ทั้งกลัว ทั้งสนุก แต่ทั้งหมดมันกลายเป็นความสุข และรถที่ใฝ่ฝันมาตลอด มันทำให้มีความสุขกว่าจะหาสิ่งใดเปรียบได้อีก
   



   "จบซะแล้ว น่าเสียดายนะ พี่อุตส่าห์เชียร์รถหมายเลข 10 ไหงมาแผ่วรอบสุดท้ายได้นะ" บดินทร์อดที่จะเสียดายแทนไม่ได้ เพราะขับมาดีโดยตลอดรู้จังหวะผ่อน จังหวะเร่งเป็นอย่างดี ทำไมรอบสุดท้ายถึงตัดสินใจเอารถเข้าพิทก็ไม่รู้


   "นั่นสิครับ พี่จะอยู่รอดูรับรางวัลมั้ย หรือจะกลับเลย"



   
   บดินทร์ยังไม่ได้ตอบอะไร โทรศัพท์มือถือก็สั่นอยู่ในกระเป๋ากางเกงเสียก่อน ชายหนุ่มจึงหยิบโทรศัพท์ออกมาดู แต่เป็นเบอร์ไม่คุ้น ไม่มีชื่อที่เซฟไว้


   "พี่รับก่อนเลย ผมรอได้" บริพัตรเห็นพี่ชายดูเหมือนจะสองจิตสองใจว่าจะรับหรือไม่ ชายหนุ่มจึงตัดสินใจแทนให้เสียเลย


   "อ้อ ได้ รอแปปนะ" บดินทร์หันมาตอบรับน้องชาย ก่อนจะกดรับสาย


   "สวัสดีครับ บดินทร์พูดครับ"




   "สวัสดีค่ะ ภูสิตาเองค่ะ จำกันได้มั้ยเอ่ย..."








Talk :.

สวัสดีค่ะ ตอน 4 แล้วนะคะ เนื้อเรื่องค่อยๆ กระดึ๊บๆ มาอีกนิด
ติชมกันได้เลยนะคะ น้อมรับค่ะ ^^  :mew1: :mew1: :mew1: :mew1: :mew1:



ด้วยรัก
เขมกันต์

หัวข้อ: Re: กว่าจะเข้ากันได้ โดย เขมกันต์ อัพเดท [บทที่ 4 เปิดตัว] หน้า 1 - 30/01/2559 ค่ะ
เริ่มหัวข้อโดย: yisren. ที่ 30-01-2016 11:05:14
เรื่องชักตื่นเต้นขึ้นเรื่อยๆ รอนะคะ  :katai5:
หัวข้อ: Re: กว่าจะเข้ากันได้ โดย เขมกันต์ อัพเดท [บทที่ 4 เปิดตัว] หน้า 1 - 30/01/2559 ค่ะ
เริ่มหัวข้อโดย: เขมกันต์ ที่ 30-01-2016 12:49:07
เรื่องชักตื่นเต้นขึ้นเรื่อยๆ รอนะคะ  :katai5:

ขอบคุณค่า
หัวข้อ: Re: กว่าจะเข้ากันได้ โดย เขมกันต์ อัพเดท [บทที่ 4 เปิดตัว] หน้า 1 - 30/01/2559 ค่ะ
เริ่มหัวข้อโดย: cheezett ที่ 30-01-2016 13:40:57
ลุ้นตอนต่อไปปปปป  :hao7:
 :pig4:  :pig4:  :L1:
หัวข้อ: Re: กว่าจะเข้ากันได้ โดย เขมกันต์ อัพเดท [บทที่ 4 เปิดตัว] หน้า 1 - 30/01/2559 ค่ะ
เริ่มหัวข้อโดย: kajeaw ที่ 30-01-2016 14:41:33
สนุกมากครับ. ติดตามอ่านอยู่นะ
หัวข้อ: Re: กว่าจะเข้ากันได้ โดย เขมกันต์ อัพเดท [บทที่ 4 เปิดตัว] หน้า 1 - 30/01/2559 ค่ะ
เริ่มหัวข้อโดย: monoii ที่ 01-02-2016 14:23:09
รอตอนต่อปายยยยย
หัวข้อ: Re: กว่าจะเข้ากันได้ โดย เขมกันต์ อัพเดท [บทที่ 4 เปิดตัว] หน้า 1 - 30/01/2559 ค่ะ
เริ่มหัวข้อโดย: stickyyrice ที่ 01-02-2016 14:52:14
รอออ
หัวข้อ: Re: กว่าจะเข้ากันได้ โดย เขมกันต์ อัพเดท [บทที่ 4 เปิดตัว] หน้า 1 - 30/01/2559 ค่ะ
เริ่มหัวข้อโดย: mukmaoY ที่ 01-02-2016 16:28:08
ขอพิมพ์อีกคนว่า  รอออออ
หัวข้อ: Re: กว่าจะเข้ากันได้ โดย เขมกันต์ อัพเดท [บทที่ 4 เปิดตัว] หน้า 1 - 30/01/2559 ค่ะ
เริ่มหัวข้อโดย: เขมกันต์ ที่ 01-02-2016 22:02:34

บทที่ 5 สัญญา




   "สวัสดีครับ บดินทร์พูดครับ"


   "สวัสดีค่ะ ภูสิตาเองค่ะ จำกันได้มั้ยเอ่ย..." บดินทร์นิ่งอึ้งด้วยไม่คาดฝันว่าคนที่กำลังตามหาจะโทรหาเขาเสียเอง


   "จำได้สิครับ ขอเวลาผมสักครู่นะครับ" ชายหนุ่มบอกกำลังปลายสายไป แล้วหันไปทางบริพัตร


   "พี่กลับก่อนนะพัต พอดีมีสายสำคัญเข้ามา" ไม่รอคำตอบจากน้องชาย พอพูดจบก็รีบลุกออกจากที่นั่งทันที แต่บริพัตรยังนั่งอยู่ที่เดิมไม่ลุกไปไหน


   "ครับ ยังอยู่มั้ยครับ คุณภูสิตา" หลังจากที่รีบวิ่งกลับเข้ามาในรถได้ ชายหนุ่มก็รีบพูดออกไปทันที


   "ไปทำอะไรมาคะ ดูน้ำเสียงกระหืดกระหอบเชียวค่ะ" ภูสิตาพูดติดตลก


   "วิ่งมาที่รถน่ะครับ เมื่อตะกี้เสียงดังมากเลยมาที่เงียบๆ ครับ" บดินทร์ตอบเพียงเท่านั้น ปลายสายต่างก็เงียบทั้งคู่


   "สิตาได้เบอร์มาจากเพื่อนค่ะ คุณบดินทร์เป็นถึงผู้บริหารใหญ่บริษัทชื่อดัง เบอร์โทรก็เลยหาได้ไม่ยาก จริงๆ แล้วที่สิตาโทรมา คุณคงพอจะทราบแล้วใช่มั้ยคะว่าเรื่องอะไร"


   "เรื่องอะไรเหรอครับ"


   "แหม แกล้งสิตาอยู่เปล่าคะเนี่ย สิตาบอกให้ก็ได้ค่ะ เรื่องของน้องภู ภูบดินทร์ค่ะ"


   "ครับ ผมกำลังตามหาคุณอยู่พอดีเลย" เรื่องที่ภูสิตาโทรมาทำให้บดินทร์รู้สึกโล่งใจขึ้น


   "ค่ะ เหมือนใจจะตรงกัน ยังไงมาเจอกันหน่อยมั้ยคะ"



   "มานานหรือยังคะ" ภูสิตาเดินมาถึงโต๊ะที่ชายหนุ่มนั่งอยู่ก็เอ่ยทัก


   "สักครู่นี้เองครับ เชิญนั่งก่อนครับ" บดินทร์ยืนขึ้นระหว่างที่หญิงสาวนั่งลง เมื่อเห็นว่าภูสิตานั่งเรียบร้อยแล้ว ชายหนุ่มจึงนั่งลงตาม "แล้วคุณภูสิตามาคนเดียวเหรอครับ"


   "อ่อ ค่ะ สิตาฝากน้องภูไว้กับเพื่อนน่ะค่ะ คุยธุระกับคุณเสร็จแล้วก็จะไปรับ"


   "นึกว่าจะพามาด้วยซะอีก" บดินทร์อดเสียดายไม่ได้ คิดว่าวันนี้จะได้พบกับภูบดินทร์เสียอีก ภูสิตาไม่ตอบอะไร หญิงสาวมอบรอยยิ้มให้กับชายหนุ่มเพียงเท่านั้น


   "คุณบดินทร์ไม่เปลี่ยนไปเลยนะคะ" ภูสิตาพินิจรูปร่างและใบหน้าของคนตรงข้ามก่อนจะเปรยออกมา


   "คุณภูสิตาก็ยังสวยเหมือนเดิมนะครับ ผมว่าเรามาเข้าเรื่องกันเถอะครับ ผมอยากจะรับผิดชอบเรื่องลูก"


   "แน่ใจหรือคะว่าน้องภูจะเป็นลูกของคุณจริงๆ" หญิงสาวหัวเราะเบาๆ


   "แกหน้าเหมือนผมมากเลย ไม่มีทางที่จะเป็นลูกคนอื่นไปได้หรอกครับ" บดินทร์ตอบอย่างมั่นใจ


   "ถึงสิตาจะแน่ใจว่าเด็กเป็นลูกของคุณ แต่สิตาก็ไม่อยากจะเอาเปรียบคุณแล้วก็กลัวว่าจะมีปัญหาทีหลัง ยังไงแล้ว พรุ่งนี้สิตาจะพาไปน้องภูไปตรวจ DNA เชิญคุณที่โรงพยาบาลด้วยนะคะ"


   "ครับ พรุ่งนี้ผมจะไปแน่นอน"


   "แล้วที่ว่าจะรับผิดชอบเรื่องลูกนี่ จะรับผิดชอบยังไงเหรอคะ" หญิงสาวเอียงคอน้อยๆ มองชายหนุ่มตรงหน้า


   "ถ้าคุณภูสิตาไม่รังเกียจ ผมอยากจะขอน้องภูไปเลี้ยงเองครับ"


   "แหม สิตาเป็นแม่เด็กนะคะ เลี้ยงน้องภูมาตั้งแต่เกิด" หญิงสาวส่งเสียงดัง แสร้งทำเป็นตกใจ


   "คุณภูสิตาจะไม่เหนื่อยเปล่าแน่นอนครับ คุณเรียกเท่าไหร่ ผมยินดีที่จะจ่ายให้"


   "ถ้าสิตาไม่ให้ละคะ คุณจะว่าอะไรมั้ยคะ"


   "ผมไม่อยากให้เรื่องนี้ต้องบานปลาย จนถึงขั้นฟ้องร้องหรอกครับ"


   "คุณบดินทร์คิดว่าจะชนะคดีเหรอคะ สิตาเป็นแม่ เลี้ยงน้องภูมา ไม่เคยทิ้งขว้าง แต่คุณเพิ่งเข้ามา สิตามองไม่เห็นว่าคุณจะชนะได้ยังไงเลยค่ะ" หญิงสาวพูดด้วยความเป็นต่อ


   "แล้วคุณจะให้ผมทำยังไง  ผมอยากเลี้ยงน้องภูจริงๆ และผมยังไม่แต่งงาน ไม่มีครอบครัว ผมยินดีครับ"


   "น้ำเสียงร้อนรนจังเลยนะคะ สิตาไม่ใจร้ายขนาดนั้นหรอกค่ะ"


   "10 ล้านบาทค่ะ"
   

   "อะไรนะครับ"


   "10 ล้านค่ะ คงไม่ลำบากเกินไปใช่มั้ยคะ"


   "ผมไม่มีเงินถึงขนาดนั้นหรอกครับ ถ้า 3 ล้าน น่ะพอได้อยู่หรอกครับ"


   "งั้นก็ไม่เป็นไรค่ะ ถ้าไม่มี 10 ล้าน สิตาก็คงยกลูกชายให้ไม่ได้หรอกนะคะ แต่ถ้าคุณมี 10 ล้านเมื่อไหร่ แล้วสัญญาพร้อม สิตายินดีที่จะเซนต์ให้คุณเดี๋ยวนั้นเลยค่ะ แต่มีเงื่อนไขข้อเดียวค่ะ สิตาและพี่ชายสามารถไปเยี่ยมน้องภูได้ทุกเมื่อค่ะ" ภูสิตาลุกยืนขึ้นท่าทางเตรียมพร้อมจะลุกออกไป


   "สิตาไปก่อนนะคะ" หญิงสาวกล่าวทิ้งท้ายก่อนจะเดินออกไปจากร้าน


   "10 ล้านเหรอ จะไปหามาจากไหนวะ" บดินทร์พึมพำกับตัวเองก่อนจะเรียกคิดเงินและออกจากร้านไปอีกคน


   "กลับมาแล้วเหรอครับ พี่ดิน" บริพัตรอ่านหนังสืออยู่บนโซฟาเมื่อได้ยินเสียงประตูเปิด


   "อือ" บดินทร์ตอบสั้นๆ แล้วนั่งลงข้างๆ อย่างหมดแรง


   "ไปทำไรมาครับ ดูท่าทางเครียด"


   "ก็เครียดเอาการอยู่"


   "เรื่องอะไรครับ ใช่งานที่บริษัทหรือเปล่า"


   "ไม่ใช่หรอก สำคัญกว่านั้นมาก" บดินทร์บอกด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา


   "ถ้าสำคัญกว่างานมาก คงไม่ใช่เรื่องธรรมดา มีอะไรให้ผมช่วยพี่มั้ยครับ" ถึงภายนอกบริพัตรจะดูเหมือนคนเก็บตัว ไม่ชอบสุงสิงกับใคร แต่ถ้าเป็นเรื่องภายในครอบครัว ชายหนุ่มสามารถทุ่มสุดตัวได้เลย


   "ถึงปล่อยให้เรื่องเงียบไป แต่วันนึง นายก็ต้องรู้อยู่ดี พี่เพิ่งรู้ว่าพี่มีลูกชายอยู่คนนึง"


   "ว่าอะไรนะครับ อำผมเล่นใช่มั้ย" บริพัตรถามซ้ำอย่างไม่เชื่อหู เพราะตลอดเวลาที่อาศัยอยู่ร่วมชายคาเดียวกัน ชายหนุ่มไม่เคยเห็นลูกพี่ลูกน้องทำตัวไม่ดีเลยสักครั้ง


   "จริงๆ ไม่ได้อำอะไรทั้งนั้น"


   "พี่รู้ได้ยังไง" เมื่อเห็นสายตาของบดินทร์นั้นไม่มีแววตาหลอกลวงใดๆ บริพัตรจึงถามขึ้นด้วยน้ำเสียงจริงจัง





   เรื่องลูกของบดินทร์ดูจะเป็นเรื่องแปลกใหม่มากๆ สำหรับครอบครัวเขา บดินทร์เลิกรากับแฟนสาวไปนานแล้ว และไม่มีแฟนใหม่ แต่ถ้าเด็กคนนั้นเป็นลูกของบดินทร์จริง ก็เท่ากับเป็นหลานของเขาด้วย



   "ไอ้พฤฒมันไปเจอมา เลยมาบอกพี่ ดูรูปสิ" บดินทร์หยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาเพื่อเปิดรูปภูบดินทร์ให้ดู


   "หน้าเหมือนพี่ดินตอนเด็กเลย หลานผมชื่ออะไรครับ" บริพัตรพูดจบก็ส่งโทรศัพท์มือถือคืนเจ้าของ


   "ภูบดินทร์ แต่ก็ยังไม่รู้ว่าใช่ลูกพี่จริงมั้ย พรุ่งนี้แม่เด็ก เขานัดพี่ไปตรวจ DNA แล้วถ้าเด็กคนนั้นเป็นลูกของพี่จริงๆ พี่อยากพาลูกมาเลี้ยงเองที่บ้านเราน่ะพัต ได้มั้ย"


   "เอาสิพี่ หลานผมทั้งคน แต่แม่เด็ก จะยอมให้พี่เอามาเลี้ยงเหรอครับ"


   "นั่นล่ะ ปัญหาใหญ่ ภูสิตา แม่เด็กน่ะ ต้องการเงิน" บดินทร์ถอนหายใจอย่างหมดหนทาง


   "เขาเรียกเท่าไหร่ พี่ก็ให้เงินเขาไปเลย เรื่องแค่นี้เอง ขนหน้าแข้งพี่ไม่ร่วงหรอกน่า"


   "10 ล้านบาท" พูดจบบดินทร์ก็ถอนหายใจซ้ำอีกครั้ง


   "ก็ไม่น้อยเลยนะ" นิ้วเรียวยาวของบริพัตรลูบคางที่สากไปด้วยไรหนวดที่เริ่มขึ้นมาบ้างแล้ว


   "ตอนนี้พี่มีแค่ 3 ล้าน ยังไม่รู้ว่าจะหาเงินจากที่ไหน"


   "ขาดอีก 7 ล้านสินะ อืมม เอาเงินผมไปสิ" บริพัตรพูดเหมือนเป็นเรื่องธรรมดา


   "อย่ามาแกล้งพี่คืนเวลานี้ได้มั้ย พัต เงิน 7 ล้านไม่ใช่เงินน้อยๆ" บดินทร์ยื่นมือไปเขกหัวน้องชายข้อหาเล่นไม่รู้จักเวลา


   "ผมพูดจริงนะ ไม่ได้แกล้ง แล้วอีกอย่างผมให้ยืม ไม่ได้ให้พี่เลยสักหน่อย"


   "นายไปเอาเงินมาจากไหนเยอะขนาดนี้"



   
   บ้านที่อาศัยอยู่ด้วยกันตอนนี้เป็นบ้านพ่อแม่ของบดินทร์ซื้อไว้ให้ก่อนที่จะย้ายไปอยู่ต่างจังหวัดตามประสาคนแก่ ส่วนพ่อแม่ของบริพัตรนั้นเสียไปตั้งแต่บริพัตรอยู่มัธยมต้น ทิ้งเงินประกันไว้ให้ชายหนุ่มมากพอจึงทำให้บริพัตรไม่ลำบากเงินเรื่องค่าเล่าเรียน



   หลังจากบริพัตรเรียนจบ ชายหนุ่มทำงานที่เดียวกันกับเขามาโดยตลอดเป็นแค่พนักงานกินเงินเดือนทั่วไป ดังนั้นเงินเดือนของชายหนุ่มไม่ได้สูงมาก จึงเป็นไปไม่ได้ที่จะมีเงินเก็บมากมายขนาดนี้




   "เงินที่พ่อกับแม่ทิ้งไว้ให้ครับ" บริพัตรตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบ


   "เท่าที่ฉันรู้ คุณน้าไม่ได้ทิ้งเงินไว้เยอะขนาดนั้นนะพัต" ดวงตาบดินทร์ฉายแววแปลกใจ


   "มันก็ต้องมีเท่าที่พี่ไม่รู้บ้างสิครับ เอ้า สรุปจะเอามั้ย ไม่งั้นผมไม่ให้ยืมแล้วนะ ลูกก็ไม่ต้องเอามาเลี้ยง" ชายหนุ่มรีบตัดบททันที


   "เออๆ งั้นพี่ขอยืมนะ แล้วพี่จะหาเงินมาคืน"


   "ผมไม่ได้ใช้เงินส่วนนี้อยู่แล้ว มีเมื่อไหร่พี่ค่อยมาคืน" บริพัตรโบกมืออย่างไม่ใส่เท่าไหร่นัก แล้วจึงหยิบหนังสือที่เปิดค้างไว้ขึ้นมาอ่านต่อ


   "ขอบใจมากนะ พัตเตอร์" ถึงจะรู้สึกซาบซึ้งในน้ำใจ แต่บดินทร์ก็ อดจะแกล้งคนข้างๆ ไม่ได้

   
   ผลตรวจ DNA บอกว่า ภูบดินทร์คือลูกชายของเขา



   วินาทีแรกที่เห็นภูบดินทร์ ชายหนุ่มรู้สึกเหมือนเห็นตัวเองในวัยเด็ก ไม่ว่าจะหน้าตา ท่าทางการเดิน หรือวิธีการกินนั้น ถอดแบบของเขามาไม่ผิดเพี้ยน ถ้าบอกว่าไม่ใช่ลูกของเขานั้น ผลการตรวจต้องผิดแน่นอน
   



   ภูสิตาเซนต์หนังสือสัญญามอบกรรมสิทธิ์การเลี้ยงดูบุตรให้กับบดินทร์แต่เพียงผู้เดียว หลังจากนั้นจึงวางปากกาลงบนโต๊ะ บดินทร์หยิบสัญญายื่นให้ทนายผู้ดำเนินการเรื่องนี้ ตรวจสอบความถูกต้องให้เรียบร้อย




   หลังจากทนายตรวจสอบอยู่สักครู่หนึ่งจึงหันมาพยักหน้าให้กับบดิทร์เป็นเชิงว่าเรียบร้อยสมบูรณ์แล้ว บดินทร์จึงมอบเช็คเงินสดให้กับหญิงสาวทันที



   "ขอบคุณนะคะ อ้อ เดี๋ยวสิตาจะรีบเก็บของของน้องภูให้เรียบร้อยแล้วจะติดต่อคุณไปนะคะ ใช้เวลาไม่นานหรอกค่ะ" หญิงสาวพูดจบพลางลุกขึ้นยืนก่อนจะเดินจากไป









Talk:.

มาต่อตอน 5 แล้วค่ะ รอกันนานมั้ยคะ ช่วงนี้ภารกิจเริ่มเข้ามารัดตัวผู้แต่งนะคะ แต่ก็ไม่ลืมผู้อ่านที่น่ารักทุกท่านค่ะ ^^ เรื่องเริ่มเดินทีละนิดๆ แล้วนะคะ

ลงมาหลายตอนแล้วนะคะ ขอเกริ่นแนะนำตัวกันเล็กน้อยนะคะ เขมกันต์ เป็นชื่อที่ผู้แต่งค่อนข้างชอบ เลยเอาชื่อนี้มาใช้ค่ะ ส่วนการแต่งและการเดินเรื่องนั้น

ต้องขอบอกว่า เขมกันต์ชอบสไตล์การเดินเรื่องค่อยๆ เป็น ค่อยๆ ไป ให้ตัวละครมีเรื่องราว มีที่มาที่ไปสักหน่อยค่ะ หากเดินเรื่องที่ช้าบ้างบางจุด

ต้องขออภัยมา ณ ที่นี้นะคะ ติชมกันได้เลยนะคะ ใครเชียร์ทีมไหน เล่าให้ฟังได้เลยค่ะ อยากให้ใครทำอะไร อยากเห็นโมเมนท์ไหน บอกมาได้เลยค่ะ อ่านทุกคอมเมนท์เลยค่ะ ^___^

ถ้ามีคำไหนสะกดผิด แจ้งได้เลยนะคะ ขอบคุณค่า

 :mew1: :mew1: :mew1: :mew1: :mew1:

ด้วยรัก
เขมกันต์



หัวข้อ: Re: กว่าจะเข้ากันได้ โดย เขมกันต์ อัพเดท [บทที่ 5 สัญญา] หน้า 1 - 01/02/2559 ค่ะ
เริ่มหัวข้อโดย: yisren. ที่ 01-02-2016 22:43:46
ตรงหัวทอปปิคต้องเป็นหน้า2ป่ะคะ นี่ก็งงไปงมหาในหน้าหนึ่ง55555 สิตาทำแบบไม่มีถามพี่ชายสักคำเลยนะนี่ ใจสลายแน่นอนภูธนาเอ๋ย หวังว่าสิบล้านคงเอาไปให้หนี้นะ ขอละ สงสารพี่ชายเธอสักนิดก็ยังดี เห้อ สงสารลุงธนา T___T รอตอนต่อไปน้าาา
หัวข้อ: Re: กว่าจะเข้ากันได้ โดย เขมกันต์ อัพเดท [บทที่ 5 สัญญา] หน้า 1 - 01/02/2559 ค่ะ
เริ่มหัวข้อโดย: เขมกันต์ ที่ 01-02-2016 23:53:40
ตรงหัวทอปปิคต้องเป็นหน้า2ป่ะคะ นี่ก็งงไปงมหาในหน้าหนึ่ง55555 สิตาทำแบบไม่มีถามพี่ชายสักคำเลยนะนี่ ใจสลายแน่นอนภูธนาเอ๋ย หวังว่าสิบล้านคงเอาไปให้หนี้นะ ขอละ สงสารพี่ชายเธอสักนิดก็ยังดี เห้อ สงสารลุงธนา T___T รอตอนต่อไปน้าาา

จริงด้วยค่า มือใหม่ แก้หน้า 2 ให้เรียบร้อยแล้วค่ะ ขอบคุณนะคะ  :z3:
อยากจะตียัยสิตา แรงๆ 5555
หัวข้อ: Re: กว่าจะเข้ากันได้ โดย เขมกันต์ อัพเดท [บทที่ 5 สัญญา] หน้า 2 - 01/02/2559 ค่ะ
เริ่มหัวข้อโดย: monoii ที่ 02-02-2016 06:06:03
ฝากตบยัยสิตาสามทีได้ม่ะ
อ่านแล้วอินอ่ะ
หัวข้อ: Re: กว่าจะเข้ากันได้ โดย เขมกันต์ อัพเดท [บทที่ 5 สัญญา] หน้า 2 - 01/02/2559 ค่ะ
เริ่มหัวข้อโดย: stickyyrice ที่ 02-02-2016 10:08:20
เเย่ๆ เกลียดดด ขอตบที
หัวข้อ: Re: กว่าจะเข้ากันได้ โดย เขมกันต์ อัพเดท [บทที่ 5 สัญญา] หน้า 2 - 01/02/2559 ค่ะ
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 02-02-2016 11:06:21
สิบล้านนี่จะถูกแบ่งไว้ให้ใช้หนี้บ้างไหมนะ หรือว่านางจะเปิดตูดหนีไปสุขสบายอยู่คนเดียว
แต่ถ้าแบ่งให้ภูธนาก็คงไม่ดีใจหรอก ที่ได้เงินแต่ต้องเสียหลาน
หัวข้อ: Re: กว่าจะเข้ากันได้ โดย เขมกันต์ อัพเดท [บทที่ 5 สัญญา] หน้า 2 - 01/02/2559 ค่ะ
เริ่มหัวข้อโดย: kun ที่ 03-02-2016 21:10:16
พ่อลูกจะได้เจอแล้ว
แล้งลุงล่ะจะเอาเข้าบ้านยังไงน่ะ
หัวข้อ: Re: กว่าจะเข้ากันได้ โดย เขมกันต์ อัพเดท [บทที่ 5 สัญญา] หน้า 2 - 01/02/2559 ค่ะ
เริ่มหัวข้อโดย: cheezett ที่ 03-02-2016 22:18:38
หวังว่านางคงเอาเงินไปใช้หนี้นะ  :ling3: :katai1:
 :pig4: :L2: ขอบคุณคนเขียนค่ะ มาต่อบ่อยๆน้า
หัวข้อ: Re: กว่าจะเข้ากันได้ โดย เขมกันต์ อัพเดท [บทที่ 5 สัญญา] หน้า 2 - 01/02/2559 ค่ะ
เริ่มหัวข้อโดย: เขมกันต์ ที่ 04-02-2016 20:03:37
ขอบคุณทุกคอมเมนท์เลยค่า พรุ่งนี้จะมาลงตอน 6 นะคะ

 :mew1: :mew1: :mew1: :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: กว่าจะเข้ากันได้ โดย เขมกันต์ อัพเดท [บทที่ 5 สัญญา] หน้า 2 - 01/02/2559 ค่ะ
เริ่มหัวข้อโดย: เขมกันต์ ที่ 05-02-2016 21:54:07

บทที่ 6 ตัดใจ


   ภูสิตาหิ้วถุงหลายใบจากร้านค้าชื่อดัง  เดินเข้าห้องเช่า ฮัมเพลงในคออย่างอารมณ์ดี สร้างความแปลกใจให้กับภูธนาเป็นอย่างมากว่าวันนี้น้องสาวของเขามีเรื่องอะไรดีๆ เกิดขึ้น


   "ดูท่าทางอารมณ์ดีนะ" ภูธนาอดไม่ได้ที่จะถาม


   "นิดหน่อยค่ะ แล้วน้องภูล่ะคะ" ภูสิตาเห็นพี่ชายนั่งทำงานอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์คนเดียว


   "หลับอยู่ในห้องแน่ะ ว่าแต่ซื้ออะไรมาเต็มมือ ประหยัดๆ หน่อยสิ ยัยสิตา พี่ไม่ได้มีเงินมากเหมือนเมื่อก่อนแล้วนะ" เห็นข้าวของในมือของ   ภูสิตาเยอะขนาดนั้น ภูธนาเลยจำเป็นต้องตักเตือน


   "ต่อจากนี้ พี่ธนาไม่ต้องลำบากแล้วนะคะ สิตาช่วยพี่ได้แล้วค่ะ"   ภูสิตาไม่อารมณ์เสียที่โดนบ่น แต่กลับยิ้มแย้มแจ่มใสกลับมาแทน


   "ภูสิตา แกไปทำอะไรมาหรือเปล่า ท่าทางของแกทำให้พี่รู้สึกไม่ค่อยดีนะ" ชายหนุ่มวางมือจากแป้นพิมพ์แล้วหันมาสบตาน้องสาวอย่างจริงจัง


   "ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว งั้นสิตาไม่ปิดบังพี่แล้วละกันนะคะ" ภูธนาไม่ตอบอะไร กลับนั่งรอฟังภูสิตาอย่างใจจดใจจ่อ


   "พี่ธนาจำเรื่องพ่อของน้องภูได้มั้ยคะ"


   "ได้ ทำไม"


   "นั่นล่ะค่ะ สิตายกน้องภูให้เขาไปแล้วนะคะ" ภูสิตาพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่ไม่รู้สึกทุกข์ร้อนอะไร


   "แกว่าอะไรนะ!! ภูสิตา แกยกลูกตัวเองให้คนอื่นได้ยังไงกัน" ภูธนาถึงกับลุกขึ้นยืนแล้วพูดด้วยความโมโห ทำไมน้องสาวของเขาถึงยอมยกลูกให้คนอื่นได้ง่ายดายนัก คิดแล้วภูธนาแทบจะทนไม่ไหวกับการกระทำของน้องสาว


   "คนอื่นที่ไหนกันคะ ก็พ่อน้องภูแท้ๆ ค่ะ"


   "แกรู้ได้ยังไงสิตา ว่าเค้าเป็นพ่อจริงๆ"


   "สิตาพาน้องภูไปตรวจ DNA มาแล้วค่ะ คุณดินก็เห็นผลแล้วด้วยค่ะ"


   "จะให้พี่ทำยังไงดีกับแก หา!! สิตา พี่ไม่เคยโกรธที่แกทำตัวแบบนี้ แต่ครั้งนี้พี่โกรธแกจริงๆ แกไม่รักลูก ไม่คิดถึงลูกหรือไง ถ้าน้องภูต้องไปอยู่กับคนอื่น"


   "โอ้ย พี่ธนา น้องภูไปอยู่กับพ่อแกนะคะ คุณดินเค้าเลี้ยงน้องภูได้ดีกว่าเรา 2 คนแน่นอนค่ะ นี่ไงคะ เงินค่าเลี้ยงน้องภู" ภูสิตาหยิบสมุดบัญชีขึ้นมาเปิดหน้าตัวเลขคงเหลือที่มีอยู่ในบัญชีให้พี่ชายดู


   "เอาเงินไปคืนเค้าซะ พี่ไม่ให้หลานของพี่ไปอยู่กับคนอื่น ไม่ว่าหน้าไหนก็ตาม พี่ก็ไม่ให้" ภูธนาลดเสียงลงต่ำ พยายามสะกดกลั้นอารมณ์ โมโหอย่างสุดความสามารถ


   "ไม่ได้หรอกค่ะ สิตาเซนต์สัญญายกน้องภูให้ไปแล้ว"


   "จะให้พี่ทำยังไงกับแก หา! สิตา แกนี่มัน ไม่ได้เรื่องที่สุด!"


   "หนูก็ไม่เคยได้เรื่องในสายตาพี่อยู่แล้วนี่คะ หนูก็เป็นของหนูแบบนี้ หนูเบื่อ หนูอยากเที่ยว อยากมีเงินใช้ หนูไม่อยากเลี้ยงลูก หนูไม่อยากมีภาระ" ภูสิตาระเบิดเสียงดังใส่พี่ชายไม่แพ้กัน เธอไม่ชอบการโดนต่อว่าทุกรูปแบบ แล้วนี่นับว่าเป็นครั้งแรกที่ภูสิตาโดนพี่ชายต่อว่าอย่างรุนแรง ไม่ว่าจะกี่ครั้งที่เธอจะทำผิดมากน้อยแค่ไหน พี่ชายก็ไม่เคยพูดให้ได้ยินสักครั้ง


   "สิตา พี่ขอร้อง ไปบอกพ่อของน้องภู ขอให้น้องภูกลับมาอยู่กับเรา แล้วเค้าจะมาเยี่ยมน้องภูเมื่อไหร่ก็ได้ พี่จะไม่ห้าม" เมื่อเห็นว่าน้องสาวมีท่าทางเริ่มแข็งกร้าวขึ้นมา ภูธนาจึงเปลี่ยนมาใช้ไม้อ่อนเผื่อว่าจะเปลี่ยนใจภูสิตาได้


   "ไม่ล่ะค่ะ หนูจะไม่เอาลูกกลับมาเลี้ยงอีกค่ะ หนูอยากเป็นอิสระแล้ว" ภูสิตายืนกรานอย่างหนักแน่นกับความคิดของตนเอง


   "ภูสิตา พี่ขอร้อง" ภูธนาเอ่ยคำขอร้องด้วยความเจ็บปวดออกมาอีกครั้ง


   "แล้วเรื่องหนี้ พี่เอาเงินที่ได้มาไปใช้หนี้หมดซะนะคะ หนูไม่อยากเจอพวกนั้นอีก" ภูสิตาไม่อยากพูดถึงเรื่องภูบดินทร์อีก หญิงสาวจึงเปลี่ยนหัวข้อที่จะคุยใหม่


   "สิตา..." ภูธนาเอ่ยเสียงแผ่วเบา แต่ภูสิตาก็ไม่สนใจอะไรอีกแล้ว


   "พรุ่งนี้ หนูจะให้คุณดินมารับน้องภูไป แล้วพี่อยากไปหาน้องภูล่ะก็ ในสัญญาบอกว่าหนูกับพี่มีสิทธิ์ไปหาน้องภูได้ตลอดเวลาค่ะ พี่ไม่ต้องห่วงว่าจะไม่ได้เจอน้องภูอีกหรอกนะคะ" ภูธนาไม่ตอบอะไร ชายหนุ่มกลับเดินเข้าห้องนอนของตัวเองไป




   นานแล้วที่ไม่ได้ร้องไห้ นานแล้วที่ไม่ได้เสียน้ำตา ไม่ว่าจะเกิด     เรื่องยากลำบากขนาดไหน เจอพวกทวงหนี้มาคอยก่อกวนแค่ไหน หรือจะต้องวิ่งรอกหาเงินมาใช้มากแค่ไหน แต่ภูธนาก็ไม่เคยร้องไห้ ชายหนุ่มรู้ดีว่าน้ำตาไม่ช่วยอะไร และยังไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้ด้วย แต่ครั้งนี้  ภูธนาทนไม่ไหวจริงๆ




   ภูบดินทร์ เด็กน้อย หน้าตาจิ้มลิ้ม ใบหน้าขาวอมชมพู แก้มกลมๆ น่าหยิก ผมสั้นตรง และนัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนที่ดึงดูด  คนที่พบเห็นให้พา กันหลงใหลและเอ็นดู แต่อีกไม่นานภูธนาจะไม่มีโอกาสได้เลี้ยงเด็กคนนี้อีกแล้ว




   เช้าวันรุ่งขึ้น ภูธนาตื่นขึ้นมาทำอาหารตั้งแต่เช้าตรู่ เมื่อคืนนี้ชายหนุ่มนอนไม่ค่อยหลับ กระสับกระส่าย เพราะความกังวลเรื่องของหลานชาย




   "ลุงธนาฮะ น้องภูหิวแล้ว" เด็กชายตัวน้อยตื่นแต่เช้าเช่นเดียวกัน  ภูบดินทร์เดินออกมาจากห้องนอนที่ภูธนาเปิดประตูทิ้งเอาไว้


   "หิวแล้วเหรอครับ เอ้าไปแปรงฟันกับลุงก่อนนะ เด็กดี แล้วเดี๋ยวเราค่อยมาทานข้าวกันนะครับ ตกลงมั้ย" ภูธนาเดินเข้าไปอุ้มเด็กน้อยเพื่อพาไปห้องน้ำก่อนจะพาไปทานอาหารเช้า
   




   หลังจากอิ่มมื้อเช้าแล้ว ภูธนาใช้ทุกช่วงเวลาอยู่ใกล้ชิดและคอยดูแลหลานให้มากที่สุด เวลาที่จะได้อยู่กับหลานชายนี้เหลืออีกไม่มาก ชายหนุ่มอยากจะเก็บเกี่ยวช่วงเวลาเหล่านี้ไว้ให้มากที่สุด
   

   ก๊อก ... ก๊อก ...


   เสียงเคาะประตูดังขึ้น ภูธนาชะงักมือที่กำลังเล่นอยู่กับหลานชาย แต่ยังไม่ทันที่จะลุกขึ้นไปดูว่าใครมา ภูสิตากลับเดินออกไปเปิดประตูเรียบร้อยเสียแล้ว



   "สวัสดีค่ะ คุณดิน  เอ่อ คุณ" หญิงสาวเอ่ยทักทายบดินทร์เสียงใส


   "สวัสดีครับ แล้วนี่ลูกพี่ลูกน้องผมเองครับ ชื่อพัต" วันนี้บดินทร์ไม่ได้มาเพียงลำพัง เนื่องจากเจ้าตัวคิดว่าอาจจะมีสัมภาระค่อนข้างมาก จึงชักชวนบริพัตรให้ออกมาเป็นเพื่อนกัน ซึ่งชายหนุ่มก็ไม่ได้อิดออดอะไร กลับยินดีด้วยซ้ำ


   "สวัสดีครับ"  บริพัตรส่งเสียงทักทายแผ่วเบา ใบหน้าชายหนุ่มก้มหน้าลง เส้นผมหนาปรกบังใบหน้าทำให้มองเห็นใบหน้าไม่ชัด ภูสิตาลอบมองชายหนุ่มที่ยืนอยู่ด้านหลังของบดินทร์ พบว่าบริพัตรสวมใส่เสื้อผ้า   ยับย่น ถึงจะไม่มีรอยเปรอะเปื้อนบนเสื้อผ้าแต่ก็รู้สึกกับชายหนุ่มไม่ค่อยดีนัก


   "เข้ามาก่อนสิคะ น้องภูนั่งเล่นกับคุณลุงอยู่ข้างในค่ะ" ภูสิตาเบี่ยงตัวออกเล็กน้อยเพื่อให้บดินทร์ได้เดินผ่านเข้าห้องไปได้โดยสะดวก และแทบกลั้นหายใจเมื่อบริพัตรเดินตามเข้ามา ถึงจะไม่ได้กลิ่นพึงประสงค์จากชายหนุ่ม แต่การกระทำของภูสิตาก็เป็นไปตามอัตโนมัติ





   ถึงจะไม่เคยพบเห็นหน้า แต่ภูธนาก็เดาได้ไม่ยากว่าคนตรงหน้าเป็นใคร เพราะไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม หากเห็นใบหน้าของบดินทร์และภูบดินทร์พร้อมกันก็ต้องย่อมเข้าใจได้ดีว่า คนทั้ง 2 คนต้องมีความเกี่ยวข้องกันเป็นแน่ แต่ชายหนุ่มที่เดินตามหลังบดินทร์มานั้น ทั้งที่ภูธนายังมองเห็นใบหน้าไม่ชัด แต่กลับรู้สึกไม่ค่อยถูกชะตาเท่าไหร่นัก แต่ไม่อาจหาเหตุผลได้ว่าเพราะอะไร


   "สวัสดีครับ ผมเป็นลุงของน้องภู ชื่อธนาครับ" ภูธนากล่าวทักทายตัวเองก่อน


   "สวัสดีครับ ผม บดินทร์ครับ ขอโทษครอบครัวของคุณด้วยนะครับ ที่ทำให้ต้องเกิดเรื่องราวแบบนี้" บดินทร์ไม่ได้อธิบายให้ละเอียดนั้น แต่ความหมายที่สื่อก็คงจะหนีไม่พ้นเรื่องของภูบดินทร์


   "เรื่องมันผ่านมาแล้ว ช่างมันเถอะครับ เชิญนั่งก่อนสิครับ" ภูธนาบอกปัดไปอย่างไม่สนใจ ชายหนุ่มพยายามที่จะฝืนยิ้มให้กับอีกฝ่าย แต่ดูจะยากเย็นเต็มที


   "ขอบคุณครับ" บดินทร์ตอบรับคำเชิญก่อนจะย่อตัวลงนั่งพร้อมบริพัตร


   "พี่ดิน เรื่องนั้น" บริพัตรกระซิบบอกลูกพี่ลูกน้องเพื่อให้เข้าเรื่องที่มาวันนี้เสียที


   "วันนี้ผมมารับน้องภูไปอยู่ด้วยครับ และผมอยากให้คุณธนาและคุณภูสิตาไว้ใจผมว่าจะเลี้ยงน้องภูเป็นอย่างดี จะมอบการศึกษาให้เท่าที่น้องภูต้องการ และไม่ทอดทิ้งแกให้ต้องลำบากแน่นอนครับ" บดินทร์บอกให้อีกฝ่ายรับทราบเพื่อลดความกังวลใจ


   "สัญญากับผมนะครับ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม คุณห้ามทิ้งน้องภูเด็ดขาด และถ้าวันนึงหากไม่รัก ไม่สนใจเด็กคนนี้แล้ว ช่วยพาเค้ากลับมาหาผม ผมจะดูแลเค้าเอง" ภูธนาสบตากับบดินทร์แล้วบอกความรู้สึกที่แท้จริงของตนเองออกไป


   "จะไม่มีวันนั้นแน่นอนครับ คุณภูธนา ผมสัญญาได้ครับ" บดินทร์รับปากคำด้วยความจริงใจ


   "สิตาเก็บของน้องภูให้เรียบร้อยแล้วนะคะ อยู่ในห้อง เดี๋ยวรบกวนคุณเข้าไปยกกันเองนะคะ สิตาถือไม่ไหว มันหนักน่ะค่ะ" ภูสิตาส่งเสียงขึ้นแทรกก่อนจะชี้มือไปยังห้องนอนที่มีของวางอยู่



   บริพัตรลุกขึ้นเดินไปยังห้องนั้นทันที ชายหนุ่มหิ้วของพะรุงพะรังเต็ม 2 มือ ภูสิตาเปิดประตูห้องรอไว้อยู่แล้ว บริพัตรไม่พูดอะไรนอกจากหิ้วของนั้นออกไปจากห้องเพื่อไปเก็บที่รถ


   "ไปกันเถอะค่ะ คุณดิน เดี๋ยวสิตาจะพาน้องภูไปส่งพร้อมกับคุณเลยนะคะ พี่ธนาจะไปด้วยกันมั้ยคะ" ภูสิตาหันมาถามพี่ชาย แต่ภูธนากลับส่ายหน้าปฏิเสธ


   "น้องภู ไปกับแม่นะ เดี๋ยวคุณพ่อจะพาไปซื้อขนมอร่อยๆ นะครับ" ภูสิตาก้มลงอุ้มภูบดินทร์ขึ้นมา


   "แล้วลุงธนาจะไปด้วยมั้ยฮะ" เด็กน้อยถามด้วยความอยากรู้


   "ไม่หรอกครับ ลุงจะรอน้องภูอยู่ที่นี่แหละครับ น้องภูไปเที่ยวเถอะนะ แล้วห้ามดื้อ ห้ามซน เป็นเด็กดี เชื่อฟังนะครับ"


   "ได้ครับ น้องภูไปไม่นานเดี๋ยวน้องภูจะซื้อขนมมาฝากลุงธนานะฮะ" ภูธนาได้ยินคำพูดเจื้อยแจ้วของหลานชายแล้วอดที่จะก้มลงหอมแก้มกลมแรงๆ นั้นไม่ได้ด้วยความหมั่นเขี้ยว


   "น้องภูบ๊ายบายคุณลุงก่อนสิครับ ไปกันเถอะค่ะ คุณดิน"             ภูบดินทร์โบกมือให้กับคุณลุง ทำตามผู้เป็นแม่บอกโดยดี




   เด็กน้อยไม่รู้เลยว่าการโบกมือลาครั้งนี้ คือการที่จะไม่ได้พบเจอลุงธนา ลุงที่ใจดีของเด็กชายคนนี้อีกแล้ว




   ภูธนาจับมือที่โบกมืออยู่นั้น บีบมือแน่นๆ ก่อนจะปล่อยให้ภูสิตาพาเด็กน้อยออกจากห้องไป




   ทันทีที่ประตูปิดลง หัวใจของเขาแทบจะแตกออกเป็นเสี่ยงๆ  ภูธนากลับร้องไห้ออกมาอย่างไม่อาย
 






Talk:.

มาตอน 6 ตามที่บอกไปเมื่อวานนี้นะคะ มาลงดึกหน่อย คงไม่ว่ากันโนะ >< พาร์ทนี้ยิ่งอยากจะโมโหสิตาสุดๆ ไปเลย
สงสารคุณลุงด้วย อาา

 :mew6: :mew6: :mew6: :mew6: :mew6: :mew6:



ด้วยรัก
เขมกันต์


หัวข้อ: Re: กว่าจะเข้ากันได้ โดย เขมกันต์ อัพเดท [บทที่ 6 ตัดใจ] หน้า 2 - 05/02/2559 ค่ะ
เริ่มหัวข้อโดย: cheezett ที่ 05-02-2016 22:20:50
ยัยสิตา!!!! :katai1: บริพัตรคู่สิตาปะคะ55555
ลุ้นๆๆๆตอนต่อไปค่าา  :L2:  :pig4:
หัวข้อ: Re: กว่าจะเข้ากันได้ โดย เขมกันต์ อัพเดท [บทที่ 6 ตัดใจ] หน้า 2 - 05/02/2559 ค่ะ
เริ่มหัวข้อโดย: yisren. ที่ 06-02-2016 00:22:42
เกลียดดดอดด ทำไมไร้หัวใจกับพี่ชายได้ขนาดนี้หืมมมม อยากรู้ว่าลุงธนาจะทำไงต่อ รอต่อนะคะ
หัวข้อ: Re: กว่าจะเข้ากันได้ โดย เขมกันต์ อัพเดท [บทที่ 6 ตัดใจ] หน้า 2 - 05/02/2559 ค่ะ
เริ่มหัวข้อโดย: mukmaoY ที่ 06-02-2016 11:10:48
ใครคู่ใครนิ งงแล่ว ดูเอนเอียงไปที่พัต
หัวข้อ: Re: กว่าจะเข้ากันได้ โดย เขมกันต์ อัพเดท [บทที่ 6 ตัดใจ] หน้า 2 - 05/02/2559 ค่ะ
เริ่มหัวข้อโดย: เขมกันต์ ที่ 08-02-2016 20:09:44

บทที่ 7 ทุกข์ใจ


   ภูธนาไขกุญแจเข้าห้องพัก แล้วโยนกระเป๋าเป้ลงบนโซฟาอย่างไม่ใส่ใจเท่าไหร่นัก ชายหนุ่มมองไปรอบๆ ห้อง ที่ดูเงียบเหงาเกินไปเมื่อไม่มีภูบดินทร์คอยส่งเสียงเจื้อยแจ้วชวนภูธนาคุยไปตามประสา ห้องนี้ดูสะอาดเป็นระเบียบเรียบร้อยเกินไป เมื่อไม่มีของเล่นของเด็กชายตัวน้อยวางระเกะระกะไปทั่วทุกพื้นที่ว่างภายในห้อง



   ผ่านไป 2 วัน แล้ว ภูธนาไม่รู้ว่าน้องภูจะเป็นอย่างไรบ้าง เด็กน้อยจะกินข้าวได้เยอะมั้ย งอแงหรือเปล่า นอนหลับสบายหรือไม่ ภูธนากังวลไปเสียทุกอย่าง และก็หยุดคิดถึงหลานชายไม่ได้สักที ไม่ว่าจะทำอะไร ชายหนุ่มก็พลอยที่จะนึกถึงแต่ใบหน้าน้อยๆ ที่น่าฟัดตลอดเวลา





   "เฮ้อ" ภูธนาถอนหายใจอีกครั้ง


   ถึงใจจะอยากไปหาภูบดินทร์เพียงใดแต่ภูธนาก็ต้องเข้มแข็งหักห้ามใจเอาไว้ หากว่าตัวเขาโผล่หน้าไปหาหลานชายตอนนี้ อาจจะเกิดปัญหาหรือความยุ่งยากใจให้กับพ่อของน้องภูก็เป็นได้



   ภูสิตา หลังจากที่นำเงินมาให้เขาไปใช้หนี้จนหมดเรียบร้อยแล้ว ตอนนี้ก็ยังไม่พบหน้าตาของน้องสาวตัวดีคนนี้เลย ไม่มีแม้กระทั่งข้อความที่จะติดต่อกลับมาเช่นกัน ชายหนุ่มไม่รู้ว่าตอนนี้ภูสิตาอยู่ที่ไหน แต่ภูธนาก็เหนื่อยและยังโกรธน้องสาวเกินกว่าที่จะติดต่อน้องสาว
   





   "ฮือ น้องภูจะกลับบ้าน น้องภูคิดถึงลุงธนา น้องภูอยากกลับบ้าน" ล่วงเข้าวันที่ 2 แล้วแต่ภูบดินทร์ก็ยังร้องไห้ไม่หยุด เด็กน้อยร้องไห้จนหลับ และเมื่อตื่นขึ้นมาก็ร้องไห้หาผู้เป็นลุงตลอดเวลา



   บดินทร์ปวดใจกับภาพที่เห็น เขาพยายามปลอบลูกให้หยุดร้องไห้ แต่ก็ไม่สำเร็จ นอกจากเด็กชายจะไม่หยุดร้องแล้ว แต่เมื่อเห็นหน้าของเขากลับยิ่งร้องไห้หนักกว่าเดิม ภูบดินทร์ไม่ยอมให้บดินทร์ถูกเนื้อต้องตัว เด็กชายร้องไห้เสียงดังทุกครั้งที่    รู้ว่าบดินทร์พยายามที่จะเข้ามาหา



   ชายหนุ่มไม่รู้จะทำอย่างไรดีกับเหตุการณ์นี้ ใจหนึ่งก็เกรงใจหากจะต้องไปขอคำปรึกษาจากภูธนา แต่อีกใจหนึ่งก็สงสารภูบดินทร์อย่างมาก เด็กชายร้องไห้จนเพลีย ไม่เพียงแต่บดินทร์ที่จะหนักใจ แม้กระทั่งบริพัตรเองก็หนักใจไม่แพ้กัน ชายหนุ่มพยายามหลอกล่อให้เด็กชายได้ทานข้าวบ้าง กว่าจะผ่านแต่ละคำก็เล่นเอาบริพัตรแทบกระอัก น้องภูทั้งพ่นข้าว ทั้งคายข้าว ทั้งปัดข้าวหก ครบทุกสูตรของเด็กดื้อ แต่บริพัตรก็อดทนเพราะเข้าใจได้ดีว่าเป็นเรื่องธรรมดา เด็กน้อยย่อมต้องคิดถึงผู้เป็นลุงที่เลี้ยงมา   



   "น้องภูหลับแล้วเหรอ พัต" บดินทร์นั่งกุมขมับอยู่ตรงโซฟา เมื่อเห็นบริพัตรออกมาจากห้องของเด็กชายแล้วปิดประตูลงอย่างเงียบเชียบ


   "ครับ ร้องไห้จนเหนื่อย"


   "พี่จะทำยังไงกับน้องภูดีล่ะ พัต" บดินทร์ถามออกไปด้วยน้ำเสียงเหนื่อยอ่อน


   "ถ้าปล่อยไว้แบบนี้ น้องภูอาจจะป่วยเอาก็ได้นะครับ"


   "นั่นสิ เมื่อวานก็เริ่มมีอาการไอแล้วด้วย พี่เองก็ไม่ค่อยรู้เรื่องการเลี้ยงเด็กเท่าไหร่ จะพาแกไปหาหมอ หรือเราควรหาพี่เลี้ยงมาดูแลน้องภูก่อนดีมั้ย พัต" บดินทร์เริ่มมีความคิดว่าควรจะจัดการเรื่องนี้อย่างไร


   "พี่เลี้ยงเหรอครับ"


   "ใช่ ถ้าเราหาพี่เลี้ยงที่เป็นงานหน่อย ก็น่าจะดูแลน้องภูได้ไม่ยาก"


   "แต่ว่า พี่เลี้ยงดีๆ นี่หายากมากเลยนะครับ ผมเห็นในเน็ต มีข่าวเยอะแยะที่พี่เลี้ยงทำร้ายเด็กในช่วงที่พ่อแม่เด็กไปทำงาน"


   "มันก็จริง แต่บ้านเราก็มีกล้องวงจรปิดติดไว้อยู่แล้วนี่นา คงไม่น่าเป็นห่วงอะไรมั้ง"


   "ถึงจะมีกล้องแต่ก็ยังไม่น่าไว้ใจหรอกครับ ยิ่งน้องภูเป็นลูกของพี่ด้วย เราน่าจะต้องรอบคอบกว่านี้"


   "จริงของนาย พี่นี่ใช้ไม่ได้เลย" พอได้ฟังคำอธิบายจากบริพัตรแล้ว บดินทร์ถึงได้รู้ว่าความคิดของเขามันช่างเป็นการคิดตื้นๆ เสียจริง


   "แล้วจะเอาไงดีล่ะ ลาพักร้อนที่พี่ลาไว้ก็เหลืออีกไม่กี่วัน ถ้าหลังจากนี้ น้องภูจะอยู่กับใคร"


   "ถ้าพี่ดินไม่ว่าอะไร ผมอยากจะให้ลุงของน้องภูมาดูแลหลานเองดีกว่ามั้ยครับ ผมพอรู้มาว่า คุณภูธนาเพิ่งเรียนจบและยังไม่มีงานทำที่ไหน ถ้ายังไงแล้ว เราก็จ้างเค้ามาทำงานที่นี่เลยดีมั้ยครับ" บริพัตรลองเสนอความเห็นที่เจ้าตัวได้คิดมาตั้งแต่แรก


   "จะดีเหรอ ทางนั้นจะมองว่าเราไม่มีความสามารถหรือเปล่า เอาลูกมาเลี้ยงก็ยังเลี้ยงไม่ได้เลย" บดินทร์ไม่แน่ใจนักกับความคิดของบริพัตร เพราะก็ไม่อยากให้ภูธนามองตัวเขาเองในแง่ไม่ดี


   "ผมว่า น้องภูสำคัญที่สุดนะครับ ส่วนเรื่องอื่นๆ เราคงต้องยอมรับว่าเราเลี้ยงไม่ไหว แล้วน้องภูก็ติดคุณลุงมาก อีกอย่าง ถ้าลุงกับหลานผูกพันธ์กันจริง คุณภูธนาคงอยากมาดูแลน้องภูด้วยตัวเองอยู่แล้วครับ ผมว่านี่น่าจะเป็นทางออกที่ดีที่สุดแล้วในตอนนี้"


   "เอาอย่างนั้นเหรอ พัต พี่รู้สึกไม่ค่อยสบายใจ" บดินทร์ยังไม่ค่อยแน่ใจเท่าไหร่นัก


   "เอาอย่างนี้แหละครับ เราก็ไม่ได้ให้คุณภูธนามาเลี้ยงน้องภูเฉยๆ ก็จ้างคุณภูธนาทำงานเป็นเรื่องเป็นราว ส่วนเรื่องที่พัก บ้านเราก็มีตั้งหลายห้อง ถ้าเค้าไม่รังเกียจจะนอนกับน้องภูหรือจะนอนที่ห้องอื่นก็ย่อมได้นะครับ"


   "เอา งั้นตกลงตามนี้ พรุ่งนี้พี่จะพาน้องภูไปหาคุณภูธนา ทางนั้นจะได้ยอมใจอ่อนกับเรา"


   "ดีครับ" บริพัตรตอบสั้นๆ แล้วจึงเอื้อมมือไปหยิบหนังสือที่ยังอ่านค้างไว้ตรงโต๊ะกระจกหน้าโซฟา


   "แล้วที่ทำงานเป็นไงบ้าง ยังมีปัญหาอยู่มั้ย" ช่วงนี้บดินทร์ไม่ค่อยได้ถามเรื่องส่วนตัวของบริพัตรมากนักเพราะมัวแต่ยุ่งอยู่กับเรื่องของภูบดินทร์


   "ก็เหมือนเดิมครับ แต่ไม่เป็นไรหรอกนะครับ ชินแล้ว" บริพัตรตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบเหมือนเป็นเรื่องปกติ


   "จะชินได้ยังไงกันล่ะพัต ให้พี่ทำเรื่องย้ายนายไปแผนกอื่นดีมั้ย"


   "ไม่ต้องหรอกครับ ลำบากพี่ดินเปล่าๆ ไม่ต้องกังวลเรื่องนี้หรอกครับ"


   "น้องชายคนที่ร่าเริง ไม่ยอมแพ้ใคร ของพี่หายไปไหนแล้ว" ในที่สุดบดินทร์ก็อดที่จะถามสิ่งที่คาใจมาโดยตลอด


   "เด็กคนนั้น ตายไปแล้วครับพี่ดิน เหลือแค่ผม ที่เป็นแบบนี้ครับ" บริพัตรทิ้งท้ายไว้เท่านี้ก็วางหนังสือลงและลุกเข้าห้องนอนของตัวเองไป




   บริพัตรเปลี่ยนไปมาก หลายต่อหลายครั้ง ที่บดินทร์รู้สึกเหมือนกับว่าไม่เคยรู้จักน้องชายคนนี้มาก่อนเลย 1 ปีที่บริพัตรหายไประหว่างเรียนมหาวิทยาลัยในช่วงปี 4 ไม่มีใครติดต่อบริพัตรได้ ไม่มีใครรู้ว่าบริพัตรหายไปไหน ทุกคนรู้เพียงแค่ว่าบริพัตรดรอปเรียนปีสุดท้ายเอาไว้



   หลังจาก 1 ปี ที่หายไป บริพัตรกลับมาพร้อมแว่นตากรอบหนาอันใหญ่ ผมเผ้ารุงรัง ซ้ำยังไม่ใส่ใจดูแลตัวเองเท่าไหร่ และที่สำคัญรอยยิ้มและความสดใสของชายหนุ่มก็หายไปเช่นกัน ชายหนุ่มกลับมาเรียนต่อให้จบ ใช้ชีวิตไปเรื่อยๆ ไม่สนใจสิ่งรอบข้าง หากมีเวลาว่างชายหนุ่มก็จะเฝ้าอ่านแต่หนังสือ ไม่สนใจที่จะทำกิจกรรมอื่น



   เมื่อบริพัตรหางานทำไม่ได้สักที ในเวลานั้นบดินทร์ดำรงตำแหน่งหน้าที่เป็นผู้จัดการแผนกจึงชักชวนให้ชายหนุ่มเข้ามาทำงานที่บริษัทเดียวกับตนเอง บริพัตรก็ไม่ได้โต้แย้งอะไรยอมมาทำโดยดี แต่บดินทร์ไม่เคยรู้เลยว่าการที่ชักชวนบริพัตรมาทำงานนั้น สร้างความหมั่นไส้ให้กับคนในแผนกเป็นอย่างมาก บริพัตรถูกกลั่นแกล้งให้ทำงานของคนอื่น หากมีการผิดพลาด บริพัตรก็จะถูกใส่ร้ายโยนความผิดมาให้ แต่บริพัตรก็อดทน ไม่เคยพูดให้บดินทร์ได้ฟังเลยสักครั้ง



   จนกระทั่งชายหนุ่มได้เลื่อนตำแหน่งเป็นผู้บริหาร บริษัทจึงแต่งตั้งหัวหน้าแผนกคนใหม่ซึ่งเป็นน้องที่มหาวิทยาลัยเดียวกันกับบดินทร์ ชายหนุ่มเลยค่อนข้างรู้จักนิสัยของรุ่นน้องคนนี้ดี



   'มนัธญา' เป็นผู้หญิงเก่งคนหนึ่งเท่าที่บดินทร์เคยรู้จักมา รุ่นน้องคนนี้เป็นเด็กที่น่ารัก มีทั้งไหวพริบ ความฉลาดและมองเหตุการณ์ต่างๆ ได้เป็นอย่างดี แต่ออกจะกวนหรือห้าวเกินไปหน่อยสำหรับนิสัยของผู้หญิง และด้วยความที่เป็นคนที่ค่อนข้างสังเกตอะไรได้ดี  เรื่องราวที่เกิดขึ้นกับบริพัตร จึงไม่สามารถรอดพ้นจากสายตาของมนัธญาได้




   บดินทร์จึงได้รู้เรื่องการกลั่นแกล้งจากมนัธญานั่นเอง แต่บริพัตรกลับขอร้องไม่ให้ทั้ง 2 คน ออกหน้าปกป้องเจ้าตัวมากนัก เพราะไม่ต้องการให้ใครหมั่นไส้หรือมีอคติกับเขามากไปกว่านี้ บดินทร์และมนัธญาเลยต้องคอยเฝ้าดูอยู่ห่างๆ หากไม่นักหนาเกินไปนัก ทั้ง 2 คน ก็จะยังไม่แสดงตัวออกไป



   เผลอคิดเรื่องราวของบริพัตรเสียยืดยาว บดินทร์รีบไปอาบน้ำเพื่อเตรียมตัวเข้านอน พรุ่งนี้ชายหนุ่มจะพาน้องภูไปขอความช่วยเหลือจากภูธนา



   เสียงประตูห้องดังขึ้น ภูธนาขมวดคิ้วด้วยความแปลกใจเล็กน้อยว่าใครมีธุระในเวลาเช้าขนาดนี้ ชายหนุ่มรีบเดินไปประตู ส่องตาแมวเพื่อดูว่าคนที่มาเคาะประตูคือใคร แต่เมื่อส่องตาแมวแล้วก็ยิ่งแปลกใจ และแฝงด้วยความกังวลใจไปพร้อมกัน


   ทำไมบดินทร์ ถึงมาตั้งแต่เช้า หรือจะมีอะไรเกิดขึ้นกับน้องภู ด้วยความตกใจ ภูธนาจึงรีบเปิดประตูทันที


   "คุณบดินทร์ครับ มีอะไรเกิดขึ้นกับน้องภูหรือเปล่าครับ" เมื่อประตูถูกเปิดออก ภูธนาก็รีบถามออกไปโดยไม่รอช้า แต่ชายหนุ่มรู้สึกเหมือนมีใครมากอดขาของเขาไว้ ภูธนาจึงก้มมอง


   "น้องภู น้องภู" ภูธนาละล่ำละลักเรียกหลานชายด้วยความจริง ร่างสูง    ของชายหนุ่มรีบย่อตัวลงเพื่อกอดหลานชาย ลุงกับหลานทักทายกันด้วยความรัก ผลัดกันหอมแก้มกันคนทีละ


   "อะ แฮ่ม คุณภูธนาครับ" เสียงกระแอมดังเตือนให้ภูธนารู้สึกตัวว่าเขากับน้องภูไม่ได้อยู่กันตามลำพัง


   "อ่ะ ขอโทษครับ มัวแต่ดีใจเพลินไปหน่อย เชิญเข้าห้องก่อนครับ" ภูธนาอุ้มภูบดินทร์พาเข้าไปในห้องและปล่อยให้บดินทร์เดินตามเข้ามาทีหลัง


   "มีอะไรหรือเปล่าครับ ถึงมาแต่เช้า" ภูธนาจัดแจงหาของเช้าให้ภูบดินทร์นั่งทานที่โต๊ะอาหาร ก่อนจะยกน้ำดื่มมาให้บดินทร์ที่นั่งอยู่ที่โซฟาสีขาวในห้อง


   "ขอโทษนะครับ ที่มารบกวน แต่ผมก็มีเรื่องรบกวนคุณภูธนาจริงๆ นั่นแหละครับ ตั้งแต่ที่พาน้องภูไปวันนั้น น้องภูก็เอาแต่ร้องไห้หาคุณภูธนาตลอดเวลาเลย ผมกลัวว่าแกจะไม่สบายเสียก่อน"


   "รู้สึกเหมือนตัวจะอุ่นๆ นิดหน่อย ให้นอนพักเยอะๆ ก็น่าจะดีขึ้นครับ" ภูธนาให้คำแนะนำกับคุณพ่อมือใหม่


   "ครับ น้องภูร้องไห้หาคุณภูธนาตลอดเวลา ข้าวก็ไม่ยอมทาน และถ้าไม่เหนื่อยจริงๆ ก็ไม่ยอมนอนหรอกครับ ผมเป็นห่วงจริงๆ"


   "น้องภูเด็กดื้อกับคุณพ่อเหรอครับ" ประโยคนี้ภูธนาหันไปถามเด็กชายที่กำลังตักซีเรียลเข้าปากอย่างเอร็ดอร่อย ภูบดินทร์ไม่ได้ตอบอะไร แต่กลับส่ายหน้าแรงๆ แล้วยิ้มหวานให้กับลุงธนา ยิ้มแบบนี้ใครไม่ใจอ่อนก็แปลกแล้ว


   "อ้อ เรียกผมว่า ธนาเฉยๆ ก็พอครับ ได้ยินคุณเรียกเต็มยศแล้วแปลกๆ น่ะครับ"


   "ได้ครับ งั้นก็เรียกผมว่า ดิน นะครับ ยังไงเราก็ครอบครัวเดียวกันแล้ว"


   "ครับ ว่าแต่คุณดินไม่น่าจะพาน้องภูมาหาผมด้วยเรื่องเพียงเท่านี้หรอกนะครับ"


   "ครับ ถูกแล้วล่ะครับ"


   "เข้าเรื่องเถอะ  ไม่ต้องเกรงใจหรอกครับ" เมื่อเห็นบดินทร์ทำท่าลำบากใจ ภูธนาจึงกระตุ้นให้บดินทร์กล้าที่จะพูดออกมา


   "เพราะว่าที่บ้านที่อยู่มีเพียงผมกับน้องชายที่เป็นผู้ชายทั้งคู่ แล้วเราก็ไม่เคยเลี้ยงเด็กมาก่อน ครั้นจะหาพี่เลี้ยงที่มีประสบการณ์ เลี้ยงเด็กได้คล่อง พัต อ่อ บริพัตรน่ะครับ ก็เตือนว่าคนสมัยนี้ไว้ใจไม่ค่อยได้ ผมก็เลยยิ่งกังวล ดังนั้นผมก็เลย อยาก .... อยากที่จะ.." บดินทร์ค่อนข้างจะลำบากใจที่จะพูดต่อ


   "อยากที่จะอะไรเหรอครับ พูดมาเถอะครับ ผมฟังอยู่"


   "อยากที่จะขอร้องให้ธนาไปดูแลน้องภูด้วยกันที่บ้านของผมครับ ขอโทษที่ผมเสียมารยาทแต่ทราบมาว่าคุณเพิ่งเรียนจบและยังไม่มีงานทำ ผมก็เลยอยากจ้างให้คุณมาช่วยดูแลน้องภู เพราะถ้าเป็นคุณแล้ว ผมเชื่อว่าคุณจะดูแลน้องภูได้ดีกว่าใครทั้งหมดแน่ๆ ครับ"


   "คุณแน่ใจเหรอครับว่าอยากให้ผมไปเลี้ยงน้องภูจริงๆ"


   "ใช่ครับ ผมแน่ใจและแน่ใจมากด้วย" บดินทร์ตอบอย่างมั่นใจ


   "แล้วคุณแน่ใจได้ยังไงครับ ว่าผมอยากจะเลี้ยงน้องภู" คำพูดนี้ทำเอาบดินทร์อึ้งไปทันที เพราะไม่คิดมาก่อนว่าชายหนุ่มจะคิดปฏิเสธ


   "เรื่องนี้ผมเองก็ไม่แน่ใจหรอกครับ แต่ผมคิดว่าคุณคงผูกพันธ์กับน้องภู และคงอยากที่จะดูแลน้องภูให้เติบโตด้วยตัวเอง"


   "ถ้าคุณคิดว่าเลี้ยงเด็กคนเดียวไม่ได้ แล้วคุณจะมาเอาน้องภูไปทำไม" ชายหนุ่มเสียงดังขึ้น ภูธนาพยายามที่จะอดกลั้นความปวดร้าว แต่มันก็ยากเกินกว่าจะเก็บไว้ภายใน


   "ถึงคุณธนาจะมองว่าผมอาจจะไม่มีปัญญาเลี้ยงน้องภูได้ แต่อย่าลืมนะครับ ผมเป็นพ่อของน้องภู ผมก็มีสิทธิ์ในตัวภูบดินทร์พอๆ กับภูสิตาด้วยซ้ำ ถ้าผมรู้เรื่องก่อนหน้านี้ ปัญหาเหล่านี้คงไม่เกิด ผมคงจัดการให้ถูกต้องแต่แรก" บดินทร์เองก็หนักใจมากพออยู่แล้วที่จะมาขอร้องให้ภูธนาไปช่วยเลี้ยงหลาน แต่เมื่อโดนตอกหน้ากลับมาชายหนุ่มจึงอยากจะขอพูดสิทธิที่ตนพึงมีเช่นเดียวกัน


   "วันนี้คุณให้น้องภูอยู่ที่นี่ก่อน ผมจะคุยกับแกเอง แล้วเรื่องที่จะไปเลี้ยงน้องภู พรุ่งนี้ผมจะให้คำตอบละกันนะครับ ขอโทษที่เสียมารยาทนะครับ แต่วันนี้เชิญคุณกลับไปก่อนละกัน" ภูธนาไม่อยากจะเสียมารยาท แต่ชายหนุ่มไม่อยากจะฝืนตัวเองมากไปกว่านี้แล้ว ภูธนาเดินไปประตูห้องเพื่อเป็นการบอกบดินทร์ให้กลับไปก่อนอีกครั้ง









Talk:.

สวัสดีค่ะ ตอน 7 แล้วนะคะ น้องภูเด็กน้อยร้องไห้ตลอดเลย น่าสงสาร เดากันหน่อยมั้ยคะว่าคุณลุงจะไปหรือไม่ไปเอ่ย ^^


ด้วยรัก
เขมกันต์

หัวข้อ: Re: กว่าจะเข้ากันได้ โดย เขมกันต์ อัพเดท [บทที่ 7 ตัดใจ] หน้า 2 - 08/02/2559 ค่ะ
เริ่มหัวข้อโดย: yisren. ที่ 08-02-2016 22:25:23
จะไม่ไปไหวหรือออออออ ธนาดูสติหลุดๆ อย่างว่าเรื่องหลานรัก ส่วนคุณพ่อกับคุณอานี่ก็มือใหม่ของแท้เลย แกะกล่อง 555
หัวข้อ: Re: กว่าจะเข้ากันได้ โดย เขมกันต์ อัพเดท [บทที่ 7 ตัดใจ] หน้า 2 - 08/02/2559 ค่ะ
เริ่มหัวข้อโดย: monoii ที่ 09-02-2016 08:52:51
 :hao5: 
อู้ยยยยยยย  จะยังไงต่อเนี้ยะ มาต่อเร็วๆ นะ ลุ้น
หัวข้อ: Re: กว่าจะเข้ากันได้ โดย เขมกันต์ อัพเดท [บทที่ 7 ตัดใจ] หน้า 2 - 08/02/2559 ค่ะ
เริ่มหัวข้อโดย: mukmaoY ที่ 09-02-2016 11:45:02
ไปเถอะๆ
หัวข้อ: Re: กว่าจะเข้ากันได้ โดย เขมกันต์ อัพเดท [บทที่ 7 ตัดใจ] หน้า 2 - 08/02/2559 ค่ะ
เริ่มหัวข้อโดย: เขมกันต์ ที่ 12-02-2016 20:00:36

บทที่ 8  ตกลง



   เช้าวันถัดมา บดินทร์มายืนรอหน้าห้องที่พักของภูธนา ชายหนุ่มสองจิตสองใจว่าจะยืนรอจนกว่าจะถึงเวลาสมควรดี หรือจะเคาะประตูห้องเลย เพราะเวลานี้แม้แต่ห้างสรรพสินค้าก็ยังไม่เปิดให้บริการด้วยซ้ำ แต่ ไม่ทันต้องคิดให้เสียเวลามากไปกว่านี้ จังหวะนั้นภูธนาเปิดประตูห้องออกมา ชายทั้ง 2 ต่างตกใจด้วยกันทั้งคู่เพราะไม่คาดคิด



   "มานานหรือยังครับ" ภูธนาเป็นฝ่ายถามออกไปก่อน


   "เพิ่งมาถึงครับ"


   "ลุงธนาฮะ น้องภูไม่ไปกับคนนี้นะ" ภูบดินทร์ปล่อยมือที่ถูกจับจากมือของภูธนา เด็กชายเคลื่อนตัวไปยืนด้านหลังของผู้เป็นลุง หวังจะช่วยปกป้องตัวเองได้


   "ครับๆ ออกมายืนดีๆ ก่อนครับ" ภูธนาพยายามจับมือน้องภูไว้อีกครั้ง


   "จะไปไหนกันเหรอครับ" บดินทร์สังเกตจากอีกมือของภูธนาที่ถือกระเป๋าสตางค์สีดำเอาไว้


   "ไปมินิมาร์ทข้างล่างน่ะครับ พอดีนมสดกับซีเรียลของน้องภูหมด"


   "งั้น ผมขอไปช่วยถือนะ" ภูธนายืนนิ่งไม่ตอบอะไร บดินทร์เลยเลิกคิ้วเป็นเชิงรอคำตอบของอีกฝ่าย


   "ช่วยถอยออกไปหน่อยได้มั้ยครับ ยืนขวางแบบนี้ผมกับน้องภูออกจากห้องไม่ได้" บดินทร์เลยเข้าใจถึงความหมายที่ภูธนาบอกได้เป็นอย่างดี




   รอจนภูธนาลอคประตูห้องเรียบร้อย บดินทร์จึงค่อยๆ เดินตามหลังชายหนุ่มไป ส่วนภูบดินทร์น่ะเหรอ สะบัดมือที่ลุงจับมือไว้ รีบวิ่งไปยังลิฟท์ทันที ได้ยินแต่เสียงลุงธนาเอ็ดเสียงไม่ค่อยดังเท่าไหร่นักว่าให้ระวัง เดี๋ยวจะหกล้มไป


   ทั้งที่ตั้งใจจะลงไปซื้อแค่ 2 อย่าง แต่เมื่อถึงเวลาคิดเงินทำไมถึงมีของที่เกินความจำเป็นมาทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นคุ้กกี้เอย ขนมขบเคี้ยวเอย ลูกอมต่างๆ เอย และคนที่หยิบมานั้นไม่ใช่ใคร แต่เป็นบดินทร์ที่แย่งภูธนาไปจ่ายเงินคนนี้ต่างหาก


   "ขนมพวกนี้ คุณไม่ควรซื้อให้น้องภูทานบ่อยๆ นะครับ เด็กจะติดขนมและความหวานจะทำให้ไม่ค่อยทานข้าวได้นะครับ"  ภูธนาเตือนเสียงเบา ไม่กล้าพูดเยอะเกินไปนัก เพราะกลัวว่าบดินทร์จะเข้าใจว่าตนเองนั้นเข้าไปก้าวก่าย


   " ผมเองก็ไม่ค่อยรู้ครับ คิดแต่เพียงว่าอันนี้น้องภูน่าจะทานได้ ก็เลยซื้อไปทุกอย่างเลย เรื่องที่คุณธนาพูดมาเนี่ย คิดไม่ถึงจริงๆ ครับ ขอบคุณนะครับที่บอกกัน"


   "ไม่เป็นไรครับ อันไหนที่คุณไม่แน่ใจก็ถามผมได้นะครับ"
   



   หลังจากพากันกลับเข้าห้องของภูธนาอีกครั้ง ชายหนุ่มก็จัดแจงทำอาหารเช้าให้น้องภูง่ายๆ นมและซีเรียลที่เด็กน้อยโปรดปรานเป็นอย่างมาก ภูธนาเพิ่มคุณค่าทางอาหารอีกนิดหน่อยโดยการใส่ผลไม้ที่หั่นออกเป็นชิ้นเล็กๆ มีแอปเปิ้ลกับกล้วยที่ใส่ลงไปด้วย เด็กน้อยจะได้ทานง่ายๆ



   "คุณภูสิตาไม่ได้อยู่ที่นี่เหรอครับ" บดินทร์ถามด้วยความแปลกใจเพราะตัวเขาเองก็มาที่นี่หลายครั้ง แต่เคยเห็นภูสิตาอยู่ที่นี่เพียงแค่ครั้งเดียวในวันที่มารับน้องภูไปอยู่ด้วย


   "ก็ไม่เชิงหรอกครับ ผมเองก็ไม่เห็นหน้าน้องสาวมา 3-4 วันแล้ว"


   "แบบนี้คงเป็นห่วงแย่สินะครับ"


   "ยัยสิตาเอาตัวรอดได้เสมอแหละ" ภูธนาตัดบทสนทนาเสียงห้วนเพราะเวลานี้ชายหนุ่มก็ยังเคืองภูสิตาไม่หาย จึงไม่อยากที่จะพูดถึงน้องสาวในเวลานี้ ทำให้บดินทร์ไม่กล้าถามอะไรเพิ่มอีก



   ภูธนาพาหลานชายไปอาบน้ำผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าชุดใหม่ เรียบร้อยแล้ว เด็กชายตัวน้อยกำลังนั่งเล่นรถแข่งอยู่บนพื้น ภูธนามองภาพนั้นด้วยความรักและความเอ็นดูในตัวหลานชาย แต่ความจริงก็คือความจริง วันนี้คือวันสุดท้ายที่ภูบดินทร์จะอยู่กับเขา และเขาเองก็ตัดสินใจแล้ว



   "เรื่องที่จะให้ไปช่วยเลี้ยงน้องภูน่ะครับ" ภูธนาเปิดบทสนทนาเข้าเรื่องที่สำคัญ


   "ครับ ตกลงใช่มั้ยครับ" บดินทร์รอฟังคำตอบด้วยความหวัง แต่ก็ต้องผิดหวังกลับมาทันทีเช่นกัน เมื่อพบว่าภูธนาส่ายหน้าเบาๆ เป็นเชิงปฏิเสธ


   "ทำไมล่ะครับ"


   "ผมว่าไม่ค่อยดีเท่าไหร่ ถ้าหากผมจะไปดูแลน้องภูอยู่แบบนี้ ยังไงเสีย น้องภูก็อาจจะติดผมมากขึ้นไปอีกและทำให้ไม่ยอมอยู่กับคุณ" เหตุผลของภูธนานั้นก็ดูน่าเชื่อถืออยู่ไม่น้อย


   "ลองคิดดูใหม่อีกสักครั้งมั้ยครับ ถ้าคุณลำบากใจ ผมยังไม่เร่งรัดตอนนี้ก็ได้"


   "ผมคิดมาทั้งคืนแล้วครับ และคำตอบที่ผมให้ไป คิดว่าถูกต้องและเหมาะสมที่สุดแล้วครับ" ภูธนายังยืนกรานในความคิดตนโดยไม่เปลี่ยนใจ


   "น่าเสียดายนะครับที่คุณไม่อยากไปกับพวกเรา ถ้าเป็นอย่างนั้นผมคงทำอะไรไม่ได้ ถ้าคุณคิดถึงน้องภูเมื่อไหร่ก็ตาม คุณมาหาน้องภูหรือจะโทรให้ผมพาน้องภูมาหาได้ตลอดเลยนะครับ ไม่ต้องเกรงใจไปนะครับ"


   "ขอบคุณครับ ไปกันครับน้องภู กลับบ้านกับคุณพ่อนะครับ เดี๋ยวลุงไปส่งนะลูก" ภูธนาตอบรับน้ำใจของบดินทร์แล้วย่อตัวนั่งลงข้างๆ หลานชาย


   "ไม่ไปฮะ" เด็กน้อยพูดโดยไม่เงยหน้าของเล่น


   "วางของเล่นลง แล้วมองหน้าลุงก่อนครับ" น้ำเสียงราบเรียบ  ไม่ได้ดุดัน แต่กลับทำให้ภูบดินทร์วางของเล่นลงทันที บดินทร์รู้สึกทึ่งในความสามารถนั้นไม่น้อย


   "ทำไม่ถึงไม่ไปครับ"


   "ลุงธนาไม่ไปด้วยฮะ" เด็กชายตอบคำถามของลุง ด้วยคำตอบที่ภูธนาตอบบดินทร์ ใครว่าเด็กๆ ยังไม่เข้าใจเรื่องผู้ใหญ่ เด็กตาแป๋วคนนี้เข้าใจได้ดีเลยทีเดียวล่ะ


   "ลุงไปด้วยไม่ได้จริงๆ ครับ"


   "น้องภูจะอยู่กับลุงธนา น้องภูรักลุงธนาฮะ" คำพูดแค่ 2 ประโยคของหลานชาย สร้างความรู้สึกให้ภูธนาอย่างมาก หยดน้ำตาที่คลอ อยู่ก่อนแล้วเกือบจะไหลรินลงมา ชายหนุ่มจำต้องฝืนกลั้นเอาไว้ด้วยความยากลำบาก ภูธนาไม่อยากให้เด็กชายต้องมาเห็นน้ำตาในสถานการณ์ แบบนี้


   "ไม่ได้หรอกครับ ตอนนี้น้องภูมีคุณพ่อแล้ว ไปกับคุณพ่อนะ" ภูธนาเกลี้ยกล่อมเด็กชายอีกครั้ง


   ภูธนาอุ้มเด็กชายเข้ามาไว้ในอ้อมกอดและลุกยืนขึ้นเต็มความสูงก่อนที่จะส่งน้องภูให้บดินทร์มารับช่วงต่อ ภูบดินทร์กอดคอผู้เป็นลุงเอาไว้แน่น ขาขาวอวบอ้วนของเด็กชาย ถีบสะบัดไปมาด้วยความงอแง


   "ไม่ไป น้องภูไม่ไป ไม่ไป น้องภูไม่ไป" เด็กชายเริ่มร้องไห้งอแงเสียงดังพูดคำซ้ำๆ วนไปมา


   "โอ๋ๆ ไม่ร้องนะครับๆ" ภูธนาลูบหลังเด็กชายเบาๆ พลางเขย่าร่างในอ้อมแขนนั้นเล็กน้อย


   "ไม่ไปนะ น้องภูไม่ไป" ภูบดินทร์ยังคงร้องไห้ส่งเสียงดังไม่หยุด ไม่ว่าชายหนุ่มจะปลอบอย่างไร แต่หลานชายก็ยังร้องไห้จ้า


   "น้องภูครับ ถ้าลุงธนาไปอยู่กับเราที่บ้านใหม่ น้องภูจะไปมั้ยครับ" บดินทร์ขยับเข้ามาประชิดตัวภูธนา และชะโงกหน้าเข้าไปพูดกับภูบดินทร์ใกล้ๆ หู มือหนาค่อยๆ ลูบหัวลูกชายอย่างเบามือ การกระทำทั้งหมดของบดินทร์ทำให้ภูธนาตกใจค่อนข้างมาก ทำให้เจ้าตัวยืนนิ่งตัวแข็งทื่อไม่กล้าขยับ



   ใกล้เกินไปหรือเปล่านะ



   ภูบดินทร์ค่อยๆ หันมามองใบหน้าผู้เป็นพ่อ หยดน้ำตายังกลิ้ง ลงมาจากดวงตาคู่สวยมาสู่พวงแก้มชมพู ขนตาหนาเปียกชุ่มเกาะตัวกันเป็นกระจุก ปากอิ่มๆ ค่อยขยับพูดเบาๆ


   "ถ้าลุงธนาไปด้วย น้องภูก็ไปฮะ น้องภูจะอยู่กับลุงธนา" เด็กชายตอบเพียงเท่านั้นก็หันไปกอดคอลุงธนาอีกครั้ง ซบหน้าลงกับไหล่ของลุงเพื่ออ้อนให้ลุงใจอ่อน


   "ผมว่าคุณคงต้องไปอยู่ที่บ้านผมก่อนนะครับ ช่วงนี้ก็ถือซะว่าเป็นการสอนวิธีเลี้ยงเด็กให้กับผม และให้น้องภูค่อยๆ คุ้นกับผมด้วยนะครับ แล้วหลังจากนี้ เราค่อยว่ากันอีกทีดีมั้ยครับ" บดินทร์สบโอกาสเหมาะจึงยื่นข้อเสนอไปใหม่อีกครั้ง


   "ไปด้วยกันนะฮะ ลุงธนา น้องภูรักลุงธนา" คำพูดออดอ้อนของเจ้าตัวน้อย ทำเอาภูธนาใจอ่อนเสียได้ แถมแขนจ้ำม่ำยังรัดคอลุงแทบจะหายใจไม่ออก


   "ก็ได้ๆ งั้นลุงจะไปอยู่กับน้องภูก่อน แล้วน้องภูต้องไม่ดื้อ ไม่งอแงอีกนะครับ" ภูธนายอมแพ้กับความน่ารักของหลานชาย ชายหนุ่มกดจมูกลงพวงแก้มหอมดังฟอดด้วยความหมั่นเขี้ยวในตัวน้องภู ส่วนหลานชายก็ไม่ยอมน้อยหน้า ปากชมพูกดปากอิ่มลงบนแก้มของลุงเช่นเดียวกัน บดินทร์รู้สึกถึงความเป็นครอบครัวเมื่อเห็นภาพตรงหน้านั้น   


   "ถ้างั้น คุณธนาไปเก็บของก่อนนะครับ เดี๋ยวระหว่างนี้ผมจะดูแลน้องภูให้เอง" บดินทร์ไม่รอช้า รีบคว้าโอกาสนี้ไว้ทันที ด้วยเกรงว่าภูธนาจะเปลี่ยนใจ





   ภูธนาวางหลานชายลงที่พื้นแล้ว เจ้าตัวจึงเดินเข้าไปในห้องนอนเพื่อเก็บของที่จำเป็นส่วนหนึ่ง ระหว่างนี้ชายหนุ่มคิดสิ่งที่ต้องทำออกมาในช่วงที่เขาจะต้องไปดูแลหลานชาย

   1. เก็บของส่วนที่จำเป็นก่อน ส่วนที่เหลือค่อยมาเก็บวันหลัง
   2. เขียนโน้ตบอกภูสิตา
   3. แจ้งลาออกจากร้านอาหาร
   4. อย่าลืมไปร้านโมเดลรถ เพราะต่อไปคงไม่ค่อยได้ไปแล้ว
   5. เรื่องโรงเรียนน้องภู ขาดเรียนหลายวันแล้ว
   6. ยังคิดไม่ออก





   เริ่มจากข้อที่ 1 ภูธนารีบเก็บเสื้อผ้าและของใช้ต่างๆ ที่จำเป็นก่อน ถ้าหากขาดเหลืออะไร อาจจะซื้อหาเอาใหม่ หรือแวะมาที่ห้องทีหลัง  แต่เวลานี้ชายหนุ่มเกรงใจคนข้างนอกไม่อยากให้ต้องรอนาน


   ภูธนายกกระเป๋าใบไม่ใหญ่เกินไปนักออกมาจากห้องนอน บดินทร์เห็นเข้าจึงรีบเข้าไปช่วยถือ แต่ภูธนากลับปฏิเสธเพราะไม่ได้หนักหนาอะไร แค่กระเป๋าใบเดียวถือได้ไม่ลำบากอะไรอยู่แล้ว


   "ให้ผมถือแทนเถอะครับ เดี๋ยวคุณธนาต้องอุ้มน้องภูลงไปนะครับ เพราะแกคงไม่ยอมให้ผมอุ้มไปหรอกครับ" เหตุผลของบดินทร์ทำให้ภูธนาลังเลอยู่ แต่ไม่ทันจะท้วงออกไป กระเป๋าในมือก็ถูกเปลี่ยนมือคนถือเสียแล้ว


   ภูธนาจำใจต้องปล่อยเลยตามเลย ชายหนุ่มเดินไปเขียนข้อความลงกระดาษโน้ตและวางไว้บนโต๊ะอาหาร เมื่อภูสิตากลับมา หญิงสาวจะได้เห็นข้อความและเข้าใจได้ในทันที


   "เรียบร้อยแล้วครับ" ภูธนาบอกบดินทร์เมื่อชายหนุ่มจัดการสิ่งที่ต้องทำ 2 ข้อแรกเสร็จแล้วจึงก้มลงไปอุ้มเด็กชายที่ยังถือรถแข่งไว้ในมือ





   รถจอดสนิท เมื่อถึงที่หมายปลายทาง ภูธนาอุ้มเด็กชายลงจากรถทั้งที่ยังหลับอยู่ในอ้อมแขนของตนเอง ภูธนามองบ้านเดี่ยวที่มีขนาดราว 70 ตร.วา ไม่เล็กไม่ใหญ่จนเกินไปนัก บ้านหลังนี้ดูท่าทางแล้วน่าจะมีอายุมาไม่ต่ำกว่า 10 ปี แต่คงได้รับการดูแลบำรุงรักษาอยู่เสมอ จึงดูไม่ค่อยทรุดโทรมเท่าไหร่นัก


   "ถึงแล้วครับ" บดินทร์พูดพลางลงจากรถไปเปิดประตูหน้าบ้าน เพื่อนำรถเข้าไปจอดภายในบริเวณบ้านแล้วจึงพากันเข้าสู่ภายในตัวบ้านหลังนี้


   "เย็นสบายจังเลยนะครับ" ทั้งที่อากาศภายนอกค่อนข้างอบอ้าว  แต่วินาทีที่ก้าวเข้ามาในบ้านหลังนี้ ภูธนารู้สึกความเย็นสบายภายในตัวบ้าน ทั้งที่ไม่ได้เปิดเครื่องปรับอากาศเลย


   "ครับ พอดีว่าคุณพ่อท่านเป็นคนออกแบบจัดการภายในตัวบ้านไว้เป็นอย่างดี ผมเลยพลอยสบายไปด้วย"


   "แล้วท่านไม่อยู่เหรอครับ"


   "พอจัดการบ้านหลังนี้เสร็จ คุณพ่อกับคุณแม่ก็ย้ายไปอยู่ที่ต่างจังหวัดน่ะครับ ท่านทั้ง 2 คนชอบธรรมชาติ เดี๋ยวไว้ว่างๆ ผมจะพาคุณกับน้องภูไปเยี่ยมท่านนะครับ น้องภูจะได้เจอคุณปู่คุณย่าด้วย"


   "ผมให้น้องภูนอนที่ไหนได้บ้างครับ ตอนนี้แขนล้าไปหมดแล้ว" ภูธนาไม่ได้ตอบรับเรื่องการไปต่างจังหวัดกับคนชวน แต่กลับพูดถึงเรื่องของน้องภูแทน


   "ผมลืมไปเลย มัวแต่เล่าเพลินไปหน่อย โทษทีนะครับ ผมจัดห้องไว้ให้น้องภู ทางนี้ครับ" บดินทร์เดินนำพาไปยังห้องของเด็กชายที่อยู่บนชั้น 2 ของตัวบ้าน




   บ้านหลังนี้ มีด้วยกันทั้งหมด 4 ห้องนอน แต่ละห้องมีต่างก็   ห้องน้ำในตัวด้วยกันทั้งสิ้นเพื่อความสะดวกสบายในการใช้งาน ชั้นบน   ไม่มีอะไรมากนอกจากห้องนอนเท่านั้น พ้นบันไดขึ้นมาก็พบกับห้องนอนทั้งหมด 4 ห้องติดกันเป็นแนวนอน และมุมสุดของทางเดินเป็นโต๊ะหมู่บูชาวางพระพุทธรูปขนาดกลาง



   บดินทร์เดินนำภูธนาไปห้องนอน ที่ 2 นับจากซ้ายมือ ชายหนุ่มเปิดประตูกว้างเพื่อให้ภูธนาอุ้มเด็กเข้าไปได้โดยสะดวก เมื่อเข้าไปในห้องแล้ว ภูธนาตรงไปที่เตียงหลังใหญ่เพื่อวางหลานชายลงนอน จัดท่านอนเพื่อให้สบายตัวและห่มผ้าให้อย่างเบามือ หลังจากนั้นถึงสังเกตรอบๆ ห้อง อย่างรวดเร็ว เพราะบดินทร์ยังอยู่ในห้องด้วย 



   เตียงนอนที่ภูบดินทร์นอนนี้มีขนาดใหญ่ซึ่งเหมาะที่จะเป็นของผู้ใหญ่มากกว่าของเด็ก 3 ขวบด้วยซ้ำ  ทางด้านซ้ายมือของห้องเป็นตู้บิวท์อินสีขาว  ความสูงจรดเพดานห้องกินพื้นที่ทั้งผนังด้านข้างของห้องทั้งแถบ  ส่วนนี้ไว้ใช้เก็บเสื้อผ้าต่างๆ รวมถึงของกระจุกกระจิกต่างๆ 



   ทางด้านขวามือของห้องมีอีกหนึ่งประตู ภูธนาเดาว่าคงจะเป็นประตูห้องน้ำ และบริเวณพื้นที่ว่างของห้องนั้น เต็มไปด้วยของเล่นต่างๆ ที่ไว้สำหรับฝึกพัฒนาการของเด็กน้อยทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นอุปกรณ์สารพัดอย่างที่จะนำมาต่อเป็นสิ่งของต่างๆ กล่องที่มีช่องหลายช่องสำหรับใส่รูปทรงต่างๆ ที่ตัดกระดาษ ก้อนไม้สีต่างๆ สำหรับจับคู่สี ของเล่นที่ใช่สร้างบ้าน ดินสอเทียน ดินสอสีไว้ระบายสมุด และอีกมากมายจนภูธนาตาลาย



   นับว่าบดินทร์ก็ใส่ใจและค้นหาเรื่องพวกนี้อยู่เหมือนกัน ไม่ใช่เพียงแต่จะมารับลูกไปเลี้ยงดูเท่านั้น คิดได้เท่านี้ ภูธนาจึงรู้สึกสบายใจขึ้นค่อนข้างมาก



   หลังจากสำรวจห้องเสร็จแล้ว ภูธนาเดินออกมานอกห้องเพราะไม่อยากรบกวนการนอนของหลานชาย บดินทร์เดินตามออกมาแล้วจึงงับประตูไว้ แต่ไม่ได้ปิดประตูจนสนิทเลยทีเดียว ชายหนุ่มแง้มประตูเอาไว้เล็กน้อย หากภูบดินทร์ตื่นจะได้รู้ตัว


   "เรื่องห้องนอน ผมจัดห้องที่เป็นห้องพักของแขกไว้ให้คุณธนานะครับ อยู่ตรงมุมสุดใกล้ๆ กับตรงโต๊ะหมู่ ห้องตรงนั้นนะครับ" บดินทร์ชี้มือไปห้องที่ว่านั้น


   "ปกติผมนอนกับน้องภูอยู่แล้ว ถ้าผมอยากจะขอนอนกับน้องภูเหมือนเดิมจะสะดวกมั้ยครับ"


   "ได้สิครับ เรื่องนั้นไม่มีปัญหาหรอกครับ แล้วแต่ความต้องการของคุณธนาเลยครับ ส่วนห้องแรกที่ตอนขึ้นบันไดมา ทางซ้ายสุดจะเป็นห้องของเจ้าพัตนะครับ คุณธนาจำพัตได้มั้ย"


   "ผู้ชายที่มาด้วยวันนั้นใช่มั้ยครับ" ภูธนามีทีท่าว่าจำได้


   "ใช่ครับ ถัดมาคือห้องน้องภูและคุณธนา แล้วก็ติดกันเป็นห้องของผมเองครับ จริงๆ แล้วผมเองก็ลังเลอยู่นานว่าจะเลือกห้องไหนให้น้องภูดี แต่เจ้าพัตก็เสนอมาว่า หากน้องภูร้องไห้กลางดึก อย่างน้อยไม่ใครคนใดคนหนึ่งก็คงได้ยินเสียงบ้างเพราะอยู่ห้องติดกัน"


   "ส่วนด้านล่างก็ไม่มีอะไรมากหรอกครับ มีห้องนั่งเล่น ห้องครัว สนามข้างบ้าน คร่าวๆ ประมาณนี้แหละครับ คิดเสียว่าที่นี่เป็นบ้านของคุณธนาเองเลยนะครับ ไม่ต้องเกรงใจทั้งผมและพัต เรา 2 คนอยู่กันแบบง่ายๆ ครับ" บดินทร์ยังคงทำตัวเป็นเจ้าบ้านที่ดีต่อเนื่อง ชายหนุ่มเดินนำภูธนาลงมาชั้นล่างและพาเดินดูห้องต่างๆ และรอบๆ ตัวบ้าน


   "อยู่กันแค่ 2 คนเหรอครับ" ภูธนาเอ่ยถามขึ้นเพราะเท่าที่ฟังบดินทร์เล่ามาก็เหมือนมีแค่บดินทร์และบริพัตร


   "ใช่ครับ แต่ตอนนี้ 4 คนแล้วนะครับ รวมน้องภูและคุณด้วย ตามสบายนะครับ เดี๋ยวผมขอตัวโทรศัพท์เรื่องงานนิดหน่อย ลาพักร้อนหลายวันแล้ว งานคงกองเยอะแน่ๆ พรุ่งนี้ครบกำหนดวันลา ผมคงต้องไปทำงานแล้วนะครับ ยังไงก็ขอฝากน้องภูกับคุณด้วย"


   "ครับ ถ้าไม่ว่าอะไร ผมขอออกไปทำธุระสักครู่นะครับ แล้วจะรีบกลับมาให้ทันก่อนน้องภูตื่น"


   "เชิญเลยครับ" บดินทร์ยิ้มให้ก่อนที่จะขึ้นไปชั้น 2 แล้วหายเข้าไปในห้องของตัวเอง



   ภูธนาตรวจดูกระเป๋าว่ามีของครบหรือไม่ กุญแจเอย กระเป๋าสตางค์เอย หรือโทรศัพท์มือถือ เมื่อเห็นว่าทุกอย่างพร้อม ชายหนุ่มจึงรีบออกไปจัดการธุระโดยเร็ว





Talk:. 

ตอน 8 แล้วนะคะ คงไม่มาลงช้าจนเกินไปเนาะ  หนุ่มๆ มาอยู่ด้วยกันล้าวววว ตื่นเต้นกับเหตุการณ์ต่อไป
รักน้องภู ^__^ บางทีเด็กงอแงก็มีประโยชน์เหมือนกันน้า


มาลุ้นตอนต่อไปด้วยกันนะคะ  :mew1: :mew1: :mew1: :mew1: :mew1:


ด้วยรัก
เขมกันต์

หัวข้อ: Re: กว่าจะเข้ากันได้ โดย เขมกันต์ อัพเดท [บทที่ 8 ตกลง] หน้า 2 - 12/02/2559 ค่ะ
เริ่มหัวข้อโดย: yisren. ที่ 12-02-2016 22:43:25
นั่นสิ งอแงถูกเวลามากลูก 5555
หัวข้อ: Re: กว่าจะเข้ากันได้ โดย เขมกันต์ อัพเดท [บทที่ 8 ตกลง] หน้า 2 - 12/02/2559 ค่ะ
เริ่มหัวข้อโดย: mukmaoY ที่ 12-02-2016 22:57:39
เขาจะรักกันยังไงน้า
หัวข้อ: Re: กว่าจะเข้ากันได้ โดย เขมกันต์ อัพเดท [บทที่ 8 ตกลง] หน้า 2 - 12/02/2559 ค่ะ
เริ่มหัวข้อโดย: kun ที่ 13-02-2016 15:37:28
น้องภูมิเป็นสายรักให้แน่ๆๆๆ
ลุ้นต่อๆๆ
หัวข้อ: Re: กว่าจะเข้ากันได้ โดย เขมกันต์ อัพเดท [บทที่ 8 ตกลง] หน้า 2 - 12/02/2559 ค่ะ
เริ่มหัวข้อโดย: cheezett ที่ 13-02-2016 17:19:40
 :กอด1:  :L2: :pig4:
หัวข้อ: Re: กว่าจะเข้ากันได้ โดย เขมกันต์ อัพเดท [บทที่ 8 ตกลง] หน้า 2 - 12/02/2559 ค่ะ
เริ่มหัวข้อโดย: เขมกันต์ ที่ 16-02-2016 09:16:14
บทที่ 9 เผชิญ


   ภูธนาทำสิ่งที่ต้องทำข้อที่ 3 ต่อทันที ชายหนุ่มก้าวเท้าเข้าร้านอาหารที่ตนเองทำงานอยู่ ตรงไปบริเวณห้องครัวที่ประกอบอาหารให้กับลูกค้า พนักงานในครัวต่างพากันแปลกใจเล็กน้อย ที่เห็นชายหนุ่มเดินเข้ามา



   "วันนี้ไม่ต้องทำงานไม่ใช่เหรอ" หัวหน้าพ่อครัวของร้านทักเสียงดังโดยไม่ได้หยุดมือที่กำลังผัดก๋วยเตี๋ยวคั่วไก่อยู่


   "สวัสดีครับ พอดีผมมีธุระกับเจ้าของร้านน่ะครับ" ภูธนายกมือไหว้ทุกคนตามความเคยชินแล้วตnอบคำถามกลับไป


   "งั้นเหรอ แล้วมาทำไมที่นี่ ขึ้นไปบนห้องทำงานสิ" ก๋วยเตี๋ยวคั่วไก่เสร็จพอดี พ่อครัวตักอาหารลงบนจานที่จัดไว้อย่างสวยงามแล้ว ก่อนจะเรียกเด็กเสิร์ฟให้มายกอาหารออกไป



   แต่ทว่า ภูธนาก็ยังยืนละล้าละลังอยู่ที่เดิมไม่ไปไหน พ่อครัวใหญ่เลยเดินมาหาชายหนุ่ม "เป็นอะไรหรือเปล่า ทำไมยังไม่ไปอีกล่ะ" ภูธนาไม่ขยับไปไหน แต่หันมาสบสายตาพ่อครัวตรงๆ


   "คือผม มีเรื่องอยากจะพูดกับหัวหน้าครับ"


   "ได้สิ" พ่อครัวใหญ่พูดพลางเดินไปที่อ่างล้างจานเพื่อล้างมือ


   "วันนี้ผมมาลาออกครับ" สิ้นเสียงของภูธนา หัวหน้าพ่อครัวชะงักมือที่กำลังล้าง หนุ่มใหญ่รีบเช็ดมือที่ผ้าอย่างลวกๆ แล้วหันไปมองภูธนาอย่างจริงจัง


   "ทำไมล่ะ มีอะไรหรือเปล่า"


   "นิดหน่อยครับ แต่เรื่องมันยาวเลยไม่สะดวกที่จะบอกตอนนี้"


   "เรื่องในร้านหรือเปล่า ถ้ามีปัญหาอะไรบอกฉันได้เลยนะ นายเองก็ทำงานดี ฉันไม่อยากเสียคนทำงานดีๆ อย่างนายไป"


   "เรื่องที่ร้านดีทุกอย่างครับ แต่เพราะเรื่องครอบครัวน่ะครับ เรื่องนั้นเลยทำให้ผมมาทำงานที่นี่ต่อไม่ได้ ต้องขอโทษด้วยนะครับ" ภูธนายกมือไหว้ผู้สูงวัยกว่าเพื่อขอโทษตามความรู้สึกจริงๆ


   "ไม่เป็นไรหรอก ถ้าเรื่องส่วนตัวล่ะก็นะ แต่ถ้ามีอะไรจะให้ฉันช่วยก็บอกได้เลยนะ ไม่ต้องเกรงใจ หรือถ้าพร้อมจะกลับมาทำงานที่นี่ต่อเมื่อไหร่ ก็มาบอกได้เลย ไม่ต้องกังวล ฉันจะไปพูดกับเจ้าของร้านให้เอง" หัวหน้าพ่อครัวใหญ่ภายนอกดูเป็นคนเคร่งขรึมและดุดัน เสียงดัง แต่จิตใจกลับเป็นคนที่ใจดี คอยช่วยเหลือคนรอบข้างตลอดเวลา ยิ่งทำให้ภูธนาเกรงใจเพิ่มขึ้นไปอีก


   "ขอบคุณครับ"


   "ถ้าผ่านมาแถวนี้ก็แวะเข้ามาหาบ้างนะ ฉันจะทำอาหารอร่อยๆ ให้นาย งั้นวันนี้เอาของไปทานหน่อยนะ หลายๆ อย่างหน่อย" พ่อครัวใหญ่ร้องสั่งลูกน้องในครัวให้จัดแจงอาหารให้ชายหนุ่ม


   "ขอบคุณอีกครั้งครับ"


   "เดี๋ยวจะเสียเวลาไปมากกว่านี้ รีบขึ้นไปหาเจ้าของร้านได้แล้ว เอ้านี่ไปทานให้อร่อยนะ" มือใหญ่หนายื่นถุงที่มีขนาดค่อนข้างใหญ่ให้กับภูธนา ในนั้นบรรจุด้วยอาหารหลายอย่างตามที่เปรยไปก่อนหน้านี้


   "ขอบคุณมากครับ งั้นผมลานะครับ สวัสดีครับ" ภูธนายกมือไหว้ลาหัวหน้าอีกครั้ง




   ภูธนาแจ้งลาออกกับเจ้าของร้าน แต่เพราะเป็นการลาออกกระทันหัน ทำให้ไม่สามารถหาคนมาทำงานได้ทัน ชายหนุ่มจึงถูกต่อว่าเล็กน้อยแต่ไม่ได้รุนแรงอะไรมากนัก เนื่องจากปกติแล้วภูธนาเป็นคนทำงานดี แทบไม่เคยขาดงาน นอกจากเหตุสุดวิสัยจริงๆ  เวลาทำงานก็ไม่เคยเหลวไหล ช่วยหยิบจับอะไรต่างๆ อยู่เสมอ ทำให้เจ้าของร้านค่อนข้างที่จะเอ็นดูชายหนุ่มอยู่ไม่น้อย ถึงจะค่อนข้างเสียดายคนอย่างภูธนา แต่เมื่อภูธนามีความจำเป็นต้องลาออกนั้นก็ทำให้เจ้าของร้านเข้าใจ
   




   หลังจากลาออกเรียบร้อยแล้ว ภูธนาไม่ลืมสิ่งที่ต้องทำข้อที่ 4 ชายหนุ่มเดินก้มหน้ามองปลายเท้าของตัวเองทีละก้าว ทีละก้าว มุ่งหน้าไปร้านโมเดลรถที่ตนเองนั้นชอบไปเป็นประจำ ถึงแม้ว่าโมเดลรถที่ภูธนานั้นถูกคนซื้อไปแล้ว แต่ชายหนุ่มก็ขอแค่ไปยืนดูโมเดล แค่ได้เห็นก็มีความสุขแล้ว



   เสียงโมบายที่แขวนตรงหน้าประตูส่งเสียงดังกรุ้งกริ๊ง เมื่อชายหนุ่มผลักประตูเข้ามาในร้าน



   "ไม่มาเสียนานเลยนะคุณ" เจ้าของร้านเอ่ยทักเมื่อเงยหน้าจากเคาท์เตอร์โต๊ะแล้วพบว่าใครกันที่เดินเข้าร้านมา


   "สวัสดีครับ ขายดีมั้ยครับ" ภูธนาทักทายตามมารยาท


   "ก็เรื่อยๆ แหละนะ ช่วงนี้เศรษฐกิจไม่ค่อยดี ถ้าคนที่ไม่ได้ชอบจริงๆ จังๆ ล่ะก็ คงไม่ค่อยมีใครมายอมซื้อไปง่ายๆ หรอกนะ เพราะว่า"


   "เพราะว่าอะไรเหรอครับ" ภูธนาเลิกคิ้วถามเมื่อเจ้าของร้านโมเดลรถทิ้งท้ายไว้เพียงเท่านั้น


   "เพราะว่ามันแพงยังไงล่ะ ฮ่าๆ" ถึงจะขายไม่ค่อยดีนักแต่เจ้าของร้านก็ยังมีอารมณ์ขันอยู่เสมอ


   "อ่า อย่างนั้นเหรอครับ" ภูธนาไม่เคยคิดว่าโมเดลรถจะมีราคาแพงเพราะเจ้าตัวชื่นชอบและอยากสะสมด้วยใจจริง พอได้รับคำตอบกลับมาแบบนี้ ชายหนุ่มเลยไม่รู้ว่าจะต้องตอบรับว่าอะไรดี


   "นี่คุณ มาช้าไปนิดเดียว ตะกี้ตอนที่เข้ามา เห็นคนที่เดินสวนออกไปมั้ยล่ะ"


   "คนที่เดินสวนเหรอครับ ไม่นะครับ ไม่เห็นเลย ทำไมเหรอครับ" มือเรียวขาวที่กำลังลูบคลำโมเดลรถตามตู้โชว์อยู่ ถามกลับไปโดยไม่ละสายตาจากของที่ชอบ


   " คนที่สวมเสื้อเชิ้ตสีขาวคนนั้นแหละ ที่เป็นคนซื้อโมเดลรถที่คุณเอามาขายให้ผมไปยังไงล่ะ"


   "จริงเหรอครับ เดี๋ยวผมรีบไปดูก่อน" ภูธนารีบเปิดประตูร้านออกไป แต่พบว่ามีคนสวมเสื้อเชิ้ตสีขาวเต็มไปหมด ชายหนุ่มยกนาฬิกาดู เวลาในตอนนี้เป็นเวลาเลิกงานของมนุษย์เงินเดือนแล้ว ชายหนุ่มจึงตัดใจกลับเข้ามาในร้านดังเดิม


   "เจอมั้ย"


   "ไม่เจอหรอกครับ แต่จริงๆ คือไม่รู้คนไหนมากกว่าใส่เสื้อเชิ้ตสีขาวหลายคนเลยล่ะครับ" ภูธนาเดินดูโมเดลรถต่ออีกไม่นานก็ขอลาเจ้าของร้านกลับไปเพราะกลัวว่าภูบดินทร์หลานชายจะตื่นเสียก่อน



   
   ในตอนนั้น ระหว่างทางที่ภูธนาได้นั่งรถมากับบดินทร์และมีหลานชายหลับอยู่ในอ้อมแขนนั้น พ่อของภูบดินทร์ได้คุยถึงเรื่องค่าใช้จ่ายส่วนตัวให้กับภูธนาเป็นที่เรียบร้อย จริงๆ แล้วภูธนาคิดว่าเงินเดือนที่ตนเองนั้นจะได้รับค่อนข้างสูงไปจึงขอปฏิเสธเพื่อลดเงินจำนวนนั้นลง แต่บดินทร์ไม่ตกลงและคิดว่าค่าตอบแทนที่ภูธนาควรจะได้รับนั้นเหมาะสมดีแล้ว ภูธนาจึงไม่ได้โต้แย้งอะไรอีก




   ภูธนากลับมาถึงบ้านของบดินทร์อีกครั้ง ชายหนุ่มไขกุญแจที่พ่อของหลานชายมอบไว้ให้ตั้งแต่แรก


   "กลับมาแล้วครับ" ภูธนาส่งเสียงบอกคนในบ้าน แต่ไม่มีเสียงตอบรับใดๆ ชายหนุ่มเดินไปมุมครัวที่มีขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่จนเกินไปนัก กวาดสายตามองโดยรอบๆ เป็นครัวที่มีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครันเลยทีเดียว แต่ดูเหมือนจะไม่ค่อยถูกใช้งานมากนัก



   ภูธนาวางถุงอาหารที่ได้มาจากร้านอาหารลงบนโต๊ะกลางที่อยู่กลางห้องชายหนุ่มลองไล่เปิดตู้เพื่อหาจานชามที่เก็บไว้ หาไม่กี่ตู้ก็เจออุปกรณ์จานชาม ช้อนส้อมครบ มือเรียวสวยจึงแกะอาหารใส่ชามแล้วอุ่นให้เรียบร้อย



   มื้อเย็นวันนี้ อาหารของภูบดินทร์ตัวน้อยจะได้ทานเหมือนกับอาหารของผู้ใหญ่ หัวหน้าพ่อครัวรู้ว่าภูธนามีหลานตัวเล็กๆ อยู่ที่บ้าน จึงใส่ใจในรายละเอียดเล็กน้อยนี้ เลยมีอาหารรสชาติไม่เผ็ดอยู่ในนี้ด้วย หัวหน้าพ่อครัวคนนี้ช่างเป็นคนที่จิตใจดีจริงๆ


   ภูธนาเหลือบไปเห็นหม้อหุงข้าววางอยู่ นึกขึ้นได้ว่ายังไม่ได้หุงข้าว ชายหนุ่มเปิดตู้ในครัวหาข้าวสารและก็หาได้ไม่ยากอีกเช่นกัน เพราะมีข้าวสารอยู่เต็มถุงใหญ่เลยทีเดียว ภูธนาสังเกตวัตถุดิบเครื่องปรุงที่วางเรียงรายใกล้บริเวณเตา พบว่าของทุกอย่าง ส่วนใหญ่แล้วยังไม่ถูกเปิดใช้  และถ้ามีการใช้งานก็พร่องลงไปเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ครัวที่นี่เหมือนเป็นครัวร้างอย่างแท้จริง ภูธนาหุงข้าวกะปริมาณให้พอทานกัน 3-4 คน แล้วชายหนุ่มจึงขึ้นไปชั้น 2 ของบ้าน เพื่อสำรวจดูว่าหลานชายตัวน้อยตื่นหรือยัง ช่วงเวลานี้ก็ค่อนข้างค่ำแล้ว หากยังนอนหลับยาว เดี๋ยวคืนนี้จะนอนไม่หลับ เอาได้



   ภูธนาเดินเข้าไปห้องนอนของหลานชาย แต่ไม่พบภูบดินทร์  ผู้เป็นลุงรู้สึกตกใจ เด็กชายหายไปไหน ชายหนุ่มพยายามสูดหายใจเข้าลึกๆ เพื่อตั้งสติ ก่อนจะเห็นประตูห้องน้ำเปิดอยู่ ขายาว ภายใต้กางเกงยีนส์ได้รูปรีบเข้าไปดูใน   ห้องน้ำโดยเร็ว ในใจภาวนาขอให้ไม่มีอะไรเกิดขึ้นในนั้น


   "ไม่มี" เสียงพึมพำเบาๆ กับตัวเอง ระคนปนโล่งใจ ที่ไม่พบอุบัติเหตุอะไรในห้องน้ำ แต่ก็ไม่เห็นหลานชายเช่นกัน ภูธนาพยายามไม่คิดในแง่ร้าย เด็กน้อยอาจจะ  อยู่กับผู้เป็นพ่อก็เป็นได้ เพราะตัวเขาเองก็ยังไม่เห็นบดินทร์เช่นกัน



   ไม่ทันจะได้คิดอะไรต่อ ภูธนาได้ยินเสียงหัวเราะของเด็กน้อยดังออกมาจากข้างนอก ชายหนุ่มจึงเดินตามเสียงนั้นไป เสียงหัวเราะของเด็กน้อยสลับกับเสียงทุ้มของผู้ชายดังขึ้นเป็นจังหวะ และเสียงเริ่มดังขึ้นเรื่อยๆ เมื่อภูธนาเข้าใกล้เสียงนั้น และพบว่าเสียงนั้นมาจากห้องที่ติดกัน



   ห้องของภูธนากับหลานชายตั้งอยู่ตรงกลางระหว่างห้องของชายหนุ่มทั้ง 2 ของเจ้าของบ้านหลังนี้ ภูธนาคิดว่าเสียงนั้นน่าจะดังมาจากของบดินทร์  แต่ประตูบานใหญ่นั้นกลับปิดสนิทเงียบ ไม่มีแม้แต่เสียงใดๆ เล็ดลอดออกมา แต่เสียงหัวเราะนั้นกลับดังมาจากห้องที่ติดกันอีกฝั่งต่างหากล่ะ



   ภูธนาเดินตรงไปห้องที่มีเสียงดังที่ว่านั้นโดยไม่รีบร้อนอะไรนัก เพราะรู้แล้วว่าตอนนี้ภูบดินทร์อยู่ที่ไหน และไม่ได้เป็นอะไร ชายหนุ่มก็โล่งใจ มีเพียงเรื่องเดียวที่ยังตะหงิดอยู่ภายในใจคือภูบดิทร์ไม่ได้ร้องไห้ แต่ยังหัวเราะเริงร่าท่าทางกำลังสนุกอยู่กลับผู้ชายในห้อง



   ภูธนายืนอยู่หน้าห้องดังกล่าว ประตูนั้นเปิดแง้มออกเพียงเล็กน้อย ชายหนุ่มมองเข้าไป เห็นผู้ชายรูปร่างสูงใหญ่ นั่งหลังตรงอยู่ที่พื้นห้อง หันหลังให้กับประตูห้อง ผู้ชายคนนั้นสวมเสื้อเชิ้ตสีขาวและสวมกางเกงสแล็ค ส่วนเจ้าของเสียงหัวเราะนั้น นั่งเล่นอยู่ที่พื้นเช่นเดียวกัน มืออวบป้อมกำลังเล่นรถแข่งอยู่กับผู้ชายคนนั้นด้วยความสนุกสนาน



   ภูธนา เคาะประตูห้องเพื่อบอกการมาเยือนเป็นพิธี คนในห้องทั้ง 2 คนหันมามองผู้มาใหม่โดยเร็ว


   "ลุงธนา ลุงธนากลับมาแล้ว มาเร็วฮะ มาเล่นรถกับน้องภูกันเถอะ"
เมื่อเห็นว่าเป็นใครที่มาเคาะประตู ภูบดินทร์รีบลุกขึ้นวิ่งมาหาผู้เป็นลุงทันที เด็กน้อยคว้ามือเรียวของภูธนา หมายจะให้ไปเล่นด้วยกัน


   "ไม่ได้หรอกครับ ถึงเวลาทานข้าวของน้องภูแล้ว ถ้าทานไม่ตรงเวลา จะปวดท้องเอาได้นะครับ รู้มั้ย" ภูธนายกมือยีผมหลานชายด้วยความเอ็นดู




   ถึงจะมองหลานชายที่วิ่งมาหา แต่ภูธนาก็ทันสังเกตผู้ชายที่หันมามองภูธนาแวบเดียว ก่อนที่ชายหนุ่มจะรีบสวมแว่นสายตาที่คาดหัวเพื่อไม่ให้ปรกหน้าปรกตาระหว่างที่เล่นกับเด็กชายนั้นทันที ภูธนาจึงได้เห็นว่าที่แท้เป็นบริพัตรเจ้าของห้องนี้เล่นกับหลานชายนี่เอง



   เหมือนมีแรงดึงดูดของสายตานั้นเพียงสั้นๆ ก่อนที่บริพัตรจะรีบหลบสายตาแล้วรีบลุกขึ้นเอารถไปเก็บในตู้อีกที่ติดข้างผนังนั้น




   "ห้องของอาพัตเตอร์ มีของเล่นเต็มไปหมดเลยฮะ อาพัตเตอร์ใจดี๊ดี ให้น้องภูเล่นของเล่นเยอะแยะเลยฮะ" เด็กชายพูดเจื้อยแจ้วก่อนที่ภูธนาจะอุ้มหลายชายขึ้นมา เพื่อที่จะพาลงไปข้างล่าง



   "ใครเหรอครับ อาพัตเตอร์" ภูธนาแน่ใจว่าชายหนุ่มรู้จักบดินทร์หรือดิน และบริพัตรหรือพัตเท่านั้น แล้วพัตเตอร์ที่เพิ่มมาคือใครกัน


   "นี่ไงฮะ อาพัตเตอร์" มือป้อมๆ ชี้ไปที่ชายหนุ่มที่อยู่ภายในห้อง


   "อ้อ อย่างนั้นเหรอครับ อาพัตเตอร์คนนี้นี่เองสินะ แล้วน้องภูเล่นซนมั้ยครับ" ประโยคแรกภูธนาตั้งใจเรียกล้อเลียนชื่อของบริพัตรด้วยความรู้สึกที่ยากเกินจะบรรยายว่าทำไมถึงทำแบบนั้น โดยปกติแล้วภูธนาไม่ได้มีนิสัยชอบล้อเลียนใครเสียด้วยซ้ำ



   "ไม่ฮะ อาพัตเตอร์บอกว่าต้องเล่นด้วยความทะยุถยอม ไม่ทำลายของฮะ"


   "ทะนุถนอมนะครับ"


   "ฮะ ทะยุถยอม" เด็กชายลองพูดอีกครั้งแต่เพราะคำคงยากไปจึงยังพูดไม่ค่อยชัด ภูธนาเอ็นดูเด็กชายเลยอดไม่ได้ที่จะหัวเราะเบาๆ ออกมา


   "ลงไปทานข้าวกับลุงนะ แล้วคนเก่ง ขอบคุณอาพาตตตเตอร์หรือยังครับ" ภูธนาเรียกเสียงยานคางคำว่าพัตเตอร์อย่างจงใจ แต่บริพัตรไม่โต้ตอบอะไร ชายหนุ่มยังนิ่งอยู่


   "ขอบคุณฮะ อาพัตเตอร์" บริพัตรยิ้มตอบรับคำขอบคุณของหลานชายตัวน้อย


   "ผมเอากับข้าวจากร้านอาหารมา ถ้าไม่รังเกียจลงไปทานด้วยกันสิครับ ป่านนี้ข้าวคงใกล้จะสุกแล้ว" ภูธนาชวนเจ้าบ้านลงไปทานอาหารพร้อมกัน


   "ก็ดีครับ ผมเองก็ยังไม่ได้ทานข้าวเย็น ถ้างั้นเดี๋ยวผมจะไปปลุกพี่ดินไปทานด้วยกัน คงจะไม่ว่าอะไรใช่มั้ยครับ ลุงธนา" ประโยคแรกมาได้ดีแล้ว แต่ประโยคหลังนั่นมันจงใจล้อเลียนเขากลับคืนชัดๆ   






Talk:.

มาต่อตอน 9 ล้าววว รอกันนานมั้ยคะ แหะๆ เอาน่า พาร์ทนี้ หลายคนน่าจะพอเดาได้ อาพัตเตอร์ของเรื่องกันได้แล้วมั้ยน้า
ตอนก่อนหน้าๆ มีคนเดาถูกด้วยนะคะ อาพัตเราในเรื่องนี้ น่ารักนะคะ เค้ามีหลายมุมเลยล่ะค่ะ จะค่อยๆ เผยมาให้รักผู้ชายคนนี้เพิ่มขึ้นนะคะ ส่วนลุงธนา ก็จะมีอีกหลายโมเมนท์ ให้ได้รักลุงคนนี้เหมือนกันค่ะ รอติดตามกันเนาะ แต่ความรักของเรื่องนี้ คงไม่ได้หวือหวาสักเท่าไหร่ จะบอกว่าคนแต่งโรคจิตก็ได้ ค่อยเป็นค่อยไป เนิบนาบ ต้องขออภัยผู้อ่านด้วยนะคะ ถ้าแบบเรื่องเดินไม่ทันใจน้า

จุ๊บๆ เห็นยอดวิวอ่านเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เลย ยินดีต้อนรับคนใหม่ที่หลงเข้ามาในเรื่องนี้ด้วยนะคะ

มีคำแนะนำติชมตรงไหน แนะนำมาได้เลยนะคะ ยินดีรับฟังทุกท่านเลยค่ะ


 :mew1: :mew1: :mew1: :mew1: :mew1:

ด้วยรัก
เขมกันต์
หัวข้อ: Re: กว่าจะเข้ากันได้ โดย เขมกันต์ อัพเดท [บทที่ 9 เผชิญ] หน้า 2 - 16/02/2559 ค่ะ
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 19-02-2016 14:38:13
ลุงกับอา?
หัวข้อ: Re: กว่าจะเข้ากันได้ โดย เขมกันต์ อัพเดท [บทที่ 9 เผชิญ] หน้า 2 - 16/02/2559 ค่ะ
เริ่มหัวข้อโดย: yisren. ที่ 19-02-2016 15:48:19
เห้ยยยยย คาดไม่ถีง แต่โอเคเลยค่ะ ชอบอาพัตเตอร์ ลึกลับดี ฮ่าๆๆๆๆ เค้าเคยเจอกันที่สนามแข่งด้วยนี่นา แล้วคนซื้อโมเดลของลุงธนาก็คงเป็นอาพาตตตตเตอร์นี่ละมั้ง 55555 น่ารักๆ หายไปนานเลยน้าาา
หัวข้อ: Re: กว่าจะเข้ากันได้ โดย เขมกันต์ อัพเดท [บทที่ 9 เผชิญ] หน้า 2 - 16/02/2559 ค่ะ
เริ่มหัวข้อโดย: vk_iupk ที่ 19-02-2016 15:54:04
ลุงกับอาแน่ๆๆ เลย อิอิ
รอตอนต่อไปค่า ^___________^
หัวข้อ: Re: กว่าจะเข้ากันได้ โดย เขมกันต์ อัพเดท [บทที่ 9 เผชิญ] หน้า 2 - 16/02/2559 ค่ะ
เริ่มหัวข้อโดย: mukmaoY ที่ 19-02-2016 18:41:27
แค่ทักทาย ก็เหมือนจะตีกันแล้ว555
หัวข้อ: Re: กว่าจะเข้ากันได้ โดย เขมกันต์ อัพเดท [บทที่ 9 เผชิญ] หน้า 2 - 16/02/2559 ค่ะ
เริ่มหัวข้อโดย: เขมกันต์ ที่ 19-02-2016 21:42:26
บทที่ 10 บริพัตร



   มื้ออาหารเย็นผ่านพ้นไปได้ด้วยดี บรรยากาศภายในโต๊ะอาหารไม่ค่อยเงียบเชียบเท่าไหร่นัก เพราะเด็กชายตัวน้อยพูดจ้อแทบจะผูกขาดการสนทนาแต่เพียง       ผู้เดียว ภูบดินทร์อยู่ในวัยอยากรู้อยากเห็น เด็กชายตัวน้อยช่างซักช่างถามอยู่ตลอดเวลา ไม่ว่าเห็นอะไรเป็นต้องสงสัยไปหมด ภูธนาต้องคอยตอบคำถามเป็นระยะ แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้ผู้เป็นลุงรู้สึกรำคาญแต่อย่างใด


   "ให้ผมล้างเองเถอะครับ"


   "ไม่เป็นไรครับคุณดิน มีจานอยู่ไม่กี่ใบ ล้างแปปเดียวก็เสร็จแล้ว" ภูธนาปฏิเสธน้ำใจของชายหนุ่ม


   "ผมเกรงใจ ไหนจะทำอาหารให้ทาน แล้วยังจะต้องมาล้างจานอีก"


   "ผมไม่ได้ทำเองหรอกครับ วันนี้เข้าไปที่ร้านมา หัวหน้าก็เลยให้มาน่ะครับ"


   "ถึงจะอย่างนั้นก็เถอะ ผมก็ควรช่วยอะไรบ้าง" บดินทร์ยังไม่ยอมแพ้ในเจตนารมณ์ของตนเอง


   "ถ้าอย่างนั้น ล้างน้ำเปล่าแทนละกันนะครับ" เมื่อได้รับคำอนุญาต บดินทร์ก็รีบเข้ามาช่วยทันที


   "น้องภูปกติแล้วเป็นเด็กแบบไหนเหรอครับ" บดินทร์ถามไถ่ถึงลูกชายตัวน้อย


   "น้องภูเหรอครับ แกก็เป็นเด็กที่ทานง่ายครับ กินทุกอย่างเลย ผิดกับแม่ของเขาที่ทานยาก แล้วก็เป็นเด็กที่ไม่ค่อยดื้อหรอกครับ ถ้าเราบอกด้วยเหตุผลแกก็จะเข้าใจได้ค่อนข้างดีในระดับหนึ่งเลยล่ะครับ แต่บางทีก็อาจจะมีอารมณ์ของเด็กอยู่บ้าง เหมือนวันนี้น่ะครับ" ถ้าให้พูดถึงหลานชายของภูธนาแล้วล่ะก็ ชายหนุ่มสามารถเล่าได้เป็นวันๆ โดยไม่รู้สึกเบื่อ


   "งั้นที่ร้องไห้ไม่ยอมหยุด คงเพราะคิดถึงคุณ"


   "เป็นธรรมดาของเด็กครับ เด็กบางคนอาจจะติดแม่ ติดพ่อ แต่พอดีผมอยู่กับแกแทบจะตลอดเวลา แกก็เลยค่อนข้างที่จะติดผมมากกว่าแม่ แล้วน้องภูล่ะครับ"


   "นั่งเล่นอยู่กับเจ้าพัตน่ะครับ ดูท่า อา-หลาน คู่นี้น่าจะเป็นเพื่อนเล่นกันได้ดี ดูเหมือนจะชอบรถแข่งทั้งคู่เลย"


   "คุณพัตก็ชอบรถแข่งเหรอครับ หรือว่าชอบพวกรถยุโรปไว้ขับเล่นหรือเปล่าครับ" เมื่อเห็นว่า คนร่วมบ้านจะชอบอะไรที่เหมือนกับตัวเอง ภูธนาเลยเริ่มสนใจขึ้นมา


   "ชอบรถแข่งครับ โดยเฉพาะพวกรุ่นที่แข่งในสนามนี่ชอบจริงจังเลยล่ะครับ ห้องของเจ้านั่นมีแต่โมเดลรถเต็มไปหมด คุณธนาสนใจเรื่องรถเหรอครับ"


   "ไม่ใช่แค่สนใจหรอกครับ แต่ชอบเลยล่ะ ผมน่ะชอบรถแข่งมากๆ เลยครับ โดยเฉพาะการแข่งรถ ถ้าไม่เกิดเรื่องเสียก่อน คงได้กินนอนอยู่ที่สนามแข่งรถนั่นล่ะครับ" สีหน้าของภูธนาเวลาที่พูดถึงสิ่งที่ตนเองชอบนั้น ช่างมีสเน่ห์และชวนมองเสียเหลือเกิน ใบหน้านั้นดูผ่อนคลายและดูมีความสุข ตั้งแต่บดินทร์ได้เจอภูธนามา นี่เป็นครั้งแรกที่รู้สึกว่าภูธนาผ่อนคลายเป็นพิเศษ


   "มีอะไรติดหน้าผมหรือเปล่าครับ" ภูธนาเอ่ยถามเมื่อเห็นว่าบดินทร์จ้องใบหน้าของตนเองอยู่


   "ปะ เปล่าครับ พอดีคิดอะไรเรื่อยเปื่อยน่ะครับ" ภูธนายิ้มให้บดินทร์แล้วจึงหันไปมองด้านนอกระหว่างอากับหลานที่นั่งเล่นรถแข่งอยู่ด้านนอก

   
   "น้องภูชอบเล่นรถมากมั้ยครับ" บริพัตรชวนหลานชายคุยเพื่อทำลายความเงียบ


   "ชอบฮะ น้องภูชอบเล่นรถม๊าก มาก"


   "แล้วปกติน้องภูเล่นกับใครครับ"


   "กับลุงธนาฮะ ลุงธนาก็ชอบรถ"


   "อ้อ ลุงธนาก็ชอบรถแข่งเหรอครับ  แล้วลุงธนามีแฟนหรือยังครับ" บริพัตรเริ่มยิงคำถามที่หลานชายต่อเรื่อยๆ


   "มีแล้วฮะ มีหลายตัวเลย" บริพัตรแปลกใจเล็กน้อยที่ลักษณะนามที่หลานชายเรียกนั้นใช้คำว่าตัว แทนที่จะเป็น "คน"

   
   "น้องภูเคยเห็นหรือเปล่า"


   "ต้องเคยอยู่แล้ว แฟนอยู่ที่บ้านนะฮะ" ปากอิ่มชมพูพูดเจื้อยแจ้ว ใบหน้ายังก้มหน้าเล่นรถแข่งไม่หยุด


   "อยู่ที่บ้านด้วยเหรอ แต่อาไม่เคยเห็นเลยนะ"


   "เห็นแล้ว อาพัตเตอร์เห็นแล้วนะ"


   "อย่าหลอกอาสิ เป็นเด็กห้ามโกหกรู้มั้ยครับ" มือใหญ่บีบจมูกเด็กน้อยเบาๆ เพราะเริ่มมึนงงกับคำบอกเล่าของหลานชาย


   "น้องภูไม่ได้โกหกนะ แฟนน่ะก็เปิดส่ายไปมาตลอดเวลาเลย มีตั้ง 3 ตัวแน่ะที่บ้าน" น้องภูพูดพลางยกนิ้วมือป้อมๆ ขึ้นมาชู 3 นิ้ว เพื่อยืนยันคำพูดของตนอีกทาง



   บริพัตรได้รับคำตอบแบบนั้นถึงกับบางอ้อ แฟนที่น้องภูพูดหมายถึงพัดลมนั่นเอง เด็กน้อยคงเรียนภาษาอังกฤษมาบ้าง คิดแล้วก็ขำให้กับตัวเอง เด็กน้อยวัยนี้จะไปรู้จักแฟนหรือคนรักของภูธนาได้อย่างไร


   "แล้วลุงธนาดุมั้ยครับ"


   "ไม่ดุฮะ ลุงธนาใจดี แต่ถ้าน้องภูดื้อ ลุงธนาจะดุ" เด็กน้อยพูดตอบไปตามความรู้สึกที่แท้จริง โดยปกติแล้วภูธนามีน้ำเสียงทุ้มและแฝงความอ่อนโยน   อยู่ในนั้นตลอดเวลา


   "ใจดีขนาดไหนครับ บอกลุงให้ชื่นใจหน่อย" จังหวะนั้นภูธนาเดินออกมากับบดินทร์ ทันได้ยินคำตอบนั้นพอดี จึงแกล้งย้อนถามหลานกลับไป


   "ใจดีเท่าฟ้าเลยฮะ" เด็กชายตอบเอาใจลุงธนา มือป้อมๆ กวักมือให้ลุงลงไปเล่นด้วยกัน ภูธนาจึงเดินไปนั่งลงข้างๆ หลานชาย


   "เล่นกับอาพัตเตอร์สนุกมั้ยครับ" ถึงปากจะถามภูบดินทร์แต่สายตานั้นกลับมองไปที่บริพัตร แค่เพียงแวบเดียว ครั้งนี้บริพัตรไม่ได้หลบสายตา ทำให้ภูธนาเป็นฝ่ายหลบตาก่อนแล้วหันหน้ากลับไปทางหลานชาย


   "สนุกฮะ แต่น้องภูอยากให้ลุงธนามาเล่นด้วยอีกคนฮะ"


   "น้องภูครับ อาคงเล่นต่อไม่ได้แล้วล่ะ น้องภูต้องเล่นกับคุณลุง 2 คนแล้ว อามีงานต้องทำอีกนิดหน่อย ไว้มาเล่นใหม่วันหลังนะครับ เด็กดี" บริพัตรลูบศีรษะหลานชายด้วยความเอ็นดู ก่อนจะลุกออกไป


   "พรุ่งนี้คุณธนามีแผนจะทำอะไรบ้างครับ" บดินทร์ถามขึ้นด้วยความเป็นห่วง


   "ก็ไปส่งน้องภูที่โรงเรียนเตรียมอนุบาลครับ ขาดโรงเรียนหลายวันแล้ว"


   "แย่จริง ผมก็ลืมไปเลย ทางโรงเรียนได้ติดต่อมาบ้างหรือเปล่าครับ"


   "ผมโทรไปลาโรงเรียนไว้ให้แล้วครับ ทีแรกผมคิดว่าคุณดินอาจจะย้ายโรงเรียนของน้องภูน่ะครับ"


   "ผมไม่รู้เรื่องเลยล่ะครับ อา รู้สึกแย่ชะมัด ขอโทษด้วยนะครับ ที่ทำให้แกต้องขาดเรียน แล้วโรงเรียนที่ว่านี่อยู่ไกลจากที่นี่หรือเปล่าครับ"


   "ก็นิดหน่อยครับ คงต้องออกจากบ้านเร็วขึ้นจากเดิมเล็กน้อย"


   "ถ้างั้น เอารถอีกคันไปใช้นะครับ เป็นรถของเจ้าพัต กุญแจแขวนไว้ตรงมุมนั้น เอาไปใช้ได้เลยนะครับ ไม่ต้องเกรงใจครับ" บดินทร์ชี้ไปบริเวณที่เก็บกุญแจของบ้าน ชายหนุ่มเสนอแนวทางช่วยแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าก่อน


   "ไม่เป็นไรครับ เกรงใจคุณพัตเปล่าๆ"


   "บอกแล้วไงครับ ว่าไม่ต้องเกรงใจ เจ้าพัตไม่ใช่คนคิดเล็กคิดน้อยกับเรื่องพวกนี้ครับ แล้วอีกอย่างรายนั้นเองก็ไม่ยอมเอารถไปใช้ อ้างว่ารถติดเลยชอบใช้บริการรถไฟฟ้าน่ะครับ"


   "ถ้างั้น รบกวนด้วยนะครับ" ภูธนาตั้งใจจะปฏิเสธในคราวแรก แต่มานึกได้ว่า ถ้าหากต้องออกแต่เช้าตรู่แล้วยังต้องกระเตงหลานขึ้นรถลงเรือหลายต่อ เด็กน้อยคงจะเพลียมากๆ ชายหนุ่มจึงคิดว่าถ้าให้ภูบดินทร์หลับอยู่บนรถในระหว่างที่ไปโรงเรียน ก็น่าจะช่วยบรรเทาความง่วงก่อนที่ถึงโรงเรียนได้บ้าง


   "ตกลงตามนี้นะครับ ถ้างั้นผมเองก็ต้องขอตัวก่อนนะครับ ขอไปคุยเรื่องงานกับเจ้าพัตนิดหน่อย พรุ่งนี้ต้องกลับไปทำงานแล้วไม่รู้จะมีปัญหาอะไรเพิ่มขึ้นอีกมั้ย" บดินทร์ยิ้มให้ภูธนาแล้วจึงลุกตามคนที่เดินออกไปก่อนหน้านี้


   "เชิญครับ คุณดิน" 



   นั่งเล่นกับหลานเพื่อให้อาหารย่อยอีกสักพักใหญ่ๆ ภูธนาจึงพาเด็กน้อยขึ้นไปบนห้องเช่นกัน เพราะอีกเดี๋ยวก็จะได้เวลานอนของหลานชายคนเก่งนี้แล้ว


   ก๊อก ก๊อก


   "เชิญครับ" เจ้าของห้องตอบอนุญาตพอเป็นพิธี ร่างของผู้เป็นพี่เดินเข้าภายในห้องพร้อมปิดประตูลงอย่างเงียบเชียบ


 
   บริพัตรเอื้อมมือไปปิดหน้าจอที่เปิดค้างไว้ 2 จอ แล้วหันเก้าอี้กลับมาเพื่อมาคุยกับผู้มาใหม่ บดินทร์นั่งลงบนเตียงนุ่มของน้องชายด้วยความเคยชินก่อนจะเอ่ยทัก


   "วันนี้ งานเป็นไงบ้าง"


   "พี่ถามแบบนี้ทุกวันเลยนะครับ พี่ดิน" น้ำเสียงแฝงความเบื่อหน่าย  ของบริพัตรย้อนกลับไป


   "ถ้าพี่ไม่ถามเรา แล้วพี่จะไปถามใครล่ะ ว่าไงเรื่องงาน" คำถามเดิมๆ ที่บดินทร์เฝ้าถามตั้งแต่รู้เรื่องว่าบริพัตรถูกกลั่นแกล้ง ผู้เป็นพี่ไม่อยากให้เรื่องต้องถูกปล่อยปะละเลยแต่อย่างใด ชายหนุ่มจึงสอบถามน้องชายทุกวันด้วยความเป็นห่วง


   "ก็เหมือนเดิมทุกทีล่ะครับ" บริพัตรรู้ดีว่าที่บดินทร์มาถามเขาทุกวันนั้นเพราะห่วงใยในตัวเขา แต่เขาเองก็ไม่อยากให้พี่ชายลำบากใจจึงตอบเหมือนๆ เดิมแทบทุกครั้ง


   "พี่ขอเถอะนะ พัตเองก็รู้ว่ามันไม่เหมือนเดิม วันนี้โดนแกล้งอะไรมา"


   "ช่างมันเถอะครับ มันก็เหมือนเดิมทุกๆ วัน"


   "พัต บอกพี่" บดินทร์ถอนหายใจด้วยความอ่อนใจกับน้องชายจอมดื้อด้านคนนี้


   "ให้พี่จัดการให้มั้ย"


   "อย่าเลยครับ แค่นี้ทุกคนก็มองว่าผมเป็นเด็กเส้น ถ้าพี่ดินลงมาทำอะไรมากไปกว่านี้ จะลำบากกว่าเดิมได้นะครับ"


   "นายทำงานที่นี่มากี่ปีแล้ว ทุกคนก็เห็น ว่านายทำงานได้เพราะตัวนายเอง ต่อให้พี่ฝากนายเข้าทำงาน แต่ถ้านายทำงานไม่ได้ คิดเหรอว่าพี่จะยอมให้นายทำงานต่อไปได้ แต่ที่นายยังโดนแกล้งอยู่แบบนี้ พี่ไม่ค่อยชอบ"


   "ผมไม่เป็นไรจริงๆ แล้วก็ไม่ได้ลำบากอะไรด้วย พี่ดินไม่ต้องเป็นห่วงผมหรอก ตอนนี้พี่ต้องห่วงน้องภูให้มากๆ ต่างหาก"


   "ไม่ว่าจะนายหรือน้องภู ก็สำคัญต่อพี่ทั้งคู่ ยังไงพี่ก็ปล่อยไปไม่ได้หรอก ถ้านายไม่บอก งั้นพี่จะให้ญาญ่ามาคอยรายงานพี่เอง"


   "อย่าสร้างงานเพิ่มให้พี่ญาญ่าเลยครับ แค่นี้งานเธอก็เยอะอยู่แล้ว" ญาญ่าหรือมนัธญา หัวหน้าสาวสวยคนเก่งของแผนกที่บริพัตรทำงานอยู่ แล้วหญิงสาวก็เป็นรุ่นน้อง ของบดินทร์ด้วย จึงไม่แปลกหากจะขอพึ่งพาไหว้วานกัน


   "นายต้องเลือกแล้วนะพัต ว่าจะบอกพี่เองหรือให้ญาญ่ามาบอกพี่ แล้วพรุ่งนี้ก็ไปทำงานพร้อมกับพี่ล่ะ"


   "ไม่เอาล่ะครับ พี่ดินเข้าสายได้ แต่ผมต้องไปให้ตรงเวลานะครับ เพราะฉะนั้นผมไปเองดีกว่า แล้วอีกอย่างหนึ่ง ผมก็ไม่ค่อยชอบรถติดด้วย"


   "คุณธนา เขาบอกพี่เรื่องโรงเรียนเตรียมอนุบาลของน้องภูให้พี่ฟัง พี่เพิ่งรู้ว่าลูกชายเข้าโรงเรียนแล้ว เลยยังไม่ได้ดูโรงเรียนใกล้ๆ แถวนี้เลย ช่วงนี้คงต้องเรียนที่โรงเรียนเดิมไปก่อน จนกว่าจะปิดเทอม แล้วโรงเรียนก็ไกลจากบ้านเราเพราะอยู่ใกล้กับห้องพักของคุณธนา"


   "พี่เห็นว่าไหนๆ พัตเองก็ไม่ได้ใช้รถอยู่แล้ว ก็เลยอยากจะขอยืมรถพัตให้คุณธนา เขาใช้ไปก่อนสักระยะหนึ่ง แล้วพี่จะหาทางขยับขยายให้ใหม่ ทั้งเรื่องโรงเรียนของน้องภู หรือรถของพัตเองนะ แล้วคุณธนาก็ชอบรถเหมือนกับพัตเลยนะ เรื่องรถคงดูแลดีไม่แพ้กันหรอก พัตคงไม่ว่าอะไรใช่มั้ย" บดินทร์พูดยาวเหยียดเป้าหมายทั้งหมดก็คือขออนุญาตเจ้าของรถเพื่อให้ภูธนาได้เอาไปใช้นั่นเอง อย่างหนึ่งที่บดินทร์ไม่ได้บอกภูธนาตรงๆ ก็คือ นอกจากบริพัตรจะชื่นชอบพวกโมเดลหรือรถแข่งเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว แต่น้องชายคนนี้ แม้กระทั่งรถทั่วไปก็ดูแลเอาใจใส่เป็นอย่างดีไม่แพ้กัน




   ถึงแม้ในวันทำงานบริพัตรจะไม่ได้ขับรถไปทำงาน แต่ในวันหยุดพักผ่อน ชายหนุ่มชอบขับรถไปไกลๆ เพื่อพักผ่อน บริพัตรชอบความเร็วแต่ไม่ประมาท ที่บอกว่าไม่ชอบรถติดนั่นมันก็ใช่ แต่ไม่ได้หมายความว่าไม่ได้ชอบขับรถ บดินทร์นั่งรอคำตอบของน้องชายใจจดใจจ่อ หากบริพัตรไม่ยินยอม พรุ่งนี้ตัวเขาเองคงจะต้องเป็นฝ่ายนั่งแท็กซี่ไปทำงานแทน


   "ก็ได้ครับ พี่ดินเอ่ยปากขนาดนี้ ผมจะไม่ให้ได้ยังไงกัน"


   "ขอบใจนายมากนะ ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นพี่จะรับผิดชอบเองนะ นายไม่ต้องเป็นห่วง" บดินทร์รู้สึกโล่งอกที่ได้ฟังคำตอบจากน้องชายเพราะไม่คิดว่าบริพัตรจะยอมให้ง่ายๆ


   "น่าห่วงอยู่นะครับ ตอนนี้พี่แทบไม่เหลือเงินสดไว้สำรองจ่ายแล้วนะครับ จำได้มั้ย" บริพัตรขยับแว่น เหล่ตามองผู้เป็นพี่ชายเล็กน้อยพอเป็นพิธี เพื่อกระตุ้นความจำชอบบดินทร์


   "อย่าพูดอย่างนั้นสิ เงินสำรองนั่นไม่มีก็จริง แต่ถ้าฉุกเฉินก็คงต้องเอาเงินที่ไม่ควรใช้ แล้วเอามาใช้ละนะ ยังไงก็แล้วแต่ นายไม่ต้องเป็นห่วงหรอก"


   "เงินนั่นพี่เอาไปเลยก็ได้ ผมไม่ได้ติดใจอะไรหรอก น้องภูน่ารักมาก ผมคิดว่าคุ้มครับ ที่ยอมจ่ายเงินไป"


   "ขอบใจนายจริงๆ นะพัตเตอร์ น้องรัก"


   "พอๆ ได้แล้ว มาทำเสียงหวานซึ้งแบบนี้ ผมขนลุกจะอ้วก ตอนนี้ผมง่วงแล้ว พี่ออกไปได้แล้ว " พูดว่าง่วง บริพัตรก็หาวออกมาทันที ทำให้พี่ชายที่กำลังจะพูดเรื่องที่ทำงานต่อต้องหยุดการสนทนาไว้เพียงเท่านี้  ไว้ค่อยคุยใหม่วันหลังก็ได้ บดินทร์คิดแล้วจึงออกจากห้อง





   
   บริพัตรลุกขึ้นตามไปส่งพี่ชายที่ประตูหน้าห้อง ปิดประตูลงเมื่อพี่ชายคล้อยหลังไปแล้วจึงปิดไฟในห้อง สายตาที่ดูง่วงนอนเมื่อยล้าเมื่อสักครู่นี้กลับแปรเปลี่ยนเป็นสายตาที่เอาจริงเอาจังไม่เฉื่อยชา ชายหนุ่มเอาแว่นคาดศรีษะเพราะรำคาญผมที่ยาวปิดตาแล้วเดินไปนั่งหน้าโต๊ะคอมเพื่อทำงานต่อ  มือใหญ่แต่กลับคล่องแคล่ว พิมพ์คำสั่งโปรแกรมด้วยความรวดเร็ว เขาถูกขัดจังหวะในการทำงานเมื่อสักครู่ ทำให้เสียเวลาไปพอสมควร ดังนั้นชายหนุ่มจึงต้องรีบเร่งมือก่อนที่จะไม่ทันเวลา




   บริพัตรทำงานให้กับองค์กรลับแห่งหนึ่งของประเทศ ชายหนุ่มมีหน้าที่เข้าไปเจาะลึกล้วงข้อมูลออกมาเพื่อผลประโยชน์ของประเทศ ถึงจะเป็นงานที่เหมือนทำคุณความดีให้กับประเทศชาติ แต่ทว่าก็เหมือนเป็นดาบสองคม การเข้าไปเจาะข้อมูลฝ่ายตรงข้ามก็ถือเป็นความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์อยู่ดี เพราะฉะนั้นงานเลยมีความเสี่ยงค่อนข้างมาก แต่ก็ทำให้ผลตอบแทนที่ได้รับมีมูลค่าสูงกลับมาเช่นเดียวกัน




   ในช่วงปี 4 ที่บริพัตรดรอปเรียนอย่างกะทันหัน ไม่มีใครรู้ว่าชายหนุ่มหายไปไหน บริพัตรในช่วงนั้นไม่พร้อมที่จะพูดคุยกับใคร ชายหนุ่มอยากอยู่เพียงลำพัง ความจริงที่ได้รับรู้ทำให้ชายหนุ่มรู้สึกหมดแรง และไม่สามารถก้าวเดินต่อไปได้อีก ความเชื่อมั่นที่มีกลับไม่หลงเหลืออยู่อีกแล้ว จนเขาได้พบกับผู้ชายคนหนึ่ง




   บริพัตรหนีจากสังคมไปพักที่เกสต์เฮาส์แห่งหนึ่ง ซึ่งมีลุงชาครเป็นเจ้าของที่พักแห่งนี้ ในแต่ละวัน บริพัตรจะนั่งที่ริมระเบียงและดื่มกาแฟไปทีละแก้ว พอหมดก็สั่งแก้วใหม่แบบนี้ไปเรื่อยๆ จนถึงตอนพลบค่ำถึงจะลุกกลับไปห้องพัก จนกระทั่งวันหนึ่งลุงชาครได้เข้ามานั่งพูดคุยด้วย ตอนนั้น ลุงชาครมีอายุราว 55 ปี อายุอานามยังไม่เยอะนัก แต่ใบหน้ากลับดูแก่ราวผู้ชายวัย 70 ปี ผมสีขาวทั่วศีรษะ ผิวหนังเหี่ยวย่นและหยาบกร้าน แต่ดูสงบและชวนให้เคารพ ลุงชาครเล่าเรื่องราวของตนเองให้บริพัตรฟังทีละเรื่องๆ ลุงชาครไม่ได้สอนอะไรบริพัตรเป็นเรื่องเป็นราวแต่ในเรื่องราวที่ลุงเล่าให้ฟังนั้นกลับสอนข้อคิดของการใช้ชีวิตทุกครั้ง  ผ่านไปหลายเดือน บริพัตรเริ่มสนิทกับลุงชาครบ้างขึ้นแล้ว จนกระทั่งลุงชาครยอมเล่าเรื่องที่สำคัญที่สุดในชีวิตให้ฟัง




   "ลุงเป็นมะเร็ง อีกไม่นานก็จะตายแล้วนะ" ลุงชาครบอกไว้อย่างนั้น บริพัตรไม่เข้าใจว่าทำไมลุงถึงไม่ยอมไปรักษาอาการให้ดีขึ้น จากที่ใกล้ชิดสนิทสนมกันมาสักระยะหนึ่ง บริพัตรแน่ใจว่าลุงไม่ได้ป่วยเป็นมะเร็งหรอก บริพัตรถามลุงชาครเรื่องอาการป่วยอีกครั้ง ลุงไม่ตอบแต่ส่งยิ้มจางๆ มาให้ชายหนุ่มเพียงเท่านั้น


   "ชอบคอมพิวเตอร์มั้ย พ่อหนุ่ม" เช้าวันหนึ่งในหน้าฝน ลุงชาครก็ถามขึ้นมาโดยไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย


   "ไม่มั้งครับ ผมใช้คอมฯ เวลาที่ต้องทำรายงานเท่านั้น" บริพัตรตอบลุงไปตามความจริง


   "อยากทำงานเพื่อประเทศชาติมั้ยล่ะ"


   "หมายความว่ายังไงเหรอครับ ผมไม่เข้าใจ"


   "ก็หมายความตามที่บอกไปยังไงล่ะ"


   "โธ่ ลุงอย่าล้อผมเล่นสิครับ แค่มีชีวิตเพื่อตัวเองยังลำบากเลย ผมจะไปทำงานแบบนั้นได้ยังไงกัน"


   "มาลองดู ถ้าไม่ชอบก็ไม่ต้องสนใจ"





   จากที่ลุงชาครบอกไว้ ลุงก็ทำตามคำพูดจริงๆ ที่ว่ามาลองดู ถ้าไม่ชอบก็ไม่ต้องไปสนใจ แต่บริพัตรกลับชอบและสนใจ และยังทำได้ดีและน่าทึ่งจนลุงต้องเอ่ยปากชม บริพัตรเลยรู้ว่าก่อนหน้าที่ลุงชาครจะมาเปิดที่พักแห่งนี้ ทั้งชีวิตของลุงทำงานให้กับองค์กรลับแห่งนี้มาโดยตลอด แต่เมื่อร่างกายไม่เอื้ออำนวยก็ทำให้องค์กรทำงานล่าช้าลง



   ลุงชาครไม่เคยบังคับบริพัตรให้ทำงานเลยแม้แต่น้อย แต่เป็นชายหนุ่มเองที่อยากทำงานนี้เองและอยากสานต่อเจตนารมณ์ของลุงชาครด้วย และเพียงไม่นานหลังจากที่บริพัตรเข้าทำงานในองค์กรลับ ลุงชาครก็ต้องจากไปอย่างที่เคยบอกไว้แต่แรก



   'ลุงเป็นมะเร็ง อีกไม่นานก็จะตายแล้ว'



   
   บริพัตรสอบถามพนักงานที่ทำงานในเกสต์เฮาส์ ปรากฎว่าไม่มีใครรู้จักญาติของลุงชาครเลย ลุงไม่เคยบอกว่ามีลูกหลานหรือพี่น้องที่ไหน บริพัตรเลยจัดงานศพเล็กๆ ให้กับลุงชาคร ผู้ที่เปรียบเสมือนเป็น พ่อ เพื่อน พี่ หรือครูให้กับชายหนุ่ม



   ลุงชาครรอบคอบเสมอ ในวันเผาศพ มีทนายหนุ่มคนหนึ่งมุ่งหน้าเดินตรงเข้ามาหาบริพัตร และแจ้งว่าเนื่องจากลุงชาครไม่มีญาติหลงเหลือแล้ว จึงขอมอบเกสต์เฮาส์แห่งนี้ให้กับบริพัตรดูแลต่อ พร้อมเงินสดที่มีมูลค่าไม่น้อยมอบให้กับบริพัตรและพนักงานที่ทำงานในเกสต์เฮาส์ด้วย บริพัตรเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมลุงชาครถึงไว้ใจให้เขาดูแลที่นี่ต่อ




   หลังจากเสร็จจากงานศพของลุงชาครแล้ว  บริพัตรจึงตัดสินใจกลับเข้ามาเรียนต่อให้จบอีกครั้งหนึ่ง ถึงแม้จิตใจที่เสียความร้สึกไปก่อนหน้านี้จะยังไม่หายขาด แต่ก็ดีขึ้นจนสามารถก้าวต่อสู้ได้อีกครั้ง และทุกครั้งเมื่อถึงวันหยุดหากไม่ติดธุระอะไรบริพัตรก็จะกลับไปที่เกสต์เฮาส์นั้นเสมอ



   บริพัตรจำต้องปกปิดตัวเองทุกอย่างจากงานที่ทำ หลังจากเรียนจบเขาเข้ามาทำงานในตำแหน่งธรรมดาทั่วไป แต่งตัวและปกปิดหน้าตา เปลี่ยนแปลงตัวเอง เพื่อไม่ให้เป็นจุดสนใจ ทั้งที่ความเป็นจริงแล้ว ชายหนุ่มไม่จำเป็นต้องทำถึงขนาดนี้  ถ้าไม่ใช่เพราะผู้หญิงที่ชื่อ



   ' มิ้น หรือ มินตรา'





Talk:.

สวัสดีค่ะ ศุกร์ลัลลา นะคะ ^^ ชื่อตอนที่ 10 นี้ยกให้พ่อพระเอกเค้าหน่อยค่ะ พระเอกของเราดูมีปมเล็กๆ นิดหน่อย รับรองว่าเรื่องนี้ไม่ดราม่าค่ะ ขอเป็นโมเมนท์ซึมๆ เล็กๆ ก็พอ คนแต่งไม่ชินกับดราม่าจ้าาา

อากาศเปลี่ยนแปลงบ่อย (มั้ย ?) รักษาสุขภาพและสภาพเงินด้วยค่ะ กลางเดือนแล้ว นึกว่าสิ้นเดือนแล้วเนี่ย 55555  :z3: :z3:


ขอบคุณคอมเมนท์ทุกๆ ท่านเลยนะคะ กำลังใจชั้นเยี่ยมเลย
 :mew1: :mew1: :mew1: :mew1: :mew1:




ด้วยรัก
เขมกันต์
หัวข้อ: Re: กว่าจะเข้ากันได้ โดย เขมกันต์ อัพเดท [บทที่ 10 บริพัตร] หน้า 3 - 19/02/2559 ค่ะ
เริ่มหัวข้อโดย: yisren. ที่ 20-02-2016 01:26:24
เปิดเผยพระเอกแล้ว น่ารักอ่ะพัตเตอร์  :o8:

อยากให้ลุงธนามีความสุขมากๆ เสียที
หัวข้อ: Re: กว่าจะเข้ากันได้ โดย เขมกันต์ อัพเดท [บทที่ 10 บริพัตร] หน้า 3 - 19/02/2559 ค่ะ
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 20-02-2016 13:01:20
โห บริพัตร ชีวิตนายอย่างกับนิยายเลย
ว่าแต่อะไรทำให้พัตเตลิดไปได้ขนาดนั้นนะ แล้วมิ้นเป็นใครล่ะ
หัวข้อ: Re: กว่าจะเข้ากันได้ โดย เขมกันต์ อัพเดท [บทที่ 10 บริพัตร] หน้า 3 - 19/02/2559 ค่ะ
เริ่มหัวข้อโดย: mukmaoY ที่ 20-02-2016 16:23:48
 :ling2:
หัวข้อ: Re: กว่าจะเข้ากันได้ โดย เขมกันต์ อัพเดท [บทที่ 10 บริพัตร] หน้า 3 - 19/02/2559 ค่ะ
เริ่มหัวข้อโดย: เขมกันต์ ที่ 23-02-2016 19:45:58

บทที่ 11


   ล่วงเข้าวันใหม่ หลานชายคนเก่งหลับเข้าสู่ห้วงนิทราไปนานแล้ว แต่ภูธนายังนอนไม่หลับ ชายหนุ่มนอนกระสับกระส่ายพยายามข่มตา แต่พอหลับตาลงทีไร ภาพของชายหนุ่มก็กลับผุดขึ้นมาในหัว



   ชายหนุ่ม เจ้าของชื่อ บริพัตร ยังคอยวนเวียนอยู่ในห้วงความคิดของภูธนาตลอดเวลา ไม่อาจสลัดออกไปได้  ตอนเย็นที่ผ่านมา แว่นสายตาที่คาดผมของอา หนุ่มไว้นั้น เพียงเสี้ยววินาทีที่ภูธนาบังเอิญได้เห็นใบหน้าของชายหนุ่มที่ปราศจากแว่นตากรอบหนาอันใหญ่ และผมยาวที่ปกปิดดวงตา



   ความคิดแรกที่พุ่งเข้ามาในหัว




   'เลิกใส่แว่น แล้วโยนทิ้งไปได้มั้ย ให้ตายเถอะ โคตรจะเสียดายใบหน้าหล่อๆ แทนว่ะ'



   ภูธนาปฏิเสธไม่ได้เลยว่าเมื่อใบหน้าไร้กรอบแว่นหนาและทรงผมอันแสนเชยนั่นแล้ว บริพัตรหน้าตาดีชนิดที่เรียกได้ว่าหาตัวจับได้ยาก ถึงจะเป็นสายตาของผู้ชายด้วยกันเองก็คงต้องยอมรับว่า เจ้าตัวนั้นมีใบหน้าที่หล่อมากเลยทีเดียว ทั้งสัดส่วนบนใบหน้าต่างลงตัวได้รูปรับกันหมด


   คิดมาถึงตรงนี้ทีไร ภูธนารู้สึกแปลกใจอยู่ไม่น้อยว่าทำไมชายหนุ่มถึงต้องปิดบังใบหน้านั้น ซ้ำยังบุคลิกท่าทางที่ดูไม่มั่นใจอีก น่าสงสัยอยู่ไม่น้อยเลยแฮะ อยากรู้จริงๆ 


   ยิ่งคิดก็ยิ่งไม่เข้าใจถึงพฤติกรรมต่างๆ ของบริพัตร แต่เดี๋ยวก่อน ดูเหมือนตัวเขาเองกำลังให้ความสนใจอาของหลานเกินไปหรือเปล่า ภูธนายอมรับว่าเขาไม่ค่อยมีความรู้สึกเชิงชู้สาวกับใครเท่าไหร่นัก ภาระที่ผ่านมาในอดีตทำให้ชายหนุ่มไม่มีเวลาที่จะมาคิดถึงเรื่องพวกนี้ แต่ก็ไม่น่าจะมาสนใจผู้ชายด้วยกันเองแบบนี้





   เช้าวันรุ่งขึ้น ภูธนารีบอาบน้ำแต่งตัวให้ตัวเองและหลานชาย เพราะชายหนุ่มตื่นสายกว่าปกติ เมื่อคืนกว่าชายหนุ่มจะเคลิ้มหลับไปก็เกือบรุ่งสางเข้าไปแล้ว ภูธนาอุ้มหลานลงมาข้างล่าง หยิบกุญแจรถที่บดินทร์อนุญาตไว้แล้วรีบพาน้องภูไปที่รถคันใหญ่ทันที


   "ลุงขอโทษนะครับ น้องภู หนูเลยกินข้าวเช้าได้นิดเดียวเอง"  ภูธนาอุ้มหลานขึ้นนั่งข้างคนขับพร้อมรัดเข็มขัดให้เรียบร้อย แล้วจึงค่อยๆ ขับออกตัว


   "อะไรเหรอฮะ ลุงธนา" เด็กน้อยหันมาถามด้วยความสงสัย ในมือขาวป้อมยังถือกล่องนมที่ภูธนาเอามาเสริมให้เป็นมื้อเช้าอีกอย่างหนึ่ง


   "เปล่าครับ อิ่มมั้ยครับ หรือยังหิวอยู่" คุณลุงยิ้มหลานตัวน้อยด้วยความเอ็นดู


   "น้องภูอยากกินขนม" เจ้าตัวน้อยเริ่มขอขนมเพิ่มเติม


   "ไม่ได้หรอกครับ ดื่มนมให้หมดนะครับ ขาดโรงเรียนมาตั้งหลายวัน น้องภูคิดถึงโรงเรียนมั้ยครับ "


   "ฮะ น้องภูคิดถึงมีมี่แล้ว" มีมี่เป็นเด็กน้อยผมถักเปีย 2 ข้างหน้าตาน่ารักทีเดียว และเป็นเพื่อนเล่นกับภูบดินทร์ตั้งแต่เข้าเรียน


   "อ้อ คิดถึงแต่น้องมีมี่คนเดียวสินะ ฮ่าๆ" ชายหนุ่มหัวเราะให้กับความใสซื่อของเด็กน้อยที่ยังไม่รู้จักเรื่องของความรัก


   "นั่นอาพัตเตอร์นี่ฮะ" บริพัตรเดินเลียบถนนภายในซอยของหมู่บ้านก่อนจะออกไปถนนใหญ่ ภูธนาจึงค่อยๆ ชะลอจอดรถเทียบข้างชายหนุ่มที่เดินอยู่พอดี




   บริพัตรแต่งตัวเหมือนเช่นทุกวัน ชายหนุ่มจะสวมเสื้อเชิ้ตสีขาวขนาดใหญ่กว่าตัวเอง กางแกงสแลคเอวสูงตัวหลวมโคร่ง มองเผินๆ นึกว่าคุณลุงวัย 50 ปีเสียอีก ภูธนาส่ายหน้าเบาๆ ให้คะแนนติดลบในเรื่องการแต่งตัวของผู้ชายคนนี้ หากวันหนึ่งมีโอกาสที่คุ้นเคยกันกว่านี้ เขารับรองได้เลยว่าชายหนุ่มจะต้องเลิกใส่เสื้อผ้าขนาดใหญ่ไซส์เผื่อโตและจะเอาไปโยนทิ้งอย่างแน่นอน


   เอ่อ บริจาคดีกว่า ดูจะมีประโยชน์มากกว่า


   "อาพัตเตอร์ฮะ" ภูธนากดปุ่มลดกระจกให้หลานชายตัวน้อยร้องเรียกหาอาหนุ่มคนนี้ บริพัตรกำลังเดินอยู่เมื่อได้ยินเสียงเรียกชื่อตนเลยหันไปมองข้างๆ พบว่า เป็นรถยนต์คันโปรดของเขาเองที่มาจอดเทียบข้างอยู่


   "ว่าไงครับ น้องภูจะไปโรงเรียนใช่มั้ยครับ"


   "ฮะ อาพัตเตอร์จะไปไหนฮะ น้องภูกับลุงธนาไปด้วยได้มั้ย" เด็กชายนึกว่าอาหนุ่มคนนี้อาจจะไปเที่ยวจึงขอตามไปด้วย


   "ไม่ได้หรอก เด็กดีต้องไปโรงเรียนนะครับ" เสียงทุ้มของภูธนาขัดขึ้นมาเสียก่อนที่บริพัตรจะได้พูดอะไรออกไป


   "คุณจะไปทำงานเหรอครับ ให้ผมไปส่งมั้ยครับ" ภูธนาถามชายหนุ่มที่เป็นเจ้าของที่เขากำลังขับอยู่


   "ไปส่งผมด้วยรถของผมเองเนี่ยนะครับ" บริพัตรไม่ตอบคำถามแถมยังยอกย้อนคนที่หวังดีแทนเสียอีก


   "นี่อาพัตเตอร์ครับ ที่จะไปส่งคุณก็เพราะเห็นว่าผมใช้รถของคุณอยู่ต่างหาก ก็ไม่อยากให้เจ้าของรถต้องเดินขาลากกว่าจะไปถึงถนนใหญ่หรอก"


   "อาพัตเตอร์ขึ้นมาสิฮะ ขึ้นมา ขึ้นมาฮะ" ภูบดินทร์แทรกขึ้นมาระหว่างผู้ใหญ่ 2 คนที่กำลังปะทะคารมกันอยู่



   บริพัตรตั้งท่าจะปฏิเสธความหวังดีหรืออุตส่าห์หวังดีของฝ่ายตรงข้ามแต่ทว่า


   
   ปี๊นนนนนนนนนนนนนนนนนนนนน



   เสียงบีบแตรยาวจากทางด้านหลัง ซอยนี้มีขนาดไม่ใหญ่มาก พอให้รถวิ่งสวนกันเท่านั้น พอชายหนุ่มจอดรถนิ่งทำให้ด้านหลังเริ่มติดเป็นขบวนยาว


   "ขึ้นมาเร็วๆ สิครับ เห็นมั้ยว่ารถเริ่มติดแล้ว" ภูธนาพูดน้ำเสียงเชิงตำหนิ    บริพัตรว่าเป็นสาเหตุของรถติดในครั้งนี้ บริพัตรก้าวขึ้นรถทางด้านหลังของตัวรถ ชายหนุ่มหงุดหงิดเล็กน้อยเพราะตัวเขาก็ไม่ได้อยากขึ้นรถเป็นทุนเดิม เดินไปอีกไม่ไกลก็จะถึงรถไฟฟ้าแล้ว เมื่อภูธนาเห็นว่าบริพัตรเข้านั่งในรถเรียบร้อยแล้ว รถยนต์คันหรูเริ่มออกตัวอีกครั้งอย่างนุ่มนวล


   "แค่นี้ก็สิ้นเรื่อง" ภูธนาพูดเสียงไม่ดังนัก แต่ภายในห้องโดยสารที่ค่อนข้างเงียบ น้องภูดื่มนมหมดกล่องแล้ว เด็กน้อยตาเริ่มปรืออีกครั้ง


   "ผมก็ไม่ได้บอกให้คุณลุงต้องมารับไปด้วยสักหน่อยนี่ครับ" บริพัตรเองก็ไม่ยอมที่จะให้ภูธนามาว่าตนแต่ฝ่ายเดียว


   "นี่คุณพัต พูดเกินไปแล้วนะครับ" ปกติแล้วภูธนาเป็นคนที่มีอารมณ์ค่อนข้างเย็นไม่ฉุนเฉียว แต่ไม่รู้ทำไมแค่เรื่องไม่เป็นเรื่องชายหนุ่มจึงรู้สึกโมโหง่ายขึ้นมาทันที


   "เหรอครับ" บริพัตรตอบรับด้วยน้ำเสียงราบเรียบ


   "ใช่สิครับ ผมไม่รู้ว่าคุณไม่พอใจผมตรงไหนหรือเปล่า"


   "เดี๋ยวก่อนนะ ผมว่าคนที่ไม่พอใจเนี่ย น่าจะเป็นคุณหรือเปล่าครับ ลุงธนา"


   "หยุดเรียกผมว่าลุงเสียที ผมอายุน้อยกว่าคุณอีกนะ" ภูธนาเริ่มเสียงดังขึ้นแต่ก็ต้องรีบสงบจิตใจเมื่อเห็นว่าหลานชายกำลังหลับ


   "งั้นคุณก็ช่วยหยุดเรียกผมว่าอาพัตเตอร์ด้วยครับ ผมอายุมากกว่าคุณอีกนะครับ" บริพัตรยังไม่ยอมลดราวาศอกใดๆ ให้กับภูธนาเลยแม้แต่น้อย


   "ผมเรียกตามหลาน" ภูธนายังเถียงต่อไม่หยุด


   "ผมเองก็เรียกตามหลานเหมือนกับครับ ลุงธนา" แต่มีหรือที่บริพัตรจะยอม เล่นกับผู้ชายที่กำลังขับรถนี่ ดูๆ ไปก็น่ารักดีนะ ปากแดงๆ ที่กัดริมฝีปากล่างด้วยความโมโหที่ไม่ได้ดั่งใจก็ดูเป็นอีกสีหน้าหนึ่งที่เจ้าตัวคงไม่ค่อยได้แสดงออกมาบ่อยนัก


   "จะให้ผมไปส่งคุณตรงไหน" ภูธนาพยายามข่มน้ำเสียงให้เป็นปกติ


   "ข้างหน้าก็แล้วกันครับ ตรงรถไฟฟ้า" บริพัตรแจ้งจุดหมายที่ต้องการลงอยู่ไม่ไกล



   ภูธนาจอดรถเทียบทางขึ้นรถไฟฟ้า บริพัตรกล่าวขอบคุณชายหนุ่มแล้วเปิดประตูลงจากรถไปด้วยท่าทีไม่รีบร้อนอะไรนัก แล้วก้าวยาวๆ ขึ้นบันไดเพื่อไปทำงาน ทิ้งให้คนที่ขับรถกำพวงมาลัยแน่นด้วยความโมโหขึ้นมาอีกครั้ง


   "ขอบคุณนะครับ อ้อ ขับรถคนอื่นเขาก็ช่วยดูแลมันดีๆ ด้วยล่ะครับ ผมหวง" คำพูดที่บริพัตรทิ้งท้ายเอาไว้  ถ้าหวงของมากนักทีหลังก็ไม่ต้องอนุญาตให้ยืมสิ เขาจะไม่ขับรถคันนี้อีกแล้ว เอาคืนไปเลย



   กว่าภูธนาจะอารมณ์เย็นลง รถยนต์คันใหญ่ก็จอดหน้าประตูโรงเรียนเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ภูธนายกนาฬิกาบนข้อมือขึ้นมาดู ทันเวลาเข้าเรียนพอดี ชายหนุ่มปลุกหลานชายด้วยเสียงไม่ดังนักเกรงว่าหลานชายจะตกใจ ภูบดินทร์พอตื่นขึ้นมาพบว่าอยู่หน้าโรงเรียนแล้ว เด็กน้อยก็ยิ้มร่ารีบบอกให้คุณลุงรีบอุ้มลงจากรถ ส่งเด็กน้อยให้ครูประจำโรงเรียนที่ยืนคอยรับเด็กทุกคน ภูธนากล่าวขอโทษที่หลานชายขาดเรียนหลายวัน ครูสาวหยอดยิ้มหวานให้ชายหนุ่ม ภูธนาจึงรีบบอกลาหลานชายแล้วขอตัวลากับคุณครูทันที



   ด้านบริพัตรหลังจากแยกกับภูธนา ลุงของหลานชายแล้ว บริพัตรรู้สึกแปลกใจตัวเองอยู่ไม่น้อย ตั้งแต่ที่เกิดเรื่องราวครั้งใหญ่ในชีวิตของชายหนุ่ม เขาไม่มีความรู้สึกที่อยากหยอกล้อ ก่อกวนอารมณ์ของใครแบบนี้ นานมากแล้ว ภูธนาเป็นคนแรก ที่ทำให้บริพัตรอยากจะทำให้ลุงของหลานนั่นโมโหดิ้นพล่านแทบอยู่ไม่สุข


'สนใจใช่มั้ย'



   บริพัตรเกิดคำถามนี้ขึ้นมา ทั้งที่เจ้าตัวยังเดินเข้าตึกที่ทำงานไปพร้อมกัน ชายหนุ่มยกนาฬิกาขึ้นดูเล็กน้อย พบว่าทันเวลาเข้างานพอดี ชายหนุ่มถอนหายใจ  โล่งอกก่อนจะลงเวลาเข้าทำงาน


'สนใจใช่มั้ย'





   คำถามนี้ผุดขึ้นอีกครั้ง เมื่อบริพัตรถึงโต๊ะทำงาน ชายหนุ่มเอื้อมมือไปกดสวิตซ์คอมพิวเตอร์บนโต๊ะ เครื่องคอมพิวเตอร์แสดงหน้าจอว่าเตรียมพร้อมที่จะทำงานแล้ว บริพัตรหันไปมองกองเอกสารที่วางอยู่บนโต๊ะ เมื่อวานนี้เขาทำงานเสร็จหมดแล้ว แต่เช้านี้กลับมีกองใหม่เพิ่มมาอย่างรวดเร็ว เขาไม่แปลกใจเพราะเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเป็นประจำทุกๆ ครั้ง



   เขาถูก 'กลั่นแกล้ง' มาหลายรูปแบบตั้งแต่เข้ามาทำงานที่นี่ใหม่ๆ คนถูกกลั่นแกล้งก็ไม่ใช่ใครอื่นก็กลุ่มหญิงสาวในแผนกเดียวกันนั่นแหละ ใช่ บริพัตรรู้ตัวดี แต่ชายหนุ่มไม่ได้สนใจกับงานที่มากมายแบบนี้ เขากลับรู้สึกดีด้วยซ้ำ  เพราะยิ่งงานเยอะ ก็จะได้ไม่คิดเรื่องอื่นๆ  โดยเฉพาะ มินตรา คนที่เขาไม่อยากคิดถึงมากที่สุด


   บริพัตรเอื้อมมือหยิบเอกสารขึ้นมาแฟ้มแรก เปิดดูเนื้อหาและข้อความด้านใน เพื่อตรวจดูว่าต้องแก้ไขหรือเพิ่มเติมอะไรบ้าง มือเรียวเริ่มวางมือบนแป้นคีย์บอร์ด



'สนใจใช่มั้ย'



   โธ่เว้ย บริพัตรเริ่มหงุดหงิดใจขึ้นมาเป็นครั้งแรกของวัน คิ้วเข้มขมวดเข้าหากัน งานเยอะมากมายขนาดนี้ แต่สมองของเขาก็ยังอุตส่าห์ไปคิดถึงคำถามเดิม อยากให้ตอบใช่มั้ย ก็ได้


'ใช่ สนใจ'



   บริพัตรตอบคำถามเพื่อให้จบ แต่มันไม่ใช่


'ทำไมถึงสนใจ'



   มาถึงคำถามนี้ บริพัตรไม่แน่ใจตัวเองเสียแล้วว่าทำไมถึงสนใจผู้ชายคนนั้น ถ้าพูดถึงผู้ชายที่ชื่อ ภูธนา ชายหนุ่มมีรูปร่างสูง เมื่อยืนเทียบกับเขาแล้ว ความสูงแทบไม่ต่างจากเขามากนัก ผอมไปหน่อย คงเพราะทำงานหนัก ผิวสีขาว ขาวเกินไปสำหรับผู้ชาย แต่กลับเป็นผิวที่ผู้หญิงคนไหนๆ ก็อยากได้ เพราะชาตินี้จะได้ไม่ต้องไปซื้อครีมแพงๆ มาประโคมผิวให้วุ่นวาย



   ส่วนหน้าตาน่ะเหรอ ต้องยอมรับล่ะว่าไม่ได้ขี้ริ้วขี้เหร่ เพราะเจ้าตัวเป็นถึงดาราหนุ่มมาก่อน แต่ถ้าให้พูดตามตรงแล้ว หน้าตาของภูธนาไม่ได้โดดเด่นอะไร ยิ่งตอนอยู่กับน้องสาวด้วยแล้ว ภูสิตาสวยและหน้าตาดีกว่าพี่ชายมาก ถ้าหากภูสิตาเกิดเป็นผู้ชายล่ะก็ คงเนื้อหอมมากกว่าพี่ชายแน่นอน


   เมื่อหลายปีก่อน บริพัตรเคยเห็นผลงานของชายหนุ่มมาบ้างแต่หลังจากนั้นก็ไม่เห็นมีผลงานอะไรออกมาอีกเลย ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมเขาถึงจำใบหน้าของภูธนาได้ แต่วันที่ไปรับหลานครั้งแรก แล้วได้พบกับเจอภูธนา เขากลับจำชายหนุ่มได้ทันที สำหรับบริพัตรในตอนนี้ก็ยังหาเหตุผลให้กับตัวเองไม่ได้


   บริพัตรคิดเรื่องภูธนาเพลิน เสียเวลาทำงานไปมากพอดู แต่ชายหนุ่มไม่รู้ตัวเลยว่า ความคิดถึงนี้ ไม่มีคำว่ามินตราเข้าในความคิดเขาเลยแม้แต่น้อย   
   


   หลังจากภูธนาไปส่งหลานชายเรียบร้อยแล้ว ชายหนุ่มขับรถไปเรื่อยจนถึง ร้านอาหารที่ชายหนุ่มเคยทำงานอยู่ เพราะความเคยชินที่ต้องมาทำงานทำให้ขับรถเพลินมาถึงที่นี่โดยไม่รู้ตัว ชายหนุ่มหัวเราะให้ตัวเองเบาๆ ที่ใจลอยไม่รู้ตัว ภูธนามองป้ายชื่อร้านแล้วค่อยๆ เคลื่อนรถจากไป



   ปกติแล้ว ถ้าวันไหนที่ภูธนาไม่ได้ทำงาน ชายหนุ่มก็จะทำความสะอาดห้อง ซักเสื้อผ้า หรืองานบ้านจุกจิกที่คั่งค้างอยู่ ซึ่งกว่าจะเสร็จงานก็ใกล้เวลาเลิกเรียนของภูบดินทร์พอดี ชายหนุ่มก็จะออกไปรับหลานชาย พาอาบน้ำ ป้อนข้าว เข้านอน   ก็หมดไป 1 วัน แต่ตอนนี้ไม่เหมือนเดิมแล้ว เรื่องงานบ้านงานเรือนต่างๆ ที่บ้านของบดินทร์มีแม่บ้านคอยมาทำความสะอาดอยู่เป็นประจำ เพราะทำงานนอกบ้านเป็นงานหลัก กลับมาก็พักผ่อน ทั้งคู่จึงไม่ถนัดงานบ้านเท่าไหร่นัก


   ภูธนาไม่รู้ว่าจะไปที่ไหนดี กลับไปที่บ้านหลังใหม่ก็ยังไม่ค่อยคุ้นเคยเท่าไหร่ ชายหนุ่มจึงตัดสินใจไปสถานที่แห่งหนึ่งที่เขาโปรดปรานเป็นที่สุด


   'สนามแข่ง'



   ภูธนาเคลื่อนรถเข้ามาจอดอย่างนุ่มนวลแล้วดับเครื่องยนต์ โดยไม่ลืมที่จะลอคประตูรถคันหรูนี่ด้วย ตรวจสอบอีกครั้งว่ารถถูกลอคแล้วจริงๆ ถ้าหากมันหายไปล่ะก็ เจ้าของคงหน้าตาตื่น โวยวายเป็นเจ้าเข้าแน่ๆ และตัวเขาเองก็คงรู้สึกผิดไม่น้อยเช่นกัน เพราะฉะนั้นก็ดูแลรถให้ดีๆ ตามที่เจ้าของเขาสั่งเถอะ


   ชายหนุ่มสาวเท้ายาวมุ่งหน้าขึ้นไปนั่งบนสแตนด์ มองรถแข่งหลายคันที่กำลังวิ่งผ่านหน้าไปด้วยความเร็ว ภูธนามีความสุขแม้ว่าจะได้แค่มองจากตรงนี้ บรรยากาศที่คิดถึง มันดีจริงๆ นั่งเพลินๆ อยู่ไม่นาน ก็รู้สึกว่าข้างกายเขามีใครบางคนลงมานั่งข้างๆ ชายหนุ่มจึงหันไปมองผู้มาใหม่


   "อ้าว สวัสดีครับ พี่จอม มาที่นี่เหมือนกันเหรอครับ" ภูธนายิ้มกว้างเมื่อเห็นว่าเป็นคนรู้จัก


   "แน่นอนอยู่แล้ว ที่นี่เป็นบ้านพี่ไปแล้วล่ะ แล้วนายล่ะมาทำอะไรที่นี่ ไม่ทำงานหรือไงวันนี้"


   "ตอนนี้ว่างงานครับ ดูแลหลานอย่างเดียว"


   "เฮ้ย แล้วไงจะไหวเหรอ ทำไมว่างงานได้ล่ะ"  จอมเดชเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วงเพราะพอจะเข้าใจสถานการณ์การเงินของภูธนาอยู่บ้าง


   "ล้อเล่นน่ะครับ พอดีมีเรื่องวุ่นวายนิดหน่อย ตอนนี้คุณพ่อของหลานผมเลยจ้างผมเลี้ยงหลานน่ะครับ แปลกดีนะครับ ว่างั้นมั้ยพี่"


   "อย่าไปคิดมากเข้าล่ะ ธนา นายน่ะดีแทบทุกอย่าง แต่เรื่องจิตใจนี่อ่อนไหวง่ายจริงๆ เข้มแข็งหน่อยนะ รู้มั้ย" จอมเดชตบบ่าชายหนุ่ม 2-3 ทีเพื่อปลอบใจ


   "ครับ ผมไม่คิดมากเหมือนเมื่อก่อนแล้วครับพี่จอม ที่จริงได้เลี้ยงน้องภูต่อก็มีความสุขครับ ตอนที่น้องภูไปอยู่กับพ่อเค้า วันแรกๆ นี่ผมอยากจะไปบุกบ้าน ขโมยหลานออกมาให้เสียให้ได้ สุดท้ายก็ไม่ได้ทำหรอกครับ"


   "ดีแล้วล่ะ ธนา เออ จะว่าไป ถ้าว่างงานขนาดนี้ มาอยู่สังกัดบริษัทพี่มั้ยล่ะ"


   "จริงเหรอพี่จอม" ภูธนาแทบไม่เชื่อหูในสิ่งที่ตนได้ยิน


   "จริงสิ การแข่งรอบนั้นน่ะ นายทำได้ดีมากเลยนะ ดิศเองยังชมนายเลยนะ ขนาดร้างมือมานาน แต่ขับได้ขนาดนี้ เยี่ยมมาก"


   "ขอบคุณพี่จอมและพี่ดิศมากเลยนะครับ"


   "ไม่เป็นไร แล้วยังไง ตกลงมั้ย"


   "เอ่อ ผมก็อยากรับคำชวนของพี่นะครับ แต่ผมไม่แน่ใจเรื่องตาราง เพราะงานหลักก็ต้องดูแลน้องภูก่อนครับ"


   "เรื่องนั้นไม่เป็นไรหรอก พี่จะดูตารางงานให้แล้วกัน ว่าไง ตกลงนะ"


   "ถ้าพี่จอมแน่ใจ ผมก็ยินดีครับ ขอบคุณพี่มากครับ" ภูธนายกมือไหว้ขอบคุณจอมเดชที่เปิดโอกาสให้ชายหนุ่มอีกครั้ง


   "ไม่เป็นไรหรอก ธนา นายเองก็มีฝีมือ ไม่ใช่ว่าพี่จะเลือกใครก็ได้หรอกนะ ตอนนี้ในทีมเรามีนักแข่งอยู่แล้ว 2 คน คนแรกก็เป็นศดิศ หรือไอซ์แมน ที่นายรู้จักไปแล้ว ส่วนอีกคนรายนั้นไม่ค่อยได้ลงแข่งหรอก นอกจากนัดสำคัญๆ หรือนัดที่เจ้าตัวอยากลงแข่งจริงๆ เท่านั้น ฉายาเจ้านั่นคือ ไวท์เดวิล (White Devil)"



   "แล้วแบบนี้บริษัทไม่ว่าอะไรเหรอครับ ที่ให้นักแข่งตัดสินใจตามอำเภอใจแบบนั้น"


   "ไม่หรอก เพราะว่าเจ้านั่นเป็นนักแข่งอิสระ แต่ก็เลือกสังกัดที่บริษัทเราเวลาที่มีแข่งน่ะ ฝีมือดีนะ แต่ไม่ค่อยมีเวลาเท่าไหร่ ปัญหามันเยอะ อย่าไปพูดถึงมันเลย เอาเป็นว่าตกลงตามนี้นะ แล้วก็พรุ่งนี้เอาเอกสารมาให้พี่ด้วยล่ะ อย่าลืมนะ เดี๋ยวพี่ขอตัวก่อนนะ ไปดูดิศ มันเสียหน่อย อาการมันใกล้จะหายดีแล้ว"


   "สวัสดีครับ ขอบคุณมากครับพี่จอม" ภูธนายกมือไหว้จอมเดชอีกครั้ง แล้วก็นั่งดูรถที่กำลังซ้อมแข่งอยู่แบบนั้นอีกนาน แต่สายตากลับไม่ได้เฝ้ามองการเคลื่อนไหวของรถแข่งเหล่านั้นเลย ในหัวสมองคอยเฝ้าแต่จะคิดถึงผู้ชายที่ชื่อบริพัตร



   เคยเห็นที่ไหนมาก่อนนะ คุ้นตา แต่นึกไม่ออก



   บ่ายคล้อย ภูธนาแวะซื้อของสดต่างๆ ที่ตลาดเสร็จเรียบร้อย ภูบดินทร์ก็ได้เวลาเลิกเรียนพอดี ภูธนาขับรถไปจอดหน้าโรงเรียนเพื่อรอรับหลานชายคนดี เด็กน้อยพอขึ้นรถมาได้ก็พูดเจื้อยแจ้วไม่หยุด เล่ากิจกรรมเกี่ยวกับน้อง มีมี่ไม่หยุด ภูธนารับคำหลานชายและคอยถามคำถามเป็นระยะ รถยังไม่ติดเท่าไหร่นัก แค่เพียงไม่นานก็ถึงบ้านที่พักหลังใหม่เป็นที่เรียบร้อย


   ภูธนาจัดการอุ้มหลานลงจากรถ หอบหิ้วของสดในมือมากมาย พากันเข้าบ้านไป ชายหนุ่มทำทุกอย่างตามความเคยชินและเป็นขั้นตอน พาหลานชายไปอาบน้ำ แต่งตัวชุดใหม่ แล้วอุ้มลงมาด้านล่างภายในครัว จัดแจงให้หลานชาย  นั่งเล่นอยู่ที่พื้น หาของเล่นให้เล่นไปพลาง วางผลไม้ให้หยิบทานเล่นเพื่อแก้หิวไปพลาง ระหว่างนั้นภูธนาจะจัดแจงทำอาหารสำหรับมื้อเย็น เหมือนในแต่ละวันที่ทำตลอดมา


   อาหารวันนี้ มี 3 อย่างด้วยกัน ผัดผักรวมมิตร ผัดกะเพราหมูสับ และต้มจืดเต้าหูหมูสับใส่สาหร่าย ภูธนาไม่รู้ว่า หนุ่มโสดอีก 2 คนนั้น ทานอะไรได้บ้าง หรือมีอะไรไม่ชอบบ้าง มื้อเย็นวันนี้ก็เลยทำอาหารพื้นๆ ทั่วไปก่อน เพื่อหยั่งเชิงท่าทีของทั้งคู่ไปก่อน


   ภูธนาเหลือบมองนาฬิกาบนผนัง ใกล้จะได้เวลาเลิกงานแล้ว อาหารก็เกือบจะเสร็จแล้วเหมือนกัน ข้าวก็หุงเรียบร้อยแล้ว ยังไงต่อดีล่ะ รอเจ้าของบ้านกลับบ้านสินะ



   
อืมม บริพัตร


   
ผู้ชายคนนั้นก็จวนจะใกล้กลับมาแล้วสินะ





Talk:.

กลับมาลงตอนใหม่แล้วนะคะ วันหยุดที่ผ่านมาไปไหนกันมาบ้างมั้ยคะ คนแต่งไม่ได้ไปไหนเลย ระบบดาวน์ดูแลอย่างต่อเนื่องเลยค่ะ   :katai4:

ปล อยากไปทานข้าวฝีมือลุงธนาจัง



 :mew1: :mew1: :mew1: :mew1: :mew1:


ด้วยรัก
เขมกันต์

หัวข้อ: Re: กว่าจะเข้ากันได้ โดย เขมกันต์ อัพเดท [บทที่ 11] หน้า 3 - 23/02/2559 ค่ะ
เริ่มหัวข้อโดย: mukmaoY ที่ 23-02-2016 20:30:34
พัตเริ่ดมากที่กล้าคิดกล้าตัดสินใจ
หัวข้อ: Re: กว่าจะเข้ากันได้ โดย เขมกันต์ อัพเดท [บทที่ 11] หน้า 3 - 23/02/2559 ค่ะ
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 23-02-2016 23:19:56
คุณลุงกะคุณอา อิอิ แรกๆคิดว่าพี่ดินเป็นพระเอก :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: กว่าจะเข้ากันได้ โดย เขมกันต์ อัพเดท [บทที่ 11] หน้า 3 - 23/02/2559 ค่ะ
เริ่มหัวข้อโดย: yisren. ที่ 24-02-2016 22:03:23
ไม่ได้ไปไหนเหมือนกันค่ะ อืมมม อยากไปชิมฝีมือลุงธนาจริงๆ ไวท์เดวิลนี่หรือจะเป็นอาพัตเตอร์0.0? คู่นี้เขาเถียงกันน่ารักเนอะ 555555 ไม่ธรรมดา เล่นคิดถึงกันทั้งวันเลย อิอิ
หัวข้อ: Re: กว่าจะเข้ากันได้ โดย เขมกันต์ อัพเดท [บทที่ 11] หน้า 3 - 23/02/2559 ค่ะ
เริ่มหัวข้อโดย: เขมกันต์ ที่ 26-02-2016 18:58:14

บทที่ 12


   ภูธนาอยู่ที่บ้านหลังนี้ได้ 3 เดือนแล้ว ภูสิตายังคงเงียบ ไร้การติดต่อเหมือนเดิม ช่วงเวลาที่ผ่านมาชายหนุ่มหมั่นแวะไปที่ห้องพักอยู่เสมอ กระดาษโน้ตที่วางอยู่บนโต๊ะอาหาร ยังอยู่ตรงนั้นเหมือนเดิม ไม่ได้ขยับเขยื้อนไปไหน เป็นห่วงน้องสาวก็เป็นห่วง แต่อีกใจหนึ่งก็โกรธที่พอยกลูกชายให้พ่อเขาไปแล้ว ภูสิตากลับไม่แม้แต่จะไต่ถามถึงสารทุกข์สุกดิบของลูกเลย



   ชายหนุ่มโทรศัพท์หาเพื่อนสนิทของน้องสาวบ้างเป็นครั้งคราว ได้รับคำตอบว่า ภูสิตายังอยู่ดี ใช้เงินเป็นเบี้ย และเจ้าตัวยังไม่คิดกลับบ้านตอนนี้ ขนาดเพื่อนสนิทอย่างอิงธารเองก็ยังไม่รู้ว่าภูสิตาอยู่ที่ไหนในตอนนี้ เพราะหญิงสาวจะเป็นฝ่ายติดต่อมาเอง และเล่าเรื่องที่ตนเองไปพบเจอมาสั้นๆ จบแล้วก็จะวางไป แทบจะไม่เปิดโอกาสให้ได้ถามเรื่องของตนเองเลย



   ภูบดินทร์ หลานชายคนเก่งเริ่มสนิทกับคุณพ่อและคุณอามากขึ้นแล้ว ภูธนาตัดสินใจที่จะย้ายออก เพราะตอนนี้ตัวเขาเองไม่ต้องเป็นห่วงอะไรอีกต่อไปแล้ว น้องภูสามารถอยู่ที่นี่ได้ เด็กน้อยยอมรับคนมาใหม่เป็นที่เรียบร้อยแล้ว



   สถานการณ์ชีวิตตอนนี้ของภูธนานับว่าค่อนข้างเริ่มต้นได้ดี หลังจากที่เริ่มเป็นนักแข่งให้สังกัดของพี่จอมเดช  ชายหนุ่มจะไปซ้อมอยู่เสมอไม่เคยขาด วินัยเป็นสิ่งสำคัญ ถ้าไม่เกิดเหตุสุดวิสัยจากหลานตัวน้อย ภูธนาคิดแบบนั้นมาตลอด



   "อ้าว ธนา วันนี้วันหยุด ทำไมมาได้ล่ะ" จอมเดชทักทายภูธนาด้วยความแปลกใจ เพราะปกติแล้ว ภูธนาจะไม่มาสนามแข่งในวันหยุดเลย ถ้าหากตรงกับวันหยุดของหลานชาย


   "วันนี้ คุณพ่อเขาพาน้องภูไปเที่ยวเขาดินน่ะครับ ผมเลยว่าง"



   "งั้นก็ดีเลย ตั้งแต่นายมาอยู่ที่นี่ ยังไม่เคยเจอกับไวท์เลยใช่มั้ย วันนี้ท่าน อุตส่าห์ให้เกียรติมาซ้อม มาทางนี้สิ จะได้รู้จักกันไว้ ป่านนี้คงอุ่นเครื่องเสร็จแล้ว"  จอมเดชว่าพลางเดินนำภูธนาไปที่พิท สต็อป เด็กในทีมกำลังวุ่นวายเปลี่ยนยางให้รถที่เพิ่งเข้าพิทมา


   "ไง ไวท์ เครื่องเริ่มติดหรือยัง" จอมเดชทักชายหนุ่มที่ออกมาจากตัวรถทั้งที่ยังสวมหมวกกันน็อคอยู่


   "นิดหน่อยครับ แต่ยังไม่ค่อยคุ้นมือเท่าไหร่ ร้างไปเสียนาน"


   "ก็นายมันเรื่องเยอะ ติสก์ไม่เข้าเรื่อง" จอมเดชพูดด้วยเสียงที่ไม่ได้จริงจังเท่าไหร่นัก เหมือนเป็นเรื่องธรรมดาอยู่แล้ว


   "พี่ยังไม่ชินอีกเหรอ ผมยังฟังพี่จนชินเลยนะเนี่ย"


   "เออๆ นายนี่มันเถียงคำไม่ตกฟากเลยจริงๆ เอ้านี่ คงยังไม่รู้จักกันหรอกมั้ง ภูธนา นี่ ไวท์ เดวิล ที่พี่เคยพูดถึงนะ ส่วนนี่"


   "คุณภูธนา หรือว่า แบล็คสกาย สินะ" ผู้ชายที่ยังคงสวมหมวกกันน็อคอยู่พูดแทรกขึ้นมาเสียเอง


   "อ้าว รู้จักกันแล้วเหรอ" จอมเดชถามด้วยความประหลาดใจ


   "เปล่าหรอกครับ เห็นใครๆ ก็พูดถึงเด็กใหม่ทั้งนั้น ไอ้ดิศเองยังชมไม่ขาดปาก คงฝีมือดีจริงๆ"


   "จะฝีมือจริงหรือเปล่า ทำไมนายไม่ลองแข่งดูล่ะ สัก 5 รอบ เป็นไง สนมั้ย" คนเสนอไม่ใช่ใครแต่เป็นจอมเดชที่อยากเห็นฝีมือของทั้งคู่


   "เอ่อ คือผม" ภูธนาชักเริ่ม งง กับ 2 คนนี้เสียแล้ว


   "ไม่กล้าเหรอ" คนที่ยังใส่หมวกอยู่ ถามย้อนกลับไปด้วยความท้าทาย


   "ใครว่าไม่กล้าครับ พี่จอมครับ เตรียมรถให้ผมหน่อยครับ" ภูธนาไม่ชอบ การถูกท้าทายเลยจริงๆ ชายหนุ่มยอมรับการแพ้ชนะได้ แต่ต้องไม่ใช่การถูกปรามาสว่าเขาไม่กล้าแบบนี้


   "ได้เลย ไอ้น้อง" จอมเดชพูดเสร็จแล้ว รีบเข้าไปสั่งเด็กข้างในให้เตรียมรถคู่ใจให้ภูธนาทันที


   "ถ้าแค่เอาผลแพ้-ชนะ คงจะดูธรรมดาไปหน่อย งั้นเรามาพนันอะไรกันสักหน่อยดีมั้ย" ให้ตายเถอะ ภูธนาไม่ชอบน้ำเสียงของคนนี้เลยจริงๆ ดูท้าทายกวนประสาทชอบกล


   "ได้สิ จะพนันอะไรล่ะครับ"


   "ก็ไม่ได้ยากลำบากอะไรนักหรอก กติกาก็มีง่ายๆ ถ้าหากใครแพ้ ก็ต้องทำตามคำขอจากผู้ชนะ 1 ข้อ แค่นั้นเอง ง่ายๆ " 1 ข้อเท่านั้น แต่ทำให้ภูธนารู้สึกไม่อยากจะรับพนันนี้เลย


   "ว่าไงครับ ไม่กล้าพนันเหรอ"


   "ถ้าไม่ใช่เรื่องที่ผิดหรือเป็นปัญหา ก็ตกลงครับ"


   "นึกอยู่แล้วคงไม่ชอบการถูกท้าทายใช่มั้ยล่ะ ไม่ต้องห่วงหรอก ไม่ผิดกฎหมายหรือเรื่องไม่ดีแน่นอน รับรองได้เลย"


   "รถพร้อมแล้ว" เสียงจอมเดชร้องบอกเมื่อทุกอย่างพร้อมแล้ว ทำให้ทั้งคู่ต้องแยกย้ายเพื่อไปสู้กันบนสนามแทน




   หลังจากที่นักแข่งเข้าประจำที่เรียบร้อย รถแข่ง 2 คัน เร่งเครื่องเตรียมออกตัว เมื่อจอมเดชตรวจดูว่าทุกอย่างพร้อม สัญญาณไฟปล่อยตัวจึงเริ่มทำงาน รถแข่ง 2 คัน ออกตัวแทบจะพร้อมกัน ทันทีที่เห็นสัญญาณไฟเขียว



   รอบแรกผ่านไปอย่างรวดเร็ว จอมเดชสังเกตว่าทั้ง 2 คนขับคู่มาค่อนข้างสูสีกันมาก แทบไม่ยอมกันเลย ซัดแรงกันตั้งแต่เริ่มเกมส์ จอมเดชไม่ได้ให้ทั้งคู่ต้องสู้กันเป็นศัตรูคู่แค้น แต่เพื่อความสนุกเท่านั้น บางทีการซ้อมแข่งคนเดียวก็ออกจะน่าเบื่อไปสักหน่อย ถ้ามีคู่แข่งบนสนามแล้ว การซ้อมแข่งมันคงน่าตื่นเต้นขึ้น



   ในสายตาคนที่คร่ำหวอด ด้านรถแข่งมามากมายอย่างจอมเดช   หากให้พูดตรงๆ ฝีมือของภูธนายังเป็นรองไวท์อยู่พอสมควร ถึงแม้ไวท์จะไม่ค่อยมาซ้อม แต่ก็ฝึกฝนมาหลายปี ต่างกับภูธนาที่ห่างหายจากสนามแข่งไปเลย แล้วเพิ่งจะกลับมาซ้อมจริงจังเมื่อไม่กี่เดือนนี้ เพราะฉะนั้นลูกเล่นหรือเทคนิคบนสนามจึงไม่เจนจัดเท่าอีกฝ่าย



   รอบที่สี่ ภูธนาตกเป็นรองเพราะอีกฝ่ายควบคุมโค้งวงในได้ดีมาก ชายหนุ่มแทบจะหาช่องทางเข้าไปในวงในนั้นได้ค่อนข้างยาก ฝ่ายตรงข้ามเข้าโค้งแตะเบรคน้อยมาก ชายหนุ่มควบคุมได้ดี ผิดกับเขาที่ยังมีแกว่งอยู่บ่อยครั้งที่เข้าโค้ง แต่มันจะต้องไม่จบแบบนี้หรอก ภูธนาเหยียบคันเร่งให้จมลึกกว่าเดิมแล้วขึ้นแซงรถคันหน้าได้ในที่สุด



   รถแข่งเข้าเส้นชัยไปนำหน้าคันที่ตามอยู่ไม่ถึง 2 วินาที และตอนนี้รถของภูธนาวิ่งกลับเข้ามาที่พิท สต๊อป เรียบร้อยแล้ว ชายหนุ่มถอดหมวกกันน็อค ออกมายืนรอรถคันสีขาวที่เพิ่งเข้ามาตามหลังภูธนา เจ้าของรถออกก้าวออกมาจากตัวรถทันทีเช่นกันแต่ก็ยังไม่ถอดหมวก เปิดเพียงแค่กระจกเท่านั้น



   "เก่งมากทั้ง 2 คน วันนี้ทั้งคู่ทำได้ดีนะ ธนา ไม่ต้องเสียใจไปล่ะ นายซ้อมน้อยกว่าเจ้านั่นตั้งเยอะ ฝึกอีกนิดเดียวเดี๋ยวก็ชนะได้เจ้านั่นได้แน่นอน " จอมเดชปรบมือให้กับการแข่งขันในวันนี้


   ภูธนาเป็นฝ่ายแพ้ แล้วก็แพ้เพราะประมาทคนข้างๆ มากเกินไป ถึงจะเร่งเครื่องในตอนโค้งสุดท้ายแล้ว แต่ก็ไม่ทัน เพราะอีกฝ่ายเข้าโค้งได้ดีและควบคุมความเร็วได้ดีกว่าเขา เรื่องนี้ภูธนาจำต้องยอมรับความจริงและจะต้องกลับไปฝึกให้มากกว่านี้



   ดวงตาของผู้ชนะที่สบตาอยู่กับเขาทำให้ภูธนาหงุดหงิดใจมากกว่าเดิม มันเป็นสายตาของผู้ชนะ ที่กำลังบอกเขาว่าเรื่องผลแพ้ชนะนั่นน่ะ ไม่ว่ายังไงก็ต้องเป็นชายหนุ่มคนนี้ที่เป็นผู้ชนะอย่างแน่นอน



   "ใกล้เที่ยงแล้ว เดี๋ยวไปทานมื้อเที่ยงกัน พี่เลี้ยงเอง"


   "พี่จอมไปกันเลยนะพี่ วันนี้ผมขอตัว"


   "ทำไมล่ะ เบี้ยวตลอด"


   "มีธุระที่ต่างจังหวัดนิดหน่อย วันนี้คันมือเลยมาซ้อมเฉยๆ"


   "เออ ตามใจเอ็ง มาซ้อมให้มันบ่อยๆ หน่อยอย่างธนาเขาล่ะ"


   "คร้าบๆ"


   "งั้นพี่ไปเก็บของข้างในก่อน  ธนา ถ้าเปลี่ยนชุดเสร็จแล้วไปรอพี่ที่ห้องรับรองล่ะ" จอมเดชหันมาบอกภูธนาก่อนจะเดินกลับเข้าไป


   "ครับ พี่จอม"


   "หวังว่ายังคงไม่ลืมเรื่องพนันของเรานะครับ"


   "ไม่ลืมหรอกครับ จะให้ผมทำอะไรก็ว่ามาเลย"


   "ถ้านึกออกเมื่อไหร่ แล้วจะรีบบอกทันทีเลยนะครับ น้อง" น้ำเสียง          กวนประสาทไม่หยุดหย่อน ทำให้ภูธนาเริ่มจะโมโหขึ้นมาเสียแล้ว


   "ผมไม่ใช่น้องของคุณ กรุณาเรียกผมว่าธนาเฉยๆ ก็พอ"


   "จุ๊ๆ โมโหร้ายจริงๆ เลย ไม่เอาน่า แพ้แล้วต้องไม่พาลนะครับ" น้ำเสียง  เยาะเย้ยของคนชนะพูดทิ้งท้ายไว้ก่อนจะเดินจากไปอีกทาง ปล่อยให้ภูธนาที่ยังโมโหอยู่ได้แต่ด่าอาฆาตอยู่ภายในใจ




   ภูธนานั่งแท็กซี่กลับมาบ้านด้วยอารมณ์ที่คุกรุ่นไปทั้งช่วงบ่าย น้องภูและคุณพ่อของเด็กน้อยกลับมาจากสวนสัตว์แล้ว ตอนนี้ทั้งพ่อและลูกต่างก็นอนหลับพักผ่อนอยู่ในห้องด้วยความอ่อนเพลียมาทั้งวัน แต่คนที่อยากเจอมากที่สุด ภูธนากลับไม่เห็นแม้แต่เงา



   ระยะเวลาที่ผ่านมา ภูธนาแทบจะไม่มีความสัมพันธ์อะไรเปลี่ยนแปลงไปเลย ไม่ว่ากับคนพ่อหรือกับคนที่เป็นอาของหลาน ยกเว้นหลานชายคนโปรดของเขาที่เข้ากันได้ดีกับคนในบ้านหลังนี้แล้ว หลังจากวันที่ภูธนาขับรถไปส่งบริพัตรที่รถไฟฟ้านั่นแล้ว ชายหนุ่มก็ไม่ยอมให้เขาขับรถไปส่งอีกเลย บริพัตรออกจากบ้านเร็วขึ้น และกลับบ้านช้ากว่าเดิม อาของหลานพยายามหลบหน้าเขาตลอด แม้กระทั่งมื้ออาหารที่เตรียมไว้ ชายหนุ่มก็ปฏิเสธไม่เคยทานเลย



   ภูธนาไม่เข้าใจเลยสักนิดว่าตนไปทำอะไรให้ชายหนุ่มโกรธหรือเปล่า เพราะเหตุการณ์ในตอนนั้นดูไม่น่าจะหนักหนาถึงขนาดที่จะต้องโกรธจนไม่มองหน้ากันแบบนี้ เขาอุตส่าห์คิดว่าความสัมพันธ์ของเขาทั้งคู่จะพัฒนาไปได้มากกว่านี้แท้ๆ แต่ความจริงแล้วกลับถอยหลังลงคลองเสียมากกว่า



   "กลับมานานแล้วเหรอครับ ดูท่าทางเหนื่อยเชียว" บดินทร์เดินลงมาจากชั้นบน เห็นภูธนานั่งเหมือนคนหมดแรงที่ตรงโซฟาห้องรับแขก


   "อ่ะ ครับ พอดีวันนี้เจอคนนิสัยไม่ค่อยดีมาน่ะครับ"  ภูธนาเงยหน้าขึ้นสบตาผู้มาใหม่


   "แย่เลยนะครับ"


   "วันนี้เป็นไงบ้างครับ น้องภูงอแงมั้ย" ภูธนาชวนพ่อของหลานคุยเพื่อไม่ให้บรรยากาศเงียบจนเกินไปนัก


   "ไม่เลยครับ แกเป็นเด็กดีมาก ไม่ดื้อเลย"


   "น้องภูคงเข้ากับคุณพ่อได้แล้วนะครับ"


   "ผมก็ว่าอย่างนั้นครับ ดีใจจริงๆ ที่ลูกอยู่กับผมได้แล้ว" บดินทร์ดีใจจนแสดงออกมาอย่างเห็นได้ชัดเจน


   "ผมมีเรื่องอยากจะคุยกับคุณดินหน่อยครับ"


   "ได้สิครับ เรื่องอะไร" บดินทร์ก้าวเข้ามานั่งเก้าอี้ด้านข้างของโซฟาตัวใหญ่


   "ผมคิดมาสักพักแล้วว่าช่วงนี้น้องภูเริ่มเข้ากับคุณได้แล้ว ผมเลยอยากจะที่กลับไปอยู่ที่ห้องเดิมน่ะครับ"


   "จะดีเหรอครับ ถ้าไม่เห็นคุณลุงของแก น้องภูอาจจะงอแงขึ้นมาอีกก็ได้นะ"


   "คิดว่าไม่น่าเป็นห่วงแล้วล่ะครับ น้องภูน่าจะปรับตัวได้ดีกว่าตอนนั้น"


   "ถ้าคุณธนากลับไปที่ห้องเดิมแล้ว  จะทำอะไรต่อ หรือว่าหางานได้แล้ว"


   "ก็ไม่เชิงครับ ตอนนี้ผมก็มีงานอยู่บ้าง แต่ยังไม่ได้เต็มเวลา เพราะว่ายังดูแลน้องภูเป็นเรื่องหลัก"


   "หรือว่าตอนนี้คุณภูสิตากลับมาแล้วครับ" บดินทร์ถามขึ้นมาด้วยความสงสัย


   "เปล่าหรอกครับ ยัยสิตายังไม่ติดต่อกลับมาเลย พอจะรู้ข่าวของเขาผ่านทางเพื่อนสนิทเท่านั้นบ้างเป็นครั้งคราว"


   "ถ้าอย่างนั้น ก็อยู่ที่นี่ไปอีกสักระยะนึงก่อนดีมั้ยครับ หรือจนกว่าคุณภูสิตากลับมาก็ได้ คุณธนากลับไปอยู่ที่บ้านตอนนี้ก็อยู่คนเดียว ผมคงไม่ค่อยสบายใจเท่าไหร่ อยู่คนเดียวมันอันตราย" บดินทร์เอ่ยชักชวนด้วยความเป็นห่วงจริงๆ


   "ไม่มีอะไรหรอกครับ ผมอยู่ที่นั่นมาหลายปีก็ไม่เคยเกิดเรื่องไม่ดี อีกอย่างผมเองก็เป็นผู้ชาย ไม่ต้องกังวลหรอกครับ"


   "คนสมัยนี้ไว้ใจไม่ค่อยได้หรอกครับ ถึงจะเป็นผู้ชายแต่ก็มีข่าวโดนทำร้ายออกจะบ่อยไป ยังไงผมก็เป็นห่วง เอาตามนี้แหละครับ คุณธนาอยู่ที่นี่ไปก่อน แล้วถ้าคุณภูสิตาติดต่อมาค่อยมาว่ากันใหม่อีกที"


   "คือ ผมเกรงว่าจะไม่ค่อยเหมาะเท่าไหร่" ภูธนาคิดว่าถ้าไม่ได้ดูแลน้องภูเต็มตัวแล้ว การที่มาอยู่ที่นี่เฉยๆ และกินเงินเดือนไปเรื่อยๆ ชายหนุ่มเองก็รู้สึกตะขิดตะขวงใจอยู่ไม่น้อย


   "ไม่ต้องเกรงใจหรอกครับ ยังไงเราก็คนกันเอง เรื่องที่คุณธนาอยากจะทำงานก็บอกผมมาได้เลย  เดือนหน้าก็ใกล้ปิดเทอมแล้ว ผมจะเตรียมหาโรงเรียนใหม่ให้แกอยู่พอดี คุณธนาจะได้ไม่ต้องลำบากขับรถไปไกล หรือผมจะได้แวะไปส่งตอนเช้าได้สบายๆ"


   "ไม่ดีกว่าครับ ยังไงก็ควรจะต้องฝึกให้น้องภูอยู่กับคุณให้ได้ แต่ช่วงแรกๆ ผมจะไปๆ มาๆ ที่นี่ก่อนละกันครับ คงต้องรบกวนคุณดินอยู่เรื่อยๆ"


   "ถ้าอย่างนั้นก็แล้วแต่คุณธนาเถอะครับ แต่คุณคงต้องคุยกับคุณหลานเอง ไม่รู้ว่าแกจะยอมให้คุณลุงกลับบ้านหรือเปล่า" บดินทร์ยิ้มให้ชายหนุ่มก่อนที่จะลุกขึ้นไปหาอะไรกินรองท้องในครัว



   บริพัตรขับรถมุ่งหน้าไปเกสต์เฮาส์ของลุงชาคร บริพัตรได้ปรับเปลี่ยนที่พักแห่งนี้เป็นรีสอร์ทไว้พักผ่อนหย่อนใจ พื้นที่ทำเลของรีสอร์ทที่นี่ ช่างเหมาะแก่การพักผ่อนเติมพลังให้ร่างกายได้เป็นอย่างดี   ด้วยแวดล้อมของแม่น้ำที่ทอดผ่าน เป็นสายน้ำยาว และด้านหลังของรีสอร์ทที่เป็นวิวของภูเขาที่มีความอุดมสมบูรณ์เขียว ชอุ่มตลอดปี



   หลายปีที่ผ่านมา บริพัตรบุกเบิกที่แห่งนี้จนเป็นที่รู้จักกันอย่างแพร่หลายในนามว่า 'เกสต์เฮาส์ลุงชาคร' ลูกค้าแทบทุกรายต่างพากันประหลาดใจเพราะชื่อเป็นเกสต์เฮาส์แต่ที่จริงแล้วกลับเป็นรีสอร์ทสวยงาม อีกทั้งห้องพักยังมีหลายรูปแบบและหลายราคา ตอบโจทย์ตามความต้องการของผู้พักอาศัยได้เป็นอย่างดี สวนงดงามภายในรีสอร์ท บริพัตรลงแรงทำไปพร้อมกับคนงานเกือบทั้งหมด หากชายหนุ่มมีเวลาว่างเป็นต้องมาลงมือทำด้วยตนเองเสียทุกครั้งไป ชายหนุ่มเลือกที่จะทำงานให้มากและหนักเข้าไว้ เพื่อหัวสมองจะได้ไม่ต้องไปคิดเรื่องเก่าๆ ที่ผ่านมา




   "สวัสดีค่ะ คุณพัต เชิญดื่มน้ำก่อนค่ะ" ผู้จัดการรีสอร์ทออกมาต้อนรับทันทีเมื่อเห็นรถยนต์ประจำตัวของบริพัตรแล่นเข้ามา บริพัตรรับแก้วน้ำจากหญิงสาวไว้และเดินมานั่งบริเวณส่วนที่เป็นสถานที่นั่งพักผ่อนอ่านหนังสือ ดื่มกาแฟ หรือชมวิว  ที่แล้วแต่จะศรัทธา


   "ขอบคุณครับ ที่นี่เป็นไงบ้าง ราบรื่นดีมั้ย"


   "เหมือนเดิมค่ะ เรียบร้อยทุกอย่าง ลูกค้าชอบรีสอร์ทเรามากเลยค่ะ ชมไม่ขาดเลย ลูกค้าสาวๆ ก็คอยถามหาแต่คุณพัต  เสน่ห์แรงจังเลยนะคะ" ผู้จัดการสาวหัวเราะคิกคักเมื่อเห็นใบหน้าของชายหนุ่มแสดงความเบื่อหน่ายออกมาอย่างเห็นได้ชัด


   "แล้วเรื่องที่ให้ลงต้นไม้เพิ่มไปถึงไหนแล้วครับ" บริพัตรเปลี่ยนเรื่องดีกว่า 2 สัปดาห์ก่อน ชายหนุ่มได้สั่งต้นไม้ใหญ่มาจากทางเหนือ เพื่อที่จะมาทำเป็นมุมนั่งพักผ่อนใต้ต้นไม้ภายในรีสอร์ท


   "ต้นไม้มาลงตั้งแต่เมื่อวานค่ะ คุณพัตพักก่อนดีมั้ยคะ เพิ่งมาถึง เหนื่อยๆ เดี๋ยวให้เด็กหาอะไรให้ทานรองท้อง"


   "ไม่เป็นไรครับ ไปดูเลยดีกว่า เดี๋ยวถ้าเย็นเกินไป จะมองเห็นไม่ค่อยชัด"


   "ได้ค่ะ งั้นเชิญทางนี้ค่ะ" ผู้จัดการสาวออกเดินนำพาเจ้านายไป



   ชายหนุ่มค่อนข้างพอใจ เมื่อเห็นว่าต้นไม้ที่มาลงไว้มีสภาพดี ไม่บอบช้ำ  ได้รับการดูแลเอาใจใส่และมีการจัดการได้เป็นอย่างดี บริพัตรบอกให้ผู้จัดการกลับไปทำงานในส่วนของตนเองได้ ส่วนชายหนุ่มขอเดินไปสำรวจรอบๆ บริเวณรีสอร์ทก่อน หากมีอะไรที่ต้องซ่อมแซมหรือชำรุดเสียหายจะได้สั่งการได้ทันท่วงที



   บริพัตรมาที่นี่เสมอๆ ไม่ใช่เพียงเพราะเป็นหน้าที่ของเจ้าของที่นี่ที่ต้องดูแล แต่ชายหนุ่มเองก็ต้องการเพิ่มพลังกายและพลังใจให้กับตนเองด้วยเช่นกัน ที่นี่เป็นเหมือนวิมานบนดินของเขา ที่ทำให้ได้ทบทวนเรื่องราวในแต่ละวันที่ผ่านมาได้เป็นอย่างดี



   ที่ผ่านมา บริพัตรคอยหลบหน้าภูธนาโดยตลอด บริพัตรไม่กล้ายอมรับว่าตัวเองขี้ขลาดเกินกว่าจะเปิดหัวใจตัวเอง เขาไม่เคยคิดที่จะสนใจใครอีก และยิ่งเป็นผู้ชายด้วยแล้ว ความคิดนี้ไม่เคยอยู่ในหัว แต่ภูธนาเป็นคนแรกที่เขารู้สึกอยากอยู่ใกล้ และอยากพูดคุยด้วย แต่เขารู้สึกยังไม่พร้อมที่จะเปิดรับใครสักคนเข้ามาในชีวิต และเขากลัวว่าถ้าหากเขายอมเปิดใจแล้วล่ะก็ ใครจะรู้บ้างว่าภูธนานั้นมีใจให้เขาเหมือนกันหรือไม่ เขายังไม่พร้อมจะรับความเจ็บปวดนั้นอีกครั้ง




   เขาแข่งรถกับภูธนา เพราะวันนี้เป็นวันหยุด ชายหนุ่มไม่คาดคิดว่าจะเจอภูธนา โดยปกติแล้วภูธนาจะดูแลหลานชายอยู่ที่บ้านไม่ออกไปไหนแน่นอน แต่ทุกอย่างย่อมมีเรื่องผิดคาดได้เสมอ เขาเจอภูธนาที่สนามแข่ง เขาประหม่าเกินที่จะเปิดเผยตัวตนให้กับลุงของหลานรู้ ชายหนุ่มจึงต้องจำใจใส่หมวกกันน็อคไว้ตลอดเวลา เมื่อได้มาแข่งรถด้วยกัน ฝีมือการขับรถของภูธนาอยู่ในเกณฑ์ที่ค่อนข้างดี แต่เพราะยังซ้อมไม่มาก ทำให้ไม่มีความมั่นใจมากพอ ถ้าได้ซ้อมมากกว่านี้ ต้องเป็นคู่แข่งที่น่ากลัวอยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว เหตุการณ์วันนี้เลยทำให้บริพัตรแน่ใจว่า ภูธนาคือคนที่สลับตัวกับศดิศในการแข่งขันเมื่อตอนนั้น




   ดึกสงัด เสียงจิ้งหรีดร้องระงม บริพัตรหยิบสมุดบันทึกของลุงชาครขึ้นมาบนหน้าปกนั้นเขียนด้วยลายมือหวัดๆ ว่า 'มอบให้ บริพัตร' สมุดบันทึกเล่มนี้ บริพัตรอ่านมาหลายรอบแล้ว ชายหนุ่มแทบจะจำข้อความในแต่ละหน้าได้หมด แต่มีอยู่เพียง 1 หน้าเท่านั้น ที่ชายหนุ่มมักจะข้ามไปหรืออ่านผ่านตาไปอย่างรวดเร็ว ทว่าครั้งนี้มือเรียวหนากลับพลิกเปิดมาหน้านี้ด้วยความตั้งใจ



   "ลุงไม่รู้ว่า จะมีวันที่พัตอยากจะอ่านหน้านี้จากใจจริงมั้ย แต่ลุงอยากให้พัตอ่านและทำความเข้าใจกับมันให้มากนะ ลุงอาจจะไม่ใช่คนที่เชี่ยวชาญหรือเก่งกาจอะไร แต่ลุงเชื่อในความรู้สึกและประสบการณ์ของลุงว่ามันคงจะช่วยพัตได้บ้างก็เท่านั้น"



   บริพัตรอ่านถึงบรรทัดนี้ชายหนุ่มก็ปิดสมุดบันทึกนั้นลง ข้อความต่อไป ไม่ใช่ว่าจะไม่เคยอ่าน แต่ครั้งนี้เหมือนมันเข้าใกล้ความรู้สึกตนเองมากเกินไป บริพัตรนั่งมองสมุดบันทึกเล่มนี้โดยไม่ละสายตาไปไหนอีกครู่ใหญ่ จึงตัดสินใจเปิดสมุดกลับไปหน้าเดิมอีกครั้ง ตั้งใจอ่านมันตามที่ลุงชาครได้กล่าวไว้ก่อนหน้านี้



   "พัต ... ความเสียใจมันยากที่จะลืมใช่มั้ย ลุงรู้และก็เข้าใจพัต แต่มันก็เหมือนกับทุกครั้งที่ลุงบอกพัตว่าคนเราต้องก้าวเดินต่อไปข้างหน้า แล้วตอนนี้ล่ะพัตก้าวไปได้แล้วหรือยัง หรือพัตยังไม่ลุกขึ้นยืนและนั่งอยู่ที่เดิม เวลาผ่านมานานเท่าไหร่แล้ว พัตไม่เสียใจหรือที่ต้องวนเวียนฉายภาพซ้ำกลับไปเหมือนวันเก่าๆ"



   "ถึงพัตจะไม่เสียดาย แต่ลุงเสียดาย โอกาสของคนเราไม่ได้มีกันได้เสมอไป ลุงเองก็เคยทิ้งโอกาสของลุงนั้นไป ลุงรักผู้หญิงคนหนึ่ง ลุงรักเขามาก แต่ลุงไม่กล้าทำตามหัวใจของตัวเอง ลุงขี้ขลาดและกลัวเกินกว่าจะดึงเขาเข้ามาอยู่กับลุง และลุงยอมให้ผู้หญิงที่ลุงรักมากคนนั้นไปอยู่กับคนอื่นที่ลุงคิดว่าเขาดีกว่าลุง ในตอนนั้นลุงคิดว่าลุงทำถูกและตัดสินใจไม่ผิด ลุงออกมาจากจังหวัดนั้น แต่ไม่เคยมีวันไหนเลยที่ลุงจะลืมเขาได้ และเมื่อวันหนึ่งเมื่อลุงมีทุกอย่างแล้ว ลุงพร้อมแล้ว ลุงกลับไปจังหวัดนั้นอีกครั้ง แต่ลุงไม่เจอเขาแล้ว ผู้หญิงนั้นเขาเสียชีวิตแล้ว"




   "เธอไม่ได้ป่วยตาย แต่ถูกทำร้ายร่างกายจนเสียชีวิต ผู้ชายที่ลุงคิดว่าเพียบพร้อมและเหมาะสมกับเขา กลับกลายเป็นคนคร่าชีวิตของเขาไป ลุงเฝ้าคิดย้อนกลับไป ถ้าตอนนั้นลุงไม่เลือกหนทางแบบนั้น เขาอาจจะไม่พบกับเรื่องราวที่เป็นแบบนี้ก็ได้ พัตคงจะคิดว่าไม่ใช่ความผิดของลุง แต่ลุงคิดมาตลอดว่าลุงมีส่วนที่ทำให้เรื่องราวเป็นแบบนี้"




   "สุดท้ายลุงแค่อยากจะเตือนพัต ด้วยความหวังดีจากลุงแก่ๆ คนหนึ่งที่เคยทำอะไรผิดพลาดไปว่า ในบางเรื่อง เราอย่าไปตัดสินใจหรือคิดแทนอีกฝ่าย ปล่อยให้หน้าที่ของความรู้สึกมันชนะสมองเสียบ้าง ทุกอย่างมันจะแจ่มชัดขึ้น ถ้าไม่ลองสักตั้ง พัตจะไม่มีทางรู้ได้เลยว่ามันจะดีหรือไม่ดีอย่างไร แต่ที่แน่ๆ พัตอาจจะเสียใจที่ไม่ทำตามความรู้สึก"



   บริพัตรปิดสมุดบันทึกแล้วเก็บใส่ในลิ้นชักข้างเตียงก่อนที่จะปิดไฟแล้วล้มตัวนอนลงในความมืด แต่ดวงตากลับไม่อาจข่มให้หลับลงได้เพราะผู้ชายที่ชื่อ



   
'ภูธนา'



Talk:.

ตอนนี้ดูจะเรื่อยๆ แต่ก็มีอะไรให้เปลี่ยนแปลงอยู่น้า  :katai5:  ตอนหน้ามาลุ้นกับพระเอกของเรากันต่อ
เอายังไงดีกับชีวิต บอกมาสิ อาพัตเตอร์ ตอบบบบบบบ  :z6:


รักษาสุขภาพด้วยนะคะ วันหยุดพักผ่อนเอนจอยกันนะคะ

 :mew1: :mew1: :mew1: :mew1: :mew1:

ด้วยรัก
เขมกันต์


หัวข้อ: Re: กว่าจะเข้ากันได้ โดย เขมกันต์ อัพเดท [บทที่ 12] หน้า 3 - 26/02/2559 ค่ะ
เริ่มหัวข้อโดย: yisren. ที่ 26-02-2016 22:21:04
จะเอาไงหาอาพัตเตอร์ ลุงธนาจะกลับบ้านแล้วเน่ออออออออ
หัวข้อ: Re: กว่าจะเข้ากันได้ โดย เขมกันต์ อัพเดท [บทที่ 12] หน้า 3 - 26/02/2559 ค่ะ
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 27-02-2016 01:11:08
สู้ๆ อาพัตเตอร์
หัวข้อ: Re: กว่าจะเข้ากันได้ โดย เขมกันต์ อัพเดท [บทที่ 12] หน้า 3 - 26/02/2559 ค่ะ
เริ่มหัวข้อโดย: เขมกันต์ ที่ 01-03-2016 20:18:26

บทที่ 13



   การลาจากไม่ใช่เรื่องที่ใครๆ ต้องการ แต่ความเหมาะสมและความถูกต้องมันบังคับให้มนุษย์ที่รู้จักผิดชอบชั่วดีได้พึงกระทำ ภูธนานอนกอดหลานชายคนโปรดไว้ทั้งคืน เช้านี้เด็กน้อยตื่นขึ้นมาพร้อมความสดใส พูดเจื้อยแจ้วไม่หยุดระหว่างที่กำลังรออาหารมื้อเช้าจากคุณลุง



   ภูธนาเตรียมมื้ออาหารง่ายๆ ให้หลานชาย ตอนนี้ภูบดินทร์เริ่มใช้ช้อนส้อมได้คล่องขึ้นแล้ว เพราะที่โรงเรียนก็ได้รับการฝึกใช้อุปกรณ์เหล่านี้อยู่เสมอ ภูธนาเห็นพัฒนาการของหลานชายที่มีมากขึ้นเรื่อยๆ ทำให้ชายหนุ่มภูมิใจในตัวหลานคนนี้ไม่น้อยเลย



   "น้องภูครับ"


   "ฮะ" เด็กน้อยพูดตอบรับคำจากลุง พลางใช้ส้อมจิ้มไส้กรอกคำเล็กๆ ใส่ปาก


   "ลุงธนาจะขออนุญาตน้องภูกลับไปอยู่บ้านนู้นนะครับ" ภูธนาพูดกับหลานเป็นทางการเพื่อให้ภูบดินทร์เข้าใจว่าเรื่องที่พูดนั้นไม่ได้เป็นการพูดเพียงเล่นๆ


   "ทำไมฮะ" เด็กน้อยจ้องลุงตาแป๋ว


   "ลุงต้องกลับไปทำงาน แล้วจะได้มีเงินพาน้องภูไปเที่ยวบ่อยๆ ไงครับ"


   "น้องภูไปด้วยได้มั้ยฮะ" เด็กน้อยเริ่มเสียงเบา หน้าจ๋อยลงอย่างเห็นได้ชัด


   "ไม่ได้หรอกครับ แต่ลุงสัญญาว่าจะมาหาน้องภูบ่อยๆ"


   "ฮือ ฮือ" หลานคนเก่งบัดนี้ร้องไห้งอแงขึ้นมาเพราะไม่ได้ดั่งใจตนเอง


   "ไม่ร้องนะครับ ภูบดินทร์ มองลุง"


   "ฮือ ฮือ" เสียงร้องไห้ยังไม่หยุด ใบหน้าเต็มไปคราบน้ำตาแต่ก็ยอม สบตามลุงตามคำสั่ง


   "ถ้าน้องภูเป็นเด็กดื้อ ลุงธนาจะไม่มาหา แล้วก็ไม่พาน้องภูไปเที่ยวด้วยนะครับ"


   "น้องภูจะไม่ดื้อฮะ" เด็กน้อยใช้มือป้อมปาดน้ำตาออกไปให้พ้นทาง


   "ดีมากครับ คนเก่ง แล้วลุงจะมาหาบ่อยๆ ไม่ต้องร้องไห้แล้วนะ ถ้าคิดถึงลุงก็ให้คุณพ่อพาไปหาลุงก็ได้นะครับ รู้มั้ย" ภูธนาเช็ดน้ำตาให้เด็กน้อยเบามือ ความรักที่มีให้หลานคนนี้ยังไงก็ไม่มีวันหมด แต่เพื่ออนาคตของเด็กตรงหน้า ภูธนาก็ยินดีทำ


   "จะมาหาน้องภูบ่อยๆ จริงๆ นะฮะ ฮึก" เด็กน้อยหยุดร้องไห้แล้วแต่ยังมีอาการสะอื้นอยู่


   "จริงสิครับ ลุงเคยโกหกน้องภูหรือเปล่า" คำตอบของหลานชายคือการส่ายหน้าเป็นพัลวัน


   "รักน้องภูนะครับ" ภูธนาก้มลงจูบหน้าผากเด็กน้อยด้วยความรักสุดหัวใจ


   "น้องภูก็รักลุงธนาฮะ" เด็กน้อยยื่นหน้าหอมแก้มคุณลุงฟอดใหญ่ ภูธนาเอ็นดูหลานคนนี้เหลือเกิน






   คุณพ่อและคุณลูก พากันเล่นกันอย่างสนุกที่สนามข้างบ้าน ภูธนาจึงมีเวลามาเก็บเสื้อผ้าและของใช้ ชายหนุ่มคิดว่าจะเหลือเสื้อผ้าและของใช้ไว้ที่นี่บ้าง เพราะหากมานอนค้างจะได้ไม่ต้องเตรียมของมาให้ลำบาก ตอนนี้บริพัตรยังไม่กลับมาบ้าน เขาควรจะต้องบอกลาชายหนุ่มหรือไม่ ภูธนาคิดเพียงไม่นานก็ตัดสินใจไม่รอบริพัตรกลับมาบ้าน อยู่บ้านเดียวกันแท้ๆ ยังไม่ค่อยเจอกัน  เจ้าตัวไม่ได้สนใจอยู่แล้วนี่ว่าเขาจะอยู่หรือไป




   ช่วงเย็นวันนั้น บดินทร์ขับรถมาส่งภูธนาที่ห้องพักพร้อมกับหลานชาย การร่ำลาครั้งนี้เต็มไปด้วยเสียงร้องไห้ของเด็กน้อยแต่ไม่ได้ยาวนานเหมือนกับครั้งแรกที่ต้องจากกัน แค่เพียงไม่กี่เดือนหลานชายเติบโตอีกขั้นแล้ว เหลือแต่เพียงภูธนาที่พอลับสายตาจากพ่อลูกคู่นั้น เจ้าตัวกลับร้องไห้ออกมาด้วยความคิดถึงหลานเหมือนเดิม


   "กลับมาแล้วครับ" บริพัตรทักทายพี่ชายที่นั่งเล่นกับหลานอยู่ที่พื้นหน้าโซฟา


   "อ้าว กลับมาแล้วเหรอ กินอะไรมาหรือยัง"


   "กินมานิดหน่อยแล้วครับ แล้วนี่พี่อยู่กับน้องภู 2 คนเหรอ ลุงของน้องภูล่ะ" บริพัตรเอ่ยถามคนที่อยู่ในความคิดของเขาตลอดเวลา


   "คุณธนาย้ายกลับไปอยู่บ้านเขาแล้วล่ะ"


   "อะไรนะ แล้วพี่ยอมให้เขากลับบ้านไปได้ไง แล้วน้องภูล่ะจะไม่ร้องไห้เหรอ แล้วถ้าน้องภูร้องไห้อีกล่ะ จะทำไง" บริพัตรตกใจเมื่อได้ยินคำตอบพี่ชาย ชายหนุ่มจึงรัวคำถามออกมาเป็นชุด


   "เดี๋ยวๆ เจ้าพัต นายเห็นหลานมันร้องไห้หรือยัง น้องภูร้องไห้หรือเปล่าครับ ไหนบอกพ่อซิ"


   "ไม่ร้องฮะ ลุงธนาบอกว่าถ้าร้องจะไม่มาหาน้องภู" เด็กน้อยเงยหน้าฉีกยิ้มให้กับพ่อก่อนจะแจกยิ้มเผื่อมาถึงอา


   "เห็นมั้ยล่ะ จะตกใจอะไรขนาดนั้น" บดินทร์ถึงกับแปลกใจในพฤติกรรมของชายหนุ่ม แต่บดินทร์กลับรู้สึกดี เพราะมันเหมือนกลิ่นอายตัวตนของบริพัตรเมื่อก่อน


   "ไม่ใช่อย่างนั้นหรอกน่า" บริพัตรแสร้งทำเป็นเดินไปดื่มน้ำที่ครัว


   "นี่เจ้าพัต"


   "ครับพี่"


   "แว่นนายหายไปไหน" บดินทร์รู้สึกว่ามีอะไรแปลกไป กว่าจะคิดออกก็คือแว่นตาหนาๆ อันใหญ่ของน้องชายนี่เอง


   "อ้อ มันมองเห็นไม่ค่อยชัด ก็เลยไม่ใส่แล้วล่ะ"


   "จะไม่ใส่ได้ยังไง ถ้ามองเห็นไม่ค่อยชัดก็ไปตัดใหม่สิ" บดินทร์แปลกใจความคิดของน้องชายเสียจริง มองไม่ชัดทำไมไม่ไปหาแว่นที่ชัดๆ ใส่กันเล่า มาปล่อยแบบนี้จะมองเห็นได้อย่างไรกัน หรือว่าน้องชายของเขาจะเพี้ยนไปแล้ว


   ไม่ นะ .....


   "ก็ใส่แล้วมันมองเห็นไม่ค่อยชัดต่างหาก"


   คำตอบของน้องชายนั้น


   ไม่ นะ .....


   "เจ้าพัต ไม่เป็นไรใช่มั้ย" บดินทร์เอื้อมมือไปแตะหน้าผากน้องชาย เผื่อว่าน้องชายจะไข้ขึ้นสูง


   "พี่ทำอะไร ผมไม่ได้ป่วยสักหน่อย" บริพัตรปัดมือพี่ชายออกเบาๆ


   "หรือนายจะเป็นบ้าเปล่าวะ พัต"


   "ไปกันใหญ่แล้วพี่ดิน  แล้วผมก็ไม่ได้สายตาสั้นสักหน่อย แล้วแว่นน่ะ มันเริ่มเก่าแล้ว กระจกก็มีรอยขูดขีดเต็มไปหมด ก็เลยมองเห็นไม่ค่อยชัด พอใจหรือยังครับพี่"


   "สายตาไม่ได้สั้น แล้วใส่แว่นทำไมวะ อยากเท่เหรอไง"


   "คือใส่แว่นหนาเตอะนี่มันทำให้เท่เหรอครับ เพิ่งรู้นะ"


   "ชักจะกวนพี่กวนเชื้อนะ เจ้าพัต แล้วใส่ไปทำไมกันวะ ชักเริ่ม งง สรุปคือนายไม่ได้บ้า แต่พี่เองที่บ้าใช่มั้ย"


   "พี่เล่นตลกให้ผมขำหรือไง อ่ะ จะบอกให้เอาบุญนะคร้าบ ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว ผมใส่แว่นหนาๆ แบบนั้นเพราะไม่อยากให้ใครมาสนใจผมไง "


   "ถ้างั้นเรื่องเสื้อผ้า ท่าทางพวกนั้นด้วยหรือเปล่า"


   "พี่นี่ฉลาดใช้ได้นะเนี่ย" สายตายียวนของชายหนุ่มมองพี่ชายอย่างขำๆ


   "ชักกวนโมโหกูหนักขึ้นละ"


   "อ๊ะๆ ต่อหน้าเด็ก พูดไม่เพราะได้ยังไง เดี๋ยวตีเลย" บริพัตรยกมือทำท่าจะตีพี่ชาย แต่ถูกบดินทร์ยกเท้าขึ้นมาขวางทางมือเสียก่อน


   "แล้วมีคนมาสนใจไม่ดีตรงไหน พัต"


   "ก็ผมไม่ชอบ แล้วก็เพราะเรื่อง มินตราด้วยไง พอเริ่มเก็ทยัง"


   "เออๆ ก็พอเข้าใจนายอยู่หรอก แต่ไม่เห็นจะต้องถึงขนาดนี้เลยนี่"


   "คือคนมันหล่อ และหล่อมากด้วย อย่าให้ผมพูดเยอะเลยนะ เพราะเรื่องจริงทั้งนั้น"   


   "น่าถีบจริงๆ ไอ้น้องคนนี้ แล้วนี่จะไปไหน" บดินทร์ร้องทักเมื่อเห็นน้องชายลุกขึ้นยืน


   "จะไปอาบน้ำไง  เหนียวตัวไปหมด เสร็จแล้วจะมาดูหลานต่อให้"


   "พัต" บดินทร์เรียกน้องชายที่กำลังขึ้นบันได ทำให้บริพัตรหยุดเดินแล้วหันมาสบตาพี่ชาย


   "ว่าไงครับ"


   "พี่รู้สึกเหมือนได้น้องคนเดิมกลับมา ดีใจว่ะ"


   "ผมก็กลับมาเป็นบริพัตรคนเดิมอย่างที่พี่เคยรู้จักไง" บริพัตรพูดทิ้งท้ายก่อนที่จะเดินเข้าห้องนอนของตนเองไป
   






   "สวัสดีครับ ยินดีต้อนรับทุกท่านเข้าสู่การแข่งขันซุปเปอร์ จีที เรซ ครั้งแรกของประเทศไทย กับการแข่งขันรถทั้งสิ้นทั้งหมด 32 คัน"



   เสียงผู้บรรยายประกาศดังไปทั่วสนาม ภูธนาเข้าร่วมการแข่งขันนี้เป็นครั้งแรกเช่นกัน ชายหนุ่มไม่อาจจะหยุดความตื่นเต้นเอาไว้ได้เลย ถึงจะซ้อมมาไม่รู้กี่ร้อยกี่พันรอบแล้ว แต่เมื่อลงสนามจริงก็อดที่จะตื่นเต้นไม่ได้ และนี่ก็เป็นครั้งแรกที่รายชื่อของชายหนุ่มได้ประกาศให้ทุกคนได้รับรู้ โดยไม่ได้เป็นตัวปลอมในการแข่งของใครอีก



   "รถแข่งทั้งหมด 32 คัน เครื่องยนต์เสียงดังกระหึ่มขึ้นมาอยู่หน้าสแตนด์ ตอนนี้เป็นสัญญาณสตาร์ทเครื่องยนต์แล้วนะครับ สัญญาณของธงเขียวที่กำลังจะเริ่มต้นขึ้นแล้ว"



   ภูธนาอยู่ในรถคู่ใจ เวนอม จีที หมายเลข 14 สมาธินั้นเป็นสิ่งสำคัญ เมื่อภูธนาออกตัวก็ลืมความตื่นเต้นก่อนหน้านี้ไปหมดแล้ว สายตาจับจองอยู่เพียงสนามที่ต้องวิ่งผ่านไปทีละรอบ ๆ




   "เอาล่ะครับ เริ่มมีตำแหน่งเปลี่ยนแล้วครับ ตอนนี้หมายเลข 6 ขึ้นมาแทนที่เบอร์ 4 ได้เรียบร้อยแล้ว หมายเลข 6 เป็นนักแข่งสัญญาติญี่ปุ่น คุณยามาดะ ยูโตะ แล้วอย่าลืมจับตามองหมายเลข 14 นะครับ นักแข่งไทยเพียงคนเดียวของเราในวันนี้ คุณภูธนา หลายคนอาจจะไม่คุ้นชื่อเขาสักเท่าไหร่ แต่ถ้าได้เห็นหน้าของชายหนุ่มคนนี้ต้องคุ้นตาแน่นอนครับ อดีตดาราหนุ่มของเราผันตัวมาเป็นนักแข่งรถเต็มตัวแล้วล่ะครับ"



   ภูธนาตั้งใจขับขึ้นแซง ไปทีละคันๆ จนมาอยู่ที่อันดับ 2 ปัญหาของชายหนุ่มยังคงเป็นเรื่องของการเข้าโค้งที่มักจะหลุดโค้งอยู่บ่อยทำให้แซงรถคันแรกไม่ได้สักที



   "การแข่งขันเข้มข้นมากทีเดียวครับ แล้วเข้าสู่รอบสุดท้ายแล้ว ผู้ชนะในวันนี้ของเราจะเป็นใครระหว่างเบอร์ 14 นักแข่งชาวไทย คุณธนา ที่ยังตาม รถหมายเลข 42 อยู่ นักแข่งชาวอังกฤษ มิสเตอร์จอห์น นะครับ อีกไม่กี่อึดใจเราจะได้รู้กันแล้ว ว่าผลจะออกมาเป็นอย่างไร"



   "และมาถึงโค้งสุดท้ายแล้วล่ะครับ พ้นโค้งนี้ไปจะเป็นเส้นทางตรงและมุ่งเข้าสู่เส้นชัย หมายเลข 14 ยังตามมาติดๆ ไม่สามารถขึ้นแซงได้ จะเป็นยังไง จะเป็นยังไง ผ่านโค้งสุดท้ายมาแล้วครับ !! เข้าสู่ทางตรงแล้ว รถ 2 คัน ขับเคี่ยวกันอย่างสูสีทีเดียว  แล้วรถก็เข้าเส้นชัยไปพร้อมกัน ไม่น่าเชื่อจริงๆ ใครกันที่เข้าถึงเส้นชัยก่อน เราต้องมาเช็คภาพช้ากันแล้ว"


   "แหม่ น่าเสียดายจริงๆ นิดเดียวแท้ๆ และผู้ชนะในวันนี้คือรถหมายเลข 42 ครับ และลำดับต่อไปจะเป็นช่วงเวลามอบรางวัลแก่ผู้ชนะเลิศ กับการแข่งขันซุปเปอร์ จีที เรซ"


   "แชมป์ หมายเลข 42 ครับ มิสเตอร์ จอห์น


   อันดับที่ 2 ครับ หมายเลข 14 คุณธนาครับ รูปหล่อไม่เบาเลยทีเดียว


   และอับดับที่ 3 ครับ หมายเลข 6 คุณยามาดะ


   ขอเสียงปรบมือดังๆ ให้กับผู้ชนะและผู้เข้าแข่งขันในวันนี้ครับ" เสียงปรบมือกึกก้องดังทั่วสนาม นักข่าวจากหลายสำนักต่างพากันกรูเข้ามาสัมภาษณ์หลังพิธีมอบรางวัลเสร็จสิ้นลง



   "ทำไมคุณธนาถึงผันตัวเองมาเป็นนักแข่งรถคะ" นักข่าวช่องน้อยสี ยืนไมค์มาจ่อหน้าเขาทันทีที่เข้าถึงตัว


   "ผมชื่นชอบรถแข่งอยู่ก่อนหน้านี้แล้วครับ ตอนที่เข้าวงการเลยหยุดไป พอได้รับโอกาสจากสังกัดอีกครั้งก็รู้สึกยินดีมากครับที่จะได้กลับมาแข่งรถอีกครั้ง"


   "แล้วงานด้านวงการบันเทิงยังรับงานอยู่มั้ยคะ" นักข่าวช่องเคเบิ้ลยื่นไมค์มาถามต่อทันที


   "ยังรับอยู่ครับ แต่ทั้งนี้คงต้องปรึกษากับทางสังกัดก่อนว่าจะสะดวกหรือเปล่าครับ"



   คำถามอีกมากมายยิงยาวมาที่ภูธนาไม่หยุด หากจอมเดชไม่เข้ามาจัดการ ดึงตัวเขาออกไป เห็นทีชายหนุ่มคงจะต้องถูกสัมภาษณ์อีกนานแน่ๆ


   "เป็นไง ธนา " จอมเดชยื่นขวดน้ำให้ชายหนุ่มรับไปเพื่อดื่มแก้กระหาย


   "มันเหมือนฝันน่ะครับ พี่จอม ไม่คิดเลยว่าจะได้กลับมาแข่งในชื่อตัวเองแบบนี้ ดีใจมากๆ เลยพี่ แต่น่าเสียดาย อีกนิดเดียวก็จะชนะแล้วแท้ๆ"


   "ไม่ต้องกังวลไปหรอกน่า นายเพิ่งมาซ้อมได้ไม่นาน ลงครั้งแรกก็ได้รองชนะเลิศซะแล้ว ตำแหน่งชนะเลิศอยู่ไม่ไกลหรอกน่า"


   "ขอบคุณครับ"


   "หลังจากนี้ คงมีงานเข้ามาเยอะขึ้น เตรียมตัวไว้เลยนะ ธนา"


   "ครับพี่จอม"


   "พ่อฮะ ลุงธนา ทีวี ลุงธนา ทีวี" เด็กน้อยส่งเสียงดังร้องเรียกผู้เป็นพ่อที่กำลังเตรียมมื้อเย็นในครัว เดือดร้อนให้บดินทร์รีบวิ่งออกมาด้วยความตกใจ


   "อะไรกันครับ คนเก่ง มีอะไรครับ"


   "ลุงธนาฮะ ทีวี ทีวี" มืออวบอ้วนชี้ไปที่จอโทรทัศน์ที่มีใบหน้าของภูธนาที่กำลังถูกสัมภาษณ์จากนักข่าว


   "โห ลุงธนาจริงๆ ด้วยนะ น้องภู"


   "ลุงธนา ออกมาสิ ออกมา"


   "ลุงธนาออกมาไม่ได้หรอกครับ คนเก่ง"


   "ทำไมล่ะครับ" คำถามของลูกชายทำให้พ่อถึงกับเหงื่อตกที่ต้องหาคำตอบ


   "อยู่ในทีวี ออกมาไม่ได้หรอกครับ"


   "น้องภูคิดถึงลุงธนา"


   "ถ้าคิดถึงเราก็ไปหาลุงธนาเลยดีมั้ย" บดินทร์รีบตามใจลูกชายทันที


   "ไปเดี๋ยวนี้เลยฮะ นะฮะ" เด็กชายรบเร้าเกาะแขนผู้เป็นพ่อ


   "ตอนนี้ไม่ได้หรอกนะครับ เย็นแล้ว"


   "ทำไมล่ะฮะ"


   "ลุงธนาก็ต้องทานข้าวแล้วก็นอนหลับเหมือนน้องภูไงครับ เดี๋ยววันหยุดพ่อจะพาไปหาลุงนะครับ"


   "ฮะ พาไปจริงๆ นะฮะ น้องภูอยากเอารถแข่งคันใหม่ไปอวดลุงธนา"


   "แน่นอนครับ งั้นเรามาทานข้าวกัน"
   



   ภูธนากลับเข้ามาในวงการบันเทิงอีกครั้ง สื่อบันเทิงหลายช่องต่างพากันจับจองตัวภูธนาเพื่อไปออกรายการเกมส์โชว์บ้าง สัมภาษณ์ช่วงเวลาที่หายไปบ้าง หรือแม้กระทั่งโฆษณาก็เริ่มมีเข้ามาแล้ว



   'คิดถึงน้องภู'



   ช่วงนี้ชายหนุ่มไม่ได้ไปหาหลานชายตัวน้อยเลยเพราะงานที่เริ่มทยอยเข้ามาเรื่อยๆ ได้คุยกันผ่านโทรศัพท์พอให้บรรเทาความคิดถึงได้



   ภูธนายังพักอยู่ที่เดิม ยังไม่ได้ย้ายไปไหน ที่นี่ก็อยู่มาหลายปีแล้ว สะดวกในการเดินทางได้เป็นอย่างดี วันนี้เขาได้หยุดพักเลยรีบทำงานบ้านให้เรียบร้อย จะได้ไปหาหลานชายให้คลายความคิดถึง
   


   ก๊อก ก๊อก



   มือเรียวขาวที่กำลังหยิบเสื้อผ้าลงใส่เครื่องซักผ้านั้น ชะงักมือด้วยความแปลกใจ ใครกันที่มาแต่เช้า




   "ลุงธนาฮะ ลุงธนา น้องภูมาแล้ว" เสียงโหวกเหวกหน้าห้องทำให้ชายหนุ่มทิ้งทุกอย่างแล้วรีบไปเปิดประตูทันที


   "ลุงธนาฮะ น้องภูคิดถึง" เด็กน้อยโผเข้ากอดลุงเมื่อเห็นหน้า ชายหนุ่มอุ้มหลานชายตัวน้อยขึ้นมา


   "ลุงก็คิดถึงน้องภูนะครับ นี่ตัวหนักขึ้นนะเรา จะอุ้มไม่ไหวแล้วมั้ง" จมูกโด่งกดทับบนแก้มกลมๆ นั่นฟอดใหญ่ หลานชายก็ไม่ยอมน้อยหน้า กอดหอมลุงผลัดกันไปมา


   "อ่ะ แฮ่ม" เสียงกระแอมไอทำให้ทั้งคู่ออกจากภวังค์


   "อาพัตเตอร์" ภูธนาหลุดปากเรียกชื่อออกไป ใจเต้นแรงเพราะไม่คิดว่าจะเป็นผู้ชายคนนี้


   "ไม่เชิญเข้าบ้านหน่อยเหรอครับ ลุงธนา"


   "เชิญครับ" ภูธนาเปิดประตูให้กว้างขึ้นกว่าเดิมเพื่อให้อีกฝ่ายได้เข้าไป


   "ทานอะไรมาหรือยังครับ น้องภูหิวหรือเปล่า"


   "ยังเลยครับ น้องภูอยากมาหาคุณลุงไวๆ เพราะคุณลุงสัญญาว่าจะมาหาแต่ไม่เห็นมาเลย" บริพัตรพูดแกมประชด


   "โกรธลุงหรือเปล่าครับ" ภูธนาหันไปคุยกับหลานตัวน้อย


   "ไม่ฮะ แต่น้องภูคิดถึงลุงธนาม๊าก มาก"


   "ลุงขอโทษนะครับ คนเก่ง ช่วงนี้ลุงทำงานเยอะมากเลย"


   "น้องภูหิวแล้วฮะ" เพราะเลยเวลาอาหารเช้าของเด็กน้อยมานานแล้ว ภูธนาจึงรีบไปทำมื้อเช้าให้หลานก่อน


   "ทานนี่รองท้องก่อนนะ น้องภู ส่วนของคุณ นี่ครับ" มือเรียวยื่นจานให้คนตรงหน้าที่นั่งรออยู่บนโต๊ะอาหารเรียบร้อยแล้ว


   "ขอบคุณฮะ ลุงธนา" 2 เสียงพูดขึ้นพร้อมกัน ทำให้ภูธนาอดที่จะมองค้อนคนตัวโตเสียไม่ได้


   "ทานดีๆ อย่าให้หกเลอะเทอะนะ คนเก่ง" ภูธนาบอก พลางทิ้งตัวนั่งลงข้างๆ หลานเพื่อทานมื้อเช้าเช่นเดียวกัน


   "คุณดินไปไหน คุณถึงพาน้องภูมาได้"


   "พี่ดินอยู่ที่บ้าน แต่ผมขออาสาพาหลานมาเอง" คำตอบทำให้แปลกใจแต่ภูธนาก็ไม่ได้ถามต่อ


   "แล้วแว่นไปไหนล่ะครับ"


   "เพิ่งรู้ว่า ใครๆ ก็สนใจแว่นผมนะ"


   "ก็แว่นหนาเตอะขนาดนั้น ใครไม่ทักก็คงแปลกแล้วล่ะ" จะมีสักครั้งมั้ยที่จะตอบคำถามให้มันดีๆ โดยไม่กวนอารมณ์แบบนี้


   "อ้อ อย่างนั้นเหรอครับ นึกว่าสนใจผมซะอีก"


   "ให้มันน้อยๆ หน่อยเถอะ"


   "หรือลุงธนาไม่สนใจอาพัต"


   "เหลวไหล พูดเอง เออเองทั้งนั้น" ภูธนาก้มหน้าก้มตาตักอาหารเข้าปากไม่หยุด


   "แล้วตกลงว่าแว่นไปไหนล่ะครับ"


   "ไม่ใส่แล้ว" คงต้องยอมรับว่าชายหนุ่มตัดสินใจถูกแล้วที่เลิกใส่แว่น เพราะมันทำให้คนตรงหน้านี้สะดุดตาขึ้นเป็นกอง ที่ยังขัดตาอยู่คงจะเป็นทรงผม ไปตัดให้มันสั้นลงหน่อยจะดีมั้ยนะ


   "แล้วมองเห็นชัดเหรอครับ หรือว่าใส่คอนแทกส์" คนถามยังไม่ยอมเงยหน้าขึ้นมาสบตา


   "ไม่ได้ใส่หรอกครับ แล้วก็มองเห็นชัดดีอยู่แล้ว"


   "นี่ ถ้าคุณไม่คิดจะตอบดีๆ งั้นผมก็ไม่คุยด้วยแล้วนะครับ" คำตอบของบริพัตร ทำให้คนถามชักไม่สบอารมณ์เข้าแล้ว


   "ไม่เอาน่า ขี้งอนเหรอครับ คุณลุง"


   "ผมไม่ได้งอนสักหน่อย อย่าเหมาไปเองได้มั้ย แค่รำคาญที่คุณตอบยอกย้อนไปแบบนี้ ถ้าไม่อยากคุยก็น่าจะบอกกันตรงๆ สิครับ" ภูธนาอธิบายยืดยาวเพราะความรู้สึกที่บริพัตรหลบหน้าตนเองยังทำให้ตะขิดตะขวงใจอยู่ไม่น้อย


   "ขอโทษนะ" ภูธนาแทบไม่เชื่อหู


   "ว่าอะไรนะ"


   "ผมบอกว่าขอโทษไง อ่ะตอบดีๆ แล้ว ที่ผมเลิกใส่แว่น ก็เพราะกำลังจีบคนๆ  นึงอยู่ กลัวว่าเขาจะไม่ยอมไปไหนมาไหนด้วย ถ้าผมยังทำตัวแย่ๆ" ภูธนารู้สึกหน่วงๆ อยู่ในอก เมื่อรู้ว่าบริพัตรมีคนที่สนใจแล้ว


   "ระ เหรอ" กระซิบถามเสียงเบาหวิวออกไป


   "ใช่ แล้วไม่อยากรู้เหรอว่าเขาเป็นใคร"


   "ถึงจะบอกออกมา ผมก็คงไม่รู้จักอยู่ดี"


   "คนนี้ลุงธนารู้จักเขาแน่นอนครับ" คุณลุงเลิกคิ้วด้วยความสงสัย


   "คนที่ผมกำลังจะจีบ ก็คือคนตรงหน้านี่ไงล่ะครับ" บริพัตรฉีกยิ้มกว้าง ส่วนคนตรงหน้าน่ะเหรอ อึ้งไปแล้วน่ะสิ





   'ลุงธนาน่ารักชะมัด'








Talk:.

ท้า ดาาาา และแล้ว อาพัตเตอร์ของเรา ก็เดินเครื่องเดินหน้า เต็มที่ให้สมกับผ่านมา 13 ตอน T-T เริ่มซะทีล่ะนะคะ
ตอนนี้ ดูเหมือนชีวิตของแต่ละคนดี๊ดีนะคะ เขมเองอยากจะกระโดดปลอมตัวเป็นลุงธนาแทนที่เลย   :beat:
แต่สงสัยจะไม่ได้แฮะ ไหนๆ ก็เครื่องติดแล้ว การรุกเร็วของอาไม่ธรรมดาหรอกค่ะ ใครว่าอาพัตเราจะสงบเสงี่ยมนี่ ไม่มีทาง :z2:

แต่

แต่

แต่

ขอแจ้งข่าวร้ายหน่อยค่ะ T_T  :mew2:

คือว่า ตอนนี้มีแต่งล่วงหน้าไว้อีกประมาณ 2-3 ตอนค่ะ แล้วเขมมีธุระเรื่องงานต้องไปใช้ชีวิตเป็นกะเหรี่ยงอยู่ต่างบ้านประมาณ 2 อาทิตย์ หากไม่โดนเลื่อนเพิ่มเวลาออกไปนะคะ อาจจะทำให้มาลงไม่ได้เหมือนเดิม

แต่จะพยายามให้ได้สัปดาห์ละ 1 ตอนค่ะ แต่ถ้าโชคร้ายโดนบลอกเน็ตด้วย กว่าจะได้มาลงให้อ่านต่อคงอีกราวๆ ปลายมีนา ไม่ก็ต้นเดือนเมษาค่ะ

เข้าใจหน่อยน้า  :mew6: ไม่ไปก็ไม่ได้ค่ะ ชะตาชีวิตอาจขาดสะบั้นลง ขอโทษค้าบ


ยินดีต้อนรับคนอ่านที่หลงผิด เอ๊ย แวะเวียนเข้ามาอ่านเรื่องนี้กันนะคะ ผิดพลาดในภาษาหรืออื่นใด ขออภัยด้วยนะคะ


 :mew1: :mew1: :mew1: :mew1: :mew1:

ด้วยรัก
เขมกันต์


หัวข้อ: Re: กว่าจะเข้ากันได้ โดย เขมกันต์ อัพเดท [บทที่ 13] หน้า 3 - 01/03/2559 ค่ะ
เริ่มหัวข้อโดย: yisren. ที่ 01-03-2016 21:16:11
อาพัตเตอร์บุกแรงมาก 5555555555555555555 ลุงธนาน่ารักจริงๆ รอเสมอนะคะ  :katai5:
หัวข้อ: Re: กว่าจะเข้ากันได้ โดย เขมกันต์ อัพเดท [บทที่ 13] หน้า 3 - 01/03/2559 ค่ะ
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 01-03-2016 21:16:24
อร๊ายย. อาพัตเตอร์รุกจีบลุงธนาแล้วนะ.  อิอิ
หัวข้อ: Re: กว่าจะเข้ากันได้ โดย เขมกันต์ อัพเดท [บทที่ 13] หน้า 3 - 01/03/2559 ค่ะ
เริ่มหัวข้อโดย: เขมกันต์ ที่ 11-03-2016 19:44:53


บทที่ 14



   "จะเล่นอะไรอีกล่ะครับ" ภูธนาบอกหลังจากที่เริ่มสงบอาการภายในจิตใจได้แล้ว


   "ไม่ได้เล่นเลยแม้แต่นิดเดียว พูดความจริงล้านเปอร์เซนต์" อาพัตเตอร์ชูสามนิ้วให้คำปฏิญาณด้วยเกียรติของลูกเสือ


   "ผมไม่สนุกกับคุณหรอกนะครับ"


   "แล้วถ้าบอกว่าผมจริงจังล่ะ คุณจะว่าไง" บริพัตรชะโงกหน้าเข้ามาจ้องตาภูธนา


   ภูธนาจ้องตาได้ไม่นานก็ต้องเป็นฝ่ายหลบตาไปก่อน สายตาของคนนี้ เขาคงสู้ไม่ไหวจริงๆ


   "ตามใจคุณเถอะครับ" ภูธนาบอกอย่างปลงๆ


   "หมายความว่าให้ผมเดินหน้าต่อไปใช่มั้ยครับ"


   "ก็อย่างที่บอกแหละครับ" ภูธนาพูดจบก็หยิบกระดาษเช็ดปากให้หลานชายก่อนจะลุกขึ้นเก็บจานให้เรียบร้อย


   ภูธนาเดินกลับออกมาพร้อมแก้วน้ำใบโต ชายหนุ่มค่อยๆ ประคองแก้วน้ำให้หลานชายดื่มหลังจากมื้ออาหาร เช็ดปากให้เด็กน้อยอีกครั้งเป็นอันเสร็จพิธีช่วงเช้า


   "ลุงธนาฮะ น้องภูเอาของเล่นมาเล่นนะฮะ" เด็กน้อยบอกคุณลุงก่อนจะพาร่างกลมๆ ไปมุมของเล่นที่เก็บอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย


   "ครับ แต่ถ้าเล่นเสร็จแล้วต้องเก็บให้เรียบร้อยเหมือนเดิมด้วยนะ"


   "ฮะ" เด็กน้อยรับคำ


   ภูธนาเดินเข้าไปกดปุ่มให้เครื่องซักผ้าทำงาน ชายหนุ่มสาละวนกับการเก็บกวาดครัวให้เรียบร้อย แต่ยังไม่ได้เริ่มอะไรมากนักก็มีผู้ชายไม่ได้รับเชิญเข้ามาในครัวเพิ่มอีกคน


   "ผมช่วยนะ" เสียงทุ้มบอกเสียงเบาข้างหูชายหนุ่ม ทำเอาภูธนาขนลุกขึ้นมาทันที


   "ช่วยถอยไปจะดีกว่าครับ" ชายหนุ่มบอกพลางเขยิบหนี


   "อย่างนั้นเหรอ น่าเสียดาย" มือหนาของบริพัตรเฉียดแก้มภูธนาไปนิดเดียว


   "นี่คุณ" ภูธนาชักเริ่มไม่ชอบใจเท่าไหร่แล้ว นี่ถือวิสาสะเกินไปมั้ย


   "ว่าไงครับ ลุงธนา" คนต้นเรื่องกลับไม่ได้สนใจการกระทำตนเอง แต่ยังตอบรับด้วยความทะเล้น


   "ผมไม่ชอบให้คุณทำตัวรุ่มร่าม"


   "คำว่ารุ่มร่ามนี่ หมายถึงแบบนี้หรือเปล่า" บริพัตรยื่นหน้าเข้าไปใกล้ จนริมฝีปากเกือบจะชนกับฝ่ายตรงข้าม ภูธนาเห็นท่าไม่ดี ชายหนุ่มรีบถอยหลังตามสัญชาตญาณ


   "ถ้าคุณยังไม่หยุด ผมจะโกรธแล้วนะครับ" ภูธนาหน้าตาแดง เสียงดังด้วยความโมโห


   "เอาล่ะๆ  ผมไม่แกล้งคุณแล้ว ขอโทษด้วยนะครับ" บริพัตรขยับตัวออกมา ยกมือทำท่าแสดงว่ายอมแพ้


   "ถ้าคิดจะคุยกันดีๆ ก็อย่าทำอีก" ภูธนาคาดโทษด้วยสายตาก่อนจะหันไปจัดการจานตรงหน้าอีกครั้ง


   "ผมฝากคุณดูแลน้องภูด้วยนะ ผมมีธุระต้องไปทำ คงต้องรบกวนด้วยนะครับ"


   "ได้ครับ แล้วพรุ่งนี้เช้าผมจะไปส่งน้องภูให้เอง" ภูธนาบอกทั้งที่ยังไม่ละมือจากการล้างจาน


   "สุดสัปดาห์ที่จะถึงนี้ ทำตัวให้ว่างด้วยนะครับ ผมจะพาคุณกับน้องภูไปค้างต่างจังหวัดสัก 2-3 วัน"


   "ผมไม่ไปครับ ถ้าคุณจะพาน้องภูไปเที่ยวก็พาไปเลย"


   "ตกลงตามนี้นะครับ" บริพัตรพูดทิ้งท้ายก่อนจะก้าวออกจากครัวไป  ร่ำลาหลานชายตัวน้อยที่กำลังเล่นของเล่นอยู่

   "ผมไม่ไปนะคุณพัต" ภูธนารีบก้าวตามออกมาทันชายหนุ่มที่กำลังจะพ้นประตูไป


   "ไปเหอะ อยากให้ไป แล้วผมจะมารับแต่เช้านะครับ" บริพัตรรีบปิดประตูโดยเร็วกลัวว่าคนหลังประตูจะท้วงอะไรขึ้นมาอีก


   'ค่อนข้างจะหวงตัว'


   และการเรียนรู้ภูธนาของบริพัตรนั้นได้เริ่มขึ้นแล้ว


   วันหยุดที่ผ่านมาทำเอาภูธนาแทบเสียศูนย์ ความรู้สึกมันผสมปนเปกันไปหมด ผู้ชาย 2 คนจะรักกันงั้นเหรอ


   ไม่ใช่หรอก


   แล้วบริพัตรมาบอกว่ากำลังจะจีบเขา เนี่ยนะ


   ยิ่งไม่ใช่


   เป็นไปไม่ได้ อาหนุ่มคนนี้คงอยากจะเล่นอะไรแผลงๆ เป็นแน่


   เข้าใจว่าสมัยนี้สังคมเปิดกว้างสำหรับคู่รักที่เป็นชายรักชายก็จริง ภูธนามั่นใจว่าก่อนหน้านี้ไม่เคยคิดแม้แต่จะสนใจผู้ชายด้วยกันเอง แค่คิดก็ขนลุกแล้ว ไม่มีทางเป็นไปได้ แต่ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ ไม่ว่าจะเวลาไหน ภูธนาก็เฝ้าสนใจแต่บริพัตร ถึงจะโมโหที่ชายหนุ่มหลบหน้าหลบตาไปก็เถอะ แค่เจอหน้าอีกครั้ง หัวใจก็เต้นแรง



   สุดสัปดาห์นี้จะพาเขากับหลานไปค้างต่างจังหวัด นี่คิดว่าเขาเป็นคนอย่างไร คิดจะชวนไปไหนก็ไปได้ง่ายๆ เลยเหรอ



   ไม่ไปหรอก



   "ธนา ธนา นี่ ใจลอยไปถึงไหน" เสียงจอมเดชเรียกเสียงดังทำให้ชายหนุ่มหลุดออกจากภวังค์


   "พี่จอมครับ เสาร์อาทิตย์นี้ผมขอหยุดซ้อมได้มั้ยครับ" ภูธนาสวนคำถามขึ้นมา


   "เอ้า ไม่ได้ยินที่พี่ถามเลยเหรอ"


   "พี่ว่ายังไงนะครับ" คำถามกลับของชายหนุ่มทำให้จอมเดชส่ายหน้าเบาๆ


   "พี่ถามว่า ช่วงนี้ไม่ค่อยได้นอนเหรอ ดูเหมือนคนอดนอน"


   "ก็ไม่เชิงหรอกครับ" ก็ไม่เชิงได้ยังไง ที่นอนไม่ค่อยหลับ ก็เพราะคนที่มาชวนไปเที่ยวด้วยไม่ใช่เหรอไง แต่จะให้พูดไปตรงๆ พี่จอมได้ งง กันพอดี


   "พี่เห็นว่าช่วงนี้นายน่ะ มีงานเข้ามาค่อนข้างเยอะ กลัวจะจัดเวลาซ้อมได้ไม่ค่อยดี พี่เลยให้ผู้จัดการของดิศ มาช่วยก่อนที่จะหาผู้จัดการคนใหม่ได้"


   ก๊อก ก๊อก


   "มาพอดีเลย เข้ามาเลย คุณกันต์" จอมเดชอนุญาตให้คนข้างนอกเข้ามา


   "สวัสดีครับ คุณจอม" ผู้มาใหม่ยกมือไหว้คนสูงวัยกว่า


   "สวัสดี คุณกันต์ ไม่เจอกันนานเลยนะช่วงนี้ นั่งก่อนสิ"


   "ก็แล้วแต่งานของลูกค้าน่ะครับ"


   "ผมมีงานให้ดูแลลูกค้าเพิ่มคนนึงน่ะ ภูธนา นี่คุณชนกันต์  (ชะ-นะ-กัน) คุณกันต์ นี่คุณภูธนา นักแข่งคนล่าสุดของบริษัทเรา"


   "สวัสดีครับ" 2 หนุ่มทักทายขึ้นมาพร้อมกัน


   "คุณกันต์ อาจจะต้องเหนื่อยหน่อยเพราะธนาน่ะเขาเป็นดาราด้วย เพราะงั้นก็จะมีงานด้านบันเทิงด้วย พอจะดูแลไหวมั้ย"


   "ไหวครับ"


   "ถ้าไม่ไหว ก็บอกละกัน ระหว่างนี้ผมจะรีบหาผู้จัดการส่วนตัวให้ธนา คุณจะได้ไม่ต้องเหนื่อยมาก"


   "ไม่เป็นไรครับ คุณจอม แค่เพิ่มคุณธนามาอีกคนผมก็ดูแลได้ครับ"


   "แต่เจ้าดิศเองก็คอยแต่จะสร้างปัญหาให้คุณเยอะอยู่แล้วนะ" จอมเดชบอกอย่างเป็นห่วง เพราะรู้จักกิตติศัพท์ของนักแข่งในสังกัดดี


   "ผมยินดีครับ จะได้เปลี่ยนบรรยากาศบ้าง"


   "ถ้าอย่างนั้น เอาเป็นว่าช่วงนี้ผมฝากดูแลธนาไปก่อนละกันนะ" จอมเดชกล่าวสรุปอีกครั้ง


   "ได้ครับ ฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะครับ คุณธนา"


   "ทางผมก็เช่นกันครับ คุณกันต์"


   "เดี๋ยวผมต้องไปจัดการธุระต่อ คุณ 2 คนก็รู้จักทำความสนิทสนมกันไว้ล่ะ อ้อ ธนา แล้วเรื่องที่จะขอหยุดซ้อมน่ะ ให้คุณกันต์เขาดูตารางให้เลย" จอมเดชทิ้งท้ายก่อนจะออกจากห้องไป


   "เริ่มจากตรงไหนก่อนดี งั้นเริ่มจาก เราไปทานข้าวเที่ยงกันดีมั้ยครับ จะได้คุยรายละเอียดด้วย" ชนกันต์เอ่ยปากชวนก่อน


   "ตกลงครับ"


   ร้านอาหารที่ชนกันต์เลือกมา เป็นร้านอาหารไทยที่ตกแต่งเรียบง่าย ตั้งอยู่ในบรรยากาศรอบๆ ของสวนทำให้รู้สึกผ่อนคลายไม่น้อย


   อาหารทยอยมาเสิร์ฟจนครบ ชายหนุ่ม 2 คนเริ่มรับประทานอาหารทันที


   "เห็นคุณจอมพูดว่า คุณธนาจะขอหยุดซ้อมใช่มั้ยครับ"


   "ครับ เสาร์อาทิตย์นี้ พอจะเป็นไปได้มั้ย" ภูธนาหยิบแก้วน้ำขึ้นมาดื่มหลัง จากอาหารตรงหน้าหมดเรียบร้อยแล้ว


   "เท่าที่ผมดูตารางของคุณในตอนนี้ วันเสาร์ มีถ่ายแบบให้นิตยสารอยู่เล่มนึง"  ชนกันต์เปิดแท็ปเล็ตที่หยิบออกมาจากกระเป๋าเป้เพื่อตรวจเช็คตารางทำงานของภูธนา


   "อ่า อย่างนั้นเหรอครับ"


   "ไม่ต้องกังวลไปหรอก แต่คุณธนาอาจจะต้องเหนื่อยเพิ่มนิดนึงนะครับ เดี๋ยวผมจะโทรขอแจ้งเลื่อนวันถ่ายเข้ามาเร็วหน่อย" ชนกันต์ยิ้มเหมือนรู้อะไรบางอย่าง


   "มีอะไรเหรอครับ"


   "นัดแฟนไว้เหรอครับ บอกผมตรงๆ ได้เลย เรื่องรักษาความลับของคนที่ผมดูแลก็คืองานของผมอย่างหนึ่งเหมือนกัน"


   "ไม่ใช่ครับ พอดีจะพาหลานไปต่างจังหวัดต่างหาก" ภูธนารีบแก้ตัวออกมาทันทีด้วยเกรงว่าชายหนุ่มจะเข้าใจผิด


   "ถ้าพาหลานไปเที่ยว ไม่เห็นจะต้องหน้าแดงแบบนี้เลยนี่ครับ หรือว่าหลานคนนี้จะโตแล้ว"


   "ไม่ใช่ครับ ไม่ใช่ หลานผมเพิ่งจะ 3 ขวบกว่าเองครับ"


   "ไม่ล้อแล้วล่ะครับ ไม่ใช่ก็ไม่ใช่ ผมไม่ได้ว่าอะไร แต่อยากจะเตือนในฐานะคนที่ทำงานร่วมกัน ตอนนี้คุณธนาเริ่มมีชื่อเสียงมากขึ้นแล้ว หากคุณมีแฟน หรือมีคนไปเห็นว่าคุณไปกับใคร อาจจะเป็นข่าวได้ แล้วถ้าเกิดมีข่าว ผมจะได้แก้ไขได้ทันครับ"


   "จริงๆ ก็มีอีกคนไปด้วยครับ เขาเป็นอาของหลาน รวมผมด้วยก็เป็น 3 คน" ภูธนาอ้อมแอ้มบอกเสียงไม่ดังนัก เพราะการที่จะต้องพูดถึงเรื่องส่วนตัวไม่ใช่สิ่งที่ภูธนาถัดแต่อย่างใด


   "ครับ เที่ยวให้สนุกนะครับ" ชนกันต์ไม่พูดอะไรอีก กลับส่งรอยยิ้มที่จริงใจในความรู้สึกของภูธนา


   ภูธนาคิดว่าคงทำงานร่วมกันกับชนกันต์ได้ไม่ยากนัก เพราะดูท่าทางเจ้าตัวเป็นคนที่ดูเหมือนจะเข้าใจอะไรได้ไม่ยากนัก และดูจะเป็นคนที่ค่อนข้างอารมณ์ดีไม่น้อยเลยทีเดียว


   "ขอโทษนะครับ จะว่าอะไรมั้ย ดูไป คุณกันต์ดูยังอายุไม่เยอะเลยนะครับ สำหรับการเป็นผู้จัดการดูแล" ภูธนาเอ่ยถามอย่างเกรงใจ


   "ใครๆ ก็คงคิดว่าผมอายุน้อยแหละครับ เห็นแบบนี้ จริงๆ แล้วผมอายุ 35 เข้าไปแล้วนะครับ ไม่รู้จะเรียกว่าโชคดีหรือโชคร้าย" ผู้จัดการหนุ่มหัวเราะกับคำถามที่เจ้าตัวคงตอบอยู่บ่อยๆ


   "จริงเหรอครับ หน้าเด็กมากเลย ถ้างั้นผมควรเรียกพี่จะดีกว่ามั้ยครับ พอรู้แบบนี้แล้วกระดากที่จะเรียกว่าคุณเลยน่ะครับ"


   "แล้วแต่คุณธนาสะดวกเลยครับ ผมน่ะยังไงก็ได้"


   "ถ้างั้นเรียกผมว่าธนานะครับ พี่กันต์ ฝากเนื้อฝากตัวอีกครั้ง"




   "ทานให้อร่อยนะคะ พี่พัต
               จาก พลอย"




   "พักผ่อนเยอะๆ นะคะ
               จาก เชอร์รี่"




   มือหนาหยิบถุงขนมที่มีโน้ตบอกขึ้นมาอ่านทีละถุงๆ ก่อนที่จะเอาไปไว้ที่มุมโต๊ะ เพื่อให้ไม่เกะกะในเวลาทำงาน


   " ตั้งแต่ร่ายคาถาเงาะถอดรูป เนื้อหอมจริงๆ เลยน้า" มนัธญาหรือญาญ่า หัวหน้าของชายหนุ่มเดินมาทักทายด้วยความหมั่นไส้ในความฮอทของชายหนุ่ม


   "พี่ญาญ่าก็พูดเกินไป"


   "ทำมาพูด พี่ญาญ่าก็พูดเกินไป พี่รู้นะพัต ว่านายก็รู้ตัวเองดีอยู่แล้ว" มนัธญาล้อเลียนเสียงนั้นเพราะรู้ว่าลูกน้องคนนี้แกล้งพูดถ่อมตัว


   "คนจริงต้องไม่พูดสิครับ"


   " นี่ไปตัดผมมาด้วยใช่มั้ย ก็ดีนะ เข้ากับหน้าเลย"


   "พอไม่มีแว่นแล้ว ผมมันก็เลยทิ่มตา รำคาญเลยไปตัดน่ะครับ"


   ทรงผมที่บริพัตรตัดมาใหม่ไม่ได้เป็นทรงพิเศษอะไรมากนัก จากผมที่ค่อนข้างยาวก็ตัดให้สั้นขึ้นเท่านั้น แต่ก็ทำให้ใบหน้าที่โดดเด่นอยู่แล้ว ยิ่งเห็นชัดเพิ่มขึ้นไปอีก


   "พี่ว่าแบบนี้ดีแล้วล่ะ ตั้งแต่นายถอดแว่น เปลี่ยนทรงผม โอ้ยสาวๆ แผนกนั้นแผนกนี้ ตาละห้อยกันเชียว เสน่ห์แรงจริงๆ นะพ่อคุณ"


   "เสียงดังเลยใช่มั้ยพี่ ขอโทษด้วยครับ"


   "ไม่ต้องมาขอทง ขอโทษหรอกย่ะ พี่รู้ว่านายไม่ได้อยากขอโทษจากใจจริง"


   "พี่ญาญ่านี่รู้ทันผม พอๆ กับพี่ดินเลยนะ"


   "พี่รู้จักนายมานานเท่าไหร่แล้ว พัต เรื่องแค่นี้เอง เออจะว่าไปแล้ว พวกที่คอยกลั่นแกล้งนายก็เงียบไปด้วยเหมือนกันนะ" มนัธญาพูดตามความรู้สึก


   "ก็จริงครับ รู้สึกแปลกๆ เหมือนกัน ทำไมงานดูน้อยๆ ลง"


   "ดีแล้วล่ะ อย่างน้อยก็ดูเป็นสัญญาณที่ดีล่ะมั้งนะ"


   "แล้วพี่มีอะไรอีกหรือเปล่าครับ ผมจะได้ทำงาน" บริพัตรถามเพราะเจ้าตัวยังไม่ได้เริ่มทำงานเสียที ชายหนุ่มไม่อยากกลับบ้านช้า เพราะอยากกลับไปเล่นกับหลานตัวน้อยที่บ้าน


   "พี่เป็นหัวหน้าแกนะ กล้าไล่กันได้ยังไง เสียการปกครองหมด"


   "ก็ถ้างานผมไม่เสร็จก็แย่สิ ผมไม่อยากกลับบ้านช้า"


   "ย่ะ พ่อคนขยัน พี่จะไม่ถามหรอกนะว่าทำไมจู่ๆ ถึงเปลี่ยนแปลงตัวเอง แต่พัตคนเดิมนั่นแหละ พี่ว่าดีที่สุดแล้ว" มนัธญาตบบ่าน้องชาย 2-3 ที ก่อนจะเดินกลับไปทำงานของตน



   ช่วงกลางสัปดาห์ ชนกันต์ไม่ได้พูดโกหกเลยที่ว่าตัวเขาเองจะต้องเหนื่อยขึ้นนิดหน่อย แต่แค่เหมือนจะพูดไม่ครบก็เท่านั้นว่าจริงๆ แล้ว โคตรเหนื่อย เลยต่างหากล่ะ


   ชนกันต์เลื่อนนัดถ่ายแบบนิตยสารให้มาถ่ายเร็วขึ้นได้ ตารางงานที่ดูพอเหมาะพอเจาะกำลังดีของภูธนาจึงถูกบีบแน่น เพื่อให้เสร็จก่อนวันเสาร์ตามที่ชายหนุ่มได้ขอลาไว้ล่วงหน้า


   หลังจากวันที่บริพัตรพาน้องภูมาที่ห้องพักของเขาแล้ว ชายหนุ่มก็หายหน้าไป

 
   ที่บอกว่าไปต่างจังหวัดน่ะ ล้อเล่นหรือเปล่า


   ภูธนาครุ่นคิด พลิกตัวกระสับกระส่ายไปมาทั้งคืน


   "ลุงธนาฮะ ลุงธนา น้องภูมาแล้วฮะ ลุงธนา" เสียงอะไรโหวกเหวกแต่เช้ากัน ภูธนารู้สึกตัวตื่น พยายามเงี่ยหูฟังเสียงนั้นอีกครั้ง


   "ลุงธนาฮะ น้องภูมาแล้ว ลุงธนาเปิดประตูสิฮะ ลุงธนา" เสียงทุบประตูไม่ดังนักเมื่อเทียบกับเสียงที่ตะโกนมา


   กว่าประสาทสัมผัสจะทำงานเต็มตัว ภูธนาก็จำเสียงนั้นได้ว่าเป็นของหลานชาย จึงรีบลุกออกไปโดยทันที


   ชายหนุ่มรีบเปิดประตูโดยแรง ร่างเล็กของหลานชายจึงเซล้มลงเพราะเจ้าตัวตั้งท่าจะเคาะประตูอีกครั้ง


   "โอ๋ๆ ไม่เป็นไรนะครับ ลุงขอโทษนะ น้องภู ลุงตื่นสายไปหน่อย" ภูธนารีบก้มไปอุ้มหลานชายขึ้นมาเพื่อปลอบขวัญ


   "ทำไมลุงธนายังไม่แต่งตัวอีกล่ะครับ" อีกเสียงหนึ่งดังขึ้นมาจากหน้าประตู ทำให้ภูธนาเงยหน้าขึ้นมอง


   "อ้าว คุณ"


   "อ้าว คุณ อ้าวอะไรครับ ผมบอกว่าจะมารับแต่เช้า"


   "ก็ไม่รู้ว่าคุณจะมาจริงๆ หรือเปล่า" ภูธนาบอก


   "ผมบอกว่าจะมาก็ต้องมาสิ"


   "จะไปรู้คุณได้ยังไง ว่าคุณพูดจริงหรือเปล่า"


   "ถ้าอย่างนั้น ผมคงต้องแจ้งให้ทราบว่า คนอย่างบริพัตรเนี่ย พูดคำไหนคำนั้นนะครับ ขอคุณลุงธนา โปรดจงเข้าใจ"


   "ผมไปเก็บของก่อน ฝากดูน้องภูให้หน่อยครับ" ภูธนาส่งหลานชายให้กับอาหนุ่มก่อนจะลับหายเข้าไปในห้องนอน


   รถยนต์คันหรูมุ่งหน้าออกต่างจังหวัด ภูธนาถามอีกฝ่ายก็ไม่ยอมบอกว่าไปไหน จนต้องแอบสังเกตไปตลอดทางจึงพบว่าเข้าสู่เมืองกาญจนบุรีแล้ว


   เมื่อผ่านตัวเมืองออกมาก็พบกับธรรมชาติที่สุดลูกหูลูกตา ที่ทำให้ชายหนุ่มรู้สึกผ่อนคลายยิ่งนัก หันไปมองเด็กน้อยที่นั่งอยู่ข้างหลัง ตอนนี้หลับไปเรียบร้อยเสียแล้ว


   รถคันใหญ่เลี้ยวเข้าสู่รีสอร์ทใหญ่แห่งหนึ่ง ภูธนาอ่านป้ายชื่อรีสอร์ทตรงทางเข้า 'เกสต์เฮาส์ลุงชาคร' ก่อนจะหยุดลงทางเข้าของตัวล็อบบี้รีสอร์ท


   "ลงมาเลยคร้าบ คุณลุง" บริพัตรเปิดประตูด้านหลังแล้วค่อยๆ อุ้มเด็กน้อยที่ยังหลับสนิทอยู่


   ภูธนาก้าวลงมาจากรถด้วยความรู้สึกที่สดชื่นด้วยบรรยากาศโดยรอบ เสียงน้ำที่ไหลผ่านอยู่ไม่ไกล ต้นไม้เขียวขจีล้อมรอบ ด้านหลังเต็มไปด้วยภูเขาที่  เรียงรายมากมายหลายลูก   


   ชายหนุ่มสูดหายลมหายใจลึกให้เต็มปอด ก่อนที่จะเดินตามผู้นำในการเดินทางครั้งนี้


   "สวัสดีค่ะ คุณพัต แหม พาใครมาด้วยคะ" ผู้จัดการสาวรีบรุดหน้าออกมาต้อนรับด้วยตนเองเมื่อเห็นว่าแขกที่มาเยือนเป็นใคร


   "คุณศรีครับ นี่คุณธนากับน้องภู หลาน ของผมเอง" บริพัตรแนะนำแขกหน้าใหม่อย่างเรียบง่าย


   "สวัสดีค่ะ คุณธนา ดิฉันเป็นผู้จัดการของที่นี่ ชื่อ ศรีวราค่ะ เรียกดิฉันว่าศรี ได้เลยค่ะ" ผู้จัดการสาวยกมือไหว้ต้อนรับแขกคนสำคัญ


   "สวัสดีครับ คุณศรี" ภูธนายกมือไหว้ตอบกลับไปเช่นกัน


   "เชิญด้านในก่อนค่ะ" ศรีวราผายมือก่อนที่จะเดินนำทางพาแขกเข้าไปในตัวรีสอร์ท


   'มารยาทดี ไม่ถือตัว'


   และการกระทำของชายหนุ่มไม่ว่าจะอิริยาบทไหนๆ ก็ไม่สามารถรอดพ้นสายตาของบริพัตรได้เลย



-----

มาต่อแบบเร่งรีบค่ะ คนแต่งโดนเลื่อนอยู่ต่อที่แดนไกลจนถึงสิ้นเดือนนะคะ
คงจะห่างหายต่อไปอีก อย่าลืมกันนะคะ >< ต้องขออภัยด้วยค่ะ

 :z3: :z3:
หัวข้อ: Re: กว่าจะเข้ากันได้ โดย เขมกันต์ อัพเดท [บทที่ 14] หน้า 3 - 11/03/2559 ค่ะ
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 11-03-2016 21:00:25
 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: กว่าจะเข้ากันได้ โดย เขมกันต์ อัพเดท [บทที่ 14] หน้า 3 - 11/03/2559 ค่ะ
เริ่มหัวข้อโดย: yisren. ที่ 11-03-2016 21:54:13
เย่ มาแล้ว ดีใจ เค้าจะ/ด้ใกล้ชิดกันละ อิอิ
หัวข้อ: Re: กว่าจะเข้ากันได้ โดย เขมกันต์ อัพเดท [บทที่ 14] หน้า 3 - 11/03/2559 ค่ะ
เริ่มหัวข้อโดย: เขมกันต์ ที่ 18-03-2016 22:54:46
บทที่ 15


   "เชิญนั่งก่อนค่ะ เดี๋ยวดิฉันจะให้พนักงานเอาน้ำมาให้"


   "ขอบคุณครับ" ภูธนากล่าวขอบคุณและนั่งลงบนโซฟาในส่วนบริเวณที่รับรองแขก


   "คุณพัตคะ ดิฉันขอรบกวนเวลาสักครู่ค่ะ" บริพัตรจึงฝากหลานชายที่กำลังหลับอยู่ให้นอนหนุนตักภูธนาแทน


   ศรีวราเดินนำเจ้าของรีสอร์ท เพื่อออกมาคุยเป็นการส่วนตัว


   "มีเรื่องอะไรครับ"


   บริเวณที่ศรีวราเลือกนั้นเป็นสระว่ายน้ำค่อนข้างมีขนาดใหญ่ มีม่านน้ำตกตั้งอยู่กลางสระว่ายน้ำทำให้โดดเด่นอยู่ไม่น้อย


   "เรื่องห้องพักน่ะค่ะ พอดีสัปดาห์นี้ลูกค้าจองเข้ามาเต็มเลยค่ะ ดิฉันเลยไม่มีห้องเหลือพอที่จะเตรียมให้คุณธนาได้ทันค่ะ ดิฉันต้องขอโทษด้วยค่ะ คุณพัต" ศรีวราบอกด้วยสีหน้าที่ค่อนข้างลำบากใจไม่น้อย


   "ไม่เป็นไรหรอกครับ ผมต่างหากที่ควรจะขอโทษ เพราะไม่ได้โทรมาบอกล่วงหน้า" ชายหนุ่มกำลังคิดเพื่อหาทางออก


   "ดิฉันคิดว่าน่าจะให้คุณธนาพักที่ห้องคุณพัตนะคะ" ผู้จัดการสาวออกความเห็น


   "หืม ไม่ได้หรอกครับ ห้องเล็กเกินไปที่จะอยู่ด้วยกัน 3 คน ถ้างั้นเดี๋ยวผมไปนอนที่ห้องพักของคนงานในรีสอร์ทแทนก็ได้ครับ"


   "ไม่ใช่อย่างนั้นค่ะ ดิฉันหมายถึง ห้องของคุณมีอีกห้องที่เชื่อมต่อกันอยู่แล้วไม่ใช่เหรอคะ"


   "แต่ห้องนั้นไม่ได้เปิดใช้งานนานแล้วนะครับ"


   "ไม่เป็นไรหรอกค่ะ เดี๋ยวดิฉันจะให้เด็กเข้าไปทำความสะอาดให้เอี่ยมอ่องเลยค่ะ คุณพัตวางใจได้เลยค่ะ"


   "ขอบคุณคุณศรีมากนะครับ ผมก็ลืมไปเลยว่ายังมีห้องที่ติดกันอยู่"


   "ยินดีค่ะ แต่กลัวว่าคุณธนาจะรู้สึกไม่ดีเท่านั้นเองค่ะ คงไม่เป็นไรใช่มั้ยคะ"


   "เรื่องนั้น เดี๋ยวผมจัดการเองครับ ไม่ต้องห่วง คุณธนาเขาไม่ใช่คนเรื่องมากอะไร"


   "ถ้าอย่างนั้น ดิฉันขอตัวไปจัดห้องให้คุณธนาเลยนะคะ"


   "เชิญครับ" แก้ปัญหาได้เรียบร้อย บริพัตรเดินกลับเข้าไปหาคุณลุงและหลานชายที่เวลานี้รู้สึกตัวตื่นแล้ว


   "ว่าไงครับ คนเก่ง หิวมั้ย" บริพัตรถามหลานชายเมื่อเห็นว่าเจ้าตัวมองชายหนุ่มตาแป๋ว


   "หิวครับ"


   "น้องภูอยากทานอะไรครับ"


   "น้องภูอยากกินไส้กรอกอันใหญ่ๆ เลย" เด็กมือยกมือกว้างเพื่อบรรยายขนาดของไส้กรอกที่ตนอยากทาน


   "ได้เลย เดี๋ยวอาจัดให้เลย"


   "ขอบคุณฮะ อาพัตเตอร์"


   "แล้วคุณลุงล่ะครับ หิวหรือเปล่า"



   สายตาที่มองเด็กน้อยเมื่อสักครู่เต็มไปด้วยความอ่อนโยนปนเอ็นดู แต่ดวงตาคู่เดิมหากเปลี่ยนเป้าหมายการมองทำไมทำให้ภูธนารู้สึกเหมือนทำอะไรไม่ถูกไปเสียอย่างนั้น



   "นิดหน่อยครับ"


   "ถ้างั้นทานเหมือนน้องภู รองท้องไปก่อนละกันนะครับ เดี๋ยวมื้อเย็นจะทานอะไรไม่ลงเอา"


   "ขอบคุณครับ"


   "เพื่อลุงธนา ผมยินดีครับ ผมจะไปสั่งอาหารให้นะ คุณพาหลานไปตรงมุมนั้นก่อนนะครับ วันนี้บรรยากาศค่อนข้างเย็นสบาย จะได้สดชื่น"



   ตรงมุมนั้นของบริพัตรคือมุมลานอาหารที่เป็นระเบียงกว้างยื่นยาวออกไปจากตัวอาคาร ทำให้มองเห็นทิวทัศน์โดยรอบได้ชัดเจน พืชพันธุ์ไม้สีเขียว ทำให้รู้สึกสบายตา


   "อาหารมาแล้วครับ" บริพัตรบริการยกอาหารมาเสิร์ฟด้วยตนเอง แต่ด้านหลังของชายหนุ่มก็มีพนักงานอีก 1 คนที่ยกน้ำและนมสดแก้วโตมาด้วย


   "รอนานมั้ยครับ น้องภู" บริพัตรถามเด็กน้อยพลางนั่งลงคั่นกลางระหว่างหลานชายและคุณลุง


   "ไม่นานฮะ" เด็กชายตัวน้อยหันมายิ้มกว้างก่อนจะเริ่มใช้ส้อมจิ้มไส้กรอกที่หั่นเป็นคำรอไว้แล้ว


   "ทานเยอะๆ นะครับ" บริพัตรลูบผมเด็กชายด้วยความเอ็นดู


   "ท่าทางคุณดูคุ้นเคยกับที่นี่นะครับ"  ภูธนาถามออกมาเพราะเห็นว่าใครที่เดินผ่านมาเจอบริพัตรต่างก็หยุดทักทายและให้ความเคารพชายหนุ่มด้วยกันทั้งหมด


   "ผมมาที่นี่บ่อยๆ"


   "คงต้องบ่อยมากสินะครับ ถึงมีคนรู้จักเยอะขนาดนี้" ภูธนาอดจะค่อนขอดไม่ได้ เมื่อคิดว่าทุกสุดสัปดาห์ที่ชายหนุ่มหายไปนั้น น่าจะมาที่สถานที่แห่งนี้แน่นอน


   "ถ้าไม่ติดอะไร ก็มาทุกสัปดาห์แหละครับ"


   "ชอบอะไรที่นี่เหรอครับ"


   "ชอบผู้หญิงที่นี่ครับ" บริพัตรตอบหน้าทะเล้น


   "อ้อ เหรอครับ" คนได้ยินคำตอบถึงกับอยากจะกลับทันที


   "ล้อเล่นครับ คุณนี่ตลกจริงๆ เลย แสดงความรู้สึกทางสีหน้าออกมาซะชัดเลย"


   "ผมเปล่าสักหน่อย" ภูธนาไม่เชื่อว่าตนเองจะแสดงสีหน้าไม่พอใจออกไปชัดเจนขนาดนั้น เพราะปกติแล้วชายหนุ่มควบคุมอารมณ์และสีหน้าของตนเองได้ดีทีเดียว


   "คงเป็นเพราะว่าผมได้รับสิทธิพิเศษนี้สินะครับ"


   "อย่าคิดเอง เออเองได้มั้ยครับ"


   "ลุงธนานี่น่ารักดีนะครับ" อยู่ๆ บริพัตรที่จ้องหน้าภูธนาก็พูดขึ้นมา


   "ครับ?"


   "จริงมั้ยครับ น้องภู ลุงธนาน่ารักมั้ย" บริพัตรหันไปถามเด็กน้อย


   "น่ารักฮะ ลุงธนาน่ารักที่สุดเลย"


   "อาพัตก็คิดแบบนั้นเหมือนกัน"



   คำชมตรงๆ ของบริพัตร ทำให้ภูธนาคิดอะไรแทบไม่ออก ไม่เคยมีใครมาชมว่าเขาน่ารักแบบนี้ เพราะเขาเป็นผู้ชาย การที่มีใครมาชมแบบนี้ มันไม่รู้สึกแปลกๆ ไปหน่อยเหรอ


   "ชักไปกันใหญ่แล้ว" ภูธนาหวังให้เปลี่ยนเรื่องการสนทนานี้ไปซะ


   "ไม่ล้อแล้วครับ แต่ที่บอกว่าคุณน่ารักน่ะ ผมพูดจริงนะ"


   แน่ะ ยังวกเข้าเรื่องเดิมอยู่อีก


   "เอ่อ.."


   "คุณธนาชอบที่นี้มั้ย" ในที่สุดบริพัตรก็ยอมเปลี่ยนหัวข้อการคุย


   "ผมยังเห็นไม่ทั้งหมด แต่เท่าที่เห็น ผมชอบมากเลยครับ"


   "ดีใจที่คุณชอบ"


   "คุณพัตรู้จักเจ้าของรีสอร์ทที่นี่มั้ย"


   "รู้จักครับ ทำไมเหรอ"


   "ถ้าเขามา คุณเรียกผมหน่อยนะ" ภูธนาบอก


   "ถ้าเขามาเหรอ คุณธนาจะทำอะไร"


   "ไม่บอกหรอกครับ ต้องบอกกับเจ้าของเอง"


   "บอกให้ผมฟังก็ไม่ได้เหรอ ถ้าเจ้าของไม่มาล่ะ"


   "ถ้าไม่มา ก็อดครับ ไว้เจอเมื่อไหร่ ตอนนั้นก็รู้เองล่ะครับ"


   "ทำเป็นมีลับลมคมใน" บริพัตรอยากรู้แต่เขาก็ยังไม่อยากบอกว่าใครกันที่เป็นเจ้าของรีสอร์ทที่แห่งนี้


   "ไม่ใช่ความลับอะไรหรอกครับ แค่คิดว่าเรื่องพวกนี้ควรจะบอกกับคนที่สร้างมันมาให้ได้ฟังก่อนยังไงล่ะครับ"


   "อ้อ เกือบลืม เรื่องห้องพักน่ะครับ คุณศรีบอกว่าสัปดาห์นี้ห้องจองเต็มหมดแล้ว คุณศรีก็เลยจัดห้องติดกันไว้ให้คุณกับผม คงไม่ว่าอะไรนะครับ"


   "แค่ห้องติดกัน ไม่เห็นเป็นเรื่องใหญ่อะไรเลยครับ ผมยังไงก็ได้อยู่แล้ว" บริพัตรมองคนที่บอกว่า 'ผมยังไงก็ได้อยู่แล้ว' แล้วก็อมยิ้มน้อยๆ ที่เจ้าตัวยังไม่รู้เรื่องราวอะไรเสียเลย


   "ยิ้มอะไรครับ"


   "เปล่าครับ เดี๋ยวผมจะรอดูว่าถ้าเห็นห้องแล้วจะยังไงก็ได้อยู่อีกหรือเปล่า"


   "คุณพัต มีอะไรก็บอกมาเลยครับ" ภูธนาเสียงเข้มขึ้นเพราะรู้สึกเหตุการณ์ชักไม่น่าไว้วางใจ


   "ไม่มีอะไรนอกจากที่บอกไปทีแรกเลยครับ ถ้าทานอิ่มแล้ว เราลงไปเดินเล่นกันมั้ย" บริพัตรรีบเบนความสนใจก่อนที่คนข้างๆ จะพาลเอาได้


   "ก็ได้ครับ จะได้เดินดูรอบๆ ด้วย" ภูธนาจัดการดูแลหลานชายหลังมื้ออาหารนี้ให้เรียบร้อย และอุ้มพาลงไปด้านล่าง


   "น้องภู วิ่งดีๆ นะครับ ระวังจะหกล้ม" เสียงภูธนาตะโกนบอกหลานชายตัวน้อย เมื่อลงมาถึงสนามรอบรีสอร์ท ภูบดินทร์ก็พยายามที่จะลงจากอ้อมแขนของชายหนุ่ม เพื่อไปวิ่งเล่นให้เต็มที่


   "ลุงธนา จะห่วงหลานไปหรือเปล่า"


   "นี่คุณ จะไม่ห่วงได้ยังไง ถ้าหกล้มลงไปล่ะ"


   "ถ้าแกไม่ระวังจนหกล้ม ก็ต้องปล่อยให้รู้จักความเจ็บเสียบ้าง คุณจะคอยปกป้องแกตลอดเวลาไม่ได้"


   "คุณพัต" ภูธนาเสียงแข็ง เริ่มรู้สึกโมโหขึ้นมานิดหน่อย เมื่อถูกติเตียนเรื่องการดูแลหลานชาย


   "เชื่อผมเถอะ ถ้าเรามัวแต่กางปีกโอบอุ้มเด็กน้อยไปเรื่อยๆ แกจะพึ่งพาตนเองไม่ได้"



   2 หนุ่ม คุณลุงและคุณอา เดินไปด้วยกันเรื่อยๆ โดยไม่มีบทสนทนาใดๆ สายตาของภูธนาคอยแต่จะเป็นกังวลด้วยเกรงว่าภูบดินทร์ หลานชายจะได้รับอุบัติเหตุหรืออันตรายใดๆ แต่ก็ไม่สามารถจะแสดงออกนอกหน้าได้



   "เริ่มเย็นแล้ว เดี๋ยวเราเข้าที่พักกันเถอะ ป่านนี้คุณศรีคงจัดการห้องของคุณเรียบร้อยแล้วล่ะ" บริพัตรบอกเมื่อเห็นว่าน่าจะได้เวลาสมควรแล้ว


   "คุณพัตคะ อยู่นี่เอง ดิฉันเตรียมห้องเรียบร้อยแล้วค่ะ เชิญคุณพัตและคุณธนาไปที่ห้องพักได้เลยค่ะ"


   "ขอบคุณครับคุณศรี" บริพัตรกล่าวขอบคุณผู้จัดการสาวที่ปฏิบัติหน้าที่ได้เป็นอย่างดี


   "กระเป๋าคุณพัตกับคุณธนาล่ะคะ ดิฉันจะได้ให้เด็กยกไปให้"


   "ไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวผมยกไปกันเอง" บริพัตรบอก


   "ถ้างั้น ตามดิฉันมาทางนี้ได้เลยค่ะ"


   "คุณพาหลานไปที่ห้องก่อน เดี๋ยวผมจะไปยกกระเป๋าให้" บริพัตรบอกเสร็จก็เดินออกไปทางรถยนต์ที่จอดอยู่


   "ขอบคุณครับ" ภูธนาบอกตามหลังคนที่เดินออกไป ส่วนชายหนุ่มก็พาหลานชายเดินตามผู้จัดการศรีวราไปบ้างเหมือนกัน


   "ห้องนี้ล่ะค่ะ" หญิงสาวไขกุญแจห้องพักก่อนจะเดินนำเข้าไป


   "ห้องนี้เหรอครับ" ภูธนากวาดตามองรอบๆ ห้อง ลักษณะของห้องเหมือนมีคนมาอาศัยอยู่เป็นประจำ ข้าวของหลายอย่างดูไม่เหมือนห้องพักตามโรงแรมหรือรีสอร์ททั่วไป


   "ไม่ใช่ค่ะ ห้องนี้ต่างหากค่ะ เพียงแต่ประตูหน้าห้องที่คุณธนาจะพักนั้นปิดตายน่ะค่ะ เลยจะต้องเข้าจากห้องนี้แทน"


   ศรีวราเดินไปยังประตูที่ปิดอยู่ภายในห้องก่อนจะเปิดประตูเพื่อพาลุงกับหลานเข้าไปพัก


   "ห้องนี้แหละค่ะ ห้องอาจจะมีกลิ่นอับนิดหน่อย ต้องขอโทษด้วยนะคะ ห้องพักของเราเต็มจริงๆ" ผู้จัดการขอลุแก่โทษเพราะเจ้าตัวรู้สึกถึงความบกพร่องในการบริการ


   "ไม่เป็นไรครับ แล้วคุณพัตล่ะ" ภูธนาถามถึงห้องพักของอีกฝ่าย หากผู้จัดการสาวยืนยันว่าห้องพักเต็มแล้วชายหนุ่มอีกคนล่ะจะไปนอนที่ไหน เพราะเตียงที่จัดมานั้นแค่เพียงพอให้ตัวเขากับหลานนอนเพียงเท่านั้น


   "ก็ห้องที่คุณธนาเดินผ่านเข้ามาไงคะ ห้องนั้นเป็นห้องพักประจำของคุณพัตค่ะ"


   "ห้องพักประจำเหรอครับ" ภูธนาเอ่ยทวนคำตอบ


   "ใช่ค่ะ ปกติคุณพัตจะพักที่ห้องติดกันนี่แหละค่ะ ส่วนห้องนี้ไม่ได้เปิดใช้งานมานานแล้วค่ะ"


   "คุณพัตจองห้องที่นี่ไว้ตลอดเลยครับ" ภูธนาเริ่มคิดอย่างงงๆ เพราะชายหนุ่มไม่รู้ราคาที่พักแต่ถ้าจองประจำนั่นหมายถึงจองทิ้งไว้ระยะยาวเลยใช่หรือไม่


   บริพัตรคงชื่นชอบที่นี่มากจริงๆ ถึงเช่าทิ้งไว้ระยะยาวแบบนี้


   "ไม่ใช่จองหรอกค่ะ ห้องนี้เป็นของคุณพัตค่ะ ถ้าคุณพัตมาที่นี่ก็จะพักที่ห้องนี้แหละค่ะ"


   "ผมไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่ คือคุณพัตซื้อห้องนี้ไว้หรือยังไงครับ" สีหน้างงงวยของภูธนาทำเอาผู้จัดการสาวหลุดขำ


   "คุณธนาล้อดิฉันเล่นหรือเปล่าคะ คุณพัตจะซื้อห้องไว้ได้ยังไงกันล่ะคะ ในเมื่อคุณพัตเป็นเจ้าของที่นี่เอง"


   "ครับ?"


   "กระเป๋ามาแล้ว ลุงธนา รับไปสิครับ" ภูธนารับกระเป๋ามาอย่างงงๆ พูดถึงเจ้าตัว เจ้าตัวก็มาพอดี


   "ดิฉันไม่รบกวนแล้วนะคะ ถ้าคุณธนาสงสัยก็ถามเจ้าของเขาเองได้เลยค่ะ พักผ่อนให้สบายนะคะ ขาดเหลืออะไรเรียกดิฉันได้เลยนะคะ" หญิงสาวเอ่ยขอตัวลา แล้วปิดประตูด้านนอกให้เรียบร้อย


   "หมายความว่าไงกันครับ คุณเป็นเจ้าของที่นี่เหรอ"


   "อา ความแตกจนได้ คุณศรีนะคุณศรี" ใบหน้าของบริพัตรเหมือนเด็กน้อยที่ทำความผิดแล้วถูกผู้ใหญ่จับได้


   "คุณพัต" ภูธนาไม่รู้ว่าวันนี้ตนเองใช้เสียงแบบนี้กี่ครั้งแล้ว แต่คนๆ นี้ช่างก่อกวนให้เขาควบคุมอารมณ์ไม่ได้แทบจะทุกครั้งไป


   "ก็ประมาณนั้นล่ะมั้งครับ" บริพัตรยังเฉไฉไม่ตอบให้ตรงคำถาม


   "คุณพัต" น้ำเสียงภูธนาเริ่มบ่งบอกให้รู้ว่าเจ้าตัวไม่สบอารมณ์ด้วยแล้ว


   "ใช่ๆ ผมเป็นเจ้าของที่นี่เองแหละ"


   "แล้วทำไมคุณไม่บอกผมตรงๆ"


   "ก็ไม่รู้จะบอกไปทำไม ไม่เห็นมีอะไรน่าบอก เนาะน้องภู" บริพัตรหาผู้ช่วยโดยการหันไปคุยกับหลานชายที่ขึ้นไปนั่งบนเตียงพร้อมรถแข่งของเล่นในมือ


   น้องภูพยักหน้า โดยไม่ได้สนใจว่าคุณอานั้นชวนคุยเรื่องอะไร


   "แต่ตอนบ่ายผมถามคุณว่ารู้จักเจ้าของที่นี่มั้ย"


   "ใช่ ผมก็บอกว่าผมรู้จัก"


   "แต่ผมบอกให้คุณเรียกผมด้วยถ้าเจอเขาไง" ภูธนาเสียงอ่อนลงมานิดหน่อย แต่ยังไม่หายจากความรู้สึกไม่พอใจที่ตนเองเหมือนโดนหลอก


   "ผมก็ถามคุณว่าถ้าเจอเขาแล้วคุณจะทำอะไร แต่คุณไม่บอกเองนี่นา"   

        "ก็คุณไม่ใช่เจ้าของนี่นา"


   "แต่ตอนนี้ผมเป็นแล้วนี่ไง ลุงธนาจะบอกอะไรหรือฮะ" บริพัตรล้อเลียนเสียงหลานชายมาใช้กับคุณลุง


   "ไม่บง ไม่บอกมันแล้ว นี่อย่าเล่นเป็นเด็กได้มั้ย เด็กทำน่ะดูน่ารัก แต่คนอายุแบบคุณทำมันไม่น่ารักหรอกนะ" ภูธนาระอาในท่าทีเหมือนเด็กไม่รู้จักโตของบริพัตร


   "ลุงธนาหลงหลาน รักหลานใจจะขาด ผมก็อยากให้คุณธนาหลงผม รักผมใจจะขาดบ้าง" ภูธนาเกือบจะหลงเชื่อแล้วเชียว ถ้าไม่เห็นนัยน์ตาที่เต้นระริกแฝงความทะเล้นนั้นเอาไว้


   "คุณนี่มันร้ายกาจจริงๆ นะคุณพัต"


   "ผมไม่ร้ายกาจกับใครเลย ลุงธนา แต่ผมอยากให้คุณรักผมจริงๆ"


   ภูธนาไม่รู้ว่าจะพูดกลับไปว่าอย่างไรดี บริพัตรเดินเกมส์เร็วจนเขาตั้งรับแทบไม่ทันแต่ก็มีคนมาช่วยทันเวลาพอดี "น้องภูก็อยากให้ลุงธนารักน้องภูจริงๆ ฮะ"


   เสียงแจ๋วๆ นั้นดังขึ้นในช่วงเวลาที่ภูธนาหาทางออกไม่ได้พอดี ทำให้ชายหนุ่มยิ่งรักหลานชายมากขึ้นไปอีก

 
   "ลุงธนารักน้องภูจริงๆ อยู่แล้วครับ" ภูธนาเดินเข้าไปหาหลานชายพร้อมก้มลงหอมแก้มหลานชายคนโปรด


   "ตัวเริ่มเหม็นแล้วนะเนี่ย เล่นอีกสักพักแล้วไปอาบน้ำนะ น้องภู"


   "ฮะ ขอเล่นอีกนิด" เด็กชายไม่ได้อิดออดอะไร แค่ขอทดเวลาเพิ่มเท่านั้นเอง


   "คุณเองก็เหมือนกัน คุณพัต ออกไปได้แล้ว ผมอยากพัก"


   "ไล่กันตรงๆ เลยเหรอเนี่ย ทำไมลุงธนาต้องใจร้ายกับอาพัตด้วย" เสียงออดอ้อน แต่ไม่น่าเห็นใจ แต่กลับกวนอารมณ์เสียมากกว่าทำให้ ภูธนาต้องปรายตาขึ้นมองการกระทำของคนตรงหน้า


   "ผมเหนื่อย อยากพักจริงๆ สัปดาห์ที่ผ่านมาผมต้องเคลียร์งานเยอะแค่ไหนถึงจะได้มากับคุณแบบนี้" ภูธนาตัดสินใจพูดตามความจริง


   "งั้นผมไม่กวนแล้ว อีกสัก 2 ชั่วโมงไปเจอกันที่โต๊ะอาหารนะครับ" บริพัตรไม่ได้ตื้อหรือเซ้าซี้อะไรอีก


   ชายหนุ่มทำแค่เพียงเดินเข้าไปหาภูธนา ไล้นิ้วมือที่แก้มขาวนั้นเบามือแล้วออกจากห้องไปโดยไม่ลืมจะปิดประตูให้ด้วย


   ตอนนี้ภูธนาเริ่มเป็นที่รู้จักมากขึ้นแล้ว มีงานเข้ามาไม่น้อยเลยทีเดียว สิ่งที่ชายหนุ่มพูดคงมาจากความรู้สึก คงเหนื่อยมากจริงๆ



   บริพัตรออกจากห้องพักของตนเองออกไปจัดการเรื่องอาหารมื้อค่ำเพราะไม่อยากให้ลุงกับหลานชายนั้นต้องรอนาน หากคนทั้ง 2 รู้สึกหิวขึ้นมากระทันหัน



   ภูธนาพาหลานชายไปอาบน้ำแต่งตัวเสียใหม่ ให้สบายตัว เพราะ ช่วงเย็นเด็กชายวิ่งเล่นเต็มที่ทำให้ร่างกายเต็มไปด้วยเหงื่อ


   ภูธนาพาหลานอาบน้ำและพากันเล่นน้ำกันเสียงดังจนไม่ได้ยินเสียง โทรศัพท์ที่มี สายโทรเข้ามา สายปลายทางนั้นรอจนสัญญาณดับไปแต่เจ้าของเครื่องก็ไม่ได้รับ




   
1 missed call


   
   
'ภูสิตา'





-------------------------------------

Talk :

สวัสดีค่าา >< มาต่อดึกเลย ที่นี่เข้าวันใหม่มาแล้วล่ะค่ะ

และแล้วในที่สุด ทั้งคุณลุง คุณอา คุณหลาน ก็ได้มาพักผ่อนแล้วววว คนแต่งอยากพักผ่อนบ้าง ฮ่าๆ

ขอบคุณทุกท่านที่ยังติดตามอ่านนะคะ

ขอบคุณ คุณyisren. และ iceman555 มาเมนท์ตลอดเลย ขอบคุณค่า

หัวข้อ: Re: กว่าจะเข้ากันได้ โดย เขมกันต์ อัพเดท [บทที่ 15] หน้า 3 - 18/03/2559 ค่ะ
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 18-03-2016 23:11:31
นังสิตาโทรมาเพื่อ เงินหมดแล้วละสิ  :z6: :z6: :z6:
หัวข้อ: Re: กว่าจะเข้ากันได้ โดย เขมกันต์ อัพเดท [บทที่ 15] หน้า 3 - 18/03/2559 ค่ะ
เริ่มหัวข้อโดย: เขมกันต์ ที่ 18-03-2016 23:16:21
นังสิตาโทรมาเพื่อ เงินหมดแล้วละสิ  :z6: :z6: :z6:

มารอลุ้นกันนะคะ ว่าสิตาโทรมาทำไม ^^ :hao6:
หัวข้อ: Re: กว่าจะเข้ากันได้ โดย เขมกันต์ อัพเดท [บทที่ 15] หน้า 3 - 18/03/2559 ค่ะ
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 19-03-2016 07:17:51
 :pig4:  :pig4:
หัวข้อ: Re: กว่าจะเข้ากันได้ โดย เขมกันต์ อัพเดท [บทที่ 15] หน้า 3 - 18/03/2559 ค่ะ
เริ่มหัวข้อโดย: mukmaoY ที่ 20-03-2016 15:54:20
 :hao7:
หัวข้อ: Re: กว่าจะเข้ากันได้ โดย เขมกันต์ อัพเดท [บทที่ 15] หน้า 3 - 18/03/2559 ค่ะ
เริ่มหัวข้อโดย: monoii ที่ 21-03-2016 13:40:42
อ๊ากกกก

ไม่ได้เข้ามาอ่านตั้งนาน

ตกลงเป็น ลุง กะ อา ใช่ม่ะ

ลุ้นๆๆๆ  เหมือนน้องสาว จะมาสร้างปัญหาให้ต่อล่ะ

หัวข้อ: Re: กว่าจะเข้ากันได้ โดย เขมกันต์ อัพเดท [บทที่ 15] หน้า 3 - 18/03/2559 ค่ะ
เริ่มหัวข้อโดย: เขมกันต์ ที่ 26-03-2016 21:35:22

บทที่ 16


   ภูธนาห่อหลานชายให้ร่างกายอุ่นด้วยผ้าขนหนูสีขาว อุ้มออกมาจากห้องน้ำ ชายหนุ่มเหลือบไปเห็นแสงไฟที่โทรศัพท์ก่อนจะดับแสงลง แต่ภูธนาก็ไม่ได้สนใจอะไรนัก


   เสียงจากโทรศัพท์ที่ดังขึ้น เขาได้ยินตั้งแต่อยู่ในห้องน้ำแล้ว  เพียงแต่ชายหนุ่มไม่รู้สึกถึงความจำเป็นที่ต้องออกมารับโทรศัพท์ในเวลานั้น เสียงเรียกเข้าเฉพาะที่ไม่เหมือนเบอร์อื่น มีหรือชายหนุ่มจะจำไม่ได้ว่าใครโทรมา


   ภูธนารับรู้ทันทีว่าเป็นน้องสาวของตนโทรมา แต่ภูธนายังไม่อยากรับใน ช่วงเวลาที่ได้ผ่อนคลายแบบนี้ ลางสังหรณ์มันบอกว่าจะต้องมีเรื่องอะไรบางอย่างที่ไม่ดีแน่นอน ขอตั้งหลักอีกสักหน่อยแล้วจะโทรกลับไปนะ ภูสิตา


   มื้ออาหารค่ำไม่ได้มีอาหารอะไรโดดเด่นป็นพิเศษนัก เหมือนกับบริการจากรีสอร์ทหรือโรงแรมทั่วไป แต่ภูธนากลับรู้สึกว่ามื้อนี้รสชาติอาหารค่อนข้างอร่อยเป็นพิเศษอาจจะเพราะค่อนข้างหิว แต่ชายหนุ่มกลับทานอาหารสวนทางกลับกระเพาะ เพราะต้องดูแลหลานชายตลอดเวลา


   ภูบดินทร์หลานชายตื่นตากับอาหารที่เมนูแปลกๆ ไม่เหมือนกับที่บ้าน เด็กชายถามเจื้อยแจ้วตลอดมื้ออาหารว่าจานนั้นคืออะไร ทานได้มั้ย เผ็ดมั้ย ภูธนาคอยตักอาหารให้หลาน และคอยดูแลตลอดเวลาทำให้ไม่ค่อยได้ทานอาหารในส่วนของตนนัก



   ผ่านไปไม่นานเสียงเล็กๆ ที่ผูกขาดการสนทนาเริ่มเงียบลงเรื่อยๆ ภูธนาอมยิ้มในความน่ารักของหลานชาย เด็กชายแทบจะหลับคาจานอาหารแล้ว วันนี้วิ่งเล่นเต็มที่ ไม่แปลกที่จะง่วงนอนไวขนาดนี้



   ภูธนาขอตัวแล้วอุ้มหลานชายเข้าไปนอนพักในห้อง จัดแจงวางหลานลงนอนดูว่าท่านอนไม่อึดอัดแล้ว จึงหยิบผ้าเช็ดตัวเข้าไปอาบน้ำบ้าง



   ชำระล้างร่ายกายจนสบายตัว ชายหนุ่มได้ยินเสียงเคาะประตูจากห้องข้างๆ ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าเป็นใคร ภูธนาลุกขึ้นไปเปิดประตูโดยไม่มีทีท่ารีบร้อน


   คนเคาะประตูยิ้มกว้างให้กับคนในห้อง มือใหญ่ยื่นจานใส่แซนด์วิชมาให้ภูธนา แต่ชายหนุ่มไม่รับ หากยังเลิกคิ้วใส่เชิงคำถาม


   "ผมเอามาให้ ตอนเย็นเห็นคุณทานไปนิดเดียว" 


   "ขอบคุณครับ แต่ผมไม่หิว" ภูธนาปฏิเสธด้วยน้ำเสียงสุภาพ


   "ไม่เอาน่า ยังโกรธอยู่เหรอ"


   "ไม่ได้โกรธครับ"


   "ปากแข็งจริงๆ"


   "ผมเปล่า" ภูธนาเสียงดังขึ้นจากเดิม ถ้าต้องลับฝีปากกันทีไร ทำไมต้องเป็นชายหนุ่มที่มักจะควบคุมอารมณ์ไม่ค่อยได้นะ


   "ออกมานอกห้องก่อน เดี๋ยวน้องภูจะตื่น" บริพัตรบอกเสียงเบา


   "ไม่ดีกว่าครับ ผมจะนอนแล้ว"


   "ถ้าไม่ได้โกรธ ก็อย่าปฏิเสธสิครับ" ภูธนาเลยจำใจต้องออกมาจากห้อง แต่แง้มประตูไว้นิดหน่อย หากหลานชายตื่นจะได้ยินเสียง



   บริพัตรเดินเอาจานแซนด์วิชไปวางที่โต๊ะเล็กข้างเตียง และขึ้นไปนั่งบนเตียงที่คุ้นเคยเป็นอย่างดี ภูธนาที่ไม่รู้ว่าจะต้องทำตัวอย่างไรกับห้องนี้ ยังยืนเก้ๆ กังๆ อยู่



   เจ้าของรีสอร์ทเกือบหลุดขำที่เห็นปฏิกิริยาของคนตรงหน้า เขาไม่รู้ว่าจะบรรยายว่าอย่างไรดี คนที่ดูมั่นใจแทบจะตลอดเวลา บัดนี้เหมือนทำตัวไม่ค่อยถูก


   มือใหญ่ขาว คว้าข้อมือคนที่ยังยืนอยู่ลงมานั่งที่เตียงด้วยกัน


   "นี่คุณ" ภูธนาเรียกด้วยความตกใจกับการกระทำนั้น


   "ยืนนานเมื่อยนะคุณ" พูดพลางหยิบจานแซนด์วิชนั้นให้อีกครั้ง



   ภูธนาหยิบขึ้นมา 1 ชิ้นอย่างเสียไม่ได้ ชายหนุ่มกัดลงขนมปังนุ่มหวังจะให้รีบทานให้หมดๆ ไป คนข้างๆ จะได้เลิกยุ่งกับตนเสียที แต่ดูเหมือนเขาจะคิดผิด



   "ผมทานแล้ว งั้นขอตัวกลับห้องก่อนนะครับ" ภูธนาเอ่ยลา


   "เดี๋ยวก่อนสิ ลุงธนาง่วงแล้วเหรอ"


   "สัปดาห์ที่ผ่านมา มีงานเยอะ ผมเลยไม่ค่อยได้พัก"


   "งั้นก็นอนที่นี่มั้ย" ดวงตาคมจ้องมองอีกฝ่ายด้วยสายตาแน่นิ่ง


   ภูธนาเป็นฝ่ายหลบตาลงก่อน ไม่ว่าจะกี่ครั้งตนเองก็จะไม่สามารถจ้องตาสู้คนข้างๆ ได้แน่ แพ้ตั้งแต่ยังไม่เริ่ม


   มือขาวเชยคางคนผอมบางกว่าให้เงยหน้าขึ้นมาสบตากันอีกครั้ง แต่ทว่าภูธนาเลือกที่จะหลับตาลง


   "ลืมตา มองผมหน่อยสิ ธนา" น้ำเสียงทุ้มชวนคล้อยให้ทำตาม แต่ภูธนาก็ยังไม่ยอมลืมตา


   "ผมว่าผมกลับห้องก่อนดีกว่า เดี๋ยวน้องภูตื่นขึ้นมาแล้วไม่เห็นใครจะตกใจเอา" ภูธนาหันหน้าไปอีกทางพร้อมจะยันกายลุกขึ้นยืน แต่ก็ถูกมือแข็งแรงจับให้นั่งลงอย่างเดิม


   "มองผมหน่อย คุณไม่กล้ามองผมเหรอ คุณกลัวอะไร กลัวผมงั้นเหรอ"


   "ไม่ได้กลัวสักหน่อย" ใบหน้าขาวยังไม่ยอมหันมาตรงๆ


   "ถ้าไม่ได้กลัว ก็ต้องกล้ามองหน้าผมสิ" การถูกปรามาสไม่ใช่สิ่งที่ภูธนาชื่นชอบ ชายหนุ่มจึงหันหน้ามาสบตาอีกครั้ง



   รู้ทั้งรู้ หากฝืนสบตาของอีกฝ่าย ไม่แคล้วคงจะต้องพ่ายแพ้ให้กับคนตรงหน้าและแพ้ให้กับใจตัวเองแน่นอน ความคิดที่จะอยากเอาชนะนั้นรวดเร็วเสียจนทำให้สมองคิดไตร่ตรองได้ไม่ถี่ถ้วนดี



   ภูธนาพลาดเสียแล้ว



   เหมือนตกอยู่ในมนต์สะกด ไม่อาจละสายตาจากคนตรงหน้าได้อีกต่อไป ความรู้สึกที่เกิดขึ้นในหัวใจมันมีมาตั้งแต่วันแรกที่เจอกัน วันที่ต้องบอกลาจากบ้านหลังนั้นมาหัวใจแทบจะขาด อยากจะอ้างว่าเป็นเพราะหลานคนเดียว แต่ลึกๆ ในใจแล้ว ชายหนุ่มก็รู้ดีว่าเหตุผลสำคัญที่ไม่น้อยไปกว่าตัวเล็กเลยก็คือ บริพัตร



   ทั้งที่ไม่อยากจะยอมรับว่ารักไปเพราะอะไร ตลอดเวลาแทบจะไม่ได้เจอหน้ากันเลย แล้วจู่ๆ บริพัตรก็เริ่มเข้ามาอย่างรวดเร็ว เขาแน่ใจได้ใช่มั้ยว่าสิ่งที่บริพัตรแสดงออกมามันคือความรู้สึกของความรัก หรือ จริงๆ แล้ว ชายหนุ่มแค่ล้อเล่น


   ถ้ารักนี้จะทำให้ตัวเองเจ็บ ก็ยินดียอมรับผลของมันใช่มั้ย



   คำถามที่ไม่ต้องการคำตอบ เพราะไม่ว่าคำถามจะเป็นเช่นไร คำตอบก็มีเพียงแค่คำตอบเดียว เลือกแล้วก็ต้องยอมรับสิ่งที่ตามมาให้ได้ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นก็ตาม


   "นอนที่นี่นะ" เจ้าของดวงตาที่ทำให้ตกอยู่ในมนต์สะกดเอ่ยเสียงเบา


   ภูธนาถูกร่ายมนตร์ พยักหน้าช้าๆ เป็นคำตอบ


   มือใหญ่ดึงร่างเล็กกว่าเข้ามากอดแนบอก ประคองกอดราวกับว่าลุงที่รักของหลานชายจะหายไปในอากาศ ปากอิ่มสีสดกดแน่นลงมาที่ขมับคนในอ้อมกอด ก่อนจะลากผ่านมายังแก้มขาวนวลเจือไปด้วยกลิ่นแป้งเด็กจางๆ


   "รู้สึกเหมือนกำลังจะพรากผู้เยาว์เลยแฮะ" เสียงทุ้มเอ่ยขึ้นในความเงียบ


   "ผมอายุ 27 ไม่ใช่เด็กแล้ว" ภูธนาแย้งเสียงอู้อี้ทั้งที่ยังอยู่ในอ้อมกอดคนสูงวัยกว่า


   "รู้แล้วคร้าบ ว่าไม่ใช่เด็ก แต่กลิ่นหอมๆ ที่แก้มนี่เหมือนกับกลิ่นน้องภูเลย" บริพัตรก้มลงหอมแก้มเพื่อพิสูจน์อีกครั้ง


   "ไม่ชอบเหรอ" ภูธนาเอ่ยเสียงแผ่ว


   "ไม่ชอบ" ตอบว่าไม่ชอบ แต่การกระทำสวนทาง บริพัตรจูบแก้มซ้าย แก้มขวาไปมา จนทำให้เจ้าของนั้นต้องเอ่ยห้าม


   "และอีกอย่าง ถ้าเด็กก็คงทำแบบนี้ไม่ได้"


   ภูธนาสงสัยได้เพียงไม่นาน เพราะอีกฝ่ายก้มลงมาที่ปากนุ่มของตนโดยไม่ทันได้ตั้งตัว ชายหนุ่มตกใจเพียงครู่ก่อนจะหลับตาลงแล้วปล่อยให้เป็นไปตามที่ใจรู้สึก



   ภูธนาแทบจะไม่มีประสบการณ์ด้านนี้มากนัก ช่วงแรกชายหนุ่มไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไร ลิ้นที่เคยอยู่ในปากดีๆ บัดนี้ดูจะเกะกะไปหมด ไม่รู้จะต้องจัดการอย่างไรกับมันดี



   "กลัวหรือ" บริพัตรถอนปากออกไปด้วยความเสียดาย แต่เพราะกลัวคนตรงหน้าจะขาดอากาศหายใจเสียก่อน ซ้ำร่างกายในอ้อมกอดยังดูตัวสั่นเทา



   บริพัตรขยับถอยหลังพิงเตียง และดึงอีกฝ่ายให้ขึ้นมานั่งคร่อมบนตัวเอง ยื้อยุดกันอยู่พักใหญ่ เพราะลุงของหลานออกจะเขินอายด้วยความไม่เคยมาก่อน แต่ก็โดนสายตาเว้าวอนจนยอมทำตามใจคนตรงหน้า



   บริพัตรกอดร่างบนตัวแนบอกไว้อีกครั้งให้คลายความเขินอายเสียหน่อย หากรุกหน้าเดินเกมส์เร็ว ภูธนาคงจะถอยหนีเป็นแน่



   ชายหนุ่มเริ่มต้นการจูบเสียใหม่ แต่คราวนี้ภูธนาเริ่มจะจัดการสถานการณ์นี้ได้ดีขึ้นแล้ว ลิ้นหนาของคนข้างล่างสำรวจกวาดไปทั่วโพลงปากแดง ลิ้มรสความหวานไม่รู้จักเบื่อ



   "อือ อืมม" เสียงตอบรับในคอด้วยความพึงพอใจ ทำให้บริพัตรยิ้มอยู่กับตัวเองที่ทำให้อีกฝ่ายรู้สึกดีกับตน



   มือหนาเริ่มลูบไล้แขนขาวเบามือก่อนจะย้ายมาที่กระดุมด้านหน้าแล้วเริ่มปลดมันโดยที่ภูธนานั้นไม่รู้สึกตัวเลย จนกระทั่งความเย็นเข้ามาปะทะที่หน้าอก ชายหนุ่มจึงรู้สึกแล้วว่าสาบเสื้อได้หลุดออกจากกันไปแล้ว



   หน้าอกขาวเนียนละเอียด ถูกลูบไล้ไปทั่ว ภูธนารู้สึกร้อนรุ่มทั่วร่างกายจนแทบจะทนไม่ไหว ร่างเล็กเริ่มบิดกายด้วยความรู้สึกปั่นป่วนในช่องท้อง บริพัตรเลื่อนริมฝีปากมาที่ต้นคอขาว



   "อืมม" ภูธนายิ่งรู้สึกมากกว่าเดิมเมื่อริมฝีปากอุ่นคลอเคลียบริเวณต้นคอ


   "ตรงนี้ใช่มั้ย" บริพัตรถามเสียงเริ่มพร่า แต่อีกฝ่ายไม่มีเสียงตอบนอกจากพยักหน้ากลับมา แค่นั้นก็ทำให้ชายหนุ่มเดินหน้าต่อไป



   มือใหญ่เริ่มดึงกางเกงนอนลง เผยให้เห็นสะโพกเนียนของคนตรงหน้า บริพัตรแทบจะทนไม่ไหว อยากจะดึงร่างนี้ลงบนที่นอนแล้วจัดการให้สมกับความต้องการ แต่เขาจะต้องอดทนเพราะเรื่องนี้ หากไม่ระวังให้ดีก็จะเจ็บได้



   บริพัตรล้วงมือเข้าไปในกางเกงนอนของภูธนา เริ่มกอบกุมสิ่งที่ตื่นตัวอยู่ภายใน การสัมผัสนี้ทำให้ภูธนาแทบจะปลดปล่อยเดี๋ยวนั้น แต่บริพัตรอยากแกล้งคนตรงหน้าอยู่จึงละมือออกมา



   "ฮึ" เสียงกึ่งขัดใจของภูธนา ทำให้บริพัตรแทบจะเอ่ยแซว แต่คงไม่ใช่จังหวะที่ดีเท่าไหร่นัก เอาไว้ค่อยพูดถึงวันหลัง เจ้าตัวคงอายพอดู



   ภูธนารับรู้ถึงความเปลี่ยนแปลงของร่างข้างใต้ เขารู้สึกเหมือนบางอย่างเริ่มมีขนาดใหญ่ขึ้น แต่ก็เข้าใจในเวลาต่อมาว่าเป็นอาการเปลี่ยนแปลงของผู้ชายที่ตนเองนั้นก็เป็นเช่นกัน



   บริพัตรชักจะอดทนไม่ไหวเสียแล้ว ร่างตรงหน้าทำให้ร่างกายเขาแทบจะระเบิด จะมีใครที่จะได้เห็นสีหน้าของภูธนาในยามนี้บ้าง จะมีใครที่จะได้เห็นท่าทางเย้ายวนแบบนี้




   อดีตนั้น เขาจะหลับตาและไม่สนใจ แต่ต่อจากนี้ไป



   ต้องเป็นเขาคนเดียวเท่านั้น !!




   บริพัตรพลิกร่างที่อยู่ข้างบนให้ลงมานอนที่เตียงเปลี่ยนเป็นฝ่ายอยู่ข้างล่างแทน บริพัตรแทบจะครองสติไว้ไม่ค่อยอยู่แล้ว ปากนุ่มลากไล้ผ่านตั้งแต่ต้นคอ ระเรื่อยมาถึงอกขาวเนียน ก่อนจะหยุดทักทายเลียเม็ดเล็กสีชมพูอ่อน สร้างความรู้สึกเสียวซ่านรัญจวนให้ภูธนายิ่งนัก




   ชายหนุ่มดึงกางเกงนอนใต้ร่างร่นมาถึงเขา ฝ่ามือหนาบีบบั้นท้ายกลมมนเต็มมือนั้น ยิ่งปลุกเร้าอารมณ์ให้พุ่งสูงขึ้นไปอีก ปากอิ่มยังจูบไล่มาถึงหน้าท้องแบนราบ จนมาถึงสิ่งที่ชูชันอยู่ข้างหน้า



   "ยะ อย่า" ภูธนาพยายามปัดป้องไม่ให้บริพัตรก้มหน้าลงมาที่สิ่งนั้น แต่แรงห้ามนั้นดูจะไม่เป็นผลเท่าไหร่ ชายหนุ่มจึงยกมือคู่นั้นปิดตาตนเองดีกว่าเพราะอายเกินกว่าจะมอง



   บริพัตรครอบครองความร้อนนั้นไว้ในโพลงปาก ลิ้นหนาค่อยๆ ดื่มด่ำตัวตนของคนตรงหน้า โดยไม่เร่งรีบเกินไปนัก เพราะกลัวว่าความสุขสมจากภูธนาจะมาเร็วเกินไปนัก


   จะมีความสุขได้มันก็ควรจะทรมานก่อนสิ ชีวิตมันจะได้สนุก



   "มะ ไม่ไหวแล้ว" เสียงพร่าดังขึ้นจากทางด้านบน ทั้งที่เจ้าตัวยังใช้มือปิดตาตนเองอยู่


   บริพัตรใช้สายตาเหลือบขึ้นมอง ก่อนจะดึงมือคู่นั้นลงมาให้เห็นทุกการกระทำ แต่ภูธนาก็เลือกที่จะหลับตาเองทำให้ชายหนุ่มต้องละริมฝีปากจากด้านหลัง มาจูบแผ่วเบาดวงตาที่ยังหลับอยู่ ทำให้ภูธนาแปลกใจจึงลืมตาขึ้นอีกครั้ง


   "อย่าหลับตา" เสียงพร่าของบริพัตรบอก


   "ก็ ก็มัน"


   "ไม่ต้องอาย ลุงธนาไม่อยากเห็นเวลาที่ลุงอยู่กับอาพัตว่าเป็นยังไงเหรอครับ" ทำไมจะต้องมาพูดเย้าแหย่กันตอนนี้ด้วยนะ ภูธนาคิดในใจพลางนึกหมั่นไส้คนตรงหน้าที่ยังเล่นอยู่อีก


   "มองให้ชัดๆ ว่าคนตรงหน้านี้เป็นใครดีกว่านะ" บริพัตรยิ้มให้ก่อนจะก้มลงเบียดริมฝีปากลงบนร่างข้างใต้อีกครั้ง



   มือหนากำรูดสิ่งที่ยังค้างคาคนด้านล่าง เพียงไม่นานนักความสุขที่รอมาตลอดก็ปลดปล่อยออกมา ภูธนาหายใจหอบหนักราวกับถูกสูบลมหายใจหมดแล้ว



   บริพัตรใช้เสื้อนอนของเจ้าของที่เพิ่งจะสบายตัวนั้นเช็ดเนื้อตัวให้คนนั้นลวกๆ พอไม่ให้เหนอะหนะ


   "ถอดให้ผมบ้างสิ" คำขอของผู้สูงกว่าทำเอาคนอายุน้อยกว่าคิดหนักแต่บริพัตรไม่ได้รอคำตอบ จับมือเล็กมาที่ขอบกางเกง บริพัตรยังไล่จูบรวบรวมความหวานจากต้นคอชายหนุ่มไม่รู้จักเบื่อ



   ภูธนารู้สึกเหมือนถูกร่ายมนต์ใส่อีกครั้ง มือเรียวขาวค่อยๆ ทำตามคำขอของบริพัตร   


   "แง๊ ฮือ ฮือ ลุงธนา อาพัต น้องภูกลัว ฮือ ฮือ"


   "ลุงธนาไปไหน น้องภูกลัว ฮืออออ" เสียงสะอื้นดังในความเงียบจากประตูข้างๆ ทำเอาผู้ใหญ่ 2 คนหยุดชะงักการเคลื่อนไหวทันที ภูธนารีบดึงกางเกงตนเองขึ้นแล้วถอยหนีลงจากเตียงอีกฝั่ง วิ่งไปดูหลานชายทันที


   "ฮือ ลุงธนา" เด็กชายร้องไห้จ้าเสียงดัง มือเล็กเช็ดน้ำตาลวกๆ แต่น้ำตาเม็ดเล็กๆ ก็ไหลรินมาไม่รู้จักเหนื่อย


   "ลุงมาแล้วครับ ไหนให้ลุงดูหน่อยสิ เป็นอะไรครับ"


   "น้องภูปวดฉี่ฮะ ฮึก ฮืออ" เด็กน้อยสะอื้นฮักไม่หยุด


   "มาครับ เดี๋ยวลุงพาไปห้องน้ำนะ" ภูธนาอุ้มเด็กชายพาเข้าห้องน้ำไป


   "ลุงธนาไปไหนมาฮะ น้องภูตื่นมาไม่เห็น น้องภูกลัว" เด็กน้อยกอดลุงแน่นเพราะยังคงตกใจอยู่


   "ลุงอยู่กับอาพัตเตอร์ไงครับ ที่ห้องข้างๆ นี่เอง" ภูธนาเช็ดน้ำตาให้หลานชายเบามือ


   "ลุงธนาทำไมไม่ใส่เสื้อ"



   คำถามของเด็กชายเสียงไม่ดังนัก แต่เพราะความเงียบ ทำให้คนที่อยู่อีกห้องได้ยินเสียง เลยทำให้เกิดเสียงหัวเราะดังออกมา


   "คือ ลุงร้อนน่ะครับ"


   "ลุงธนาร้อนเหรอฮะ แต่น้องภูหนาว" เด็กน้อยชวนคุยเรื่อย


   "มาครับ เดี๋ยวลุงจะพาไปนอนนะ" ภูธนาอุ้มหลานชายออกมาจากห้องน้ำมานอนที่บนเตียงอีกครั้ง


   ภูธนาวางเด็กน้อยลงและห่มผ้าให้เรียบร้อย แล้วค่อยๆ กล่อมเด็กน้อยจนผลอยหลับไปอีกครั้ง


   "ลุงธนา" เสียงทุ้มไม่ใช่ของเด็กดังขึ้นจากปลายเตียง


   "ชู่ว เบาๆ ครับ น้องภูเพิ่งหลับ" ภูธนาบอกเสียงเบาจนแทบกระซิบ


   บริพัตรคว้ามือคนผอมบางกว่าให้ลุกขึ้นยืนประจัญหน้ากัน ก่อนจะจุมพิตเบาแต่ย้ำหลายๆ ครั้งบนริมฝีปากสวย


   "จะรับผิดชอบผมยังไงดีครับ ลุงธนา" บริพัตรถามหาคนรับผิดชอบ


   "ผมยังไม่ได้ทำอะไรเลย"


   "คุณเรียบร้อยไปแล้วนี่ เหลือแต่ผมคนเดียว" เสียงทุ้มพูดแผ่วเบา กระซิบลงที่ข้างหู ทำให้ภูธนาขนลุกซู่ขึ้นมาเลยทีเดียว


   "ช่วยไม่ได้จริงๆ นี่ครับ น้องภูตื่นพอดี"


   "หลานตื่นปุ๊ป อาก็โดนทิ้งปั๊ป"


   "คุณอาคนนี้เนี่ย รอก่อนได้ครับ แต่หลานน่ะรอไม่ได้" ภูธนาบอกก่อนจะยิ้มให้ชายหนุ่มตรงหน้า


   "ไม่รู้ล่ะ ยังไงก็ต้องมารับผิดชอบผมด้วย" ชายหนุ่มพูดเสร็จก็หันหลังจะออกจากห้องไป


   "เดี๋ยวก่อนสิครับ"


   "ผมไม่ได้ตั้งใจ" ภูธนาเอ่ยรั้งคนที่กำลังจะกลับออกไป


   "ไม่ได้ตั้งใจเรื่องอะไรครับ เรื่องที่ทิ้งให้ผมค้างแบบนี้ หรือเรื่องที่เกิดขึ้นระหว่างเรา" น้ำเสียงฟังดูก็รู้ว่าคนที่พูดไม่ได้พูดเล่น


   "ผมหมายถึงเรื่องที่ทำให้คุณเป็นแบบนั้น"


   "งั้นก็แล้วไป ผมนี่ใจหายเลย" เสียงทุ้มกลับมาเล่นเป็นปกติอีกครั้ง เมื่อได้รับคำตอบที่ถูกใจ


   "แต่เรื่องที่เกิดขึ้นระหว่างเรา ผมชอบนะ" คนตัวผอมบางกว่าพูดแผ่วเบา ใบหน้าขาวก้มหน้าโดยไม่สบตากับฝ่ายตรงข้าม


   "อย่าพูดแบบนี้นะครับ ผมยังไม่ได้จัดการคุณด้วย ฝากไว้ก่อนละกัน" บริพัตรคาดโทษชายหนุ่มไว้ก่อน


   "ถ้าอยากจะเอาคืนเมื่อไหร่ ก็บอกมาได้เลยนะครับ ผมพร้อมเสมอ" ภูธนาพูดเสร็จก็รุนหลังชายหนุ่มให้ออกจากห้องไปแล้วรีบปิดประตู เพราะตอนนี้เจ้าตัวเขินอายจนกว่าจะพูดอะไรออกไปได้อีก



   อีกฟากของประตู บริพัตรที่ยืนอยู่อีกฝั่ง สายตาของชายหนุ่มเด็ดเดี่ยวและมั่นคงเกินกว่าจะเอ่ยมาเป็นคำพูด



   "ธนา ร่างกายคุณเป็นของผม นับตั้งแต่นี้ไป ห้ามคุณไปทำแบบนี้ไม่ว่ากับใครทั้งนั้น เข้าใจมั้ยครับ"


   "ทำไมครับ" คนที่อยู่ในห้องถามกลับไป แต่ภายในใจกลับรู้สึกอิ่มเอมเหลือเกิน


   "เพราะผมเป็นคนที่หวงของ และยิ่งถ้าเป็นคนที่รักผมยิ่งหวงมาก"


   "ครับ"


   "จะทำให้ผมได้มั้ย ธนา" เสียงอีกฟากคาดคั้นรอฟังคำตอบ


   "ตามที่คุณพัตต้องการครับ"


   "ขอบคุณครับ ธนา ฝันดีนะ" บริพัตรบอกเสร็จก็เดินไปพักผ่อนเช่นกัน



   "ฝันดีครับ"



   คืนนี้คงเป็นอีกคืนที่ใครหลายๆ คน คงฝันดี





----------------

Talk:.
 
ขออภัยที่มาช้าค่ะ

ตอนนี้ไม่มีอะไรพูดเลยยยย

 :pighaun: :pighaun:

แล้วเจอกันตอนหน้าค่ะ
หัวข้อ: Re: กว่าจะเข้ากันได้ โดย เขมกันต์ อัพเดท [บทที่ 16] หน้า 3 - 26/03/2559 ค่ะ
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 26-03-2016 23:19:41
 :-[ :-[ :-[ :-[
หัวข้อ: Re: กว่าจะเข้ากันได้ โดย เขมกันต์ อัพเดท [บทที่ 16] หน้า 3 - 26/03/2559 ค่ะ
เริ่มหัวข้อโดย: mukmaoY ที่ 26-03-2016 23:59:21
พัตทนได้ไงเนี่ยยย
หัวข้อ: Re: กว่าจะเข้ากันได้ โดย เขมกันต์ อัพเดท [บทที่ 16] หน้า 3 - 26/03/2559 ค่ะ
เริ่มหัวข้อโดย: insomniac ที่ 27-03-2016 08:28:51
โอ้ย ตอนนี้นึกว่าจะมีดราม่าน้องสาว กลับหวานกันซะงั้น อาพัตเตอร์รุกเร็วมาก ชอบอ่ะครับ
หัวข้อ: Re: กว่าจะเข้ากันได้ โดย เขมกันต์ อัพเดท [บทที่ 16] หน้า 3 - 26/03/2559 ค่ะ
เริ่มหัวข้อโดย: เขมกันต์ ที่ 06-04-2016 12:36:36

บทที่ 17


   เช้านี้อากาศแจ่มใส หลังจากมื้อเช้าผ่านไปเรียบร้อยแล้ว บริพัตรก็ทำหน้าที่เป็นเจ้าของบ้านที่ดีพาผู้มาเยือนชมบรรยากาศรอบๆ พร้อมคอยให้คำแนะนำต่างๆ ให้กับลุงกับหลานคู่นี้


   “อยากกลับกรุงเทพหรือยังครับ” บริพัตรเอ่ยถามขึ้นระหว่างเดินกลับไปตัวอาคารที่พักของรีสอร์ท


   “ยังไม่อยากกลับเลย แต่พรุ่งนี้มีงานรออีกเยอะเลยครับ” คนตอบพูดพลางถอนหายใจเบาๆ


   “ถ้าอย่างนั้น เราค่อยกลับกันสักช่วงบ่ายๆ ก็แล้วกัน”


   “แล้วแต่คุณพัตเถอะครับ”


   บรรยากาศยามเที่ยง แดดค่อนข้างแรง บริพัตรจึงให้พนักงานนำอาหารกลางวันเข้ามาทานในห้องพัก ด้วยเกรงว่าหากอยู่ท่ามกลางไอแดด อาจจะทำให้น้องภูไม่สบายได้



   หลังอิ่มมื้อกลางวัน เด็กชายตัวน้อยนั่งเล่นอยู่อีกสักพัก ตาก็เริ่มปรือและผลอยหลับไปทั้งที่ยังถือของเล่นไว้ในมือ ภูธนาเห็นแล้วก็อดที่จะเอ็นดูในความน่ารักไร้เดียงสาของเด็กชายไม่ได้ ชายหนุ่มแกะของเล่นออกจากมือหลานอย่างเบามือ และอุ้มน้องภูไปนอนบนเตียงพร้อมห่มผ้าให้เรียบร้อย



   เสร็จภารกิจดูแลหลานชายเรียบร้อยแล้ว ชายหนุ่มตั้งใจจะออกไปสูดอากาศข้างนอกเสียหน่อย แต่เมื่อเปิดประตูห้องนอนของตนออกมา จึงได้พบกับบริพัตรที่นั่งพิงหัวเตียงกำลังอ่านหนังสืออยู่



   บริพัตรได้ยินเสียเปิดประตู ชายหนุ่มเงยหน้าจากหนังสือและตัดสินใจวางหนังสือที่ยังอ่านค้างไว้นั้นลง เพราะมีเรื่องที่สำคัญกว่าการนั่งอ่านหนังสือเป็นไหนๆ  ภูธนาเดินตรงเข้าไปหาอีกฝ่าย บริพัตรดึงมือเรียวขาวนั้นให้เจ้าตัวนั่งลงข้างๆ ตน


   “เช้านี้ยังไม่ได้ชื่นใจเลย”


   “อะไรครับ”


   “อุตส่าห์มาเป็นไกด์กิตติมศักดิ์ให้เลย แต่กลับไม่ได้รางวัลอะไรเลย น่าน้อยใจจริงๆ”


   “หัวก็ไม่ล้าน  ตัวก็ออกจะโต ไม่น่าจะคนที่ขี้น้อยใจอะไรง่ายๆ เลยนะครับ” ภูธนาเอื้อมมือไปจับผมของชายหนุ่มตรงหน้าพอเป็นพิธีเพื่อประกอบคำพูด


   บริพัตรคว้ามือที่กำลังเย้าแหย่นั้นมาจูบ นานจนเจ้าของมือนั้นอดประท้วงไม่ได้


   “พอได้แล้วล่ะครับ แล้วคุณพัตไม่ออกไปไหนเหรอ”


   “ก็อยากออกไปเหมือนกัน แต่รอคนในห้อง รอตั้งนานกว่าจะออกมา”


   “ผมก็ต้องดูแลน้องภูก่อนสิครับ คนที่โตแล้วไว้ทีหลังก็ได้”


   “ถ้าจะอิจฉาหลานตัวเองนี่ผิดมั้ย”


   “อย่าไปอิจฉาหลานเลยครับ ผมก็ไม่ได้บอกว่าจะไม่สนใจอาของหลานนี่ครับ” ภูธนาพูดพลางยิ้มกว้างให้กับบริพัตร



   บริพัตรก้มลงจูบปากคนที่คอยพูดปั่นหัวเขาทันที ภูธนาไม่ทันตั้งตัว ดวงตาเบิกกว้างด้วยความตกใจ เตรียมที่จะผละหนี แต่ก็ถูกมือใหญ่รั้งเอวเอาไว้ไม่ให้หนีไปได้ ส่วนมืออีกข้างยังกดท้ายทอยให้แหงนรับจุมพิตให้ถนัดถนี่จากคนที่มอบให้



   กว่าบริพัตรจะยอมปล่อยให้ภูธนาเป็นอิสระอีกครั้ง ภูธนาก็แทบจะขาดอากาศหายใจ บริพัตรได้ยินเสียงหอบหายใจเพื่อสูดอากาศให้เข้าปอดให้มากที่สุด ก็หัวเราะเบาๆ กับคนตรงหน้า


   หลังจากปรับลมหายใจให้เป็นปกติ ภูธนาก็ลุกขึ้นยืน พร้อมฉุดมือคนตรงหน้าให้ลุกขึ้นยืนไปด้วย บริพัตรได้แต่เลิกคิ้วมองคนตรงหน้าคำถามว่าชายหนุ่มคิดจะทำอะไร


   “ออกไปข้างนอกกันครับ ได้มาที่สวยๆ แบบนี้ ไม่อยากอุดอู้อยู่แต่ในห้องอย่างเดียว”


   “เอาสิ แดดร้อนๆ แบบนี้ ถ้างั้นผมจะพาไปแถวริมน้ำละกัน ตรงนั้นค่อนข้างมีร่มเงาเยอะ” คนเสนอตัวพูดพลาง ไม่ลืมยกหูโทรศัพท์แจ้งคุณศรีวราให้หาเด็กพนักงานมาคอยเฝ้าแถวหน้าห้อง หากภูบดินทร์ตื่นขึ้นมาจะได้ไม่ตกใจเพราะไม่เจอใคร


   “ทำไมคุณไม่ยอมบอกผมตั้งแต่ทีแรกว่าคุณเป็นเจ้าของที่นี่ครับ คุณพัต”


   “คุณมันน่าแกล้งน่ะ”


   “คุณพัต!” เสียงภูธนาจริงจังไม่ยอมให้คนขี้แกล้ง เล่นสนุกต่อไป


   “เอาล่ะๆ คือผมรู้สึกแปลกๆ ถ้าต้องบอกไปว่าผมเป็นใคร”


   “แปลกยังไงล่ะครับ” ภูธนาหน้านิ่วด้วยความสงสัย


   “ยังไงดีล่ะ ผมเองก็อธิบายไม่ค่อยถูกอ่ะ เอาเป็นว่ามันเขินปากล่ะมั้ง”



   2 หนุ่มเดินมาถึงที่หมายพอดี สายน้ำไหล่เอื่อยเรื่อยๆ ไปตามทาง เสียงน้ำไหลแผ่วเบา ชวนให้ความรู้สึกได้ผ่อนคลาย พนักงานได้จัดที่นั่งไว้ใต้ร่มไม้ ริมแม่น้ำให้เรียบร้อยแล้ว ที่นั่งเป็นเบาะหนานุ่มอย่างดี มีโต๊ะไม้เล็กๆ วางข้างหน้า บนนั้นมีเครื่องดื่มที่รินไว้อยู่ก่อนแล้ว



   บริพัตรพาภูธนาเข้าไปนั่ง ที่นั่งนี้จัดได้พอเหมาะลงตัว ทั้งคู่นั่งหันหน้าเข้าหาริมน้ำ คอยมองสายน้ำไหลผ่าน มือหนาเอื้อมมาเกาะกุม มืออีกฝ่ายเอาไว้แน่นโดยไม่ปล่อย ไม่มีบทสนทนาใดๆ แต่พวกเขาก็รู้สึกว่าเพียงพอแล้ว



   ลมพัดแรงมาวูบหนึ่ง ทำให้ฝุ่นที่ปลิวลอยในอากาศปลิวเข้าสู่นัยน์ตาของภูธนา ชายหนุ่มยกมือข้างที่ว่างขยี้ตาทันทีเพราะความระคายเคือง


   “ไหนว่าไม่ใช่เด็กๆ แล้วไง พอฝุ่นเข้าตาทำไมขยี้ตาแรงแบบนั้น” บริพัตรเอ็ดด้วยน้ำเสียงไม่จริงจังนัก พร้อมทั้งดึงมือที่ยังขยี้ตาไม่หยุดนั้นลง


   “ผมแสบตาน่ะครับ คุณพัต” ภูธนาพยายามลืมตามองคนตรงหน้า บริพัตรเลยเห็นว่า ดวงตาที่เจ้าตัวบอกว่าแสบนั้น บัดนี้แดงก่ำและมีหยดน้ำตาร่วงหล่นลงมาอันเนื่องปฏิกิริยาที่ชะล้างสิ่งสกปรกของร่างกาย


   “ไหน ให้ผมดูหน่อย” บริพัตรขยับเข้าไปใกล้คนข้างๆ เพื่อที่จะมองเห็นได้อย่างถนัด ชายหนุ่มประคองใบหน้าของภูธนาไว้ และก้มลงดูใกล้ๆ


   จากตรงนี้ หากมีใครเดินมาจากด้านหลัง คงจะเห็นว่าภาพดังกล่าวเหมือนว่าภูธนากำลังถูกบริพัตรล่วงเกินอยู่อย่างไงอย่างนั้น แต่ทั้งสองคนก็ไม่ได้สนใจ


   แชะ


   แชะ


   “อ่ะ ผมเขี่ยออกให้แล้ว เดี๋ยวล้างตาเสียหน่อย” บริพัตรเอื้อมไปหยิบขวดน้ำเปล่าที่ยังไม่เปิดใช้ให้ภูธนาล้างตาอีกทีเพื่อความสะอาด


   “ขอบคุณครับ คุณพัต แต่สักครู่นี้ คุณได้ยินเสียงอะไรมั้ย” เขารู้สึกเหมือนได้ยินเสียงกดชัตเตอร์ หลังจากที่กลับเข้ามาในวงการบันเทิงได้สักพัก ภูธนาเริ่มคุ้นชินกับเสียงพวกนี้ขึ้นมาบ้างแล้ว จึงพอจะแยกออกบ้างว่าน่าจะเป็นเสียงจากกล้อง


   “ไม่นะ มีอะไรหรือเปล่า”


   “เปล่าครับ ผมคงหูแว่วไปเอง ช่างเถอะครับ” ชายหนุ่มรู้สึกไม่มั่นใจเท่าไหร่นักเนื่องจากพื้นที่เปิดกว้างอาจทำให้ได้ยินสับสนไปเอง


   ภูธนาสลัดความคิดนั้นออกไป ช่วงเวลาแบบนี้ไม่ควรมาคิดเรื่องไม่เป็นเรื่อง


   “คุณพัต คุณธนาคะ น้องภูตื่นนอนแล้วค่ะ” ศรีวราเดินเข้ามารายงานพอดี


   “ตื่นแล้วหรือ ถ้างั้นรบกวนคุณศรีเตรียมขนมกับนมให้น้องภูด้วยนะครับ แล้วอีกสักพักผมจะกลับกรุงเทพเลย” เจ้าของสถานที่เอ่ยปากไหว้วานผู้จัดการสาวอย่างเกรงใจ


   “ได้ค่ะ เดี๋ยวดิฉันจะจัดการให้ค่ะ คุณพัตไม่ต้องเป็นห่วง” หญิงสาวกล่าวจบแล้วก็ขอตัวไปจัดการตามที่ได้รับมอบหมาย


   “คุณก็ทานของว่างรองท้องไปพร้อมกับน้องภูด้วยนะครับ ระหว่างทางกลับจะได้ไม่หิวจนเกินไป” บริพัตรพูดพลางลูบผมคนตรงหน้าอย่างเบามือ


   “ให้ผมทานกับน้องภูแค่สองคนได้ยังไงกัน คุณพัตก็ต้องทานด้วยกันสิครับ เดี๋ยวคนขับรถหิวจนแสบท้องจะโทษผมไม่ได้นะ” ภูธนาพูดแซวคนตัวโตกว่าแล้วก็รีบลุกขึ้นเดินนำออกไป ทิ้งให้บริพัตรได้แค่อมยิ้มตามร่างสูงที่กำลังเดินไป


   “มัวแต่ยืนยิ้มอยู่นั่นแหละ รีบตามมาสิครับ” คนที่เดินนำไปเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายยังไม่เดินตามมา อดไม่ได้ที่จะไม่พูดกวนอีกฝ่าย


   “คร้าบๆ ไม่ทันไรเลย เริ่มสั่งเป็นซะแล้ว”


   อิ่มเรียบร้อยกันแล้ว บริพัตรก็ไปหิ้วกระเป๋าเสื้อผ้ามาไว้ในรถให้เรียบร้อย ชายหนุ่มสั่งงานเกี่ยวกับรีสอร์ทกับศรีวราอีกสองสามอย่าง จึงเตรียมตัวออกตัวเดินทางกลับกรุงเทพ



   “ถ้าชอบที่นี่ คุณธนากับน้องภู ก็มาบ่อยๆ นะคะ ดิฉันจะดูแลอย่างดีเลยค่ะ” ศรีวรายกมือไหว้บอกลาคนที่กำลังจะเดินทาง


   “แน่นอนครับ ถ้าผมมีเวลาว่างล่ะก็จะมาที่นี่เป็นที่แรกเลย” ภูธนายิ้มตอบกลับไป


   “ชอบที่นี่จริงๆ หรือตอบเอาใจคุณศรีเขาน่ะ” บริพัตรเอ่ยถามขึ้นเมื่อออกตัวไปได้สักระยะ


   “ชอบจริงๆ สิครับ ที่นี่บรรยากาศดี ร่มรื่น ได้ครบทั้งแม่น้ำ ภูเขา”


   “ชอบแค่สถานที่เหรอ แล้วเจ้าของล่ะ ชอบมั้ย” คนถาม ถามทั้งที่ไม่ละสายตาออกจากถนนเลยแม้แต่น้อย ทิ้งคำถามไว้ให้คนตอบต้องเดือดร้อน


   ภูธนารู้สึกเขินเกินกว่าจะตอบคำถามของอีกฝ่าย จึงได้แต่นั่งนิ่งไป


   “อ้าว เงียบไปเลย ไม่ชอบผมเหรอ” คราวนี้ บริพัตรไม่ได้ถามอ้อมค้อมอีก กลับยิงตรงประเด็น


   “ใครจะตอบกันล่ะ! น้องภูก็อยู่ด้วย เราไม่ควรพูดจาเรื่องพวกนี้ต่อหน้าเด็กนะครับ” ภูธนาเฉไฉ เพราะไม่รู้จะทำยังไงกับสถานการณ์ตรงหน้านี้ดี


   “มันเป็นยังไงล่ะ แค่ชอบไม่ชอบ มันดูไม่เหมาะกับเด็กเลยเหรอ น้องภูครับ ชอบอาพัตมั้ยครับ” ประโยคหลังบริพัตรตั้งใจหันไปถามเด็กชายที่ยังดูดนมกล่องไม่หมด


   “ชอบฮะ น้องภูชอบอาพัตเตอร์ที่สุดเลย” เด็กชายตอบออกมาทันทีที่ถูกถาม


   “แล้วน้องภูคิดว่าลุงธนาจะชอบอาพัตมั้ยครับ”


   “ชอบสิฮะ น้องภูชอบ ลุงธนาก็ชอบด้วยอยู่แล้ว”


   “แล้วถ้าลุงธนาไม่ชอบอาพัตล่ะครับ จะทำยังไงดี”


   “ลุงธนาไม่ชอบอาพัตเหรอฮะ” เด็กชายถามโดยไม่มีสิ่งใดแอบแฝง แต่คำถามนี้กลับถูกใจบริพัตรยิ่งนัก


   “ไม่ใช่อย่างนั้นหรอกครับ น้องภู”


   “อาพัตแกล้งลุงธนาเหรอฮะ” เด็กชายยังยิงคำถามต่อ


   “เปล่าหรอกครับ อาพัตไม่ได้แกล้งลุง”


   “แล้วทำไมลุงธนาไม่ชอบอาพัตล่ะฮะ”


   “เปล่าครับ ลุงธนาก็ชอบอาพัตครับ” นี่เขาต้องมาสิ้นหนทางกับความไร้เดียงสาของเด็กน้อยหรือนี่


   “หึหึ ก็แค่นั้นเองเนาะ น้องภู” คนที่กำลังขับรถหัวเราะในลำคอเบาๆ เมื่อได้ยินคำตอบที่ถูกใจตนเอง


   “ฮะ ถ้าลุงธนาชอบอาพัตก็บอกตรงๆ สิฮะ น้องภูยังชอบน้องมีมี่เลย” เด็กน้องพูดเจื้อยแจ้ว โดยไม่เห็นว่าตอนนี้ใบหน้าของลุงธนานั้น เริ่มแดง ไม่รู้ว่าเป็นเพราะไอร้อนของแดด หรือเรื่องเมื่อสักครู่นี้กันแน่


   “ถ้าคุณง่วงจะนอนพักก่อนก็ได้นะ ถึงกรุงเทพแล้วผมจะปลุกเอง” บริพัตรเอื้อมมือสัมผัสแผ่วเบาที่แก้มขาวคนนั่งข้างๆ


   “ก็ดีครับ ฝากคุณคุยเล่นกับน้องภูด้วยนะครับ”


   “เดี๋ยวสักพักน้องภูก็ง่วงตามคุณแน่นอนล่ะ รถแล่นกับเด็กหลับเป็นของคู่กัน”


   แล้วก็เป็นจริงอย่างที่บริพัตรพูด หลังจากที่ภูธนาหลับไปไม่นาน เด็กชายตัวน้อยที่นั่งอยู่ด้านหลังก็เอนตัวหลับไปเช่นเดียวกัน



   แสงสว่างค่อยๆ หมดไป พร้อมกับพระอาทิตย์ที่กำลังจะลาลับ บริพัตรก็มาถึงที่พักของคนที่กำลังหลับสบายนั้นพอดี



   “ธนา ธนา” บริพัตรเรียกเสียงเบาเพราะกลัวว่าเสียงจะดังจนทำให้หลานชายตื่นขึ้นมา


   “อือ รู้แล้วๆ ตื่นแล้ว เรียกอยู่ได้ คนกำลังนอน” คนถูกปลุกตื่นขึ้นมาหน้ามุ่ย น้ำเสียงหงุดหงิดเล็กน้อย น้ำเสียงแบบนั้นทำให้บริพัตรแปลกใจไม่น้อยกับในมุมนี้ของคนข้างตัว


   น้อยคนนักที่จะรู้ว่า ภูธนาไม่ชอบการโดนปลุกให้ตื่นจากการนอน ถึงแม้สถานการณ์ก่อนหน้านี้ที่ทำให้ชายหนุ่มต้องทำงานหนักและต้องตื่นมาดูแลหลานแต่เช้านั้น ก็ไม่มีใครได้มาเห็นอาการยามตื่นนอนแบบนี้



   โดยปกติแล้ว ภูธนาจะตื่นจากเสียงนาฬิกาปลุกที่ทำให้เขาหงุดหงิดใจอยู่แล้ว แต่เมื่อปรับร่างกายสักพักหนึ่งชายหนุ่มจะเริ่มลดความหงุดหงิดลงและเริ่มทำอย่างอื่นต่อไปได้ แต่ครั้งนี้บริพัตรที่ไม่เคยรู้นิสัยส่วนตัวของชายหนุ่มมาก่อน และภูธนาที่แทบจะไม่ได้สัมผัสการโดนปลุกจากสิ่งมีชีวิต จึงทำให้คนที่ถูกปลุกลืมตัวที่จะเอ่ยถ้อยคำแบบนั้นออกมา




   ในคราแรกบริพัตรแปลกใจเล็กน้อยที่ได้ยินเสียงแบบนั้น แต่สักพักต่อมาชายหนุ่มก็รู้สึกกึ่งขันในอีกมุมของคนข้างๆ ในมุมที่คงไม่มีใครได้เห็น และเป็นอีกมุมที่ทำให้เขารู้สึกรู้จักภูธนามากกว่าเดิม ทำให้ชายหนุ่มรู้สึกดีใจลึกๆ ที่ได้เห็นเวลาที่ลุงธนานั้นหลุดมาดของตัวเอง



   นี่แหละนะที่เขาเรียกความรักคงทำให้คนตาบอด อะไรก็เป็นสิ่งดีๆ เรื่องแปลกใหม่ทั้งนั้น



   หลังจากปรับอารมณ์สักพัก ภูธนาจึงลืมตาขึ้นและพบว่าคนที่ปลุกเขากำลังมองเขาด้วยสายตาล้อเลียน ใบหน้าคมคายระบายรอยยิ้มต้อนรับเขา ทำให้ภูธนาเริ่มดึงสติกลับมาได้ว่าเมื่อสักครู่นี้เขาทำอะไรออกไปบ้าง


   “เอ่อ ขอโทษนะครับ”   


   “ขอโทษผม? ขอโทษเรื่องอะไร”


   “ก็ที่ผมพูดจาไม่ดีออกไป”


   “คุณนี่ไม่น่าเชื่อเลยนะว่าจริงๆ แล้วก็มีนิสัยแบบนี้ด้วย” บริพัตรหัวเราะออกมาเหมือนเป็นเรื่องขำขันเรื่องหนึ่ง


   “ใครๆ ก็ต้องมีนิสัยไม่ดีบ้างสิครับ แล้วนี่ถึงไหนแล้วครับ”


   “ลองมองรอบๆ ดูสิ” ภูธนากวาดสายตามองรอบๆ ตามคำบอกของคนขับรถมาตลอดทางและก็พบว่าเป็นลานจอดรถที่พักของตนเอง


   “นี่ผมหลับยาวเลยเหรอเนี่ย ขอบคุณมากนะครับ ที่มาส่ง”


   “ไม่เป็นไร แล้วพรุ่งนี้คุณเลิกงานกี่โมง”


   “ยังไม่รู้เลยครับ ยังไม่ได้คุยกับคุณกันต์เลย”


   “หืม คุณกันต์?” บริพัตรเลิกคิ้วด้วยความแปลกใจ


   “ครับ ตอนนี้คุณกันต์มาเป็นผู้จัดการดูแลงานให้ผม ระหว่างที่ยังหาคนมาแทนไม่ได้น่ะครับ”


   “อ้อ” บริพัตรรับคำสั้นๆ


   “มีอะไรหรือเปล่าครับ”


   “ผมแค่อยากรู้ตารางงานของคุณ”


   “รู้ตารางงานของผมไปทำไมกันครับ”


   “ผมจะได้รู้ไงว่าตอนนี้คุณอยู่ไหน ทำอะไร และทำกับใคร”


   “คุณพัต พูดจาอะไรแบบนั้น ผมจะไปทำอะไรกับใครกันเล่า” ภูธนารีบสวนย้อนกลับไปเมื่อได้ยินคำพูดสองแง่สองง่ามของอีกฝ่าย


   “บอกผมด้วยละกัน”


   “นี่คุณจะเป็นสตอกเกอร์หรือไง”


   “สตอกเกอร์น่ะมันแอบตาม แต่นี่ผมบอกคุณว่าผมอยากรู้ ก็แสดงว่าอยากรู้  คุณก็บอกผมมาก็แค่นั้นเอง หรือว่าคุณลำบากใจ”


   “ไม่ใช่อย่างนั้นหรอกครับ แต่ไม่คิดว่าคุณจะสนใจขนาดนั้น”


   “ที่ผมพูดเนี่ย ผมพูดจริงนะ ไม่ได้ขอตารางงานคุณไว้มาดูเล่นๆ” เสียงของชายหนุ่มจริงจังให้เห็นว่าไม่ได้พูดเล่นแม้แต่น้อย


   “แต่ถ้าคุณไม่สะดวกใจ...”


   “ครับๆ เดี๋ยวผมจะส่งให้ ไม่ต้องมาประชดประชันผมหรอก” ภูธนาตัดบทเพราะถ้ายังขืนพูดต่อไป เรื่องคงไม่จบในวันนี้แน่นอน


   “ดีมาก เด็กดีต้องเชื่อฟังผู้ใหญ่นะครับ”


   “นี่คุณคิดว่าคุณแก่กว่าผมกี่ปีกัน”


   “เอาเป็นว่า มากกว่าคุณก็แล้วกัน ผู้ใหญ่บอกอะไรก็ทำตามเถอะน่ะ อย่าดื้อ” บริพัตรพูดจบ ไม่รอให้อีกฝ่ายตั้งตัว ก็คว้าคนข้างๆ เข้ามาจูบปิดปากทันที



   ภูธนาไม่ทันตั้งตัวจึงปิดปากแน่นด้วยความตกใจ บริพัตรค่อยๆ ใช้ลิ้นอุ่นแทะเล็มริมฝีปากคนที่กำลังตกใจให้คลายความรู้สึกนี้ออกไป แวะเวียนแทะเล็มริมฝีปากบางจนอีกฝ่ายยอมเปิดปากให้ลิ้นหนาเข้าไปควานหาความหวานภายในปาก



   “อือ อืม” ภูธนาหลุดเสียงคราวแผ่วเบาออกมาโดยไม่รู้ตัว


   “เด็กดี” บริพัตรพูดเพียงเท่านั้นก็ก้มลงจูบปากคนตรงหน้าอีกครั้ง



   กว่าที่ทั้งสองจะผละออกจากการก็ผ่านไปอีกครู่ใหญ่ มือแกร่งกอดร่างที่บางกว่าเอาไว้ในอ้อมแขน ปลายจมูกโด่งกดหนักลงมาที่ขยับของคนในอ้อมกอดก่อนจะไล่เรื่อยลงมาที่พวงแก้ม


   “พอได้แล้วล่ะครับ เดี๋ยวใครมาเห็น”


   “ถ้าหากว่ามีคนเห็น ก็คงจะไม่ทันแล้วมั้งครับ” บริพัตรพูดเย้าอีกฝ่าย หากว่ามีแสงสว่างมากพอ คงได้เห็นว่าคนที่ห้ามเขานั้นคงมีใบหน้าที่แดงเป็นแน่


   “คุณพัต อย่าพูดอย่างนี้สิครับ” น้ำเสียงภูธนาค่อนข้างร้อนรน เพราะตอนนี้เจ้าตัวไม่ใช่คนธรรมดาเหมือนแต่ก่อน หากทำอะไรแล้วมีคนพบเห็นคงจะเป็นเรื่องเป็นราวแน่นอน


   “ไม่มีหรอกครับ อย่ากังวลไปเลย คิดเหรอว่าผมจะทำอะไรสุ่มสี่สุ่มห้า ให้ดาราหนุ่มต้องเดือดร้อน”


   “ขอบคุณครับ”


   “ถ้างั้นผมกลับก่อนดีกว่า คุณจะได้พักผ่อนด้วย แล้วอย่าลืมเรื่องที่ผมขอไปล่ะ”


   “เรื่องที่ผมของั้นเหรอครับ นึกว่าเรื่องที่ผมสั่ง”


   “แล้วแต่คุณเลย จะคิดแบบไหนก็ได้ถ้าคุณจะสบายใจ” นอกจากคนตัวใหญ่กว่าจะไม่ขุ่นเคืองกับคำพูดแล้วยังยอกย้อนภูธนากลับไปให้อีกฝ่ายรู้สึกขุ่นเคืองแทนเสียอีก


   “คุณพัต! คุณนี่มันปากร้ายจริงๆ”


   “คุณเองก็เหมือนกันแหละน่า คุณเองก็ชอบผมที่ผมเป็นแบบนี้เหมือนกันไม่ใช่เหรอ”


   บริพัตรพูดออกมาอย่างกับเป็นภูธนาเอง หากวันที่พบกันนั้นบริพัตรไม่ได้ต่อปากต่อคำกับเขาหรือเงียบขรึม ภูธนาคงไม่ได้รู้สึกอยากสนใจจนเปลี่ยนความรู้สึกมาชอบคนตรงหน้าแบบนี้หรอก


   “ผมพูดถูกใช่มั้ยล่ะ เด็กดื้อ” มือใหญ่ดีดหน้าผากคนข้างๆ ไม่เบานัก


   “โอ้ย ผมเจ็บนะ คุณทำอะไรเนี่ย”


   “ก็แกล้งคนแล้วสนุกดี”


   “ผมไม่อยู่กับคุณแล้ว ไปละ” พูดจบภูธนาก็รีบลงจากรถทันที แล้วรีบเดินกลับไปยังทางเข้าที่พักทันที แต่เมื่อออกเดินได้สองสามก้าว ก็รีบเดินกลับมาที่รถอีกครั้ง บริพัตรแปลกใจในการกระทำนั้นหรือว่าจะลืมของ


   บริพัตรลดกระจกลงเมื่อเห็นชายหนุ่มเดินมาถึงตัวรถแล้ว


   “กระเป๋าครับ”


   “จริงสินะ” บริพัตรนึกขึ้นได้เช่นเดียวกัน ชายหนุ่มเตรียมจะลงจากรถเพื่อไปหยิบกระเป๋า


   “ไม่ต้องหรอกครับ คุณเปิดหลังรถมาก็พอ เดี๋ยวผมหยิบเอง”


   “ไม่เป็นไร เดี๋ยวผมหยิบให้”


   “ผมบอกว่าไม่ต้องยังไงเล่า เดี๋ยวผมหยิบเอง”


   “คร้าบๆ ใครกันแน่ที่ชอบออกคำสั่ง” บริพัตรตั้งใจพูดให้อีกฝ่ายได้ยิน ในขณะที่เปิดหลังรถ


   สักพักก็ได้ยินเสียงประตูด้านหลังปิดลง ภูธนากลับมาที่เดิมอีกครั้งและมองเข้าไปที่คนนั่งหลังพวงมาลัย


   “ขอบคุณครับ ผมไปล่ะนะ ฝากดูแลน้องภูด้วยนะครับ เขาสำคัญกับผมมาก”


   “ถึงคุณไม่บอก ผมก็ต้องดูแลเขาอย่างดีอยู่แล้วครับ ไม่ต้องห่วง ผมกลับแล้วนะ” บริพัตรโบกมือลาให้คนที่ยืนอยู่ข้างรถ และปรับระดับหน้าต่างรถขึ้นปิด เตรียมที่จะออกตัว


   แต่ยังไม่ทันจะได้ออกตัว ภูธนาก็เคาะกระจก บริพัตรจึงลดระดับหน้าต่างลงอีกครั้งหนึ่ง


   “ลืมของอะไรอีกหรือ”


   “เปล่าครับ ไม่ได้ลืมของ แต่ลืมบอกไปน่ะครับ”


   “ว่า?”


   “ลืมบอกไปว่าอย่าขับรถเร็วเกินไปนัก และขับรถดีๆ ด้วยนะครับ ผมเป็นห่วง”


   “พูดแบบนี้เปลี่ยนใจค้างที่นี่เลยได้มั้ย”


   “กลับไปได้แล้ว ถึงบ้านแล้วบอกผมด้วย ฝันดีนะครับ”


   “ตกลงครับ เดี๋ยวผมจะทำตามคำสั่งทุกประการเลยครับ”




----------

Talk :.

ขอโทษทีค่า หายไปอาทิตย์กว่าๆ เลย มาต่อตอนใหม่ให้แล้วนะคะ หมดสต๊อกที่แต่งล่วงหน้าไว้แล้ว
ตอนต่อไปจะรีบปั่นมาให้อ่านกันนะคะ

กลับมาเมืองไทยแล้ว อากาศร้อนมากกกก ถึงมากที่สุด ฮ่าๆ

ขอบคุณนักอ่านทุกท่านเน้อ แล้วเจอกันตอนหน้าค่ะ
หัวข้อ: Re: กว่าจะเข้ากันได้ โดย เขมกันต์ อัพเดท [บทที่ 17] หน้า 3 - 06/04/2559 ค่ะ
เริ่มหัวข้อโดย: เขมกันต์ ที่ 06-04-2016 12:38:37
พัตทนได้ไงเนี่ยยย

เป็นพระเอกก็ต้องอดทนค่าาา  :z2:


โอ้ย ตอนนี้นึกว่าจะมีดราม่าน้องสาว กลับหวานกันซะงั้น อาพัตเตอร์รุกเร็วมาก ชอบอ่ะครับ

คุณน้องสาว นี่ ยังไม่พร้อมให้นางออกมาเลยค่ะ เบือนาง ฮ่าๆๆ (เกี่ยวมั้ย)
อาพัตเค้าคนตรงค่ะ ชอบก็ชอบ ไม่ชอบก็ไม่ชอบ ><
หัวข้อ: Re: กว่าจะเข้ากันได้ โดย เขมกันต์ อัพเดท [บทที่ 17] หน้า 3 - 06/04/2559 ค่ะ
เริ่มหัวข้อโดย: insomniac ที่ 06-04-2016 13:20:17
ภูธนาดูเป็นผู้ใหญ่ดีนะ พอตกลงเป็นแฟนกันแล้วก็ไม่ได้เล่นตัวอะไรมาก ชอบก็บอกว่าชอบ น่ารัก
หัวข้อ: Re: กว่าจะเข้ากันได้ โดย เขมกันต์ อัพเดท [บทที่ 17] หน้า 3 - 06/04/2559 ค่ะ
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 06-04-2016 21:13:18
ใครแอบถ่ายรูปไปนะ  :katai1:  :katai1: :katai1:
หัวข้อ: Re: กว่าจะเข้ากันได้ โดย เขมกันต์ อัพเดท [บทที่ 17] หน้า 3 - 06/04/2559 ค่ะ
เริ่มหัวข้อโดย: เขมกันต์ ที่ 21-04-2016 20:35:04

มาแล้วค่า หายไปนานเลย ไม่มีอะไรแก้ตัวค่ะ T-T งานเยอะมากจริงๆ  :katai4: ค่ะ ขอโทษทีนะคะ ><  :z3:

อ่านตอนต่อไปกันเลยค่า

บทที่ 18


   ภูธนาไขกุญแจเข้าห้องได้ ยังไม่ทันได้วางกระเป๋าเสื้อผ้า เสียงโทรศัพท์มือถือก็ดังขึ้น แต่เจ้าตัวกลับไม่ได้สนใจที่จะรับจนกระทั่งปลายสายนั้นตัดสายไปเอง


   ชายหนุ่มเริ่มลงมือทำความสะอาดห้องทันที เพราะเกรงว่าหลังจากนี้อาจจะไม่มีเวลาได้ทำ กว่าจะจัดการงานบ้านเสร็จก็เล่นเอาเกือบหมดแรงเลยทีเดียว ภูธนารื้อของออกจากกระเป๋ามาเก็บให้เรียบร้อย แล้วคว้าผ้าเช็ดตัวเดินเข้าห้องน้ำไป



   อากาศร้อนๆ มาเจอกับน้ำเย็นๆ ทำให้ร่างกายสดชื่นขึ้นได้เป็นอย่างดี ภูธนาเลยใช้เวลาอยู่ในห้องน้ำค่อนข้างนาน ระหว่างนั้นก็ได้ยินเสียงเรียกเข้าดังขึ้นมาอีกประมาณ 2 หรือ 3 ครั้ง แต่ชายหนุ่มก็ยังไม่ได้สนใจอีกเหมือนเดิม



   เมื่อร่างกายรู้สึกผ่อนคลาย ความหิวก็เริ่มมาเยือน ชายหนุ่มจึงเดินไปสำรวจของในตู้เย็นว่ายังเหลืออะไรที่จะช่วยพอประทังชีวิตในมื้อเย็นให้ผ่านพ้นไปได้บ้าง แต่ก็ไม่มีอะไรเหลืออยู่เลย นอกจาก บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปเท่านั้น ไม่มีทางเลือก กาต้มน้ำจึงถูกนำมาใช้งานอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ มือขาวเรียวหยิบมือถือออกมาดูว่าใครที่โทรเข้ามาระหว่างที่รอน้ำเดือด



   '4 missed call'



   ชายหนุ่มยิ้มมุมปากเล็กน้อย คนที่โทรมาจะเป็นใครไม่รู้ แต่กลับพร้อมใจที่จะโทรมาในช่วงเวลาที่ใกล้ๆ กัน ช่างบังเอิญเสียจริง นิ้วมือเลื่อนเข้าไปดูรายชื่อคนที่โทรมา


   'ชนกันต์'

   'บริพัตร'

   '089-111-xxxx'

   'ภูสิตา'


   เบอร์ที่ 3 เป็นเบอร์ที่ไม่ได้บันทึกไว้ คาดว่าคงโทรผิดหรืออาจจะติดต่อเรื่องงาน แต่ก็ช่างเถอะ ถ้าติดต่อเรื่องงานควรโทรหาพี่กันต์มากกว่าตัวเขาเองเสียอีก ภูธนาเลิกสนใจเบอร์แปลกนั้น แต่ชื่อสุดท้าย ทำให้ชายหนุ่มต้องหยุดคิด ก่อนที่จะเจ้าตัวจะเลื่อนนิ้วไปที่ชื่อนั้นเพื่อโทรกลับ



   เสียงน้ำเดือดดังออกมาจากในครัว ภูธนาจึงจำต้องระงับความตั้งใจเอาไว้ก่อน แล้วไปจัดการกับเสียงนั้นเพื่อจะได้เติมอาหารลงกระเพาะเสียที หากยังปล่อยให้หิวต่อไป คงคิดอะไรไม่ออก แล้วจะพาลหงุดหงิดเสียเปล่า



   เสียงข้อความจากโปรแกรมแชทดังขึ้น ภูธนาเอื้อมไปหยิบโทรศัพท์ที่ถูกวางทิ้งไว้ก่อนหน้านี้ขึ้นมาอ่านข้อความ


   P@tt : "ผมถึงบ้านแล้วนะครับ"


   Thana : "ครับ ขอโทษด้วย ตอนที่คุณโทรมาผมกำลังอาบน้ำอยู่"


   P@tt : "อืม ไม่เป็นไรหรอก"


   Thana : "น้องภูล่ะครับ?"


   P@tt : "กลับมาถึงพี่ดินก็พาอาบน้ำ ตอนนี้นั่งเล่นอยู่ข้างล่าง อีกสักพักคงพาเข้านอน"


   Thana : "วันนี้น้องภูนอนหลับไปตั้งหลายชั่วโมง ไม่รู้คืนนี้จะง่วงนอนกี่โมงนะครับ อาจจะดึกแน่ๆ ฝากบอกคุณดินด้วยนะครับ พยายามกล่อมนิดนึง"


   P@tt : "ไม่เป็นไรหรอก พ่อเขาเต็มใจเชียวล่ะ ถ้าอย่างนั้นคุณลุงเองก็รีบเข้านอนดีกว่า ฝันดีนะครับ"


   Thana : "คุณอาก็เช่นกันนะ แล้วก็ขอบคุณมากนะครับที่พาผมกับน้องภูไปเที่ยว"


   P@tt : "ด้วยความยินดีครับ เพราะการหว่านพืชมันต้องหวังผลอยู่แล้วล่ะ"


   จัดการล้างชามเรียบร้อย โทรศัพท์ก็ดังขึ้นอีกครั้ง แต่ครั้งนี้ชายหนุ่มไม่ได้อิดออดที่จะเพิกเฉย กลับรับอย่างโดยดี


   "สวัสดีครับ พี่กันต์"


   "รับสายสักทีนะครับ ผมนึกว่าจะไม่กลับกรุงเทพเสียแล้ว" คนปลายสายส่งเสียงหัวเราะแว่วผ่านมา


   "ขอโทษครับ พอกลับมาก็รีบทำนั่นทำนี่ให้เสร็จ กลัวว่างานจะยุ่งจนไม่มีเวลาทำความสะอาดห้อง"


   "ล้อเล่นน่ะครับ เป็นไงบ้าง ไปเที่ยวมาสนุกมั้ย" 


   "ก็ดีนะครับ อากาศดี บรรยากาศดี ร่มรื่น ถ้ามีโอกาสพี่กันต์ไปด้วยกันสิครับ ถือโอกาสไปพักผ่อนด้วย" ภูธนาเอ่ยชวนผู้จัดการเพราะที่พักของบริพัตรเหมาะแก่การไปพักผ่อนจริงๆ


   "ก็ดีเหมือนกันนะครับ"


   "ว่าแต่ที่โทรมามีเรื่องอะไรหรือเปล่าครับ"


   "ครับ ตารางงานสัปดาห์หน้าครับ ค่อนข้างแน่นจริงๆ"  ชนกันต์เล่ารายละเอียดเกี่ยวกับงานในวันพรุ่งนี้ให้ภูธนาฟังคร่าวๆ นัดแนะเวลาที่จะมารับกับชายหนุ่มเรียบร้อยแล้ว ไม่ลืมที่จะส่งอีเมลตารางงานทั้งสัปดาห์ให้เรียบร้อยแล้ว


   "ขอบคุณมากเลยครับ พี่กันต์"


   "ไม่เป็นไรครับ เจอกันพรุ่งนี้นะครับ"


   "สวัสดีครับ" ภูธนากดวางสายก่อนจะลอคอินเข้าอีเมลก่อนจะฟอร์เวิร์ดเมลไปให้อีกคนที่ขอตารางงานของเขามาด้วย
   รอไม่นานสักพักก็มีเมลใหม่เข้ามาในอินบอกซ์พร้อมกับข้อความสั้นๆ


   'ขอบคุณครับ'


   เพียงแค่นั้นก็ทำให้เกิดรอยยิ้มเล็กๆ ได้แล้ว


   การถ่วงเวลานั้นได้หมดลงไปแล้ว ไม่ใช่ว่าภูธนาไม่รับรู้ แต่แค่ประวิงเวลาไว้ให้มีโอกาสได้คิดมากที่สุดเท่านั้น แต่ทว่าจะช้าหรือเร็วก็ต้องรับรู้อยู่ดี ปลายนิ้วเรียวจึงกดโทรออกไปปลายสายเสียที


   "พี่ธนา" เสียงสดใสของปลายสาย ทำให้ภูธนาลอบถอนหายใจออกมาเบาๆ ว่าคงไม่มีข่าวร้ายอะไร


   "ว่าไง สิตา"


   "ดูเย็นชากับน้องจริงๆ เลยนะคะ"


   "อย่างนั้นเหรอ แล้วตอนนี้อยู่ไหนล่ะ"


   "ตอนนี้หนูกลับมากรุงเทพแล้วนะคะ แต่ยังไม่อยากกลับไปที่บ้าน พี่คงไม่ว่าอะไรนะ"


   "พี่จะว่าอะไรเราได้ ตอนที่จะหายไปยังไม่ถามพี่สักคำ" คำพูดแกมประชดของพี่ชายแต่น้ำเสียงนิ่งเสียจนทำให้คนปลายสายกระอักกระอ่วนเล็กน้อย


   "แหม ก็ตอนนั้นหนูอยากไปเที่ยวนี่คะ ไหนๆ พวกเราก็ปลดหนี้ได้แล้ว" ภูสิตาไม่ได้อยากทวงบุญคุณแต่ก็อดไม่ได้ที่จะพูดให้พี่ชายได้เข้าใจว่าสิ่งที่ตนเองทำไปนั้นก็เพื่อพี่ชายด้วยเช่นกัน


   "ช่างเถอะ ที่โทรมามีแค่นี้ใช่มั้ย"


   "ก็ไม่เชิงหรอกค่ะ"


   "หืม?"


   "พี่ธนากลับมาทำงานในวงการบันเทิงแล้วเหรอคะ พอดีหนูเห็นรูปพี่ในนิตยสารน่ะค่ะ"


   "ก็คงงั้นนะ ช่วงนี้ก็เริ่มมีงานเข้ามาบ้างแล้ว มีอะไรหรือเปล่า"


   "ถ้าอย่างนั้น ..."


   "สิตา พี่ไม่ชอบคนอ้อมค้อม จะเอาอะไร บอกมาเลย"


   "ที่หนูโทรมาเนี่ยก็จะบอกให้พี่ธนาโอนเงินให้หน่อย ตอนนี้หนูเหลือเงินอยู่ไม่มากแล้ว"


   "เงินตั้งหลายล้าน แกเอาไปใช้ทำอะไรจนหมด" เสียงภูธนาดูร้อนรน ใช่ว่าตนตกใจเรื่องที่น้องสาวต้องการเงิน แต่เงินที่ได้มานั้นมากมาย แต่สิตากลับใช้หมดในเวลาอันรวดเร็ว


   "ก็แหม ตอนที่เราแย่อ่ะ หนูก็ไม่ค่อยได้ซื้ออะไรเลยนี่คะ อยากจะเที่ยวก็ไม่ได้ไป"


   "แต่เงินไม่ใช่น้อยเลยนะ แกนี่นะ ไม่คิดจะเก็บไว้ให้น้องภูบ้างเลยหรือไง"


   "โอ้ย พี่ธนาคะ น้องภูน่ะ ตอนนี้สบายกว่าเราอีกนะคะ พ่อเขาน่ะ การงานก็ดี ฐานะก็ดี ไม่ต้องห่วงน้องภูนักหรอกค่ะ" เสียงหญิงสาวเริ่มแสดงออกถึงความไม่พอใจ


   "แต่แกเป็นแม่นะ ไม่รักน้องภูหรือไงกัน"


   "พอเถอะค่ะ พี่ธนา ถ้าพี่จะเก็บเงินให้น้องภู พี่ก็ทำไปคนเดียวเถอะค่ะ แล้วสรุปพี่จะโอนเงินให้หนูมั้ย"


   "เอาเท่าไหร่" ภูธนาถอนหายใจ แต่ก็อดไม่ได้ที่จะปล่อยให้น้องสาวลำบาก


   "ห้าหมื่นค่ะ"


   "แกจะเอาไปทำอะไรตั้งห้าหมื่น เงินไม่ใช่น้อย"


   "เยอะแยะถมไปค่ะพี่ เงินห้าหมื่น ใช้ไม่กี่วันก็หมดแล้ว" เสียงน้องสาวพูดเหมือนเงินจำนวนนั้น เป็นเงินก้อนเล็กๆ


   "พี่ไม่มีขนาดนั้นหรอก พี่จะโอนไปให้ หมื่นเดียว แล้วใช้ให้พอ 2 อาทิตย์ ถ้าหมด พี่ก็ไม่มีเพิ่มให้"


   "มันจะไปพอได้ไงกันคะ ตั้ง 2 อาทิตย์ หนูไม่ใช่เด็กๆ แล้วนะคะ"


   "ถ้าไม่ใช่เด็กแล้ว ก็ควรจะไปหางานทำหรือไม่ก็ไปเรียนต่อ ถ้าจะเรียนต่อพี่ก็จะส่งแกเรียนเองไม่ต้องห่วง"


   "พี่ธนา !!"


   "แล้วถ้าเงินหมื่นเดียวมันไม่พอ ก็กลับมาอยู่ที่บ้านสิ อย่าว่าแต่ 2 อาทิตย์เลย 2 เดือนก็ยังอยู่ได้สบาย เอาเป็นว่าพรุ่งนี้พี่จะโอนไปให้ แค่นี้นะ"


   "ดะ เดี๋ยว" เสียงปลายสายทักท้วง แต่ภูธนากลับไม่ได้สนใจ กดตัดสายไปเกือบจะทันที


   จะบอกว่าโล่งใจก็คงไม่ถูกสักเท่าไหร่นัก ในใจลึกๆ แล้วภูธนาคิดว่าจะมีเรื่องอะไรที่ร้ายแรงกว่านี้เสียอีก ยังดีแค่ว่าเงินหมด ถึงเงินนั่นจะเป็นเงินหลายล้านก็เถอะ แต่มันก็ยังดีกว่าภูสิตาไปสร้างเรื่องอะไรที่รุนแรงกว่านี้มากนัก คิดได้ดังนั้น ภูธนาจึงเตรียมเข้านอน เพื่อเตรียมรับมือกับงานในวันพรุ่งนี้



   ล่วงเข้าวันใหม่ไปหลายชั่วโมงแล้ว เจ้าของห้องยังนอนหลับสบายจนไม่รู้สึกตัวว่าโทรศัพท์ของตนปรากฎแสงวาบสักพักหนึ่งแล้วแสงจึงดับไป


   '089-111-xxxx send you a photo'






   "มีอะไรหรือครับ" ชนกันต์หันมาถามภูธนาขณะที่กำลังขับรถมุ่งหน้าไปยังที่หมาย


   "ครับ?"


   "คุณดูเหมือนมีเรื่องอะไรในใจ"


   "ก็นิดหน่อยครับ"


   "ปรึกษาผมได้นะ ไม่ต้องเกรงใจ" ชนกันต์พูดจากใจจริง เพราะการดูแลจิตใจก็เป็นส่วนหนึ่งของงานเช่นกัน


   "ผมฝากพี่กันต์โอนเงินให้น้องสาวหน่อยนะครับ รายละเอียดผมส่งไปในเมลแล้ว"


   "ได้ครับ มีแค่นี้เหรอ?"


   "จริงๆ ก็ยังมีอีกเรื่อง แต่พี่กันต์ห้ามโกรธผมนะครับ ผมไม่สบายใจจริงๆ" ภูธนาพูดพลางทำหน้าสำนึกผิด ทำให้ชนกันต์ถึงกับหลุดขำออกมากับท่าที่แบบนั้น


   "ถ้าไม่ใช่เรื่องร้ายแรง แบบที่ว่าไปทำดาราคนไหนท้อง หรือไปติดยา ผมก็ไม่โกรธหรอก"


   "ผมว่าไม่น่าจะต่าง" ภูธนาพูดเสียงเบา


   "ฮะ?" พูดแค่นั้น ชนกันต์รีบเปิดไฟเลี้ยวรีบจอดฉุกเฉินที่ข้างทางทันที


   "เรื่องอะไรนะ" ภูธนาไม่ตอบ แต่ยื่นโทรศัพท์มือถือออกไปให้คนข้างๆ ดูรูปในนั้น คนที่เพิ่งเห็นรูปกลับเงียบ ไม่พูดอะไรออกมาจนภูธนารวบรวมความกล้าเอ่ยถามออกไป


   "ไหนบอกว่าจะไม่โกรธไงครับ"


   "ไม่ได้โกรธ แค่กำลังคิดว่าจะแก้ไขเรื่องนี้ยังไงดี เล่าให้ผมฟังหน่อย เรื่องมันเป็นมายังไง"


   "ลมมันพัดฝุ่นเข้าตาผม แล้วคุณพัตแค่เขี่ยออกให้เท่านั้นจริงๆ ครับ มันคนละเรื่องกับในรูปเลย" ภูธนาสบตาผู้จัดการหนุ่ม


   "ไม่เชื่อใช่มั้ยครับ" ท้ายที่สุด เสียงแผ่วเบาก็เอ่ยออกมาเหมือนคนสิ้นหวัง


   "เฮ้ย ไม่ใช่อย่างนั้น จะไม่เชื่อได้ยังไง" ชนกันต์ร้องออกมาเสียงหลง


   "ก็พี่ดูอึ้งๆ งงๆ เหมือนไม่อยากเชื่อ"


   "เรื่องมันดูไม่น่าเชื่อจริงๆ แหละครับ แต่ผมเชื่อว่าคุณไม่ใช่เป็นคนที่ชอบโกหกอะไรแบบนั้น"


   "ขอบคุณครับ" ภูธนายิ้มกว้างให้ทันที เมื่อรู้ว่าอย่างน้อยปัญหาที่จะตามมา ตนเองไม่ได้อยู่เพียงลำพัง


   "คนที่ส่งรูปมา ติดต่อมาอีกมั้ย"


   "เมื่อวานนี้ โทรมาครั้งนึง แต่ผมไม่ได้รับ พอเช้ามืดก็ส่งรูปนี้มา"


   "มันต้องการอะไรกันแน่"


   "ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน หรือเราจะโทรกลับไป"


   "เอาเบอร์มาให้ผม เดี๋ยวผมจะลองเอาเบอร์นี้ไปสืบดูก่อนว่าเป็นเบอร์ของใคร หรือคนของสำนักพิมพ์ไหน แล้วถ้ามันโทรมาอีกอย่าเพิ่งรับนะครับ"


   "ได้ครับ" ภูธนากดหน้าจอแล้วส่งต่อให้ชนกันต์รับไปเมมที่มือถือของตนเอง


   "ไม่ต้องกังวลนะครับ ตั้งใจทำงาน เรื่องนี้เดี๋ยวผมจัดการเอง" ชนกันต์เอ่ยให้คลายกังวลก่อนจะขับรถต่อ



   หลังจากส่งภูธนาถึงที่ทำงานแล้ว ชนกันต์ก็ออกมานั่งรอที่ร้านกาแฟ จิบกาแฟที่กำลังอุ่นได้ที่จนพอใจแล้ว ปลายนิ้วเรียวก็กดเบอร์ไปหาคนที่ต้องการ


   "โอ๊ะ โอ คุณกันต์ให้เกียรติโทรหาผม สงสัยวันนี้ฝนคงจะตกหนักหรือไม่ก็น้ำท่วม" เสียงปลายสายหัวเราะอย่างอารมณ์ดี


   "ยุ่งอยู่หรือเปล่า" ชนกันต์ไม่ได้สนใจคำพูดนั้น แต่ถามออกไปด้วยน้ำเสียงราบเรียบ


   "10 นาที" น้ำเสียงชวนทะเล้นเมื่อครู่แปรเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมตามอีกฝ่าย เมื่อเห็นว่าคนที่โทรมานั้นดูไม่ได้มีอารมณ์ที่จะล้อเล่นด้วย


   "ผมมีเรื่องรบกวนอยากให้คุณช่วยสืบเบอร์นี้ให้หน่อย ว่าเป็นเบอร์ใคร และทำงานที่ไหน"


   "มีอะไรหรือเปล่า บอกผมได้มั้ย"


   "ตอนนี้ยังบอกไม่ได้"


   "โอเค ส่งเบอร์นั่นมาละกัน เดี๋ยวผมจัดการให้"


   "ขอบคุณครับ แต่ขอภายในวันนี้ได้มั้ย"


   "ท่าทางจะเป็นเรื่องสำคัญแฮะ ไม่รับปากนะ แต่จะพยายาม"


   "ครับ"


   "แล้วผมจะได้อะไรตอบแทนล่ะครับ คุณ"


   "อยากได้อะไรก็คิดมาแล้วกัน แค่นี้นะครับ ผมจะรอฟังข่าว" หมดธุระชนกันต์ก็วางสายโดยไม่รอให้ปลายสายได้ตั้งตัว ชายหนุ่มจิบกาแฟต่อจนหมดถ้วย จึงลุกกลับไปที่ทำงานของภูธนา



   งานวันนี้ของภูธนาไม่ได้ยากอะไร ใช้เวลาเพียงครึ่งวันก็เสร็จ ชนกันต์จึงพาชายหนุ่มไปทานมื้อเที่ยงกันต่อ เพราะช่วงบ่ายต้องไปสนามรถแข่งเพื่อซ้อม


   "อ้อ คุณธนา ผมโอนเงินให้แล้วเรียบร้อยแล้วนะครับ"


   "ขอบคุณครับ พี่กันต์ เอ่อ แล้วเรื่องนั้น"


   "อย่าเพิ่งพูดอะไรตอนนี้ครับ ค่อยไปคุยทีหลัง" ชนกันต์เอ่ยเตือนด้วยเกรงว่าอาจมีคนได้ยินแล้วเรื่องราวจะแพร่กระจายออกไป


   "ครับ" ภูธนาจึงก้มหน้าทานอาหารที่แทบจะไม่รับรู้รสต่อไป


   วันนี้เขาทำเวลาได้ไม่ค่อยดี ไม่ค่อยมีสมาธิ เหม่อลอยหลายครั้ง จนกระทั่งพี่จอมสั่งให้หยุดซ้อม และไล่ให้ไปพัก


   "รู้ไม่ใช่เหรอ ขับรถมันต้องอาศัยสมาธิ ไม่งั้นจะเกิดอุบัติเหตุได้ง่ายๆ ประมาทไม่ได้เลย" จอมเดชยื่นแก้วน้ำเย็นมาให้คนตรงหน้า


   "ขอโทษครับ" ภูธนารับแก้วน้ำไปดื่มเพียงเล็กน้อยก็วางไว้ที่โต๊ะเล็กข้างโซฟา


   "เป็นอะไรไป"


   "พอดีผมมีเรื่องไม่สบายใจนิดหน่อย"


   "เรื่องครอบครัวเหรอ?"


   "เปล่า ไม่ใช่ครับ" ภูธนาส่ายหน้าประกอบคำพูด


   "แล้วบอกคุณกันต์หรือยัง"


   "บอกแล้วครับ เลยยิ่งรู้สึกเหมือนสร้างเรื่องให้คุณกันต์"


   "คุณกันต์จัดการปัญหาเก่งมาก แล้วการดูแลเรื่องพวกนี้น่ะก็เป็นหน้าของเขา ไม่ต้องกังวลไปหรอกน่า" จอมเดชตบบ่า 2-3 ที เป็นกำลังใจแล้วก็เดินออกจากห้องไป



   ระหว่างที่กำลังคิดอะไรเหม่อลอยอยู่นั้น เบอร์แปลกที่ส่งรูปมาให้ชายหนุ่มก็โทรมาอีกครั้ง เป็นจังหวะเดียวกับที่ชนกันต์เปิดประตูเข้ามา ชนกันต์เดินเข้ามาเมื่อเห็นว่าเป็นเบอร์ใครโทรมา จึงคว้ามากดรับเสียเอง


   "สวัสดีครับ"


   "สวัสดีคร้าบ คุณธนา" น้ำเสียงยียวนกวนประสาทที่คนฟังหลายคนคงอยากจะโมโห แต่มันใช้ไม่ได้ผลกับชนกันต์ที่มีภูมิต้านทานเรื่องนี้ได้เป็นอย่างดี


   "ครับ?"


   "แหม แหม อย่าทำเหมือนไม่เข้าใจที่ผมโทรมาเลย"


   "มีอะไรก็พูดมาได้เลยครับ"


   "คุณคงเห็นรูปที่ผมส่งไปแล้วใช่มั้ย"


   "เห็นแล้วครับ คุณถ่ายรูปสวยมาก" ชนกันต์เอ่ยปากชมเพราะองค์ประกอบของภาพสมส่วนลงตัวทีเดียว


   "ถ้ารูปสวยๆ นี้แพร่ออกไปทางเน็ต มันจะเป็นยังไงกันน้า"


   "เสียเวลา เข้าเรื่องเถอะครับ คุณจะเอาเท่าไหร่"


   "จุ๊ๆ ใจร้อนเสียจริง แต่ก็ไม่เสียเวลาดี ผมขอแค่ 1 ล้าน สำหรับรูปนี้และเพื่ออนาคตที่ยังมีต่อไปของคุณ"


   "รูปใบเดียว ตั้งล้านนึง แพงไปนะครับ" ผู้จัดการหนุ่มต่อรองราคาอย่างไม่จริงจังนัก ส่วนมือข้างว่างต้องยกห้ามเจ้าของโทรศัพท์ที่กำลังจะเอ่ยขัด


   "แค่นี้เล็กน้อยเมื่อเทียบกับที่คุณจะหาเงินได้"


   "แล้วผมจะแน่ใจได้ยังไงว่าคุณจะไม่หักหลังผมทีหลัง"


   "ผมพูดคำไหนคำนั้นนะครับ ทุกเรื่องเลย"


   "ตกลงครับ คุณต้องการเมื่อไหร่"


   "ของแบบนี้ ยิ่งเร็วยิ่งดีครับ"


   "งั้นถ้าผมเตรียมเงินเสร็จแล้วจะติดต่อกลับไปนะครับ"


   "เร็วๆ นะครับ ถ้าช้า ผมกลัวว่ามือจะลั่นเอง แล้วเดี๋ยวนี้อะไรๆ มันก็กระจายเร็วไปหมด ว่างั้นมั้ยครับ คุณธนา" เสียงปลายสายหัวเราะอย่างสะใจแล้วก็ตัดสายไป


   "ล้านนึง ทางนั้นเรียกล้านนึงใช่มั้ยครับ" ภูธนาเอ่ยถามย้ำด้วยเสียงร้อนรน ด้วยเกรงว่าตนเองจะฟังผิด


   "ครับ"


   "แต่ผมไม่มีเงินขนาดนั้น พี่กันต์ก็รู้ ช่างมันเถอะครับ ถ้าเขาจะปล่อยภาพนั้นก็ให้เขาทำไปเถอะครับ" ภูธนาพูดอย่างปลงตก เพราะเงินมากขนาดนั้น ไม่มีทางที่เขาจะจ่ายได้อยู่แล้ว


   "ผมบอกแล้วไงว่าจัดการได้ คุณไม่ต้องกังวลไปหรอก "


   "ทำยังไงเหรอครับ"


   "ตอนนี้ขอเป็นความลับก่อนนะครับ ลืมเรื่องเงินล้านนึงนั่นไปได้เลย คนที่ชอบแบล็คเมล คนอื่นน่ะ ผมไม่ชอบออกจะเกลียดด้วยซ้ำ เพราะอย่างนนี้งานนี้เราจะงไม่เสียอะไรแน่นอนครับ"


   "แล้วผมต้องทำยังไงบ้าง"


   "คุณธนาทำงานตามหน้าที่ของตนเองไปเหมือนเดิม แล้วถ้ามันโทรมาอีกก็ไม่ต้องรับ ผมตั้งโอนสายมาที่เครื่องผมแล้ว"


   "ขอโทษนะครับ ที่ทำให้วุ่นวายแบบนี้"


   "ไม่เป็นไรครับ เรื่องนี้น่ะเล็กน้อยมาก เมื่อเทียบกับเรื่องที่ผมเคยเจอ" ชนกันต์พูดอย่างอารมณ์ดี


   "แต่ผมก็ยังรู้สึกผิดอยู่ดี คุณพัตก็ยังไม่รู้ ถ้าเจ้าตัวรู้เรื่องเข้า ไม่รู้จะว่ายังไงบ้าง"


   "กังวลเหรอ ก็ไม่ต้องบอกสิครับ ไม่รู้หรอก"


   "ไม่บอกหรอกครับ แต่ก็หนาวๆ ร้อนๆ ยังไงไม่รู้" ภูธนาหน้ามุ่ยลงเล็กน้อย เมื่อคิดว่าหากบริพัตรรู้เรื่องเข้า ชายหนุ่มอาจจะโกรธตนเองก็เป็นได้


   "คุณธนา นี่ตลกดีนะครับ เหมือนเด็กทำผิดแล้วกลัวผู้ใหญ่จะจับได้เลย"


 :mew1: :mew1:

หัวข้อ: Re: กว่าจะเข้ากันได้ โดย เขมกันต์ อัพเดท [บทที่ 18] หน้า 4 - 21/04/2559 ค่ะ
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 21-04-2016 21:07:43
ภูธนา ไม่น่าเก็บเรื่องขู่กรรโชกไว้ฝ่ายเดียว
น่าจะบอกบริพัตรด้วย
ภูสิตา น่าจะทำเรื่องเดือดร้อนให้ภูธนาอีกเป็นแน่
เป็นน้องสาวที่ไม่มึความเป็นแม่ ไม่มีความรับผิดชอบ ใช้ชีวิตลอยไปวันๆ
ใช้เงินแบบไม่รู้คุณค่าของเงิน ทั้งที่ตัวเองหาเงินไม่เป็น
รอ ตามต่อ  :L1: :L1: :L1: 
:pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: กว่าจะเข้ากันได้ โดย เขมกันต์ อัพเดท [บทที่ 18] หน้า 4 - 21/04/2559 ค่ะ
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 21-04-2016 22:06:19
 :katai1: :katai1: :katai1: :katai1:
หัวข้อ: Re: กว่าจะเข้ากันได้ โดย เขมกันต์ อัพเดท [บทที่ 18] หน้า 4 - 21/04/2559 ค่ะ
เริ่มหัวข้อโดย: insomniac ที่ 21-04-2016 22:20:28
งานเข้าพร้อมกันสองทาง
แต่รอบตัวยังมีคนดีๆ คอยช่วยเหลือ
ก็ไม่แย่เกินไปนะ
หัวข้อ: Re: กว่าจะเข้ากันได้ โดย เขมกันต์ อัพเดท [บทที่ 18] หน้า 4 - 21/04/2559 ค่ะ
เริ่มหัวข้อโดย: mukmaoY ที่ 22-04-2016 23:47:30
มันกระอักกระอ่วนนะ เพราะจริงๆก็กิ๊กกันอยู่ดี
หัวข้อ: Re: กว่าจะเข้ากันได้ โดย เขมกันต์ อัพเดท [บทที่ 18] หน้า 4 - 21/04/2559 ค่ะ
เริ่มหัวข้อโดย: เขมกันต์ ที่ 27-04-2016 20:45:51

คุณ ทฟเืนสรฟ : คนคิดมาก ก็คิดมากอยู่ร่ำไปค่า ส่วนสิตานี่ ลุ้นกันต่อเนาะ

คุณ iceman555 : ใจเย็นๆ นะค้า

คุณ insomniac : สงสารลุงธนาจริงเชียว แต่ก็โชคดีเรื่อยๆ ค่ะ ไม่แย่จนเกินไปนัก

คุณ mukmaoY : ฮ่าๆ ลำบากใจค่ะ จะประกาศก็เกรงใจ ลุงธนาก็เริ่มมีชื่อเสียงกลับมาแล้ว

------------------------------------------------------------------------------------------------------

บทที่ 19


   1 วัน ผ่านไปกับการทำงานที่ไม่ค่อยมีสมาธิ ใจก็ยังเฝ้ากังวลเรื่องรูปถ่ายนั่น เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นเมื่อไหร่ ชายหนุ่มก็แทบจะรู้สึกเหมือนตนเองคล้ายกับคนบ้าเข้าไปทุกที


   "วันนี้เลิกงานกี่โมงครับ" เสียงทุ้มคุ้นหูดังอยู่ข้างหลัง ภูธนารีบหันมาทันที


   "มาได้ไงเนี่ย" คนมาหาถึงที่ไม่ตอบ กลับส่งยิ้มหวานมาแทน แต่รอยยิ้มนั้นก็ดันเผื่อแผ่ไปทั้งสตูดิโอ ทำเอาคนหนุ่มสาวในบริเวณนั้นหลงสเน่ห์ไปตามๆ กัน


   "ว่าไงครับ?"


   "อีกสัก ชม ก็น่าจะเสร็จครับ" ไม่ใช่เสียงของภูธนา แต่เป็นผู้จัดการหนุ่มที่นั่งอยู่ข้างกาย


   "พี่กันต์ นี่คุณพัตครับ"


   "สวัสดีครับ" บริพัตรทักทายอีกฝ่าย


   "อ่อ คนในรูปนี่เอง"


   "พี่กันต์!" ภูธนาร้องเสียงดัง ทำเอาภายในห้องสตูดิโอเงียบลงไปทันที ชายหนุ่มจำต้องยิ้มขอลุแก่โทษคนในบริเวณนั้นเป็นการด่วน


   "รูป?" ไม่มีคำตอบใดตอบกลับมา บริพัตรจ้องมองคนที่คิดว่าน่าจะรู้ปัญหาได้มากที่สุด ทำเอาภูธนารู้สึกร้อนๆ หนาวๆ ไปทั่วร่างกาย


   "ว่าไงครับ รูปอะไรกัน"  คนไม่รู้เรื่องถามย้ำ


   "เอ่อ เรื่องรูป"


   "น้องธนา เตรียมเข้าฉากต่อไปได้เลยครับ" เสียงสวรรค์จากสต๊าฟ ช่วยชีวิตภูธนาเอาไว้ได้ทัน ชายหนุ่มรีบลุกขึ้นไปเข้าฉาก ดวงตาคู่สวยสบตากับบริพัตรก็เข้าใจได้ดีว่า ตอนนี้แค่รอดตัวเรื่องคงไม่จบเพียงแค่นี้ แต่อย่างน้อยก็ยังได้ยืดเวลาออกไปล่ะน่า


   "พี่กันต์?" บริพัตรหันไปถามชายหนุ่มที่ยังนั่งเฉยเหมือนทองไม่รู้ร้อน


   "หาจังหวะบอกอยู่ แต่ไม่เจอนายเลยนี่ เอาสั้นๆ ละกัน มีคนถ่ายรูปนายกับคุณธนาตอนที่ไปพักผ่อนที่กาญฯ แล้วรูปนั่น มันดูเหมือนนาย 2 คนกำลังจูบกัน   แต่ธนาบอกพี่ว่านายแค่เขี่ยฝุ่นออกจากตาให้" บริพัตรได้ฟังก็กลอกตาไปมาใช้ความคิดนิ่งไปสักพัก


   "นึกออกละ เรื่องมันเป็นอย่างนั้นแหละ แต่ใจก็อยากจูบอยู่หรอกนะ เสียดายชะมัด"


   "นายนี่มันเสือร้ายจริงๆ" น้ำเสียงประชดประชันของชนกันต์ไม่ได้ทำให้บริพัตรรู้สึกทุกข์ร้อนอะไร กลับหัวเราะชอบใจด้วยซ้ำ ภูธนาเหลือบมองคน 2 คนที่ยืนอยู่ตรงนั้น หวั่นใจกลัวว่าชนกันต์จะเล่าเรื่องรูปออกไป แต่เห็น 2 คนนั่นดูจะเข้ากันได้ คงไม่ใช่เรื่องที่เขากังวลหรอก ชายหนุ่มจึงวางใจทุ่มเทสมาธิกับงานตรงหน้านี้ต่อ


   "นิดหน่อยน่า ว่าแต่พี่ทำอะไรไปบ้างแล้วล่ะ"


   "ดิศบอกว่า ช่างภาพคนนั้น สังกัดอยู่นิตยสาร A ประวัติไม่ค่อยดีสักเท่าไหร่ ส่วนใหญ่ก็หากินด้วยรูปแบล็คเมลพวกนี้แหละ"


   "มันเรียกเท่าไหร่"


   "ล้านนึง แต่พี่ให้ดิศสืบเพิ่มอยู่"


   "แล้วมันจะติดต่อมาอีกเมื่อไหร่"


   "พี่บอกมันไป 3 วัน แล้วจะติดต่อไปเอง"


   "โอเค เดี๋ยวผมคุยกับไอ้ดิศต่อเอง ฝากพี่ดูแลธนาก็พอ รายนี้มีแต่เรื่องให้คิด แล้วก็ดันคิดเยอะซะด้วย"


   "งั้นเรื่องรูป พี่ยกให้นายจัดการต่อเองเลยนะ " ชนกันต์พูดด้วยความรู้สึกผิดที่โยนภาระมาให้อีกฝ่าย


   "ไม่ต้องทำเสียงแบบนั้นใส่ผม ถ้าผมเป็นเสือ พี่ก็งูพิษดีๆ นี่แหละ"


   "แสนรู้จริงๆ" 


   "ขอบคุณที่ชมนะครับ"


   "ว่าแต่เดี๋ยวนี้ลุกมาแต่งหล่อ จะเข้ามาทำงานวงการบันเทิงแข่งกับคุณธนาเหรอ" ชนกันต์เอ่ยแซวกับบุคลิกที่เปลี่ยนไปของเจ้าตัว


   "จะจีบใครสักที มันก็ต้องมีบ้าง กลัวเค้าจะไม่มอง"


   "เป็นเอามากว่ะ" ผู้จัดการหนุ่มส่ายหน้าระอาให้กับความคิดของคนพูด


   "พี่ชักพูดเยอะเกินไปละ กลับไปได้แล้ว เดี๋ยวผมไปส่งธนากลับบ้านเอง"


   "เฮ้ยได้ไงล่ะ นั่นมันหน้าที่พี่"


   "จริงๆ ก็ไม่ได้เต็มใจอยากทำขนาดนั้นหรอกน่า กลับๆ ไปเถอะ เกะกะเปล่าๆ"


   "ปากหรือนั่น"


   "บ๊าย บายคร้าบ พี่กันต์" บริพัตรไม่ต่อล้อต่อเถียงต่อ โบกมือลาเชิงไล่ให้ชนกันต์ออกไป




   บริพัตรนั่งรอภูธนาทำงานไปเรื่อยๆ วันนี้เขาขับรถมาทำงาน ตั้งใจจะมารับคนงานยุ่งไปทานมื้อเย็นสักมื้อ เมื่อดูตารางงานของภูธนา ก็พบว่าชายหนุ่มมีถ่ายแบบใกล้ๆ ที่ทำงานของเขา พอเลิกงานแล้วบริพัตรจึงตั้งใจมาหาภูธนาโดยไม่ได้บอก ระหว่างที่นั่งรอนั้นสต๊าฟในสตูดิโอก็เข้ามาพูดคุย ดูแลเขาไม่ขาด ไม่ว่าจะน้ำเอย ขนมเอย และคำถามยอดฮิตว่าเขาสนใจเข้าวงการบันเทิงมั้ย หรือมาหาใครเหรอ แต่ชายหนุ่มก็ทำเพียงยิ้มตอบ หรือส่ายหน้าปฏิเสธคำชวน


   "รอนานมั้ยครับ? พอดีมีถ่ายซ่อมนิดหน่อย" ภูธนาเดินเข้ามาถามเมื่อเจ้าตัวทำงานเสร็จแล้ว


   "ไม่เป็นไร เสร็จแล้วใช่มั้ย"


   "ครับ"


   "กลับเลยมั้ย เหนื่อยหรือเปล่า"


   "ไม่เหนื่อยหรอกครับ แต่กลับเลยก็ดี คงไม่มีอะไรแล้ว พี่กันต์ล่ะครับ" ภูธนาชะเง้อมองหาแต่ก็ไม่พบร่างคนที่ถามหา


   "ผมขอให้เขากลับไปแล้ว เพราะเดี๋ยวผมจะดูแลคุณต่อเอง"


   "ไม่เห็นต้องลำบากเลย แค่มาหาก็ดีใจมากแล้ว" ประโยคต้นเสียงดังฟังชัด แต่ประโยคหลังแผ่วเบาเกือบเหมือนเสียงกระซิบ แต่บริพัตรก็ยังได้ยินชัดเจน คนมาหาส่งยิ้มให้กับความตรงไปตรงมาในคำพูดนั้น


   "ผมเต็มใจน่า แค่มารับแฟนคนเดียว มันจะลำบากอะไรกัน จริงมั้ย"


   "ใครเป็นแฟนคุณ คิดเอง เออเองก็ได้นะเนี่ย หยุดยิ้มได้แล้วครับ มีอะไรให้ยิ้มขนาดนั้น แค่นี้คนทั่วสตูฯ แทบจะไม่เป็นอันทำงานกันไปหมด"


   "ช่างคนในสตูฯ เค้าสิ คุณต่างหากล่ะ ทำงานได้หรือเปล่า"


   "ทำได้สิครับ ไม่หลงกลหรอก เดี๋ยวผมไปเก็บของก่อน"


   "งั้นผมไปเอารถมารับที่หน้าสตูฯ นะ"


   "ครับ"



   รถค่อนข้างติด รถคันสวยจอดติดไฟแดง แยกนี้ มา 3 ไฟแดงแล้ว เพราะสัญญาณสีเขียวปล่อยรถในแต่ละครั้งเพียงแค่ 15 วินาที แต่ไฟแดงนั้นรอเกือบ 5 นาที บรรยากาศภายในรถไม่ได้มีเสียงพูดคุยกัน มีเพียงเสียงจากวิทยุที่กำลังบรรยายข่าวช่วงค่ำ แต่คน 2 คนก็ไม่ได้รู้สึกอึดอัดอะไร กลับเป็นการเพิ่มเวลาให้ได้อยู่ด้วยกันมากขึ้น


   "หิวหรือยังครับ" บริพัตรเอ่ยถามคนที่นั่งเงียบอยู่ข้างๆ


   "ก็นิดหน่อย คุณพัตล่ะ"


   "ไม่ค่อยหรอก อิ่มใจอยู่"


   "ก็ดีครับ งั้นก็ไม่ต้องไปกินข้าวหรอก เปลืองเปล่าๆ"


   "ล้อเล่นน่า ก็หิวนิดหน่อยเหมือนกัน แต่ยังพอทนได้  จากตรงนี้ไปบ้านผมใกล้กว่า เอางี้ไปทานข้าวที่บ้านละกัน จะได้ไปหาน้องภูด้วย"


   "จะดีเหรอครับ เดี๋ยวจะดึกไป"


   "ไปเถอะน่า" บริพัตรไม่ได้รอฟังคำประท้วงใดๆ อีก รถยนต์เครื่องแรงมุ่งตรงไปยังบ้านชายหนุ่มทันที



   แสงไฟสว่างภายในบ้านหลังเดิมที่เคยคุ้น ภูธนาได้ยินเสียงของหลานชายตัวน้อยกำลังเสียงดังต่อรองผู้เป็นพ่ออะไรสักอย่าง อดไม่ได้ที่จะทำให้ใครต่อใครพากันหลงรักและยอมตามใจกับน้ำเสียงแบบนั้น  ไม่เห็นภาพแต่ภูธนาก็นึกออกเลยว่าเจ้าตัวน้อยต้องกอดแข้งกอดขาหลอกล่อให้ตามใจเป็นแน่


   "เอ้าๆ ห้อยโหนเป็นลูกลิงเลยเชียว ดูสิครับว่าใครมาเอ่ย" บริพัตรเปิดประตูบ้านเข้าไปก็ส่งเสียงทักทายให้คนในบ้านได้รู้สึกตัว


   "ลุงธนา!!" เสียงเล็กรีบตะกายลงจากพ่อแล้ววิ่งไปหาลุงทันที ร่างเล็กแต่เต็มไปด้วยเนื้อที่กลมแน่นพุ่งเข้าหา ทำเอาภูธนาเกือบจะรับไม่ไหว


   "อย่าเล่นแรงสิครับ น้องภู" ภูธนาเอ่ยเตือนหลานชายเบาๆ ชายหนุ่มก้มลงไปอุ้มเด็กน้อยขึ้นมา


   "ตัวหนักไม่ใช่เล่นนะเรา อีกหน่อยลุงคงอุ้มไม่ไหวแล้วนะ"


   "น้องภูคิดถึงลุงธนามากๆ เลยฮะ" เด็กน้อยกอดคอลุงแน่น ริมฝีปากแดงป้วนเปี้ยนบนแก้มขาวนวลไม่หยุด ลุงกับหลานฟัดกันจนพอหอมปากหอมคอ ชายหนุ่มก็ปล่อยให้หลานชายไปเล่นต่อ


   "มาได้ไงครับ คุณธนา" ภูบดินทร์เอ่ยถาม


   "เอ่อ.. ก็คือ"


   "ผมไปรับเค้ามาเองแหละ ตั้งใจจะพาไปกินข้าวแต่รถมันติดเลยมาหาอะไรกินที่บ้านเราดีกว่าเพราะอยู่ใกล้" บริพัตรตอบด้วยท่าทีสบายๆ ไม่ได้สนใจกับท่าทีที่งงเป็นไก่ตาแตกของพี่ชาย


   ภูบดินทร์มองชายหนุ่ม 2 คนสลับไปมาสักพักก่อนจะทำท่าเหมือนนึกอะไรได้


   "เดี๋ยวนะ ที่ทำตัวแปลกๆ นี่เพราะคุณธนาเหรอ" ภูบดินทร์หันไปยิงคำถามกับน้องชาย


   "งั้นมั้ง" บริพัตรตอบไม่หันมามองพี่ชาย เจ้าตัวนั่งเล่นรถแข่งอยู่กับหลานชาย


   "เฮ้ย เป็นไปได้ไงวะ พัต ตอนไหน อะไร ยังไง เมื่อไหร่ ทำไมพี่ไม่รู้เรื่อง"


   "พูดมากจริง"


   "เออ ไอ้พัต ไอ้คนปากหนัก ถามคุณธนาเองก็ได้ ว่าไงครับคุณธนา พอจะบอกผมได้มั้ย" ภูบดินทร์หวังจะให้ภูธนาเป็นคนเฉลยแต่ก็ไม่มีเสียงใดๆ ตอบกลับมานอกจาก แก้มที่เป็นสีชมพูจางๆ บนใบหน้าขาว


   "สรุป ไม่มีใครบอกพี่สักคนสินะ"


   "ไม่ต้องสนใจหรอกพี่ดิน เอาเป็นเท่าที่รู้ว่ามันเป็นอย่างที่พี่คิดก็พอแล้วมั้ง"


   "ต้องสนใจดิวะ น้องทั้งคน เก็บตัวเงียบอย่างกับฤาษีอยู่เป็นนาน คนมันจะเปลี่ยนแปลงได้ ก็ต้องอยากรู้เป็นธรรมดา"


   "ผมกับคุณธนายังไม่อยากรู้เลย พี่จะอยากรู้ไปทำไมกัน ไม่เอาละ ผมพาคุณธนามากินข้าว ไม่ใช่ให้พี่มาสอบปากคำ" บริพัตรตอบตัดบทพี่ชายด้วยท่าทีที่สุดแสนจะกวนบาทาผู้เป็นพี่ชายได้เป็นอย่างดี


   "ไปทานข้าวกันคุณธนา ตรงนี้เสียงดังมีคนบ้า น่ารำคาญ คุณคงหิวแล้วใช่มั้ยครับ" บริพัตรไม่พูดเปล่า คว้ามือคนที่ถูกชวนไปต่อหน้าพี่ชาย แกล้งให้ภูบดินทร์หมั่นไส้เพิ่มเข้าไปอีก


   "เออ พี่ขอให้คุณธนาหักอกเอ็ง ไอ้พัต หมั่นไส้จริงๆ" เสียงส่งท้ายทำให้บริพัตรหัวเราะเบาๆ ให้กับความพาลของพี่ชาย


   "แกล้งคุณดินเกินไปหรือเปล่าครับ" ภูธนาถามขึ้นระหว่างที่กำลังทานอาหารกันอยู่ตามลำพัง


   "ไม่ต้องคิดมากหรอก พี่ดินน่ะไม่ใช่อย่างที่คุณเห็นหรอก รายนี้ไม่มีทางปล่อยผ่านอะไรง่ายๆ คืนนี้ผมคงปวดหูทั้งคืนแน่ๆ"


   "ทำไมล่ะครับ เป็นอะไรไป เจ็บหูเหรอ" หน้าตาเลิ่กลั่กแสดงความเป็นห่วงของภูธนา ทำให้บริพัตรอดขำไม่ได้


   "ไม่ใช่อย่างนั้น ผมหมายถึงว่าคืนนี้พี่ดินคงจะไม่ยอมออกจากห้องผมไปง่ายๆ จนกว่าเจ้าตัวจะรู้เรื่องคุณกับผมแน่นอน "


   "อ้อ ผมก็คิดว่าคุณเจ็บตรงไหนซะอีก" ภูธนาเขินหน้าแดงเพราะเผลอปล่อยไก่ออกมาตัวใหญ่


   "ขอบคุณนะครับที่เป็นห่วง"


   "ขอบคุณผมแต่ไม่ต้องใช้สายตาแบบนั้นได้มั้ยล่ะ"


   "แบบไหนครับ?"


   "ทำอย่างกับไม่รู้ตัวเอง ตาหวานเยิ้มขนาดนี้ หลอกให้คนตกหลุมไปกี่คนแล้วล่ะครับ"


   "ไม่เคยเลย แต่ถ้าผมจะใช้แล้วล่ะก็ คงต้องเริ่มกับคนตรงหน้าแล้วล่ะครับ ว่ามันได้ผลมั้ย"


   "อิ่มหรือยังครับ เดี๋ยวผมล้างจานให้" คนถูกถามไม่ตอบ เฉไฉเปลี่ยนเรื่องเอาตัวรอด


   "คุณยังติดผมอยู่ 2 เรื่องนะครับ"


   "เรื่องอะไรครับ" ภูธนาว่าพลางเปิดก๊อกน้ำในอ่าง มือขาวเริ่มลงมือกวาดเศษอาหารทิ้งขยะ


   "เลี่ยงได้ก็เลี่ยงไปนะครับ ลุงธนา"


   "ลุงธนาฮะ ลุงธนา ขึ้นไปเล่นรถแข่งบนห้องอาพัตเตอร์กันเถอะ อาพัตเตอร์มีรถแข่งเยอะแยะเลย" หลานชายตัวน้อยวิ่งเข้ามาในห้องครัว ทำให้บทสนทนาหยุดชะงักลง


   "เกรงใจอาพัตนะครับ เล่นกับลุงข้างล่างดีกว่านะ"


   "อาพัตเตอร์อนุญาตแล้ว ใช่มั้ยฮะ" เด็กน้อยหันไปออดอ้อนอาเพื่อขอการสนับสนุน


   "ครับ ใครจะกล้าขัดใจ ตัวยุ่งนี่ล่ะ"


   "เย่ งั้นไปกันไปเถอะฮะ ลุงธนา อาพัตเตอร์" เด็กน้อยจูงมือลุงกับอาของตนขึ้นไปห้องของอาอย่างรวดเร็ว


   "คุณนี่นะ ตามใจหลาน เดี๋ยวแกจะเคยตัวนะครับ" ภูธนาหันไปต่อว่าเสียงเบากับคนที่เดินมาข้างๆ ด้วยกัน


   "อย่าบ่นเลยลุงธนา อะไรที่พอจะตามใจได้ก็ว่ากันไปทีละเรื่องแล้วกันนะ"


   ภูธนามีโอกาสได้เข้ามาห้องของชายหนุ่มเป็นครั้งที่ 2 หลานชายเดินเข้าไปในห้องอย่างคุ้นเคย เด็กชายเดินไปที่ผนังของห้อง ลักษณะเป็นตู้บิวท์อินตั้งแต่พื้นจรดเพดาน ที่กินบริเวณไปทั้งความยาวของห้อง มืออวบป้อมดันออกแรงดันบานเลื่อนของตู้อย่างคุ้นเคย


   "นี่ไงฮะ ลุงธนา รถเยอะแยะเลย" เด็กชายพูดอวดผู้เป็นลุงอย่างภูมิใจ



   ถึงแม้ว่าภูธนาจะเคยได้ยินจากบดินทร์มาก่อนว่าบริพัตรนั้นเหมือนจะชอบรถแข่ง แต่เจ้าตัวไม่คิดว่าจะชอบและสะสมมากขนาดนี้ ชายหนุ่มเดินไปที่ตู้ติดผนัง ที่ยังมีกระจกอีกชั้นกั้นอยู่ซึ่งทำหน้าที่ป้องกันฝุ่น ลงทุนทำขนาดนี้คาดว่า เจ้าของรถคงจะชอบรถมากจริงๆ


   "เยอะจริงๆ ด้วยครับ มีแต่รุ่นที่หายากทั้งนั้นเลย" ปากตอบหลานชาย แต่สายตากลับไม่ละจากบานกระจกนั้นเลย


   "รู้เรื่องรถพวกนี้ด้วยเหรอ" เสียงทุ้มกระซิบเอ่ยถามข้างหู ทำให้ภูธนาตัวนิ่งขึ้นทันที


   "ก็พอรู้บ้างครับ"


   "แม่บอกว่า ลุงธนาชอบรถม๊าก มาก แต่เอาไปขายหมดแล้วเพราะเอาเงินมาเลี้ยงน้องภู"


   "แม่เราก็พูดเกินไป แค่รถเอง เดี๋ยวลุงก็หาซื้อใหม่ได้ แต่น้องภูหาใหม่ไม่ได้แล้วน้า"


   "อาพัตเตอร์ฮะ น้องภูอยากเล่นคันนั้น"


   "เอาสิครับ เดี๋ยวอาหยิบให้" เจ้าตัวน้อยพอได้ของเล่นก็ไม่สนใจอะไรอีกนั่งเล่นเงียบๆ อยู่ลำพัง


   "ตอนนั้นคุณคงลำบากมากสินะ"


   "ไม่เท่าไหร่หรอกครับ ถึงงานจะเหนื่อย แต่ผมมีความสุขนะ"


   "แล้วตอนนี้ล่ะ มีความสุขมั้ย" นิ้วเรียวเขี่ยแก้มขาวเบาๆ ภูธนาอยากจะหลบเลี่ยงแต่ก็ลำบากเพราะตอนนี้แผ่นหลังก็พิงอยู่กับบานกระจก


   "ไม่รู้สิครับ"


   "ถ้าอยู่กับผมแล้วไม่มีความสุข เสียใจเลยนะเนี่ย"


   "โตแล้วนะครับ งอแงง่ายเป็นเด็กเชียว" คนตัวผอมกว่าหันกลับไปดูรถแข่งต่อ แต่พลันร่างกายต้องนิ่งแข็งทื่ออีกครั้ง


   "คุณพัต"


   "ครับ"


   "รถพวกนี้ คุณซื้อมาจากไหน"


   "ทำไมเหรอ"


   "ตอบผมมาก่อนว่าคุณซื้อมาจากที่ไหน"


   "ร้านโมเดลรถแถวรถไฟฟ้าน่ะ"


   "ที่มีโมบายแขวนเยอะๆ หรือเปล่าครับ"


   "น่าใช่นะ คุณรู้จักร้านเหรอ"


   "ก็รถตรงชั้นนี้ของคุณมันเป็นเซทที่ผมขายให้ร้านนั้น"


   "จริงเหรอเนี่ย บังเอิญมาก นี่แหละน้า ที่เค้าเรียกว่าพรหมลิขิตใช่มั้ยลุงธนา"


   "ยังทำเป็นเล่นนะครับ แต่ผมก็ดีใจจริงๆ ที่คุณเป็นคนซื้อพวกมันมานะครับ"


   "ดีใจทำไมกันครับ"


   "อย่างน้อยผมก็รู้ว่าคนที่ซื้อไปเป็นใคร เค้าดูแลมันยังไง แล้วที่สำคัญถ้าผมคิดถึงพวกมัน ผมก็จะได้ขอคุณมาหามันได้ตลอดเวลาไงครับ"


   "สงสัยผมคงต้องน้อยใจจริงๆ แล้ว"


   "เอ้า ทำไมล่ะ"


   "ไม่เห็นคุณอยากจะมาหาเจ้าของเล้ย"


   "เจ้าของก็อยากมาหาครับ ถือซะว่าเป็นของแถมที่ติดมาละกันครับ เอ้ามัวแต่ดูจนเพลิน เกือบจะสี่ทุ่มแล้วครับ เดี๋ยวผมขอตัวกลับก่อนดีกว่า"


   "ค้างที่นี่เลยมั้ย มันดึกแล้ว"


   "ไม่ดีกว่าครับ ผมเกรงใจ"


   "ไม่ต้องกลัวอะไรหรอกน่า"


   "เปล่า ไม่ได้กลัวสักหน่อย"


   "งั้นก็นอนที่นี่แหละ นอนกับน้องภูเหมือนเดิมหรือจะนอนกับอาน้องภูก็ได้นะครับ ผมไม่ขัดข้องอะไรนะ"


   "นอนคนเดียวไปเถอะ"


   "น้องภูอยากนอนกับลุงธนาหรือเปล่า นะครับ นอนที่นี่นะ?" อาจอมเจ้าเล่ห์หันไปขอความช่วยเหลือจากหลานรัก ส่วนมือก็คว้ามืออีกคนที่ทำท่าดื้อดึงจะกลับบ้าน ส่งเสียงอ้อนเหมือนหลานชาย หวังจะให้คนตรงหน้าใจอ่อนลงบ้าง


   "ลุงธนานอนกับน้องภูนะฮะ น้องภูคิดถึงลุงธนาฮะ"


   "เอ้อ ก็ได้ครับ ทั้งลุงทั้งหลาน ใครสอนให้เอานิสัยแบบนี้มาใช้เนี่ย"


   "เย่ เย่" เด็กชายเสียงดังด้วยความดีใจ


   "ถ้างั้นผมพาน้องภูไปนอนก่อนนะครับ เดี๋ยวจะดึก"


   "ครับ ฝันถึงผมด้วยนะ ลุงธนาคนดี" เจ้าของห้องจูบแผ่วเบาที่หน้าผากอิ่มคนตรงหน้าเพื่อบอกลาสำหรับค่ำคืนนี้


   "คุณก็เหมือนกัน ฝันดีครับ"


   "ไปครับ น้องภูไปนอนกันเถอะ เก็บของเข้าที่ให้เรียบร้อยด้วยครับ" เด็กชายเมื่อได้ยินคำพูดจากลุงก็ลุกขึ้นโดยไม่อิดออดเพราะเจ้าตัวก็เริ่มง่วงแล้วเหมือนกัน มือป้อมหยิบรถขึ้นมาคืนเจ้าของ กล่าวขอบคุณ หอมแก้มผู้เป็นอา ซ้ายทีขวาที แล้วก็ออกจากห้องไปพร้อมกับลุง



 o18
หัวข้อ: Re: กว่าจะเข้ากันได้ โดย เขมกันต์ อัพเดท [บทที่ 19] หน้า 4 - 27/04/2559 ค่ะ
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 27-04-2016 20:58:40
 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: กว่าจะเข้ากันได้ โดย เขมกันต์ อัพเดท [บทที่ 19] หน้า 4 - 27/04/2559 ค่ะ
เริ่มหัวข้อโดย: mukmaoY ที่ 28-04-2016 00:51:39
หวานกันตลอดดด
หัวข้อ: Re: กว่าจะเข้ากันได้ โดย เขมกันต์ อัพเดท [บทที่ 19] หน้า 4 - 27/04/2559 ค่ะ
เริ่มหัวข้อโดย: insomniac ที่ 28-04-2016 05:59:08
ลุงธนาน่ารักตลอด
จริงๆ ตัวละครเรื่องนี้น่ารักทุกคนเลย ยกเว้นแม่น้องภูไว้คน
หัวข้อ: Re: กว่าจะเข้ากันได้ โดย เขมกันต์ อัพเดท [บทที่ 19] หน้า 4 - 27/04/2559 ค่ะ
เริ่มหัวข้อโดย: เขมกันต์ ที่ 05-05-2016 21:16:06

บทที่ 20


   เช้านี้ภูบดินทร์อาสาขับรถไปส่งภูธนาที่บ้านเพราะต้องไปส่งน้องภูที่โรงเรียนอยู่แล้ว ทางเดียวกันไปด้วยกัน ประหยัดน้ำมัน  เมื่อถึงห้องพัก ภูธนาเอ่ยขอบคุณชายหนุ่ม เสร็จแล้วก็ขอตัวไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเพื่อไปทำงานต่อ


   บริพัตรไม่ได้ไปทำงาน เขาขอลางาน 1 วัน นับว่าเป็นเรื่องแปลกหาได้ยาก แต่เพราะชายหนุ่มมีเรื่องที่ต้องจัดการ ถึงจะไม่ใช่เรื่องของเขาโดยตรงแต่เมื่อเป็นเรื่องของภูธนาและสาเหตุส่วนหนึ่งก็มาจากตัวเขา ดังนั้นเขาจะทิ้งเรื่องนี้ไปไม่ได้ง่ายๆ


   "ฮัลโหล พี่กันต์" บริพัตรต่อสายถึงผู้จัดการส่วนตัวคนรัก


   "ว่าไงพัต"


   "พี่อยู่กับธนาหรือเปล่า"


   "อยู่ แต่ตอนนี้คุณธนากำลังซ้อมแข่งอยู่ในสนาม" ชนกันต์มองคนที่ถูกเอ่ยถึงในสนาม พลางตอบอีกฝ่าย


   "ก็ดี"


   "เรื่องนั้นเป็นไงบ้าง ครบ 3 วัน วันนี้พี่ต้องโทรหามัน"


   "ผมจัดการแล้ว ขาดแค่การช่วยเหลือจากพี่นิดหน่อย"


   "ว่ามาเลย จะให้ช่วยอะไรบ้าง"


   "ผมวางไวรัสในคอมฯ มันเรียบร้อยแล้ว ตอนที่พี่เอาเชคให้มัน สั่งให้มันลบรูปในมือถือกับในกล้องให้หมดด้วยล่ะ"


   "ได้ ไม่ต้องห่วง แล้วจะแน่ใจได้ไงว่ามันไม่ได้แบคอัพไว้ที่อื่นด้วย"


   "ไม่ต้องกังวลหรอกพี่กันต์ ถ้ามันเปิดเครื่องคอมฯ แล้วเชื่อมต่อกับอุปกรณ์ใดก็ตาม พังแหลกแน่นอน"


   "เฮ้ย ทำได้ไงวะ พัต"


   "เถอะน่า ไม่ต้องรู้หรอก พี่ให้มันลบรูปให้ได้ก็พอ"


   "เออๆ แล้ว คุณธนา นายจริงจังใช่มั้ย"


   "จริงจังสิ พี่ก็รู้จักผมมานาน เห็นผมเป็นคนเล่นๆ เหรอ"


   "เออ ไอ้เสือ"


   "ได้เรื่องยังไง พี่โทรหาผมด้วยล่ะ ถ้าไม่สำเร็จยิ่งรีบโทรเลยนะ"


   "เชื่อมือพี่แกคนนี้บ้างเถอะน่า"


   "อย่าให้ธนารู้นะพี่"


   "ทำไมวะ" ชนกันต์ถามขึ้นมาด้วยความสงสัย


   "คนมันชอบคิดมาก เดี๋ยวจะคิดนั่นนี่เยอะ"


   "ได้ ไม่บอกก็ไม่บอก"


   "งั้นเท่านี้แหละพี่ อย่าลืมแจ้งข่าวด้วยล่ะ"


   "ตกลง ขอบใจนายมาก พัต"


   "เรื่องของธนาก็เป็นเรื่องของผมด้วยนั่นแหละ"


   "จะอ้วกว่ะ"


   "แพ้ท้องเหรอพี่ เดี๋ยวผมเรียกไอ้ดิศให้" บริพัตรล้อเลียนอีกฝ่าย


   "ปากเสีย แค่นี้นะ" พูดจบชนกันต์ก็รีบวางหูทันที




   ชนกันต์ยกนาฬิกาขึ้นดูเห็นว่าเข้าช่วงบ่ายพอดี อีกสักชั่วโมง กว่าธนาจะเลิกซ้อม ชายหนุ่มจึงถือโอกาสนี้จัดการปัญหานี้ให้เสร็จเสียที ถึงแม้ภูธนาจะพยายามทำตัวให้เป็นปกติมากที่สุด แต่คนตาไวอย่างชนกันต์มีหรือจะไม่สังเกตเห็นถึงบางอย่างที่ผิดปกติ ภูธนาบางครั้งมีอาการเหม่อ ต้องเรียกหลายครั้งกว่าจะรู้สึกตัว ยิ่งการซ้อมแข่งรถวันนี้ เห็นได้ชัดเลยว่าเจ้าตัวยังไม่ค่อยมีสมาธิสักเท่าไหร่ เข้าโค้งได้ไม่ดี แม้แต่การตัดสินใจก็ไม่เฉียบขาดเหมือนก่อน


   "สวัสดีครับ"


   "โอ๊ะ โอ นึกว่าจะเบี้ยวเสียแล้ว" เสียงตากล้องปลายสายก่อกวนโสตประสาทชนกันต์ทันที


   "ผมพูดคำไหน ก็คำนั้น"


   "ยังไงดีครับ"


   "คุณช่วยออกมาเจอผมที่ร้านกาแฟ แถวสนามแข่ง xxx  รู้จักใช่มั้ย"


   "แน่นอนคร้าบ คุณธนา เอ๊ะว่าแต่ นี่ไม่ใช่เบอร์คุณเสียหน่อย เปลี่ยนเบอร์ หนีใครหรือเปล่าเอ่ย"


   "เปล่าหรอก 15 นาทีนะครับ ช่วยรักษาเวลาด้วย"


   "ได้เลยครับ คุณพระเอกนาทีทอง"


   15 นาทีต่อมา ชนกันต์นั่งรออยู่ในร้านกาแฟ มุมในสุดของร้าน ที่ชายหนุ่มเลือกร้านนี้ เพราะเขารู้จักร้านนี้เป็นอย่างดี การตกแต่งหรือองค์ประกอบของที่นี่ ชนกันต์มาบ่อยจนนับไม่ถ้วน และทำให้รู้ว่า ในสุดมุมหนึ่งของร้าน หากมองจากด้านนอกแล้วล่ะก็ ลับสายตาผู้คนได้ดีทีเดียว เหมาะเจาะต่อการเจรจา



   ชนกันต์เห็นผู้ที่เข้ามาใหม่ ยืนหันรีหันขวางอยู่ ก่อนเจ้าตัวจะหยิบโทรศัพท์มากดโทรออก อุปกรณ์สื่อสารในมือชนกันต์สั่นเบาๆ ตามสายเรียกเข้า ชนกันต์เดินออกไปแสดงตัวแล้วพาช่างภาพคนนั้นมานั่งโต๊ะที่ตนเองได้จองเอาไว้แล้ว


   "เอ๋? ไม่ใช่คุณธนานี่นา" เป็นช่างภาพที่เอ่ยทักขึ้นมาเสียก่อน


   "ครับ ผมชื่อชนกันต์ เป็นผู้จัดการส่วนตัวของคุณภูธนา" ชนกันต์แนะนำตัวอย่างสุภาพ


   "เข้าเรื่องเลยนะ ผมมีธุระต่อ ตกลงว่า?"


   "นี่ครับ ที่ตกลงกันไว้" ชนกันต์ยื่นกระดาษที่มีตัวเลขจำนวน 1 ล้านบาทเขียนอยู่บนเช็คแผ่นนั้น ช่างภาพเอื้อมมือหมายจะหยิบเช็คแผ่นนั้นไป แต่ก็ถูกชนกันต์ดึงกลับมาเสียก่อน


   "จะตุกติกหรือไง ไม่ดีนะครับ ไม่ดี" ช่างภาพหรี่ตามองชนกันต์อย่างไม่ไว้ใจ


   "เปล่า ผมไม่กล้าหรอก รูปอยู่มือคุณ ยังไงแล้วผมย่อมเป็นห่วงภาพพจน์ของศิลปินก่อนแน่นอน"


   "แล้ว?"


   "ผมจะแน่ใจได้ยังไงว่าถ้าคุณได้เช็คไปแล้วจะไม่โพสต์รูปพวกนี้บนอินเทอร์เน็ต"


   "ผมรับปากแล้ว คำไหนคำนั่นน่าคุณผู้จัดการ"


   "ผมคงเชื่อใจไม่ได้หรอกนะครับ เราคงไม่อยากเสียเวลากันไปมากกว่านี้ ยังไงแล้ว มายื่นหมูยื่นแมวกันหน่อยดีมั้ย"


   "เรื่องเยอะจริงๆ" ช่างกล้องพูดด้วยน้ำเสียงติดจะรำคาญขึ้นมาบ้างแล้ว


   "แล้วคุณไม่อยากได้เงินเหรอ จำนวน 1 ล้านนี่ไม่ใช่น้อยๆ เลยนะครับ"


   "อะไร พูดมา เร็วๆ"


   "ผมจะยื่นเช็คให้คุณ แต่มีข้อมูลคุณต้องลบรูปนั้นออกจากมือถือและกล้องของคุณ" จอมแบล็คเมลพอได้ยินเงื่อนไข ถึงกับกระหยิ่มยิ้มย่อง เรื่องแค่นี้สบายมาก เพราะยังไงแล้ว เขาได้แบคอัพรูปพวกนั้นที่เครื่องคอมฯ ส่วนตัวที่บ้านไว้เรียบร้อยแล้ว


   "เรื่องแค่นี้เอง ได้เลย" ชายหนุ่มหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาลบรูปนั้นทันที ตามมาด้วยรูปภายในกล้องคู่ใจ ชนกันต์เห็นว่าชายหนุ่มลบเรียบร้อยแล้วก็ลอบถอนหายใจ


   "เรียบร้อยแล้ว ไหนล่ะเช็ค" ตากล้องแบมือรอรับของที่ต้องการ ชนกันต์วางเช็คบนมือนั้นทันที


   "หวังว่าเราคงไม่มีเหตุอะไรให้ต้องติดต่อกันอีกนะครับ" ชนกันต์เอ่ยลา แล้วลุกจากบริเวณที่แห่งนั้นทันที


   "เรียบร้อยแล้วนะพัต ไอ้หมอนั่นมันลบรูปแล้ว ส่วนเช็คที่ให้ไปก็เช็คปลอม สักพักมันคงติดต่อกลับมาอีกแน่" ชนกันต์โทรหาบริพัตรหลังจากออกมาได้สักระยะ


   "ขอบคุณมากพี่กันต์"


   "พี่ต่างหากที่ต้องขอบใจนาย ว่าแต่จะได้ผลจริงๆ ใช่มั้ย ถ้าพลาดมาล่ะก็ คุณธนาแย่แน่ๆ เลยนะเว้ย"


   "ไม่ต้องกังวลน่า เชื่อมือเถอะ"


   "เฮ้ย เจ้านั่นโทรมาโคตรเร็วอ่ะ มันเหาะไปขึ้นเงินหรือไงวะ พี่ไปหัวเราะใส่หน้ามันก่อน แค่นี้นะ"


   "ครับ" บริพัตรวางสายลงด้วยความสบายใจ จริงๆ แล้วต่อให้รูปนั้นแพร่กระจายออกไป ชายหนุ่มก็ไม่ได้เดือดร้อนอะไรเพียงแต่ไม่อยากให้ภูธนาต้องมาคิดมาก


    "ว่าไงครับคุณช่างภาพ" ชนกันต์กดรับสาย กรอกเสียงลงไปด้วยความสุภาพ


   "เช็คนี่มันเป็นของปลอม มึงกล้ามากนะที่เอามาหลอกกู อยากให้รูปนั่นมันแพร่กระจายบนเน็ตใช่มั้ย" ช่างภาพตะคอกใส่ปลายสายด้วยความโมโห


   "จุ๊ๆ ไม่เอาน่า ลดเสียงลงหน่อยครับ ผมไม่ค่อยชอบเสียงดัง" ชนกันต์รีบกดลดเสียงของโทรศัพท์แทบไม่ทัน


   "จะเล่นกับกูใช่มั้ย"


   "ผมไม่เคยเล่นกับคุณ หรือชอบล้อเล่นกับใคร"


   "กูจะเอารูปนั่นไปโพสต์"


   "คิดแล้วว่าต้องมีสำรอง งั้นเชิญเลยครับ"


   "มึงไม่กลัว?" เสียงที่โมโหนั้นชะงัก เพราะดูเหมือนอีกฝ่ายจะไม่สนใจสักเท่าไหร่


   "ไม่มีอะไรที่ต้องกลัวนี่ครับ"


   "มึงคอยดูละกัน"


   "แล้วผมจะตั้งใจรอดูนะครับ โพสต์ที่เวบไหน ข้อความมาบอกผมด้วยนะครับ"


   "มึง !!..."  ได้ยินเท่านั้น ชนกันต์ก็กดตัดสายลง หมดธุระเสียที แต่ได้หวังว่าแผนของบริพัตรจะใช้ได้จริง ว่าไปแล้วก็หวั่นใจอยู่ไม่น้อย ปกติบริพัตรนิ่งอย่างกับอะไร พอเป็นเรื่องภูธนากับจัดการได้อย่างรวดเร็ว



   ชนกันต์เดินกลับเข้าไปห้องพักรับรอง เปิดประตูเข้าไปก็พบภูธนานั่งหน้าเครียดอยู่ในนั้น ใบหน้าชายหนุ่มเคร่งเครียดและดวงตาเหม่อลอย คงไม่พ้นเรื่องรูปนั่นแน่นอน


   "คุณธนาครับ คุณธนา" เจ้าของชื่อไม่มีทีท่าว่าจะได้ยินเสียงเรียก


   "คุณธนา" ชนกันต์ตัดสินใจเดินเข้าไปหา พร้อมเขย่าไหล่คนที่นั่งอยู่พอให้ออกจากภวังค์


   "คะ ครับ?" ได้ผล ภูธนาหันมามองชนกันต์


   "เรื่องรูปนั่น ผมจัดการให้เรียบร้อย ไม่ต้องคิดมากแล้วนะครับ"


   "จัดการเหรอ? พี่กันต์จัดการด้วยวิธีไหนเหรอครับ"


   "บอกไม่ได้ครับ พอดีคนที่ช่วยน่ะ เค้าไม่ได้บอกรายละเอียดมา"


   "อย่างนั้นเหรอครับ ลำบากทุกคนแย่เลย ขอโทษด้วยนะครับ"


   "ไม่ต้องขอโทษหรอก คุณธนาไม่ได้ทำอะไรผิดสักหน่อย" ชนกันต์ตบบ่าที่ไหล่งองุ้มนั้น 2-3 ทีอย่างเป็นกำลังใจ


   "แล้วจะให้ผมตอบแทนพี่ยังไงดี"


   "ไม่ต้องหรอก ขอแค่คุณธนาตั้งใจทำงาน และอย่าเป็นแบบนี้อีกก็พอ"


   "แบบนี้? แบบไหนกันครับ" ภูธนาถามกลับด้วยความไม่เข้าใจ


   "ก็ไอ้แบบที่เหม่อ ใจลอย เรียกก็ไม่ค่อยรู้สึกตัว แล้วก็ไม่มีสมาธินี่แหละครับ"


   "ผมไม่ค่อยสบายใจเรื่องรูปนั่นน่ะครับ"


   "ผมรู้ แต่ตอนนี้ไม่มีอะไรแล้วก็เลิกกังวลเถอะครับ"


   "ครับ ขอบคุณพี่กันต์มากนะ ว่าแต่ใครที่ช่วยจัดการเรื่องนี้ให้ผมอีกครับ ผมอยากขอบคุณ" ภูธนายกมือไหว้ชายหนุ่มที่ยืนตรงหน้า ทำให้ชนกันต์รับไหว้เกือบไม่ทัน


   "ไม่เป็นไรหรอกคุณธนา ถ้าเจ้าตัว เค้าอยากได้คำขอบคุณ เดี๋ยวเค้าก็มาบอกคุณเองแหละ ไม่ต้องห่วง"


   "ผมรู้จักเค้าใช่มั้ยครับ" ภูธนาถามกลับด้วยความแปลกใจ


   "ไม่รู้เหมือนกันนะ อย่าไปคิดถึงเรื่องนั้นเลย วันนี้ซ้อมเป็นไงบ้างครับ"  ชนกันต์เปลี่ยนหัวข้อสนทนาที่คิดว่าน่าจะดีที่สุดในเวลานี้


   "ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ครับ พี่จอมบ่นใหญ่เลย"


   "พรุ่งนี้มาซ้อมแบบเอาให้พี่จอม งงเป็นไก่ตาแตกไปเลยนะครับ" ชนกันต์พูดติดตลกให้เจ้าตัวได้ผ่อนคลายมากขึ้น


   "แน่นอนครับ ผมจะไม่ทำให้พี่ต้องพลอยโดนดุไปด้วยแน่ๆ"


   "ช่วงนี้คงต้องซ้อมเยอะๆ หน่อยนะครับ เพราะสัปดาห์หน้าก็จะแข่งแล้ว"


   "ครับ ผมก็กังวลอยู่เหมือนกัน กลัวจะทำให้ผิดหวัง"


   "คุณธนาครับ อย่าหาว่าผมสอนคุณเลยนะ แต่คุณต้องคิดให้น้อยๆ ลงหน่อย เรื่องทุกอย่างน่ะมันไม่สามารถเป็นได้อย่างใจของทุกคนได้หรอก มันก็ต้องมีสมหวังบ้าง ผิดหวังบ้างเป็นธรรมดา แค่คุณทำให้เต็มที่ก็พอแล้ว"


   "ขอบคุณครับพี่กันต์ แล้วก็ขอโทษที่ต้องทำให้เป็นห่วงตลอด"


   "ถึงเราจะรู้จักกันไม่นาน แต่ผมค่อนข้างถูกชะตากับคุณนะ มีอะไรก็อยากจะพูดตรงๆ หวังว่าคุณจะไม่โกรธ พี่ชายคนนี้นะ"


   "ครับ ขอบคุณจริงๆ" ภูธนาส่งรอยยิ้มสดใสในรอบวันให้กับผู้จัดการส่วนตัว ชนกันต์เห็นดังนั้นก็รู้สึกโล่งอก อย่างน้อยคำพูดของเขาคงจะไม่เสียเปล่า




   ภูธนากลับถึงที่พักใกล้เวลาพลบค่ำ ถือว่าวันนี้เขาได้เลิกงานเร็วที่สุดเลยก็ ว่าได้ เขาออกจากลิฟต์มาด้วยความรู้สึกที่ค่อนข้างผ่อนคลาย ปัญหาเรื่องรูปนั่นก็ถูกแก้ไขได้แล้ว แถมยังได้กลับมาพักผ่อนเร็ว เขาตั้งใจว่าเมื่อกลับมาถึงจะทำสปาเก็ตตี้ผัดขี้เมาทานให้อิ่มท้องสักจาน ต่อด้วยผลไม้เย็นๆ สักลูก 2 ลูก หลังจากนั้นจะรีบอาบน้ำและเตรียมเข้านอน ตอนนี้คติของเขาคือมีเวลาให้รีบนอน เก็บแรงให้มากที่สุดเป็นดี



   ความคิดที่กำลังคิดอยู่เพลินๆ ก็หยุดชะงักลงเมื่อเห็นว่ามีผู้ชายใบหน้าคุ้นเคยยืนพิงประตู รอเขาอยู่ ภูธนามองบริพัตรในระยะไม่ไกลนักแต่ชายหนุ่มที่รออยู่นั้นยังไม่รู้สึกตัว ภูธนาคิดขำๆ ว่าถ้าคนตรงหน้านี้อยากจะเป็นดารา นายแบบอย่างเขา อาจเป็นได้ว่าเขาอาจจะตกงานแน่ๆ และถ้าการแสดงของชายหนุ่มไม่โหดร้ายหรือแย่จนเกินไป ยังไงแล้วบทพระเอกต้องมารอคิวให้ชายหนุ่มเลือกแน่ๆ


   "ยิ้มอะไรครับ" เสียงทุ้มเรียกภูธนาทำให้ความคิดที่กำลังแล่นอยู่หยุดชะงักอีกรอบ


   "เปล่าครับ" ปากตอบไปแต่สายตากลับมองไปที่อื่น


   "โกหกไม่เก่งเลยนะครับ"


   "มารอนานหรือยังครับ"


   "ไม่นานหรอก เพิ่งมาถึงก่อนคุณสัก 10 นาทีนี่เอง"


   "ว่าแต่คุณพัตมีธุระอะไรหรือเปล่าครับ ถึงมาที่นี่ได้"


   "จะมาห้องแฟนต้องมีธุระด้วยเหรอเนี่ย"


   "ไม่ใช่อย่างนั้นครับ แล้ววันนี้คุณพัตไม่ได้ไปทำงานเหรอ" ภูธนามองชุดที่บริพัตรสวมใส่อยู่ซึ่งผิดแผกจากชุดพนักงานบริษัทยิ่งนัก วันนี้บริพัตรสวมเสื้อโปโลปกสีขาว ตัวเสื้อสีน้ำเงินเข้ม กางเกงยีนส์สีซีด รองเท้าผ้าใบตามสมัยนิยม แปลกตากว่าทุกที แต่ก็อดไม่ได้ที่จะยอมรับว่า คนตรงหน้านั้นแต่งตัวได้ดีจริงๆ ผิดกับแรกเริ่มที่เจอหน้ากันราวฟ้ากับเหวเลยทีเดียว


   "ครับ วันนี้ผมมีธุระที่ต้องไปทำนิดหน่อย" บริพัตรมองตามสายตาของภูธนาที่มองชุดที่ตนสวมใส่นั้นก็พอจะเข้าใจได้ว่าทำไมชายหนุ่มถึงถามออกมาแบบนั้น


   "แล้วเรียบร้อยแล้วเหรอครับ"


   "ครับ เรียบร้อยดีมากๆ เลย" บริพัตรยิ้มให้คนตรงหน้ามีหรือภูธนาจะไม่ยิ้มตอบรอยยิ้มแบบนั้นได้


   "กินอะไรมาหรือยังครับ" ภูธนาไขกุญแจเข้าห้อง พลางถามไถ่ด้วยความเป็นห่วงคนที่มาหา


   "ยังเลยว่าจะมาฝากท้องที่นี่สักมื้อ ไม่รู้เจ้าของห้องจะใจดีทำให้กินหรือเปล่า"


   "อยากกินอะไรครับ เดี๋ยวโทรสั่งร้านมากินเลย" ภูธนาหันมาถามหน้านิ่งๆ กับคนที่เดินตามหลัง


   "แค่นี้ก็ทำให้ไม่ได้"


   "ขี้ใจน้อยจริงๆ นะครับ คุณพัต ผมล้อเล่นน่ะ ผมตั้งใจจะทำสปาเก็ตตี้ผัดขี้เมาน่ะ คุณกินได้มั้ยล่ะ ถ้าไม่ได้ผมจะทำอะไรง่ายๆ สักอย่างให้แทน"


   "ได้สิครับ คุณทำอะไรให้กิน ผมก็กินได้ทั้งนั้น"


   "แน่นะ?"


   "แน่สิครับ แต่ต้องไม่ใช่อะไรที่แปลกๆ นะ"


   "ผมไม่แกล้งหรอกน่า" ภูธนาหยอกคนรักแล้วก็ขอตัวเข้าครัวไปทำมื้อเย็น


   "มีอะไรให้ผมช่วยมั้ย" บริพัตรเดินตามเข้ามาหลังจากนั้นไม่นาน


   "ผมว่าคุณออกไปรอข้างนอกดีกว่าครับ แบบนี้ผมทำอาหารไม่ค่อยสะดวก"


   "ไม่สะดวกยังไงหว่า เกะกะคุณเหรอ" บริพัตรทำหูทวนลม ทำเป็นไม่เข้าใจในความหมายที่สื่อของภูธนา


   "ถ้าคุณมายืนซ้อนหลังผมแบบนี้ แล้วยังแกล้งผมอยู่แบบนี้ ผมจะทำอาหารได้ยังไงกันเล่า!" ภูธนาข่มความอาย พูดออกมาให้คนช่างแกล้ง


   "อ้าวเหรอ ขอโทษที" เสียงทุ้มหัวเราะอย่างมีความสุขที่แกล้งภูธนาได้


   "ออกไปได้แล้วครับ" ใบหน้าขาว มีสีเข้มขึ้น เมื่อรู้ว่าตนเองได้ถูกแกล้งโดยสมบูรณ์แบบ ภูธนาดันหลังบริพัตรออกจากห้องครัวไปนั่งรอด้านนอก



   มื้อเย็นผ่านพ้นไปท่ามกลางรอยยิ้มและเสียงหัวเราะ ของคน 2 คนภายในห้อง ภูธนาคิดว่านี่เป็นความสุขส่วนหนึ่งที่เขาเกือบจะไม่ได้พบกับมันเสียแล้ว ความสุขที่เป็นเพียงมื้ออาหารง่ายๆ แต่ก็เต็มไปด้วยรอยยิ้ม นอกเหนือจากเรื่องของภูบดินทร์และภูสิตาแล้ว เห็นทีเรื่องนี้ก็เพียงพอแล้วที่ภูธนาปรารถนาในชีวิต หากว่าวันหนึ่งบริพัตรจะเปลี่ยนใจจากเขาไป แต่เขาก็จะจำความสุขนี้ตลอดไป



   "ผมล้างจานเอง คุณไปอาบน้ำเถอะ" บริพัตรอาสาล้างจานในมื้อนี้เอง สปาเก็ตตี้จานนี้อร่อยมากจริงๆ ยิ่งมาจากคนที่รักด้วยแล้วดูจะอร่อยกว่าที่เคยทานมาทุกร้าน


   "ขอบคุณครับ" ภูธนากล่าวขอบคุณเสร็จก็หายเข้าไปในห้องนอนเพื่อชำระล้างร่างกายให้สดชื่น



   ภูธนาออกมาจากห้องนอนหลังอาบน้ำอีกสักพักใหญ่ ก็พบว่าบริพัตรนั่งหลับอยู่ที่โซฟานุ่มกลางห้องนี้เรียบร้อย ภูธนาขยับเข้าไปใกล้คนที่ยังหลับ หมายจะพินิจดูเครื่องหน้านี้ให้ชัด เขาไม่รู้ว่าวันนี้บริพัตรไปทำธุระที่ไหนมา และไม่คิดที่จะถามด้วย แต่ดูท่าทางแล้วชายหนุ่มคงจะเหนื่อยไม่น้อยเลยทีเดียว ถึงได้หลับสนิทแม้กระทั่งเขาเข้ามาใกล้ก็ยังไม่รู้สึกตัว


   "คุณพัต คุณพัตครับ" ภูธนาเรียกเสียงเบา มือขาวค่อยๆ ปลุกคนที่หลับอยู่อย่างเบามือ


   "ครับ" บริพัตรตอบรับคำเรียกแต่ยังไม่ลืมตา


   "ง่วงหรือครับ"


   "เมื่อคืนผมนอนดึกน่ะครับ"


   "อ่าว ทำไมล่ะครับหรือว่าคุณดินคุยด้วยจนดึกครับ"


   "อ่า ครับ ประมาณนั้น" เมื่อวานนี้ บดินทร์เตรียมจะเข้ามาซักถามเรื่องของเขากับภูธนา แต่โดนเขาสกัดเอาไว้ก่อน ไม่งั้นคงได้นอนดึกกว่านี้แน่ เพราะเขาต้องเจาะระบบของตากล้องนั้นค่อนข้างนาน เพราะการที่ไม่ได้มีข้อมูลมาเบื้องต้น ชายหนุ่มจึงต้องเริ่มจากโทรศัพท์แล้วจึงค่อยๆ ไล่ตามไปเรื่อยๆ จนเจอต้นตอในที่สุด ดังนั้นกว่าจะได้นอนก็เกือบเช้าตรู่


   "นี่ก็เริ่มดึก งั้นไม่กวนแล้ว คุณจะได้พักผ่อน"


   "คุณพัตขับรถมาใช่มั้ย"


   "ครับ ขับรถมา มีอะไรหรือเปล่า" บริพัตรหันมาถามด้วยความแปลกใจ


   "ดูคุณเหนื่อยๆ ผมว่าคืนนี้ คุณนอนที่นี่ดีกว่ามั้ยครับ" บริพัตรมองภูธนา คนที่พูดออกมาอย่างไม่เชื่อตา


   "ผมแค่เป็นห่วงกลัวว่าคุณจะหลับใน ก็เท่านั้น" ดาราหนุ่มเสมองไปที่อื่นเมื่อบอกเหตุผลที่ให้บริพัตรนั้นค้างที่นี่


   "ผมยังไม่ได้ว่าเลย แต่ถ้าคุณเป็นห่วงผมขนาดนั้นจริงๆ งั้นก็ตกลงครับ" บริพัตรยิ้มให้ชายหนุ่ม แต่ดวงตาใสระยิบระยับเต็มไปด้วยเลศนัย


   "ครับ เดี๋ยวผมไปเตรียมที่นอนให้คุณก่อน"


   "จะทำให้ยุ่งยากทำไมกันล่ะครับ ลุงธนา เกือบจะเคยนอนด้วยกันอยู่แล้ว เรื่องแค่นี้อย่าไปลำบากเลย"



   "คุณพัต!!" ภูธนาเดินกระแทกเท้ารีบเข้าห้องนอนไปด้วยความเขิน   

สาบานให้ตายเถอะ เขาก็แค่เป็นห่วงคุณพัตเท่านั้นจริงๆ ไม่ได้คิดเป็นอย่างอื่นเลย


------------------
อาพัตทำได้ยังไงกันเนี่ย ค่อยมาติดตามต่อตอนหน้าเนาะ

สำหรับเรื่องนี้เดินมาใกล้โค้งสุดท้ายของเรื่องแล้วค่า
จะว่าเร็วก็เร็ว จะว่านานก็นานนะคะ ใกล้จะจบเสียแล้ว

ขอบคุณทุกท่านที่ยังติดตามอ่านค่า

เขมกันต์  :mew1:
หัวข้อ: Re: กว่าจะเข้ากันได้ โดย เขมกันต์ อัพเดท [บทที่ 20] หน้า 4 - 05/05/2559 ค่ะ
เริ่มหัวข้อโดย: insomniac ที่ 05-05-2016 22:09:37
พอเข้ากันได้แล้วอย่าเพิ่งรีบจบนะครับ
ขอหวานๆ กันนิดนึง
หัวข้อ: Re: กว่าจะเข้ากันได้ โดย เขมกันต์ อัพเดท [บทที่ 20] หน้า 4 - 05/05/2559 ค่ะ
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 06-05-2016 01:15:34
 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: กว่าจะเข้ากันได้ โดย เขมกันต์ อัพเดท [บทที่ 20] หน้า 4 - 05/05/2559 ค่ะ
เริ่มหัวข้อโดย: mukmaoY ที่ 06-05-2016 13:25:31
แค่นี้ก็มีความสุขแล้ว
หัวข้อ: Re: กว่าจะเข้ากันได้ โดย เขมกันต์ อัพเดท [บทที่ 20] หน้า 4 - 05/05/2559 ค่ะ
เริ่มหัวข้อโดย: เขมกันต์ ที่ 13-05-2016 19:58:48
มาต่อแล้วค่าาา



บทที่ 21


   ล่วงเข้าวันใหม่มาสักพักแล้ว แต่ภูธนายังนอนลืมตาโพลงอยู่ในห้องเพียงลำพัง ทั้งที่ทำงานมาทั้งวันควรจะเพลียจนง่วงแต่ทว่ามันกลับไม่ง่วงเลยแม้แต่นิดเดียว


   ภูธนาเปิดประตูออกจากห้องนอนด้วยความเบามือ ด้วยเกรงว่าคนที่หลับอยู่ตรงโซฟาจะตื่นขึ้นมาเสียก่อน เขารู้สึกหิวน้ำเลยออกมาหาอะไรดื่มแก้กระหายเสียหน่อย อดไม่ได้ อยากจะมาเห็นใบหน้าคนรักที่คาดว่าน่าจะกำลังหลับด้วย ดวงตาคู่สวยมองไปที่โซฟากลางห้อง แต่มันกลับว่างเปล่าไร้ร่างคนที่ตัวสูง


   "ครับ" เสียงทุ้มดังเล็ดลอดออกมาจากมุมไหนสักแห่งของห้อง


   "ผมขอโทษ" เสียงยังพูดคุยไม่หยุด ภูธนาได้แต่มองหาต้นเสียงนั้นว่าอยู่ที่ไหน และเขาก็เห็นว่าเสียงนั้นมาจากระเบียง เป็นเพราะคนที่กำลังคุยโทรศัพท์อยู่ไม่ได้ปิดประตูกระจกตรงระเบียงให้สนิท


   "ผมจำเป็นจริงๆ ครับ" ภูธนาทิ้งตัวนั่งลงบนโซฟา เขาไม่ได้อยากแอบฟังบทสนทนาของบริพัตรหรอก แต่ชายหนุ่มก็อยากรู้ว่ามันเรื่องอะไรถึงพูดคุยกันดึกดื่นขนาดนี้ และความรู้สึกของเขามันบอกว่า เรื่องที่พูดคุยกันนั้นมันน่าจะเกี่ยวกับตัวเขาเองนั่นแหละ


   "เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับธนาครับ ถ้าจะเอาผิดก็ลงที่ผมคนเดียวดีกว่า"


   "รูปนั่น ผมจัดการเรียบร้อยแล้วครับ คงไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวอีก"


   "ครับ ขอบคุณมากนะครับ"


   "ครั้งหน้าผมจะคิดให้ถี่ถ้วนกว่านี้ ขอโทษอีกครั้งครับ" ภูธนาเห็นบริพัตรกดวางสายลงก่อนจะถอนหายใจออกมาเบาๆ ชายหนุ่มยืนอยู่ตรงระเบียงอีกสักพัก จากด้านหลังที่ภูธนาเห็น บริพัตรคงมีเรื่องหนักใจไม่น้อย สายตาของชายหนุ่มดูเหมือนจะทอดยาวมองออกไปบนท้องถนน ที่รถรายังวิ่งอยู่ไม่หยุด



   บริพัตกลับเข้ามาในห้องอีกครั้ง ชายหนุ่มปิดประตูให้แนบสนิทแล้วล็อคกลอนให้เรียบร้อย ตอนนี้บริพัตรอยากจะกอดภูธนาตอนนี้เหลือเกิน แต่ป่านนี้เจ้าตัวคงจะหลับไปแล้ว เขารู้การกระทำที่ยื่นมือเข้าไปช่วยเหลือคนรักนั้น มันผิดกฎหมาย ถึงแม้เขาจะทำงานให้กับองค์กรลับ แต่นั่นเป็นการถูกมอบหมายให้ทำซึ่งทางรัฐบาลได้พิจารณามาอย่างถี่ถ้วนแล้ว แต่ครั้งนี้มันแปลกออกไปเพราะเขาทำไปโดยพละการ และมันเป็นเหตุผลส่วนตัว ผู้บังคับบัญชาโดยตรงของเขาถึงโทรศัพท์ทางไกลจากต่างประเทศเพื่อมาต่อว่ากับสิ่งที่เขาทำลงไป



   บริพัตรยืนคอตก ได้แต่ยอมรับผิด เพราะเหตุการณ์ครั้งนี้เขาใช้อารมณ์มากกว่าเหตุผล ยอมรับว่าเป็นคนห่วงคนรักมากเกินไป กลัวว่าเจ้าตัวจะเสียชื่อเสียง กลัวว่าเจ้าตัวจะเสียใจ เพราะห่วงเกินไปมันเลยทำให้เขาตัดสินใจทำโดยไม่รอบคอบและไม่ได้ปรึกษาใคร ทั้งที่รู้ว่าผลที่ตามมาอาจจะทำให้เขาถึงขั้นติดคุกเลยทีเดียว และนี่เป็นครั้งแรกที่เขาทำความผิด บวกกับผลงานที่ดีมาตลอดของเขา เลยทำให้เขาโดนเพียงแค่ทัณฑ์บนครั้งแรกเท่านั้น



   บริพัตรเงยหน้าขึ้นก็พบภูธนานั่งรออยู่ที่บนโซฟาที่เขาใช้เป็นที่นอนในคืนนี้อยู่ก่อนแล้ว ภูธนากำลังมองมาที่เขา บริพัตรไม่คาดคิดว่าจะเจอชายหนุ่มตรงหน้า ยอมรับว่าดีใจแต่ก็หนักใจไปพร้อมกัน



   ภูธนามานั่งรอตรงนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่



   แล้วได้ยินเรื่องที่เขาคุยไปแล้วหรือไม่



   ความแตกหรือยัง?




   "นอนไม่หลับเหรอ" บริพัตรเป็นฝ่ายเอ่ยถามไปก่อน


   "ครับ"


   "เป็นอะไรหรือเปล่า ธนา" บริพัตรนั่งลงข้างๆ ชายหนุ่มก่อนจะวาดแขนดึงคนรักเข้ามากอดภายในอก


   บริพัตรก้มลงจูบเบาๆ ที่เส้นผมนุ่มของภูธนา มือขาวก็คอยลูบแขนคนในอ้อมกอดเบาๆ เหมือนกำลังปลอบใจ เขาสัมผัสถึงความไม่สบายใจของภูธนาได้


   "คุณพัต มีอะไรปิดบังผมหรือเปล่าครับ" ภูธนาถามกลับไปเสียงเบา


   "ธนา"


   "ถ้ามันเกี่ยวกับผม ก็ช่วยบอกให้ผมรู้บ้างเถอะครับ" เสียงภูธนาถามปนระคนสงสัย เพราะสิ่งที่เขาได้ยินมานั้น เขามั่นใจว่ามันย่อมเกี่ยวกับตัวเขาแน่นอน


   "ผมไม่อยากให้คุณสบายใจ" ในที่สุดบริพัตรก็ตัดสินใจพูดออกมาบ้าง


   "ไม่เป็นไรหรอกครับ เพราะผมรู้ว่าคุณพัตก็ไม่สบายใจไม่น้อยไปกว่าผม"


   "รู้ดีจริงๆ นะเราน่ะ" บริพัตรเหย้าอีกฝ่าย แขนแกร่งแกล้งรัดคนในอ้อมกอดให้แน่นมากขึ้น จนคนที่ถูกแกล้งต้องประท้วงเอ่ยออกมาเบาๆ ให้อีกฝ่ายหยุด


   "ผมอยากรู้จริงๆ ครับ บอกผมหน่อยเถอะ" ภูธนาเงยหน้าขึ้นมาสบตาคนที่อยู่สูงกว่า สายตาที่มองไปนั้นเต็มไปด้วยคำขอร้อง ปนอ้อนวอนอยู่ในที แค่นั้นก็ทำให้บริพัตรต้องยอมอ่อนใจกับคนตรงหน้า


   "เฮ้อ คุณนี่มันร้ายจริงๆ ผมจะยอมบอกให้คุณฟังก็ได้ แต่ผมต้องขอร้องคุณด้วยนะ ธนา ว่าห้ามบอกใครเด็ดขาด แม้แต่พี่กันต์ก็ตาม ตกลงมั้ยครับ"


   "ได้ครับ ผมสัญญาว่าจะไม่บอกใคร"


   "เรื่องที่คุณโดนแบล็คเมลจากตากล้องนั่น"


   "คุณพัตรู้ได้ยังไง พี่กันต์บอกใช่หรือเปล่า" ภูธนาผละออกจากอ้อมกอดนั้นทันที มองหน้าคนที่เอ่ยมาเมื่อสักครู่นี้ด้วยความตกใจ


   "ไม่จำเป็นว่าใครจะบอกผมหรอก ธนา เอาเป็นว่าพอผมรู้เรื่องเข้าผมก็เลยหาวิธีจัดการรูปถ่ายนั่นและมันก็สำเร็จ"


   "พี่กันต์บอกผมว่าจัดการเรื่องรูปนั่นเรียบร้อยแล้ว คุณพัตรู้มั้ย ผมทั้งดีใจ ทั้งโล่งอกมากๆ เลย ว่าแต่คุณทำยังไงกันครับ"


   "นั่งดีๆ หน่อยสิ ผมขอนอนตักคุณได้หรือเปล่า ขี้เกียจนั่ง เมื่อยแล้ว" ชายหนุ่มทำหน้าทะเล้นใส่ภูธนาก่อนที่จะล้มตัวนอนหนุนตักอีกฝ่ายทันที


   "เล่าต่อสิครับ ว่าคุณจัดการยังไง" ภูธนารอจนบริพัตรจัดแจงท่านอนจนคาดว่าน่าจะสบายแล้ว จึงถามอีกฝ่ายออกไป มือขาวนุ่มก็ลูบเส้นผมของคนที่กำลังนอนไปด้วย


   "ใจร้อนจริงๆ นะครับ"


   "ก็ผมอยากรู้นี่นา จะเล่าต่อได้หรือยังครับ"


   "ครับๆ ผมก็หาวิธีลบรูปภาพนั้นออกไปไงครับ" บริพัตรตัดจบเรื่องราวเหลือเพียงนิดเดียว


   "อย่าโยกโย้ได้มั้ยเล่า" เสียงฮึดฮัดจากคนที่ยังนั่งอยู่สร้างความสนุกให้บริพัตรไม่น้อยที่เห็นว่าคนที่ดูเป็นผู้ใหญ่ตลอดเวลาจะมีอาการแสดงออกมาเหมือนเด็กบ้าง


   "ผมทำงานที่องค์กรลับแห่งหนึ่ง"


   "เอ๊ะ เดี๋ยวนะครับ คุณไม่ได้ทำงานที่บริษัทเดียวกับคุณดินหรอกเหรอครับ"


   "อย่าเพิ่งขัดผม ลุงธนา เรื่องมันยาว คุณต้องตั้งใจฟังสิครับ"


   "ครับๆ ก็ได้ ผมไม่ขัดก็ได้ เล่าต่อครับ"


   "เบื้องหน้าของผมเป็นพนักงานบริษัททั่วไปอย่างที่คุณเข้าใจ แต่จริงๆ แล้วผมทำงานให้กับองค์กรที่ผมบอกคุณไปก่อนหน้านี้ งานที่ผมทำเป็นงานที่จะเรียกว่าผิดกฎหมายมั้ย มันก็ไม่เชิง เพียงแต่มันได้รับอนุญาตจากทางรัฐบาลมาแล้วเท่านั้น"    บริพัตรกลืนน้ำลายอึกใหญ่ก่อนจะเล่าต่อ


   "ผมทำหน้าที่เจาะระบบบริษัทที่คาดว่าจะคุกคามต่อประเทศของเราหรือบริษัทที่กำลังทำอะไรผิดกฎหมายอยู่เท่านั้น ผมทำงานนี้มานานหลายปีแล้ว ไม่เคยทำผิดข้อตกลงอะไรเลย จนกระทั่งเกิดเรื่องของคุณ ผมเลยเข้าไปเจาะระบบทั้งที่ไม่ได้รับอนุญาตและมันเป็นเรื่องส่วนตัวด้วย คุณจะโกรธผม เกลียดผมหรือเปล่า" บริพัตรสบตาคนที่มองมายังตนเองพอดี สายตาคมสวย เว้าวอนให้คนตรงหน้าจะไม่รู้สึกโกรธอะไรเขา


   "ผมจะโกรธคุณได้ยังไงกันครับ คุณพัต ผมต่างหากที่ต้องขอโทษที่ทำให้คุณไม่สบายใจและทำเรื่องแบบนี้ลงไป ทั้งหมดนั่นก็เพราะผมแท้ๆ ผมขอโทษนะคุณพัต" ภูธนาก้มลงจูบหน้าผากคนที่นอนหนุนตักเพื่อขอโทษในที แต่เรื่องมาถึงตรงนี้บริพัตรคงไม่ยอมให้โอกาสปล่อยผ่านเลยไปง่ายๆ


   บริพัตรจับใบหน้าของดาราหนุ่มอย่างเบามือ และยิ้มให้ชายหนุ่มก่อนที่จะขยับตัวให้ริมฝีปากของทั้งคู่ประกบลงพอดี บริพัตรค่อยๆ ดันอีกฝ่ายให้นอนลงโซฟานุ่ม ก่อนจะทาบทับตามลงมา



   ริมฝีปากอิ่มพรมจูบวนเวียนทั่วใบหน้าก่อนจะกลับที่ริมฝีปากของคนที่ยังนอนอยู่ภายใต้ ลิ้นหนารุกล้ำเข้าไปในโพรงปากอิ่มก่อนจะควานหาความหวานอย่างไม่รู้จักอิ่ม ภูธนาแรกก็จูบตอบอย่างเงอะงะไปบ้าง สักพักก็เริ่มโต้ตอบได้คล่องขึ้น ยิ่งสร้างความพอใจให้กับบริพัตรไม่น้อย



   บริพัตรเริ่มปลดกระดุมชุดนอนของคนตรงหน้า สายตาคู่สวยสบตาภูธนาเชิงขออนุญาต เมื่อเห็นว่าภูธนาพยักหน้าน้อยๆ แล้ว รอยยิ้มก็ผุดขึ้นอย่างขอบคุณ กระดุมหลายเม็ดถูกปลดออกไปจนหมด แสงไฟจากด้านนอกสาดส่องเข้ามาในห้อง เผยให้เห็นแผ่นอกที่ขาวเนียนของภูธนา จากภาพที่บริพัตรมองเห็นชายหนุ่มตรงนี้ เขาบอกได้เลยว่าภูธนายิ่งทำให้เขาอยากจะครอบครองคนตรงหน้าเร็วๆ รูปร่างของภูธนามันทำให้เขาแทบจะคลุ้มคลั่งจนแทบจะเป็นบ้าไปแล้ว



   บริพัตรจูบเม้มเบาๆ ที่ซอกคอขาว ภูธนาเงยหน้าขึ้นตามแรงอารมณ์ที่กำลังเกิดอยู่ในภายใน ขาของบริพัตรก็สัมผัสได้ถึงสิ่งตื่นตัวของคนภายใต้ และตัวเขาเองก็ไม่ต่างกัน ความรู้สึกต้องการภูธนามันแทบจะทนไม่ไหว


   "พรุ่งนี้ผมไม่มีถ่ายแบบ" อยู่ๆ ภูธนาก็พูดขึ้นมา


   "ครับ?"


   "ผมมีแค่ซ้อมแข่งรถอย่างเดียวครับ"


   "ครับ?"


   "ถ้าไม่เข้าใจก็ช่างเถอะครับ"


   "ขี้งอนก็เป็นเหรอเนี่ย เข้าใจสิครับ ลุงธนาบอกใบ้ขนาดนี้" บริพัตรหัวเราะเบาๆ ในลำคอ จูบเบาๆ ที่ปลายจมูกรั้นของคนขี้งอน


   ริมฝีปากอวบอิ่มหยุดที่ลำคอขาวอีกครั้ง แต่ครั้งนี้ชายหนุ่มไม่ได้ขบเม้มเบาๆ แต่กลับเน้นย้ำเพื่อให้เกิดรอยขึ้นมา ก่อนจะละไปที่หน้าอกขาว และไม่ว่าบริพัตรจะประทับรอยจูบไว้ที่ไหนก็จะฝากร่องรอยไว้บนตัวภูธนาด้วย



   มือขาวแกร่งเอื้อมมือลงไปดึงกางเกงนอนขายาวของภูธนาให้หลุดออกจากร่างกายไป ก่อนจะค่อยๆ ลงไปจับสิ่งที่กำลังตื่นตัวอยู่ ภูธนาเบือนหน้าหนีชายหนุ่ม ไม่กล้าสบตาด้วยความเขินอาย ไม่ใช่ว่าบริพัตรจะไม่เคยเห็นแต่มันก็ไม่ใช่เรื่องที่จะชินได้โดยง่าย



   บริพัตรหัวเราะกับท่าที่ของภูธนา ชายหนุ่มชะโงกหน้าขึ้นไปเพื่อจูบปิดปากคนที่เขินอายอยู่นั้นอีกครั้ง ริมฝีปากอวบอิ่มจูบคลอเคล้าหวังให้ภูธนานั้นหลงใหลในสิ่งที่เขากำลังมอบให้ เสียงเครือครางในลำคอของภูธนาดังออกมาเบาๆ นั้นสร้างความพอใจให้กับบริพัตรยิ่งนัก มือหนารูดรั้งแกนกายนั้นขึ้นลงอย่างเบามือ เขายังไม่อยากเร่งรัดคนตรงหน้ามากนัก แต่ดูเหมือนภูธนาจะไม่สนใจว่าเขากำลังรออย่างชายหนุ่มอย่างใจเย็น อยากให้ค่อยเป็นค่อยไป อยากให้ภูธนาได้จดจำความสุขและความทรงจำดีๆ นั้นไว้ ไม่อยากให้ต้องเจ็บปวด



   "อื้อ" เสียงที่แสดงออกถึงความขัดใจของภูธนานั้นดังออกมา บริพัตรสบตาชายหนุ่มก็พบกับความเว้าวอน


   "ครับ?"


   "คุณพัต" ภูธนาเรียกชื่อชายหนุ่มแผ่วเบาเหมือนกำลังลำบากใจ


   "ครับ?"


   "อื้อ.."


   "ถ้าไม่บอกผมก็ไม่รู้นะ ธนา บอกผมสิ" เขารู้ว่าภูธนาต้องการอะไร ก็ไม่อยากแกล้งหรอกนะ แต่เห็นแล้วมันอดไม่ได้ ก็คนที่กำลังร้องขอมันน่าแกล้งเกินกว่าที่เขาจะอยู่เฉยไหว


   "อย่า .. อย่าแกล้งผม"


   "บอกผม คนดี"


   "เร็วๆ ได้มั้ย ผมไม่ไหวแล้ว"


   "ก็แค่นี้เอง เด็กน้อย" บริพัตรจูบเบาๆ ที่ปากสีแดงสดด้วยความช้ำเพราะรสจูบ มือหนาขยับขึ้นลงอย่างรวดเร็วและไม่นานนักภูธนาก็ไปถึงจุดหมายก่อน



   น้ำขุ่นสีขาวเปรอะเปื้อนเต็มมือชายหนุ่ม บริพัตรค่อยๆ ใช้นิ้วเข้าไปในช่องทางด้างหลังของภูธนาด้วยความเบามือ เขารู้คนตรงหน้านี้คงไม่เคยกับใครเป็นแน่


   "อ๊ะ" ภูธนานิ่วหน้าเล็กน้อยด้วยความรู้สึกแปลกๆ จากด้านหลัง


   "อดทนหน่อยนะครับ" บริพัตรเอ่ยปลอบเสียงเบา ภูธนาพยักหน้าตอบรับคำขอของบริพัตร ชายหนุ่มค่อยๆ เพิ่มนิ้วเข้าไปอีกนิ้ว หมุนวนคลึงอยู่ภายในเพื่อสร้างความยืดหยุ่นและไม่ให้ฉีกขาดได้



   บริพัตรอดทน ชายหนุ่มอดทนเป็นอย่างมาก แกนกายของเขาแทบจะระเบิดแต่เขาไม่อยากให้ภูธนาเจ็บจนเกินไป เขาจึงต้องกัดฟันเตรียมพร้อมคนตรงหน้าให้ดีเสียก่อน กว่าสักพักจนกระทั่งบริพัตรได้ยินเสียงครางออกมาเบาๆ จากคนที่หลับตาอยู่นั้น บริพัตรก็คิดว่าภูธนานั้นพร้อมแล้ว



   เขาค่อยๆ ถอดถอนนิ้วออกจากช่องทางด้านหลังเบาๆ เอื้อมมือข้างว่างไปหยิบกระเป๋าตังเพื่อดึงซองถุงยางออกมา อย่าหาว่าเขาเป็นคนลามกหรือทะลึ่งอะไรเลย บริพัตรยอมรับว่าก่อนหน้านี้ ถึงเขาจะไม่มีแฟนเป็นตัวเป็นตน แต่ความต้องการของผู้ชายนั้นมันหลีกเลี่ยงไม่ได้ หากเขาต้องใช้บริการ การเตรียมพร้อมก็ย่อมปลอดภัยที่สุด เขาจึงพกถุงยางติดตัวอยู่เสมอ บริพัตรจัดการฉีกซองถุงยางออกและสวมมันลงให้กับแกนกายตนเอง



   ถึงอยากจะรักกับภูธนาให้แนบแน่นกว่านี้ แต่ความปลอดภัยของทั้งคู่นั้นย่อมมาก่อน เพราะฉะนั้นหากยังไม่แน่ใจแล้ว เขาก็ไม่อยากให้ภูธนามาเสี่ยงไปกับเขา



   บริพัตรจรดแกนกายโป่งพองของตนเองที่ช่องทางด้านหลังของภูธนานั้น ค่อยๆ ดันเข้าไปในอย่างช้าๆ บริพัตรสังเกตสีหน้าของคนที่ยังนอนหลับตาอยู่ ถึงจะไม่เอ่ยเสียงร้องใดๆ ออกมา แต่เหงื่อที่ผุดเต็มหน้าผากนั้น ทำให้บริพัตรรู้ได้โดยไม่ยากเลยว่าตอนนี้ภูธนากำลังอดทนมากแค่ไหน ชายหนุ่มยิ่งจำต้องถนอมคนตรงหน้านี้ให้มาก



   "เจ็บหรือเปล่า ถ้าเจ็บจนเกินไป จะหยุดก็ได้นะ" บริพัตรเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง


   "มะ ..ไม่เป็นไร ผมไหว" ดูก็รู้ว่าภูธนาเกือบจะไม่ไหว ถึงจะปากดีพูดออกไปแบบนั้น หากภูธนาอยากให้หยุดเขาคงจะขาดใจต้องรีบเข้าห้องน้ำไปจัดการด้วยตัวเองแน่ๆ


   "ไม่ต้องกลัวผมโกรธ" บริพัตรบอกให้ภูธนาไม่ต้องกังวลในตัวเขา


   "ไม่ๆ คุณเข้ามาเลย ผมไหว"


   "คุณจะเจ็บ" บริพัตรเตือนอีกฝ่าย


   "เข้ามาเถอะ นะครับ" คำขอร้องจากภูธนา ทำให้บริพัตรแทบจะหมดความอดทน


   ชายหนุ่มกัดฟันค่อยๆ ใส่เข้าไปอีก เขาแทบจะกลั้นหายใจกลัวว่าภูธนาจะไม่ไหวเป็นลมไปเสียก่อนด้วยซ้ำ และในที่สุดชายหนุ่มก็ผ่อนลมหายใจออกมาเมื่อพบว่าตอนนี้เขาเข้าไปได้จนสุดแล้ว


   "โอเคมั้ย" บริพัตรถามภูธนาอีกครั้ง   


   "ไม่ต้องห่วงผมขนาดนั้นหรอกน่า" ภูธนาพูดอย่างติดตลก บริพัตรกลายเป็นคนที่ขาดความมั่นใจไปได้ยังไง


   "ก็มันเป็นครั้งแรกของคุณไม่ใช่เหรอ"


   "ใช่ครับ แต่ผมก็ไม่ใช่เด็กๆ แล้วนะ" ภูธนาเอื้อมมือไปจับหน้าคนที่อยู่ด้านบนของเขา


   "ไม่อยากให้คุณกลัว"


   "ผมไม่กลัวหรอก คุณดูแลผมดีขนาดนี้"


   "ผมรักคุณนะ ลุงธนา" เสียงทุ้มเอ่ยแผ่วเบา


   "ผมก็รักคุณครับ อาพัต"




   บริพัตรก้มลงจูบปากอิ่มนั้นอีกครั้งก่อนที่จะเริ่มขยับตัวช้าๆ เสียงลมหายใจแผ่วเบาของทั้งคู่สอดประสานกันอย่างลงตัว บริพัตรมองคนตรงหน้าก็เห็นว่าสีหน้าของภูธนาในเวลานี้เต็มไปด้วยความสุข และมันก็ทำให้เขามีความสุขเช่นกัน มือหนาของบริพัตรจับแกนกายของคนตรงหน้าที่กำลังตื่นตัวอีกครั้ง ชายหนุ่มรูดรั้งขึ้นลง มันยิ่งสร้างความปลุกปั่นอารมณ์ภายในของภูธนาให้เตลิดออกไปมากกว่าเดิม


   "อา คุณพัต คุณพัต"


   "ครับ"


   "ผะ... ผมไม่ไหวแล้ว"


   "จะให้ผมหยุดเหรอ" บริพัตรดันส่วนของตนเข้าไปในช่องทางของภูธนาจนสุดและค้างไว้อยู่แบบนั้นยิ่งทำให้ภูธนากระสับกระส่ายด้วยความทรมาน


   "อื้อ ไม่เอา ไม่เอาแบบนี้คุณพัต" ภูธนาเอ่ยร้องขอออกมา


   "ไม่เอาแบบนี้แล้วแบบไหนครับ คนเก่ง"


   "ไม่รู้ ผมไม่รู้"


   "ถ้าไม่รู้แล้วผมจะทำให้ได้ยังไง ให้ผมหยุดมั้ย" สาบานถ้าภูธนากล้าพูดออกมาให้เขาหยุด เขาคงจะวิ่งไปกระโดดจากระเบียงแน่ๆ


   "เร็วๆ ครับ อย่าหยุดแบบนี้ ผมไม่ไหวแล้ว" เสียงเครือด้วยความทรมานร้องขอคนตรงหน้าอย่างกระดากอาย


   "แค่นี้เอง สบายมาก เดี๋ยวผมจัดการให้เลย" บริพัตรหัวเราะอย่างอารมณ์ดีแล้วเริ่มขยับอีกครั้ง และไม่นาน บริพัตรเร่งจังหวะจนในที่สุดเขาและภูธนาก็หลั่งน้ำขาวขุ่นนั้นออกมาพร้อมกัน


   บริพัตรค่อยๆ พลิกร่างกายขาวที่ยังหอบอยู่มานอนกอดบนโซฟา ริมฝีปากอิ่มเฝ้าวนเวียนจูบใบหน้าขาวไม่ห่าง


   "ไหนว่าจะเล่าเรื่องรูปนั้น ทำไมกลายมาเป็นแบบนี้ไปได้" ภูธนาบ่นอุบหลังจากลมหายใจของภูธนากลับมาเป็นปกติ


   "เล่าบ้าง พักเบรคบ้างไงครับ" บริพัตรตอบคนในอ้อมกอดด้วยความทะเล้นในที


   "เบรคบ้าอะไรกัน เกือบจะขาดใจ"


   "ถือว่าเป็นคำชมนะครับ"


   "ใครเขาชม" ภูธนามองคนที่หลงตัวเองด้วยความหมั่นไส้


   "ขอบคุณนะครับ"


   "ขอบคุณเรื่องอะไรกันครับ"


   "ขอบคุณที่เลือกผมครับ ธนา"


   "ผมก็ขอบคุณ คุณพัต เช่นกันครับ เอ แล้วสรุปจะเล่าต่อได้หรือยังครับ"


   "แน่นอนเลย เดี๋ยวผมเล่าให้คุณฟังต่อในห้องดีมั้ยครับ" พูดจบ บริพัตรก็ลุกขึ้นเต็มความสูงและรีบอุ้มคนที่ยังนอนอยู่นั้นขึ้นทันที


   "เฮ้ย นีปล่อยผมลงนะคุณพัต"


   "ไปเล่ากันต่อในห้องไง"



--------------------------------------------------

ยังไงถึงเป็นแบบนี้ไปได้ ยังเล่าไม่จบเลยน้าา อาพัต :-[

 :mew1:
หัวข้อ: Re: กว่าจะเข้ากันได้ โดย เขมกันต์ อัพเดท [บทที่ 20] หน้า 4 - 13/05/2559 ค่ะ
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 13-05-2016 22:34:25
 :ling1: :katai2-1:
สมใจ   :hao5::L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: กว่าจะเข้ากันได้ โดย เขมกันต์ อัพเดท [บทที่ 20] หน้า 4 - 13/05/2559 ค่ะ
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 13-05-2016 23:16:30
 :haun4: :haun4: :haun4:
หัวข้อ: Re: กว่าจะเข้ากันได้ โดย เขมกันต์ อัพเดท [บทที่ 20] หน้า 4 - 13/05/2559 ค่ะ
เริ่มหัวข้อโดย: insomniac ที่ 14-05-2016 05:51:35
ลุงธนาอาพัตรเขาคุยกันน่ารักนะ
ขนาดฉากหื่นยังกลายเป็นมุ้งมิ้งเลย
หัวข้อ: Re: กว่าจะเข้ากันได้ โดย เขมกันต์ อัพเดท [บทที่ 20] หน้า 4 - 13/05/2559 ค่ะ
เริ่มหัวข้อโดย: PetitDragon ที่ 14-05-2016 12:32:04
 :heaven
หัวข้อ: Re: กว่าจะเข้ากันได้ โดย เขมกันต์ อัพเดท [บทที่ 20] หน้า 4 - 13/05/2559 ค่ะ
เริ่มหัวข้อโดย: เขมกันต์ ที่ 23-05-2016 14:58:14


บทที่ 22



   เกือบใกล้รุ่งสางเต็มที กว่าบริพัตรจะยอมปล่อยให้ภูธนาเข้านอนได้ ภูธนาได้ฟังเรื่องราวจากปากของบริพัตรเข้าใจบ้าง ไม่เข้าใจบ้าง เพราะสมองเริ่มจะไม่ค่อยสั่งการเสียแล้ว เขาพอจะจับใจความคร่าวๆ ได้ว่า



   บริพัตรใช้วิธีดักจับสัญญาณผ่านโทรศัพท์มือถือของช่างภาพ โดยตรวจสอบจากการเข้าถึงอินเทอร์เน็ต สืบขึ้นไปจนรู้ถึงบ้านที่อยู่และไอพีแอดเดรสของเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ใช้เล่นเน็ต โชคยังเข้าข้างภูธนาอยู่เพราะวันที่บริพัตรได้ลงมือนั้น ช่างภาพนั่นได้เปิดเครื่องคอมและเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต ทำให้บริพัตรปล่อยไวรัสเข้าไปวางที่เครื่องปลายทางได้เป็นผลสำเร็จ หากช่างภาพหนุ่มนั้นเปิดคอมพิวเตอร์ขึ้นมาอีกครั้ง ไวรัสก็จะทำงานทันที แต่บริพัตรก็ยังไม่วางใจ ชายหนุ่มทราบถึงบริษัทที่จอมแบลคเมลทำงานอยู่ก่อนแล้วจึงฝังไวรัสลงเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ทำงานอยู่นั้นได้ไม่ยากเย็นนัก ดังนั้นไฟล์ภาพที่ถูกแบคอัพไว้น่าจะถูกไวรัสทำลายไปจนหมด เหลือแต่เพียงในมือถือและกล้อง ซึ่งชายหนุ่มก็ได้ฝากให้ชนกันต์ลงมือจัดการเรียบร้อยแล้ว



   คงไม่อะไรแล้วล่ะ ภูธนาถอนหายใจด้วยความโล่งก่อนที่จะเข้าสู่นิทราในช่วงเช้า


   'ผมโทรบอกพี่กันต์ให้มารับคุณตอนเที่ยงแล้วนะ' ภูธนาหยิบกระดาษโน้ตที่มีข้อความสั้นๆ อยู่


   "คุณพัต" มือไวกว่าความคิด ภูธนากดต่อสายไปยังเจ้าของกระดาษแผ่นนั้นทันที


   "ครับ? ตื่นแล้วเหรอ"


   "สักพักนี่เอง แล้วนี่คุณกลับไปตอนไหน"


   "ก็น่าจะช่วงเช้าๆ นั่นแหละครับ ทำไมเหรอ"


   "เปล่า ก็เมื่อคืน"


   "ไม่ได้นอน ?" บริพัตรต่อให้โดยไม่ต้องรอจบประโยค


   "ถ้าไม่ได้นอนเพราะเรื่องนั้น ผมสบายมาก" บริพัตรยังแถมท้ายให้อีกประโยค ทำเอาอีกฝ่ายอดที่จะเขินไม่ได้


   "คุณพัต!" ภูธนาเสียงดังเพื่อกลบเกลื่อนความรู้สึก


   "เอ้า เสียงดังใส่ผมทำไม"


   "พูดอะไรไม่เข้าท่าเอาซะเลย"


   "ว่าแต่รู้สึกไม่สบายหรือเปล่า ผมทำรุนแรงไปหรือเปล่า"


   "ก็ไม่หรอกครับ น่าจะเพราะเมื่อคืนคุณพัตให้กินยาดักไว้ก่อน ขอบคุณนะครับ"


   "อย่าขอบคุณเลย เพราะมันเกิดจากผมทั้งนั้นนี่นา ผมก็ต้องรับผิดชอบคุณสิ ธนา"


   "ผมไปอาบน้ำ แต่งตัวรอพี่กันต์มารับดีกว่า งั้นแค่นี้ก่อนนะครับ"


   "ครับ แล้วผมจะโทรหา"


   "ครับ" ภูธนาตอบรับแล้วก็วางสายไป และเมื่อเวลาเที่ยงตรง ชนกันต์ก็มารับตรงเวลาไม่คลาดเคลื่อนเลย


   "ฟอร์มกลับมาเข้าที่แล้วนี่ ธนา" จอมเดชทักขึ้นเมื่อภูธนาถอดหมวกกันน็อคและก้าวเท้าออกมาจากตัวรถที่เจ้าตัวได้ซ้อมขับไปเมื่อสักครู่นี้


   "ขอบคุณครับ พี่จอม"


   "ดีแล้วล่ะ ใกล้จะแข่งเข้ามาทุกทีแล้ว พี่ล่ะเป็นห่วงจริงๆ ตั้งสติแล้วอย่าให้มีอะไรรบกวนใจอีกนะ"


   "ครับ ผมจะปรับปรุงให้ดีกว่านี้"


   "งั้นวันนี้ก็ไปพักเถอะ"


   "ผมไปก่อนนะครับ พี่จอม สวัสดีครับ" ภูธนายกมือไหว้บอกลาจอมเดช ก่อนจะเดินกลับเข้าไปในห้องเพื่อเปลี่ยนเสื้อผ้า



   อากาศวันนี้ค่อนข้างอบอ้าว    ภูธนาจึงตั้งใจว่าจะอาบน้ำคลายร้อนเสียหน่อย มือขาวเรียวยังไม่ทันจะถอดเสื้อออกจากตัว เสียงโทรศัพท์ที่อยู่ในตู้ลอคเกอร์ก็ดังขึ้นเสียก่อน ชายหนุ่มรีบเปิดตู้เพื่อมารับโทรศัพท์เพราะคิดว่าอาจจะเป็นคนที่เขาโทรหาเมื่อเช้านี้


   "ครับ" ภูธนารับสายด้วยความตื่นเต้นแต่ก็ต้องพยายามไม่แสดงออกผ่านทางน้ำเสียงให้มากนัก


   "พี่ธนาคะ สิตาเองค่ะ" เสียงสดใสปลายสายส่งเสียงมาทักทาย


   "เอ้า สิตาเองเหรอ" น้ำเสียงของชายหนุ่มผิดหวังเล็กน้อยเพราะไม่ใช่คนที่คาดคิดไว้


   "เสียงดูผิดหวังนะคะ คิดว่าใครโทรมาเหรอคะ"


   "เปล่าหรอก แค่ไม่คิดว่าเราจะโทรหาพี่ได้"


   "แหม ก็สิตาร้อนเงินนี่คะ"


   "ไม่" เมื่อน้องสาวเกริ่นนำมาขนาดนี้ ภูธนาเลยรีบตัดไฟแต่ต้นลมเลยทันที เพราะเขาไม่อยากให้น้องสาวถูกตามใจจนเกินไป


   "โธ่ พี่ธนาคะ เงินที่พี่โอนมาให้ มันไม่พอหรอกค่ะ"


   "ไม่พอได้ยังไงสิตา แกเอาเงินไปทำอะไรหมด ไหนบอกพี่ที"


   "ก็หลายอย่างค่ะ แต่พี่ไม่ต้องรู้หรอกค่ะ"


   "ไม่ต้องรู้ได้ยังไง แกมาขอเงินถี่ขนาดนี้ แล้วบอกพี่ไม่ต้องรู้ แบบนี้น่ะเหรอ ไม่ได้หรอก"


   "สิตาจำเป็นต้องใช้เงินจริงๆ ค่ะ"


   "แกมีปัญหาอะไรหรือเปล่า ถ้าแกมีเรื่องไม่สบายใจก็บอกให้พี่ฟังสิ พี่จะได้ช่วยแกคิดหาวิธีแก้ไขปัญหา ไม่ใช่เอาเงินมาเป็นตัวแก้ปัญหาเสียหมดแบบนี้" ภูธนาพูดเสียยืดยาวเพราะเริ่มเป็นห่วงน้องสาวขึ้นมา


   "มันไม่ใช่ปัญหาอะไรหรอกค่ะ"


   "ถ้างั้นแกก็กลับมาอยู่ที่บ้านสิ จะได้ประหยัดค่าใช้จ่ายที่พักอะไรพวกนั้น เข้าใจที่พี่บอกหรือเปล่า"


   "หนูเข้าใจค่ะ แต่ยังไงแล้ว พี่ธนาโอนเงินมาให้หนูก่อนได้หรือเปล่า"


   "ไม่ได้ ยัยสิตา พี่บอกจะให้แก ทุกๆ 2 อาทิตย์ แล้วนี่อะไร ยังไม่ครบอาทิตย์เลย แกก็โทรศัพท์มาขอเงินพี่เพิ่มอีกแล้ว มันยังไงกัน ถ้าแกไม่มีเงิน แกก็แค่กลับมาอยู่ที่บ้าน"


   "พี่ธนา อย่าบีบบังคับหนูได้มั้ย" เสียงของภูสิตาในยามนี้จากที่อ่อนหวานกลับกลายเป็นเสียงที่ก้าวร้าวเพราะโดนขัดใจ


   "พี่ไม่ได้บังคับแก แต่พี่หวังดีและเป็นห่วงแกนะ สิตา"


   "ถ้าพี่เป็นห่วงหนูจริง พี่ก็โอนเงินมาให้หนูสิ ไม่ใช่มาบอกให้หนูกลับบ้านแบบนี้"


   "แกไม่เข้าใจที่พี่พูดเลยใช่มั้ย พี่ไม่อยากให้แกใช้เงินทิ้งขว้างแบบนี้ แกต้องเริ่มปรับตัวบ้างแล้วสิตา"


   "พี่จะบีบให้หนูทำใช่มั้ย"


   "ทำอะไรสิตา พี่แค่อยากให้แกกลับบ้าน"


   "ไม่ค่ะ หนูไม่กลับ ถ้าพี่ไม่โอนเงินมาให้หนูก่อน 4 โมงเย็นวันนี้ อย่าหาว่าหนูทำเกินไปนะคะ"


   "สิตา ไม่เอาน่า แกมีปัญหาอะไร แกก็บอกพี่สิ ไม่ใช่มาทำแบบนี้" ภูธนากล่าวด้วยความร้อนใจ เรื่องราวชักจะบานปลาย


   "ก่อน 4 โมงค่ะ"


   "สิตา แกเป็นอะไร แกบอกพี่"


   "หนูจะรอเงินจากพี่ ถ้าไม่ได้พี่ก็รอดูผลที่พี่ใจร้ายกับหนูก็แล้วกันค่ะ" ภูสิตาเอ่ยทิ้งท้ายแล้วก็วางสายลงทันที ภูธนาพยายามที่จะโทรกลับไปแต่ก็ไม่เป็นผล เพราะอีกฝ่ายนั้นปิดเครื่องหนีไปเสียแล้ว


   ภูธนาหมดอารมณ์จะไปอาบน้ำก่อนกลับบ้านเสียแล้ว พอปัญหาเก่าหมดไป ปัญหาใหม่ก็เข้ามาทันที ครั้งนี้ภูธนาสังหรณ์ใจเหลือเกินว่าสิ่งที่ภูสิตาพูดนั้นดูจะไม่ใช่แค่คำขู่ ดูเหมือนน้องสาวของเขานั้นคิดจะทำอะไรบางอย่างจริงๆ


   "อ้าว ธนา ทำไมยังไม่เปลี่ยนเสื้อผ้าล่ะครับ" ชนกันต์เดินเข้ามาตามภูธนาในห้องเปลี่ยนเสื้อผ้า เพราะเห็นว่าชายหนุ่มหายเข้ามาในนี้นานแล้วยังไม่กลับออกมาเสียที


   "คือผมรู้สึกไม่สบายใจนิดหน่อยครับ"


   "เรื่องรูปหรือเปล่า พี่บอกแล้วไงว่าไม่ต้องห่วงอะไรอีกต่อไปแล้ว" ชนกันต์เข้าใจว่าชายหนุ่มยังเป็นห่วงเรื่องราวที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้


   "ไม่ใช่ครับ เรื่องสิตา"


   "สิตา?"


   "ภูสิตา น้องสาวของผมเอง"


   "อ่อ ผมนึกออกแล้ว" ชนกันต์นึกขึ้นได้ว่าเมื่อวันก่อนเขาเพิ่งโอนเงินเข้าบัญชีของหญิงสาวไปเอง


   "ครับ แกโทรมาขอเงินเพิ่ม"


   "คุณสิตาเขามีเรื่องจำเป็นต้องใช้เงินหรือเปล่าครับ"


   "ผมพยายามถามแล้ว แต่แกก็ไม่พูด แต่กลับพูดว่า" ภูธนากลืนน้ำลายเตรียมที่จะพูดประโยคต่อไป


   "พูดว่าอะไรครับ"


   "แกพูดว่า ถ้าไม่โอนเงินให้ก่อน 4 โมง อย่าหาว่าแกทำเกินไป"


   "เดี๋ยวนะครับ ก่อนหน้านี้คุณภูสิตาเคยพูดหรือบอกอะไรคุณบ้างมั้ย" ชนกันต์ถามเพื่อรวบรวมข้อมูล


   "ไม่มีเลยครับ หลังจากที่แกได้เงินไปก่อนหน้านี้ แกก็หายไปเลย กลับมาอีกทีก็นั่นแหละครับ ที่ผมฝากพี่กันต์โอนเงินไปให้"


   "แล้วคุณภูสิตามีเพื่อนหรือว่าแฟนที่ไหนหรือเปล่า"


   "มีเพื่อนอยู่คนนึงครับ แต่ปกติ ยัยสิตาก็เป็นเด็กที่น่ารักอยู่ ถ้าไม่ติดเรื่องเอาแต่ใจ อาจจะเพราะผมขัดใจล่ะมั้งครับ แกก็เลยโกรธไม่พอใจ แกอาจจะพูดไปแบบนั้นเพราะโกรธก็ได้"


   "คุณธนาแน่ใจใช่มั้ยครับ"


   "ครับ ผมนี่ชอบคิดมากไปเรื่อย"


   "ถ้างั้นก็เปลี่ยนเสื้อผ้าเถอะครับ จะได้กลับไปพักผ่อนที่บ้าน วันนี้ไม่มีนัดอะไรแล้วครับ"


   "ครับ เริ่มง่วง ชักอยากนอนกลางวันเสียหน่อย"


   "เมื่อคืนนอนดึกเหรอครับ"


   "เอ่อ ก็ไม่เชิงหรอกครับ" เพราะคำถามที่ไม่ได้ตั้งใจของชนกันต์ แต่ภูธนาก็คิดไปไกลเสียแล้ว เพราะเขาเองรู้ดีกว่าเมื่อคืนมันเกิดอะไรขึ้น


   "เอ้า หน้าแดงซะแล้ว มีลับลมคมในอะไรหรือเปล่า"  ชนกันต์เอ่ยเหย้าเพราะเห็นท่าทางมีพิรุธของภูธนา


   "สงสัยอากาศคงร้อน งั้นผมขอตัวไปอาบน้ำดีกว่า รอแปปนะครับ" ภูธนาเฉไฉเปลี่ยนเรื่อง


   "ผมไปรอข้างนอกนะ ไม่ต้องรีบนะครับ" ชนกันต์พูดจบก็สาวเท้าออกไปจากห้องเพื่อให้ภูธนาจัดการธุระส่วนตัว


   "ครับ"



   ภูธนาตั้งใจว่าจะใช้เวลาไม่นาน แต่กลายเป็นว่าชายหนุ่มใช้เวลาในห้องน้ำและแต่งตัวร่วมชั่วโมงเลยทีเดียว เพราะความที่เก็บเอาเรื่องของภูสิตามาครุ่นคิดต่อ กว่าจะรู้ตัวว่าให้ชนกันต์รออยู่ด้านนอกนั้นนานเสียแล้ว ภูธนาก็รีบอาบน้ำแทบไม่ทัน


   "ขอโทษครับ ผมอาบน้ำนานไปหน่อย" ภูธนาเดินออกมาขอโทษด้วยความรู้สึกผิดที่ปล่อยอีกฝ่ายรอนาน


   "ไม่เป็นไรครับ ไม่ต้องขอโทษผมหรอก ลืมแล้วหรือไงว่าผมมาอยู่ในตรงนี้มีฐานะอะไรให้คุณ" ชนกันต์พูดพลางยิ้มให้อีกฝ่าย เพราะชายหนุ่มต้องดูแลภูธนาอยู่แล้ว การรออีกฝ่ายจัดการภารกิจต่างๆ ก็เหมือนกับเป็นส่วนหนึ่งของงานนั้นแหละ ดังนั้นมันไม่ใช่เรื่องที่ภูธนาจะต้องมาเอ่ยคำขอโทษ


   "ถึงพี่กันต์จะพูดแบบนั้น แต่ผมก็อดรู้สึกผิดไม่ได้"


   "เอาล่ะๆ ผมล่ะยอมใจคุณจริงๆ คุณธนา เรียบร้อยแล้วใช่มั้ยครับ"


   "ครับ" ภูธนาชูกระเป๋าสะพายข้างมาประกอบคำพูด



   ระหว่างนั่งรถกลับบ้าน ชนกันต์กับภูธนา ต่างก็แลกเปลี่ยนเรื่องราวประสบการณ์ของตนเอง ทำให้อีกฝ่ายได้รู้จักกันมากขึ้น และภูธนาก็พบว่าจริงๆ แล้วชนกันต์เป็นคนที่มีอารมณ์ขันไม่น้อยเลยทีเดียว เพียงแต่ใบหน้านั้นต้องเคลือบความนิ่งเอาไว้เพื่อความเชื่อถือในหน้าที่การงาน



   แต่บทสนาของทั้งคู่ต้องหยุดชะงักลงเมื่อโทรศัพท์ในมือของภูธนาเกิดสั่นขึ้นมา ยิ่งพบว่าสายที่โทรเข้ามาเป็นใครนั้น ภูธนายิ่งแปลกใจเพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณทันที    


        "ครับ คุณดิน" ภูธนากดรับสาย


   "ขอโทษที่โทรมารบกวนนะครับ แต่น้องภูหายไปครับ"


   "อะไรนะครับ!!?" ภูธนาเสียงดัง ถึงกับทำให้ชนกันต์ต้องหันกลับมามองข้างๆ ว่าเกิดอะไรขึ้นหรือไม่


   "ผมไปรับน้องภูกลับบ้าน แต่ไม่เจอน้องภูแล้วครับ"


   "น้องภูหายไป ไม่น่าเป็นไปได้ ปกติแกไม่ไปกับคนแปลกหน้า" ภูธนาพูดวิเคราะห์หลานชายที่ตนรู้จัก


   "ผมถามคุณครูของน้องภู เธอบอกว่าแม่ของน้องภูมารับไปครับ"


   "แม่ของน้องภู!" ภูธนาทวนเสียงดังด้วยความตกใจอีกครั้ง


   "ครับ แม่ของน้องภู"


   "ยัยสิตา หรือว่า.." ภูธนาหวนนึกไปถึงบทสนทนาที่ตนได้คุยกับน้องสาวมาไม่กี่ชั่วโมงก่อน


   "หรือว่าอะไรครับ"


   "เอางี้ครับ ถ้าน้องภูอยู่กับแม่ของแกแล้ว ก็คงจะไม่มีปัญหาจากคนแปลกหน้าแล้ว ตอนนี้คุณดินอยู่ไหนครับ เดี๋ยวผมไปเจอคุณดีกว่า"


   "ผมยังอยู่ที่หน้าโรงเรียนน้องภูครับ ถ้างั้น เดี๋ยวคุณธนาไปเจอที่บ้านผมก็แล้วกันครับ" บดินทร์นัดหมายสถานที่เป็นบ้านของตนเอง


   "ตกลงครับ"  ภูธนาวางสายลงก่อนจะหันไปบอกชนกันต์


   "พี่กันต์ ช่วยไปส่งผมที่บ้านคุณดินหน่อยได้มั้ยครับ"


   "ได้สิครับ" ชนกันต์จัดให้ตามคำขอ ฝ่าเท้ากดจมลึกเร่งความเร็วของรถเพื่อให้ถึงจุดหมายปลายทาง


   "ขอบคุณครับ" เพียงไม่นานยานพาหนะที่ภูธนาโดยสารมาก็ถึงที่หมายอย่างปลอดภัย



   ชนกันต์ดับเครื่องยนต์เสร็จก็พบว่าเจ้าของบ้านเปิดประตูรอต้อนรับเขาทั้งสองเรียบร้อยแล้ว ทั้งคู่เดินเข้าไปในตัวบ้านด้วยความร้อนใจโดยไม่รอเจ้าบ้านเชื้อเชิญก่อนแต่อย่างใด


   "คุณดินครับ" ภูธนาเอ่ยทักเจ้าของบ้านที่กำลังนั่งก้มหน้า คิ้วเข้มขมวดแน่นด้วยความกังวล เหลือบมองไปข้างๆ ก็เห็นบริพัตรนั่งปลอบใจอยู่ข้างๆ พี่ชายของตนเอง


   "มากันแล้วเหรอครับ" บดินทร์เงยหน้าขึ้นมาทักหลังจากได้ยินเสียงของผู้มาใหม่


   "สวัสดีดิน สวัสดีพัต" ชนกันต์ทักทายขึ้นมาบ้าง


   "สวัสดีครับพี่กันต์" บริพัตรทักทายกลับ


   "สวัสดีกันต์ มาด้วยกันกับคุณธนาได้ยังไง" บดินทร์ถามกลับด้วยความแปลกใจเพราะไม่คาดคิดว่าชนกันต์จะมาด้วย


   "ตอนนี้ผมเป็นผู้จัดการส่วนตัวของคุณธนาน่ะครับ"


   "อ้อ อย่างนั้นเหรอ นั่งลงก่อนครับ" บดินทร์ตอบรับในคำอธิบายของชนกันต์


   "เดี๋ยวผมเอาน้ำมาให้นะ" บริพัตรทำหน้าที่เจ้าบ้านทันที


   "ไหนๆ ก็อยู่กันครบแล้ว งั้นผมรบกวนคุณดินเล่ารายละเอียดให้ผมฟังอีกรอบหน่อยครับ" ภูธนารับแก้วน้ำจากบริพัตรมาดื่มอึกใหญ่ก่อนจะเริ่มบทสนทนาที่ชวนให้เคร่งเครียดนี้


   "ช่วงเย็น ผมไปรับน้องภูที่โรงเรียนครับ ปกติแล้วแกจะเล่นอยู่ที่สนามเด็กเล่นเพราะจะมองเห็นผมเวลามาที่รับได้โดยง่าย แต่วันนี้ผมรออยู่สักพัก น้องภูก็ยังไม่ออกมา ก็เลยเดินเข้าไปดูที่สนามก็ไม่พบแก พอดีคุณครูประจำชั้นของน้องภูเดินมา คุณครูน้องภูก็ถามผมทันทีว่ามารับน้องภูทำไม เพราะเมื่อสักครู่นี้แม่ของน้องภูมารับไปแล้ว ผมก็เลยโทรศัพท์หาคุณธนานั่นแหละครับ"


   "พี่กันต์จำเรื่องที่สิตาโทรหาผมเมื่อช่วงบ่ายได้มั้ยครับ" ภูธนาหันไปถามผู้จัดการของตน


   "เริ่มมีกลิ่นทะแม่งๆ แฮะ"


   "โทรศัพท์อะไร ธนา" บริพัตรถามคนรักด้วยเรื่องนี้ชักจะดูไม่ชอบมาพากลเข้าเสียแล้ว


   "เมื่อช่วงบ่าย ยัยสิตาโทรมาขอเงินจากผมเพิ่ม แต่ผมไม่ให้ แกก็เลยขู่ว่าแกจะลงมือทำอะไรบางอย่าง ตอนแรกผมก็กังวลนิดหน่อย แต่คิดไม่ถึงว่าจะใช้น้องภูเป็นเครื่องมือ"


   "คุณแน่ใจเหรอว่าคุณสิตาจะทำแบบนั้นได้" บริพัตรถามย้ำ


   "ก็ถ้าหากผมเข้าใจเรื่องนี้ไม่ผิดนะครับ"


   "แต่คุณสิตาก็ไม่น่าจะต้องมาทำอะไรแบบนี้หรือเปล่า เพราะยังไงแล้วเธอก็ยังเป็นแม่ของน้องภู" บดินทร์ท้วงขึ้นมา


   "พี่ดินลืมเรื่องเงินสิบล้านแล้วเหรอ" บริพัตรทวนความจำให้พี่ชาย เพราะกว่าที่บดินทร์จะได้ตัวของลูกชายมาดูแลเลี้ยงดูเองนั้นต้องแลกมากับเงินจำนวนมากเลยทีเดียว


   "ก็จริง พี่ลืมเรื่องนี้ไปเสียสนิทเลย"


   "แล้วธนา ได้โทรหาคุณสิตาหรือยัง" บริพัตรถามคนรักที่พ่วงความเป็นพี่ชายของภูสิตาด้วย


   "โทรแล้วครับ แต่ยัยสิตาปิดเครื่อง ติดต่อไม่ได้เลย" ระหว่างทางที่นั่งรถมาบ้านของบดินทร์นั้น ภูธนากดโทรศัพท์จนแทบมือหงิก จนชนกันต์ต้องบอกให้หยุดนั่นแหละ ชายหนุ่มถึงหยุดโทรได้


   "เราคงต้องรอเธอติดต่อมาเอง" ชนกันต์สรุปเรื่องราวให้ทุกคนฟังหลังจากที่ปะติดปะต่อเรื่องทั้งหมดได้


   "ใช่ครับ ทำได้เพียงแต่รอ" ภูธนาจำต้องรับคำนั้นมาด้วยความจนใจ


---------------

ขออภัยมาต่อช้าค่ะ >< สุดสัปดาห์ไปเที่ยวไหนกันมาบ้างเอ่ยยย
ไปอ่านกันเล้ยยย

ขอบคุณสำหรับการติดตามค่ะ


 :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: กว่าจะเข้ากันได้ โดย เขมกันต์ อัพเดท [บทที่ 20] หน้า 4 - 23/05/2559 ค่ะ
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 23-05-2016 16:04:21
ภูสิตา เธอช่างมีแต่เรื่อง เอาแต่ใจ ไม่ทำงาน ขายลูกก็ได้ ใช้เงินเป็นเบี้ย :z6:
พอเงินหมด ก็มาข่มขู่ ขอเงินจากพี่ชาย แย่มาก :m16:
หัวข้อ: Re: กว่าจะเข้ากันได้ โดย เขมกันต์ อัพเดท [บทที่ 20] หน้า 4 - 23/05/2559 ค่ะ
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 24-05-2016 01:37:37
 :katai1: :katai1: :katai1: :katai1:
หัวข้อ: Re: กว่าจะเข้ากันได้ โดย เขมกันต์ อัพเดท [บทที่ 20] หน้า 4 - 23/05/2559 ค่ะ
เริ่มหัวข้อโดย: PetitDragon ที่ 24-05-2016 07:43:07
นี่แม่หรอน่ะ

 :beat:
หัวข้อ: Re: กว่าจะเข้ากันได้ โดย เขมกันต์ อัพเดท [บทที่ 22] หน้า 4 - 23/05/2559 ค่ะ
เริ่มหัวข้อโดย: เขมกันต์ ที่ 31-05-2016 20:05:22

บทที่ 23 ตอนจบ


   ทุกคนรวมตัวอยู่ภายในห้องนั่งเล่นของบดินทร์ สีหน้าของแต่ละคนไม่ค่อยสู้ดีนักด้วยความกังวลเพราะไม่รู้ว่าป่านนี้ภูบดินทร์ ลูกชายและหลานชายสุดที่รักของทุกคนนั้นจะเป็นอย่างไรบ้าง ถึงจะเบาใจว่าไม่ได้ถูกคนแปลกหน้าลักพาตัวไป แต่ในเวลานี้ ไม่มีใครที่จะกล้าเดาความคิดของภูสิตาผู้เป็นแม่ของเด็กน้อยนั้นได้เลย


   ในที่สุดเวลาแห่งความอดทนและการรอคอยก็จบลง โทรศัพท์มือถือของภูธนาสั่นแรงอยู่บนโต๊ะ ทุกสายตาจับจ้องบุคคลที่โทรเข้ามา


   'ภูสิตา'


   ภูธนาสบตากับบริพัตร ชายหนุ่มพยักหน้าให้กดรับ โดยเปิดลำโพงของโทรศัพท์แทน บุคคลที่เหลือต่างพากันเงียบจนเกือบจะลืมหายใจกันเลยทีเดียว


   "ยัยสิตา" เสียงภูธนาสั่นไปด้วยความโมโหและหวาดกลัวเพราะไม่รู้ว่าภูสิตาจะทำอะไรต่อไป


   "กำลังรอสายของหนูอยู่ใช่มั้ยคะ พี่ธนา"


   "ใช่ แกพาน้องภูไปเที่ยวเหรอ" ผู้เป็นพี่ชายพยายามหยั่งเชิงน้องสาวของตนว่าหญิงสาวจะมาในรูปแบบไหน


   "หนูบอกพี่แล้วไงคะ ถ้าไม่โอนเงินให้แล้วพี่จะต้องเสียใจ"


   "ใจเย็นๆ ก่อนนะสิตา ตอนนี้น้องภูอยู่กับแกใช่มั้ย"


   "ใช่ค่ะ"


   "ขอพี่คุยกับน้องภูหน่อย"


   ทุกคนในที่ตรงนั้นได้ยินเสียงแว่วๆ ของภูสิตาที่เหมือนเรียกใครบางคนที่นั่นให้พาภูบดินทร์ออกมาเพื่อคุยโทรศัพท์กับเขา


   "น้องภู คุยกับลุงธนาสิคะ" ภูสิตาบอกลูกชายให้รับโทรศัพท์ไป


   "ลุงธนาฮะ ฮืออ ฮืออ น้องภูอยากกลับบ้านแล้ว" เสียงเด็กชายร่ำไห้มาตามสาย ภูธนามีสีหน้าเจ็บปวดไม่ต่างกับบดินทร์ผู้เป็นพ่อเลยแม้แต่น้อย


   "เดี๋ยวลุงจะรีบไปรับนะครับ กินข้าวหรือยัง"


   "น้องภูไม่กิน น้องภูอยากกลับบ้าน น้องภูคิดถึงพ่อ คิดถึงลุงธนา คิดถึงอาพัตฮะ" เด็กชายยังคงร้องไห้ต่อไม่หยุด


   "พูดมากจริงๆ นะน้องภู ไม่อยากอยู่กับแม่เหรอ" ภูสิตาเสียงดังใส่ลูกชายด้วยความไม่พอใจ


   "ปล่อยน้องภูนะ ปล่อยนะ" ภูสิตาแย่งโทรศัพท์ออกจากลูกชาย


   "ได้ยินแล้วใช่มั้ยคะ แกยังสบายดี ไม่เจ็บไม่บุบสลายตรงไหน แต่จะโทษหนูเรื่องข้าวไม่ได้หรอกนะคะ เพราะแกไม่ยอมกินเอง" ภูสิตากรอกเสียงลงมาไม่ยี่หระในพฤติกรรมของตนเอง ภูธนาได้ยินเสียงเด็กชายร้องไห้ดังห่างออกไปแล้วก็ในที่สุดเสียงนั้นก็เงียบหายไป


   "น้องภูล่ะ"


   "โอ้ย ห่วงแต่ตาภู หนูล่ะคะ พี่เคยห่วงบ้างมั้ย"


   "สิตา อย่าพาลสิ นั่นลูกของแกนะ น้องภูยังเด็กพี่ก็ต้องห่วงเป็นธรรมดา ส่วนแกนะ พี่เป็นห่วงเสมอนะ" ภูธนาพยายามเอาน้ำเย็นเข้าลูบ


   "ถ้าพี่เป็นห่วงหนู ก็โอนเงินมาให้สิคะ"


   "ก็ได้ๆ แกจะเอาเท่าไหร่" ภูธนาถอนหายใจเบาๆ กับคำพูดของน้องสาว


   "5 ล้านค่ะ"


   "หา!! แกจะบ้าเหรอสิตา พี่จะไปหาเงินมากขนาดนั้นจากไหนมาแก" ภูธนาตะโกนใส่ปลายสายด้วยความโมโห


   "จากคุณดินไงคะ พ่อน้องภูน่ะ หรือจะใครก็ได้ แต่ถ้าพี่ไม่อยากได้น้องภูแล้วก็ไม่ต้องให้เงินหนูค่ะ ก็ดีเผื่อว่าจะได้เอาน้องภูไปหาเงินได้บ้าง หน้าตาน่ารัก จ้ำม่ำแบบนี้คงเรียกความสงสารได้ไม่ยากหรอกค่ะ จริงมั้ยคะ"


   "ภูสิตา นี่แกยังเห็นน้องภูเป็นลูกแกหรือเปล่า ทำไมถึงคิดอะไรกับลูกแบบนี้ได้"


   "ก็เพราะว่าเห็นเป็นลูกของหนูไงคะ ถึงให้ช่วยกันทำมาหากิน" ภูธนายังคงโมโหภูสิตา ชายหนุ่มโกรธจนหน้าแดงกับนิสัยที่เลวร้ายแบบนี้



   แต่ทว่ามีมือหนามาดึงมือของภูธนาไปเกาะกุม เผื่อว่าชายหนุ่มจะใจเย็นขึ้นมาบ้าง มืออุ่นๆ นั้นไม่ใช่ใคร แต่เป็นของบริพัตรคนรักของเขา มันทำให้ภูธนาได้สติคืนมา บริพัตรพูดโดยไม่มีเสียง ซ้ำยังยกมืออีกข้าง กางมือออก เพื่อหมายถึง เงิน 5 ล้าน ที่ภูสิตาขอนั่นน่ะ เขาจะจัดการให้เอง ภูธนาเกรงใจและซาบซึ้งในความหวังดีของบริพัตร แต่เวลานี้เขาต้องรีบตัดสินใจ


   "ได้ๆ พี่จะเอาเงินให้แก" ภูธนารับความช่วยเหลือของบริพัตร


   "งั้นพี่ก็โอนเงินเข้าบัญชีหนูมาเลย แล้วพรุ่งนี้หนูจะพาน้องภูไปส่งที่โรงเรียนให้เองค่ะ ตอนเย็นพี่ก็ไปรับแกได้เลย" ภูสิตาพูดเหมือนทุกอย่างเป็นเรื่องง่ายไปเสียหมด


   "ไม่ พี่จะไปรับน้องภูเอง" ภูธนากรอกเสียงตอบกลับไป


   "พี่ไม่เชื่อใจหนูเหรอคะ"


   "ภูสิตา สิ่งที่แกทำมันทำให้พี่กลัว" ภูธนารับสารภาพตามตรง


   "ตามใจพี่ธนาล่ะกันค่ะ หนูไม่ได้คิดที่จะลูกไม้อะไรกับพี่อยู่แล้ว แต่ถ้าพี่ไม่เชื่อใจหนูก็ไม่เป็นไรค่ะ"


   "ให้พี่ไปรับน้องภูที่ไหน"


   "พี่จำบ้านเก่าของเราได้มั้ยคะ"


   "ได้" ภูธนาตอบน้องสาว บ้านเก่าที่ภูสิตาพูดถึงนั้นคือบ้านเก่าของครอบครัวก่อนที่จะถูกขายทอดตลาดออกไป



   "พี่ไปรอหนูที่นั่นก็แล้วกันค่ะ"


   "อีกสักชั่วโมง เจอกัน"


   "ค่ะ หนูจะรอ"


   ภูสิตาวางสายไปนานแล้ว แต่ภายในห้องยังคงเงียบ


   "พัต" ในที่สุดบดินทร์ก็เป็นคนทำลายความเงียบ


   "พี่ไม่รู้จะพูดยังไง พี่ต้องรบกวนนายอีกแล้ว ขอบใจนายมากนะ พัต ขอบใจจริงๆ" บริพัตรเอื้อมมือมาตบบ่าพี่ชายเพื่อให้คลายกังวลและไม่ต้องมาเกรงใจอะไรเขา


   "ไม่เป็นไร ไม่ว่าจะให้ผมพูดอีกกี่ครั้ง แต่น้องภูก็เป็นหลานผมเหมือนกัน ผมไม่มีทางนิ่งเฉยหรอก"


   "ผมต่างหากล่ะครับ ที่ต้องขอโทษทุกคน ภูสิตาก่อเรื่องไม่จบ แล้วผมก็กลัวจริงๆ ว่าถ้าหากมีครั้งนี้แล้ว มันอาจจะมีครั้งหน้าก็ได้" ภูธนากล่าวขอโทษทุกคนด้วยความรู้สึกผิดแทนตัวต้นเหตุของเรื่องราวทั้งหมด


   "ไม่เป็นไรครับ คนเรานั้นมีนิสัยต่างกัน คุณธนาอย่าคิดมากเลย " บดินทร์กล่าวไม่ถือโทษภูธนา


   "ขอโทษนะครับ ถึงผมจะเป็นคนนอก แต่อยากขอเสนอความคิดเห็นสักหน่อย ผมคิดว่าเรื่องนี้ดูแปลกๆ เหมือนคุณภูสิตาไม่ได้อยากจะทำอะไรแบบนี้ น่าจะมีบุคคลที่ 3 เป็นคนคิดแผนการณ์" ชนกันต์เป็นคนนอกครอบครัว ทำให้มองอะไรได้ดีกว่าคนที่กำลังเผชิญปัญหาอยู่


   "พี่กันต์ คิดแบบนั้นเหรอครับ"


   "ใช่พัต นายจำตอนที่คุณธนาขอคุยกับน้องภูได้มั้ย เหมือนว่ามีอีกคนที่พาน้องภูออกมา"


   "ก็จริง"


   "แต่ยังไงก็ตาม อีกเดี๋ยวเราก็คงได้รู้กันแล้วล่ะ เรารีบไปกันเถอะ" ชนกันต์พูดพลางลุกขึ้นทำให้คนอื่นที่เหลือลุกขึ้นตามทันที



   ทั้ง 4 คนตัดสินใจไปรถของบริพัตร โดยมีเจ้าของรถเป็นคนขับ หลังจากลงความเห็นว่าควรใช้รถเพียงคันเดียวคงน่าจะเหมาะกว่า อีกทั้งรถของบริพัตรมีขนาดใหญ่และทำความเร็วได้ดี


   "ที่นี่เหรอ" บริพัตรจอดรถเมื่อถึงที่หมาย แล้วหันมาถามภูธนาที่นั่งคู่ข้างคนขับ เพราะเจ้าตัวต้องคอยบอกทางตลอดเวลา


   "ครับ"


   "มืดเชียว ไม่เห็นมีใครเลย" ชนกันต์เอ่ยขึ้นเบาๆ หลังจากมองไปรอบๆ บริเวณที่แห่งนี้


   "ครับ จากตรงนี้สามารถทะลุออกไปที่ถนนใหญ่ข้างหลังได้ด้วย แต่น้อยคนจะรู้ครับ มันก็เลยค่อนข้างเปลี่ยว"


   "เราจะนั่งรออยู่ในรถหรือจะออกไปรอกันข้างนอกดีครับ" ชนกันต์เสนอความคิดเห็น


   "นั่งรอในรถก่อนละกันครับ เดี๋ยวผมเปิดไฟหรี่เอาไว้ ถ้าคุณภูสิตามาก็น่าจะเห็นรถของเราจอดอยู่" บริพัตรตอบอีกฝ่าย


   "โทรหาคุณสิตาดีมั้ยครับ" บดินทร์ถามภูธนาที่นั่งมองออกไปนอกรถ


   "อะ ครับ" ภูธนากดโทรศัพท์หาน้องสาวทันที


   รอสัญญาณไม่นานนัก ภูสิตาก็กดรับสาย


   "พี่ถึงแล้วนะ สิตา"


   "อ้อ หนูก็ถึงแล้วเหมือนกันค่ะ"


   "เดี๋ยวพี่ออกไปยืนรอนะ" พูดจบภูธนาก็วางสายจากน้องสาว



   ภูธนาไม่ได้เอ่ยคำพูดอะไร ชายหนุ่มหันไปพยักหน้าเบาๆ กับทุกคน แล้วก็ก้าวลงจากรถไป บริพัตรยังติดเครื่องรออยู่ หากมีอะไรเกิดขึ้นจะได้ไม่เสียเวลา



   รถของภูสิตาขับเคลื่อนเข้ามาหยุดตรงหน้าของภูธนา ชายหนุ่มหรี่ตาลงเพราะแสงไฟจากหน้ารถสาดกระทบเข้าสายตาของตนอย่างจัง ทำเอาตาพร่าไปชั่วขณะ กว่าจะปรับสายตาให้เป็นปกติได้ก็พบว่าตอนนี้ภูสิตามายืนประจันหน้ากับเขาแล้ว


   "ลุงธนาฮะ พ่อฮะ ฮือออ" เสียงเด็กชายร้องไห้จ้า ทำให้ภูธนาอยากจะวิ่งเข้าไปหาหลานชายเสียเดี๋ยวนั้น


   แต่เป็นไปไม่ได้เพราะว่าภูธนาตกอยู่ภายในอ้อมกอดของชายแปลกหน้าที่ภูธนาไม่รู้จัก เด็กน้อยพยายามดิ้นเพื่อให้หลุดพ้นจากคนที่อุ้มอยู่ แต่แขนแข็งแรงนั้นกลับไม่สะทกสะท้านใดๆ



   "อดทนรอก่อนนะน้องภู เดี๋ยวลุงไปรับนะครับ ขอลุงคุยกับแม่ก่อนนะ" ลุงธนาปลอบหลานชายให้หายหวาดกลัว ภูบดินทร์รับรู้ได้จึงหยุดร้องไห้แต่ยังคงเหลือเพียงแรงสะอื้นอยู่


   "สิตา"


   "ไหนเงินล่ะคะ"


   "เดี๋ยวพี่โอนให้ ส่งน้องภูมาให้พี่ก่อน" ภูธนาพยายามต่อรองกับน้องสาว


   "ไม่ค่ะ"


   "สิตา อย่าดื้อกับพี่ได้มั้ย"


   "พี่ธนาอย่าบังคับหนูค่ะ"


   "สิตา เกิดอะไรขึ้น ผู้ชายคนนั้นเป็นใคร เขาบังคับแกใช่มั้ย บอกพี่มาเถอะนะ ไม่ต้องกลัว"


   "ไม่ใช่ค่ะ คุณวีไม่ได้บังคับหนู เขาเป็นคนรักของหนู" หญิงสาวแนะนำผู้ชายคนที่อุ้มภูบดินทร์อยู่


   "คนรัก? คนรักที่ไหนกัน ที่ให้แกมาลักพาตัวลูกของตัวเอง" ภูธนาพูดด้วยความไม่พอใจ ชายหนุ่มคนนั้นดูยังไงก็ไม่น่าไว้ใจ


   "ใจเย็นๆ ธนา" บริพัตรเอ่ยเตือนสติชายหนุ่มเสียงเบา


   "เขาให้แกทำแบบนี้ใช่มั้ย"


   "ก็ไม่เชิงหรอกค่ะ แต่หนูไม่อยากเสียคุณวีไป ถ้าหนูไม่มีเงิน คุณวีอาจจะไปหาคนอื่นก็ได้ หนูไม่ยอมหรอกค่ะ"


   "แกนี่มัน!!! ถ้าผู้ชายคนนั้นเขาจะรักแกเพราะเงิน แสดงว่าเขาไม่ได้รักแกเลย แกกำลังโดนหลอกอยู่นะ ภูสิตา" ภูธนาตะโกนออกไปเสียงดัง เพื่อที่จะให้ผู้ชายคนนั้นได้ยินในสิ่งที่เขาพูดด้วย


   "ลีลากันอยู่ได้ ว่ายังไงสิตา ถ้าคุณไม่มีเงิน ผมคงต้องไปก่อน จะโทษผมไม่ได้นะ"


   "ไม่นะคะ สิตาไม่ยอมเสียคุณไปหรอกค่ะ" ภูสิตาหันไปตอบคนที่เธอรักนั้นด้วยความร้อนรน


   "เร็วๆ สิคะพี่ธนา โอนเงินมาเถอะค่ะ"


   "ส่งน้องภูมาให้พี่"


   "พี่ต้องโอนเงินให้หนูจริงๆ นะ" น้ำเสียงของภูสิตาดูกังวลเพราะอยากจะได้เงินให้เร็วที่สุดด้วยกลัวว่าจะต้องเสียคุณวีไป


   "พี่ไม่หลอกแกหรอก" ภูสิตาได้ยินแบบนั้นก็เดินเข้าไปอุ้มภูบดินทร์คืนมาจากชายหนุ่ม



   ภูธนาเห็นคุณวี ชื่อที่ภูสิตาเรียกนั้นดึงแขนน้องสาวของตนเข้าไปใกล้ กระซิบข้างหูพูดอะไรที่พวกเขาไม่ได้ยิน แต่ใบหน้าของภูสิตากลับซีดเผือด หญิงสาวตาโตขึ้นด้วยความตกใจ


   "ไม่ ไม่นะคะ คุณวีอย่าทิ้งสิตาไปเลยนะคะ" ภูสิตาเสียงดังละล่ำละลัก ทำให้ทุกคนได้ยินคำพูดของเธอ


   "ผมคิดว่าเราไปกันไม่รอดหรอกนะ สิตา ถ้าคุณยังไม่มีเงินอยู่แบบนี้ มันไม่ไหวหรอก"


   "สิตาสัญญาค่ะ จะหาเงินมาให้คุณวี ขอเพียงคุณวีอย่าทิ้งสิตาไปเลยนะคะ สิตาทนไม่ได้ค่ะ"


   "คุณยอมรับเสียเถอะนะ ว่ายังไงเราก็คงไปกันไม่ได้ ผมผิดเองที่เข้าใจว่าคุณเป็นลูกสาวเศรษฐี ไม่คิดว่าจะมีเงินก้อนไม่กี่ล้านบาทก็เท่านั้น"


   "พี่ชายสิตาเป็นดารานะคะ พี่จะต้องหาเงินมาให้คุณได้แน่ๆ ค่ะ"


   "แค่คุณขอนิดๆ หน่อยๆ เขายังไม่ค่อยอยากให้เลย ผมไม่ชอบเรื่องอะไรแบบนี้หรอกนะ เอาเป็นว่าเราเลิกกันดีกว่า ส่วนรถคันนี้ ผมขอละกัน ถือว่าเป็นค่าเสียเวลา"


   "ไม่นะคะ คุณวี" 



   คุณวีของภูสิตาเปิดประตูก้าวขึ้นรถไปนั่งประจำฝั่งคนขับเตรียมจะออกตัว แต่ทันใดนั้น ภูสิตาที่ยังอุ้มภูบดินทร์เอาไว้ รีบผลุนผลันขึ้นรถไปอีกฝั่งเช่นกัน ท่ามกลางความตื่นตะลึงของคนที่เหลือเพราะเหตุการณ์ดังกล่าวมันเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว



   รถของภูสิตาผ่านหน้าภูธนาและคนที่เหลือไป บริพัตรได้สติก่อน บอกทุกคนให้ขึ้นรถโดยเร็ว แล้วรีบขับรถตามคันหน้าออกไปทันที บริพัตรเหยียบคันเร่งแทบไม่มีผ่อนแรงเลย เพราะความที่เป็นห่วงหลานชายของตน



   "คุณพัต" ภูธนาเอื้อมมือไปแตะแขนของชายหนุ่มที่กำลังขับรถอยู่


   "ไม่เป็นไรหรอก ธนา เชื่อมือผม เราต้องช่วยน้องภูกลับมาได้แน่ๆ"


   โชคดีที่คืนนี้รถค่อนข้างโล่ง ทำให้บริพัตรตีรถขึ้นมาคู่กับรถของภูสิตาที่อยู่เลนขวานั้นได้ รถ 2 คัน ขับเคลื่อนไปด้วยความเร็วคู่กัน บดินทร์เห็นคนทั้ง 3 ภายในรถอีกคันนั้นดูเหมือนกำลังมีปัญหา



   ภาพของภูบดินทร์ที่นั่งอยู่บนตักของผู้เป็นแม่ เด็กชายร้องไห้พยายามดิ้นอยู่บนตัก มือน้อยๆ พยายามตะกายมาที่กระจกด้านข้างของตน บดินทร์เห็นภาพนั้น ใจของชายหนุ่มก็แทบจะขาดลงด้วยความสงสารลูกชาย ส่วนภูสิตา หญิงสาวก็มีน้ำตานองหน้าไม่แพ้ลูกชายเช่นกัน แต่คนละจุดประสงค์ หญิงสาวพยายามดึงแขนของชายที่ตนรักเพื่อให้หยุดรถลง แต่คุณวีก็สะบัดแขนแล้วหลังมือก็กระทบเข้ากับใบหน้าขาวงามของเธออย่างจัง มันทำให้ภูสิตาโกรธที่ถูกกระทำ ตั้งแต่เกิดมาจนบัดนี้ หญิงสาวไม่มีแม้แต่จะโดนตีเล็กๆ น้อยๆ เธอเลยยื้อยุดกับคุณวีมากกว่าเดิมและสิ่งที่ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น



   รถของภูสิตาเสียหลักเกยขึ้นกับเกาะกลางถนน รถยนต์คันหรูพลิกคว่ำหลายตลบ และในที่สุดรถยนต์ก็หยุดนิ่งอีกฝั่งฟากของถนน ทุกคนภายในรถของบริพัตรต่างตกใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ข้างหน้ามีที่กลับรถพอดี ชายหนุ่มจึงรีบหักพวงมาลัยกลับรถแล้วไปยังที่เกิดเหตุ บริพัตรจอดรถไว้ข้างทาง เปิดไฟกระพริบเพื่อแจ้งเหตุเอาไว้



   "เดี๋ยวผมจะโทรเรียกรถพยาบาล" ดูเหมือนว่าชนกันต์จะมีสติมากที่สุด ชายหนุ่มกดโทรศัพท์โทรออกทันที



   ทุกคนรีบพากันลงจากรถแล้วตรงไปยังรถที่ตอนนี้สภาพไม่น่าดูเอาเสียเลย ไม่อยากจะคิดว่าคนที่อยู่ภายในรถจะเป็นยังไงบ้าง ภูธนาที่ใบหน้าเต็มไปด้วยคราบน้ำตา เขาแทบจะยืนต่อไปไม่ไหว เมื่อเห็นใบหน้าน้องสาวที่เคยขาวนวล มีแต่เลือดสีแดงเต็มไปทั่วใบหน้า ทุกคนในที่นั้นไม่กล้าทำอะไรโดยพลการ ได้แต่รอรถพยาบาลจะมาถึง



   "คุณหมอ แม่กับเด็กเป็นไงบ้างครับ" บดินทร์รุดเข้าไปถามคุณหมอทันทีเมื่อสัญญาณไฟห้องผ่าตัดดับลง


   "แม่เด็กบาดเจ็บหลายแห่ง อวัยวะหลายแห่งแตกหัก เธอเสียเลือดมากจนเธอไม่สามารถทนความเจ็บได้ หมอขอแสดงความเสียใจด้วยนะครับ"


   "ละ แล้วเด็กล่ะครับ" เสียงภูธนาแผ่วเบาเพราะกลัวเหลือเกินว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับน้องภู


   "แม่เด็กกอดเด็กเอาไว้แน่น เลยรับแรงกระแทกคนเดียว ทำให้เด็กมีอาการหมดสติเพราะช็อคจากการตกใจน่ะครับ มีรอยฟกช้ำอีกนิดหน่อย ปาฏิหาริย์มากเลยนะครับ ตอนนี้พยาบาลย้ายเด็กไปไว้ที่ห้องพักฟื้นแล้วครับ"


   "ผู้ชายอีกคนล่ะครับ" บริพัตรถามถึงคุณวีที่ภูสิตาเรียก


   "หมอเสียใจด้วย เขาเสียชีวิตบริเวณที่เกิดเหตุครับ"


   "ภูสิตา" ภูธนานั่งลงที่เก้าอี้หน้าห้องผ่าตัด ถึงอย่างไรภูสิตาก็เป็นน้องสาวที่เขารักมากไม่แพ้หลานชาย การสูญเสียไปโดยกระทันหันแบบนี้ทำให้เขาแทบจะทำใจไม่ได้


   "ถ้าเพียงพี่โอนเงินให้แกไป แกก็คงไม่ตาย" ภูธนาเฝ้าแต่โทษตัวเองว่าเป็นสาเหตุให้เกิดเรื่องนี้ขึ้น ทำให้น้องสาวเขาถึงแก่ความตาย


   "ไม่เอา ธนา อย่าคิดแบบนั้น มันไม่ใช่ความผิดของคุณ คุณทำดีที่สุดแล้ว เชื่อผมสิ เชื่อผม" บริพัตรเข้ามากอดเพื่อปลอบชายหนุ่มไม่ให้คิดฟุ้งซ่าน


   "พี่ผิดเอง สิตา พี่ผิดเอง" ภูธนายังเฝ้าโทษตนเองไม่หยุด


   "คุณหมอครับ ผมอยากจะให้คนนี้เข้ารับการรักษาด้วย" บริพัตรหันไปบอกเจ้าของไข้ของหลานชาย


   "ได้ เดี๋ยวผมจะฉีดยาให้เขาได้นอนพัก" คุณหมอยืนดูอาการที่พูดซ้ำๆ เอาแต่โทษตัวเองของภูธนาแล้วก็สั่งให้พยาบาลพาภูธนาไปที่ห้องเพื่อนอนพักและฟื้นฟูจิตใจ


   "เราไปหาน้องภูกันเถอะ" บริพัตรชวนพี่ชายและชนกันต์ไปเยี่ยมหลานชาย อย่างน้อยภูบดินทร์ก็ไม่เป็นอะไรมาก



   ผ่านพ้นพิธีฌาปนกิจของภูสิตาจะครบเดือนแล้ว แต่อาการของภูธนายังไม่ดีขึ้น ชายหนุ่มยังซึมเศร้าและหลายต่อหลายครั้งที่พูดเอาแต่โทษตนเองกับเรื่องราวที่เกิดขึ้น  ภูธนายังไปทำงานได้ตามปกติ ผลการแข่งรถที่ผ่านมา ถึงจะไม่ชนะแต่ก็ไม่ได้อันดับที่แย่เกินไปนัก


   "ธนาเป็นไงบ้าง พี่กันต์" บริพัตรโทรหาชนกันต์เพื่อสอบถามอาการของคนรัก


   "เหมือนเดิม นั่งเฉยๆ ไม่พูดไม่จา เอาแต่โทษตัวเองว่ะ"


   "เหรอ"


   "นายจะเอาไง พัต ปล่อยไว้แบบนี้ไม่ดีแน่"


   "ผมก็ไม่รู้เหมือนกันพี่ ตั้งแต่เกิดเรื่อง ผมไม่เคยเห็นธนาร้องไห้เลย" บริพัตรบอกชนกันต์ด้วยความกังวลใจในตัวคนรัก


   "คงต้องบำบัด"


   "บำบัดไรวะพี่"


   "พวกดาราเป็นหลายคน เวลาเจอข่าวแรงๆ แล้วช็อคน่ะ พี่ว่าคุณธนาน่าจะช็อค"


   "ช็อค?"


   "ใช่ วิธีรักษาคือต้องพาไปรักษาบำบัดเพื่อให้สิ่งที่อยู่ภายในใจ ทลายออกมา"


   "ให้ผมทำยังไง"


   "พาคุณธนาไปพักผ่อนที่อื่นดู ให้ธรรมชาติบำบัด"


   "ได้ครับ แล้วเรื่องงานของธนาล่ะ" บริพัตรยังเป็นห่วงงานของชายหนุ่ม


   "เดี๋ยวพี่จัดการให้เอง นายไม่ต้องเป็นห่วง"


   "ขอบคุณครับ"

หัวข้อ: Re: กว่าจะเข้ากันได้ โดย เขมกันต์ อัพเดท [บทที่ 22] หน้า 4 - 23/05/2559 ค่ะ
เริ่มหัวข้อโดย: เขมกันต์ ที่ 31-05-2016 20:06:10





   บริพัตรขับรถมุ่งหน้าไปจังหวัดกาญจนบุรี เพื่อไปรีสอร์ทของตน เขาหวังเหลือเกินว่าที่นี่จะช่วยเยียวยาจิตใจของภูธนาได้ดีขึ้น


   "สวัสดีค่ะ คุณพัต คุณธนา มาเสียค่ำเลย" ศรีวราออกมาต้อนรับชายหนุ่มด้วยตนเองเหมือนเคย พลางเรียกเด็กมายกกระเป๋าของชายหนุ่มไปไว้ที่ห้อง


   "ครับ อยากให้ธนาเขาได้มาพักผ่อนน่ะครับ ก็เลยรีบมา"


   "อ้อค่ะ ห้องของคุณพัตและคุณธนา ศรีทำความสะอาดรอไว้เรียบร้อยแล้วค่ะ ให้เด็กเข้าไปทำให้ เกรงว่าวันไหนคุณพัตมาไม่บอกกล่าวจะได้ไม่ฉุกละหุก"


   "ขอบคุณมากครับ คุณศรีรอบคอบเสมอ"


   "ไม่หรอกค่ะ แล้วทานอะไรมาหรือยังคะ"


   "ยังเลยครับ ผมขับยาวมารวดเดียวเลย อยากให้ถึงไวๆ"


   "งั้นเดี๋ยวศรีให้เด็กยกมื้อเย็นเข้าไปให้นะคะ หรือคุณพัตกับคุณธนาจะออกมาทานที่ตรงเฉลียงคะ"


   "ว่าไงธนา" บริพัตรหันไปถามภูธนาเพื่อขอความเห็น


   "ยังไงก็ได้ครับ" ภูธนาตอบเสียงเบา ใบหน้าของชายหนุ่มก็หันไปมองบริเวณอื่นโดยไร้จุดหมายเหมือนเดิม


   "งั้นวันนี้ทานที่ห้องดีกว่าครับ ธนาจะได้รีบพัก"


   "ได้ค่ะ เดี๋ยวศรีเดินไปส่งค่ะ"


   "ไม่เป็นไรครับ" บริพัตรตอบผู้จัดการรีสอร์ทแล้วก็หันไปเรียกธนาเพื่อให้เดินตามตนเองไปที่ห้อง



   กระเป๋าเสื้อผ้าถูกยกมาวางเรียบร้อยแล้ว บริพัตรไล่ภูธนาไปอาบน้ำ ส่วนตัวเองก็ต้องคิดหาหนทางเพื่อให้ธนานั้นหายจากอาการดังกล่าวนี้เสียที หลังจากนั้นเพียงไม่นาน เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้นพร้อมกับอาหารที่ถูกปรุงใหม่ๆ ก็ถูกนำเข้ามา บริพัตรกล่าวขอบคุณศรีวราอีกครั้ง หญิงสาวยิ้มให้เจ้าของรีสอร์ทแห่งนี้พร้อมกับปิดประตูลงอย่างเบามือ


   "อาบน้ำเสร็จแล้วเหรอ มากินข้าวหน่อยสิ ธนา"


   "ไม่ค่อยหิวเลยครับ"


   "ไม่หิวก็ต้องกินนะครับ ฝืนกินหน่อยนะคนดี" บริพัตรจรดริมฝีปากลงขมับของภูธนาแล้วกดไหล่ให้ชายหนุ่มนั่งลงเพื่อทานมื้อเย็น


   "คุณพัตล่ะ ไม่กินเหรอ"


   "กินสิครับ แต่เหนียวตัวจังเลย ผมขอไปอาบน้ำก่อน คุณกินไปก่อนเลยไม่ต้องรอ"



   คืนนั้นบริพัตรคว้าร่างของภูธนาเข้ามานอนกอดแน่น ราวกับว่าภูธนาจะหายไปไหนเสียอย่างนั้น มือแข็งแรงลูบศรีษะของคนในอ้อมกอดจนกระทั่งหลับไป



   บริพัตรตื่นขึ้นมาอีกครั้งก็พบว่าภูธนาอาบน้ำแต่งตัวรออยู่ก่อนแล้ว ชายหนุ่มจึงรีบอาบน้ำเพื่อจะออกไปทานมื้อเช้าด้วยกัน อาหารเช้าวันนี้มีข้าวต้มทะเล ขนมปัง นมสด น้ำผลไม้เหมือนกับที่พักหลายๆ ที่ แต่ภูธนาก็ทานน้อยเหมือนเดิม ร่างกายของชายหนุ่มผอมลงไปมากหากเทียบกับก่อนหน้านี้



   ช่วงสายบริพัตรชวนภูธนาออกไปเดินเล่น ทั้งคู่ใช้เวลาไปเกือบชั่วโมงจนกระทั่งรู้สึกว่าเมื่อยขา พวกเขาจึงทรุดนั่งที่ริมแม่น้ำที่อยู่ตรงหน้า สายลมพัดมาเอื่อยๆ สลับกับเสียงน้ำไหลผ่าน ช่วยให้จิตใจและร่างกายได้ผ่อนคลายเป็นอย่างดี


   "คิดอะไรอยู่ครับ" บริพัตรถามคนที่เอาแต่เหม่อลอย


   "ภูสิตาคงไม่ตาย ถ้าผมโอนเงินให้แกไป"


   "ไม่เอาน่า ธนา มันไม่ใช่ความผิดของคุณ"


   "เพราะผม เพราะผมคนเดียว ยัยสิตาเลยต้องตาย"


   "ธนา" บริพัตรคว้าศรีษะของภูธนาให้เข้ามาซบที่อกของตนเอง พลางลูบหัวไปเรื่อยๆ


   "ธนา คุณไม่ได้ทำให้ภูสิตาต้องตายหรอกนะ"


   "ไม่หรอกครับ ผมเอง เป็นผมเอง" ภูธนายังพูดคำเหล่านี้วนไปเวียนมาอยู่ตลอดเวลา


   "ธนา อย่าคิดแบบนั้น"


   "ถ้าคนที่ตายเป็นผม มันคงจะดีกว่านี้"


   "ถ้าคุณตายไป แล้วน้องภูจะอยู่กับใคร"


   "น้องภูยังมีคุณดินครับ ผมแน่ใจว่าคุณดินต้องเลี้ยงน้องภูให้ดีได้แน่ๆ"


   "แล้วผมล่ะ ผมจะอยู่กับใคร" บริพัตรพูดออกมาเสียงเบา สายตายังจับจ้องที่แม่น้ำที่ไหล่ผ่านตรงหน้า


   "คุณพัต" ภูธนาผงกศีรษะขึ้นมามองคนที่พูด


   "ไหนบอกผมหน่อยสิครับ ถ้าคุณตายไปแล้วผมจะอยู่กับใคร"


   "ผม.. ผม..." ภูธนารู้สึกลำบากใจที่จะตอบคำถามนั้นเพราะมันทำให้เขารู้สึกเหมือนเขาพูดอะไรออกไปไม่คิด


   "ผมรู้ว่าคุณเสียใจเรื่องภูสิตา แต่มันไม่ใช่ความผิดของคุณ คุณและทุกคนทำดีที่สุดแล้ว ไม่มีใครอยากให้เกิดเหตุการณ์แบบนี้ มันเป็นอุบัติเหตุ คุณเข้าใจมั้ย ธนา มันเป็นอุบัติเหตุ ภูสิตากับคุณวีอะไรนั่น เขาทะเลาะกันในรถ ภูสิตาแย่งพวกมาลัยรถ จนทำให้รถเสียหลัก คุณก็เห็นไม่ใช่เหรอธนา ทำไมคุณถึงไม่ยอมรับ เอาแต่โทษตัวเอง"


   "โชคดีแค่ไหนแล้ว ที่อย่างน้อยน้องภูก็ปลอดภัย ถึงภูสิตาจะจากไปโดยที่เราไม่คาดคิด แต่อย่างน้อยเรายังมีน้องภู และถ้าคุณยังเป็นแบบนี้ น้องภูจะอยู่ยังไง แล้วผมเองล่ะ จะอยู่ยังไง"


   "อย่างนึงที่ผมอยากพูดก็คือผมเองก็เสียใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่แพ้คุณหรอกนะ ธนา แล้วยิ่งคุณเป็นแบบนี้ผมยิ่งเสียใจ ผมช่วยอะไรคุณไม่ได้เลย"


   "ผมขอโทษครับ คุณพัต ผมขอโทษ" ภูธนากอดบริพัตรแน่น เขาไม่เคยรู้เลยว่าบริพัตรต้องรู้สึกแบบไหนที่เขาเป็นแบบนี้


   "คุณพยายามเฝ้าโทษแต่ตัวเอง อย่าโทษตัวเองอีกเลยนะครับ ผมขอร้อง" น้ำเสียงของบริพัตรเต็มไปด้วยความเศร้า เขาไม่อยากให้ภูธนาต้องเป็นแบบนี้อีกต่อไป


   "ผมจะพยายาม"


   "ครับ พยายามเพื่อผม เพื่อน้องภูได้มั้ย"


   "ครับ"


   "อยากร้องไห้มั้ย คุณไม่ต้องเข้มแข็งหรอก ธนา คุณร้องไห้กับผมได้เสมอและตลอดไป"


   ภูธนาไม่ตอบอะไรกับซุกหน้าแน่นเข้ากับอกกว้างของบริพัตร เขาไม่รู้ว่าภูธนาจะร้องไห้ตามที่เขาพูดหรือไม่ แต่ไม่นาน ชายหนุ่มก็รับรู้จากเสื้อยืดที่เขาสวมใส่เพราะตอนนี้เสื้อของเขาชุ่มไปด้วยน้ำตาของคนในอ้อมกอดเสียแล้ว



   "ร้องออกมาเลย ร้องออกมาให้หมด แล้วเดินต่อไปข้างหน้า กับผมนะ" บริพัตรยังคงลูบศรีษะภูธนาเรื่อยๆ ริมฝีปากอิ่มจูบลงบนเส้นผมนุ่มนั้นด้วยความรักที่มีให้เต็มเปี่ยม รับรู้ได้เพียงภูธนาตัวสั่นจากแรงสะอื้น เจ้าตัวคงจะฝืนไว้อย่างหนัก เมื่อได้ร้องไห้ออกมาแล้วจึงร้องออกมาราวกับปลดปล่อยจากสิ่งที่รู้สึกผิด


   ไม่รู้เวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ แต่ร่างที่สะอื้นนั้นก็นิ่งเงียบในที่สุด บริพัตรบอกให้ชายหนุ่มลุกขึ้นไปล้างหน้าล้างตากับแม่น้ำข้างหน้านี่ซะ เพราะคาดว่าหน้าตาของเจ้าตัวในเวลานี้คงเลอะเทอะเปรอะเปรื้อนไม่ต่างจากน้องภูเวลาร้องไห้เป็นแน่



   "ขอบคุณนะคุณพัต ที่อยู่ข้างๆ ผม"



   ภูธนาขยับเข้าไปใกล้อีกฝ่าย จนกระทั่งริมฝีปากอิ่มของทั้งคู่ได้สัมผัสกัน ไม่มีการรุกล้ำเพื่อความเสน่หา มีแต่ความรู้สึกขอบคุณที่อีกฝ่ายนั้นมอบให้


   "ผมรักคุณนะครับ คุณพัต"


   "ผมก็รักคุณเช่นกัน ธนา"


   "ผมสัญญาว่าจะเป็นคนรักที่ดีของคุณ อยู่เคียงข้างคุณ แล้วดูแลน้องภูให้ดีแทนสิตาแน่นอนครับ"


   "งั้นผมคงต้องจับตาดูคุณไปชั่วชีวิตแล้วล่ะ"






------------------------------------------------END------------------------------------------------------



สวัสดีค่ะ คุณผู้อ่านทุกคนเลยค่ะ นิยายเรื่องนี้จบแล้วค่ะ ฮูเร่  :mc4: :mc4: เราอยู่ด้วยกันมา 5 เดือน เกือบครึ่งปีทีเดียว
มีหลายครั้งที่เขมหายไป ไม่ได้ลงต่อเนื่อง ขออภัยอีกครั้งค่ะ  :z3:

ตอนพิเศษจะทยอยเค้นๆ กรองๆ แล้วเอามาลงให้อ่านกันนะคะ เพราะหากใครอ่านช่วงแรกๆ หนุ่มปริศนาที่แข่งรถชนะลุงธนานั้น
หายไปเสียแล้ว ยังไม่ปรากฎกายเรียกของรางวัลเลยใช่มั้ยคะ

ใช่ค่ะ เขาต้องกลับมาสินะ  :hao6:

และสุดท้าย ขอบคุณทุกๆ คนมากเลยค่ะ ที่คอยให้กำลังเข้ามาอ่าน เข้ามาแสดงความคิดเห็นกันอยู่เรื่อยๆ
ขอบคุณจริงๆ ค่ะ เพราะทุกความคิดเห็น ทุกยอดวิว เป็นกำลังใจให้จริงๆ ค่ะ เรื่องนี้อาจจะเขียนได้ไม่ดี
อารมณ์อาจจะสะดุดหรือไม่ต่อ ไม่อินกับตัวละครยังไงก็ตาม เรื่องต่อไปจะปรับปรุงให้ดีกว่านี้แน่นอนค่ะ

ตอนจบแล้ว คิดเห็นยังไง บอกกันได้เลยนะคะ หรือว่าสงสัยช่วงไหนยังไงบอกได้เลยค่ะ เขมจะเข้ามาตอบไขกระจ่างแน่นอนค่ะ  :mew1:

---------------

สุดท้ายและท้ายสุดค่ะ

เขมขอฝากเรื่องหน้าไว้ค่ะ เอา นังคี (คือเขมรู้สึกว่าพอแต่งไป หมั่นไส้ตานี่จริงๆ เล้ย  :angry2:) มาให้ทุกคนรู้จักกันก่อนค่ะ


ผมขอแนะนำตัวให้ทุกท่านที่กำลังอ่านอยู่นี้ได้รู้จักตัวผมก่อนนะครับ อันตัวผมมีนามว่า นายคีรินทร์ รินทร์วิธา อายุ 19 ปี ปัจจุบันก็กำลังเรียนในชั้นอุดมศึกษา หรือมหาวิทยาลัย ปี 3 นั่นแหละครับ ผมเรียนเร็วกว่าเพื่อนรุ่นเดียวกันอยู่ 1 ปี เพราะงั้นไอ้ทอนที่ผมจิกเรียกมัน จริงๆ แล้วมันแก่กว่าผมนะ แต่ก็ช่างเถอะ วัยวุฒิสำคัญไฉน พอเป็นเพื่อนกันก็เรียกไอ้ได้แล้ว คณะที่ผมเลือกเรียนเป็นคณะบริหาร ไม่ใช่ว่าชอบหรืออะไร จำได้ว่าดูทีวีอยู่กับคุณป้า แล้วอยู่ๆ คุณป้าก็เปรยขึ้นมาว่าเสียดายที่เฮียเมฆไม่ยอมเรียนบริหารมาเรียนอะไรก็ไม่รู้ขีดๆ เขียนๆ แต่ไอ้ที่ว่าอะไรที่ไม่รู้ของคุณป้าน่ะมันบริษัทของคุณลุงที่รับออกแบบบ้านให้ใครต่อใครไม่รู้มากมายเลยนะครับคุณป้า จริงๆ แล้วจะว่าไปเฮียเมฆก็เรียนมาได้ถูกทางระดับนึงนะ เพราะภายหลังเจ้าตัวก็มาเรียนต่อโท บริหารอยู่ดี ดังนั้นผมก็เลยทำตัวเป็นหลานที่ดีตอบแทนพระคุณคุณป้าโดยการเรียนคณะบริหารให้คุณป้านั้นภูมิใจ แล้วก็เป็นดังคาดครับ คุณป้าภูมิใจในตัวผมมากกว่าเฮียเมฆ หากผมไม่ห้ามคุณป้าเอาไว้ตอนที่สอบติดเข้ามหาวิทยาลัยได้ล่ะก็  ป่านนี้คุณป้าคงจัดงานเลี้ยงฉลองสอบติดของผมไปอีกสามวันเจ็ดวันแน่นอน


แล้วพบกันใหม่ เรื่องหน้าค่ะ ^^ (ยังไม่ได้คิดชื่อเรื่องเลย)

เขมกันต์  :mew1: :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: กว่าจะเข้ากันได้ โดย เขมกันต์ [บทที่ 23 จบ] หน้า 4 - 31/05/2559 -- ย้ายได้เลยค่ะ
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 31-05-2016 20:36:59
รอตอนพิเศษ กับรอเรื่องใหม่ :katai2-1: :katai2-1:
 :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: กว่าจะเข้ากันได้ โดย เขมกันต์ [บทที่ 23 จบ] หน้า 4 - 31/05/2559 -- ย้ายได้เลยค่ะ
เริ่มหัวข้อโดย: PetitDragon ที่ 31-05-2016 20:54:56
ขอบคุณครับ

 o13
หัวข้อ: Re: กว่าจะเข้ากันได้ โดย เขมกันต์ [บทที่ 23 จบ] หน้า 4 - 31/05/2559 -- ย้ายได้เลยค่ะ
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 31-05-2016 23:18:59
 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1: ขอบคุณคนแต่งมากๆเลยครับบ สนุกมากครับ
หัวข้อ: Re: กว่าจะเข้ากันได้ โดย เขมกันต์ [บทที่ 23 จบ] หน้า 4 - 31/05/2559 -- ย้ายได้เลยค่ะ
เริ่มหัวข้อโดย: mukmaoY ที่ 01-06-2016 14:38:20
ธนาเป็นคนดีเกิ๊นนนน ไม่เคยเป็นเหรอ คนที่มีญาติเอาแต่สูบเลือดสูบเนื้อ เราทุกข์ขนาดไหนมันไม่รับรู้ จ้องจะเอาอย่างเดียว พอพอมันหายไป เราก็ดีใจ ไม่อยากให้มันกลับมาอีกด้วยซ้ำ
ธนานี่ขาวบริสุทธิ์จริงๆเล้ย ถึงจะโตมากับน้อง แต่ต้องให้น้องมันเลือกชีวิตตัวเองสิโว้ย โอ๋อยู่นั่นแหละ

ชอบเรื่องนี้ตรงที่แต่งกำลังดี อ่านเข้าใจง่าย ไม่ประดิษฐ์มาก (ไม่ชอบภาษาสวยๆ)
แต่อาจมีช่วงที่เร็วไป หรือยืดตรงที่ไม่ควรจะยืดอยู่บ้างค่ะ
อย่างเรื่องความรักกับพัตร และเรื่องงาน มันไม่ค่อยบาลานซ์ โดยส่วนตัวนะ
หัวข้อ: Re: กว่าจะเข้ากันได้ โดย เขมกันต์ [บทที่ 23 จบ] หน้า 4 - 31/05/2559 -- ย้ายได้เลยค่ะ
เริ่มหัวข้อโดย: ammchun ที่ 03-06-2016 04:56:37
สนุกมากค่ะ ตามอ่านตั้งแต่ตอนแรกรวดเดียวจนจบเลย
หลงรักน้องภูจัง ส่วนคู่คุณอากับคุณลุง ละมุนน่ารักมากกกก  :mew1:
หัวข้อ: Re: กว่าจะเข้ากันได้ โดย เขมกันต์ [บทที่ 23 จบ] หน้า 4 - 31/05/2559 -- ย้ายได้เลยค่ะ
เริ่มหัวข้อโดย: แมลงมีพิษชนิดหนึ่ง ที่ 12-08-2016 10:52:27
พอรู้ว่าบดินทร์ไม่ใช่พระเอกความน่าอ่านมันลดลงไปเยอะเลย แต่ก็อ่านจบแล้วละ มันสนุกดีนะ แต่มันจะดีมากกว่านี้ถ้าบดินทร์เป็นพระเอกแทนบริพัตร

 :hao3: :hao3: :hao3:
หัวข้อ: Re: กว่าจะเข้ากันได้ โดย เขมกันต์ [บทที่ 23 จบ] หน้า 4 - 31/05/2559 -- ย้ายได้เลยค่ะ
เริ่มหัวข้อโดย: mint_852 ที่ 11-09-2016 23:16:31
โอ๊ย รวดเดียวจบเลย
รออ่านตอนพิเศษนะคะ
อยากรู้ว่า white davilมาทวงสัญญาจะเป็นไง
มาลงเร็วๆน้า
หัวข้อ: Re: กว่าจะเข้ากันได้ โดย เขมกันต์ [บทที่ 23 จบ] หน้า 4 - 31/05/2559 -- ย้ายได้เลยค่ะ
เริ่มหัวข้อโดย: abc_b ที่ 24-03-2018 13:54:14
ยังดีที่กอดลูกไว้จนน้องภูไม่เป็นไรล่ะนะ เป็นข้อดีอย่างเดียวที่คนเป็นแม่มีจริงๆ  :katai1:

ขอบคุณสำหรับนิยายนะคะ อาจจะพูดตรงไปหน่อยแต่นี่เป็นความในใจอย่างเดียวที่มีเลยตั้งแต่อ่านเรื่องนี้มา ส่วนตัวละคนอื่นๆพระนายก็น่ารักดีค่ะ เสียดายไม่มีตอนพิเศษ แล้วพี่ดินนี่จะคู่กับใครน้าา

 :pig4:
หัวข้อ: Re: กว่าจะเข้ากันได้ โดย เขมกันต์ [บทที่ 23 จบ] หน้า 4 - 31/05/2559 -- ย้ายได้เลยค่ะ
เริ่มหัวข้อโดย: เขมกันต์ ที่ 29-03-2018 13:48:50
ขอบคุณทุกคอมเมนท์เลยค่ะ
ขอรวบยอดอธิบายตรงนี้นะคะ

นิยายเรื่องนี้ไม่สามารถลงตอนพิเศษได้ค่ะ เนื่องจากลิขสิทธิ์กับทางสำนักพิมพ์
ต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยค่ะ แต่ไม่มีผลกับเนื้อเรื่องหลักแน่นอนค่ะ


ทั้งนี้ปกก็เสร็จเรียบร้อยมาสักพักใหญ่แล้วค่ะ แต่ยังไม่มีกำหนดจากทาง สนพ เลยค่ะ จะพิมพ์เป็นรูปเล่มเมื่อไหร่
ถ้าได้รายละเอียดเพิ่มเติม เขมจะนำมาแจ้งให้ทราบนะคะ

อวดรูปปกด้วยเลยละกัน


http://oi68.tinypic.com/k0om6d.jpg (http://oi68.tinypic.com/k0om6d.jpg)

ด้วยรัก
เขมกันต์



หัวข้อ: Re: กว่าจะเข้ากันได้ โดย เขมกันต์ [บทที่ 23 จบ] หน้า 4 - 31/05/2559 -- ย้ายได้เลยค่ะ
เริ่มหัวข้อโดย: snowboxs ที่ 10-10-2018 19:32:03
อ่านจบแล้ว น้องภูเป็นเด็กดีมากอ่ะ
หัวข้อ: Re: กว่าจะเข้ากันได้ โดย เขมกันต์ [บทที่ 23 จบ] หน้า 4 - 31/05/2559 -- ย้ายได้เลยค่ะ
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 11-10-2018 14:51:51
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: กว่าจะเข้ากันได้ โดย เขมกันต์ [บทที่ 23 จบ] หน้า 4 - 31/05/2559 -- ย้ายได้เลยค่ะ
เริ่มหัวข้อโดย: ● MaYa~Boy ● ที่ 17-01-2019 14:07:03
สนุกมากคับ
หัวข้อ: Re: กว่าจะเข้ากันได้ โดย เขมกันต์ [บทที่ 23 จบ] หน้า 4 - 31/05/2559 -- ย้ายได้เลยค่ะ
เริ่มหัวข้อโดย: O-RA DUNGPRANG ที่ 10-08-2019 03:55:51
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: กว่าจะเข้ากันได้ โดย เขมกันต์ [บทที่ 23 จบ] หน้า 4 - 31/05/2559 -- ย้ายได้เลยค่ะ
เริ่มหัวข้อโดย: mickeyz.min ที่ 05-09-2019 20:20:45
 :pig4:
หัวข้อ: Re: กว่าจะเข้ากันได้ โดย เขมกันต์ [บทที่ 23 จบ] หน้า 4 - 31/05/2559 -- ย้ายได้เลยค่ะ
เริ่มหัวข้อโดย: New_atcha ที่ 07-09-2019 23:04:31
 :pig4: น้องภูน่ารัก
หัวข้อ: Re: กว่าจะเข้ากันได้ โดย เขมกันต์ [บทที่ 23 จบ] หน้า 4 - 31/05/2559 -- ย้ายได้เลยค่ะ
เริ่มหัวข้อโดย: t2007 ที่ 07-09-2019 23:04:38
อ่านรอบ 2 สงสัยตัวเอง อ่านครั้งแรก ทำไมไม่เม้นต์ สนุกมาก ครอบครัวอบอุ่น
หัวข้อ: Re: กว่าจะเข้ากันได้ โดย เขมกันต์ [บทที่ 23 จบ] หน้า 4 - 31/05/2559 -- ย้ายได้เลยค่ะ
เริ่มหัวข้อโดย: sailom_orn ที่ 08-09-2019 03:12:19
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: กว่าจะเข้ากันได้ โดย เขมกันต์ [บทที่ 23 จบ] หน้า 4 - 31/05/2559 -- ย้ายได้เลยค่ะ
เริ่มหัวข้อโดย: airicha ที่ 19-04-2020 11:24:00
เราคิดว่าภูศิตาตาจได้ก็ดี มีแต่สร้างปัญหา
แต่แรกเลยเข้าใจว่าพ่อน้องภุเป็นพระเอกสะอีก
พลิกเป็นพัตเฉยเลย
หัวข้อ: Re: กว่าจะเข้ากันได้ โดย เขมกันต์ [บทที่ 23 จบ] หน้า 4 - 31/05/2559 -- ย้ายได้เลยค่ะ
เริ่มหัวข้อโดย: BM_CBC ที่ 23-04-2020 00:22:21
 :pig4:
หัวข้อ: Re: กว่าจะเข้ากันได้ โดย เขมกันต์ [บทที่ 23 จบ] หน้า 4 - 31/05/2559 -- ย้ายได้เลยค่ะ
เริ่มหัวข้อโดย: cutelady ที่ 24-04-2020 13:50:50
อ่านจบ ทีเดียวเลยค่ะ
เป็นเรื่องราว ที่เรียบๆ เรื่อยๆ ดีค่ะ
ส่วนใหญ่ชีวิตนายเอก ภูธนา จะมีแต่เรื่อง เข้ามาหาตลอด (ความเป็นคนดีเกินไป)
ขอบคุณนักเขียน (เขม) เป็นกำลังให้ต่อไปค่ะ
 :pig4: :pig4: :pig4:
 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1: