ตอนที่ 3
เห็นแก่ตัวสักหน่อยก็คงไม่เป็นอะไร
ในเช้าวันเสาร์ที่ไม่ต้องไปโรงเรียนแต่ผมกลับตื่นเร็วด้วยความเคยชิน เดินจากห้องนอนลงมาถึงชั้นล่างก็ยังไม่เจอใครสักคนเลย เท่าที่มีชีวิตเป็นพลีสมาสองสัปดาห์ผมเจอหน้าพ่อกับแม่ของพลีสเพียงไม่กี่ครั้ง แม่จะออกไปทำงานแต่เช้าแล้วกลับเข้ามามืดๆ บางครั้งผมก็ขึ้นห้องนอนไปแล้ว ส่วนพ่อทำงานอยู่ในบ้านแท้ๆ แต่แทบจะไม่ได้เจอกัน
ผมออกมาเดินเล่นที่สนามหญ้าหน้าบ้าน มองดูต้นไม้ดอกไม้ไปเรื่อยเปื่อยจนเดินมาถึงประตูรั้วที่เปิดค้างเอาไว้ แหงนหน้ามองฟ้าที่ดูครึ้มคล้ายว่าฝนจะตกแต่เช้า ขณะกำลังคิดอะไรวนเวียนอยู่ในหัว พลันสายตามองไปเห็นพระสงฆ์รูปหนึ่งซึ่งกำลังเดินผ่านหน้าบ้าน สองขาจึงรีบพาตัวเองออกไปหาท่านด้วยความรวดเร็ว พลางเรียกเสียงดัง
"หลวงพ่อครับ!"
ดูเหมือนว่าหลวงพ่อจะตกใจนิดหน่อยที่ผมโผล่พรวดออกไปเช่นนั้น ผมยกสองมือขึ้นพนมแล้วคุกเข่าลงตรงหน้าหลวงพ่อ
"มีอะไรรึโยม"
"หลวงพ่อช่วยผมด้วยครับ ผมติดอยู่ในนี้ ออกไปไม่ได้"
"..."
"วิญญาณผม...ติดอยู่ในนี้"
"..."
"ช่วยผมด้วยนะครับ"
ผมกระพริบตาปริบๆ มองหลวงพ่อที่เอาแต่เงียบ กระทั่งท้ายที่สุดท่านก็พูดบางคำออกมา
"แล้วแต่เวรแต่กรรมเถิดโยม" ทิ้งคำพูดไว้แค่นั้นก่อนจะหันเดินออกไปอีกทาง ผมถอนหายใจอย่างไร้ความหวัง มองดูหลวงพ่อที่เดินออกไปไกลแล้วก่อนจะลุกขึ้นยืน ทบทวนคำพูดของหลวงพ่อก็พอจะเข้าใจได้ ที่ต้องติดอยู่แบบนี้...คงมีเวรมีกรรมมากนักสินะ
ผมไม่ได้ดีใจเลยที่ได้กลับมามีชีวิต กลับกัน ยิ่งนานวันยิ่งกังวล ผมจะออกไปจากร่างนี้ได้ยังไงแล้วตอนนี้วิญญาณของพลีสอยู่ที่ไหนกัน
ผมเดินกลับเข้ามาในบ้าน ยังคงไม่เจอมนุษย์คนไหนนอกจากเจ้ามันแกวที่นอนขวางทางอยู่ หมาตัวนี้เกลียดผมอย่างกับอะไรดี หลังจากผงกหัวขึ้นมามองหน้าก็ทำหน้าเบื่อหน่ายแล้วเมินสายตาไปทางอื่น ทั้งๆ ที่พี่หน่อยบอกกับผมว่าก่อนหน้านี้มันแกวจะสนิทกับพลีสคนเดียวโดยไม่สนใจใครเลย แต่ตอนนี้กลับเมินไม่มองแม้แต่หน้า...เอ๊ะ?
ความคิดผมสะดุดในตอนที่กำลังจะเดินผ่านมันแกวไป ผมย่อตัวลงนั่งตรงหน้า มันไม่ได้ลุกหนีไปไหนแต่ก็ไม่ได้สนใจกัน ผมพลันคิด ที่มันแกวไม่เล่นกับพลีสเหมือนเคยเพราะมันน่าจะรู้ว่าผมไม่ใช่พลีส หรือไม่บางที...
"อยู่ในนี้ใช่ไหม!"
สองมือยกขึ้นจับคอมันแกวที่ไม่ได้ขัดขืนแล้วเขย่าเจ้าหมานี่เบาๆ
"พลีสอยู่ในนี้ใช่ไหม ออกมาเลยนะ!"
"..."
"กลับมาเข้าร่างตัวเองสิ จะไปอยู่ในร่างหมาทำไม"
"..."
"ออกมานะ! ออกมาเลย! ออกมาเดี๋ยวนี้!"
"น้องพลีส!"
ทุกการกระทำหยุดกึกตอนที่พี่หน่อยปรากฏตัวขึ้น ผมปล่อยมือออกจากคอมันแกวช้าๆ แล้วหันมองหน้าพี่หน่อยที่ดูงงๆ
"น้องพลีสทำอะไรคะ"
"ผมเล่นกับมันแกวครับ"
"แต่หน่อยเห็นน้องพลีส...บีบคอมัน"
"บีบคออะไร เล่นกันครับ เล่นกันสนุกดี เนอะมันแกวเนอะ" ยกมือเคาะหัวเจ้ามันแกวสองสามที ก่อนที่หมาหน้าบูดจะเดินสะบัดตูดออกไปจากตรงนี้ ทิ้งให้ผมได้แต่หัวเราะแห้งๆ ใส่พี่หน่อย ยังไม่วายที่จะเลิกคิดว่าวิญญาณพลีสอาจจะติดอยู่ในนั้นก็ได้ มันแกวถึงได้เกลียดขี้หน้าผมนักเพราะผมขโมยร่างของเขามา
"น้องพลีสไปอาบน้ำแต่งตัวได้แล้วค่ะ เดี๋ยวสายนะ"
"วันนี้วันเสาร์นะครับ"
"วันเสาร์ก็ต้องเรียนพิเศษไงคะ"
"เรียนพิเศษ?"
"ใช่ค่ะ แหม ทำเป็นลืม ปกติน้องพลีสชอบไปเรียนพิเศษมากกว่าไปโรงเรียนวันธรรมดาซะอีก ไปเตรียมตัวค่ะ แล้วเดี๋ยวลงมาทานข้าวเช้านะ"
พี่หน่อยยกสองมือจับไหล่ผมหมุนแล้วผลักให้เดินไปที่บันได ไม่รู้ว่าเป็นคนยังไง ถึงได้หลงใหลการเรียนพิเศษ แค่ผมต้องไปโรงเรียนในวันธรรมดามาเป็นอาทิตย์ก็เบื่อจนแทบจะเป็นบ้า ถ้าต้องไปเรียนพิเศษอีก สมองน้องพลีสคงได้ระเบิดก่อนที่วิญญาณจะกลับมาแน่ๆ
คิดได้อย่างนั้นจึงเริ่มแผนการที่จะทำให้ตัวเองไม่ต้องไปนั่งเรียนพิเศษ ด้วยความสามารถด้านการแสดงที่ไม่เคยยอมใคร สถานการณ์นี้ งานสำออยต้องมา
"พี่หน่อยครับ ผมปวดหัว"
"คะ"
"ปวดหัวมากเลยครับ โอ๊ย!" ยกมือข้างหนึ่งแตะขมับทำท่าเหมือนในละครตอนนางเอกปวดหัว แล้วแกล้งเซถลาไปที่โซฟาเพื่อทิ้งตัวลงนอน ร้องโอดโอยให้ดูทรมานที่สุดเท่าที่จะทำได้
"ปวดมากหรือเปล่าคะ"
"มากครับ มากจนจะทนไม่ไหวแล้ว"
"งั้นหน่อยพาไปโรงพยาบาลนะคะ เดี๋ยวหน่อยโทรบอกคุณวิทย์กับคุณกานต์ก่อน ไม่สิ หน่อยเรียกรถพยาบาลให้นะคะ น้องพลีสอดทนไว้นะคะ!"
หืม?
ผมผงกหัวขึ้นมองพี่หน่อยที่รีบร้อนควักโทรศัพท์ออกมากดโทรหารถพยาบาลก่อนเป็นอันดับแรก
"สวัสดีค่ะ ช่วยส่งรถพยาบาลมาที่..."
"เดี๋ยวครับ!" ผมลุกพรวดแล้วจงใจจะคว้าโทรศัพท์ของพี่หน่อยเพื่อขัดขวางการโทรนั่น แต่พี่หน่อยไวกว่า ยกโทรศัพท์หนีได้ก่อนในตอนที่ผมต้องสารภาพออกมาตรงๆ
"ผมแค่แกล้งเฉยๆ ไม่ได้ปวดหัวจริงๆ ซะหน่อย"
"หน่อยก็ไม่ได้โทรจริงๆ ซะหน่อย" ว่าแล้วก็โชว์หน้าจอมือถือที่ไม่ได้โทรออกหาใคร ผมเบิกตากว้างเมื่อรู้ว่ากำลังโดนหลอก
"พี่หน่อย!"
"น้องพลีสขี้โกงก่อนนี่นา"
"พี่รู้ได้ยังไงเนี่ย"
"หน่อยเลี้ยงน้องพลีสมาตั้งแต่เกิดนะคะ"
ผมเงียบไปในจังหวะนั้น ถ้ารู้จักพลีสดีขนาดนั้น ก็น่าจะรู้สิว่าผมไม่ใช่พลีส
"ไม่งอแงสิคะคนเก่งของหน่อย ไปอาบน้ำได้แล้วค่ะ เดี๋ยวหน่อยทำกับข้าวอร่อยๆ ให้ทานนะ"
"ครับ" ตอบรับอย่างช่วยไม่ได้ ก่อนที่จะขึ้นห้องไปอาบน้ำแล้วลงมากินข้าวเช้า ก่อนที่พี่หน่อยจะไปส่งผมที่เรียนพิเศษ ขณะกำลังเดินเข้ามาในตึกอย่างงงๆ หลงเพราะไม่รู้ต้องไปทางไหน เด็กผู้หญิงคนหนึ่งก็เดินเข้ามาเรียก
"พลีส"
"หวัดดี"
"พลีสเป็นยังไงบ้าง แม่เราบอกว่า...พลีสประสบอุบัติเหตุ" ผมรู้ว่าเด็กคนนี้รู้เรื่องที่พลีสกระโดดตึก แต่เลี่ยงใช้คำอื่น ด้วยน้ำเสียงที่ดูกล้าๆ กลัวๆ ที่จะถาม ผมจึงพยักหน้ารับยิ้มๆ ก่อนที่เธอจะพูดอะไรต่อ เด็กผู้ชายอีกคนก็เดินเข้ามาเรียกอีก
"ไง พลีส หายดีแล้วเหรอ"
"อะ...อืม"
เรื่องของพลีสคงไม่ใช่ความลับเพราะดูเหมือนทุกคนจะรับรู้กันหมด ไม่รู้กันเองในกลุ่มเพื่อน ก็คงจะเป็นผู้ปกครองที่กระจายข่าวออกไป แต่เพื่อนของพลีสทั้งสองคนนี้ก็ไม่ได้ซักไซ้ถามอะไรต่อ นอกจากพาผมเดินเข้าไปในห้องเรียน บรรยากาศในคลาสเรียนพิเศษทำให้ผมสบายใจกว่าที่โรงเรียน จึงเข้าใจที่พี่หน่อยบอกว่าพลีสเองก็ชอบที่เรียนพิเศษมากกว่า อย่างน้อยๆ อยู่ที่นี่...
พลีสก็มีตัวตน ...
อากาศเย็นๆ ในเช้าวันอาทิตย์ทำให้ผมตื่นสายกว่าทุกวัน แล้ววันนี้ก็เป็นอีกเช้าที่ตื่นขึ้นมาแล้วพบว่าตัวเองยังคงอยู่ในร่างของพลีส ไม่รู้ว่าถอนหายใจทิ้งไปเป็นครั้งที่เท่าไร ในความรู้สึกอื้ออึงและมืดแปดด้าน ผมสูดลมหายใจเรียกสติแล้วลุกออกจากเตียง แปรงฟัน แล้วลงไปข้างล่าง
วันนี้บ้านหลังใหญ่ก็เงียบสงบเหมือนทุกวัน ผมเดินเข้าไปในครัวก่อนเป็นอันดับแรก เพราะคิดว่าพี่หน่อยน่าจะอยู่ในนั้น แล้วก็เป็นไปตามคาด พี่หน่อยที่กำลังวุ่นอยู่กับการทำอาหารที่หน้าเตาหันมามองตอนที่ผมเดินเข้าไปใกล้ ก่อนดวงตาทั้งสองข้างจะเบิกกว้างแล้วเรียกชื่อเสียงดัง
"น้องพลีส!"
"ครับๆ" ผมตอบรับงงๆ ไม่รู้พี่หน่อยตกใจอะไร
"แต่งตัวอะไรคะเนี่ย!"
ผมก้มมองตัวเองที่กำลังสวมบอกเซอร์ตัวเดียว เมื่อคืนผมนอนชุดนี้แล้วก็ยังไม่ได้อาบน้ำ คิดว่าเดินอยู่ในบ้านไม่น่าจะเป็นปัญหาเพราะมันก็เป็นเรื่องธรรมดาของผู้ชาย แต่กลับถูกพี่หน่อยตำหนิด้วยน้ำเสียงดุๆ
"ไม่เรียบร้อยเลยนะคะ"
"ก็อยู่ในบ้านเฉยๆ นี่นา ไม่มีใครเห็นซะหน่อย"
"แต่หน่อยเห็นค่ะ"
"ไหนว่าเลี้ยงมาตั้งแต่เกิด ก็น่าจะเห็นไปหมดทุกอย่างแล้วนี่" ผมแกล้งพูดพึมพำ แน่นอนว่าพี่หน่อยได้ยินชัดเจนดีจึงดุผมอีกครั้ง
"น้องพลีส!"
ผมควรสำนึกตอนโดนดุ แต่กลับทำตรงกันข้ามด้วยการแกล้งถามอย่างหยอกล้อ
"ทำไมครับ พี่หน่อยเขินเหรอ"
"หน่อยจะไปเขินอะไร"
"เขินผมไง ร่างกายเปลือยเปล่า เซ็กซี่ไหมครับ"
พี่หน่อยหลุดหัวเราะแล้วสวนกลับมา
"ร่างกายที่หยุดการเจริญเติบโตตั้งแต่ม.สาม ไม่ทำให้หน่อยเขินหรอกค่ะ"
ผมก้มมองร่างกายของพลีสอีกครั้ง ก็จริงอย่างที่พี่หน่อยบอก มันบอบบางเสียจนไม่อาจจะมองว่าเป็นร่างกายของผู้ชายด้วยซ้ำไป ผมละความสนใจจากร่างกายของพลีส แล้วเปลี่ยนเรื่องไปถามถึงอาหารที่พี่หน่อยกำลังทำอยู่
"วันนี้มีอะไรกินครับ"
"ข้าวต้มกุ้งค่ะ"
ผมชะโงกมองข้าวต้มในหม้อที่กำลังเดือด กุ้งตัวใหญ่เรียกร้องความสนใจจนละสายตาไม่ได้ แสดงออกทางสีหน้าว่าอยากกินเต็มที่ ผมคิดว่าพี่หน่อยจะตักข้าวต้มให้หลังจากที่ปิดแก๊สแต่กลับหยิบฝาหม้อมาปิดแล้วหันมาพูดกับผม
"ไปแต่งตัวให้เรียบร้อยก่อนค่ะ"
"ขอกินก่อนได้ไหมอะ"
"ไม่ได้ค่ะ"
"ผมหิวแล้ว"
"ไม่ได้ค่ะ"
พี่หน่อยยื่นคำขาดแต่ผมขี้เกียจตะเกียกตะกายขึ้นบันไดไปเปลี่ยนเสื้อผ้าใหม่ อีกอย่างแต่งตัวแบบนี้มันก็สบายดีออก ด้วยความขี้เกียจจึงคิดที่จะต่อรองด้วยการออดอ้อน
"ขอกินก่อนนะ นะครับ นะครับพี่หน่อย"
"..."
"กินเสร็จแล้วเดี๋ยวรีบไปเปลี่ยนเลย นะครับ น้า"
ผมคิดว่าความน่ารักจากใบหน้าของพลีสทำให้พี่หน่อยแพ้จนหลุดยิ้มออกมาแล้วอนุญาตให้ผมกินข้าวขณะยังอยู่ในชุดนี้ได้ ผมเดินไปรอที่โต๊ะกินข้าว ก่อนพี่หน่อยจะเอาข้าวต้มกุ้งตัวโตๆ ยกมาเสิร์ฟให้ แค่ได้สูดกลิ่นหอมกรุ่นของมันก็อร่อยจนลอยไปดาวอังคารแล้ว
ก่อนที่ผมจะลงมือกิน ก็หันไปมองพี่หน่อยที่ยืนอยู่ข้างๆ เป็นอย่างนี้ทุกครั้งที่ผมกินข้าว พี่หน่อยจะยืนอยู่ไม่ห่าง ยกน้ำดื่มมาให้ จากนั้นก็รอให้ผมกินเสร็จแล้วก็เก็บชาม ผมไม่เคยเห็นพี่หน่อยกินข้าวเลยด้วยซ้ำไป
"พี่หน่อยครับ"
"คะ"
"ปกติแล้ว ผมจะสั่งให้พี่หน่อยทำอะไรก็ได้ใช่ไหมครับ"
"ได้ทุกอย่างค่ะ อยากได้อะไรบอกหน่อยค่ะ"
"กินข้าวเป็นเพื่อนผมหน่อย"
"คะ?"
"กินข้าวด้วยกันนะครับ"
"แต่ปกติแล้วน้องพลีสไม่ชอบทานข้าวพร้อมใครนี่คะ"
"ตอนนี้มันไม่ปกติครับ"
"..."
"ผมไม่อยากกินข้าวคนเดียว"
ตั้งแต่อยู่ในร่างของพลีสมา ทั้งที่บ้านหรือที่โรงเรียน ผมจะต้องกินข้าวคนเดียวตลอดแล้วก็ไม่ชิน วันนี้เลยอยากให้พี่หน่อยกินด้วยกันจึงพูดออกไปแบบนั้น เป็นคำขอร้องพี่หน่อยคงปฏิเสธ แต่พอเป็นคำสั่งพี่หน่อยจึงยอมตามใจผมด้วยการไปตักข้าวต้มมานั่งกินด้วยกัน
ข้าวต้มกุ้งฝีมือพี่หน่อยอร่อยจนตาโตตั้งแต่คำแรก หรืออาจเป็นเพราะผมเพิ่งจะได้รับรู้รสชาติของมันหลังจากที่ไม่ได้กินมานานก็เป็นได้ แต่ไม่ว่าจะเป็นเพราะอะไรข้าวต้มชามนั้นก็คือสวรรค์ของผมในตอนนี้ ขณะกำลังตั้งหน้าตั้งตากินอย่างอร่อย ผมเงยหน้าพี่หน่อยที่กำลังมองผมอยู่ เมื่อเงยขึ้นไปสบตา พี่หน่อยก็รีบหลบตาแกล้งทำเป็นตักข้าวใส่ปาก
"พี่หน่อยมองผมทำไม"
"เปล่าค่ะ"
"เปล่าอะไร เห็นอยู่ว่ามอง"
"คือ..."
"พูดมาเถอะครับ"
"หน่อยแค่รู้สึกว่า น้องพลีสเป็นน้องพลีสที่ดูไม่เหมือนน้องพลีสเลย"
เป็นคำพูดที่ดูกำกวมแต่ผมเข้าใจความหมายที่พี่หน่อยต้องการจะสื่อ เป็นไปอย่างที่ผมเคยคิดว่าพี่หน่อยรู้จัก
พลีสดีกว่าใคร จึงเป็นไปได้ที่เขาจะรู้ว่าคนที่อยู่ตรงหน้านี้ไม่ใช่พลีส หากลืมเรื่องหัวสมองกระทบกระเทือนจนความจำสับสน พี่หน่อยคงรู้ว่าพลีสเปลี่ยนไปเป็นคนละคนแน่ๆ แต่ด้วยความที่เรื่องราวมันเหลือเชื่อเกินกว่าที่ผมจะบอกกับเขา ผมจึงเลือกที่จะเงียบแทนที่จะอธิบาย ผมมั่นใจว่าวันหนึ่งจะต้องหลุดออกมาจากร่างนี้ได้แล้วเมื่อถึงวันนั้นน้องพลีสคนเดิมของพี่หน่อยก็จะกลับมา
"น้องพลีสรีบทานเถอะค่ะ จะได้ไปอาบน้ำแต่งตัว เดี๋ยวจะสาย"
"เดี๋ยวสาย? นี่ผมต้องไปไหนเหรอครับ อย่าบอกนะว่าต้องไปเรียนพิเศษอีกแล้ว!"
"วันนี้วันอาทิตย์ ไปโบสถ์ค่ะ"
"อ๋อ ครับๆ"
ผมพยักหน้ารับ แม้ไม่รู้เลยว่าจะต้องไปทำอะไรที่โบสถ์ แต่ด้วยความที่เอียนกับการเรียนแล้ว จังหวะนี้ไปไหนก็ได้ที่ไม่ใช่เรียนพิเศษอะ
พี่หน่อยพาผมมาที่โบสถ์ซึ่งค่อนข้างไกลจากบ้าน ผมนับถือพุทธมาตั้งแต่เกิด พอได้ยินเกี่ยวกับศาสนาคริสต์มาบ้างแต่ก็ไม่เคยรู้ลึกถึงพิธีกรรมอะไรทางศาสนาเลย ผมจึงทำได้เพียงนั่งเฉยๆ ในตอนที่คนอื่นกำลังประกอบพิธี นั่งอยู่ตรงนั้นใจผมก็สงบลงไปด้วยเพราะไม่ได้คิดอะไรเลย
จนกระทั่งเสร็จพิธี พี่หน่อยขอตัวไปคุยกับเพื่อน ส่วนผมตั้งใจจะเดินออกไปรอพี่หน่อยข้างนอก ผมเงยหน้ามองสถาปัตยกรรมของโบสถ์ที่ดูสวยงามอย่างน่าสนใจ หันมองไม้กางเขนอันใหญ่แล้วคิดอะไรเล่นๆ อยู่ในใจ
คล้ายว่าผมกำลังฉีกทุกกฎของการเป็นผี ไม่กลัวพระ ไม่กลัวไม้กางเขน ไม่มีอะไรขับไล่วิญญาณผมได้เลย ไม่รู้ว่าจะต้องดีใจที่แข็งแกร่งได้ขนาดนี้ หรือจะต้องร้องไห้ดีเพราะหาทางออกจากร่างไม่เจอ
"เขี้ยวกุด"
ผมหันขวับมองเสียงที่กระซิบเรียกข้างหู ร่างกายหยุดชะงักกะทันหัน พลันหลุดปากเรียกชื่อคนที่เข้ามาทักด้วยความตกใจ
"ตาม"
"ตามอะไร เพื่อนเล่นเหรอ"
"ฮะ?"
"พี่ตามดิ นี่พี่ตาม"
"ครับ...พี่...พี่ตาม" ผมอึกอักที่จะเรียกตามแบบนั้น อายุเท่ากันให้มาเรียกพี่ก็เลยขัดกับความรู้สึกนิดหน่อย เมื่อถูกเรียกว่าพี่แล้ว ตามก็พยักหน้ารับยิ้มๆ
"ดีมากเขี้ยวกุด"
ไม่รู้ทำไมตามถึงเรียกพลีสแบบนั้น ใจจริงก็อยากถามแต่ความสนใจของผมมันกำลังจดจ่ออยู่กับเรื่องอื่น ผมยืนมองใบหน้าของตามที่ไม่ได้เห็นชัดๆ มานาน ถ้าตอนนี้ผมเป็นแสง คงโผเข้าไปกอด แต่พลีสคงไม่ทำเช่นนั้น ผมจึงทำอะไรไม่ได้เลยนอกจากมอง ผ่านไปเกือบสามปีที่ไม่ได้เจอกัน เดาเอาว่าตามคงไม่ดูแลตัวเองเลย รูปร่างดูซูบผอม ใบหน้าก็ดูโทรมลงไปจากแต่ก่อน ตั้งแต่ไหนแต่ไร ตามไม่ค่อยใส่ใจเรื่องเสื้อผ้าหน้าผม หยิบอะไรได้ก็สวมเข้าไปแบบไม่คิดมาก วันนี้ตามสวมเสื้อยืดเก่าๆ กับกางเกงวอร์มปักตราโรงเรียน สามปีผ่านไปก็ยังใส่กางเกงตัวนี้อยู่ ตามก็ยังคงเป็นตาม...
เป็นคนที่ผมรัก"นี่จะกลับแล้วเหรอ"
เสียงของตามดึงผมออกจากความคิด แล้วจึงตอบกลับไป
"ยังครับ แล้วพี่...พี่มาทำอะไรที่นี่เหรอ" คำถามโคตรโง่ ตามเองก็คงรู้สึกอย่างนั้นจึงหันมาหัวเราะเบาๆ
"ถามทำไมเนี่ย ก็รู้อยู่แล้วว่ามาทำไม"
ตามเองก็นับถือคริสต์นี่นา
"เออ อาทิตย์ที่แล้วไม่เห็นมา เป็นอะไรหรือเปล่า"
"ไม่ค่อยสบายน่ะครับ"
หล่นจากตึกห้าชั้นหัวแตกเย็บหกเข็ม เรียกว่าไม่ค่อยสบายได้แหละเนอะ
"พี่ตาม!" เสียงของคนที่ปรากฏตัวขึ้นเรียกตามจากหน้าโบสถ์ ได้ยินเช่นนั้นตามจึงหันมาบอกลาผม แล้ววิ่งไปหาเด็กคนนั้น ผมยังคงยืนอยู่กับที่ มองดูตามที่กำลังยืนพูดคุยอยู่ตรงนั้น
"น้องพลีส"
เสียงเรียกของพี่หน่อยดึงความสนใจผมให้หันไปมอง
"เป็นไงคะ สบายใจขึ้นไหม"
"ครับ"
"งั้นเรากลับกันเลยนะคะ"
ผมพยักหน้ารับ ก่อนก้าวเท้าเดินออกไปพร้อมพี่หน่อย ขณะเดียวกันพี่หน่อยก็หันมาเรียกผมอีกครั้งด้วยน้ำเสียงจริงจัง
"น้องพลีสคะ"
"ครับ"
"หน่อยขอพูดถึงเรื่องวันนั้นได้ไหมคะ"
"วันนั้น?"
"วันที่น้องพลีส..."
ผมพยักหน้ารับในตอนที่เพิ่งจะเข้าใจว่าพี่หน่อยคงอยากพูดถึงวันที่พลีสตกลงมาจากตึกนั่น
"ถ้ามันเป็นอุบัติเหตุ หน่อยอยากบอกให้น้องพลีสระวังมากกว่านี้ แต่ถ้าน้องพลีสตั้งใจ..."
"..."
"หน่อยอยากขอร้อง อย่าทำแบบนั้นอีกนะคะ"
"..."
"สัญญาได้ไหมคะ คนดีของหน่อย"
มันควรจะเป็นพลีส ที่ได้รับรู้ความรู้สึกของพี่หน่อยในตอนนี้ ความรักและเป็นห่วงมากล้นจนผมเองยังรู้สึกได้ว่าพลีสสำคัญกับพี่หน่อยขนาดไหน ผมไม่อาจสัญญาด้วยคำพูดของตัวเอง ได้แต่พยักหน้ารับเบาๆ ในตอนที่พี่หน่อยกำลังเอาแต่โทษตัวเอง
"หน่อยผิดเองที่ดูแลน้องพลีสไม่ดี"
"..."
"เป็นเพราะหน่อยเอง"
"..."
"ถ้าวันนั้นหน่อยอยู่ด้วย เรื่องมันก็คงไม่เป็นแบบนี้"
"ถ้าวันนั้นเราอยู่ด้วย เธอก็คงไม่ต้องจากไปแบบนี้" ผมหลับตาแน่นในตอนที่คำพูดของพี่หน่อยคล้ายกันกับคำพูดของตามที่ผมเคยได้ยินในวันที่ผมกลับไปหา อยู่ๆ มันก็ผุดขึ้นมาในหัวพร้อมกับเรื่องราวของตามอีกเป็นร้อยเป็นพันความคิด
ผมกลับไปหาตามแค่ครั้งเดียวหลังจากที่ผมตาย ผมทำใจไม่ได้ที่ต้องรับรู้ว่าตัวเองได้ตายจากเขาไปแล้ว แค่คิดว่าไม่มีวันที่จะได้พบกันอีกแล้ว ผมก็ร้องไห้ไม่หยุด ถ้าต้องไปเจอตามแต่ทำไม่ได้แม้แต่จะแตะต้องหรือสัมผัส มันก็เจ็บจนแทบจะขาดใจ และไม่รู้ว่าในวันนี้...ตามจะลืมผมไปหรือยังนะ
"เรากลับบ้านกันเถอะค่ะ"
ผมพยักหน้ารับพี่หน่อยแล้วก้าวเท้าเดินตาม ขณะในใจกำลังคิดถึงเรื่องอื่นอย่างร้อนรน จนกระทั่งทนไม่ได้
"พี่หน่อยครับ"
"คะ?"
"พี่รอผมแป๊บหนึ่งนะครับ เดี๋ยวผมมา"
"น้องพลีสจะไปไหน อ้าว..."
ผมไม่รอให้พี่หน่อยพูดจบแล้วรีบก้าวเท้าออกมาจากตรงนั้นก่อน กวาดสายตามองหาตามที่ไม่รู้ว่าเดินไปไหนแล้ว ผมกำลังคิดเห็นแก่ตัว ในตอนนี้ผมไม่ใช่แสงแต่เป็นพลีส ผมมีตัวตน ผมแตะต้องตามได้ ทำทุกอย่างที่มนุษย์ทำได้ มันจะผิดมากไหม หากผมจะขอใช้ร่างของพลีสเพื่อให้ผมได้ใกล้ชิดกับตาม แค่วันเดียวก็ยังดี แค่วันเดียวก็ได้...ความคิดตีกันในหัว กระทั่งความโหยหาเอาชนะทุกข้อโต้แย้ง ไม่อาจควบคุมความคิดที่เกินสติจะฉุดรั้ง...ผมยอมเห็นแก่ตัว
"เธอ"
"..."
"ตาม"
"..."
"พี่ตาม!"
เสียงดังของผมเรียกตามให้หยุดเดิน ขณะที่ผมรีบวิ่งเข้าไปหา
"มีไร เรียกดังเชียว"
"อาทิตย์หน้าพี่จะมาที่นี่ไหมครับ"
"ทำไมอะ"
"พี่จะมาไหมครับ"
"มีอะไรเปล่า"
"ผมถามว่าพี่จะมาไหม!"
"แล้วเราจะทำไม"
"ผมอยากเจอพี่!"
"ฮะ?"
"ผมอยากคุยกับพี่ อยากคุยกับพี่อีกสักครั้ง อีกแค่ประโยคเดียวก็ยังดี"
แม้ตามจะแสดงออกด้วยใบหน้าที่ดูงุนงงแต่ครู่เดียวก็เปลี่ยนเป็นรอยยิ้ม ฝ่ามือของตามวางลงบนหัว แม้ร่างกายเป็นของคนอื่น แต่ความรู้สึกเป็นของผม ผมจึงรับรู้ถึงสัมผัสนั่นได้ ตามลูบหัวผมเบาๆ แล้วตอบคำถามที่ผมรออยู่
"พี่จะมาครับ" To be continued.