จูบพิเศษขโมย “พี่จุ๊บ”
“ฮื่อ?”
“คำว่าจุ๊บนี่นอกจากแปลว่าจูบมันแปลว่าอะไรได้อีกปะ”
“ถามไรเนี่ย” ผมย่นคิ้ว ยกถาดคุกกี้ที่เพิ่งอบเสร็จใหม่ออกจากเตา ส่งกลิ่นวานิลลาหอมฉุยไปทั้งห้อง ผมวางถาดลงบนโต๊ะแล้วใส่คุ้กกี้ช็อตโกแลตถาดใหม่ที่เพิ่งปั้นเสร็จเข้าเตาต่อ
“อยู่ๆ ก็สงสัย” ธีร์พิงตัวกับโต๊ะเหล็ก เช็ดมือเปื้อนผงช็อคโกแลตของตัวเองกับผ้ากันเปื้อนที่สวมอยู่ วันนี้เขาว่างจากงานในวงการ ส่วนผมก็ยังอยู่ในช่วงปิดเทอม เราสองคนเลยอาสามาช่วยป้าแก้วทำขนม
หัวแรงหลักออกไปซื้อวัตถุดิบ ตอนนี้ในห้องเบเกอรี่จึงมีแค่ผมกับดาราหนุ่มเท่านั้น
“ไม่รู้ดิ แปลว่าขโมยมั้ง”
“ขโมย?”
“เหมือนคำว่าจุ๊บแจงไรแบบนั้น”
เขากลั้วหัวเราะ “งั้นขอจุ๊บหน่อยดิ” เสียงเจ้าเล่ห์ แถมยังมองหน้าผมสลับกันคุกกี้ ทำให้สับสนว่าอยากจูบหรืออยากแอบกินคุกกี้กันแน่
“ยุ่งอยู่เนี่ยเห็นเปล่า” ผมปรามเขาแล้วหันไปตั้งเวลาอบรอบใหม่
“ขอจุ๊บทีนึงเองง่า”
“จะขโมยหรือจะจูบ” ถามติดตลกเพราะคิดว่าเขาขอแบบแกล้งๆ แต่พอบิดแกนตั้งเวลาเสร็จธีร์ก็โผล่มาประชิดตัวจากข้างหลังแล้ว
ธีร์ยิ้มแฉ่ง “ขโมยจูบ” จุ๊บปากผมเบาๆ หนึ่งทีแล้วเดินหนีไปอย่างขี้โกง
ประเด็นไม่ได้อยู่ที่จูบ ประเด็นคือเวลาหยุดแบบนี้เมื่อไหร่คุกกี้กูจะสุกครับ
“ธีร์ กลับมาจูบอีกรอบก่อน”
“ติดใจอะดี้”
“ติดใจพ่อง”
ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่เขาฉวยโอกาสกับผมแบบนี้
คล้ายว่าจะเริ่มทำตอนเราเพิ่งคบกันเป็นแฟน...หรือไม่ก็ตอนเริ่มจีบกันตอนเข้ามหา’ลัยใหม่ๆ เอ๊ะ แต่พอนึกย้อนดูอีกที ก่อนหน้าที่ธีร์จะชอบขโมยจูบผมบ่อยๆ แบบนี้ (ไม่ว่าด้วยความอยากแกล้ง หรือเพราะอยากหยุดเวลาให้เราปลีกตัวจากความวุ่นวายทั้งหลาย) เขาก็เคยทำแบบนี้มานานแล้วหรือเปล่านะ
เอาเข้าจริงธีร์ก็เริ่ม ‘จุ๊บ’ ผมในช่วงวัยที่ยังไม่รู้จักการจูบ
ยังไม่รู้จักความรัก
มันอาจเป็นวันที่ได้ไปทะเลกับครอบครัวคราวนั้น...ช่วงเวลาที่ยายรู้ว่าผมเจอคู่ชีวิต
ครั้งแรกจริงๆ ที่เจอเขา ตอนนั้นในสายตาผม ธีร์ยังเป็นแค่ไอ้เด็กหน้าหล่อจากบ้านสีขาวหลังที่ติดอยู่กับบ้านเช่าของเรา
ไอ้เด็กหน้าหล่อที่มาด้อมๆ มองๆ ตอนผมกับจีบเล่นก่อกองทรายกัน
‘พ่อแม่นายไปไหน’ ผมถาม หลังจากกวักมือเรียกเขาให้มาเล่นด้วยกันในที่สุด ในใจคิดสงสัยว่าไอ้นี่มันเป็นมนุษย์ต่างดาวปลอมตัวมาหรือเปล่า
คนอะไรสูงเกินวัย ผิวก็ขาวอย่างกับผงซักฟอก เทียบกับผมตอนนั้นที่เจ้าเนื้อและสีผิวกระด่ำกระด่างก็ยิ่งรู้สึกว่ามันไม่ใช่คน
หรือผมไม่ใช่คน เอ๊ะ
‘พ่ออยู่ในบ้าน’ เขาบอกอ้อมแอ้ม ‘แม่ติดถ่ายละครเลยไม่ได้มาด้วย’
‘แม่นายเป็นดาราเหรอ’
เขาพยักหน้า
‘ว้าววววววววววว’ จีบร้อง แต่ตอนนั้นผมยังไม่เชื่อเลยเบ้ปาก ก็ท่าทางที่เขายอมรับมันดูขี้โม้อะ
‘ผมชื่อธีร์’ เด็กผิวขาวแนะนำตัว ‘นายชื่ออะไรเหรอ’
‘เราจุ๊บ ส่วนนี่น้องเรา ชื่อจีบ’ ผมปล่อยมือจากกองทรายแล้วขอมือเขาเช็กแฮนด์ ไม่รู้ทำไปทำไมเหมือนกัน แต่ลุงโรเบิร์ตชอบทำให้ดูบ่อยๆ เวลาเจอคนแปลกหน้า
สามวันนั้นเราขลุกอยู่ด้วยกัน เล่นน้ำทะเล ก่อกองทราย ไล่จับปู ขี่จักรยานรอบเกาะตามประสาเด็ก มีจีบมาเล่นด้วยในบางเวลายกเว้นช่วงผจญภัยที่น้องจะโดนป้าแก้วห้าม เวลาส่วนใหญ่บนเกาะผมจึงใช้มันไปกับธีร์ และนั่นทำให้เราสนิทกันภายในเวลาไม่กี่วัน
‘จุ๊บ...อย่า เล่น แบบ นั้น’ แม่ของผมตะโกนเมื่อเห็นว่าผมพยายามสาดทรายใส่ธีร์ ‘โน่น เล่นแบบป้าเด้าโน่น เห็นไหม’ เธอพยักเพยิดไปทางพี่สาวที่กำลังถมทรายใส่ตัวลุงโรเบิร์ตอยู่
‘อยากเล่นแบบนั้นไหม’ ผมถามธีร์ อีกฝ่ายส่ายหัวพลัน
‘เล่นแบบป้าเด้า แต่ไม่ใช่เล่นแบบนี้กันนะลูก เข้าใจไหม’ แม่ตะโกนอีกรอบเมื่อป้าเด้าขึ้นคร่อมตัวลุงโรเบิร์ตแล้วประกบปากจูบอย่างดูดดื่ม ผมพยักหน้าตอบแม่ ทันใดก็รู้สึกถึงแรงเขย่าที่ข้อแขน
‘อยากเล่นแบบนั้น’
ธีร์บอก และยื่นปากเข้ามาจุ๊บผมแบบเร็วๆ ไม่ให้ตั้งตัว
แสงสีส้มฉายขึ้นที่ริมฝีปาก ผมไม่รู้หรอกว่าการทำแบบนั้นมันจะทำให้เวลาหยุดหรืออะไร ไม่รู้ด้วยซ้ำว่านั่นนับเป็นการจูบไหม แต่ผมโวยวายใหญ่เพราะรู้แน่ๆ ว่านั่นไม่ใช่สิ่งที่เด็กควรทำ โดยเฉพาะกับเด็กผู้ชายด้วยกัน
อีกฝ่ายหัวเราะเอิ้กอ้ากอย่างผู้ชนะ นั่นแหละครับธีร์ เขาขโมยจุมพิตผมตั้งแต่สามวันแรกที่อยู่ด้วยกัน
เด็กข้างบ้านคนนั้นกลายมาเป็นคนสำคัญในอีกสิบปีต่อมา
‘พี่จุ๊บ’
’ฮื่อ?’
’ทายดิ๊’
’ทายว่า’
’เครื่องเล่นไหนในสวนสนุกที่ทำให้เราร้องเพราะเขินมากที่สุด’
ผมจำวันที่เราไปสวนสนุกด้วยกันได้ มันเป็นวันที่ผมพาเขามาระบายความทุกข์ด้วยการหนีทุกอย่างและทำตัวเป็นเด็กภายใต้หน้ากากอะลาดินกับจีนี่
’ร้องเพราะเขินมันร้องยังไงวะ’ ผมถาม ขณะที่เราทั้งคู่กำลังนั่งรอดูขบวนแฟนซีช่วงเย็นอยู่บนม้านั่งตัวหนึ่ง
’ก็แบบ...งื้อออออ งู้ยยยย ง่อววววววว’
ผมกรอกตาใต้หน้ากาก
’ทายเร็วดิ’
’ไม่รู้ว่ะ บ้านผีสิงมั้ง’
’พี่เจอผีแล้วเขินเหรอ’ ธีร์ทำหน้าซังกะตาย...ผมรู้สึกได้แม้ว่าจะใส่หน้ากากอยู่ก็ตาม
’ก็...ไม่รู้วุ้ย เฉลยดิ’ ผมโบ้ย
’รถไฟเหาะ’
’ทำไมถึงเป็นรถไฟเหาะ’
’ก็รถไฟฮ่อลลลลลลลลลลลลลลลลลไง’
’ฮ่อลพ่อง’ ผมพูดให้ได้ยินแต่ธีร์ก็ขำก๊ากออกมาเพราะมุกตลกของตัวเอง รู้ตัวปะว่ามันไม่น่ารัก แต่มันน่านัก!
’ทายซิ’
’อะไรอี๊ก’
’เครื่องเล่นอะไรสมบุกสมบันที่สุด’
’ม้าหมุน’ อะไรก็เหอะ
’ผิด’
’แล้วอะไร’
’ไวกิ้ง...ก็ไวกลิ้งงงงงไง สมบุกสมบันสุดแล้ว’
’...’
’...’
’...’
’...’
ผมเลิกใส่ใจเขาและหันไปดูขบวนที่กำลังเริ่มเดินเคลื่อนผ่านหน้าเรา เหล่าตัวการ์ตูนต่างๆ ออกมาเต้นสังสรรค์กันอย่างรื่นเริง และยังดึงมือคนที่ยืนมองสองข้างทางเข้าไปร่วมเต้นด้วยอย่างสนุกสนาน
’อยากเต้นเหรอ’
’เปล่า’ ใจจริงผมก็คิดว่าน่าสนุกดีแหละ แต่ไม่ดีกว่า เสี่ยงอะ
’กลัวโดนดึงหน้ากาก?’ ธีร์ถามย้ำเมื่อผมยังชะเง้อคอดูขบวนด้วยความสนใจ
’ก็นิดนึง’
’ไปเต้นปะ’
’ไม่เอ๊า’ และก็ตามสไตล์เขา ยังไม่ทันที่ผมจะได้ร้องห้ามอะไรธีร์ก็ดึงตัวผมให้ย่อเข้าลงเพื่อพ้นสายตาจากฝูงชน เปิดหน้ากากไวๆ และขโมยจูบจากริมฝีปากของผมหนึ่งที
เวลาหยุด เช่นเดียวกับขบวนและการกระทำของฝูงชนรอบข้าง
’ไม่มีเพลงจะเต้นยังไงเนี่ย’ ผมโวย ถอดหน้ากากปิดบังตัวตนของตัวเองออกและส่งสายตาเอือมให้เขา
’เดี๋ยวร้องเอาก็ได้’ ธีร์ทำท่าขอมือผมไปเต้น แต่ผมส่ายหัวพรืด
’ไม่เอา’
’พี่จุ๊บ ไหนบอกวันนี้จะหนุกให้สุดเหวี่ยงเลยไง’
’เต้นสองคนเนี่ยนะ’ ผมมองไปที่รอบข้างที่หยุดชะงัก ’ไม่แปลกเหรอ’
ธีร์ชายตามาให้ผมราวกับบอกว่า ‘มันจะมีอะไรแปลกไปกว่าการจูบแล้วเวลาหยุดอีก’
’เดี๋ยวเปิดเพลงเอาก็ได้’ เขาหยิบมือถือแล้วกดเล่น Shut Up And Dance ของ Walk The Moon พอดนตรีขึ้นก็หันส่ายตูดแล้วแบมือเพื่อขอมือผมอีกครั้ง
ผมกอดอกมองเขาอย่างจนใจ วุ้ย ยอมให้ท่าส่ายตูดนั่นหรอกนะ
Oh don’t you dare look back
Just keep your eyes on me
I said you’re holding back
She said shut up and dance with me
This woman is my destiny
She said oh oh oh, Shut up and dance with me เราขยับตัวท่ามกลางสรรพสิ่งที่ค้างนิ่ง ร้องเพลงสลับกับหัวเราะอย่างบ้าคลั่งเพราะตลกอีกฝ่าย บ้างก็แกล้งขยับก้นของคนรอบตัวให้เต้นไปกับเรา
จำไม่ได้ว่าวันนั้นเราแกล้งคนไปกี่คน หรือเต้นไปกี่เพลงจนกว่าจะกลับมาจูบกันเพื่อให้เวลาเริ่มเดินใหม่
แต่ผมจำได้ว่าวันนั้นธีร์ขโมยจูบเพื่อสร้างห้วงเวลาเล็กๆ ของเราขึ้น
ห้วงเวลาของความสุข
“พี่จุ๊บ”
“ฮื่อ?”
“ขอจุ๊บหน่อย”
เอาอีกละ ตั้งแต่ตอนเด็ก มาถึงตอนเป็นแฟนกัน กระทั่งตอนนี้ที่เราหยุดเวลาไม่ได้อีกต่อไป...ธีร์ก็ยังไม่เลิกนิสัยชอบขโมยจูบผม
“เอ้า รู้ตัวแบบนี้ก็ไม่ใช่ขโมยอะดิ”
“ทำไมชอบมาเล่นแบบนี้ตอนทำขนมฮะ” ผมแหว ยกถาดคุกกี้แมคคาเดเมียที่เพิ่งปั้นเสร็จเข้าเตา บิดแกนตั้งเวลาเพื่ออบรอบใหม่...
“รู้ตัวก็ดี” แล้วเขาก็โผล่มาข้างหลังอย่างเดิม “…จะได้จูบตอบได้” ขโมยจูบกับหัวใจของผมไปได้อีกครั้ง
พูดตามตรง มันเป็นการขโมยที่ผมไม่เคยได้คืนเลย แต่ผมก็ยังยอมให้เขาทำแบบนี้อยู่เรื่อย
และคิดว่าคงห้ามไม่ได้ไปตลอดชีวิตเลยครับ
ไอ้บ้าเอ๊ย อยากมีหัวขโมยเป็นของตัวเอง งื้อ 555555
มีอะไรไปคุยในแท็ก #จุ๊บที ได้นะคะ
ตัวแม่*